กำแพงคนโง่ vs สุนทรียสนทนา


          สวัสดีค่า สัปดาห์ที่ผ่านมาผู้เขียนบันทึกต้องพยายามอย่างมากในการจะผ่านความเครียดบางอย่างมาให้ได้ เมื่อมองย้อนกลับไปเวลาที่เราพยายามจะทำอะไรบางอย่างมากๆ จนบางครั้งการพยายามที่เราคิดว่ามันดีกลับเป็นเหมือนดาบสองคม จากความตั้งใจอย่างมากกลายเป็นแรงกดดันมหาศาล ที่ทำให้การเรียนรู้และการพยายามเข้าใจในเรื่องบางเรื่องลดลงหรือในบางครั้งมันไม่เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ

         ทำให้นึกย้อนกลับไปไกลกว่านั้นอีกหน่อย (ไม่รู้ว่าผู้อ่านบันทึกนี้จะเคยเจอเหตุการณ์ทำนองนี้เหมือนกับผู้เขียนหรือไม่.....) ผู้เขียนบันทึกได้อ่าน (พยายามอย่างมาก...) ในการอ่านหนังสือเล่มนี้

 

 กำแพงคนโง่

ทาเคชิ โย่โร่ : เขียน / โชว์เดียร์ : แปล

          ตอนซื้อหนังสือเล่มนี้มาด้วยความสนใจในชื่อเรื่องอย่างมากว่า "เอ!! อะไรว้า กำแพงคนโง่ " บวกกับคำโปรยหน้าปก "หนังสือที่ทุบทุกๆ สถิติวงการหนังสือญี่ปุ่น สุดยอด Bestseller 40,000,000 เล่ม คู่มือแห่งการทลายกำแพง ไม่อยากชนกำแพงอ่านเล่มนี้" บวกกับคำโปรยที่ปกหลัง

"ทำไมลูกหัวดื้อกับพ่อหัวรั้น กลุ่มอิสลามหัวรุนแรงกับอเมริกัน หนุ่มสาวกับคนแก่ จึงสื่อสารกันไม่เข้าใจ? "

"แท้ที่จริงคือตรงกลางระหว่างสองมี "กำแพงของคนโง่" ตั้งตระหง่านอยู่ กำแพงที่ปิดกั้นเราโดยไม่รู้ตัว"

"ปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าล้วนเกี่ยวเนื่องกับความเป็นหนึ่งเดียว ความไร้สติ ร่างกาย บุคลิกลักษณะ หรือความคิดอ่าน แง่มุมต่างๆ จากประดานี้ ล้วนเป็นนัยยะแห่งการทลายกำแพงทั้งสิ้น"

          ด้วยเหตุผลทั้งหมดข้างต้น บวกด้วยความอยากรู้อย่างมากจึงตัดสินใจซื้อมาอ่าน ผลปรากฏว่า.........

          "ไม่รู้เรื่องเลยคะ" อ่านย่อหน้าแรกไม่รู้เรื่องก็ย้อนกลับไปอ่านอีกครั้ง รอบแรกไม่เข้าใจ รอบสอง รอบสาม.......ตามมา วันแรกไม่เข้าใจอ่านซ้ำวันที่สอง วันที่สาม .... ตามมาจน เฮ้ย!!!! พักไปก่อนเอาไว้อีกอาทิตย์หนึ่งกลับมาอ่าน แต่ก็เอ!!! ไม่เข้าใจอยู่ดี ถือหนังสือเล่มนี้เดินไปเดินมาติดกับตัวตลอด (ก็ไม่เข้าใจตัวเองตอนนั้นเหมือนกันคะว่าถ้าหนังสืออยู่ติดกับตัวแล้วมันจะ Osmosis เข้าสู่สมองหรือไงกันนะ....) ด้วยความพยายาม (อย่างที่ตัวเองคิด) อย่างถึงที่สุดแล้วก็ถึงจุดหนึ่งว่า "เอางี้แล้วกัน หนังสือเล่มนี้คงยากเกินไปสำหรับตัวเอง งั้นเก็บไว้ก่อนแหละกัน บ๊ายบาย"

          ที่จริงตอนอ่านก็รู้นะคะว่าที่ผู้แต่งหนังสือเขียนว่าอย่างไร แต่ไม่เข้าใจในสิ่งที่เค้าต้องการสื่อ จับประเด็นในการต่อยอดไม่ได้ (แต่ไม่ได้หมายความว่าหนังสือเล่มนี้จะอ่านยากจนไม่สามารถเข้าใจได้นะคะ สิ่งที่เกิดนี้เกิดเฉพาะกับผู้เขียนบันทึกนี้คะ ด้วยข้อจำกัดบางประการ....)

           พอดีกับที่เคยเขียนในการแสดงความคิดเห็นในบันทึกก่อนหน้านี้ ในบันทึกเรื่อง "สิ่งที่ได้เรียนรู้จากเด็กนิสิต" (โปรดสังเกต!!! บางสิ่งบางอย่างก็เกิดขึ้นจากความบังเอิญและความประจวบเหมาะในบางเรื่อง.....) ที่ว่าได้ไปเข้าร่วม "การอบรมกระบวนกรเรื่องสุนทรียสนทนา" ทำให้ได้หนังสือเล่มหนึ่งมาคะ

    สุนทรียสนทนา

   วิศิษฐ์ วังวิญญู เขียน

          ที่จริงหนังสือเล่มนี้อาจารย์รุ่นพี่ท่านหนึ่งบอกว่า "น้องอ่านซะ หนังสือดีนะ" ตัวเองก็ "คะ คะ" ไม่ได้ใส่ใจมากนักในตอนแรก ด้วยความพยายามของรุ่นพี่ท่านนั้นโดยสู้อุตส่าห์ฝากให้เพื่อนคนหนึ่งของผู้เขียนบันทึกนี้เอามาให้ผู้เขียนอ่านถึงที่ (ต้องขอบคุณอย่างสูงนะคะ คุณพี่....)

          มีอยู่บางช่วงบางตอนที่จะเอามาให้อ่านกันนะคะ

Turning to One Another : Simple Conversations to Restore Hope to the Future

Margaret J. Wheatley 

          หลักบางประการ

"เพื่อที่การสนทนาจะนำพาเราไปสู่พื้นที่ที่ลุ่มลึกกว่า ฉันเชื่อว่าเราจะต้องฝึกฝนพฤติกรรมใหม่ๆ หลายประการ เหล่านี้คือหลักการต่างๆ ที่ฉันได้เรียนรู้ว่าจะต้องเน้นย้ำอยู่เสมอ ก่อนที่จะเริ่มการสนทนาอย่างเป็นทางการ"

"เราจะยอมรับกันและกันอย่างเท่าเทียม"

"พยายามที่จะดำรงความอยากรู้อยากเห็นในกันและกัน"

"เราควรตระหนักว่า เราต้องการความช่วยเหลือจากกันและกัน ที่จะช่วยให้เราเป็นผู้รับฟังที่ดียิ่งขึ้น"

"ลดอัตราความเร็วให้ช้าลง จะได้มีเวลาคิดและมองย้อนดูสิ่งต่างๆ"

"ให้จดจำว่า การสนทนานั้นเป็นวิถีทางอันเป็นธรรมชาติที่มนุษย์จะใช้ในการคิดร่วมกัน"

"เราคาดได้เลยว่า มันจะยุ่งเหยิงในบางครั้ง"

          ประเด็นข้างต้นมีการขยายความในแต่ละหัวข้อด้วยคะ แต่ผู้เขียนจะขอหยิบยกมาเฉพาะส่วนนะคะ ในส่วนของ "พยายามที่จะดำรงความอยากรู้อยากเห็นในกันและกัน"

          ในหนังสือได้หยิบยกข้อความของครูมี่ (หมายเหตุ : กระดานข่าวของเสมสิก ที่ http://www.semsikkha.org) ว่า

"อีกประเด็นที่ขอแลกเปลี่ยนคือ การที่เรารับรู้และเข้าใจว่าเราเป็นผู้ที่ยังไม่เต็ม ยังต้องการความช่วยเหลือจากกันและกัน แล้ว เราจะรับฟังมากขึ้นตรงนี้ยากค่ะ (ยอมรับแท้ๆ) เพราะคนเรามักมีทิฏฐิมานะ ว่าตนเองดีกว่าเหนือกว่าคนอื่นๆ จะยอมรับฟังก็เพราะคนที่กำลังแนะนำเก่งกว่า การเปิดใจยอมรับฟังก็เลยเกิดยาก คนอื่นๆ เห็นด้วยไหมคะ แทนที่จะได้น้อมตัวและใจยอมรับฟังคนอื่น กลับกลายเป็นชาล้นถ้วยเสียได้"

(อ.วิศิษฐ์ เสริมว่า) "ผมว่าเราต้องระวังคำว่า "รู้แล้ว" เรื่องนั้นก็รู้แล้ว เรื่องนี้ก็รู้แล้ว เป็นอันว่ารู้แล้วทุกเรื่องอย่างนั้นหรือ..............."

          เท่านั้นแหละคะ ปัญญาเกิดขึ้นโดยบัดดล อะไรเกิดอย่างงั้นหรอคะ ทุกท่านยังจำหนังสือเล่มแรกที่ผู้เขียนบันทึก เขียนไว้ได้ไหมคะ "กำแพงคนโง่"

         อย่างที่ อ.วิศิษฐ์ บอกว่า เราต้องระวังคำว่า "รู้แล้ว" ให้มาก นี่แหละคะ คือ "กำแพงคนโง่" ประเภทหนึ่ง

          อย่างในหนังสือ (กำแพงคนโง่) เค้าจะยกให้เห็นภาพชัดขึ้น โดยที่ญี่ปุ่นเค้าเคยทำการทดลองประมาณเอา วีดีโอการคลอดเด็ก (ตั้งแต่เตรียมตัวจนถึงตอนคลอด-ถ้าจำไม่ผิดนะคะ) มาให้นักศึกษามหาวิทยาลัยทั้งชายและหญิงดูกัน ผลที่ได้ นักศึกษาหญิงจะบอกว่าเป็นวิดีโอที่ดีมาก ให้ความรู้ความเข้าใจอย่างชัดเจน มีเรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อน แต่ผลกับตรงกันข้ามจากหน้ามือเป็นหลังมือใน นักศึกษาชาย คะ พวกเค้าต่างบอกว่า ก็เหมือนที่เคยเรียนในวิชาสุขศึกษาทั้งหลายนั้นแหละ ไม่เห็นมีอะไรแตกต่างกันเลย

          อะไรทำให้นักศึกษาสองกลุ่มนี้มีความเห็นต่างกันถึงขนาดนี้ ง่ายๆ คะ เพราะ นักศึกษาหญิง คิดว่าสิ่งที่เค้าได้ดูได้เห็นนั้นสักวันพวกเธอจะต้องเป็นคนที่ต้องสัมผัส ต้องเจอกับตัวเอง ทำให้เห็นว่ามันสำคัญกับพวกเธอ จึงสนใจและใส่ใจกับข้อมูลดังกล่าว ในทางตรงข้ามกับ นักศึกษาชาย ที่ไม่เห็นความจำเป็นใดๆ เพราะตัวเองไม่ต้องเป็นคนตั้งท้อง ไม่ต้องเป็นคนคลอด จึงไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องเรียนรู้สิ่งที่เป็นข้อมูลใหม่ๆ โดยให้เหตุผล Classic ว่าก็ "รู้แล้ว"

         เป็นไงคะ ที่จริง "กำแพงคนโง่" พวกเรามีด้วยกันทุกคนคะ อยู่ที่ว่าจะเป็นในแง่มุมไหน

          แต่สิ่งที่ผู้เขียนบันทึกนี้อยากจะสะท้อนให้ผู้อ่านทุกท่านฟังอีกเรื่องหนึ่งคะ คือ การเรียนรู้เรื่องบางเรื่องยิ่งเราพยายามกดดัน และบีบบังคับตัวเองมากเท่าไร มันยิ่งกลับเป็นเหมือนเมฆหมอกที่มาปิดสายตาแห่งการเรียนรู้ได้คะ บางครั้งเราอาจต้องอาศัยเวลาที่เหมาะสม การผ่อนคลาย การทำจิตเราให้สงบ และช้าลงบ้าง การเรียนรู้จึงจะบังเกิดอย่างแท้จริงคะ

         ทุกท่านมีความเห็นอย่างไรบ้างคะ ลองเล่าให้ฟังบ้างนะคะ..............

หมายเลขบันทึก: 102537เขียนเมื่อ 11 มิถุนายน 2007 19:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 18:04 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)
  • ยังไม่ได้อ่านเลยครับ
  • จะรีบไปหามาอ่านนะครับ
  • ขอบคุณครับ
  • สวัสดีครับคุณหมอทิพย์
  • ผมเสนอต่อ คือ หนังสือ "เร็วไม่ว่าช้าให้เป็น" อีกสักเล่มนะครับ
  • ยังไม่ได้อ่านครับ  กำแพงคนโง่  แต่เคยได้ยินคำพูดหนึ่งว่า  "คนฉลาดที่สุด คือ คนที่โง่เป็น" 
  • ไม่ทราบว่าจะเป็นกำแพงหรือทะเลก็ไม่รู้
  • ขอบคุณครับ  สวัสดี

- "อย่าทำตัวเป็นน้ำปริ่มแก้ว"

- "แกล้งฉลาดทำง่าย แกล้งโง่ทำยาก"

- ปราชญ์เดินดิน - ปราชญ์ชาวบ้าน

- ภูมิปัญญาท้องถิ่น

- มีเรื่องเล่าของการเรียนต่อว่า เมื่อไหร่ที่เราเดินไปบอกอาจารย์ที่ปรึกษาว่า ตอนนี้รู้สึกแย่มากยิ่งเรียน ยิ่งไม่เข้าใจ ยิ่งเรียนยิ่งไม่รู้ อาจารย์ก็จะตอบกลับมาว่า คุณสามารถจบได้แล้ว

 - เคยได้คุยถึงเรื่องอาจารย์ดุริยางค์ที่ได้ไปเรียนการร้องเพลงชาวนา ซึ่งท่านจะสามารถพูดคุยกับขอทานได้เป็นชั่วโมงๆ

- ที่เกริ่นนำยืดยาว เพียงแค่จะบอกว่า จริงๆ คำสอนเรื่องพวกนี้มีเยอะ แต่บางครั้งเราอาจจะลืมมันไป

- คนเก่งไม่จองหองไม่อวดตน แต่การถ่อมตนเกินไปก็เป็นสิ่งไม่งาม การเลือกเป็นคนธรรมดาเดินทางสายกลาง จะงดงามที่สุดครับ :-)

เห็นด้วยนะคะน้องทิพย์

พี่เองก็เป็นอยู่บ่อยครั้ง ที่อคติในใจทำให้เราลดการฟังคนอื่น แค่บางทีรู้ว่าเป็นคำพูดที่ออกมาจากปากของใคร ก็ปิดประตูหรือตัดสินซะแล้ว เอาเป็นว่าจะพยายามเรียนรู้ เพื่อการพัฒนาตนเองนะคะ จะได้ไม่ตกอยู่หลังกำแพง

ถึง

 คุณ ขจิต ฝอยทอง ถ้าอ่านแล้วคิดเห็นอย่างไรกลับมาแนะนำบ้างนะคะ จะรออ่านอยู่คะ

คุณ TAFS สวัสดีเช่นกันคะ และขอบคุณสำหรับหนังสือที่แนะนำเข้ามานะคะ  และขอเสนอเพิ่มเติมนิดหนึ่งคะว่า ไม่ว่าใครเค้าก็มีเรื่องราวในชีวิตด้วยกันทั้งนั้นมันคงจะขึ้นอยู่ที่ว่าเราจะน้อมรับและพยายามเข้าใจในความแตกต่างของแต่ละคนได้ไหม ถ้าได้และพร้อมจะรับจริงๆ การเรียนรู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด ก็คงจะตามมามั้งคะ

Tom_NU  ขอบคุณนะคะ อ.ต้อม สำหรับข้อความดีๆ ที่ทำให้ได้คิด (อีกครั้ง...) และดีใจจังคะไม่ว่าจะเขียนเรื่องอะไร (มีสาระบ้าง ไม่มีบ้าง) ก็จะมีคนที่แสนดีเช่นอ.ต้อม ติดตามและให้กำลังใจยู่เนื่องๆ (ไม่ทิ้งกันจริงๆ น้ำตาไหลแร้วค่า 5555......)

คุณ พี่หะ ไม่แน่ใจว่าจะใช่พี่สาวคนงามคนนั้นหรือเปล่า ถ้าใช่ก็ดีใจม๊าก มากค่าที่พี่สละเวลาเข้ามาอ่านและร่วมแสดงความคิดเห็น อยากบอกพี่จังคะว่าแค่เรายอมรับและเข้าใจว่าเรามี กำแพงคนโง่ บางอย่างในชีวิตและความคิด คุณน้องคนนี้ก็คิดว่าเราได้เริ่มที่จะปีนข้าม กำแพง นั้นมาแร้วแหละคะคุณพี่ พี่เห็นว่าอย่างไรคะ (ถึงอย่างไงก็ช่วยดึงน้องคนนี้ไปด้วยคนนะคะ อยู่หลังกำแพงแห่งความมืดบอดมานานเกินไปแล้วคะ .....555 ..... รู้ๆ กันอยู่นะคะพี่.....)

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท