เกิดที่ศรีสะเกษ ครับ สมัยเมื่อศรีสะเกษอยู่อันดับสุดท้ายในการจัดลำดับของประเทศไทย จบป.7 ที่อุทุมพรพิสัย(โรงเรียนแดงเพราะหลังคามุงสีแดง) เข้าไปเรียนที่กรุงเทพฯ อยู่วัดเชิงหวาย(ตรงข้ามกับปณ.บางซื่อ) จบ ม.ศ.3 ที่โรงเรียนภิรมย์วิทยา(ปัจจุบันยุบแล้ว) จบ ชั้น ป.กศ.และป.กศ.สูง ที่วิทยาลัยครูสวนสุนันทา กลับมาทำงานสอนทีอำเภอปรางค์กู่ 1 ปี ออกกลับไปเรียนต่อจบ กศ.บ. ที่ มศว. ประสานมิตร(สมัยนั้นยังมีวิทยาเขตอื่น) กลับมาทำงานที่ ร.ร.ศรีสะเกษวิทยาลัย ไปเรียนต่ออีกครั้ง จบ วท.ม. ที่ ม.สงขลานครินทร์ หาดใหญ่ กลับมาสอนที่เดิมต่ออีก 7 ปี โอนย้ายมาที่ วพ.ศรีสะเกษอีกปีเศษๆ ปี 2538 โอนย้ายต่อมาที่ ม.ราชภัฏอุบลราชธานี จนปัจจุบัน สอนมาตลอดยังไม่เปลี่ยนตำแหน่งแต่อย่างใด อยากจะย้ายกลับไปบ้านเกิด เป็นการกลับภูมิลำเนา จะได้อยู่รับใช้ภูมิลำเนาในบั้นปลายเป็นการตอบแทนมาตุภูมิ หวังว่าคงได้กลับในไม่ช้านี้ ตั้งแต่ภาคเรียนที่ 2/2549 ไปช่วยราชการที่ ม.ราชภัฏศรีสะเกษ สอนวิชาชีวิตกับสิ่งแวดล้อม และวิชาวิทยาศาสตร์เพื่อคุณภาพชีวิต และวิชาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำหรับนักศึกษาหลักสูตร รัฐประศาสนศาสตร์ การปกครองท้องถิ่น ชีวิตการเป็นครูผู้สอนจากโรงเรียนระดับพื้นฐาน ไปถึงระดับอุดมศึกษา พอเข้าใจแนวทางพัฒนาการศึกษาของไทยให้ดี แต่ยังทำได้ไม่มากนัก ด้วยกำลังอันน้อย และค่อยๆ อ่อนลงๆ จากวัยที่ผ่านร้อนหนาวมามากขึ้นๆ แต่ก็ต้องทำเพื่อคุณภาพทางการศึกษาต่อไปอีกจนกว่าชีวิตจะหาไม่ แนวทางที่ยึดเสมอมา คือ ทำเพื่อคุณภาพการศึกษาด้วยชีวิตและจิตวิญญาณ การศึกษาคือการพัฒนา(ไม่ใช่ธุรกิจที่หวังกำไรเป็นทรัพย์สินเงินทอง) หากต้องการกำไรก็เป็นกำไรที่เกิดในผู้เรียนเท่านั้น อยากเห็นผู้เรียนได้พัฒนาตนเองยกระดับจิตให้สูงมีปัญญาเท่าทันโลก หากเกิดได้จริงแล้ว ครูประถมคนนี้คงตายตาหลับแน่นอน
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2552 ได้รับมอบให้เป็นกรรมการสภามหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ ในฐานะตัวแทนคณาจารย์ประจำ ด้วยความตั้งใจในการปฏิบัติงานก็จะพยายามทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในมหาวิทยาลัย
ปีการศึกษา 2554 มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษได้เปิดสอนหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต โปรแกรมวิทยาศาสตร์ทั่วไป ได้เข้าสังกัดโปรแกรมวิทยาศาสตร์ทั่วไป และรับผิดชอบการสอนในวิชาเคมี ได้กลับคืนสู่รากเดิมของตนเองอีกครั้ง นับว่าชีวิตเวียนวนเวียนว่ายไปมากลับสู่วงจรเดิมอีกแล้ว แต่ก็เหลือเวลาการปฏิบัติหน้าที่ราชการอีกเพียง 3 ปี ก็ยังมุ่งมั่นในการทำงานเพื่อศิษย์ต่อไป มุ่งให้ศิษย์ได้รับความรู้ความเข้าใจและคุณลักษณะของความเป็นครูที่ดีเพื่อออกไปปฏิบัติหน้าที่ในโรงเรียนต่อไป เป้าหมายและปนิธานที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลย ขออ้างถึงเพลงพระราชนิพนธ์ความฝันอันสูงสุดครับ " ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ ขอสู้ศึกทุกเมื่อไม่หวั่นไหว ขอทนทุกข์รุกโรมโหมกายใจ ขอฝ่าฟันผองภัยด้วยใจทะนง จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา ไม่ท้อถอยคอยสร้างสิ่งที่ควร ไม่เรรวนพะว้าพะวังคิดกังขา ไม่เคืองแค้นน้อยใจในโชคชะตา ไม่เสียดายชีวาถ้าสิ้นไป นี่คือปนิธานที่หาญมุ่ง หมายผดุงยุติธรรม์อันสดใส ถึงทนทุกข์ทรมานนานเท่าใด ยังมั่นใจรักชาติองอาจครัน โลกมนุษย์ย่อมจะดีกว่านี้แน่ เพราะมีผู้ไม่ยอมแพ้แม้ถูกหยัน คงยืนหยัดสู้ไปใฝ่ประจัญ ยอมอาสัญก็เพราะปองเทิดผองไทย"
ก่อนเกษียณอายุราชการ เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๗ ได้ลาอุปสมบทจนกระทั่งเกษียณอายุเดือนตุลาคม ๒๕๕๗ จนกระทั่งเสร็จสิ้นการทอดกฐิน จึงได้ลาสิกขาเมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ กลับคืนสู่สภาพปกติ เดินหน้าตามบทบาทใหม่แบบข้าราชการบำนาญต่อไป