ดร.ยุนเช็ง มา แห่งมหาวิทยาลัยแมสซาชูเซ็ตส์ เมดิคอล สกูล ในวอร์เชสเตอร์ สหรัฐอเมริกา รายงานว่า
คนเรามีแนวโน้มจะกินมากขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว การเปลี่ยนแปลงนี้รวมถึงน้ำหนัก และการออกกำลังกายที่เปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล
ดร.มาและคณะได้ทำการศึกษากลุ่มตัวอย่าง 593 คนที่มีอายุเฉลี่ย 48 ปีในตอนกลางเมืองแมสซาชูเซ็ตส์ เกือบทั้งหมดน้ำหนักเกินและอ้วน โดยให้อาสาสมัครบันทึกอาหาร และการออกกำลังกายติดต่อกัน 1 ปีกลุ่มตัวอย่างนี้กินอาหารเฉลี่ยวันละ 1,963 แคลอรี่ โดยครึ่งหนึ่งมาจากแป้งและน้ำตาล(คาร์โบไฮเดรต) อีก 1 ใน 3 มาจากไขมัน
ฤดูกาลที่กินอาหาร(คิดเป็นหน่วยแคลอรี่)มากที่สุดเป็นฤดูใบไม้ร่วง(ก่อนฤดูหนาว) และน้อยที่สุดในฤดูใบไม้ผลิ(ก่อนฤดูร้อน)
แม้แต่ชนิดของอาหารก็เปลี่ยนไปตามฤดูกาล กลุ่มตัวอย่างจะกินอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลมากที่สุดในฤดูใบไม้ผลิ(ก่อนฤดูร้อน) กินไขมันและไขมันอิ่มตัวมากที่สุดในฤดูใบไม้ร่วง(ก่อนฤดูหนาว)
น้ำหนักตัวของกลุ่มตัวอย่างเปลี่ยนแปลง 0.45 กก.ในรอบปี ฤดูที่น้ำหนักตัวเพิ่มคือฤดูหนาว ซึ่งมีกิจกรรมทางกาย(ออกกำลังกายและใช้แรง)น้อยที่สุด ส่วนฤดูที่มีกิจกรรมทางกายมากที่สุดได้แก่ ฤดูใบไม้ผลิ(ก่อนฤดูร้อน)การเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลของอาหาร กิจกรรมทางกาย และน้ำหนักตัวปรากฏชัดที่สุดในผู้ชาย(มากกว่าผู้หญิง) คนวัยกลางคน คนที่ไม่ได้มีผิวขาว(นิโกร เอเชีย หรือคนที่มีเชื้อสายอเมริกากลางหรือใต้)
ปัจจัยที่ทำให้คนกินอาหารพลังงานสูงมากในฤดูหนาวคือ ช่วงเทศกาล คนบางคนสะสมไขมันเพิ่มขึ้นปีละ 1 ปอนด์ (0.454 กก.) เมื่อรวมกัน 10 ปีจะได้ 10 ปอนด์ (4.54 กก.) ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพดร.มาแนะนำว่า คนเราควรจะควบคุมอาหาร และออกกำลังกายเพิ่มขึ้นในฤดูหนาว เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการได้รับพลังงานจากอาหาร และการใช้พลังงาน(ออกกำลังกาย และใช้แรง)
คนไทยซึ่งมีเทศกาลตลอดปีควรจะควบคุมอาหาร และออกกำลังกายเพิ่มขึ้นในทุกเทศกาล
นอกจากนั้นควรหลีกเลี่ยงงานเลี้ยง และงานสังสันทน์เท่าที่จะทำได้ เพราะยิ่งร่วมงานมาก ยิ่งเสี่ยงอ้วนมากขึ้นครับ...
แหล่งที่มา:ไม่มีความเห็น