เมื่อวาน..ฝนฟ้าคะนอง ลมกรรโชกแรง..รังนกตกจากหลังคาศาลาท่าน้ำ ผมช่วยไว้ทัน แล้วยกรังวางไว้ที่เดิม..เช้าวันนี้ไปติดตามดู ก็พบว่าลูกนกนอนหลับสบายเป็นปกติ..
วันนี้..ตั้งใจทำงานให้เรียบร้อย..ก่อนที่คณะผู้ศึกษาดูงานจะเดินทางมาในวันศุกร์ที่ ๒๐ เมษายน..จำนวน ๒๕ คน จากราชวิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว แห่งประเทศไทย..
จุดประสงค์ของการมาศึกษาดูงาน จุดใหญ่ใจความก็เพื่อจะดูการประยุกต์ใช้ศาสตร์พระราชา..ในการทำงานของผม ซึ่งจริงๆแล้ว คณะที่มาก็ทราบดีว่าที่โรงเรียนไม่ได้มีผลงานที่ยิ่งใหญ่ ไม่ได้เป็นโรงเรียนดีเด่นอะไรมากมาย..
แต่เขาน่าจะพอใจ..ที่เห็นผมมีความเพียรพยายามที่จะทำงาน..ให้มีความยั่งยืนและต่อเนื่อง..พัฒนางานไปตามบริบท และแก้ปัญหาอย่างที่ไม่รู้สึกว่าจะต้องท้อถอย..
ผมรู้สึกว่า..ช่างกล้าหาญนัก ที่ยินดีต้อนรับการดูงานครั้งนี้ ทั้งที่เป็นช่วงปิดภาคเรียน ซึ่งจะมีผมกับครูเวรคอยดูแลต้อนรับเท่านั้น..
ต่อเมื่อมาคิดอีกที..นี่ล่ะของจริง ที่เป็นภาพเชิงประจักษ์ของสภาพโรงเรียนที่เป็นปัจจุบัน และเป็นสถานที่ราชการ ๒๔ ชั่วโมง/วัน ก็ควรจะเรียบร้อยอยู่เสมอ..
ผมอยากให้เขาเห็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติมากกว่า..ธรรมชาติ ก็คือธรรมะ หรือสัจจะความจริง ไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำ..ซึ่งจะขัดกับหลักการของ "ศาสตร์พระราชา.."
เคยมี..โรงเรียนหลายโรงในเขตพื้นที่ฯ พอรู้ว่าจะมีคณะมาดูงาน เขตฯก็ระดมคนไปพัฒนากันยกใหญ่..ผมบอกตัวเองว่าอย่าทำแบบนั้น..เบียดเบียนตนเองไม่พอยังต้องเบียดเบียนคนอื่นอีกหรือ?
นัดหมายคนงานไว้ว่า..จะตัดหญ้าช่วงต้นเดือนพฤษภาคม เพื่อเตรียมการก่อนเปิดภาคเรียน..วันนี้..ให้มาก่อนได้เลย..เนื่องจากผมไม่มีภารโรง จะปล่อยให้คณะศึกษาดูงานลุยดงหญ้าคงไม่เหมาะสมแน่..
คนตัดหญ้า..เข้าใจงานดี เพราะเคยมาตัดปีละ ๔ – ๕ ครั้ง ผมก็เลยทาสีรั้วโดยรอบสวนครัว ข้างโรงอาหาร..ทาให้ดูสดใสและรักษาเนื้อไม้ให้คงสภาพได้นาน..
จากนั้น..ก็เชิญแม่ครัวโรงเรียนมาพูดคุยเรื่องอาหารที่จะเลี้ยงรับรองแขกที่มา แม่ครัวบอกแกงป่าไก่ใส่มะเขือ และมะเขือก็ไม่ต้องซื้อ มีมากมายในแปลงเกษตร..
ครึ่งวันผ่านไป ภารกิจสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ผมก็เลยต้องเตรียมข้อมูลสำหรับการบรรยายพิเศษในวันศุกร์..คงจะใช้ช่วงเวลาสั้นๆราว ๓๐ นาที..ก่อนพาคณะดูงานเดินชมกิจกรรมและแหล่งเรียนรู้โดยรอบ
ผมตั้งใจจะบอกคณะที่มาดูงานว่า..ผมศึกษา “ศาสตร์พระราชา”มาอย่างยาวนาน แต่มีสติปัญญาและพละกำลัง ปฏิบัติตาม “คำพ่อสอน”อย่างจริงจังได้ไม่ทุกข้อ..
แต่ผมก็ภูมิใจในทุกข้อที่ศึกษาและนำมาประยุกต์ใช้ บังเกิดผลเป็นรูปธรรม เกิดคุณค่าต่อชีวิตและองค์กร “บ้านหนองผือ” ทำให้ผมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
เริ่มจาก..ระเบิดจากภายใน จะทำการใดๆ ต้องเริ่มจากคนที่เกี่ยวข้องเสียก่อน ต้องสร้างความเข้มแข็งจากภายในให้เกิดความเข้าใจและอยากทำ ไม่ใช่การสั่งให้ทำ ในการทำงานนั้นอาจจะต้องคุยหรือประชุมกับ เพื่อนร่วมงาน เพื่อให้ทราบถึงเป้าหมายและวิธีการ..
ผมจะไม่ทำอะไรตามอำเภอใจ แต่จะคุยหารือกับครูทุกคนอยู่เสมอ..
"แก้ปัญหาจากจุดเล็ก" ควรมองปัญหาภาพรวมก่อนเสมอ แต่เมื่อจะลงมือแก้ปัญหานั้น ควรมองในสิ่งที่คนมักจะมองข้าม แล้วเริ่มแก้ปัญหาจากจุดเล็กๆ เสียก่อน เมื่อสำเร็จแล้วจึงค่อยๆ ขยับขยายแก้ไปเรื่อยๆ
โรงเรียนขนาดเล็ก..อยู่ในชุมชนเล็กๆ ต้องสร้างศรัทธาให้เกิดขึ้นให้ได้ ปัญหาอยู่ที่การจัดการเรียนการสอน..การอ่านออกเขียนได้ ถ้าแก้ปัญหาได้..ความสำเร็จด้านอื่นจะตามมา..
"ทำงานแบบองค์รวม" ใช้วิธีคิดเพื่อการทำงาน โดยวิธีคิดอย่างองค์รวม คือการมองสิ่งต่างๆ ที่เกิดอย่างเป็นระบบครบวงจร ทุกสิ่งทุกอย่างมีมิติเชื่อมต่อกัน มองสิ่งที่เกิดขึ้นและแนวทางแก้ไขอย่างเชื่อมโยง..
ผมพยายามบูรณาการแหล่งเรียนรู้และสิ่งแวดล้อม ให้เป็นเครื่องมือในการจัดการเรียนการสอน..เพื่อให้เกิดการลงทุนที่คุ้มค่าและใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม..
"รู้จักประหยัด เรียบง่าย ได้ประโยชน์สูงสุด" ในการพัฒนาและช่วยเหลือราษฎร ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงใช้หลักในการแก้ปัญหาด้วยความเรียบง่ายและประหยัด ราษฎรสามารถทำได้เอง และหาได้ในท้องถิ่น
โรงเรียนบ้านหนองผือ..จึงอยู่ท่ามกลางธรรมชาติแวดล้อม อาคารเรียนไม่ได้เลิศหรูอลังการ..แต่ใช้ทุกพื้นที่ให้คุ้มค่า..นำพานักเรียนสู่คุณภาพ..
ประการสำคัญที่สุด คือ "ผมทำงานอย่างมีความสุข" ถ้าเราทำอย่างไม่มีความสุขเราจะแพ้ แต่ถ้าเรามีความสุขเราจะชนะ สนุกกับการทำงานเพียงเท่านั้น ถือว่าเราชนะแล้ว..
ก่อนกลับบ้าน..ผมก็เลยชื่นชมผลงาน จากการทำงานที่มีความสุขในวันนี้..โรงเรียนร่มรื่น สะอาดสดใส..เป็นรางวัลที่มีคุณค่าชิ้นใหญ่ที่ผมได้รับอยู่เสมอ..จากการลงมือทำ...
ชยันต์ เพชรศรีจันทร์
๑๘ เมษายน ๒๕๖๑
ไม่มีความเห็น