กูฏวาณิชชาดก


ว่าด้วย หนามยอกเอาหนามบ่ง

กูฏวาณิชชาดก

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๙ [ฉบับมหาจุฬาฯ]

ขุททกนิกาย ชาดก ภาค ๑

๘. กูฏวาณิชชาดก (จากพระไตรปิฎก ลำดับเรื่องที่ ๒๑๘)

ว่าด้วยพ่อค้าโกง

             (อำมาตย์โพธิสัตว์ผู้พิพากษาทราบว่าพ่อค้าบ้านนอกคิดโกง เมื่อจะแก้เอาชนะคนโกง จึงกล่าวว่า)

             [๑๓๕] การที่ท่านคิดฉ้อฉลตอบบุคคลผู้ฉ้อฉลเป็นการคิดที่ดีแล้ว การโกงตอบบุคคลผู้โกงท่านกระทำตอบแล้ว ถ้าหนูทั้งหลายพึงเคี้ยวกินผาลได้ ทำไมนกเหยี่ยวทั้งหลายจะพึงเฉี่ยวเด็กไปไม่ได้

             [๑๓๖] ด้วยว่า คนโกงโกงตอบคนโกงมีอยู่มากในโลก คนอื่นผู้ล่อลวงตอบคนล่อล่วง ก็มีอยู่เหมือนกัน ท่านผู้มีบุตรหาย ท่านจงให้ผาลแก่คนที่มีผาลหายเถิด ขอคนผู้มีผาลหายอย่าได้ลักพาบุตรของท่านไปเลย

กูฏวาณิชชาดกที่ ๘ จบ

--------------------------

คำอธิบายเพิ่มเติมนำมาจากบางส่วนของอรรถกถา 

กูฏวาณิชชาดก

ว่าด้วย หนามยอกเอาหนามบ่ง

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพ่อค้าโกงคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ดังนี้.
               ความพิสดารมีอยู่ว่า ชนสองคนคือพ่อค้าโกงและพ่อค้าบัณฑิต ชาวเมืองสาวัตถี เดินทางไปด้วยกัน บรรทุกสินค้าเต็มเกวียน ๕๐๐ เล่ม เที่ยวทำการค้าจากทิศตะวันออกไปยังทิศต่างๆ ครั้นได้กำไรมากก็กลับกรุงสาวัตถี.
               พ่อค้าบัณฑิตได้กล่าวกับพ่อค้าโกงว่า สหายเรามาแบ่งสินค้ากันเถิด. พ่อค้าโกงคิดว่า พ่อค้าคนนี้ลำบากด้วยการนอน การบริโภคอันแร้นแค้นมาเป็นเวลานาน บริโภคอาหารมีรสเลิศต่างๆ ในเรือนของตนจักตายเพราะอาหารไม่ย่อย ทีนั้นแหละ สินค้าทั้งหมดอันเป็นส่วนของเขาก็จักเป็นของเราแต่ผู้เดียว จึงกล่าวว่า ฤกษ์และวันยังไม่พอใจ พรุ่งนี้มะรืนนี้จึงค่อยรู้ แกล้งถ่วงเวลาไว้.
               พ่อค้าผู้เป็นบัณฑิตแค่นให้เขาแบ่งได้แล้ว จึงถือเอาของหอมและดอกไม้ ไปเฝ้าพระศาสดา บูชาพระศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
               พระศาสดาตรัสถามว่า ท่านมาถึงเมื่อไร กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้า มาได้ประมาณกึ่งเดือนพระเจ้าข้า. ตรัสถามว่า เพราะเหตุไรจึงล่าช้าอย่างนี้ ไม่มาสู่ที่พุทธุปฐาก เขากราบทูลให้ทรงทราบ. พระศาสดาตรัสว่า อุบาสก มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อน พ่อค้านี้ก็เป็นคนโกงเหมือนกัน.
               อุบาสกทูลอาราธนา จึงทรงนำเรื่องอดีตมาตรัสเล่า.
               ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์อุบัติในตระกูลอำมาตย์ ครั้นเจริญวัยได้เป็นอำมาตย์ผู้วินิจฉัยคดีของพระองค์.
               ในครั้งนั้น มีพ่อค้าสองคน คือพ่อค้าชาวบ้านกับพ่อค้าชาวกรุง เป็นมิตรกัน. พ่อค้าชาวบ้านฝากผาล ๕๐๐ ไว้แก่พ่อค้าชาวกรุง. พ่อค้าชาวกรุงขายผาลเหล่านั้นแล้วเก็บเอาเงินเสีย แล้วเอาขี้หนูมาโรยไว้ในที่เก็บผาล.
               ครั้นต่อมาพ่อค้าชาวบ้านนอกมาหากล่าวว่า ขอท่านจงคืนผาลให้เราเถิด.
               พ่อค้าโกงกล่าวว่า ผาลของท่านถูกหนูกินหมดแล้ว จึงชี้ให้ดูขี้หนู.
               พ่อค้าบ้านนอกกล่าวว่า ถูกหนูกินแล้วก็ช่างเถิด เมื่อหนูกินแล้วจะทำอย่างไรได้. จึงพาบุตรของพ่อค้าโกงนั้นไปอาบน้ำ ให้เด็กนั้นนั่งอยู่ภายในห้องในเรือนของสหายผู้หนึ่ง แล้วกล่าวว่า อย่าให้ทารกนี้แก่ใครๆ เป็นอันขาด แล้วตนเองก็อาบน้ำ กลับไปเรือนพ่อค้าโกง.
               พ่อค้าโกงถามว่า ลูกของเราไปไหน.
               พ่อค้าบ้านนอกบอกว่า ในขณะที่เราวางบุตรของท่านไว้ริมฝั่งแล้วดำลงไปในน้ำ เหยี่ยวตัวหนึ่งบินมาเอากรงเล็บโฉบบุตรของท่าน แล้วบินไปสู่อากาศ แม้เราพยายามปรบมือร้อง ก็ไม่สามารถให้มันปล่อยได้.
               พ่อค้าโกงกล่าวว่า ท่านพูดโกหก เหยี่ยวคงไม่สามารถโฉบเอาเด็กไปได้ดอก.
               พ่อค้าบ้านนอกกล่าวว่า สหายจะว่าถูกก็ถูก จะว่าไม่ถูกก็ถูก แต่เราจะทำอย่างไรได้ เหยี่ยวเอาบุตรของท่านไปจริงๆ. พ่อค้าโกงคุกคามพ่อค้าบ้านนอกว่า เจ้าโจรใจร้ายฆ่าคน คราวนี้เราจะไปศาล ให้พิพากษาลงโทษท่าน แล้วออกไป. พ่อค้าบ้านนอกกล่าวว่า ทำตามความพอใจของท่านเถิด แล้วไปศาลกับพ่อค้าโกงนั้น.
               พ่อค้าโกงกล่าวกะพระโพธิสัตว์ว่า ข้าแต่นาย พ่อค้าผู้นี้พาบุตรของข้าพเจ้าไปอาบน้ำ เมื่อข้าพเจ้าถามว่าบุตรของเราไปไหน เขาบอกว่า เหยี่ยวพาเอาไป ขอท่านได้โปรดวินิจฉัยคดีของข้าพเจ้าเถิด.
               พระโพธิสัตว์ถามพ่อค้าบ้านนอกว่า ท่านพูดจริงหรือ.
               พ่อค้าบ้านนอกกล่าวว่า ข้าพเจ้าพาเด็กนั้นไปจริงนาย.
               ถามว่า เหยี่ยวพาเด็กไปได้จริงหรือ. ตอบว่า จริงจ้ะนาย.
               ถามว่า ก็ในโลกนี้ธรรมดาเหยี่ยวจะนำเด็กไปได้หรือ.
               พ่อค้าบ้านนอกกล่าวว่า ข้าแต่นาย ข้าพเจ้าขอถามท่านว่า เหยี่ยวไม่สามารถพาเด็กไปในอากาศได้ แต่หนูเคี้ยวกินผาลเหล็กได้หรือ.
               พระโพธิสัตว์ถามว่า นี่เรื่องอะไรกัน.
               พ่อค้าบ้านนอกกล่าวว่า ข้าแต่นาย ข้าพเจ้าฝากผาลไว้ ๕๐๐ ที่เรือนของพ่อค้านี้ พ่อค้านี้บอกว่าผาลของท่านถูกหนูกินเสียแล้วชี้ให้ดูขี้หนูว่า นี้คือขี้ของหนูที่กินผาลของท่าน ข้าแต่นาย ถ้าหนูกินผาลได้ แม้เหยี่ยวก็จักพาเอาเด็กไปได้ หากกินไม่ได้ แม้เหยี่ยวก็จะนำเด็กนั้นไปไม่ได้ พ่อค้านี้กล่าวว่า หนูกินผาลหมดแล้ว ท่านจงทราบเถิดว่า ผาลเหล่านั้นถูกหนูกินจริงหรือไม่ ขอได้โปรดพิพากษาคดีของข้าพเจ้าเถิด.
               พระโพธิสัตว์ทราบว่า พ่อค้าบ้านนอกนี้คงจะคิดโกงแก้เอาชนะคนโกง จึงกล่าวว่า ท่านคิดดีแล้ว ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-
               ท่านได้คิดอุบายตอบอุบายดีแล้ว ได้คิดโกงตอบผู้โกงดีแล้ว ถ้าหนูทั้งหลายพึงกินผาลได้ เหตุไฉนเหยี่ยวทั้งหลายจะเฉี่ยวเด็กไปไม่ได้เล่า.
               บุคคลที่โกงตอบคนโกง ย่อมมีอยู่แน่นอน บุคคลที่ล่อลวงก็มีอยู่เหมือนกัน ดูก่อนท่านผู้มีบุตรหาย ท่านจักไม่ให้ผาลแก่เขา บุรุษผู้มีผาลหาย ก็จะไม่นำบุตรมาให้แก่ท่าน.
               ดูก่อนบุรุษผู้บุตรหาย จงคืนผาลให้แก่บุรุษผู้ผาลหายนี้เถิด ถ้าท่านไม่ให้ผาล เขาจักพาบุตรของท่านไป แต่บุรุษนี้อย่าเอาผาลของท่านไปเลย ท่านจงให้ผาลแก่เขาเสียเถิด. พ่อค้าโกงกล่าวว่า ข้าแต่นาย ข้าพเจ้ายอมคืนให้ ถ้าเขาจะคืนบุตรให้ข้าพเจ้า. พ่อค้าบัณฑิตกล่าวว่า ข้าแต่นาย ข้าพเจ้าจะคืนบุตรให้ ถ้าเขาจะคืนผาลให้ข้าพเจ้า.
               พ่อค้าที่บุตรหายก็ได้คืนบุตร พ่อค้าผาลหายก็ได้คืนผาล แล้วทั้งสองก็ไปตามยถากรรม.
               พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดก.
               พ่อค้าโกงในครั้งนั้น ได้เป็น พ่อค้าโกงในครั้งนี้.
               พ่อค้าบัณฑิตได้เป็น พ่อค้าบัณฑิตนี้แล
               ส่วนอำมาตย์ผู้วินิจฉัยคดี คือ เราตถาคต นี้แล.

               จบอรรถกถากูฏวาณิชชาดกที่ ๘               
               -----------------------------------------------------     

 

หมายเลขบันทึก: 718228เขียนเมื่อ 15 พฤษภาคม 2024 05:46 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 พฤษภาคม 2024 05:46 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท