ผมตัดสินใจไม่เดินทางไปทัศนศึกษายังภาคเหนือ ตามคำสั่งของ สพท. ในชั่วโมงสุดท้ายก่อนที่คณะจะออกเดินทางในเวลาประมาณ 21.00 น. ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ จึงมีเวลาในช่วงเช้ามานั่งเขียนบันทึกในเรื่องราวที่ต่อเนื่องจากเมื่อวาน ก่อนอื่น ขออนุญาตยกเอาข้อความที่ได้คุยกับคุณครูอ้อย (ศิริพร กุ่ยกระโทก) มานำร่องเป็นกระสายก่อนนิดหนึ่งครับ ข้อความที่คุยมีว่า...
- ผมเข้าใจในความเป็นปุถุชนคนธรรมดาของครู แต่รายได้ครูจะเพิ่มมากขึ้นทันทีโดยไม่ต้องมีค่าวิทยฐานะ เพราะเพียงแค่ 1) มีการแก้ไขกฎหมายให้เงินงบประมาณการจัดการศึกษา (เท่าที่กระทรวงฯได้รับในปัจจุบันนี้แหละ ไม่ต้องไปขอเพิ่มหรอก เพราะมากพออยู่แล้ว) ถูกส่งไปถึงโรงเรียนซึ่งเป็นหน่วยงานที่อยู่กับเด็กและเป็นตัวเป้าหมายของการพัฒนาที่แท้จริงให้เพียงพอต่อความจำเป็นต้องใช้ จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการจัดการศึกษาของครูที่ต้องจ่ายเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าลงไปได้อย่างมาก 2) อย่าสร้างกฎเกณฑ์อะไรที่ทำให้ครูต้องจ่าย ๆ ๆ ๆ แบบที่เห็นและเป็นอยู่ให้มากมาย แค่นี้ครูก็มีเงินเหลือในกระเป๋าแล้วครับ
ที่ต้องยกมากล่าวถึง ก็เพราะอยากนำเรียนว่า รายได้ของครูจากทั้ง 2 ประการนี้ มีความสำคัญเป็นเหตุเป็นผลต่อคุณภาพการศึกษาไทยอย่างมีนัยสำคัญ ดังนี้
- ประเด็นที่ 1 การแก้ไขกฏหมายหรืออกระเบียบให้เงินงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดการศึกษา ต้องถูกส่งลงไปให้ถึงโรงเรียนซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งวิธีการที่ถือปฏิบัติอยู่ในปัจจุบันนี้นั้น กลับกลายเป็นว่า "ยิ่งกระทรวงศึกษาธิการได้รับงบประมาณมากขึ้นเท่าใด การศึกษาไทยก็คุณภาพต่ำลงมากเท่านั้น" อ้าว!.... ทำไมถึงสวนทางกันเช่นนั้นหละ ก็สวนทางซีครับ เพราะยิ่งกระทรวงฯได้งบมาก ก็ยิ่งเป็นภาระของครูของโรงเรียนที่ต้องถ่อสังขารออกจากโรงเรียน(ทิ้งเด็ก)ไปช่วยหน่วยเหนือใช้งบประมาณ โดยเฉพาะในช่วงปลายงบ (ช่วงเดือนกรกฎา สิงหา กันยา) ครูต้องซิ่งมอเตอร์ไซค์ฝ่าสายฝนเข้า สพท.เป็นประจำ บางทีเสาร์อาทิตย์ก็ไม่เว้น หรือดีหน่อยบางคนใช้ปิ๊กอัพ แต่เปลืองน้ำมันเป็นบ้า ไปกลับ 100 กม. เผลอๆ ก็ 200-300 บาท ครูก็กระอักสิครับ มีค่าใช้จ่ายอันเกิดจากการปฏิบัติราชการ แต่เบิกคืนไม่ได้ซักบาท เพราะไปราชการไม่เกิน 12 ชั่วโมง (ไม่เกินจริง แต่ค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นแล้วตั้งแต่วินาที่ที่สตาร์ทรถ) โรงเรียนก็ไม่มีให้เบิก หน่วยเหนือที่จัดการอบรมก็เบิกงบมาจ่ายเป็นค่าอาหารและค่าอื่นๆหมด บ่อยครั้งเข้า ครูก็จน เมื่อจนก็แก้ปัญหา แก้ไปแก้มาก็เหมือปลาติดข่าย สุดท้ายก็ต้องใช้เวลาราชการในการแก้ปัญหาส่วนตัว เช่น ลาราชการไปกู้เงินสหกรณ์ออมทรัพย์ สถาบันการเงินต่างๆ หรือแม้แต่เอกชนประเภทแคชๆอีซี่ๆทั้งหลายฯลฯ เป็นต้น (นี่แหละที่ไปที่มาของปัญหาหนี้สินครู ที่นับวันยิ่งเขม็งเกลียวแน่นขึ้นๆ) เมื่อครูมีปัญหารุมเร้ามากๆ ก็ย่อมไม่มีกระจิตกระใจที่สอนสอน สีหน้าท่าทางก็ไม่น่าคุยด้วย เด็กก็ผวา เป็นที่มาของปัญหาคุณภาพการศึกษาตกต่ำที่สำคัญที่สุด อีกทั้งปัญหาอื่นๆก็จะตามมาอีกเพียบเลย
- ประเด็นที่ 2 เอาแค่ลดการเขียนกฎเขียนเกณฑ์ที่ทำให้ครูต้องซื้อ ต้องจ่าย ต้องหา ต้องปรึกษา ต้องเดินทาง ต้องเสียสุขภาพ ต้องเครียด ในส่วนที่เกินสภาพการปฏิบัติงานจริง แค่นี้ก็ช่วยให้ครูประหยัดทั้งเวลา ทั้งเงินทอง ทั้งความรู้สึก ซึ่งนอกจากจะทำให้ครูไม่ต้องใช้จ่ายเกินความจำเป็นแล้ว ยังช่วยให้ครูมีเวลาอยู่กับเด็ก กับครอบครัวมากขึ้น เมื่อครูได้พักผ่อนเพียงพอ ก็จะได้มีเวลาคิดอ่านเรื่องการเรียนการสอนอย่างเต็มที่ สุขภาพก็ดี หน้าตาก็ยิ้มแย้มแจ่มใส มีใจให้กับการสอน เด็กๆก็อยากอยู่ใกล้และมีใจให้กับการเรียน เพียงแค่นี้ คุณภาพการศึกษาก็จะดีขึ้นเองโดยอัตโนมัติครับ
พรุ่งนี้ติดตามต่อตอน 2 ครับ
Cool Kids Toys
ซื้อขายที่ดิน