[ อ่าน : หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง จุดที่ 4 บ้านบางเจ้าฉ่า จ. อ่างทอง]
บทเรียนที่เกิดขึ้นของหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง จุดที่ 5 คือ หมู่ที่ 12 ตำบลหนองกระอิฐ อำเภอหนองหญ้าไซ จังหวัดสุพรรณบุรี มีเนื้อหาสาระคือ
1) กระบวนการสร้างชุมชน ก่อนปี 2530 คนในหมู่บ้านจะทำนาเป็นหลัก ร้อยละ 70 และทำไร่ ร้อยละ 30 พื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นที่ดอน แล้วในปี 2538 ได้มีการปรับเปลี่ยนพื้นที่จากที่ทำนามาเป็นทำไร่อ้อย ร้อยละ 30 ในปี 2548 มีการแบ่งพื้นที่เพื่อปลูกผัก ร้อยละ 70 ปลูกพืชหมันเวียน เช่น ปลูกข้าว อ้อย และผัก ทำให้มีรายได้ดีขึ้น มีหนี้สินลดลง และมีหน่วยงานเกษตรเข้ามาแนะนำเกี่ยวกับการกำจัดแมลงและการทำนาให้ปลอดภัย จนถึงปี 2550 เริ่มมีการใช้ปุ๋ยชีวภาพในอาชีพการเกษตร และมีการทำนาเพื่อเก็บไว้กินเองในครัวเรือน มีโรงสีเคลื่อนที่เข้ามาให้บริการสีข้าวในหมู่บ้าน และทำให้เกิดกลุ่มต่าง ๆ ขึ้นมา เช่น กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มสัจจะที่ดูแลชาวบ้านตั้งแต่เกิดจนถึงตาย โดยมีสวัสดิการต่าง ๆ ช่วยเหลือ ได้แก่ เงินกู้ เงินฌาปณกิจสงเคราะห์ เงินค่ารักษาพยาบาล (10 คืน) และเงินคลอดบุตร(1,500 บาทต่อครั้ง) ตั้งแต่ปี 2544 มีแหล่งเรียนรู้ในการประกอบอาชีพ (ภูมิชาวบ้าน) และได้ไปศึกษาดูงานเพื่อนำความรู้มาพัฒนาอาชีพและหมู่บ้าน เป็นต้น จึงทำให้ความเป็นอยู่และเศรษฐกิจในการดำรงชีวิตดีขึ้นมาก
2) กระบวนการเป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง จากการประกอบอาชีพทำนาข้าว มาทปลูกอ้อย และปลูกผัก ตลอดจนทำการเกษตรแบบหมุนเวียนและแบบผสมผสาน ทำให้มีรายได้ของครัวเรือนดีขึ้น มีการลดรายจ่ายในครัวเรือนโดยการปลูกพืช (ปลูกข้าว/ผัก) และเลี้ยงสัตว์กินเอง เงินที่เหลือก็นำมาออมกับกลุ่มสัจจะหรือกลุ่มออมทรัพย์ที่ได้ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2544 เพื่อเป็นสวัสดิการและช่วยเหลือชาวบ้านด้วยกันเอง ชาวบ้านและมีจิตศรัทธาและเชื่อมั่นต่อวัดโดยร่วมกันสร้างถาวรวัตถุขึ้นมาในวัด มีการพัฒนาตนเองตลอดเวลาโดยเฉพาะกับอาชีพที่ทำก็จะมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การไปศึกษาดูงาน การฝึกอบรม และทดลองศึกษาความรู้จากการปฏิบัติจริง นอกจากนี้ยังมีการสร้างเครือข่ายในการอยู่ร่วมกันและการประกอบอาชีพ ซึ่งการดำรงชีวิตที่เป็นอยู่นั้นพออยู่ได้ มีเงินเหลือเก็บ มีข้าวกิน มีผักกิน มีรายได้ทุกวัน ทำอาชีพการเกษตรเป็นอาชีพหลักและรับจ้างเป็นครั้งคราว ส่วนรายจ่ายที่เกิดขึ้น ประมาณ 100 กว่าบาทต่อวันต่อครัวเรือน ดังนั้น จึงสรุปเป็นหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง ได้ว่า
