"ใครมีศีล สมาธิ ปัญญาเท่าใด ก็แก้ไขเรื่องราวอันนำมาซึ่งทุกข์ได้เท่านั้น"
เรามักมองคำกล่าวนี้ในช่วงเวลายาวๆ เช่น ในช่วงชีวิตหนึ่งๆ ซึ่งอาจเป็นช่วงที่มีหรือไม่มีปัญหาใดๆ ไม่มีทุกข์ใหญ่เบียดเบียนควรมองคำกล่าวนี้ในแต่ละขณะจิต เช่น เรามีความเป็นปกติ(ศีล) อันเป็นกุศล (กุศลศีล) หรืออันเป็นอกุศล (อกศลศีล) อย่างไร มีใจตั้งมั่นหรือสมาธิในกุศลเท่าใด มีความน้อมไปในการพิจารณาเพื่อละคลายการยึดมั่นเท่าใด ก็ต้านทานอกุศลในใจ จนแสดงออกทางกาย วาจา ได้เท่านั้นและควรแยกเรื่องราวออกเป็นในทางโลกและทางธรรม เริ่มตั้งแต่การกระทำทางใจ อันนำไปสู่การกระทำทางกาย วาจา
เช่น ในการกระทำทางใจในทางโลก
อบรมการไม่เบียดเบียนผู้อื่นเท่าใด ก็ไม่ครุ่นคิดถึงทำร้ายเขา ครุ่นคิดถึงทรัพย์ของเขา หลอกลวงเขาด้วยคำอันไม่จริงเท่านั้น
อบรมสทารสันโดษเท่าไร ก็ไม่คิดถึงเพศตรงข้ามที่ไม่ใช่คู่ตนในทางคะนึงหาเพื่อนำความอิ่มใจมาให้เสพหรือโหยหาด้วยความเศร้าใจที่ไม่ได้เสพเท่านั้น
อบรมสติเท่าใด ก็ไม่ปรารถนาสิ่งมอมเมามาทำให้ขาดสติเท่านั้น
ศีล สมาธิ ปัญญาในแต่ละขณะจิตเป็นอย่างไร แต่ละขณะจิตที่เรียงต่อกันเป็นช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตก็คือความเป็นไปตามศีล สมาธิ ปัญญา นั้นๆ
ไม่มีความเห็น