ผมถ่ายทอดเรื่องราวบนดอยให้อ่านกัน อาจเป็นเนื้อหาหนักๆอยู่บ้าง แต่คุณต้อมก็มาให้กำลังใจกระผมเสมอๆ ขอบคุณมากครับ
ไม่ต้องเพ่งที่รูปครับ ...พอดีรูปบนดอยอาจดูโทรมไปหน่อย ตอนนี้ผมปรับปรุงหน้าตาแล้วครับผม
ขอบคุณครับผม
ย้อนหลังไปหลายปี ช่วงที่ผมยังทำวิทยานิพนธ์(Thesis)บนดอยสูงกับพี่น้องชาวลีซู และต่อมาได้รับทุนการศึกษาวิจัยจาก สกว. และ สสส. ประเด็น “การจัดการความรู้ด้านสุขภาพ” ชาวลีซู
งานวิจัยและพัฒนา เหล่านี้เองทำให้ผมเดินเข้าไปในโลกทัศน์(World view)ของคนลีซู ไปมองในมุมมองเดียวกับชาวบ้านในวิถีชีวิตปกติของพวกเขา การศึกษายิ่งเจาะลึกลงไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งพบความยิ่งใหญ่และคุณค่าของภูมิปัญญาของชนเผ่ามากขึ้นเท่านั้น เป็นต้นทุนทางปัญญา(intellectual capital)ของชนเผ่า
รูปนี้ผมถ่ายไว้นานแล้วกับน้องทันตแพทย์ มช.ที่ไปศึกษาวิถีชุมชนบนดอย
สิ่งที่เรามองจากข้างนอก วิธีปฏิบัติ พิธีกรรม หรือท่าทีชาวบ้านที่มีต่อธรรมชาติล้วนแล้วแต่มีเหตุผลที่เราเข้าใจได้ การดูแลสุขภาพตนเอง(Self health care) ของชาวบ้านเริ่มจากการดูแลตนเองระดับบุคคล ระดับครอบครัว และจนถึงระดับชุมชน เรื่องราวทางภูมิปัญญาที่ค้นพบล้วนแล้วแต่แสดงถึงการดำรงอยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์ การต่อสู้และถ่ายทอดมายาวนานจากบรรพบุรุษ
หมอสมุนไพร หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “แนซึซือซู” เป็นบุคคลที่ชาวบ้านเคารพเลื่อมใส หมอยาชาวลีซูเป็นผู้รู้ด้านการรักษา ส่วนใหญ่เป็นหมอยาที่รู้จักสมุนไพรในป่าและนำสมุนไพรมารักษาโรค เยียวยาคนในชุมชน เป็นเพศหญิงก็ได้ เพศชายก็ได้ ที่ผมพบก็มีทั้งหมอยาสมุนไพรลีซูชายหญิง
หมอยาลีซูหญิงเน้นยาสำหรับผู้หญิง ส่วนหนึ่งเป็นสมุนไพรหลังคลอดที่ใช้บำรุงร่างกาย หมอยาที่เป็นผู้ชายก็เป็นยาสมุนไพรที่หายากและรักษาโรคที่ซับซ้อนมากขึ้น
ผมตามหมอยาสมุนไพรไปเก็บสมุนไพรในป่าบ่อยครั้งและได้เรียนรู้ผ่านคำบอกเล่าถึงการบำบัดอาการต่างๆ ของสมุนไพรแต่ละตัวหรือตำรับยา รายละเอียดเหล่านี้ถูกเก็บไว้เป็นรายงานวิจัย แต่เนื้อความที่ถอดออกมาจากการสอบถามนั้น หากเป็นการออกฤทธิ์ทางเภสัชยังไม่มีการทดลองชัดเจน และสิ่งหนึ่งที่เราคุยกันในกลุ่มลีซูก็คือ ภูมิปัญญาเหล่านี้เป็นลิขสิทธิ์ของชาวบ้าน การเผยแพร่จึงสุ่มเสี่ยงต่อการขโมยภูมิปัญญาโดยชาวบ้านไม่รู้เท่าทัน ผมจึงระมัดระวังมาก
การไปศึกษาในครั้งนั้นของผม อาจไม่ได้เจาะลึกมากในส่วนของสมุนไพรมาก แต่ผมก็มองว่าองค์ความรู้ด้านนี้มีเยอะและมีคุณค่ามาก ครั้งนั้นผมก็เพียงเห็นปรากฏการณ์และเข้าไปรู้จักสมุนไพรพื้นๆโดยทั่วไปเท่านั้น
การบนบานกับผีดอยของหมอผีชาวลีซู
สิ่งที่ผมเล่ามาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการศึกษาเป็นงานวิจัย ที่สร้างความตระหนักในการจัดการความรู้ให้กับชุมชน ให้มองไปถึงการรักษา การสืบทอดภูมิปัญญาเหล่านี้ที่นับวันก็จะหายไปหากเราละเลยไม่สนใจ
น่าดีใจครับที่ส่วนหนึ่งของงานวิจัยถูกผลักเข้าไปเป็น “หลักสูตรท้องถิ่น” และโรงเรียนในพื้นที่ได้ดึงเอาผู้รู้ด้านต่างๆเข้าไปสอนนักเรียน แต่ผมก็ทราบต่ออีกว่ากระบวนการยังไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ ช่วงหลังหลักสูตรท้องถิ่นในโรงเรียนที่เป็นกระแสดังในขณะนั้น ตอนนี้ก็เริ่มหายและซาๆไป
ผมคิดต่อว่า หากมีงานวิจัยหรืองานพัฒนาดีๆที่เข้าไปต่อยอดงานเหล่านี้จะเกิดประโยชน์กับชุมชนมาก เรามีข้อมูลเดิมที่พร้อม ทรัพย์สินความรู้(Knowledge asset)ที่มีแล้วสามารถนำไปใช้ได้
เพียงแต่นำกระบวนการเข้าไปเสริมต่อ พัฒนาต่อเนื่อง ใช้ฐานการคิดการมีส่วนร่วมของชาวบ้านและคิดพร้อมทำด้วยกัน สิ่งเหล่านี้จะเป็นภูมิคุ้มกันให้กับชุมชน และสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในระยะยาว
เรียน ท่านจตุพร
เรียน ท่านอาจารย์หมอจิตเจริญ ที่นับถือครับ
รูปนี้(รูปบน)ถ่ายย้อนหลังไปกว่า ๖ ปีครับ ผมอยู่บนดอยก็อย่างว่าครับ สิ่งแวดล้อมดีๆ แต่การดูแลตัวเองก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ก็ทำงานหนักๆ ลุยป่าลุยเขาครับ - - -แต่สบายใจจังครับ เป็นไปได้อยากกลับไปใช้ชีวิตแบบนั้นอีกครา
อีกอย่างครับ รูปเดิมผมยาวตอนนี้ ผมเกรียนเป็นเด็กเลยครับ ทำให้ดูอ่อนเยาว์ 55
ขอบคุณอาจารย์มากครับ ที่มาเยี่ยมครับ
งานวิจัยชิ้นนี้น่าสนใจมากครับ ผมคิดว่าเป็นข้อมูลในการทำงานในชุมชนต่อได้ดีทีเดียว เสียดายว่าเรามีเวลาน้อยไป งานไม่ต่อเนื่องครับ
ผมเลยคิดว่าหากมีโอกาส หรือ ใครต้องการข้อมูลเพื่อดำเนินการพัฒนาประเด็นแบบนี้ผมยินดีมากครับที่จะแชร์ข้อมูล
เรียน อะตะผะ จตุพร
ครั้งที่ไปทำงานช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในค่ายหนึ่ง ที่แม่ฮ่องสอน มีโรงเรียนสอนสำหรับคนพื้นที่โดยเฉพาะ - แต่เป็นการสนับสนุนจากองค์กรต่างประเทศ ...