(1) ความพอประมาณ ได้แก่ ทำอาชีพเพื่อกินเองและขายในชุมชน บริหารจัดการทรัพยากรตามความเหมาะสม ใช้เวลาอย่างคุ้มค่าและมีคุณค่า เก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ใช้เอง (ข้าว) มีโรงสีเคลื่อนที่ไว้ให้บริการ ใช้องค์ความรู้ในการทำอาชีพอย่างมีเหตุผลและถูกโรค มีการปลูกพืชผักไว้กินเองในครัวเรือนเหลือก็นำไปขาย มีฐานะความเป็นอยู่ที่พออยู่ได้/มีเงินเก็บ และทำอาชีพอย่างสม่ำเสมอและลงทุนไม่ฟุ่มเฟือย
(2) ความมีเหตุมีผล ได้แก่ มีการบริหารจัดการตนเองและเวลา คิดด้วยเหตุและผลจากข้อมูล มีการจัดระบบการผลิต มีระบบการคิดและวิธีการใช้องค์ความรู้ด้วยเหตุผลและข้อมูล และมีการเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ใช้เอง
(3) มีภูมิคุ้มกัน ได้แก่ มีกลุ่มสัจจออมทรัพย์ (กู้/ออม) มีสวัสดิการเพื่อช่วยเหลือคนในชุมชนทุกระดับ (เด็ก/คนแก่/คนตาย/คนคลอดบุตร) ทำอาชีพไว้กินเองเหลือก็ขาย ทำอาชีพเกษตรด้วยปัญญา ทำอาชีพหลากหลาย อยู่กันแบบสบาย ๆ พออยู่พอกินมีเหลือไว้เก็บ มีความรู้ด้านระบบการปลูกพืช มีรายได้ทุกวัน และมีการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
(4) มีความรู้ ได้แก่ มีวิธีการและช่องทางการค้นหาความรู้ นำความรู้จากการศึกษาดูงานแล้วนำมาปรับใช้ (ออมทรัพย์) เก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ข้าวไว้ใช้เอง และเรียนรู้อาชีพจากการปฏิบัติและลงมือทำ
(5) มีคุณธรรม ได้แก่ มีสัจจะ/ไม่โกง มีการรวมคนและรวมเงินเพื่อสร้างและบำรุงวัด มีการเชื่อมโยงคนกับวัดในการอยู่ร่วมกัน และมีความศรัทธาต่อวัด ส่วนการให้ความหมายของคำว่า “เศรษฐกิจพอเพียง นั้นเป็นการอยู่แบบพอมีพอกิน เหลือไว้เก็บบ้าง ไม่ทะเยอทะยาน และทำเท่าที่จะทำได้”
3) กระบวนการถอดบทเรียน ในการถอดบทเรียนเจ้าหน้าที่ได้มีกระบวนการ คือ
ขั้นที่ 1 ชี้แจงความเป็นมาและเป้าหมายของการดำเนินงาน โดยทีมงานได้เล่าถึงการถอดบทเรียนของหมู่ที่ 2 ตำบลบ้านสระ อำเภอสามชุก จังหวัดสุพรรณบุรี นั้นเพื่อจัดทำเป็นกรณีตัวอย่างของหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง ตามปรัชญาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
ขั้นที่ 2 ชาวบ้านเล่าถึงความเป็นมาและเรื่องราวที่เกิดขึ้นของสภาพความเป็นอยู่และวิถีชีวิตของหมู่บ้านที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียง ได้แก่ อาชีพ การดำรงชีวิต ความเป็นอยู่ และอื่น ๆ
ขั้นที่ 3 จัดเก็บข้อมูลและสะท้อนข้อมูลสู่กลุ่มเกษตรกร โดยจับประเด็นข้อมูล เขียนเป็นบันทึก และการนำเครื่องมือ 3 ห่วง 2 เงื่อน มาจัดเก็บข้อมูล
ขั้นที่ 4 เสริมความรู้ โดยทีมงานได้สะท้อนข้อมูลสู่กลุ่มชาวบ้าน ได้แก่
1) เป็นเศรษฐกิจพอเพียงด้วยตนเอง ด้วยความไม่รู้แล้วนำมาปฏิบัติ
2) ควรนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการพัฒนาอาชีพ เช่น ระบบน้ำในไร่อ้อย เป็นต้น
3) แนวโน้มการเกษตรของที่นี่จะมีความประณีตขึ้น เช่น ปลูกอ้อยกับปลูกผักร่วมกัน เป็นต้น
4) การเกื้อกูลของอาชีพยังไม่ค่อยมีและยังไม่ชัดเจน เช่น เลี้ยงวัวเพื่อทำมูลสัตว์ แต่ถ้าเลี้ยงไก่ก็จะไปจิกหรือคุ้ยเขี่ยผักก็จะทำให้เกิดความเสียหาย เป็นต้น
5) มีความเป็นตัวของตัวเอง แต่ถ้าเรามีการให้หรือขยายผลความรู้ในการผลิตก็จะทำให้กว้างขวางขึ้น ซึ่งต่อไปสิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ ความน่าอยู่และมีความสุข โดยเฉพาะจิตใจที่มาจาก “ความพอเพียง...ก็จะเป็นสุข”
ขั้นที่ 5 แลกเปลี่ยนประสบการณ์และความรู้ โดยวุฒิอาสา (ลุงทองเหมาะ จ. สุพรรณบุรี) ได้เล่าให้ฟังถึงตัวเองว่า แต่เดิมนั้นจะปลูกอ้อย แล้วไปทำนา แล้วไปทำผัก และตอนนี้ปลูกพืชหลายอย่าง จึงอยากจะให้คำแนะนำ คือ
1) อยากให้เลี้ยงหมูแล้วนำขี้หมูมาใส่ในไร่อ้อย เพราะที่นี่เลี้ยงหมูกันอยู่แล้ว เพียงแต่ปรับเป็น “หมูหลุม” เช่น เลี้ยงหมู 10 ตัว จะได้ปุ๋ย ประมาณ 8 ตันต่อปี และใช้ได้ ประมาณ7-8 ไร่ต่อปี
2) อยากจะให้ไปดูงาน แล้วนำมาดัดแปลงเอง เพราะเวลาคนที่นี่ไปดูงานแล้วจะนำมาดัดแปลงทำกันทุกครั้ง คือ มีอะไรบ้างที่เป็นสารทดแทนสารเคมีได้ เพราะคนที่นี่ทำงานแล้วน่าจะรวย เพียงแต่ใช้และซื้อสารเคมีมากเกินไป เช่น ไปดูงานเรื่องเกษตรอินทรีย์ และเรื่องเครือข่ายหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง เป็นต้น
3) สิ่งที่ควรจะทำต่อไป คือ
(1) การปรับปรุงบำรุงดินให้เหมือนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว
(2) ดินดี น้ำดี อากาศดี แล้วตัวแมลงจะไม่กินผัก
(3) ไปดูงานเกษตรอินทรีย์ “ลด ละ เลิก สารเคมี โดยใช้สารอินทรีย์”
(4) ค้นหาศูนย์เรียนรู้ที่พอเชื่อถือได้ในการศึกษาเรียนรู้เรื่อง การทดแทนและทำปุ๋ยอินทรีย์
(5) เลี้ยงหมูหลุม เพื่อใช้ปุ๋ยอินทรีย์
ขั้นที่ 6 สรุปบทเรียน โดยทีมงานได้กล่าวว่า ข้อมูลที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพียงคร่าว ๆ เท่านั้นและยังไม่เพียงพอ และทีมงานจะนำไปประมวลผลแล้วค่อยนำข้อมูลมาคืนสู่ชุมชน เพราะสิ่งเหล่านี้มีประโยชน์เพื่อใช้ทบทวนตนเอง ซึ่งแต่ละหมู่บ้านหรือแต่ละที่จะมีวิถีชีวิตเป็นของตนเองและสามารถนำมาใช้จัดการตนเองได้
ขั้นที่ 7 งานที่จะทำต่อไป โดยทีมงานได้ให้ชาวบ้านดำเนินการในสิ่งที่จะดำเนินการต่อไปหลังจากนี้ คือ
1) ให้ค้นหาบ้านที่ดำรงชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง จำนวน 50 ครัวเรือน เพื่อจัดเก็บข้อมูลในเชิงลึก และนำมาจัดระดับของเศรษฐกิจพอเพียง
2) ให้ค้นหาและสำรวจคนที่จะมาเป็น “นักวิจัยชุมชน” เพื่อจัดเก็บข้อมูลชาวบ้านของหมู่บ้านของเราเอง จึงขอให้คัดเลือกคนที่มีความคล่องตัวและเขียนหนังสือเป็น
ก็เป็นอีกเรื่องราวหนึ่งที่เป็นเหตุการณืและประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติของชาวบ้านค่ะ
[อ่าน : หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง จุดที่ 6 บ้านสระ จ. สุพรรณบุรี]สวัสดีครับอ.ศิริวรรณครับ ต้องชื่นชมจริงฯฯขยันบันทึกนะครับ สุดยอดครับ