งุนงงสงสัยมาก ๆ ค่ะ


ได้ฟังและอ่านเทศน์ของพระอาจารย์รูปหนึ่ง ทำให้งุนงงสงสัยว่าหนูกำลังหลงทางอยู่ แล้วหนูจะพิจารณายังไงดีค่ะ เพราะเพื่อน ๆ หลายคนชอบการปฏิบัติแบบนี้ ไม่ได้ต้องการให้เกิดความขัดแย้ง อาจารย์ช่วยอ่านแล้วตอบหนูด้วยนะคะ ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง นิพพานอยู่แล้ว ไม่ใช่การคอยติด การคอยหลุดอยู่แล้ว นั่นแหละ “ไม่อยู่แล้ว” มันก็ไม่ของมันเอง ไม่วุ่นวายไปเอง ไม่ยุ่งของมันไปเอง ไม่หลงจริง ไม่หลงเท็จไปเสียเอง ก็คือไม่อยู่แล้ว จะใช่ ไม่ใช่ ตัดทิ้งไปเลย ไม่ต้องไปค้นหา อะไร เป็นอะไร ก็ตัดทิ้งไปเลย ไม่ต้องไปถามหา มันก็ไม่เป็นเหตุ เป็นผลของมันอีก จบเลย ไม่ใช่เป็นการคอยติด คอยหลุดอะไร ไม่ใช่ จบเลย ไม่ต้องไปคอยปรับปรุง คอยเปลี่ยนแปลง ไปแก้ไขแบบไหน อย่างไร ไม่ต้อง เพราะฉะนั้นที่มีกายธาตุ จิตธาตุ มีแบบไม่ยึดติดอยู่แล้ว ไม่ใช่สิ่งยึดติดอยู่แล้ว มันไม่ยึด มันไม่ติด อยู่แล้ว ธรรมชาติที่มันไม่ยึดอยู่แล้ว ก็สมดุลโดยธรรมชาติของมัน ไม่ไปมัวคอยหลง คอยต่อ คอยเสริม ไปเพิ่มอะไรให้มันยุ่งไปเสียเอง มันก็ไม่อยู่แล้วทั้งหมด มันไม่ใช่การยึดติดอยู่แล้ว ถึงจะมี ถึงจะเป็น มันก็เป็นแบบไม่ยึด ไม่ติดอยู่แล้ว อนิจจังอยู่แล้ว ไม่ใช่การยึดติดอยู่แล้ว มันไม่ใช่ที่ความสาละวนเข้าไปคอยเพิ่ม หรือไปคอยลด-คอยเพิ่ม มันเป็นความหลงสาละวน หรือว่าหลง หลงสาละวนไปเอง ไม่รู้ว่าตรงต่อไม่ตลอด ตรงต่อความเป็นจริงว่า “ไม่อยู่แล้ว” จริงๆ ไม่ต้องไปคอยติด ไม่ต้องไปคอยหลุด ซ้อนลงไปอีก ไม่ต้อง ไม่ต้องมัวไปผูก ไปแก้ ซ้อนลงไปอีก เข้าไปคอยผูก คอยแก้ ยิ่งเป็นเงื่อน เป็นปม เป็นแง่ เป็นมุม เป็นเหตุ เป็นผล ไปหน้าเรื่อยบานปลาย ไปหน้าเรื่อย เหมือนว่าไปคอยเริ่ม สร้างเหตุเป็นเสียเอง จริงๆ ไม่ๆ อยู่แล้ว ว่าง อยู่แล้ว “ไม่” อยู่แล้ว ไม่ใช่ตรงที่อะไรอยู่แล้ว ไม่อยู่แล้ว ว่างอยู่แล้ว ก็ปล่อยเลย ตัดทิ้งไปเลย ไม่ต้องไปคอยห่วง คอยติด คอยหลุดอะไร คอยติด คอยหลุดอย่างไร ไม่ต้องไปคอยห่วง ตัดทิ้งไปเลย ไม่ต้องห่วง มันก็ตรงต่อที่มันไม่ของมันอยู่แล้วจริงๆ “ไม่อยู่แล้ว” นิพพานอยู่แล้ว ไม่ยึดอยู่แล้ว ไม่ใช่การยึดติดอยู่แล้ว “ไม่อยู่แล้ว” นิพพานอยู่แล้ว ไม่ใช่อะไรอยู่แล้วไง นิพพานไม่ใช่อะไร ก็ไม่ใช่อะไรอยู่แล้ว ไม่ห่วง แม้กระทั่งปัญญา ไม่ห่วง แม้กระทั่งความเข้าใจ ไม่ห่วง แม้กระทั่งการรู้ ไม่ไปคอยผูก ไม่ไปคอยแก้ ไม่ไปคอยเพิ่ม ไม่ไปคอยลด ให้มันยุ่งไปเสียเอง นี้ไม่ห่วง ไม่เกี่ยวเข้าใจ ไม่เข้าใจ ตัดไปเลย คือไม่อยู่แล้วจริงๆ ว่างอยู่แล้วเอง ไม่ไปคอยเพิ่ม ไม่ไปคอยลดอะไร ไม่พยายามหลุดจากอะไร อะไรหลุดจากอะไร ทุกอย่างคือการไม่ยึดติดอยู่แล้ว จะเอาอะไรไปหลุดจากอะไร ยิ่งไปคอยยึดติด ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ ติดก็ไม่ต้องติด หลุดก็ไม่ต้องหลุด ตรงที่สุด ตรงต่อความไม่ยึดติดที่สุด ตรงต่ออนิจจังอยู่แล้วที่สุด ตรงต่อไม่อยู่แล้ว ตรงต่อนิพพานอยู่แล้วที่สุด ทุกอย่างไม่ต้องไปคอยหลุดอีก “มันไม่ยึดอยู่แล้ว” มันไม่ต้องไปคอยหลุดอีกทุกอย่าง จะตรงต่อนิพพานอยู่แล้วที่สุด เราคอยไปหลุด ก็หลงขึ้นมาอีก หลงไปคอย หลงเป็นตัณหา หลงๆๆ หลงดิ้นรนไปเสียเอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดเลยว่าไปทำอะไรมัน ไปทำจิตแบบไหนนี้ไม่เกี่ยวเลย เข้าไปทำมัน เหมือนกับเด็กเล่นอยู่นั้นแหละ เล่นจิต เล่นวิญญาณ เล่นความรู้สึกนึกคิด เล่นอารมณ์ เล่นพฤติกรรมอยู่ มันก็เล่น เป็นของเล่น มันไม่เป็นการยึดติดอยู่แล้ว แล้วจะไปทำอะไร เหตุไปทำมันแบบไหน ทำเพื่ออะไร ทำตัวทำใจแบบไหน ทำเพื่ออะไร ทำเพื่อเป็นกรรมขึ้นมาอย่างนั้นหรือ ไอทำไปก็เป็นกรรมไป สร้างกรรมๆๆๆ ไอนี้ตัวใจไม่ต้องไปทำมันอีกแล้ว ใจตรงต่อความเป็นจริงเท่านั้น ไม่ใช่การยึดติดอยู่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ยึดติดอยู่แล้ว โดยสภาพมันเองทั้งหมด ห่วง ก็ไม่ห่วงเลยในการที่ไปทำมันแบบไหน ทั้งตัว และใจ ก็ไม่ต้องไปห่วงเลยไปทำมันอย่างไร คือไม่ ก็ไม่อยู่แล้ว คือไม่ต้อง ไม่ต้องไป ไม่ มันไม่อยู่แล้ว โดยความเป็นจริง มัน “ไม่อยู่แล้ว” ไม่ต้องไปคอยไม่ คือ ไม่อยู่แล้วนั่นเอง หรือว่า ว่างอยู่แล้ว นี่ๆ มัวไปคอยทำแบบนั้น แบบนี้อยู่ก็เป็นวิบากอย่างหนึ่ง การตรงต่อความเป็นจริงแล้ว ก็ยังหลงเข้าไปกระทำมันแบบนั้น แบบนี้อยู่ มันก็วิบากนั่นแหละ เป็นความลำบาก เป็นวิบาก โดยสั่งสมการตอกย้ำมา คอยจะ คอยจ้องคอยตั้ง คอยอย่างนั้น อย่างนี้มาเรื่อยๆ กลายเป็นผลวิบากกรรมมา หลอน คอยจะอยู่เรื่อย คอยต้องอยู่เรื่อย มันหลอน วิบากหลอน ตีกลับ ไปคอยจะ ไปคอยต้องกับมันมากๆ มันก็เลยตีกลับ เลยกลายมาเป็น วิบากหลอน คอยจะอย่างนั้นอยู่เรื่อย คอยต้องอย่างนั้น คอยตั้งอย่างนั้นอยู่เรื่อย ทั้งๆ ที่ตรง การตรงต่อความเป็นจริงแล้ว ยังหลงจะ หลงต้องอยู่ ไอ “ไม่อยู่แล้วจริงๆ” ก็ไม่จริงๆ ไม่อยู่แล้ว ไม่ใช่การคอยติด ไม่ใช่การคอนหลุดอยู่แล้ว มันไม่อยู่แล้ว ไม่ใช่อะไรอยู่แล้ว ไม่เป็นทั้งกิเลส ไม่เป็นทั้งธรรมะ ไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว ไม่อยู่แล้ว นิพพานอยู่แล้ว ไม่มามัวมาเห็นมันๆ ไม่มามัวห่วงดูมัน เห็นมันอยู่ ไม่ห่วง “ไม่อยู่แล้วๆ” มันตัดหมด โมหะในการเห็น โมหะในการรู้ โมหะในการเข้าใจ อะไร มันตัดหมด ก็มันไม่อยู่แล้ว มันไม่คอยอะไรเข้าใจอะไรอีกแล้ว ไม่ต้องเอาอะไรมาคอย ใช่ ไม่ใช่ อะไรกับอะไรอยู่แล้ว ไม่ ไม่มีมาค้นหาความเป็นจริงที่ไหนอีกต่อไปแล้ว ก็ไม่อยู่แล้วไง “ไม่อยู่แล้ว” ว่างอยู่แล้ว มันไม่มาคอยค้นหาความเป็นจริง อะไรจริง อะไรไม่จริง ไม่ต้องมาคอยเอ๊ะ คอยอ๊ะ คอยสงสัย คอยลังเลกับอะไร ก็ไม่อยู่แล้วไง มันไม่ใช่ต้องแบบไหนอยู่แล้ว มันไม่ต้องอยู่แล้ว มันก็ไม่มีอะไรมาคอยทำความเข้าใจ อะไรจะมาคอยรู้ เข้าใจอะไรอยู่ ไม่ ตัดหมด “อวิชชา” “วิชชา” ตัดหมดทั้ง อวิชชา วิชชา ไม่มีวิชชา อวิชชา, มีวิชชา อวิชชา มันตัดหมด ไม่อะไรอยู่แล้ว ไม่ใช่อะไรอยู่แล้ว อะไรแจ้งอะไรๆ อะไรเข้าใจในอะไร ไม่อยู่แล้วไม่มามัวคาวิชชาอยู่ ไม่มามัวคาความเข้าใจอยู่ นั่นแหละ ว่างอยู่แล้ว ก็ไม่ต้องดำเนินตัวไหนอีก ไม่ต้องคอยทำจิตอย่างไรอีก ไม่ต้อง ไปทำรู้ ทำเห็น ทำเข้าใจมัน ไม่ต้อง ไม่อยู่แล้วไง จริงๆ ก็ไม่อยู่แล้ว ไม่มีอะไรอยู่แล้ว มันก็จบ ไม่มามัวห่วง อะไรเข้าใจอะไร ไม่อย่างนั้นไปติดปัญญา ติดวิชชา-ติดปัญญา นั่นแหละไม่เป็นการคอยหลีก คอยหลบอยู่แล้ว อะไรต้องคอยติดอะไร อะไรต้องคอยหลุดอะไร ไม่ ไม่อยู่แล้ว................สาธุ.......................


ความเห็น (2)

ไม่มีความเห็น


คำตอบ (1)

คนไร้กรอบ
เขียนเมื่อ
not yet answered


ความเห็น (2)

ห้อง G2K ผม ไม่ค่อย จะเข้า

เลยตอบช้าไปหน่อยนะ

๑) เรื่อง สภาวะ นิพพาน อธิบายยากนะ และ หนูไปฟังใครอธิบายมา ก็ ไม่แน่ว่า ท่านนั้น จะเข้าถึงหรือยัง

๒) หนู ยัง ไม่รู้จัก ปัญญา ๓ ฐาน หนูใช้ แค่ ฐานคิด ยังไม่ได้ฝึก ฐานใจ และ ฐานกาย อย่างเต็มที่

หนู ใช้ แค่ option คิด ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

๓) ไปคุยกันที่ ห้อง http://managerroom.com จะดีกว่า ที่ G2K นี่ เพราะ ผมใช้ไม่ถนัด นานๆเข้า g2k หนหนึ่ง

ดีใจจังเลยที่(พระ)อาจารย์ตอบ เดี๋ยวหนูไปคุยต่อที่ managerroom.com ค่ะ

ขอบพระคุณอย่างสูง

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท