จากการวิ่งเข้าออกวัดมา...หลายปี
และมาปักหลักเรียนรู้พุทธศาสนา และบทธรรม ณ วัดใกล้บ้าน สิ่งหนึ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าได้เกิดการตระหนักในตนเองก็คือ มีผู้คนอีกมากมายที่ขาดความรู้ในเรื่องพุทธศาสนาอย่างแท้...
เข้าวัดเพียงได้ชื่อว่าเข้าวัด
ทำบุญ...คือ กิจกรรมที่รู้จัก แต่ก็ยังเข้าไม่ถึงแก่นของพุทธศาสนา
"ศีล สมาธิ และปัญญา"...
เอาเพียงเรื่องศีลก็แล้วกัน เรารู้จักศีลเบื้องต้นเพียงแค่ศีล ๕ แต่...ไม่รู้ในความหมายที่นำไปสู่การปฏิบัติได้เลย บ้านเมืองเราจึงเต็มไปด้วยคนไม่มีศีล
ศีลถูกมองเพียงแค่เรื่องในวัด แต่คนในวัดเองก็ยากเข้าใจเรื่องศีล
และที่สำคัญข้าพเจ้าตั้งข้อสังเกตต่อตนเองว่า ... ผู้คนนั้นมักเชื่อในคนไม่มีศีลมากกว่าบุคคลที่ดำรงอยู่ในศีลและธรรม
...
นั่นสาเหตุก็เนื่องมาจากว่า...คนทั่วไปยังไม่รู้จักเรื่องศีล
จึงดูไม่ออกว่าใครมีศีลไม่มีศีล ใครมีธรรมหรือไม่มีธรรม
เป็นการเสื่อมถอยลงอย่างแท้จริง...
จะดำรงอยู่เฉพาะผู้ที่มองเห็นคุณค่า และความสำคัญเท่านั้น
สังคมเรา โลกเรา ต่างมีผู้คนได้รับการศึกษาในระดับสูงมากมาย และมีฐานะทางการงานมั่นคง แต่เรื่องครอบครัวล่มสลายก็เยอะ...ที่สำคัญค้นหาคนที่มี "ศีลธรรม" นั้นหายาก...
คนไม่มีศีลธรรมรวมกันได้ง่าย แต่ก็แตกแยกกันง่ายเช่นกัน
ข้าพเจ้าได้แต่บอกต่อตนเองว่า
การยืนหยัดอยู่บนหลักธรรมจะทำให้กร้าแกร่งแม้เพียงยืนอยู่อย่างลำพังหรือโดดเดี่ยวก็ตาม
ผมเชื่อเหมือนอาจารย์นะครับ
พระอาจารย์ผม บอกว่า คนที่จะถือศิลแม้เพียงแต่ศิลข้อเดียว
ถือจริงๆ ตลอดชีวิต หาได้ยากครับ
อ่านบทความนี้แล้ว
มาถามตนเองอย่างที่พี่ปุ๋มตอบ ติ๋วเชื่อจากใจ หรือ ไม่เคยเชื่อเลย บ่อยครั้งที่ยังหลงเคลิ้มไปกับโลกและผู้คน
กับการก้าวเดินแห่งชีวิต ณ ทุกวันนี้ ยอมรับว่า “ยังหลงโลกค่ะ”
แต่ก็พยายามก้าวตามผู้รู้ ระลึกกับตนเองว่า “ยังเห็นหลังท่านไหม ยังเห็นรอยเท้าท่านไหม”
ติ๋วยังโง่อยู่ โลกธรรมยังฉุดไว้ได้มาก เพราะใจ ไม่ปล่อย
แต่ก็จักค่อย ๆ เรียนรู้
แต่ที่มั่นใจกับตนเองคือ
“ผู้มีศีลธรรมท่านอยู่ที่ไหน ที่นั่นก็ร่มเย็นและเป็นสุข”
ซ่งพี่กะปุ๋มเป็นเช่นนี้ค่ะ