อนุทินล่าสุด


พระมหาวินัย ภูริปญฺโญ ..
เขียนเมื่อ

     วันนี้ (๒๕ พ.ย.๕๔) เป็นวันพระอุโบสถ ได้แจ้งให้คุณโยมอาจารย์สุเชษฐ์ นิมนต์พระซึ่งอยู่อีกวัดหนึ่งมาลงอุโบสถ ปรากฏว่าพระวัดนั้นท่านไม่มา เพราะไปงานแข่งเรือประเพณีอีกหมู่บ้านหนึ่ง อาจารย์ท่านก็เลยโทรมาถามว่าพระท่านมาลงอุโบสถมั้ย ก็แจ้งให้ท่านทราบว่ารออยู่ แต่ไม่เห็นมา ท่านก็เลยพูดเป็นภาษาอีสานว่า “ขี้ร้ายเนาะ บ่มา” ที่จริงคำของท่านก็ถูกต้อง เพราะท่านเป็นผู้เคยบวชเรียนมาก่อน จนเป็นเปรียญธรรม ๖ ประโยค จากวัดบรมนิวาส เข้าใจในกิจธุระหน้าที่ของสงฆ์ดี และยังเป็นอุบาสกผู้ประพฤติธรรม เป็นผู้ทำหน้าที่สั่งสอนพระภิกษุ-สามเณร ในการเรียนภาษาบาลี, ใจท่านก็อยากจะให้พระท่านมาทำหน้าที่ของตนเอง รักษาระเบียบ รักษาธรรมวินัยไว้ แต่พระท่านกลับเห็นกิจการงานประเพณี สนุกสนาน สำคัญกว่าหน้าที่ของตน

    

      ศาสนบุคคล ที่เข้ามาบวชในศาสนาทุกวันนี้น่าเป็นห่วง เราไม่สามารถจะคัดกรองเอาคนที่สมบูรณ์ด้วยคุณสมบัติเข้ามาบวชได้เลย เพียงเขามีศรัทธา เราก็รับเขาแล้ว ส่วนอันตรายิกธรรมอะไรต่างๆ ส่วนมากจะมองข้าม บางคนก็มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาแรงกล้า เมื่อเข้ามาสู่ร่มกาสาวพัตร์แล้ว ก็ประพฤติปฏิบัติตน พร้อมทั้งศึกษาพระธรรมวินัยด้วยความตั้งใจ อันนี้ดีไป ความเป็นจริงอย่างหนึ่งคือ บางคนก็เป็นคนพ่ายแพ้ ผิดหวังในชีวิตฆราวาสมาแล้ว จึงมาบวช ถ้าตั้งใจก็ไม่น่าเป็นห่วง บางคนก็มาบวชเมื่อแก่ มากด้วยทิฐิมานะ ไม่ยินดีคำรับแนะนำสั่งสอน กลายเป็นแข้งกระด้าง นิสัยฆราวาสติดมามากมาย บางคนพ่อแม่ก็เอาไว้ไม่ไหว เมื่อลูกไม่ดีก็ผลักมาที่วัด ถ้าวัดมีครูบาอาจารย์ อบรมสั่งสอนก็ดีไป คนเรานี่ก็แปลก ลูกดีๆ ไม่ยอมส่งลูกมาเป็นศิษย์พระพุทธเจ้า มาศึกษาหลักธรรม แต่ส่งคนไม่ดีมา

 

      เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องของศาสนบุคคล คำสอนจะแผ่ขยายไปยังคนทั่วไปหรือไม่ ศาสนบุคคลก็เป็นแรงสำคัญ ในการเผยแผ่ เมื่อศาสนบุคคลประพฤติไม่ดีไม่งาม คนผู้ไม่รู้จักแยกแยะก็มองว่าศาสนาเสื่อม จริงๆ แล้วศาสนาหาได้เสื่อมสลายไปไม่ ศาสนา หรือคำสอน เป็นจริงอยู่อย่างไรก็เป็นจริงอยู่อย่างนั้น เพราะเป็นสัจธรรม แต่คนเรานี่เอง ที่เสื่อมจากคำสอน,แต่ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก ที่ศาสนาจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้หมด เพราะภาวะ ธรรมชาติจิตใจของคนเราไม่เหมือนกัน, เป็นอันว่าวันนี้ไม่ได้ลงอุโบสถ เพราะพระไม่ครบ ก็เลยบอกปาริสุทธิเอาตามระเบียบ



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พระมหาวินัย ภูริปญฺโญ ..
เขียนเมื่อ

