วันที่สอง ... ถักทอสายใยเครือข่าย...
วันที่สองในการประชุมเครือข่ายการท่องเที่ยวโดยชุมชนเริ่มต้นตั้งแต่ 8.30 น. กิจกรรมแรก คือ การเขียนความคาดหวังและกลยุทธ์ที่จะทำให้ความคาดหวังที่เขียน ๆ กันไปนั้นประสบความสำเร็จ ระหว่างนั้นตัวแทนเครือข่ายภาคใต้อีกกลุ่มหนึ่งก็มาร่วมวงได้ทันเวลา คือ พี่พงศา พี่เอ และพี่กอล์ฟซึ่งเดินทางจากชุมพร สำหรับตัวแทนเครือข่ายภาคใต้นั้นมากันครบองค์แล้วล่ะ ... ท่าทางความมันส์จะหยุดและยั้งไม่อยู่เสียแล้ว
หลังจากทำกิจกรรมความคาดหวังเสร็จแล้ว หัวหน้าแก็งค์ของเราก็ให้อิสระแต่ละภาคอย่างเต็มที่ในการไปตรวจเช็คฐานข้อมูล พูดคุยแผนงาน และการสร้างเครือข่ายกันตามสะดวก กลุ่มเครือข่ายภาคใต้เลือกทำเลในวัดบริเวณลานหน้าอาคารขายสินค้า ตอนที่เราเดินไปสมทบนั้นพี่ ๆ เขาตั้งวงเตรียมเปิดฉากหารือกันแล้ว เด็กใต้ที่พูดใต้ไม่ได้อย่างเราไม่หนักใจหรอกเพราะว่าฟังได้ฟังทันฟังเข้าใจ เพียงแต่แหลงใต้ไม่ได้เท่านั้นเอง แต่กว่าจะลงตัวเรื่องโต๊ะที่ประชุมก็ขยับเขยื้อนเคลื่อนย้ายกันเพราะโดนแดดไล่ พอทุกอย่างลงตัวแล้วพวกเราก็ลุยกันเต็มที่ เริ่มต้นจากการตรวจเช็คฐานข้อมูลของแต่ละจังหวัดและการจัดระดับชุมชนการท่องเที่ยว ขั้นตอนนี้มีปัญหานิดหน่อยเรื่องการสะกดชื่อหมู่บ้าน ชื่อตำบล และชื่ออำเภอที่ไม่ค่อยคุ้นเคยสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะของจังหวัดระนองเพราะว่าข้อมูลของชุมพรและระนองนั้น เราได้รับข้อมูลไม่ทันก่อนที่จะออกเดินทางไปบางเจ้าฉ่า เลยไม่ได้ save และ print รายชื่อต่าง ๆ ออกมา คืนแรกที่ไปถึงเติร์กโทรมาบอกว่าพี่พงศาส่งข้อมูลมาให้แล้ว เราจดตามที่เติร์กบอกแต่พอเช้าขึ้นมาก็ดันอ่านลายมือตัวเองไม่ออกก็เลยเกิดปัญหาเรื่องการสะกดผิดๆ ถูก ๆ ด้วยประการฉะนี้แหละ ( แหะ ๆ ..อายจัง )
หลังจากที่ได้รายละเอียดของฐานข้อมูลต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว เรากับแววก็เริ่มประเด็นอื่น ๆ ต่อเพื่อไม่ให้เสียเวลา ความจริงแล้วกลุ่มเราใช้เวลาได้คุ้มค่ามาก ๆ เพราะพี่ ๆ เขาพูดกันน้ำไหลไฟดับจนเลขาประจำกลุ่มอย่างเจ้าแมนนั้นจดประเด็นแทบไม่ทันเลยล่ะ แถมยังฟังภาษาใต้ไม่ค่อยเข้าใจอีกต่างหาก แต่ก็พยายามจับประเด็นสำคัญ ๆ ต่างได้ อีกอย่างที่ประทับใจก็คือ เวลาพูดคุยเป็นการเป็นงานเพื่อให้ได้ประเด็นหรือสาระสำคัญ ๆ นั้นพี่ ๆ เขาก็จะใช้ภาษากลางเพื่อให้คนอื่น ๆ ที่พูดใต้ไม่ได้หรืออาจจะฟังไม่ค่อยเข้าใจอย่างแววสาวเหนือและแมนหนุ่มน้อยชาวกรุงได้เข้าใจ แต่ประเด็นเริ่มร้อนก็พูดกันเมามัน และแล้วทุกคนก็เป็นตัวของตัวเองกันเต็มที่ แหลงใต้กันถึงอกถึงใจ สนุกดี
