เรื่องผ้าไหมที่จะเขียนเพื่อตอบคำถามนายบอนนี้ ขอออกตัวว่าไม่ได้เป็นวิชาการเลย เพียงแต่เป็นเรื่องเล่าที่เจอมาจากสนามวิจัย เรื่องเล่ารอบกี่ทอผ้าที่บ้าน นำมาเขียนพอสังเขป ไม่แน่ใจเช่นกันว่าจะตรงตามที่เพื่อนของนายบอนอยากทราบหรือเปล่า
เรื่องทอผ้าไหมนี้เป็นเรื่องของทุกคนในครอบครัวทั้งแม่หญิง พ่อชาย พ่อเม่าแม่เฒ่า ลูกหลานเหลนโหลน ที่พูดเช่นนี้เพราะเจอจากประสบการณ์ของตนเองแต่หัวหน้าในงานนี้เป็นหน้าที่โดยธรรมชาติของแม่หญิง เมื่อเด็กผมจำได้ว่ายายและป้า แม่และน้าจะต้องไปเก็บใบหม่อน เลี้ยงหม่อน สาวไหม เตรียมเส้นใย และทอผ้า ส่วนตาและบรรดาเขยของยายจะทำกระด้ง จ่อและอุปกรณ์ในการทอผ้าเตรียมไว้และซ่องแซมอุปกรณ์ที่ชำรุด ส่วนบรรดาหลาน ๆ บ้างก็เก็บใบหม่อน เก็บรังไหมหรือ กวักไหมบ้างตามแต่ผู้ใหญ่จะใช้ บรรดาน้า ๆ ที่ยังไม่เก่งจะเรียนรู้การเลี้ยงไหม ทอผ้าจากการเป็นผู้ช่วยของยายและป้าที่เลี้ยงไหมเก่งแล้ว ดังนั้นเรื่องทอผ้าจึงไม่ใช่เรื่องของแม่หญิงคนเดียวแต่เป็นความร่วมมือของทุกคนใครอบครัว เพียงแต่บทบาทในเรื่องอาจมากน้อยแตกต่างกัน
เรื่องเลี้ยงไหมทอผ้านี้ ไม่ใช่เรื่องที่ทุกครอบครัวจะทำได้ดี ยายหรือทวดคนไหน ที่ไม่มีฝีมือการทำงานด้านนี้ก็จะพยายามให้ลูกสาวเรียนรู้กับคนอื่น หรือผู้หญิงคนไหนที่ทอไม่เป็นเมื่ออกเรือนไปแล้วก็จะรวมกลุ่มกับครอบครัวข้างบ้านเลี้ยงไหมทอผ้าไปด้วยกัน ดังนั้นการเรียนรู้เรื่องนี้จึงไม่มีหลักสูตรแน่นอนเป็นการเรียนรู้จากการฝึกปฏิบัติ เมื่อทำเข้าทุกปีก็จะเชี่ยวชาญ ช่างคนไหนที่ทำงามก็จะได้รับยกย่องว่า ซ่าง ซ่างหรือช่างนี้แม่ใช่หน้าที่นายช่าง แต่หมายถึงคนที่มีความเชี่ยวชาญและถ่ายทอดความรู้ให้คนอื่นได้เป็นที่ปรึกษาของแม่หญิงคนอื่น ๆ
ผมจำได้ว่าในตอนที่อยู่บ้านรวมกับยาย(เฮือนใหญ่) แม่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยยายเท่านั้น แต่เมื่อแม่ออกเรือนมาบทบาทของแม่ชัดเจนแต่คิดว่าไม่เก่งนัก เนื่องจากการทอผ้าสมัยก่อนไม่ได้ทำกันบ่อยจึงพัฒนาฝีมือช้า แต่ในช่วงยี่สิบปีย้อนหลังแม่ต้องทอผ้าเองและเรียนรู้พัฒนาการทอผ้าและมีการทอผ้าบ่อยขึ้น ดูท่าทางผ้าทอแม่จะสวยขึ้น แต่จะให้เรียกแม่ว่า ซ่าง นั้นยังไม่ถึงขั้น
ภาพการทอผ้าปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป การเลี้ยงไหมของชาวบ้านลดลงมากในหมู่บ้านมีครอบครัวที่ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมน้อย สวนหม่อนของชาวบ้านถูกนำไปแบ่งให้ลูกหลานเพื่อปลูกบ้านสร้างที่อยู่เมื่อสวนหม่อนไม่มีการเลี้ยงไหมก็ลดลง วัสดุอุปกรณ์ที่ฝ่ายผู้ชายเคยสร้างเองได้ต้องพึ่งพาจากตลาดและมีราคาแพงจึงไม่นิยมเลี้ยง ราคาไหมถูกเมื่อเทียบกับค่าแรงที่ต้องลงไปรวมทั้งภาพชีวิตของคนอีสานก็เปลี่ยนแปลง