     วันนี้  (๒๔ พ.ย. ๒๕๕๔)  เวลาเที่ยงเดินทางจากวัดไปร้อยเอ็ด โดยขึ้นรถที่เสลภูมิ บนรถเขาฉายหนังเรื่องปัญญา เรณู ตอนที่ขึ้นไปนั้น เขาฉายไปได้หนึ่งแผ่นแล้ว แต่ก็รู้สึกว่าดี เป็นการถ่ายทอดเรื่องราวของความเป็นอีสาน ที่มีความผูกพันอยู่กับวัด บ้าน,วัด,โรงเรียน, ตอนที่ดูนั้น เขาฉายถึงตอนที่ครูเรียก นร.มาประชุมกัน เพื่อแจ้งว่า เครื่องดนตรี ของโรงเรียนเราชำรุด เรื่องการไปแข่งขัน คงจะต้องหยุดลง เพราะไม่มีเครื่องดนตรี นร.แต่ละคนก็อาสาจะหาเครื่องดนตรีใหม่มาให้โรงเรียนของตน ในที่ชุมนุมนั้น ก็มีปัญญา-เรณู สองคนรวมอยู่ด้วย และคิดถึงปัญหานี้เช่นกัน จึงตกลงไปยืมปัจจัยกับหลวงพ่อที่วัด ตอนนั้นหลวงพ่อก็ยังไม่มีปัจจัยให้ยืม แต่มีความกรุณา อยากจะช่วย อยากสนับสนุน เมื่อรับทราบว่าจะเอาเงินไปทำอะไร พอมีคนเอาเงินมาทำบุญแล้ว หลวงพ่อก็เลยแบ่งเงินส่วนหนึ่งมาให้ปัญญา เพื่อนำไปใช้ในการซื้อเครื่องดนตรี

 

     จากกรณีนี้แสดงว่าวัดมีความผูกพันกับชุมชนมาก เมื่อมีปัญหาอะไร คนในชนบทอีสานก็มักจะนึกถึงวัด วัดไม่ได้เป็นที่พึ่งเฉพาะทางใจอย่างเดียว ยังเป็นที่พึ่งทางกายอีกด้วย ยังสนับสนุนกิจกรรมของโรงเรียน-ชุมชนอีกด้วย เรื่องนี้ก็ทำให้นึกถึงครั้งพระพุทธเจ้าที่มีรับสั่งให้พระอานนท์ทำจีวร ให้เหมือนกับคันนาของชาวมคธ ด้วยทรงเห็นคุณค่าของการทำนา และสนับสนุนการทำนา ,

 

     เมื่อได้รับเงินมาแล้ว ทางโรงเรียนก็จัดหาเครื่องดนตรี หาครูสอนเต้น เพื่อฝึกซ้อม, ครูได้มอบหมายให้ปัญญา และเรณู เป็นนักร้องนำของวง โดยที่เด็กคนอื่นก็อยากจะเป็นนักร้องนำเช่นกัน เมื่อไม่ได้เป็นต่างก็ผิดหวัง เสียใจ ไม่มีใจอยากซ้อมกับเพื่อน ปัญญาจึงไปพูดทำความเข้าใจกับเพื่อนว่า “ไม่ได้มีความเกลียดชังอะไรกับเพื่อนหรอก เพื่อวงของเรา เรามาซ้อมกัน, ผลปรากฏว่า เด็ก นร.กลุ่มนั้นก็ยินดีซ้อมทุกคน เพื่อวงของโรงเรียนตนเอง, จากกรณีนี้ เห็นได้ข้อคิดว่า เรื่องเล็กๆ บางเรื่อง ของคนหลายๆ คน ถ้ามีความบาดหมาง น้อยใจ เสียใจ เกิดขึ้น ในหมู่คณะนั้น ก็จะผ่านพ้นไปด้วยการพูดจา การทำความเข้าใจ มองเห็นประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าความรู้สึกส่วนตัว แม้เขาเหล่านั้นจะเป็นเด็กก็จริง แต่ก็เป็นเด็กที่มีเหตุผล ไม่เอาแต่ใจตน ผลแห่งความสามัคคี หมั่นซ้อม พร้อมเพรียงกันซ้อม พร้อมใจกัน ทำให้ชนะการแข่งขัน ทุกคนก็มีความสุข นี่แล ที่ท่านว่า ความสามัคคีนำมาซึ่งความสุข,

 

     นั่งรถไป พอดีรถทัวร์คันนั้นก๊าชจะหมด เขาก็เลย แวะเติมก๊าชที่ปั๊มรอบเมือง คนขับรถแจ้งให้ผู้โดยสารทราบว่า   “รถจะจอดเติมก๊าช สักพัก ขอให้ผู้โดยสารลงจากรถก่อน”   ต่างก็ทยอยกันลงกันหมด ก็เหลือพระหลวงตาอีกรูปและตัวเราที่ไม่ลง เมื่อเวลาว่างๆ นั่งอยู่บนรถ แอร์ก็ไม่เปิด เพราะเขาดับเครื่อง เติมก๊าช ก็เลยเอาหนังสือจากย่ามขึ้นมาอ่าน รอเวลา หนังสือวรรณคดีสมัยอยุธยา รวบรวมโดย สันต์ สุวทันพรกุล และ ภัทรเศรษฐ์ แพงแสน ก็อ่านคำนำของหนังสือ แต่คำนำก็บรรจุไว้ซึ่งความสำคัญของวรรณคดี เขาบอกว่า   “วรรณคดีเป็นศิลปะอันล้ำค่าแขนงหนึ่งของชาติ แสดงถึงความรู้ ความคิดของผู้เขียน โดยถ่ายทอดออกมาเป็นรูปตัวอักษรในรูปแบบต่างๆ วรรณคดีถือว่าเป็นมรดกที่สำคัญของชาติ เป็นหลักฐานสำคัญที่สะท้อนภาพของประวัติศาสตร์ในด้านต่างๆ เช่น สังคม วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ฯลฯ”   จากนั้นก็อ่านเรื่องราวของกรุงศรีอยุธยา มีกษัตริย์กี่พระองค์ ราชวงศ์ไหนบ้าง แต่ละพระองค์มีพระนามว่าอย่างไร การแบ่งวรรณคดีในสมัยนี้ก็แบ่งออกเป็น ๓ ช่วง คือ สมัยอยุธยาตอนต้น ตอนกลาง ตอนปลาย โดยการแบ่งแบบนี้ถือตามแนวของศาสตราจารย์กุหลาบ มัลลิกะมาส ก็อ่านไปช่วงต้นสมัยกษัตริย์องค์นี้ถึงองค์นั้น มีวรรณดีเรื่องนั้นๆ ก็พอดีก๊าชเต็ม รถจะออก ผู้คนก็ทยอยกันขึ้นมา ก็เลยหยุดอ่าน ถึงที่หมายก็ประมาณ บ่ายกว่า ๆ เดาเอาเอง เพราะไม่มีนาฬิกา โทรศัพท์ก็ไม่มี ตอนกลับจากร้อยเอ็ด ก็นึกถึงโคลงสุภาษิตของรัชกาลที่ ๖ ว่า

๐ ฝูงชนกำเนิดคล้าย ...................... คลึงกัน

ใหญ่ย่อมเพศผิวพรรณ .................... แผกบ้าง

ความรู้อาจเรียนทัน ........................ กันหมด

ยกแต่ดีชั่วกระด้าง ........................... อ่อนแก้ฤาไหวฯ

 

     ก็พิจารณาถึงความหมายของโคลงบทนี้ ก็พอเข้าใจความหมายว่าคนที่เกิดมาในโลกนี้ มีบางสิ่งที่คล้ายกัน แต่ก็มีบางสิ่งที่แตกต่างกัน เช่น ใหญ่ เล็ก เพศ ผิวพรรณ ความรู้เป็นสิ่งที่เรียนทันกันได้ แต่ในบาทสุดท้าย บอกว่า   “ยกแต่ดีชั่วกระด้าง ..... อ่อนแก้ฤาไหว”   ความหมายในบาทนี้ คือยกเว้นไว้แต่ความดีชั่ว แข็งกระด้าง อ่อนโยน ที่แก้ไม่ได้, หรือสุดที่จะแก้ เพราะคำว่า   “ฤา”   ในที่นี้ บางทีก็แปลว่า ไม่ บางทีก็แปลว่าหรือ ในประสงค์ของพระองค์ท่านไม่ทราบว่าจะหมายถึงไม่ หรือหมายถึงหรือ คำว่า “ฤา” เป็นคำโบราณ ใช้ในบทร้อยกรอง อย่างในโคลงก็ใช้เป็นคำสร้อย คำว่า   “คำสร้อย”   ก็คล้ายๆ กับนิบาต ในภาษาบาลี อย่างในภาษาบาลีเวลาแต่งฉันท์ ก็เติมนิบาตลงไป เพื่อเป็นเครื่องยังบทให้เต็ม ในโคลงก็เหมือนนกัน สร้อยมีไว้เพื่อเป็นเครื่องยังบทให้เต็ม เมื่อความยังไม่สิ้นกระแส เกินไปหนึ่งพยางค์ก็เติมสร้อยใส่ เลือกคำสร้อยตามที่เห็นว่าเหมาะสมกับเรื่องที่แต่ง รถโดยสารมาถึงป้อมตำรวจท่าแสบง มีมุมหนึ่งเป็นมุมส่งเสริมการรักการอ่าน เห็นเขาเขียนโคลงสี่สุภาพติดไว้ว่า

