ศิลปะในการสื่อสารกับครู
ย้อนหลังไปเมื่อ 24 มี.ค. ในฐานะผู้ติดตามงานยุทธศาสตร์สื่อเด็กฯของภาคเหนือ (ศสน.) ผมก็ได้ไปสะท้อนความเห็นต่อการอบรมแกนนำครูหลักสูตรเท่าทันสื่อของมูลนิธิสื่อชาวบ้าน (มะขามป้อม) อาจจะเป็นที่ว่าเราเปิดเกมรุกเกินไป คือพยายามพูดเชื่อมโยงให้ครูที่เข้าประชุมเห็นว่าการพัฒนากระบวนการรู้เท่าทันสื่อ ต้องทำภายใต้แนวคิด "สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา" คือเชื่อมโยงกับหลายภาคส่วนจึงจะเกิดพลังขับเคลื่อนสังคม ซึ่ง ทาง ศสน.เองก็จะช่วยเป็นสื่อกลางในการส่งผ่านข้อเสนอของครู ถ้าสนใจจะพัฒนาขึ้นมาเป็นกลุ่ม / ชมรมครูรู้เท่าทันสื่อ เพื่อให้การขับเคลื่อนงานเป็นไปอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน
แต่ครูบางท่านก็ไปตีความผิด จะมองว่าเราเอาเงินไปฟาดหัวเขากระมัง ก็เลยสวนมาว่าครูที่มาอบรมยินดีมาทำงานด้วยจิตอาสา ไม่ได้ต้องการงบประมาณอะไร ไม่ได้ต้องการทำเป็นกลุ่มอะไรใหญ่โต แค่อยากเห็นลูกศิษย์ตัวเองมีความรู้เท่าทันสื่อก็พอ แม้จะทำงานได้ไม่นานกลุ่มจะสลายไปก็ไม่เป็นไร
อันนี้ เราก็ไม่ตอบกลับแต่อย่างใด เพราะถือว่างานมาถึงช่วงท้ายแล้ว ที่เหลือทางเจ้าภาพ (มะขามป้อม)ก็คงจะไปสร้างความเข้าใจกับครูต่อไป
ผมเองก็ลืมนึกไปว่า ยังมีครูจำนวนมากที่ค่อนข้างอินกับเรื่องศักดิ์ศรี จิตวิญญาณ อุดมการณ์ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดีนะครับ แต่ถ้าเข้มเกินไป ก็อาจจะกลายเป็นช่องว่าง ทำให้คนอื่นเข้าถึงลำบาก
เจตนาดี แต่สื่อสารโดยวิเคราะห์ผู้ฟังไม่ถ่องแท้ ผลออกมาก็อาจจะแย่อย่างนี้
ไม่มีความเห็น
เทคโนโลยีกับการสื่อสารในเครือข่าย
อ.หนู (ผศ.ณัฐรดา วงษ์นายะ)มรภ.กำแพงเพชรและ Dr. Hans-Dieter Benchstedt (อดีตหัวหน้าทีมวิจัย The Uplands Program subproject F 3.2) เคยเกริ่นกับผมเรื่องการ save cost ในการประชุมว่าเราสามารถใช้เทคโนโลยีอย่างเช่น เว็บแคม และโปรแกรมต่างๆ เช่น Skype หรือใช้ video conference อันนี้ ผมก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะอายุมากละ ชักขี้เกียจเดินทาง อยากอยู่กับลูกเมียทำงานอยู่กับบ้านได้เป็นดี แต่ว่าจะต้องนำหารือกับทางคณะกรรมการสื่อเด็กภาคเหนือด้วยว่าจะเอาอย่างไร ถ้าเห็นด้วยในหลักการก็จะได้บรรจุไว้ในแผนปีต่อไปเลย แต่ไม่รู้ว่ามีเครือข่ายใดในตระกูล NGO และงานวิชาการ ที่ใช้กระบวนการสื่อสารแบบนี้บ้าง จะได้นำมาศึกษาเป็นต้นแบบ อันนี้คงต้องสืบค้นดูสักหน่อย ใครรู้ก็ช่วยบอกด้วยนะครับ
ไม่มีความเห็น
พัฒนายุทธศาสตร์สื่อเด็กร่วมกับ“มะขามป้อม”
วานนี้ (18-03-52)อ้อม (ผู้ประสานงานเครือข่ายสื่อเพื่อเด็กและเยาวชนภาคเหนือ)โทรมาชี้แจงเพิ่มเติมเรื่องเวทีที่มูลนิธิสื่อชาวบ้าน หรือ กลุ่มมะขามป้อม เชิญทางกรรมการบริหารยุทธศาสตร์สื่อเด็กฯ (กบ.)ทั้ง 5 คนเข้าร่วม ทีแรกอ้อมก็เข้าใจว่าเขาจะเชิญพวกเราไปเป็น Observer ผมก็บอกว่าพอดีผมมีงานเวทียุววิจัยประวัติศาสตร์ท้องถิ่นที่ มรภ.อุตรดิตถ์ซึ่งทาง อ.เรณู อรรถาเมศร์ หัวหน้าชุดโครงการคะยั้นคะยอให้ผมไปร่วมให้ได้อยู่ งานที่ มรภ.อุดดิด จัดวันที่ 24 มี.ค. จะได้ไปฟังอาจารย์อรรถจักร์ พูดถึง concept ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นด้วย แต่งานมะขามป้อมจัด 23-24 มี.ค. ผมจะร่วมเวทีสื่อเด็กที่มะขามป้อม (เชียงใหม่) ในวันที่ 23 แล้วไปต่อเวทียุววิจัยที่อุด’ดิดวันที่ 24 อันนี้เป็นแผนที่วางไว้ เพราะเข้าใจว่าเวทีที่มะขามป้อมจัดเชิญผมไปเป็นแค่ Observer เพื่อให้เข้าใจกระบวนการพัฒนาหลักสูตรรู้เท่าทันสื่อเท่านั้น ก็เลยว่าเฉพาะผู้ประสานงานไปคนเดียวก็เอาอยู่
มารู้อีกที อ้อมโทรมาชี้แจงเพิ่มว่า เวทีมะขามป้อมรอบนี้ ไม่ได้เป็นการทำกิจกรรมธรรมดา แต่เป็นการพัฒนาหลักสูตรโดยผนวกเอายุทธศาสตร์ของเครือข่ายสื่อเพื่อเด็กและเยาวชนภาคเหนือเข้าร่วมโดยต้องการมาเชื่อมเป็นภาคีหุ้นส่วนในแผนปีต่อไป ซึ่งแผนปีที่ 2 ของกลไกสื่อเด็กภาคเหนือ (ศสน.) ก็จะต้องร่างขึ้นในเวลาไม่กี่เดือนข้างหน้านี้แล้ว การร่วมเวทีครั้งนี้ จึงสำคัญที่กรรมการต้องเข้าร่วม โดยเฉพาะตัวผม ในฐานะผู้ติดตามงานยุทธศาสตร์และการจัดการความรู้โดยตรงของเครือข่าย จะอยู่ร่วมวันเดียวก็ไม่เหมาะแน่ๆ เพราะผมต้องสะท้อนเนื้อหาสาระ ความเป็นไปได้ของหลักสูตรที่มะขามป้อมทำนี้ให้กับอีกหลายฝ่ายทราบ เพื่อนำไปบรรจุในแผนงานกลไกสื่อเด็กฯ ภาคเหนือซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อโครงการที่จะเสนอขอรับทุนในระยะต่อไป
ตกลง เวทียุววิจัยที่ มรภ.อุดดิด จะจัดขึ้น รอบนี้ผมขอบายไปก่อน เพราะงานยังเดินได้โดยไม่ต้องมีผม แต่สำหรับเวทีสื่อเด็ก เกี่ยวข้องกับยุทธศาสตร์ งบประมาณ และการนำไปใช้ผลักดันกับองค์กรต่างๆ ถ้าไม่ไปจะมีผลกระทบต่อส่วนรวมมากกว่า ก็ต้องเอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ส่วนเรื่องแนวคิดประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ระยะนี้ ผมคิดว่าการตามจากเอกสารก็น่าจะเพียงพอ แล้วจึงค่อยๆปรับความเข้มของแนวคิดขึ้น หลังจากประเมินความก้าวหน้าของโครงการต่างๆที่ดำเนินไประยะเวลาหนึ่งแล้ว
ไม่มีความเห็น
การเดินทางของเด็กไร้สัญชาติ
ทางอำเภออนุญาตให้มีการไปขอใบเดินทางออกนอกพื้นที่เฉพาะวันอังคาร พุธ พฤหัส ใบเดินทางแต่ละครั้งมีอายุใช้งานได้เจ็ดวัน แต่ละครั้ง จะทำเรื่องขอใบเดินทางก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองวัน อันนี้ผมก็ไม่รู้มาก่อน ทีนี้ วันเดินทางของเด็กเป็นวันพุธ กว่าจะทำเรื่องเสร็จก็ไม่ทันเสียแล้ว เห็นเด็กๆว่าปลัดติดงานอยู่ที่หมู่บ้านแสนคำลือ เด็กๆต้องไป stand by รอเจ้าหน้าที่เรียกไปเซ็นนั่นเซ็นนี่สารพัดจนสี่โมงกว่า ก็รู้ว่าวันนี้ปลัดคงมาเซ็นให้ไม่ทันเสียแล้ว น้อย พิด นิ้ง ก็เลยอดชวดไปร่วมงาน 10 ปี งานวิจัยเพื่อท้องถิ่นที่กรุงเทพ ผมได้แต่ปลอบใจ และขอโทษไปทางศูนย์ประสานงานที่แม่ฮ่องสอน
ทีนี้รู้แล้วว่า ถ้ามีงานไหนจะขอเด็กไร้สัญชาติไปนอกพื้นที่ เราก็ยินดี ยกเว้นวันอังคารและพุธ เพราะฉุกละหุกเกินไป
ไม่มีความเห็น
รู้สึกเสียดาย ที่มาเห็นพ่อแม่สอนลูกไม่เป็น พ่อแม่ไม่เห็นด้วยที่ลูกสาวมีแฟนในวัยเรียน แต่ก็ไม่กล้าขัดลูก ลงเอยก็จะให้ลูกวัยรุ่นที่เป็นไทใหญ่แต่งงานกับวัยรุ่นลีซู หัวนอนปลายเท้าเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ แถมลูกสาวยังไม่เคยทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ก็จะให้แต่งงานซะละ ผมไม่เห็นด้วยจริงๆ และก็เตือนไปตั้งแต่แรกแล้ว
ผมคุยกับแฟนว่า เด็กอายุเพิ่งสิบห้า งานการไม่เป็นสักอย่าง แถมยังต่างวัฒนธรรมกันมาก แต่งงานไปจะอยู่ได้สักกี่วัน สุดท้ายเด็กก็จะแย่ เพราะกลับไปเรียนก็ยาก (สังคมไม่ยอมรับ) จะไปทำงานก็จะหางานดีๆได้ที่ไหน
คุยไปเค้าก็ไม่เชื่อ ผมก็ได้แต่ปลง และเสียดายอนาคตเด็ก แฟนอยากไปช่วยงานแต่งเขาก็ไปเหอะ แต่เราไม่สนับสนุน และถ้าไม่สนับสนุนก็ไม่ควรไปให้ท้าย ไม่งั้นเด็กๆคนอื่นเห็นดีงาม ก็เอาอย่าง
ได้เสียกันกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วในวัยรุ่น จะให้การแต่งงานเป็นเรื่องธรรมดาไปอีกหรือ
เฮ้อ นี่แหละหนา พ่อแม่.... รักแท้ รังแกลูก
ไม่มีความเห็น
Bookmark: สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
ไม่มีความเห็น