เหตุและผลที่มีวันนี้ การมาช่วยถ่ายทอดความรู้ที่พอจะมีอยู่บ้าง


คนมาเรียนหนังสือ กับ คนมาสอนหนังสือ มาพบกันถือว่าเป็นวาสนา ยิ่งถ้าได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ก็ได้ประโยชน์ทุกฝ่าย
     การตัดสินใจมาช่วยสอนครั้งนี้ มีเหตุผลหลักๆ ก็คือ เป็นคนชอบสอน เวลาสอนรู้สึกมีความสุขไม่เหนื่อยเลย ยิ่งถ้าเจอกลุ่มผู้เรียนที่เรียนด้วยความสนุก ก็ยิ่งสุขใจมากเท่านั้น ( แต่พอสอนเสร็จหมดแรงเดิน ) ประกอบกับเมื่อหลายเดือนก่อน มีโอกาสพบพี่อาวุโสที่เคารพท่านหนึ่งเคยทำงานอยู่ในแวดวงเดียวกัน นัดทานข้าวเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้กัน พี่เขาพูดให้เราได้คิดว่า เรานั้นมีความรู้อยู่กับตัวเยอะ เรียนมาก็มากทั้งแบบเป็นทางการ และไม่เป็นทางการ น่าจะนำออกมาถ่ายทอดให้เป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้าง จากคำพูดครั้งนั้นทำให้ได้คิด จึงไม่ปฏิเสธเลยเมื่อมีคนชวนให้มาช่วยสอน เพราะมั่นใจว่าจะทำให้เราได้ทบทวนความรู้ ประสบการณ์ที่ผ่านมา อีกทั้งได้แลกเปลี่ยนกับผู้เรียน แล้วยังได้รู้จักคนมากขึ้น
     เท่าที่ผ่านมาส่วนใหญ่คลุกคลีอยู่กับการพัฒนาคนมาตั้งแต่เริ่มจบปริญญาโท เป็นอาจารย์อยู่พักหนึ่ง แต่ความคิดเป็นกบฎต่อเจ้าสำนัก ประกอบกับสบโอกาสมีช่องทางที่อยากลอง ก็เลยกระโดดออกจากรั้วอันอบอุ่น มาเผชิญชีวิตอย่างระหกระเหินอยู่ประมาณสองปี ตอนนั้นหัวซ้ายสุดๆ เพราะคลุกคลีอยู่แต่กับแบบทดสอบ วัดโน่น วัดนี่ และการเขียนโปรแกรมด้วยภาษาเบสิค กับ สถิติที่ใช้ในงานวิจัย  สมกับที่ร่ำเรียนมาทางนี้
     เมื่อลมเพ ลมพัดให้ได้มาอยู่ในองค์กรที่ทำงานในปัจจุบัน ที่นี่มีสิ่งให้เรียนรู้ในการทำงานมากมาย ทำให้ได้พบสิ่งแปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา ชีวิตการทำงานจึงไม่น่าเบื่อ
    ความตั้งใจก่อนเริ่มงานที่องค์กรนี้ บอกกับตัวเองว่าต้องทำให้คนยอมรับ และเราต้องเป็นวิทยากรภายในบริษัทให้ได้ ไม่น่าเชื่อว่าเข้างานมาไม่ถึงเดือน เขาก็ขอให้ไปช่วยสอนเรื่องการประเมินผลการฝึกอบรม ทั้งที่ตอนนั้นมีแต่ทฤษฎีที่ศึกษาเอง ไม่เคยทำจริง ต่อจากนั้นก็ได้ลองทำงาน หลายๆด้าน หัวหน้าตอนนั้นมีวิสัยทัศน์มาก เพราะอ่าน journal  ต่างประเทศรวมทั้งไปดูงานบริษัทชั้นนำ ทำให้ริเริ่มการทำบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนในสมัยนั้น (สิบกว่าปีแล้ว) หาคนรับจ้างทำยังยากเลย ตกหนักที่เรา เพราะถูกเลือกให้มาช่วยดูแลงานใหม่นี้ และต้องทำมาอีกหลายปี ทำให้มีโอกาสใช้สมองซีกขวามาก ได้เขียน script บทเรียนเอง คิดบทละครวิทยุเพื่อใช้เป็นบทเรียนไปรษณีย์ ได้เป็น tutor สอนคอมพิวเตอร์จากวิดีโอ อานิสงฆ์เหล่านี้ทำให้กลายเป็นคนที่เก่งคอมพ์กว่าเพื่อนที่อยู่ในระดับเดียวกัน
     โชคดีหรือโชคร้าย ที่เจ้านายเห็นอะไรในตัวเรา ไม่ว่าจะมีโครงการอะไรใหม่ๆ เข้ามาจะถูกจับให้ไปเรียนหรือไปทำเสมอ ทำให้ได้รู้จักกับ Training Road Map, Self-Directed Learning, Distance Learning, Blended Learning, Learning Transformation, Participative Learning, Action Learning รวมทั้งได้ย้ายมาอยู่อีกธุรกิจหนึ่ง และมีโอกาสรู้จักกับ competency & e-HR
     มาถึงปัจจุบันนี้มีโอกาสย้ายมาอยู่หน่วยงานใหม่อีก ที่เพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่ทั้งในระดับบริษัท และในเครือฯ จึงได้รับการอบรมและพัฒนาตัวเองแบบ Constructivism
     งานที่ทำส่วนใหญ่จึงเป็นเหมือน Specialist ได้รับฉายาให้เป็นเจ้าแม่ ใครมีทุกข์ร้อนก็มาหา แต่เราไม่มีน้ำมนต์จะรดให้หรอกนะ มีแต่คำแนะนำ สุดแท้จะเชื่อหรือไม่ขึ้นกับวิจารณญาณของแต่ละท่าน
     บันทึกฉบับต่อไป คงจะได้คุยกันเกี่ยวกับเรื่องที่เรียนในห้องเสียทีนะคะ
จาก host
คำสำคัญ (Tags): #ประวัติส่วนตัว
หมายเลขบันทึก: 104126เขียนเมื่อ 17 มิถุนายน 2007 22:25 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 19:04 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (10)

สวัสดีค่ะอาจารย์ส้ม ขอบคุณในหลายๆเรื่องค่ะ ตั้งแต่แนะนำให้เข้ามาในgotoknow เลยสมัครเป็นสมาชิกไปแล้ว ได้รับทราบความตั้งใจจริงในการถ่ายทอดวิชาความรู้ก็ซาบซึ้งค่ะ ท้ายที่สุดขอบคุณที่มาเป็นอาจารย์พิเศษให้เราชาว IO#3 CU สู้ๆจะค่ะ รักษาสุขภาพด้วยค่ะ

บุปผชาติ

สวัสดีค่ะ คุณบุปผชาติ

สมกับเป็นผู้นำจริงๆ ค่ะ นำทางเป็นคนแรกทุกเรื่อง ดีใจด้วยนะคะที่สมัครเป็นสมาชิก G2K (Go to know) แล้ว ยิ่งถ้าได้เขียนบันทึก หรือไปอ่านบันทึกเพื่อแสดงความเห็น เราก็จะยิ่งรู้จักคนมากขึ้น และได้เรียนรู้มากขึ้นค่ะ

ขอขอบคุณที่มาทำให้ blog นี้มีชีวิตชีวาขึ้นนะคะ

สวัสดีค่ะ  วิธีเรียนแบบนี้ก้อดี  แต่ย้ากส์ยากจังค่ะคงต้องปรับตัวกันมากหน่อย  ยังไงก้อจะพยายามสู้ๆนะคะ  ขอความเห็นใจให้คนโง่ๆคนนี้ด้วย

สวัสดีค่ะ   อาจารย์ส้มคงได้รับเมลหัวข้อเรื่องแล้วนะคะ   อาจมีข้อมูลที่ตกหล่นไปบ้าง  และบางคนก็ยังซ้ำอยู่  คาดว่าคงจะได้ตกลงเปลี่ยนแปลงกันในคาบเรียนต่อไปนะคะ    ขออภัยที่ทำได้แค่นี้ค่ะ

ขอตอบความเห็นของคุณในช่องที่ 3 ค่ะ

ถ้าหากยาก แล้วเราจะทำให้ง่ายได้ไหมคะ ค่อยคุยกัน อยากให้ ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นมากๆ จะได้ชี้แจงได้ หรือว่าผู้สอนทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยากก็ไม่รู้เหมือนกัน

โปรดอย่าคิดว่าตัวเองโง่ เพราะเราเรียนมาถึงขนาดนี้ ได้อยู่ในสถาบันที่ดี ถือว่าเรามีต้นทุนที่ดีส่วนหนึ่งแล้ว ผลกำไรจะเกิดขึ้นได้ต้องมาจากความคิดเชิงบวก "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมีดีเสมอ"ค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆ คนค่ะ

ที่ว่ากันว่าไม่มีอะไรที่คนเราทำไม่ได้ถ้าตั้งใจทำจริงๆ   มันอาจจะจริงบางส่วนแต่คงไม่ 100%   จะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เราเลือกมันเหมาะกับตัวเองจริงๆ   ถ้ายื้อทำไปนอกจากจะทำการบ้านหนักกว่าคนอื่น  เสียเวลา  ไม่สำเร็จก็ยังจะต้องเสียใจ  สิ่งที่ได้มาก้อมีแต่ประสบการณ์ที่คุ้มค่า(รึเปล่า)

ขอตอบคุณ ไม่แสดงตน นะคะ

ถามว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เราเลือกมันเหมาะกับตัวเราจริงๆ  คงต้องใช้เวลาพิสูจน์ค่ะ บางเรื่องอาจจะใช้เวลาทั้งชีวิต เช่นการเลือกคู่ครอง

อย่าซีเรียสมากเกินไปเลยค่ะ ขอให้เราทำเต็มความสามารถของเราแล้ว ณ ปัจจุบันก็พอ ไม่คุ้มในวันนี้ ก็อาจจะส่งผลดีในวันข้างหน้าก็ได้ ไม่มีใครรู้หรอกค่ะ

และสำหรับงานที่ให้ผู้เรียนทำในครั้งนี้ ไม่ได้เล็งผลเลิศในผลงาน แต่ต้องการเปิดโอกาสให้เรียนรู้ร่วมกัน และทดลองวิธีการเรียนที่ในองค์กรส่วนใหญ่เริ่มนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายแล้วค่ะ

ทำใจให้สนุก แล้วทุกอย่างจะดีเองค่ะ

ขอตอบคุณไม่แสดงตนบ้างนะครับ

จะทำอย่างไรจึงจะรู้ว่าสิ่งที่เราเลือกมันเหมาะกับตัวเองจริงๆ หรือเปล่า? คงตอบว่า ในการทำงานทุกอย่างนั้น เราต้องทำให้สุดความสามารถของเราก่อน แล้วเราจึงจะรู้ว่าสิ่งที่ทำนั้น มันใช่ หรือ ไม่ใช่...ถ้าเราใช้ความสามารถไม่เต็มที่ หรือทำไปบางส่วน แล้วจะสรุปว่าสิ่งนั้นใช่หรือไม่ ก็คงจะสรุปได้ไม่เต็มที่นัก เพราะเหมือนตาบอดคลำช้างอยู่....แต่มีอุทาหรณ์อันหนึ่งที่ขอแบ่งปัน..ในชีวิตการทำงานหลายสิบปีที่ผ่านมา พบว่า คนที่ได้ทำงานในสิ่งที่ตนรัก....จะสนุก และทุ่มเท พัฒนางาน มากกว่าผู้อื่น...คนพวกนี้...มักจะประสบความสำเร็จสูง....

ขอเสริม คุณ cwl ค่ะ

ในเรื่องของคนที่มีโอกาสดี ได้ทำงานที่ตนเองรักคงมีอยู่ ถ้าเขาแสวงหาทางเลือกไปจนได้

แต่สำหรับคนอีกไม่น้อย ที่ไม่มีโอกาสที่จะเลือกสิ่งที่ตนเองชอบ หรือ รักที่จะทำ เช่น พนักงานที่ทำงานบริษัท วิธีที่จะทำงานแล้วมีความสุข ก็คือต้องทำใจให้รักสิ่งที่ทำให้ได้ หาข้อดีให้เจอ แล้วอยู่กับมันให้ได้ เหมือนกับบทเรียนที่ได้จากในหนังสือ Fish story ชีวิตของคนในตลาดปลา ทำงานให้มีความสุขได้อย่างไร

คนเราไม่สามารถเลือกสิ่งที่อยากเลือกได้เสมอไปหรอก   ลองคิดกลับไปกลับมาไม่ว่าจะมองมุมไหนมันก็ถูกไปหมด  ไม่ว่าจาทางบวกหรือทางลบ  แต่เค้าว่าให้คิดบวกแล้วชีวิตละดีเอง  แต่นั่นแหละเป็นสิ่งที่ยากที่สุด  น่าอนาจใจจริง
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท