วันที่ 15 มิถุนายน 2550 จากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ออนไลน์ http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=130635&NewsType=1&Template=1
"ประเวศ"ชี้ถ้าคนไทยรักการอ่านจะแก้ทุกปัญหาได้ง่าย
ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส กล่าวในการประชุมระดมความคิดเห็นเรื่อง “ยุทธศาสตร์การเสริมสร้างปัญญาด้วยการอ่าน” ที่เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. ว่า ขณะนี้ปัญหาทางสังคมและการเมืองซับซ้อนมาก เราต้องนำการอ่านหนังสือมาช่วยแก้ปัญหา ซึ่งฟังดูอาจไม่เกี่ยวกัน แต่หากประชาชนมีนิสัยรักการอ่านโดยรู้จักอ่านเอาเรื่อง และเข้าใจปัญหาที่ซับซ้อนก็จะคลี่คลายได้ ดังนั้นเราต้องเร่งสร้างนิสัยรักการอ่านอย่างเร่งด่วน เริ่มจากภาครัฐจะต้องหาหนังสือดีๆ เข้าห้องสมุดชุมชนให้ได้อย่างน้อย 7-8 หมื่นเล่ม โดยหางบฯจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่วนฝ่ายการเมืองจะต้องชูนโยบายมาตรการการเงินการคลังเพื่อสังคม อย่าหลงชูแต่นโยบายทางเศรษฐกิจ เพราะปัญหาเศรษฐกิจจะคลี่คลายได้เมื่อสังคมดี
ศ.นพ.ประเวศ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ต้องดูแลการบริหารจัดการหนังสือ โดยเฉพาะหนังสือในห้องสมุดต้องป้องกันการทุจริตคอรัปชั่น ให้ครอบครัวมาช่วยสร้างนิสัยรักการอ่านตั้งแต่วัยแรกเกิด ต้องทำให้เด็กอ่านหนังสือแล้วรู้สึกสนุก ไม่ใช่การบังคับอ่าน เน้นอ่านวิเคราะห์ อ่านเอาเรื่อง รวมทั้งจัดประกวดการอ่าน และควรสร้างสัญลักษณ์การอ่าน โดยให้ศิลปินมาเป็นต้นแบบการอ่านหนังสือ ซึ่งการสร้างนิสัยรักการอ่านต้องร่วมมือกันเป็นภาคี
" ขณะนี้หนังสือดีๆ ตีพิมพ์แค่ 2-3 พันเล่ม ยังขายไม่ค่อยได้ ทั้งที่ประชากรไทยมีกว่า 63 ล้านคน แต่ถ้าเป็นหนังสือโป๊จะขายดิบขายดี ซึ่งถ้าแนวทางการบริโภคยังเป็นเช่นนี้ การผลิตหนังสือจะเข้าสู่วงจรอุบาทว์ คนผลิตไม่อยากผลิตหนังสือดี และท้องตลาดก็จะมีแต่หนังสือโป๊เปลือย " ศ.นพ.ประเวศ กล่าว
“คนอ่านมากย่อมรู้มาก”
ศธ.เน้นรณรงค์คนไทยอ่านหนังสือเพิ่มสูงขึ้น
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี กล่าวในการเป็นประธานเปิดงานมหกรรมนักอ่าน เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ที่เมืองทองธานี ว่า การสร้างนิสัยรักการอ่านนั้น ประเทศไทยมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นแบบอย่างที่ดี เพราะทรงมีพระจริยาวัตรและพระอุปนิสัยเป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชนชาวไทยในการเป็นพหูสูต โดยทรงเป็นนักอ่าน นักฟัง นักคิดและนักเขียนที่ยากจะหาผู้ใดเสมอเหมือนและพระองค์ทรงใช้ประโยชน์จากการที่ทรงอ่านมาก ฟังมาก มาประกอบพระราชวินิจฉัยพัฒนางานตามพระราชภารกิจ ดังนั้นการส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนไทยมีนิสัยรักการอ่านจึงเป็นปัจจัยและมูลเหตุสำคัญที่จะทำให้เกิดความรู้ การรับรู้ข่าวสารต่าง ๆ ที่ทันต่อเหตุการณ์ ขณะเดียว กันจะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันตนเองด้วย หากได้รับการปลูกฝัง และพัฒนาทักษะการอ่านให้ถึงขั้นแก่นแท้ มีการอ่านอย่างมีวิจารณญาณ รู้เท่าทันจุดมุ่งหมายของสารสนเทศที่หลั่งไหลเข้ามา
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า คำกล่าวที่ว่า “คนอ่านมากย่อมรู้มาก” ยังเป็นความจริงที่ใช้ได้ตลอดมา เพราะคนอ่านมากย่อมมีข้อมูลมากในการตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูล อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่ายินดีคือ ผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติปี 2546-2548 ที่พบว่าพฤติกรรมการอ่านหนังสือของคนไทยเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.9 โดยกลุ่มวัยเด็กอ่านหนังสือมากที่สุด ร้อยละ 87.7 รองลงมาเป็นกลุ่มวัยรุ่น ร้อยละ 83.1 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงผลสำเร็จที่ทุกส่วนของสังคมได้ร่วมแรงร่วมใจกันจัดกิจกรรมเกี่ยวเนื่องกับการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านได้เป็นอย่างดี
ด้าน ดร.จรวยพร ธรณินทร์ ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กล่าวว่า ในปี 2550 นี้ กระทรวงศึกษาธิการจะพยายามรณรงค์ให้คนไทยอ่านหนังสือให้มากขึ้น โดยตั้งเป้าว่าจะต้องทำให้คนไทยอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 40-50 โดยจะให้สำนักบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดห้องสมุดอำเภอ เพื่อขยายผลให้ระดับชุมชนสนใจอ่านหนังสือเพิ่มมากขึ้น.
http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Newsid=130533&NewsType=1&Template=1