แต่ก็อย่างที่ อะตะผะ กล่าว - "ช่วงหลังหลักสูตรท้องถิ่นในโรงเรียนที่เป็นกระแสดังในขณะนั้น ตอนนี้ก็เริ่มหายและซาๆไป "
และไม่ทราบความคืบหน้าอย่างไร
จริงๆ แล้ว ภูมิความรู้ชาวบ้านและประเพณีดีๆ เยอะมากมาย ที่ควรอนุรักษ์ไว้เพราะ เกรงจะต้านการไหลบ่าของวัฒนธรรมตะวันตกไม่ได้
... เชื่อมั่นและศรัทธา .... Poo Hser Hser -
ต้องขอบคุณคุณ poo มากครับ ที่ติดตามบันทึกผมตั้งแต่แรกเลยมั้งครับ ถึงได้รู้ชื่อภาษาลีซูผม
คนลีซูเรียกผม "อะตะผะ" ครับ ซึ่งก็แปลว่าลูกชายคนโตของครอบครัว เป็นชื่อที่น่ารักทีเดียว ผมอยู่กับพี่น้องบนดอยนานเลยทีเดียว หากเขียนเรื่องราวที่เกิดขึ้นไว้ คงได้เรื่องราวที่หนาๆ เล่มโตๆ
การได้สัมผัสและเรียนรู้ในกระบวนการศึกษษ วิจัย ทำให้ผมเข้าใจและมองในมุมพวกเขาครับ ข้อมูลที่นำเสนอจึงเจือด้วยอารมณ์ ความรู้สึกไปด้วย บางครั้งใครอ่านงานของผมเขาจะนึกว่าอ่านนิยาย สำนักทางปริมาณ(วิจัย) คงบ่นน่าดูครับ เวลาอ่านงานผม 555
อย่างไรก็ตามการเขียนแบบให้เห็นภาพในงานวิจัยเชิงคุณภาพ ผมว่าทำให้เราเข้าถึงตัวตนของเป้าหมายได้ งานแบบนี้ทำให้เราเป็นส่วนหนึ่งของเขาได้ เรียนรูมุมมองของกันและกันได้อย่างเเนบเนียนและเป็นธรรมชาติ
ขอบคุณคุณ Poo ครับที่ติดตามและให้กำลังใจเสมอมาครับ
ขอบคุณครับ
เป็นภูมิปัญญาที่ลำค่าและน่าเก็บรักษาไว้มาก ๆ ครับ แล้วก็โชคดีด้วยครับ ที่มีคนเห็นคุณค่าและพยายามจะอนุรักษ์ไว้...
ในสังคมน่าจะมีนักพัฒนาที่มีอุดมการณ์อย่างคุณเอก เยอะ ๆ นะครับ ภูมิปัญญาท้องถิ่นเหล่านี้จะได้ไม่สูญหายไปไหน...
ขอบคุณมากครับ...
สวัสดีค่ะ พี่เอก
พี่เอกค่ะ เดี๋ยวหนูร้องเพลงให้ฟังค่ะ " ดอยเต่าบ้านเฮากันดาร " แหะๆๆๆๆ.........เพราะอะเปล่าค่ะ เป็นกำลังใจในการพัฒนาสิ่งที่ดีๆให้กับท้องถิ่นต่อไปนะค่ะ ------------> น้องจิ ^_^
สวัสดีค่ะคุณเอก
เบิร์ดชอบอันนี้จังค่ะ
สิ่งที่เรามองจากข้างนอก วิธีปฏิบัติ พิธีกรรม หรือท่าทีชาวบ้านที่มีต่อธรรมชาติล้วนแล้วแต่มีเหตุผลที่เราเข้าใจได้ การดูแลสุขภาพตนเอง(Self health care) ของชาวบ้านเริ่มจากการดูแลตนเองระดับบุคคล ระดับครอบครัว และจนถึงระดับชุมชน เรื่องราวทางภูมิปัญญาที่ค้นพบล้วนแล้วแต่แสดงถึงการดำรงอยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์ การต่อสู้และถ่ายทอดมายาวนานจากบรรพบุรุษ
สมัยก่อนที่มนุษย์เรามีการเคารพธรรมชาติ...ชีวิตเราสงบ ง่าย งามมากเลยนะคะ แต่ต่อมาเมื่อเราพยายามพิสูจน์สิ่งต่างๆให้ " ตรง " ตามหลักของวิทยาศาสตร์ เราก็พบว่ายังมีอีกหลายอย่างเหลือเกินที่เราไม่สามารถพิสูจน์ได้หมดสิ้น วิทยาศาสตร์บอกอะไรเราไม่ได้ทั้งหมดเลยนะคะคุณเอก...และยังมีพืช สมุนไพร ภูมิปัญญาอีกมากมายที่ซ่อนตัวอยู่บนผืนแผ่นดินไทยนี้
ขอบคุณมากๆค่ะสำหรับบันทึกที่ง่าย งามบันทึกนี้
สวัสดีครับ เพื่อนดิเรก
ในมิติการทำงานกับชุมชน โลกทัศน์ที่เราต้องเข้าใจคือโลกทัศน์แบบชุมชน หากเราเปิดใจและยอมรับ แล้วเข้าไปศึกษาเราก็จะพบคลังความรู้ที่ยิ่งใหญ่ที่เป็นทุนทางปัญญา
ชนชาติ กลุ่มชาติพันธุ์ที่ธำรงมาได้จนทุกวันนี้ สิ่งที่น่าภาคภูมิใจก็คือ "ภูมิปัญญา" อันเป็นทรัพย์สินที่เขามี
ทำอย่างไร เราจะพัฒนา และยกระดับองค์ความรู้เหล่านี้ เป็นโจทย์ที่ท้าทาย
ที่เขียนว่า "ยกระดับ" ใช่ว่าผมจะหมายถึงความต่ำต้อยขององค์ความรูนั้น แต่ผมมองว่าเรากำลังลืม และละเลยสิ่งที่มีค่า และไม่ได้จัดการความรู้ขึ้นมาใช้
ทั้งหมดเป็นความห่วงใยของกระผมด้วยครับ ในฐานะที่เคยทำงานแบบเคียงบ่าเคียงไหล่ แม้ว่าปัจจุบันผมทำงานเชิงประเด็นที่แตกต่างออกไป แต่ก็ไม่ไกลไปจากชุมชน
ขอบคุณครับที่ช่วยสะท้อนและให้ข้อคิดเห็นอันเป็นกำลังใจ
ปวดตา เพราะเพ่งรูปคุณเอกสมัยอยู่บนดอยกับที่มีอยู่ใน profile รูปไหนดูหล่อเฟี้ยวววอ่ะเนี่ย โฮ่ะ ๆ ๆ
ภูมิปัญญาชาวบ้านแสดงให้เห็นถึงการดำรงอยู่ของชาติพันธุ์จริง ๆ และถ้ามีการต่อยอดพัฒนาให้ดักว่าเดิมนี่ก็เยี่ยมเข้าไปใหญ่ เพราะจะส่งผลดีต่อชุมชน
สวัสดีครับ คุณเบิร์ด
ผมว่ายุคสมัยนี้เป็นเสมือน การปฏิบัติการต่อรองของภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นรอยต่อของยุคสมัยที่วิ่งเข้าสู่โลกของความเร็ว ที่เร็วจนทำร้ายผู้คนด้วยกัน
ผลกระทบจากความเร็วสูงนี่เองทำให้ระบบวิถีเปลี่ยนแปลงกันไปหมด ปรับตัวได้เร็วก็ดีไป ปรับตัวไม่ได้ก็ทุกข์มากครับ
มีคนว่า ผมมักโหยหาอดีตที่งดงามของชนบท (nortalgia of rural romanticism) และเขียนเรื่องราวที่ย้อนกลับไป ในความเป็นจริงผมย้อนกลับไปไม่มากหรอกครับ วิถีชีวิตคนบนดอยก็ดั้งเดิมอยู่มาก บางครั้งแทบไม่น่าเชื่อว่าวิถีเช่นนั้นจะมีอยู่จริง
ไม่มีความรู้ใดเลยในโลกนี้มีแก่นแกนสารัตถะเบ็ดเสร็จอยู่ในตัวเอง หากแต่ความรู้เหล่านั้นเชื่อมโยงสัมพันธ์เช่น องค์ความรู้ท้องถิ่น(indigenous Knowledge) ที่ผมเขียนในบันทึกนี้ และหลายๆบันทึกของผม
ผมทำงานภาคสนามในพื้นที่ที่ไกลแสนไกลเหล่านี้ แม้เพียงส่วนหนึ่ง ผมก็ได้สัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของวิธีคิด ความงามของภูมิปัญญาที่มีนัยตรงกับความเป็นอยู่ของชนเผ่า ดูเหมือนไม่มีเหตุผล แต่จริงๆแล้วแยบยลยิ่งกว่าเราคิดหลายเท่า
วาทกรรมเหล่านี้จำเป็นต้องทำความเข้าใจอย่างใจที่เปิดกว้าง และใช้เวลาอย่างมากในการเข้าไปเรียนรู้ และเขียนเป็นปรากฏการณ์ออกมาเพื่อเป็นข้อมูล แล้วแต่วัตถุประสงค์ของงานที่เราต้องการ
ในส่วนโลกทัศน์ทางด้านสุขภาพ แบบชาวบ้าน ผมมองว่าสำคัญมาก หากเรามองอยู่มุมเดียวกับชาวบ้าน เราก็พบว่า กระบวนการเยียวยา รวมถึงการดูแลสุขภาพตนเอง(Self health care)น่าสนใจยิ่งนัก หากเราเรียนรู้มากขึ้น เราจะสามารถเชื่อมโยงกับองค์ความรู้สมัยใหม่ได้อย่างน่าสนใจและมีประโยชน์มากในวงการแพทย์และสาธารณสุข
น่าเสียดายว่า นักวิจัย นักพัฒนาที่เข้าไปเรียนรู้ปรากฏการณ์เหล่านี้กลับหยิบออกมาเป็นเพียงส่วนน้อยและสรุปเหมารวมด้วยศาสตร์สมัยใหม่ บวกความคิดของตนเอง(มากไป)ทำให้เกิดประโยชน์น้อยกว่าที่เป็น
รวมถึงมีการนำหมอเมืองสวมชุดกาวว์ ซึ่งก็ค่อนข้างแปลกแยกกับวิถี ถึงแม้ว่าวัตถุประสงค์จะเน้น การสืบทอดก็ตาม ความไม่ลึกซึ้ง และละเอียดพอกับวิถีเดิมกับท้องถิ่น กับชุมชน ทำให้การพัฒนาช้าลงกว่าที่เป็น การจัดการความรู้ในระดับท้องถิ่นก็ไม่ได้ดีเท่าที่ควร
คุณเบิร์ด เคยคุยกับผมสองสามครั้งประเด็นนี้ ผมคิดว่าเรายังมีประเด็นแบบนี้ที่ยังรอการพัฒนาอีกมาก และใช้เวลากับความเข้าใจของคนทำงาน
คิดว่าในอนาคตคงได้แลกเปลี่ยนกันมากขึ้นครับ
ผมอยากรู้ว่าคุณเบิร์ดสนใจประเด็นไหนครับ หรือว่า สุขภาพชุมชนโดยรวมๆครับ คิดว่าสามารถตั้งประเด็นได้ครับ และผมจะหาข้อมูลมาแลกเปลี่ยน - - -น่าสนใจดี ปกติผมชอบการแลกเปลี่ยนประเด็นแบบเจาะลึกครับ
ขอบคุณมากครับ
จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร - เอก
สวัสดีครับ
อ.หิ่งห้อย
ที่ดูเหมือนเป็นกำลังใจให้ผมตลอดมาครับ ฝากความคิดถึงถึง ท่าน ดร.เลขา ด้วย ให้ท่านเขียนบันทึกบ่อยๆครับ
ผมคิดว่า มรภ.กำแพงเพชร ก้าวย่างที่น่าสนใจและถูกจับตามองจากคนนอกด้วยครับ ดังนั้นแล้ว ผมขอให้กำลังใจครับ
- - - -
ผมตามไปให้ข้อคิดเห็นที่บันทึกแล้วครับ
ขอบคุณมากครับ
ผมถ่ายทอดเรื่องราวบนดอยให้อ่านกัน อาจเป็นเนื้อหาหนักๆอยู่บ้าง แต่คุณต้อมก็มาให้กำลังใจกระผมเสมอๆ ขอบคุณมากครับ
ไม่ต้องเพ่งที่รูปครับ ...พอดีรูปบนดอยอาจดูโทรมไปหน่อย ตอนนี้ผมปรับปรุงหน้าตาแล้วครับผม
ขอบคุณครับผม
สวัสดีครับพี่
ผมต้องขอขอบคุณมากครับที่พี่มาเยี่ยมบันทึก
ผมเคยทำงานวิชาการ งานวิจัยบนดอยเป็นนักวิจัยคนจนครับ มีความสุขมากในช่วงงานสนาม ตรงนั้นเองทำให้ผมได้เรียนรู้วิถีของผู้คนที่หลากหลาย ชีวิตสอนชีวิตครับ
จังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นพื้นที่ที่มี องค์กรหลากหลายแบบ หลากสัญชาติ เข้าไปทำงานครับ อาจด้วยความหลากหลายของพื้นที่ตรงนั้น ด้วยปัญหาที่ท้าทายด้วย การพัฒนาเชิงประเด็นจึงมีเยอะครับมีทั้งคนพลัดถิ่น(diaspora) แรงงานต่างด้าว (guestworker)และ กลุ่มที่เราเรียกเขาว่า miginalized
แต่เท่าที่กระผมสังเกตดูนะครับ ว่า ไม่ค่อยบูรณาการดฃกันเท่าไหร่ แบบงบใครงบมันครับ องค์กรใดเข้าไปก็หาข้อมูลกันที เข้าไปใหม่อีกหนึ่งองค์กรก็หาข้อมูลกันใหม่ ชาวบ้านก็เบื่อครับ ปรากฏการณ์แบบนี้เยอะ...
ปัญหาอีกอย่างที่ผมอยากสะท้อนก็คือ การใช้เงินเข้าไป ในรูปแบบใดก็ดี ทำให้เกิดปัญหามากๆ ทำให้งานพัฒนาพักหลังๆมีเงื่อนไขมากขึ้น
การไม่จริงใจของการทำงานนี่ก็เห็นชัดครับ เรื่อง"คำมั่นสัญญา" นี่ ชาวบ้านจะจำมาก มีหลายๆครั้งที่คนนอกเข้าไปให้คำมั่นสัญญาเขา แต่ไม่ทำตามที่บอกไว้ ตรงนี้เองก็ทำให้ชาวบ้านสูญเสียความเชื่อมั่นมากเลยครับ
บ่นให้พี่ฟังเยอะเลย และนี่ก็เป็นปรากฏการณ์ที่ผลักให้คนชายขอบออกไปเป็นชายขอบมากขึ้น
ผมเชื่อใน การสร้างความศรัทธา (trust building) มมองว่างานชุมชนต้องใช้เวลามาก กว่าจะเห็นผล ดังนั้นหากใจร้อนก็ได้ผลที่ฉาบฉวยครับ เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ไปอยู่แม่ฮ่องสอนเองก็อยู่เพื่อที่จะย้าย(ส่วนใหญ่) เลยครับ ตรงนี้เองก็เป็นช่องว่างหนึ่งของการพัฒนาชุมชนครับ
งานที่ผมทำเป็นงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นครับ ที่ไป empowerment ชุมชน สร้างนักวิจัยชาวบ้าน วิธีคิดในงานแบบนี้ก็เป็นการเรียนรู้ร่วมกัน ติดอาวุธเพื่อไปแก้ไขปัญหาของตัวเอง เพื่อความยั่งยืนของการแก้ปัญหาครับ
งานวิจัยแบบนี้องค์ความรู้ก็เป็นของชุมชน เราคุ้ยขึ้น เราเก็บไว้เพื่อเป็นข้อมูลในการทำงานต่อ แต่ที่บอกว่า"ขึ้นหิ้ง" ก็มีครับ ในงานวิจัยบางประเภท ที่ทำโดยคนนอก และอาจเป็นงานที่ไม่ได้อาศัยการมีส่วนร่วมเท่าไหร่ แต่งานแบบก็ดีครับ เราสามารถใช้อ้างอิงและต่อยอดได้
สรุปแล้ว งานชุมชนยังมีเสน่ห์ มีอะไรที่เราต้องคิด ต้องทำอีกมาก
ผมอยากให้นักวิชาการให้ความสนใจ ลุ่มลึกกับชุมชนมากๆครับผม
ขอบคุณครับผม
- - - - - - - - - - - - - -
* * * ประเด็นการอพยพมาทำงานในเมือง อาชีพในเมืองของคนดอย ผมก็อยากเขียนครับผม ไว้มีโอกาสผมจะเขียนบันทึกเกี่ยวประเด็นนี้ครับ
พี่
และท่านผู้อ่านทุกท่านครับ!!!
ประเด็นที่ผมเขียนเกี่ยวกับ "คนกลุ่มชาติพันธุ์" เอามาให้อ่านครับ
l;ylfu9vog=hk8iy[86Igvd
สวัสดีครับพี่
เทคโนโลยีที่สร้างโดยมนุษย์ -มนุษย์ควบคุมได้ครับ ผมลองแกะจากถ้อยคำที่โพสครั้งแรกได้ว่า "สวัสดีเช่นกันครับคุณเอก"
ต่างคนต่างทำนี่ชัดเจนมากครับ เพราะต่างงบและต่างกันในหลายๆองค์ประกอบครับ ก็เลยทำกันคนละที แต่ชาวบ้านรับทุกที 555
เคยมีชาวบ้านชุมชนหนึ่งล่มสลายเพราะถูกชำเราจากงานพัฒนานี่หละครับ ว่าไปก็น่าเศร้าว่าทุกคนก็ปรารถนาดีที่จะช่วยเหลือชุมชน แต่กลับกลายเป็นว่า การเข้าไปช่วยเหลือเค้า กลับเหมือน "พ่อแม่รังแกฉัน" ผลลัพธ์ที่น่าจะดี กลับสร้างปัญหาใหม่ๆให้ขบคิดแก้ไขกันมากขึ้น
นี่ เป็น นิยายของการพัฒนาครับ
เมื่อสิ้นสุดนิยายของการพัฒนาคนก็เริ่มค้นหาความจริงกันใหม่ - - อมาตยา เซน
จริงครับผม - - ไม่ใช่อิงนิยาย
และการเข้าไปทำงานวิจัยของ องค์กรต่างชาติ หากมองเรื่อง "ความมั่นคง" ก็น่ากลัว เรายังไม่มีมาตรการเรื่องนี้เลย ผมอยากบอกว่าน่าเป็นห่วงมาก เพราะมีนักวิจัยขององค์กรต่างชาติฝังตัวในหมู่บ้านเยอะแยะไปหมด
เราเปิดมากเกินไป และเราประมาทจนเกินไป
ผมมองในแง่ร้ายหรือเปล่า???
จำเป็นต้องมองครับ เพราะผมก็รักเมืองไทย ผมมองว่าเรามีจุดอ่อนเรื่องนี้เพราะเราไม่สนใจ ว่าใครจะมาทำอะไรบ้านเรา การส่งข้อมูลจากหมู่บ้านสู่ประคมโลกโดยอินเทอร์เนตแปบเดียว . . .การเชื่อมองค์ความรู้ การขโมยทรัพย์สินทางปัญญาก็ง่ายมาก
ผมคิดมากไปหรือเปล่า??
ก็อาจเป็นไปได้ เพราะหน่วยงานทางความมั่นคงของประเทศ ผมยังไม่เห็นมาตรการ หรือคุยเรื่องนี้อย่างจริงจังครับ
ผมชวนมองประเด็นแบบนี้ ..ที่เกิดขึ้นในพื้นที่เพื่อให้พี่TAFS เก็บไว้เป็นข้อมูลครับ
ขอบคุณมากครับ
มาต่อประเด็นเรื่องของความมั่นคงและการการขโมยทรัพย์สินทางปัญญาครับ...
เห็นด้วยกับคุณเอกครับ...
การแฝงตัวอยู่กับกลุ่มชาวบ้านของชาวต่างชาติที่มาในรูปแบบของนักวิจัย จำเป็นที่จะต้องมีการกำกับดูแล เนื่องจากการนำเสนองานวิจัยของนักวิจัยชาวไทย เราจะมีความระมัดระวังอยู่แล้ว เนื่องจากเราเป็นคนไทยเราย่อมตระหนักถึงผลดีและผลเสียที่จะเกิดขึ้นกับสังคมไทยและประเทศไทยเป็นหลัก...
ส่วนงานวิจัยและนักวิจัยชาวต่างชาติ เขาย่อมตระหนักในเรื่องนี้น้อย หรืออาจจะไม่ตระหนักเลย ฉะนั้นการนำเสนองานวิจัยของเขาต่อสังคมโลก จึงอาจจะมีผลกระทบในทางลบต่อสังคมและประเทศไทยในวงกว้างต่อไปก็ได้...
เรื่องของการขโมยภูมิปัญญาของเราไปจดลิขสิทธิ์ ประเทศไทยก็เคยมีบทเรียนมาแล้ว อย่าต้องให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอยอีกเลย...
มาป้องกันกันก่อนที่จะสายดีกว่าครับ ไม่ต้องรอให้วัวหายแล้วถึงค่อยมาล้อมคอกนะครับ...
ขอบคุณมากครับ...
คุณดิเรกครับ
ประเด็นที่ผมเขียนถึง เรื่อง ลิขสิทธิ์ทางปัญญา นี่เรายังไม่ค่อยได้คิดกันครับ จะรู้สึกอีกทีก็ต่อเมื่อคนนอกเค้าจดสิทธิบัตรไปแล้ว เราเข้าถึงและใช้ทรัพยากรของเราไม่ได้ ตรงนั้นไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย
ประเด็นต่อมาเรื่องของ "ความมั่นคง" ผมเคยเกริ่นๆกับพี่ที่รู้จักที่มีหน้าที่โดยตรงกับความมั่นคงของประเทศ ผมคิดว่าตรงนี้เองเป็นช่องโหว่อย่างมาก การส่งข้อมูลผ่านสื่อที่มีส่งออกนอกประเทศไป ง่ายๆตรงนี้น่าเป็นห่วงมาก
เท่าที่ผมทราบนักวิจัยที่ได้รับทุนจากต่างชาติไปฝังตัวในชุมชนเต็มไปหมด ...เราคิดอะไรจากปรากฏการณ์นี้บ้าง ..
กระผมลองโยนหินถามทางครับ!!!
คุณดิเรกครับ
ที่เมืองไทยมี งานวิจัยที่ได้ส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนระดับรากหญ้า เห็นจะเป็น "งานวิจัยเพื่อท้องถิ่น" ครับ ส่วนใหญ่สนับสนุนจาก สกว.ครับ ก็เน้นการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนโดยตรง สร้างชาวบ้านเป็นนักวิจัย งานแบบนี้งบปนะมาณไม่เยอะ แต่ผมมองว่าสร้างเกลียวความรู้ให้กับระดับชุมชนได้เป็นอย่างดี
ส่วนหน่วยงานของต่างประเทศ มีงบที่สูงมากครับ เทียบไม่ได้เลยกับ งบทางเมืองไทยเราสนับสนุน งานชุมชนทำงานยาก ผลที่ได้ก็ช้า ทำงานวิจัยแบบนี้จะหวังเงินไม่ได้ครับ นักวิชาการส่วนหนึ่งก็ไม่ชอบ ก็หันไปทำโปรเจคใหญ่ๆที่มีค่าตอบแทนสูงมากกว่า
ผมมองในระยะยาวแล้ว ต้องขอบพระคุณ สกว.มาก ครับที่ได้สนับสนุนการวิจัยระดับชุมชน กระผมเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี จนเห็นได้ชัดในพื้นที่วิจัย
อีกอย่าง นักวิจัย สถานะทางสังคมก็ไม่ค่อยได้รับการยอมรับเท่ากับอาจารย์- - - วิชาชีพนักวิจัย ต้องได้รับเชิดชูเกียรติและใด้รับความสำคัญจากสังคมมากกว่านี้ครับผม
แวะมาทักทายตามประสาคนเดินดิน
แลกเปลี่ยนกันครับ
ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณ พัฒนชัย ศรีพันธ์ชาติ
สวัสดีครับ พี่ TAFS
ตามมาพรวนบันทึก เก่าๆ ...
พอดีมีงานชิ้นใหม่ที่จะทำเกี่ยวข้องกับ ลีซู... เลยต้องกลับมาทบทวนครับ