ที่ตึก SM Tower กลางเมืองหลวง ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับทีมงานวิจัยของ GSEI หรือ สถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม ในประเด็นที่เป็นโครงการวิจัย ที่ได้รับการสนับสนุนจาก สสส. มีชื่อโครงการวิจัยที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก “การพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ชุมชนที่เปร็ดใน จ.ตราด เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็ง และประยุกต์ใช้ความรู้ชุมชน ร่วมกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ”
ที่ว่าน่าสนใจคือ มีคีย์เวิร์ดหลักๆ ที่ผมสนใจเช่น ศูนย์การเรียนรู้ (ที่กำลังฮิตฮอต) การประยุกต์ใช้ความรู้ (หากมองในรูปศัพท์ ก็คือ KM โดยแท้) และความรู้ชุมชนกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่จะมาผสานกัน ตรงนี้ยิ่งทำให้น่าสนใจว่า ความรู้ที่เป็นองค์ความรู้ของชุมชน จะมาผสานกับองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร หากสามารถจัดการความรู้ประเด็นแบบนี้ได้ – น่าจะเป็นเรื่องที่ดี ต่อการพัฒนาชุมชนที่อยู่ภายใต้ปัญหาซับซ้อน และปัญหาเร่งด่วน เช่นกรณี ภัยพิบัติใหม่ๆ ที่มีต่อมนุษย์ แม้ว่าพื้นที่การทำงานจะเป็นพื้นที่เล็กๆ ในจังหวัดตราดก็ตาม
ว่าเรื่องของพื้นที่ ผมได้ยินชื่อเสียงพื้นที่วิจัยมานานแล้ว เกี่ยวข้องกับ กลุ่มสัจจะสะสมทรัพย์ บ้านเปร็ดใน จ.ตราด โดยเริ่มจาก “ปัญหาของชาวบ้าน ให้รู้จักคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น” ผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จดังกล่าวคือ พระอาจารย์สุบิน ท่านเป็นพระนักพัฒนาที่ใช้หลักธรรมะเชื่อมร้อย เป็นธรรมะในเชิงเศรษฐกิจ ให้ความสำคัญกับการพึ่งตนเอง วิธีคิดในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน การบริหารจัดการอย่างมีส่วนร่วม จนถึงการจัดการโครงสร้างโดย “วัด” เป็นจุดศูนย์กลาง ล่าสุดมีรุ่นพี่ปริญญาเอกท่านหนึ่งได้ศึกษาประเด็นกองทุนชุมชนดังกล่าวอยู่ด้วย
ย้อนมาที่ตัวโครงการวิจัยของ GSEI เท่าที่ผมอ่านจากข้อเสนอโครงการ ที่ต่อยอดความเข้มแข็งของชุมชน ถือว่าเป็นความท้าทายอย่างยิ่งของชุมชนเปร็ดใน ที่จะสร้างความรู้ใหม่ ผสานกับความรู้ของภูมิปัญญาท้องถิ่นเดิม กับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อบริหารจัดการตนเองและชุมชน รองรับการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ โดยโครงการมีแนวคิดว่า หากทำได้สำเร็จในชุมชนเปร็ดในแล้ว น่าจะเป็นต้นแบบขยายฐานในการต่อยอดความรู้ ไปยังชุมชนชายฝั่งทะเลตะวันออก ทั้งในจังหวัดตราดและอื่นๆ
ผมตื่นเต้นกับรูปแบบการวิจัยในครั้งนี้พอสมควร เพราะว่ามีทีมนักวิจัยที่แบ่งสาขาตามความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน แล้วมีแนวคิดการใช้ “การจัดการความรู้” เป็นเครื่องมือสำคัญตลอดทั้งโครงการ ดังนั้นการจัดการความรู้จะมีบทบาทเป็นเครื่องมือเชื่อมทั้งผู้คน องค์ความรู้ และเป็นผลลัพธ์สำคัญต่อการคิดรูปแบบ “ศูนย์การเรียนรู้ชุมชน” ในช่วงต่อไป
สำหรับประเด็นศูนย์การเรียนรู้ชุมชน นั้นอาจไม่เน้นอาคาร สถานที่ หรือโครงสร้างอื่นใด แต่ทว่ามุ่งเน้นการจัดการความรู้ ให้กับคนในชุมชนเป็นพื้นฐานก่อนให้เข้มแข็ง ส่วนการถ่ายทอดสู่สาธารณะผ่านรูปแบบใดๆนั้น น่าจะเป็นผลปลายทาง ซึ่งผมมองว่าไม่น่าจะยากนัก
ความท้าทายอยู่ที่ว่า ผมอยู่ในส่วนของผู้ที่จะมาช่วยดำเนินการด้านการจัดการความรู้ และการจัดการความรู้นั้นต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบ เป็นธรรมชาติ เนียนไปกับกระบวนการศึกษา วิจัย โดยพื้นฐานเท่าที่ผมเห็นข้อมูล และศึกษาผ่านการไปยังพื้นที่บ้านเปร็ดใน เรามีการจัดการความรู้อยู่แล้ว เพียงแต่ต้องมาจัดระบบกันอีกครั้ง และ ช่วยหันหมุนวงล้อของการจัดการความรู้ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ผมได้ตกลงกับ ดร. บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ กับทีมงานทั้งหมด ว่าจะเดินทางลงพื้นที่พร้อมทีมงานที่เป็นนักวิจัยชุดใหญ่ เพื่อลงไปดูพื้นที่ พูดคุย เตรียมเพื่อจะออกแบบเวทีในช่วงต่อไป
ทีมวิจัยที่เดินทางไปในวันดังกล่าวมี ๔ ทีมจากกรุงเทพ
และมีอีก ๑ ทีมในพื้นที่ คือ ทีมวิจัยในพื้นที่ศึกษา
ดังนั้นการเดินทางไปพื้นที่ครั้งนี้ ได้พบเจอกันทุกทีม นอกจากได้ศึกษาสภาพจริงของพื้นที่แล้ว ยังได้ประชุมพูดคุยภาพรวมของโครงการไปด้วย ในด้านการจัดการความรู้ในส่วนที่ผมได้ไปเรียนรู้ด้วย ก็ได้ออกแบบกระบวนการไว้ก่อนล่วงหน้า โดยการทบทวน แนวคิดหลักของโครงการ ที่เน้น “การบูรณาการองค์ความรู้” หาแนวทางที่เหมาะสม ในกิจกรรมการพัฒนา จะใช้รูปแบบ “การจัดการความรู้” ทั้งในรูปแบบและวิธีการ มีผลลัพธ์ในการสร้างองค์ความรู้ใหม่ และศูนย์การเรียนรู้ ผ่านการพัฒนาแบบมีส่วนร่วมของชุมชน
การผสานองค์ความรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่น กับ องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ได้กำหนดออกมาเป็น 3 ประเด็น (ตามบริบทของท้องถิ่นที่ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลในระดับหนึ่งแล้ว และระดมผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในส่วนขององค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์) โดยมีการวิเคราะห์องค์ความรู้ของชุมชนบ้านเปร็ดใน.ช่องว่างขององค์ความรู้, โจทย์องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และเป้าหมายของศูนย์และกระบวนการจัดการความรู้ ในแต่ละประเด็น ดังนี้
สิ่งที่ขาดไปก็คือ ประเด็นที่ ๔ “ชุดความรู้เดิม” ของชุมชน และเจาะลงเฉพาะ ๓ ประเด็นดังกล่าวลงเชิงลึก
ผมมองว่า กลุ่มความรู้ชุดที่ ๔ นี่หละสำคัญมากที่เป็น “ต้นทุน” เริ่มต้นของโครงการฯ ส่วน กระบวนการจัดการความรู้ ก็จะถูกออกแบบผ่านเวทีวิเคราะห์สถานการณ์ชุมชน โดยคนในชุมชนเองมาร่วมกันแลกเปลี่ยน สรุป วิเคราะห์ และ สังเคราะห์ ชุดความรู้นี้ร่วมกัน
ยากและท้าทายสำหรับผมก็คือ “กระบวนการ” ที่ต้องทำให้เกิดการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ และ สรุป สังเคราะห์โดยชุมชนเอง ในขั้นตอนที่สำคัญนี้ผู้นำกระบวนการ(Facilitator) ก็ต้องมีประสบการณ์มากพอสมควรในงานวิจัยเพื่อท้องถิ่น มีประสบการณ์การเป็น Facilitators รวมไปถึงทักษะการถอดบทเรียนที่เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการความรู้ด้วย
ตอนนี้ผมได้ออกแบบเวทีวิเคราะห์ชุมชนแบบมีส่วนร่วม (ภาพรวมชุมชน) ไว้ในใจบ้างแล้ว
เวทีวิเคราะห์ชุมชนแบบมีส่วนร่วม (ภาพรวมชุมชน)
กระบวนการ และ กลยุทธ์
การวิเคราะห์ชุมชนแบบมีส่วนร่วมเพื่อพัฒนาและเตรียมความพร้อมในการยกระดับศูนย์เรียนรู้ตามโครงการ
วัตถุประสงค์ของการวิเคราะห์ชุมชน
กระบวนการ และกรอบเนื้อหาหลักสูตร
เป็นกระบวนการที่ทำงานที่เน้นการมีส่วนร่วม และการทำงานเชิงบูรณาการร่วมกัน 3 ฝ่าย ได้แก่ ชุมชนเป้าหมาย หน่วยงานราชการ ที่เกี่ยวข้อง และส่วนวิชาการ/ กระบวนการ ที่คาดว่าจะสามารถพัฒนายกระดับการทำงานร่วมกัน โดยชุมชนเป้าหมายได้รับประโยชน์สูงสุด และสามารถดำเนินการต่อเนื่องได้เมื่อสิ้นสุดโครงการ ทั้งนี้จะให้ความสำคัญกับกระบวนการ “วิเคราะห์ชุมชนแบบมีส่วนร่วม” ซึ่งถือว่าเป็นเวทีในระยะแรกที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการทำงานวิจัยและการเสริมพลังชุมชน (Empowerment) ในระยะต่อๆไป
กระบวนการการจัดเวทีวิเคราะห์ชุมชนแบบมีส่วนร่วม (ภาพรวม เวที 1)
กระบวนการนี้เป็นการถอดบทเรียน ชุมชนโดยใช้กระบวนการกลุ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อให้ชุมชนได้เกิดการเรียนรู้ตัวเองในมิติที่สำคัญ
ดังนั้นการสรุป สังเคราะห์จากเวทีจะเป็นข้อมูลส่วนหนึ่งสำหรับโครงการวิจัยฯ จากนั้นอาจมีการเติมเติมข้อมูลโดยการค้นหาข้อมูลในรูปแบบอื่นๆต่อไป โดยทีมนักวิจัยในพื้นที่
ทั้งหมดผมร่างรูปแบบในใจคร่าวๆไว้ก่อน และคาดหมายว่าจะลงพื้นที่บ้านเปร็ดใน ในเร็ววันนี้ครับ
รูปภาพสวยๆจากเปร็ดใน > Click
สวัสดีครับน้อง เอก
จะได้เข้ามาติดตามเรียนรู้ วิจัยชุมชน
(ตราด บรรยากาศคล้ายปักษ์ใต้บ้านเรา)
สวัสดีครับ พี่วีระยุทธ : พื้นที่จริงของเปร็ดใน สวยเเละน่าอยู่มากครับ ที่นี่มีเรื่องราวดีๆเยอะเเยะเลย ผมวางแผนลงไปเก็บข้อมูลอีกครั้งในเวทีเเรก
สวัสดีครับบัง : ผมมีโอกาสนั่งเรือลัดเลาะ ป่าโกงกาง มีความสุขเเละตื่นเต้น ที่สำคัญชุมชนที่นี่มีประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ ผมจะไปเปิดเวทีเเรกที่นี่เร็วๆนี้ครับ
ขอชื่นชม คุณ สิงห์ ป่าสัก ชอบในสิ่งที่คุณทำ แต่ไม่มีโอกาสได้สัมผัสเลยสักครั้ง