เธอมีความเครียดหรือเรียกภาษาพระว่า วตกจริต อาจเป็นเพราะต้องทำในส่ิงที่ไม่ต้องการทำ
ดวงใจร้าวรานสังขารร่วงโรย
โสภณ เปียสนิท
.........................................
ตำแหน่งนี้ทำหน้าของตัวเอง โดยถูกส่งเข้าประกวดนางงามระดับเอเชียแปซิฟิค และชนะเลิศได้รางวัลกลับบ้านเมืองไทยอีกครั้ง คราวนี้โด่งดังไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ เข้าสู่แวดวงดารา กลายเป็นดาราดังของฟากฟ้าดาราไทยสมตามคำของปราชญ์เก่าว่า “นารีมีรูปเป็นทรัพย์” เพราะเรือนร่างอันงดงาม เพราะบทบาทการแสดงเป็นที่ต้องตาต้องใจของประชาชน
แม้ความรักตามวิถีแห่งโลก เธอได้รับมาเพราะสืบเนื่องจาก “ความงามและบทบาทการแสดง” ชีวิตเหมือนก้าวเดินบนกลีบกุหลาบ เพราะมีแม่ที่ดี เต็มด้วยความรักและความห่วงใยค่อยดูแลเป็นห่วงบ่วงใยใกล้ชิด มีร่างกายที่ดีสวยงามสมเป็นกุลสตรี มีอาชีพที่ดี เพราะสามารถเลี้ยงชีวิตได้แบบเหลือกินเหลือเก็บ มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับของสังคม มีสามีที่ดี มีความรักให้แก่กันและกันอย่างอบอุ่น
ชีวิตของคนหนึ่งคนประสบความสำเร็จถึงเพียงนี้ หากมองด้วยสายตาของคนธรรมดาสามัญ ย่อมเป็นสิ่งที่เกินกว่าคำว่าน่ายินดี แต่หากมองเพียงแค่นี้ กล่าวได้ว่า มองโลกด้านเดียว แบบสุขนิยม เพราะยังมีด้านมืดของดวงจันทร์ ที่ยังไม่ได้มอง
ไม่น่าเชื่อว่า สิ่งที่ทำให้ชีวิตของเธอประสบความสำเร็จ กลับเป็นสิ่งที่ทำให้เธอ “เจ็บปวดบอบช้ำ” ทั้งกายและใจ ประสบความสำเร็จมากมายปานใด ความเจ็บปวดรวดร้าวก็มากมายตามกัน หากไม่ได้มองผ่านหน้าต่างของความเป็นจริงเช่นนี้ ดวงตาของสัตว์โลกที่เรียกว่าคนคงมืดบอด เห็นงามไปตามง่ายอย่างนั้นเสมอ แต่โชคดีหรือมีบุญกันแน่ ที่โลกนี้มีดวงประทีปแก้วส่องสว่างเสมอ สำหรับผู้ที่มีจักษุอันแจ่มชัด นั่นคือ “หลักธรรมคำสอนของสมเด็จพระประทีปแก้ว” ที่ทรงสั่งสอนไว้ ท้าทายการพิสูจน์
โดยแท้แล้วระหว่างช่วงเวลาแห่งความสำเร็จอันสูงสุดของเธอ สัจจะของชีวิต คือความเสื่อมของสังขารปรากฏให้เห็นให้รู้อย่างต่อเนื่อง แต่การตระหนักรู้และการเตรียมการรับมือเป็นเรื่องที่เธอมองข้าม กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า รู้เท่าไม่ถึงการณ์ เริ่มจากปวดประจำเดือนที่มากมายเกินกว่าที่ควรจะเป็น ค่อยๆ มีโรคร้ายอื่นๆ รุกรานเรือนร่างของเธอทีละน้อย เหมือนสังขารนั่นค่อยบอกให้เจ้าของเรียนรู้ว่า มีบางสิ่งบางอย่างผิดพลาดแล้วนะ ปรับปรุงแก้ไขเสียนะ แต่ไม่มีเสียงตอบรับต่อคำร้องเรียนเหล่านั้น
<h4 style="text-align: justify;"> เธอมีความเครียด หรือเรียกภาษาพระว่า วิตกจริต อาจเป็นเพราะต้องทำในสิ่งที่ไม่ต้องการทำ อาจเป็นเพราะเมื่อจะทำสิ่งใด ต้องทำให้ดีที่สุด หมกมุ่นครุ่นคิดอยู่กับการทำกิจกรรมนั้นโดยไม่ปล่อยวาง อาจเป็นเพราะนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้น (พยาบาท) เก็บกดอยู่กับเรื่องราวเหล่านั้น ผลคือก่อเกิดโรคนอนไม่หลับ เมื่อนอนไม่หลับก็หาทางแก้ไขในทางผิด เพราะหายามากินเพื่อให้นอนหลับ กลายเป็นวงเวียนครบวงจร เครียด+นอนไม่หลับ+ยานอนหลับ วนอยู่อย่างนี้ จนสังขารเกินทน เกิดโรคร้ายต่างๆ นานา</h4>
หากพลิกอีกมุมหนึ่งเมื่อเกิดปัญหาเครียดนอนไม่หลับ เธอพบหนทางที่ถูกต้อง เช่นคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ท่านสอนให้ทำทาน สอนให้รักษาศีล สอนให้สวดมนต์เจริญภาวนา ทำแล้วสบายใจ สบายใจแล้วก็ลดความเครียด ลดเครียดได้แล้วก็นอนหลับ นอนหลับได้ก็มีสุขภาพที่ดี เป็นอีกวงจรหนึ่งที่เธอไม่ได้พบมาก่อน เครียด+นอนไม่หลับ+คลายเครียดด้วยทานศีลภาวนา ไม่นานสุขภาพก็กลับมาดีดังเดิม แต่ต้องมุ่งมั่นทำด้วยความอดทน นานเท่าที่เราพัฒนาความเครียดของเรา ของทุกคนเพิ่มขึ้นทีละน้อย
อ่านตอนที่1 ได้ที่นี่ครับ