หัวข้อการนำเสนอของห้อง ปูนแก่งคอย ในงานมหกรรมการจัดการความรู้แห่งชาติ ครั้งที่ 3 คือ "การเรียนรู้ตลอดชีวิต" เป็นห้องที่ผมสนใจเป็นพิเศษ เนื่องจากได้ทราบถึงความสำเร็จของหน่วยงานนี้มาก่อนบ้างแล้ว จากสื่อต่าง ๆ และเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ใน Gotoknow ประกอบได้รู้จัก ท่านอาจารย์ ทวีสิน ฉัตรเฉลิมวิทย์ (คนปูนแก่งคอย - เสื้อเหลืองในรูปบน) ผู้จัดการพัฒนาองค์อย่างยั่งยืน ของปูนแก่งคอยมาก่อน จึงให้เวลากับห้องนี้ในช่วงบ่ายวันที่ 1 ของงานทั้งบ่าย เพื่อเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ ของสิ่งที่ปูนทำมาจนเป็นที่ยอมรับของหน่วยงานต่าง ๆ ทั่วประเทศ ในเรื่องของ การทำ KM นำองค์กรสู่องค์กร LO ที่ยั่งยืน ที่ทางปูนเรียกว่า Living Company
การเข้าฟังวันนั้นผมได้สิ่งต่าง ๆ มากมาย จะทะยอยนำมาเล่าในโอกาสต่อ ๆ ไป แต่เรื่องหนึ่งที่อยากจะนำมาเล่าก่อนก็คือ โครงการ OCOP (One Cell One Project) ซึ่งผมปริ๊งไอเดียว่า น่าจะนำมาต่อยอดใช้กับ มมส. ในการสร้าง ชุมชนฅนปฏิบัติ (Community of Practice หรือ CoP) ได้โดยอาจใช้ตัวย่อเดียวกันได้คือ OCOP = One Community One Project หรือ One Community One (best or good) Practice
ความภูมิใจที่เกินคาดในบ่ายวันนั้นก็คือช่วงพักครึ่ง เพื่อรับประทานกาแฟและอาหารว่าง ก็ได้มีโอกาสพบ กูรู KM&LO ของปูนและของประเทศไทยคนหนึ่ง คือ ท่านอาจารย์ ดร. วรภัทร์ ภู่เจริญ (คนไร้กรอบ) ที่ผมตั้งใจว่าจะต้องหาซื้อหนังสือ The Inner Path of LO&KM เล่มที่สอง ของท่านให้ได้ในงานนี้ รวมทั้งได้มีโอกาสได้ ร่วมวงเล่า (จิบกาแฟ) กับท่านและทีมปูนแก่งคอยด้วย (ภาพล่าง)
และต่อมาก็มีโอกาสได้ฟังท่านอธิบาย ทฤษฎีตัว ยู ที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้โดยตรงให้ผู้สนใจฟัง สิ่งที่น่าสังเกตุก็คือ ท่านอาจารย์ เล่าหรืออธิบายได้ในบริบทง่าย ๆ หนังสือเล่มในรูปคือหนังสือที่ตอนนี้ผมเป็นเจ้าของครับ... ถ้าสังเกตุให้ดี ผู้ที่ร่วมวงอยู่อีกท่าน (สรวมเสื้อสูทสีดำ) ก็คือ ท่านอาจารย์ ดร. ประพนธ์ ผาสุขยืด กูรูอีกท่านหนึ่ง และ ผู้เขียนหนังสือ การจัดการความรู้ฉบับ KM ขับเคลื่อน LO ที่เปิดตัวในงานนี้เป็นครั้งแรก
ผมว่าผมโชคดีจริง ๆ ในงานนี้ที่ได้พบและพูดคุยกับกูรูทั้งสองท่านครับ
<div style="text-align: center"></div>
ขอบพระคุณมากครับ ที่นำมาเล่าเพื่อแบ่งปัน แต่เสียดายที่ไม่ได้ F2F กับอาจารย์เลยครับ
เรียนท่านพี่ปานดา
เห็นภาพแล้วนึกถึงความหลัง รวมพลังชาว KFC(oP)
ขออนุญาต เสริม สำหรับคนที่ไม่ได้ไป ฟัง ปูนฯ แก่งคอยว่า
เพื่อความเข้าใจตรงกัน
Living Organization มองว่า องค์กรเป็นสิ่งมีชีวิต ที่ เรียนรู้ ปรับตัว พอเพียง มีภูมิต้านทาน มีทั้งให้และรับกับสิ่งแวดล้อมจึงจะอยู่ริดได้ มีแต่รับอย่างเดียว หรือ ให้อย่างเดียวก็สูญพันธุ์ (ไม่ยั่งยืน)
ในสิ่งมีชีวิต ย่อมประกอบไปด้วย Cell ต่างๆ ที่มี ลักษณะ ความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน แต่ว่า ทุก Cell มีความหมาย มารวมตัวกัน ก่อเกิด network และ Collaboration ทำให้กลายเป็น องค์กรมีชีวิต
ด้วยเหตุผลของ องค์กรมีชีวิต จึงทำให้ ต้องแปลคำว่า Learning organization ว่า องค์กรเรียนรู้ โดยไม่แปลว่า องค์กรแห่งการเรียนรู้ เพราะ องค์กรเป็นประธาน เรียนรู้ เป็นกิริยา