นอกจากนั้น สิ่งที่ได้เพิ่มมาจากการประชุมภาคในครั้งนี้คือ ตัวย่อของคำว่า การท่องเที่ยวโดยชุมชน ตอนที่พวกเราคุยกันในประเด็นเกี่ยวกับ CBT นั้น พี่พงศาก็พูดขึ้นมาว่าควรจะใช้ตัวย่อภาษาไทยเป็น “กทช.” ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องย่อเป็นภาษาอังกฤษด้วยทั้ง ๆ ที่ภาษาไทยก็ย่อได้เหมือนกัน นี่คือที่มาของ กทช. ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนใหม่เป็น “กทท.ดชช.” ( รู้สึกว่าจะเป็นตัวย่อที่ยาวเท่ากับคำเต็มเลยนะคะพี่ )
หลังจากระดมพลังสมองเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนว่ามื้อเที่ยงวันนั้นคณะทำงานเครือข่ายภาคใต้เป็นกลุ่มสุดท้ายที่ไปกินข้าว เพราะมัวแต่เขียน my map ลงในกระดาษแผ่นใหญ่ แล้วก็ต้องวาดและแต่งเติม “Banana Model” ให้ออกมาสวยสดสะดุดตาอีกต่างหาก model ชิ้นนี้เป็นฝีมือของหนูแจนกับพี่เอที่ช่วยกันวาด ช่วยกันเติ่มโน้นเติ่มนี่จนทุกอย่างลงตัวออกมาเป็นที่ถูกใจพวกเรา
ช่วงบ่ายอากาศร้อนมากพวกเราก็เลยย้ายมานั่งประชุมกันที่ศาลาในวัด มาทำวิจัยครั้งนี้เพิ่งจะรู้ซึ้งว่า “วัด” เป็นสถานที่ร่มเย็น คลายร้อนได้จริง ๆ ก็วันนี้แหละ สงสัยว่าถ้าไม่มีวัดยางทองพวกเราคงร้อนรุ่มกลุ้มอุรากันมากกว่านี้
กิจกรรมภาคบ่ายเป็นการนำเสนอฐานข้อมูลและรายงานผลการประชุมของแต่ละเครือข่ายซึ่งได้ระดมสมองกันไปเมื่อเช้านี้ การนำเสนอเริ่มต้นจากกลุ่มเครือข่ายภาคกลาง เพราะว่าเป็นภาคที่ตัวแทนเครือข่ายอย่างพี่กบและหัวหน้าทีมอย่างพี่แจ้าติดภารกิจเรื่องเรียน กลุ่มภาคกลางก็เลยระดมความคิดและวางแผนงานต่าง ๆ ไว้เสร็จเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อคืน วันนี้พี่จุ๋มก็เลยฉายเดี่ยวแบบม้วนเดียวจบ ส่วนภาคอีสานนั้นหัวหน้าทีมหุ่นทรมานใจสาวอย่าง อ.ไผ่ ก็นำเสนอได้น่าสนใจและมีลีลาเฉพาะตัวที่หาตัวจับยาก บางครั้งก็ดูน่าสงสาร แต่มาคิดอีกทีออกแนวน่าหมั่นไส้มากกว่า จากนั้นก็ตามติดด้วยการนำเสนองานของภาคเหนือซึ่งก็เป็นที่สนใจของหนุ่ม ๆ จากทั่วทุกภาค เพราะว่าน้องขวัญสาวสวยประจำทีมวิจัยนั้นออกมานำเสนอประเด็นผลการประชุม ทำเอาทั้งหนุ่มน้อยและหนุ่มเหลือน้อยหลายคนตาสว่าง งานนี้กล้วยไม้ป่าสีสันสวยงามได้วาดลวดลายสู่สายตาพวกเราแล้ว ( เย้ ๆๆๆ ) และภาคสุดท้ายที่นำเสนอผลการประชุม คือ ภาคใต้ รู้สึกว่าจะเป็นภาคที่เรียกเสียงฮาและมีมุขมาให้ได้หัวเราะกันเกือบทุก รอบ งานนี้ หัวหน้าทีมอย่างเราก็เลยโชคดีที่ได้เหล่าบรรดาอรหันต์ทั้งหลายนั้นมีเทคนิควิธีการพูด การนำเสนอประเด็นต่าง ๆ ชัดเจน ตรงประเด็น และดึงดูดความสนใจของทุกคนได้ดี โดยเฉพาะ "พี่หนุ่ยคีรีวง” ที่อธิบายเรื่อง Banana Model ต้องบอกเลยว่าเป็นการเปรียบเทียบที่เข้าใจง่ายและติดลมบนไปเรียบร้อยแล้วล่ะ และ ถึงแม้ว่าพี่เอแกจะวาดปลีกล้วยหัวทิ่มหัวตำไปบ้าง แต่ model ของกลุ่มเราก็ยังสื่อความหมายได้ดี สุดยอดจริง ( ไม่ได้เขียนเชียร์กันเองนะ แต่ข้อมูลมันฟ้องต่างหาก )
ในช่วงเย็นก่อนที่จะกินข้าว พวกเราก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนตามอำเภอใจ หัวหน้าแก็งค์เปิดโอกาสให้ไปเที่ยวชมวิถีชีวิตของชาวบางเจ้าฉ่า เพราะเดี๋ยวจะมาไม่ถึงบางเจ้าฉ่า บางคนก็นั่งรถอีแต๋นกิตติมศักดิ์เที่ยวรอบหมู่บ้าน บางคนก็รวมกลุ่มจิบเบียร์ชมบรรยากาศสุดแสนโรแมนติกริมแม่น้ำ บางคนมีภารกิจเลยต้องเดินทางกลับก่อน บางคนก็กลับไป stay at home ส่วนเรากับขวัญกลับไปล้างหน้าล้างตาให้คลายร้อนก่อนที่จะไปซิ่งจักรยานรอบหมู่บ้าน งานนี้น่าสงสารน้องขวัญที่ต้องพ่วงเราซ้อนท้ายไปตลอดทาง ดีนะที่ยางรถยังรับน้ำหนักไหว ถึงแม้ว่าจะมีหลายคนตะโกนบอกว่า “ยางแบน ๆ ๆ ” แต่เราก็มั่นใจในน้ำหนักตัวของตัวเองและมั่นใจในฝีเท้าและการปั่นจักรยานของน้องขวัญว่า สามารถจะประคับประคองรถจักรยานไปได้ตลอดลอดฝั่งเจ้าค่ะ ...
มื้อเย็นวันนี้พิเศษสุด ไม่ว่าจะเป็นสถานที่จัดเลี้ยงบริเวณลานสนามหญ้า เมฆฝนที่ตั้งเค้ารอพวกเราอยู่บนท้องฟ้า การแสดงของน้อง ๆ หนู แม้ว่าการแสดงชุดแรกจะติด ๆ ขัด ๆ ไปบ้างเลยต้องยืนกันนานก็ไม่ได้ทำให้ความประทับใจลดน้อยลงเลยค่ะ ส่วนที่พิเศษและประทับใจที่สุดก็คือ การร้องเพลงรับขวัญ และ เพลง ก ไก่ – ฮ นกหูกหน้าผี ของคุณยายทั้ง 2 คน ( แฮะ ๆๆ ....พี่หนุ่ยจำบ่ได้แล้วว่าคุณยายชื่ออะไร คิดว่าน้องขวัญคงช่วยได้เพราะเห็นคุยกับคุณยายอยู่นาน ) หลังจากบันเทิงเริงใจกันพอสมควรแก่เวลาแล้วก็ถึงเวลาทำงานกันต่อ
การประชุมในค่ำคืนนี้ เป็นการสรุปประเด็นความคาดหวังและกลยุทธ์ที่พวกเราได้เขียนกันไว้ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงว่า ความคาดหวังที่คิดและเขียน ๆ กันนั้น คณะทำงานส่วนกลางนำมาสรุปเป็นกลยุทธ์สำคัญได้ทั้งหมด 10 ข้อ ทั้งนี้เพื่อให้ทุกคนที่มาจากกลุ่มองค์กร และหน่วยงานต่าง ๆ นั้นได้มีส่วนร่วมกันอย่างเต็มที่และเท่าเทียมกัน งานนี้พี่ปอก็เลยขอยืม “ทฤษฎีถ่วงน้ำหนัก” ของ อ.ไผ่มาใช้ซะเลย ( งานนี้ต้องให้เครดิตกันหน่อยขอรับกระผม )พวกเราทั้งหมดจากคนละกลุ่มคนละหน่วยงานก็ย่อมจะมีความคาดหวังที่แตกต่างกัน ดังนั้น เพื่อให้ความแตกต่างสามารถรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้นั้น “ทฤษฎีถ่วงน้ำหนัก” จึงได้เข้ามามีบทบาทด้วยประการฉะนี้ แต่ละคนที่มาจากกลุ่มก้อนเดียวกันก็จะได้สติกเกอร์สีเดียวกัน สีม่วงเป็นของเหล่าบรรดาอาจารย์และ สถาบันการศึกษา นอกนั้นก็มีสีชมพู สีฟ้า หรือสีอะไรอีกไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเป็นตัวแทนของกลุ่มไหนเพราะมีทั้งหน่วยงานภาครัฐภาคเอกชน องค์กรอิสระ และตัวแทนชุมชน แต่ไม่ว่าจะอยู่กลุ่มไหนทุกคนก็จะได้สติกเกอร์คนละ 5 แผ่นเพื่อจะนำไปติดตรงพื้นที่ว่าง ๆ ของกลยุทธ์ 10 ข้อเพื่อที่จะทดสอบความเป็นไปได้ของทฤษฎีถ่วงน้ำหนัก เพื่อหาความสมดุล และการจัดลำดับความสำคัญของกลยุทธ์ที่คิดว่าจำเป็นต้องทำเร่งด่วน
อีกทั้งยังจะสะท้อนให้เห็นมุมมองของคนแต่ละกลุ่มได้อย่างชัดเจนว่า ใครให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ใด หรือ กลยุทธ์ใดที่ทุกกลุ่มเห็นพ้องต้องกันว่าเป็นเรื่องสำคัญหรือกลยุทธ์ใดยังไม่เป็นประเด็นเร่งด่วนนัก กิจกรรมนี้ทุกคนสนุกกันยกใหญ่ แถมมีโกงกันเล็กน้อยดีนะที่ไม่ต้องพึ่ง กกต. ไม่งั้นเรื่องยาว sure ความหลากหลายคนจากกลุ่มต่าง ๆ บวกกับสติกเกอร์สีสันสดสวยสะท้อนแสงที่แต่ละคนประโคมแปะเข้าไปอย่างคึกครื้นนั้นไม่ได้มีการแบ่งพื้นที่ไว้สำหรับแปะ และ ไม่มีที่รวบคะแนนอย่างชัดเจนนั้นก็เลยทำให้กระดาษแผ่นนั้นดูเลอะเทอะออกแนว “กลิ่นสีและกาวแป้ง” ซึ่งก็พอจะเข้าใจได้ว่า... นี่คือ ความงามของศิลปะอย่างหนึ่ง
หลังจากภารกิจการวิจัยเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทีมวิจัยแต่ละภาคและผู้ประสานงานส่วนกลางก็ได้ประชุมหารือกันเฉพาะกิจ และมอบหมายงานที่ต้องกลับมาทำ...ไม่ว่าจะเป็นสรุปเครือข่ายแต่ละภาค การเขียนบันทึกเรื่องราวและมุมมองต่าง ๆ ที่จำต้องสังเกตและเขียนออกมาให้ได้ การเขียนเนื้อหาบทที่ 3 ของแต่ละภาค และการเขียนบทความที่มีชื่อว่า “บทเรียนระหว่างทางการพัฒนาเครือข่ายในฐานะผู้วิจัย” คืนนั้นพอได้ฟังภาระงานทั้งหมดก็เล่นเอา วิงเวียนเล็กน้อย โชคดีที่หัวหน้าแก็งค์แจกค่าโทรศัพท์ติดกระเป๋ากันมาถ้วนหน้า ...ก็เลยคึกคักกันนิดหน่อย... 555 พอเข้าเขตบ้านเหล่าบรรดาน้องหมาก็สามัคคีกันเห่าต้อนรับกันซะดังลั่น งานนี้ชาวบ้านเค้ารู้หมดเลยว่า "กลับดึก"
ไม่ไหวแล้วง่วงนอนมาก ๆ เอาไว้ spider( wo) man อย่างเราจะกลับมา ถักทอสายใยเครือข่ายกันต่อในคราวหน้า
บ๊าย ... บาย
ไม่มีความเห็น