 

     ๐ ไปโรงเรียนมุ่งสร้าง .................. ปัญญา

ไปตลาดเพื่อหา ............................. กับข้าว

ไปพบแพทย์ปรึกษา ....................... การป่วย

ไปทั่วแคว้นแดนด้าว ..................... สุดท้ายไปสวรรค์ฯ

 

      อ่านดูรอบเดียว เพราะรถจอดไม่นาน แค่ให้ผู้โดยสารลง แล้วรถก็ออก แต่ก็ไม่ยากต่อการจำ เพราะมีความคุ้นเคยกับโคลงสี่สุภาพดี ก็เลยจำได้ แต่ไม่เห็นนามผู้แต่ง โคลงก็มีความหมายดี คงจะเป็นท่านผู้ใดผู้หนึ่งได้แต่งเอาไว้ ก็เลยกำหนดจำเอา ไว้เป็นคติสอนตน สอนนักเรียนในโอกาสต่อไป.



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พระมหาวินัย ภูริปญฺโญ ..
เขียนเมื่อ

     วันนี้ไปถึงโรงเรียนเวลาแปดโมงห้าสิบ นักเรียนร้องเพลงชาติจบพอดี แต่ครูยังไม่ปล่อยเด็กเข้าห้อง ยังอบรมกิริยามารยาท แจ้งข่าวสารเรื่องราวกันนานพอสมควร ก็เลยคิดว่าไปนั่งรอนักเรียนในห้องดีกว่า พอไปถึงห้องเรียน ก็เห็นสภาพห้องเรียนเก้าอี้กระจัดกระจายบางตัวล้มกับพื้นก็มี เศษกระดาษก็เกลื่อนพื้น มีหนังสือสองเล่มวางอยู่บนพื้นด้วย ก็เลยหยิบหนังสือทั้งสองเล่มขึ้นมาเก็บบนโต๊ะ เล่มหนึ่งเป็นหนังสือเรียน อีกเล่มเป็นหนังสือที่ระลึกในงานฌาปนกิจศพ ดูจากสภาพห้องเรียนในวันนี้แสดงว่านักเรียนที่เป็นเวรทำความสะอาด ไม่รับผิดชอบในหน้าที่ของตน ก็เลยเลือกเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งอ่านหนังสือสองเล่มนั้นรอนักเรียนไปพลางๆก่อน

 

     พอประมาณสามโมงครึ่ง คุณครูก็อนุญาตให้นักเรียนเข้าห้อง เมื่อมาถึงห้องเรียนก็มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งบ่นให้เพื่อนนักเรียนชายและหญิงที่เป็นเวรประจำวันนี้ ว่าไม่รู้จักทำความสะอาดห้อง ไม่รับผิดชอบหน้าที่ของตน พร้อมทั้งเดินเก็บเศษกระดาษไปด้วย ฝ่ายเราเป็นผู้สอนก็นั่งดูอยู่ ให้นักเรียนนั่งประจำที่ของตนเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็เลยบอกให้นักเรียนไหว้พระ ไหว้พระจบ ก็เลยถามว่า

      "เอ้านักเรียนวันนี้เวรใครทำไมถึงไม่ทำความสะอาดห้อง"  ก็มีนักเรียนบางคนบอกว่า

      "เวรคนนั้นคนนี้ครับ-ค่า พระอาจารย์"   อ๋อ เวรคนนี้เหรอ แล้วทำไมไม่ทำหน้าที่ของตนเองหละ จะมาทำตอนนี้ก็คงจะไม่ใช่เวลา เพราะตอนนี้ก็ล่วงเลยมาครึ่งชั่วโมงแล้ว ยังไม่ได้อะไรเลย อย่างนี้ไม่ดีนะ บรรยายกาศในห้องเรียน สิ่งแวดล้อมในห้องเรียน ก็ต้องสะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อยด้วย จึงจะเอื้ออำนวยต่อการเรียนการสอน ก็บ่นไป นี่อะไรห้องก็สกปรก ดูกระจัดกระจาย มองดูแล้วก็รู้สึกวุ่นวาย เพราะฉะนั้นคราวหน้าอย่าให้มีแบบนี้นะ..

 

     เรื่องหน้าที่เราต้องรับผิดชอบ นักเรียนเคยได้ยินคำนี้มั้ย..หน้านอกบอกความงาม หน้าในบอกความดี หน้าที่บอกความรับผิดชอบ,หน้านอกก็คือหน้าตาของเรานี่แหละ กลัวจะไม่หล่อไม่สวย แต่ละคนก็พยามตกแต่งแต้มทา ทาปาก ทาหน้า หน้าเรายังรู้จักแต่ง แต่งทำไม ก็แต่งให้สวยงาม ให้ดูดี หน้าห้องเรา หรือบริเวณห้อง ในห้องเราก็เหมือนเป็นหน้าตาของเราเช่นกัน การที่นักเรียนไม่ทำความสะอาด ก็เหมือนกับเราตื่นมาไม่ล้างหน้าแปรงฟัน เวลาเราไปพูดกับคนอื่น ถ้าเราไม่ล้างหน้าไม่แปรงฟัน เราจะอายมั้ย นี่ก็เหมือนกัน ห้องเราไม่สะอาด คนอื่นมาเห็น เรารู้สึกอายมั้ย อันนี้ให้นักเรียนคิดเอง ว่าอายไม่อาย หรือเราไม่มีความละอาย กลายเป็นหน้าด้านกันหมด,  ส่วนหน้าใน ก็คือจิตใจของเรานี่แหละ ก็ต้องตกแต่งเหมือนกัน คือแต่งให้ดีงาม ให้มีคุณธรรม ไม่ใช่มัวแต่แต่งหน้านอก, ส่วนหน้าที่นั้นนักเรียนรู้มั้ย? ว่าบอกอะไร หน้าที่ก็บ่งบอกความสามารถของเราดีๆ นี่เอง ว่าเราจะมีความสามารถรับผิดชอบในหน้าที่ของตนเองมั้ย อย่างในวันนี้ เวรทำความสะอาดห้อง รับผิดชอบหน้าที่ของตนเองมั้ย? เอ้าตอบ

     "ไม่ครับ ไม่ค่ะ"

เมื่อไม่รับผิดชอบ แล้วผิดมั้ย ถามด้วยเสียงดังนิดนึง

     "ผิดครับ-ผิดค่ะ"

นักเรียนในห้องตอบด้วยเสียงเบาๆ,ก็เลยถามย้ำออกไปอีกด้วยเสียงแรงๆ ว่า ตอบใหม่ไม่ได้ยิน ผิดมั้ยไม่รับผิดชอบหน้าที่ของตนเอง คำตอบก็เหมือนเดิมคือผิดครับผิดค่่ะ แต่เสียงดังฟังชัดกว่าเดิม เอ้าถ้ารู้ตัวว่าผิดแล้วจะทำยังไง ตอบ

     "แก้ไขครับ-ค่ะ"

     เออถ้ารู้ตัวว่าผิด ว่าบกพร่องแล้วรู้จักแก้ไขก็ดี ควรให้โอกาส ต่อไปก็ต้องไม่บกพร่องในหน้าที่ของตน และไม่ต้องโยนความผิดให้คนนั้นนี้ นี่อะไร คนนั้นไม่รับผิดชอบ คนนี้ไม่รับผิดชอบ มีแต่คนไม่รับผิด โยนความผิดให้คนอื่น ตนเองรับแต่ชอบ คนนั้นก็ว่าคนนี้ผิด และก็ไม่รับผิด รับแต่ชอบ มีแต่คนรับชอบ ผิดไม่รับ ที่จริงมันก็้ผิดด้วยกันทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ ต่อไปนี้ห้ามโยนความผิดให้กัน ใครที่มีหน้าที่ก็คนนั้นแหละ ไม่ต้องเกี่ยงกัน ให้มีความสามัคคีในการทำงาน นักเรียนเคยได้ยินคำโคลงสุภาษิตของล้นเกล้ารัชกาลที่ ๖ บทนี้มั้ย"คนฉลาดเปลี่ยนแปลงได้ คนโง่ไซร้ ไป่แปลง" เราจะเลือกเป็นคนโง่หรือคนฉลาด ถามด้วยเสียงที่แรงๆ กระแทกเสียง

     "คนฉลาดครับ-ค่ะ"

     เอ้าถ้าอย่างนั้นก็ต้องเปลี่ยนแปลงตนเอง ครับ-ค่ะ อีกเช่นเคย เรื่องไม่ทำเวรก็จบลงด้วยการรับปากว่าจะแก้ไข..



ความเห็น (1)

โคลงสุภาษิต ร.๖ "คนฉลาดเปลี่ยนคิดได้ แต่ว่าคนโฉดไซร้ ไป่แปลง"

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท