น้องที่ทำงาน SMS มาว่า “พี่เคยเป็นมะ ตื่นมาก็รู้สึกวันนี้เราอ่อนแอ น้ำตาไหล (เออเราร้องไห้ทำไม) เราทำไมถึงรู้สึกเศร้าจัง เค๊าบอกว่าให้เรารู้ว่าเราอ่อนแอและต้องอยู่กับมันอย่างยอมรับว่าเรากำลังอ่อนแอ ห้ามหลอกตัวเองว่าเราไม่เป็นอะไร”
ผม SMS ตอบน้องไปว่า “ทุกคนมีมุมอย่างนี้อยู่ เราจะเข้าใจและอยู่กับมันอย่างไร พี่ว่าน้ำตาไม่ใช่ความอ่อนแอ มันแค่เตือนเรา ทำให้เรารู้ว่ามีบางสิ่งที่ต้องก้าวข้าม ตระหนักรู้ เข้าใจและก้าวข้ามมัน”
น้องมาเล่าให้ฟังภายหลังว่าตั้งแต่เช้าเธอนอนแผ่ ไม่มีใจจะทำอะไร แต่พอได้ SMS ตอบกลับ เธอก็มีพลังลุกขึ้นมาจัดข้าวจัดของทำงานบ้าน
น้องอีกคนโทรมาขอลางานไปอบรมวิปัสสนากรรมฐาน 12วัน ผมเคยบอกในที่ประชุมอย่างไม่เป็นทางการว่าอยากให้พวกเรามีวันหยุดไปฝึกวิปัสสนาฯสักปีละ 7วัน มีแต่ความเงียบเป็นคำตอบ อาจจะยังไม่ถึงเวลา(ยังแก่ไม่พอ เฉลี่ยพนักงานทั้งองค์กรแค่ 26-27เท่านั้น) ผมบอกน้องว่าเอาสิใช้วันลาที่เคยคุยกันไว้ 7วัน วันที่เกินก็หาวันพักร้อนหรือวันหยุดอื่นๆชดเชย
ผมคิดว่าเป็นเรื่องดีที่คนเราจะคุยกันเรื่องภายใน เรื่องจิตใจ (ผมนึกไม่ออกว่า
ถ้าคนเราคุยกันเรื่องภายใน จะโมโหโกรธากันได้อย่างไร) เมื่อระดับบุคคลคุยเรื่องที่มาจากใจก็จะโยงขึ้นไปถึงระดับกลุ่ม เกิดการเปิดใจ เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
สิ่งเหล่านี้เป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นสู่องค์กรแห่งความรู้ องค์กรแห่งความสุขนึกย้อนดูตัวเอง แล้ว คิดว่า ถ้าอายุ 26 - 27 แล้วมีคนมาชวนไปทำวิปัสสนากรรมฐาน ก็คง เงียบ ไปเหมือนกัน ถ้าจะเจาะกลุ่มวัยนี้ คงต้องใช้คำอื่น หรือไม่ก็เป็นกิจกรรมการพัฒนาองค์กรที่แฝงฝังเรื่องวิปัสสนาฯ ไว้ แล้วค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้นเรื่องนี้เข้าไป จนกลายเป็นคอร์ส 7 วัน 12 วัน
สำหรับตุ๊ก อายุ 27 ปี การวิปัสสนากรรมฐาน ยังไม่ค่อยรู้จักมากค่ะแต่สนใจ
....ฝึกแบบติวเข้ม 7 วัน 5 วัน หรือ 3 วัน ผมว่าดีสำหรับผู้ที่สนใจ ...แต่จะทำอย่างไรให้คนเห็นคุณค่าของการ "ตามรู้กาย ตามรู้ใจ" ฝึกระลึกรู้ (ฝึกสติ) ได้บ่อยๆ โดยไม่ต้องใช้คำว่า "วิปัสสนา" ที่บางคนฟังแล้วอาจไม่สนใจ (Turn Off) น่าจะดีกว่า จะได้มีคนฝึกกันเยอะๆ ....ทำอย่างไรดีหนอ? ...อ๋อ! รู้แล้วครับ ไม่ต้องคิดอะไรมาก แค่เริ่มที่ตนเองก็ O.K. แล้ว....
ขอบคุณสำหรับประเด็นดีๆ ครับ