รำลึกถึงครูกลอนสุนทรภู่


จำเรียงรักษ์อักษรผ่านกลอนกาพย์        ด้วยซึ้งซาบรสกวีศรีสยาม
"สุนทรภู่"ครูกลอนกระฉ่อนนาม            ทั่วเขตคามใครอ่านพล่านอารมณ์
ครานิราศสาดรสบทเศร้าหวาน              ทุกถิ่นฐานรอยยังทั้งสุขสม
ถึง"บางพูดบางมะเดื่อ"เจือคำคม          ที่อกตรม"เหมือนตกตาล"เพราะหวานคำ
เพลงยาวสุภาษิตคิดคำสอน                  คมคิดซ่อนชักมาอย่าด่วนพร่ำ     
"อันลายมือนั้นคือยศ"ควรจดจำ            จะรักฉ่ำชังสิ้นเพราะลิ้นคน
"เสวยนั้นผันพระพักตร์ไปบูรพ์ทิศ          เจริญฤทธิ์ชันษาสถาผล"
 "อังคารม่วงช่วงงามสีครามปน             เป็นมงคลขัตติยาเข้าราวี"
"อย่าเดินกรายย้ายอกยกผ้าห่ม              อย่าเสยผมกลางทางหว่างวิถี"
"อย่าชิงสุกก่อนห่ามไม่งามดี                 เมื่อบุญมีคงจะมาอย่างปรารมภ์"
 "แม้นผัวเดือดเจ้าจงดับระงับไว้             อย่าพอใจขึ้นเสียงเถียงประสม
เขาเป็นไฟเราเป็นน้ำค่อยพรำพรม         แม้นระดมขึ้นทั้งคู่จะวู่วาม"
พระอภัยมณีคำกลอนสะท้อนปราชญ์     มรดกชาติจินตกวีศรีสยาม
วิทยายุทธสะดุดใจในพี่พราห์ม               รบคุกคามปี่ปัดกำจัดภัย
"ในเพลงปี่ว่าสามพี่พราหมณ์เอ๋ย           ยังไม่เคยชมชิดพิสมัย
ถึงร้อยรสบุปผาสุมาลัย                          จะชื่นใจเหมือนสตรีไม่มีเลย"

เพราะซาบซึ้งตรึงจิตจึงคิดสาน             สืบคำจารแจ่มวาจามาเปิดเผย
อีกมากมีที่เด่นกว่าเช่นเปรย                   เกินเอื้อนเอ่ยหมดสิ้นจินตกวี

คำสำคัญ (Tags): #สุนทรภู่
หมายเลขบันทึก: 106266เขียนเมื่อ 25 มิถุนายน 2007 17:55 น. ()แก้ไขเมื่อ 24 มิถุนายน 2012 03:25 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

คำมั่นสัญของพระอภัยมณีกับนางเงือก

     ถึงม้วยสิ้นดินฟ้ามหาสมุทร
ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน
แม้เกิดในใต้ฟ้าสุธาธาร
ขอพบพานพิศวาสไม่คลาดคลา
แม้เนื้อเย็นเป็นห้วงมหรรณพ
พี่ขอพบศรีสวัสดิ์เป็นมัจฉา
แม่เป็นบัวตัวพี่เป็นภุมรา
เชยผกาโกสุมประทุมทอง
เจ้าเป็นถ้ำอำไพขอให้พี่
เป็นราชสีห์สิงสู่เป็นคู่สอง
จะติดตามทรามสงวนนวลละออง
เป็นคู่ครองพิศวาสทุกชาติไป

เพราะเสียงปี่ที่ทำให้จำพราก

            ในเพลงปี่ว่าสามพี่พราหมณ์เอ๋ย
ยังไม่เคยชมชิดพิสมัย
ถึงร้อยรสบุปผาสุมาลัย
จะชื่นใจเหมือนสตรีไม่มีเลย 
 พระจันทร์จรสว่างกลางโพยม
ไม่เทียบโฉมนางงามเจ้าพราหมณ์เอ๋ย
แม้นได้แก้วแล้วจะค่อยประคองเคย
ถนอมเชยชมโฉมประโลมลาน
            เจ้าพราหมณ์ฟังวังเวงวะแว่วเสียง
สำเนียงเพียงการเวกกังวาลหวาน
หวาดประหวัดสตรีฤดีดาล
ให้ซาบซ่านเสียวสะดับจนหลับไป
             ศรีสุวรรณนั้นนั่งอยู่ข้างพี่
ฟังเสียงปี่วาบวับก็หลับไหล
พระแกล้งเป่าแปลงเพลงวังเวงใจ
เป็นความบวงสรวงพระไทรที่เนินทรายฯ

นิราศภูเขาทอง


             ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง 
มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา 
โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา 
ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าช่างน่าอาย 
ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ 
พระสรรเพชญโพธิญาณประมาณหมาย 
ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย 
ไม่กล้ำกลายแกล้งเมินก็เกินไป 
ไม่เมาเหล้าแต่เรายังเมารัก 
สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน 
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป 
แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน

นิราศภูเขาทอง

๏เคยหมอบใกล้ได้กลิ่นสุคนธ์ตลบ
ละอองอบรสรื่นชื่นนาสา 
สิ้นแผ่นดินลิ้มรสสุคนธา
 วาสนาเราก็สิ้นเหมือนกลิ่นสุคนธ์ 

 ๏ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก 
สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน  
ถึงเมาเหล้าเช้าสายหายก็ไป  
แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน  

๏เห็นโศกใหญ่ใกล้น้ำระกำแฝง
ทั้งรักแซงแซมสวาทประหลาดเหลือ
เหมือนโศกพี่ที่ระกำก็ซ้ำเจือ
เพราะรักเรื้อแรมสวาทมาคลาดคลาย

๏เมื่อเคราะห์ร้ายกายเราก็เท่านี้ 
ไม่มีที่พสุธาจะอาศัย 
ล้วนหนามเหน็บเจ็บแสบคับแคบใจ
 เหมือนนกไร้รังเร่อยู่เอกา 

๏ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ 
มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต 
แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร 
จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา 

๏จนเดือนเด่นเห็นกอกระจับจอก
 ระดะดอกบัวเผื่อนเมื่อเดือนหงาย 
เห็นร่องน้ำลำคลองทั้งสองฝ่าย 
ข้างหน้าท้ายถ่อมาในสาคร 
จนแจ่มแจ้งแสงตะวันเห็นพันธุ์ผัก 
ดูน่ารักบรรจงส่งเกสร 
เหล่าบัวเผื่อนแลสล้างริมทางจร
 ก้ามกุ้งซ้อนเสียดสาหร่ายใต้คงคา 
สายติ่งแกมแซมสลับต้นตับเต่า
 เป็นเหล่าเหล่าแลรายทั้งซ้ายขวา 
กระจับจอกดอกบัวบานผกา
ดาษดาดูขาวดังดาวพราย 


๏ทั้งองค์ฐานรานร้าวถึงเก้าแสก 
เผยอแยกยอดสุดก็หลุดหัก 
โอ้เจดีย์ที่สร้างยังร้างรัก 
เสียดายนักนึกน่าน้ำตากระเด็น 
กระนี้หรือชื่อเสียงเกียรติยศ 
จะมิหมดล่วงหน้าทันตาเห็น 
เป็นผู้ดีมีมากแล้วยากเย็น 
คิดก็เป็นอนิจจังเสียทั้งนั้น 

นิราศพระบาท


    ๏เจ้าของตาลรักหวานขึ้นปีนต้น
ระวังคนตีนดีนมือระมัดมั่น 
เหมือนคบคนคำหวานรำคาญครัน 
ถ้าพลั้งพลันเจ็บอกเหมือนตกตาล 
เห็นเทพีมีหนามลงราน้ำ
เปรียบเหมือนคำคนพูดไม่อ่อนหวาน 
เห็นกิ่งกีดมีดพร้าเข้าราราน
 ถึงหนามกรานก็ไม่เหน็บเหมือนเจ็บทรวง 

 

    ๏อนิจจาธานินทร์สิ้นกษัตริย์ 
เหงาสงัดเงียบไปดังไพรสณฑ์ 
แม้กรุงยังพรั่งพร้อมประชาชน
 จะสับสนแซ่เสียงทั้งเวียงวัง 
มะโหรีปี่กลองจะก้องกึก 
จะโครมครึกเซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์ 
ดูพาราน่าคิดอนิจจัง
ยังได้ฟังแต่เสียงสกุณา 

 

    ๏ กำแพงรอบขอบคูก็ดูลึก 
ไม่น่าศึกอ้ายพม่าจะมาได้ 
ยังให้มันข้ามเข้าเอาเวียงชัย 
โอ้อย่างไรเหมือนบุรีไม่มีชาย 

 

    ๏เข้าลำคลองหัวรอตอระดะ
ดูเกะกะรอร้างทางพม่า 
เห็นรอหักเหมือนหนึ่งรักพี่รอรา
แต่รอท่ารั้งทุกข์มาตามทาง 

 

    ๏พื้นผนังหลังบัวที่ฐานบัทม์
เป็นครุฑอัดยืนเหยียบภุชงค์ขยำ 
หยิกขยุ้มกุมวาสุกรีกำ 
กินนรร่ำรายเทพประนมกร 
ใบระกาหน้าบันบนชั้นมุข 
สุวรรณสุกเลื่อมแก้วประภัสสร 
ดูยอดเยี่ยมเทียมยอดยุคนธร
กระจังซ้อนแซมใบระกาบัง 
นาคสะดุ้งรุงรังกระดึงห้อย
ใบโพธิ์ร้อยระเรงอยู่เหง่งหงั่ง 
เสียงประสานกังสดาลกระดึงดัง
วิเวกวังเวงในหัวใจครัน 

 

    ๏ถึงเขาขาดพี่ถามถึงนามเขา
 ผู้ใหญ่เล่ามาให้ฟังที่กังขา 
ว่าเดิมรถทศกัณฐ์เจ้าลงกา
ลักสีดาโฉมฉายมาท้ายรถ 
หนีพระรามกลัวจะตามมารุกรบ
 กงกระทบเขากระจายทลายหมด 
ศิลาแตกแหลกลงด้วยกงรถ
จึงปรากฎตั้งนามมาตามกัน... 

   นิราศเมืองแกลง

    ๏โอ้คลองขวางทางแดนแสนโสทก
ดูบนบกก็แต่ล้วนลิงแสม 
เลียบตลิ่งวิ่งตามชาวเรือแพ
ทำลอบแลหลอนหลอกตะคอกคน 
คำโบราณท่านผูกถูกทุกสิ่ง
เขาว่าลิงจองหองมันพองขน 
ทำหลุกหลิกเหลือกลานพาลลุกลน
เขาด่าคนจึงว่าลิงโลนลำพอง 

 

    ๏ลำพูรายพรายพร้อยหิ่งห้อยจับ
 สว่างวับแวววามอร่ามเหลือง 
เสมอเม็ดเพชรรัตน์จำรัสเรือง
 ค่อยประเทืองทุกข์ทัศนาชม 

 

    ๏กระแสงชลวนเชี่ยวเรือเลี้ยวลด
ดูค้อมคดขอบคุ้งคงคาไหล
แต่สาชลเจียวยังวนเป็นวงไป
นี่หรือใจที่จะตรงอย่าสงกา

 

    ๏โอ้ยามนี้พี่เห็นแต่พักตร์เพื่อน
ไม่ชื่นเหมือนสุดสวาทที่มาดหมาย
กลั้นน้ำตามาจนสุดที่หาดทราย
เห็นเรือรายโรงเรียงเคียงเคียงกัน

 

    ๏เสียงลิงค่างบ่างชะนีวะหวีดโหวย
กระหึมโหยห้อยไม้น่าใจหาย
เสียงผัวผัวตัวเมียเที่ยวโยนกาย
 เห็นคนอายแอบอิงกับกิ่งยาง
โอ้ชะนีเวทนาเที่ยวหาผัว
เหมือนตัวพี่เรียกน้องให้หมองหมาง
ชะนีเพรียกเรียกชายอยู่ปลายยาง
พี่เรียกนางนุชน้องอยู่ในใจ

 

นิราศประประธม

    ๏ถึงสวนหลวงหวงห้ามเหมือนความรัก
เหลือจักหักจับต้องเป็นของหลวง
แต่รวยรินกลิ่นผกาบุปผาพวง
จะรื่นร่วงเรณูฟูขจร 

 

    ๏ถึงบางขวางปางก่อนว่ามอญขวาง
เดี๋ยวนี้นางไทยลาวสาวสลอน 
ทำยศอย่างขวางแขนแสนแสงอน
ถึงนางมอญก็ไม่ขวางเหมือนนางไทย 

 

    ๏ถึงวัดสักเหมือนหนึ่งรักที่ศักดิ์สูง
ยิ่งกว่าฝูงเขาเหินเห็นเกินสอย 
แม้นดอกฟ้าคลาเคลื่อนหล่นเลื่อนลอย 
จะได้คอยเคียงรับประคับประคอง 

 

    ๏เห็นต้นรักหักโค่นต้นสนัด
เป็นรอยตัดรักขาดให้หวาดไหว 
เหมือนตัดรักตัดสวาทขาดอาลัย
ด้วยเห็นใจเจ้าเสียแล้วนะแก้วตา 

 นิราศเมืองเพชร

    ๏ถึงย่านซื่อสมชื่อด้วยซื่อสุด
ใจมนุษย์เหมือนกระนี้แล้วดีเหลือ 
เป็นป่าปรงพงพุ่มดูครุมเครือ
 เหมือนซุ้มเสือซ่อนร้ายไว้ภายใน 

 

    ๏โอ้พ่อแม่แต่ชั้นลิงไม่ทิ้งบุตร
เพราะแสนสุคเสน่หานิจจาเอ๋ย 
ที่ลูกอ่อนป้อนนมนั่งชมเชย
กระไรเลยแลเห็นน่าเอ็นดู 

 

    ๏ในลำคลองสองฟากล้วนจากปลูก
ทะลายลูกดอกจากขึ้นฝากแฝง 
ต้นจากถูกลูกชิดนั้นติดแพง
เขาช่างแปลงชื่อถูกเรียกลูกชิด 

 

    ๏ตะบูนต้นผลห้อยย้อยระย้า 
ดาษดาดังหนึ่งผูกด้วยลูกตุ้ม 
เป็นคราบน้ำคร่ำคร่าแตกตารุม
ดูกระปุ่มกระปิ่มตุ่มติ่มเต็ม 
ลำพูรายชายตลิ่งดูกิ่งค้อม
มีขวากล้อมแหลมรายดังปลายเข็ม 

เห็นปูเปี้ยวเที่ยวไต่กินไคลเค็ม
 บ้างเก็บเล็มลากก้ามครุ่มคร่ามครัน 
โอ้เอ็นดูปูไม่มีซึ่งศีรษะ
เท้าระกะก้อมโกงโม่งโค่งขัน
ไม่มีเลือดเชือดฉะปะแต่มัน
เป็นเพศพันธุ์ได้ผัวเพราะมัวเมา 
แม้นเมียออกลอกคราบไปคาบเหยื่อ
เอามาเผื่อภรรยาเมตตาเขา 
ระวังดูอยู่ประจำทุกค่ำเช้า 
อุตส่าห์เฝ้าฟูมฟักเพราะรักเมีย 
ถึงทีผัวตัวลอกพอออกคราบ 
เมียมันคาบคีบเนื้อเป็นเหยื่อเสีย 
จึงเกิดไข่ไร้ผัวเที่ยวยั้วเยี้ย
ยังแต่เมียเคลื่อนคล้อยขึ้นลอยแพ
 

 

    ๏หิ่งห้อยจับวับวามอร่ามเหลือง 
ดูรุ่งเรืองรายจำรัสประภัสสร 
เหมือนแหวนก้อยพลอยพรายเมื่อกรายกร
ยังอาวรณ์แหวนประดับด้วยลับตา 

 

    ๏เสียงชะนีที่เหล่าเขายี่สาน
วิเวกหวานหวัวหวัวผัวผัวโหวย 
หวิวหวิวไหวได้ยินยิ่งดิ้นโดย
 ชะนีโหยหาคู่มิรู้วาย... 

 

    ๏ทั้งหอยแครงแมงดามันหาคล่อง
ฉีกกระดองกินไข่มิใช่โง่ 
ได้อิ่มอ้วนท้วนหมดไม่อดโซ 
อกเอ๋ยโอ้เอ็นดูหมู่แมงดา 
ให้สามีขี่หลังเที่ยวฝั่งแฝง 
ตามหล้าแหล่งเลนเค็มเล็มภักษา 
เขาจับเป็นเห็นสมเพชเวทนา 
ทิ้งแมงดาผัวเสียเอาเมียไป 
ฝ่ายตัวผู้อยู่เดียวเที่ยวไม่รอด 
เหมือนตาบอดมิได้แจ้งตำแหน่งไหน 
ต้องอดอยากจากเมียเสียน้ำใจ
 ก็บรรลัยแลกลาดดาษดา... 

เกร็ดเรื่องราวที่เล่าต่อ ๆ กันมา เกี่ยวกับท่านสุนทรภู่

ตอนหนึ่งเล่าว่าเมื่อครั้งสุนทรภู่เมาเหล้าทุบตีเมีย คือนางจัน  ได้ถูกจำคุก  ขณะที่จำคุกนั้นรัชกาลที่ ๒ กำลังพระราชนิพนธ์เรื่องสังข์ทอง แล้วติดขัดที่ลงท้ายด้วยคำตาย  ตอนเจ้าเงาะเข้าหอกับรจนา

 แสนเอยแสนแขนง              น้อยหรือแกล้งตัดพ้อต่อว่า

ติเล็กติน้อยคอยนินทา          ค่อนว่าพิไรไค้แคะ

พี่ก็ไม่หลีกเลี่ยงเถียงสักสิ่ง   มันก็จริงกระนั้นนั่นแหละ

เจ้าเย้ยเยาะว่าเงาะไม่งามแงะ      ??????

ก็ให้ข้าราชบริพารไปหาสุนทรภู่ที่ในคุกแจ้งว่า หากสุนทรภู่แต่งต่อได้ก็จะให้ออกจากคุก  สุนทรภู่ฟังปั๊บก็โต้ปั๊บว่า  แฮะแฮะว่าเล่นหรือว่าจริง ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นคำถามย้อนของสุนทรภู่ที่ต้องการถามว่าจริงหรือหากแต่งต่อได้จะได้ออกไป หรือ สุนทรภู่ต่อให้เลย  แต่ข้าราชบริพารได้นำความนั้นมาทูลต่อรัชกาลที่ ๒ สุนทรภู่จึงได้ออกจากคุกเพราะคำนั้นนั่นเอง และก็ทำให้พระราชนิพนธ์สามารถแต่งต่อไปได้ 

แสนเอยแสนแขนง              น้อยหรือแกล้งตัดพ้อต่อว่า

ติเล็กติน้อยคอยนินทา          ค่อนว่าพิไรไค้แคะ

พี่ก็ไม่หลีกเลี่ยงเถียงสักสิ่ง   มันก็จริงกระนั้นนั่นแหละ

เจ้าเย้ยเยาะว่าเงาะไม่งามแงะ       แฮะแฮะว่าเล่นหรือว่าจริง

อย่าประมาทรูปพี่เห็นขี้เหร่     ไม่ว่าเล่นเป็นเสน่ห์ชอบใจหญิง

ชาวรั้วชาววังไม่ชังชิง             อุตส่าห์ทิ้งมาลัยมาให้เงาะ

   ปัจจุบัน  ว. วินิจฉัยกุล  นักเขียนชื่อดังได้นำโครงเรื่องสังข์ทอง  มาเขียนในรูปแบบนวนิยาย ชื่อเรื่อง ทางเทวดา  เป็นเรื่องที่สนุกสนานมาก สะอาด สร้างสรรค์ ให้แนวคิดเกี่ยวกับ  ความเอื้ออารี  การทำความดี  ความสมถะ  อ่านได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่

เกร็ดความรู้เรื่องสุนทรภู่  นำมาจาก  http://www.pantip.com/cafe/writer/topic/W5489064/W5489064.html
“สุนทรภู่” ขึ้นชื่อว่าเป็น “นักเลงทำเพลงยาว”
และได้ชื่อว่า เป็น “นักกลอน”
เพราะเหตุว่า เขียนกลอนเป็นล่ำเป็นสัน กระทั่งพัฒนา “กลอนตลาด” มาจัดระเบียบเสียใหม่ ด้วยสัมผัสแบบแพรวพราว ทั้ง “สัมผัสใน-สัมผัสนอก” จนได้ชื่อว่า เป็นกลอนแบบ “สุนทรภู่”

และเพราะ “สุนทรภู่” เขียนกลอนเป็นส่วนใหญ่
ดังนั้น จึงมีบรรดากวีทั้งใหญ่และไม่ใหญ่ มาค่อนแคะ ในทำนองว่า “สุนทรภู่” เขียน “โคลง” ไม่เป็น

มีเกร็ดประวัติศาสตร์ช่วงต้นรัตนโกสินทร์ เล่าไว้ตอนหนึ่ง ประมาณว่า...
“สุนทรภู่” ถูกสบประมาทจากศิษย์ (บางแห่ง ระบุว่า เป็น นายนรินทร์ธิเบศร์ (อิน)...) ว่า แต่งได้แต่กลอน แต่งโคลงไม่เป็น
“สุนทรภู่” ก็เลยตอบไปเป็น “โคลงสี่สุภาพ” ว่า

           ๏เฉน็งไอ จึ่งเว้า             วู่กา เผ้าแก่ทู่
           รูกับกาว เมิงแต่ยา          มู่ไร้
           ปิดเซ็นจะมู่ซา               เคราทู่ นี่เฮย
           เฉะแต่จะตอบให้            ช่วยมี้พมังระณอฯ

           (๏ไฉนเอ็งจึ่งเว้า            ว่ากู ผู้แก่เฒ่า
             ราวกับกูมาแต่เยิง         ไม่รู้
             เป็นศิษย์จะมาสู้            ครูเฒ่า
             ชอบแต่จะเตะให้           ชีพม้วยมรณังฯ)

บางสำนวนก็ว่า...

             ๏ เฉน็งไอมาเวิ่งเว้า         วู่กา
              รูกับกาวเมิงแต่ยา           มู่ไร้
              ปิดเซ็นจะมู่ซา               เคราทู่
              เฉะแต่จะตอบห้วยไม้      หลิ่งกล้นกล
นถนางฯ

              (๏ไฉนเอ็งจึ่งเว้า             ว่ากู
               ราวกับกูมาแต่เยิง           ไม่รู้
               เป็นศิษย์จะมาสู้              ครูเฒ่า
               ชอบแต่จะเตะให้ม้วย        หล่นกลิ้งกลางถนนฯ)

และบางสำนวน ก็ว่า..

               ๏ เฉน็งไอจึ่งเว้า               วู่กา
                รูกับกาวเมิงแต่ยา            มู่ไร้
                ปิดเซ็นจะมู่ซา                เคราทู่
                เดะพ่อเตี๋ยวหิ้นใด้            มอดม้วยมังรณอฯ

                (๏ไฉนเอ็งจึ่งเว้า              ว่ากู
                  ราวกับกูมาแต่เยิง           ไม่รู้
                  เป็นศิษย์จะมาสู้              ครูเฒ่า
                  เดี๋ยวพ่อเตะให้ดิ้น            มอดม้วยมรณังฯ)

ข้อสังเกตคือ นอกจาก “สุนทรภู่” จะตอบเป็น “โคลงสี่สุภาพ” แล้ว
โคลงที่ตอบ ยังเลือกใช้เป็น “โคลงคำผวน”
แถมยังเป็น "โคลงคำผวน" ที่เป็น “โคลงสี่สุภาพ” แบบต้องตามแบบแผนเสียด้วย ขอรับ

ขอขอบคุณ จากคุณ : นายทิวา - [ มิ.ย. 50 18:55:53 ]

ไม่อนุญาตให้แสดงความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท