อนุทินล่าสุด


ครูมุก
เขียนเมื่อ

25 กรกฎาคม 2556

วันนี้ออกเดินทางจากขอนแก่นไปรับแม่ที่อำเภอแวงน้อยเพื่อจะมาพบหมอตามกำหนด แต่ด้วยที่มีความรู้สึกแบบไม่ปลอดภัย ก็เลยยกมือไหว้พระแล้วก็ท่องคาถาโพธิบาท ท่องไปขับรถไปด้วยค่ะ   (คาถาป้องกันภัย 10 ทิศ) ขณะที่ขับรถออกจากขอนแก่นได้ไม่นานก็มีเรื่องให้ตกใจ เห็นต้นสนที่ปลูกอยู่ร่องกลางถนนกระดอนขึ้น  4-5 ต้น  แล้วก็มีอะไรสีดำกระดอนพลิกควำพลิกหงาย อยู่ถนนอีกเลนด้านหนึ่ง เราเลยแตะเบรค ปรากฎว่าเป็นรถเก๋งสีดำตีลังกาในลักษณะหงายท้องอยู่ร่องกลางถนน...รถเราถึงตรงนั้นพอดี เราตกใจมากชลอรถจอดข้างทาง แล้วตั้งสติ รถคันอื่นที่ขับตามมาก็ทำเหมือนเราคือแอบข้างทางตรงริมถนนยาวเป็นกิโลเลยหละ พอเราได้สติก็กดโทรศัพท์ เรียก 191 (คิดออกอยู่เบอร์เดียว)แต่กดอย่างไรก็ไม่ติดตอนนี้คนเริ่มทะยอยกันลงจากรถเพื่อที่จะไปช่วยเหลือคนที่อยู่ในรถ แต่สิ่งที่เราเห็นก็คือทุกคนกำลังโทรศัพท์กัน...เรามารู้ตอนหลังว่าต่างคนต่างก็กด 191 สายเลยไม่ว่าง  สักครู่คนที่อยู่ในรถคันที่ตีลังกาก็ค่อยๆคลานออกมา เป็นเด็กหนุ่มสองคน ทั้งสองคนไม่เป็นอะไรมากแต่ตกใจจนหน้าซีด แต่แหม   ดูสถาพรถแล้ว..เฮ้อ รถเยินขนาดนี้ คนไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว  ...นับถือน้ำใจคนไทนค่ะเราไม่เคยทิ้งกัน.........................



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูมุก
เขียนเมื่อ

คนขี้ลืม(ก็มีดี)
       คนขี้ลืม วันนี้ลืมกุญแจบ้านและกุญแจรถไว้ในห้อง  แบบว่ารีบมากต้องไปทำงานแต่เช้าทุกวัน เนื่องจากถ้าไปสายที่จอดรถที่มีหลังคาจะเต็มซะก่อน  พอเช็คไฟ พัดลม เรียบร้อยแล้ว ก็เปิดประตูห้องแล้วก็กดล็อกทันที แล้วก็ว้ายยยยยยยยยยยยลืมกุญแจ  อ๋อไม่เป็นไร กุญแจห้องสำรองเก็บไว้ที่รถอีกหนึ่งชุด พอไปเปิดประตูรถ ...อ้าวรถล็อก เหมือนกัน ....ตายทำไงดีหว่า
      แผนหนึ่ง อ้อจำได้สมัยก่อนเมื่อนานมาแล้ว..เคยใช้ปฏิทินที่พกพาในกระเป๋าตังค์ สอดเข้าไปในช่องประตูที่ตรงกับสลักของลูกบิด ได้ผลค่ะ เปิดได้ แต่ตอนนั้น เป็นประตูที่เปิดออกข้างนอกค่ะ แต่คราวนี้เป็นประตูที่เปิดโดยการดันเข้าข้างใน มันติดตรงวงกลบประตูค่ะ ...เป็นอันว่าไม่สำเร็จ  
       แผนสอง โทรฯเรียก รปพ.ประจำหมู่บ้าน(คนที่ไว้วางใจ) ปรากฎว่าเขาออกเวรและกลับบ้านไปแล้ว (บ้านเขาอยู่ไกล)
       แผนสาม เปิดขอความช่วยเหลือจาก อากู๋ (google) ดูวิธีสะเดาะกุญแจ จาก YouTube ทำตามก็ไม่ได้ผล ....ตอนนี้โทรศัพท์บอกพี่ที่โรงเรียนว่า วันนี้ลางานหนึ่งวัน มีอุบัติเหตุนิดหน่อย รายละเอียดจะเล่าให้ฟังทีหลัง ...ว่าเข้าไปนั่น  .....หันกลับมาหาทางสะเดาะกุญแจต่อ  ......ตอนนี้พิมพ์คำว่า "ลืมกุญแจ" เจอหัวข้อเดียวกันเป๊ะเลยค่ะ ...เขาบอกว่าเขาลืมกุญแจห้องที่คอนโด เขาก็เลยเรียก รปพ. มาช่วยเปิด โดย รปพ.ทำแป้บ เดียวเสร็จ ไม่ถึง ห้านาที่  ..วิธีการก็คือ ให้เอาผ้า พับให้หนาพอสมควร แล้วเอาห่อตรงลูกบิดประตู แล้วใช้ฆ้อนตีตะปู เคาะลงตรงลูดบิดประตูบริเวณที่เราเสียบลูกกุญแจนั่นแหละค่ะ ....เข้าย้ำว่าจะต้องเคาะไม่ค่อยและไม่แรงเกินไป ให้พอดี สลักของลูกบิดก็จะกระดอนออกทันที แล้วลูกบิดก็ยังใช้ได้เหมือนเดิม ......ทราบดั่งนั้นแล้ว เราก็ลงมือหาอุปกรณ์ทันที 

1. ฆ้อนตีตะปู (มีอยู่แล้วเพราะว่าเราชอบทำนั่งประดิษฐ์นี่อยู้แล้ว )
2. ผ้าเช็ดมือ

แล้วก็เอาผ้าเช็ดมือพับให้หนาพอสมควร  วางทับตรงลูกบิดบริเวณที่เปิดกุญแจ จับด้วยมือซ้าย มือขวา ถือฆ้อน เตรียมพร้อม ...เอ..การเคาะที่ไม่ค่อยเกินไป และไม่แรงเกินไป มันจะประมาณไหนหว่า  ก็ลองเหวี่ยงฆ้อนดูเพื่อหาความพอดี ...คิดว่าน่าจะพอดีขนาดไหน ก็เคาะฆ้อนลงไปที่ลูกบิดบริเวณที่เสียบลูกกุญแจ ...ปัง...ประตเปิดออกทันที  .....โห...วิธีนี้ใช้ได้จริงๆ...ดีใจมาก รีบเปลี่ยนเสื้อทำงานตัวใหม่ เพราะว่าตัวเดิม เหงื่อโทรมเลยหละ ...รีบไปทำงานทันทีเพราะว่าดูเวลาแล้วยังไปทัน....สรุปใช้เวลาในการสะเดาะกลอนประตู จาก 06.50- 08.20 น. ..บอกตัวเองว่าทีหลังอย่าลืม มือเจ็บระบมไปหมด เครียดด้วย .....แล้วก็ไม่ลืมบอกตัวเองว่า แค่ลูกบิดกันขโมย ไม่ได้หรอก ตัวเราเองยังสะเดาะประตูได้เลย...วันนี้ต้องไปซื้อกุญแจอีกดอดมาคล้องข้างนอก...แล้วต้องเป็นกุญแจที่จะปิดได้ต้องใช้ลูกกุญแจเปิดปิดได้เท่านั้น...เพราะเราเป็นคนขี้ลืม......อิอิอิ ...ขอบคุณ อากู๋ มากค่ะ



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูมุก
เขียนเมื่อ

ต้องอ่าน
หนุ่มน้อยเพิ่งจบการศึกษาด้วยผลการ เรียนดีเยี่ยมไปสมัครงานใน
ตำแหน่งผู้จัดการบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง 
หลังจากผ่านการสอบสัมภาษณ์ครั้งแรกไปแล้ว 
ผู้อำนวยการได้เรียกเขาไปสัมภาษณ์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนตัดสินใจ
ผู้อำนวยการ เห็นข้อมูลในประวัติของเด็กหนุ่มคนนี้ว่ามีผลการเรียนเป็นเลิศในทุกวิชาตลอดมา 
นับตั้งแต่อุดมศึกษาจนจบมหาวิทยาลัย ไม่ปรากฏว่าเขาทำคะแนนตกเลย 

ผู้อำนวยการเริ่มคำถามว่า " เธอเคยได้รับทุนการศึกษาอะไรหรือเปล่า ?" 
เด็กหนุ่มตอบว่า " ไม่เคยครับ " 
ผู้อำนวยการถามต่อว่า " คุณพ่อของเธอเป็นคนจ่ายค่าเล่าเรียนให้ใช่ไหม? "
เด็กหนุ่มตอบว่า " คุณพ่อของผมเสียไปตั้งแต่ผมอายุได้ขวบเดียวครับ 
เป็นคุณแม่ที่จ่ายค่าเล่าเรียนให้ผม" 
ผู้อำนวยการถามต่อว่า " คุณแม่ของเธอทำงานที่ไหน? " 
เด็กหนุ่มตอบว่า " คุณแม่รับจ้างซักผ้ารีดผ้า " 

ผู้อำนวยการขอดูมือของเขา 
เด็กหนุ่มยื่นมือที่เรียบลื่นไม่มีที่ติให้ผู้อำนวยการดู 
ผู้อำนวยการถามต่อว่า " เธอเคยช่วยคุณแม่ของเธอทำงานบ้างหรือเปล่า ?"
เขาตอบว่า " ไม่เคยครับ คุณแม่ต้องการให้ผมเรียนแล้วก็อ่านหนังสือเยอะ ๆ คุณแม่ซักผ้าได้เร็วกว่าผมด้วยครับ " 
ผู้อำนวยการบอกว่า " ฉันมีเรื่องให้เธอช่วยทำอย่างหนึ่งนะ 
วันนี้ เธอกลับไปที่บ้าน ช่วยล้างมือของคุณแม่ของเธอแล้วกลับมาพบฉันอีกทีพรุ่งนี้เช้า " 

ด้วย ความมั่นใจว่าโอกาสที่จะได้งานทำมีอยู่สูงมาก 
เมื่อเขากลับไปถึงบ้านเขา จึงรู้สึกเต็มใจที่จะล้างมือให้แม่ของเขา 
ฝ่ายแม่รู้สึกประหลาดใจระคน หวั่นใจ เธอส่งมือให้ลูก 
หนุ่มน้อยค่อยๆ ล้างมือให้แม่ แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา

เขาเพิ่งรู้สึกว่ามือของแม่นั้นช่างเหี่ยวย่นและ เต็มไปด้วยริ้วรอยขูดข่วน 
ซึ่งบางแผลพอโดนล้างน้ำก็ทำให้แม่เจ็บจนตัวสั่นระริก

นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มตระหนักรู้ว่า 
มือคู่นี้เองที่ซักผ้าทุกวัน เพื่อหารายได้มาส่งเสียให้เขาได้เล่าเรียน 
รอยแผลเหล่านี้คือ ราคาทีแม่ต้องจ่ายไปเพื่อความสำเร็จในการศึกษาของเขา เพื่อผลการเรียนที่ ยอดเยี่ยมของเขาและอาจจะเพื่ออนาคตของเขาด้วย

คืนนั้นสองแม่ลูกได้คุยกัน อยู่นาน 

เช้าวันต่อมา เด็กหนุ่มก็เดินทางไปที่ออฟฟิศของผู้อำนวยการ 
ผู้อำนวยการสังเกตเห็นน้ำตาในดวงตาของเขา จึงพูดขึ้นว่า 
" ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าเมื่อคืนที่บ้าน เธอทำอะไรบ้าง แล้วได้บทเรียนอะไร ? " 
เด็กหนุ่มตอบว่า " ผมล้างมือให้แม่ครับ แล้วก็เลยช่วยแม่ซักผ้าที่เหลือจนเสร็จ " 
ผู้อำนวยการบอกว่า " ช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยว่า เธอรู้สึกยังไง " 

เด็กหนุ่มตอบ 
"ข้อที่หนึ่ง ผมได้รู้ซึ้งถึงคำว่า สำนึกในบุญคุณ 
ถ้าไม่มีแม่ก็คงไม่มีความสำเร็จของผมด้วย

ข้อที่สอง จากการช่วยแม่ทำงาน 
ผมได้รู้ว่ามันลำบากยากเย็นยังไงกว่าจะทำอะไรออกมาสักอย่างหนึ่ง 

ข้อที่สาม ผมได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของความรักและความผูกพันในครอบครัว "

ผู้อำนวยการจึงบอกว่า " นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการ
ฉันอยากได้ คนที่รู้ค่าของการได้รับความช่วยเหลือ 
อยากได้คนที่เข้าใจถึงความลำบาก ของใครสักคนในการจะทำอะไรได้มาสักอย่าง 
และอยากได้คนที่ไม่ได้ตั้งเงิน เป็นเป้าหมายในชีวิตแต่เพียงอย่างเดียว 
มาเป็นผู้จัดการให้ฉัน เป็นอันตกลงว่าฉันรับเธอไว้ทำงาน " 

ในเวลาต่อมา เด็กหนุ่มคนนี้ก็ได้ทำงานอย่างหนักและได้รับความนับถือจากผู้ใต้บังคับบัญชา 
ลูกจ้าง ทุกคนทำงานเป็นทีมอย่างขยันขันแข็ง กิจการของบริษัทก็เจริญก้าวหน้าเป็นอย่างดี 

เด็กที่ถูกตามใจจนเป็นนิสัยได้รับทุกอย่างที่ต้องการ 
จะสร้างนิสัยเอาแต่ใจตัวเองและเห็นแก่ตัวเองเป็นอันดับแรก 
เขาจะไม่สนใจ ความเหนื่อยยากของพ่อแม่ 
เมื่อถึงวัยทำงานเขาก็จะคาดหวังว่า ใคร ๆ จะต้องเชื่อฟังเขา 
เมื่อเขาเป็นผู้จัดการ เขาจึงไม่มีวันรู้ว่าบรรดาลูกจ้างนั้นลำบากอย่างไร 
และมักจะโทษคนอื่น

คน ลักษณะนี้อาจจะทำงานได้ อาจจะประสบความสำเร็จช่วงหนึ่ง 
แต่ในที่สุด แล้ว เขาจะไม่สำเหนียกคุณค่าของความสำเร็จ 
หากยังคงคร่ำครวญ เคียดขึ้ง และไม่มีวันรู้สึกเพียงพอ

ถ้าเรา เป็นพ่อแม่ประเภทที่ปกป้องลูกแบบนี้ จงถามตัวเราว่า 
เรากำลังให้ความรัก กับลูกหรือ กำลังทำลายเขากันแน่ ? 
เราให้ลูก ๆ มีบ้านใหญ่ ๆ อยู่ กินอาหารดี ๆ เรียนเปียโน ดูทีวีจอใหญ่ 
แต่เวลาที่เราตัดหญ้า ลองให้ลูกได้ทำด้วย 
หลังอาหาร ให้เขาล้างถ้วยชามของตัวเองพร้อม ๆ กับพี่ ๆ น้อง ๆ 
ไม่ใช่ว่าเราไม่มีปัญญาจ้างคนรับใช้ 
แต่เพราะเราอยากจะให้ความรักกับพวกเขาอย่างถูกวิธี 
เราอยากให้เขาเข้าใจว่า ไม่ว่าพ่อแม่จะจนหรือจะรวย 
วันหนึ่งก็จะต้องผมขาว แก่เฒ่าลงไป เหมือนกับแม่ของเด็กหนุ่มคนนี้

สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ลูกของเราจะได้เรียนรู้ คือ รู้คุณค่าของความพยายาม 
ได้รู้จักว่า ความยากลำบากมันเป็นยังไง และได้เรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่นให้เป็น

ที่มา http://mblog.manager.co.th/lady007/th-107626/
ขอบคุณบทความ & รูปภาพ : "พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง"



ความเห็น (1)

ซาบซึ้งที่สุดครับ

ขอบคุณครับ ;)...

ป.ล. นี่คือ สื่อการสอนชั้นดีครับ ;)...

ครูมุก
เขียนเมื่อ

คนไม่มีวาสนา

ท้องฟ้ามืดเหมือนใจหม่นของคนหมอง

จะร่ำร้องบอกใครที่ไหนได้

หมดฟ้ามืดฝนซาฟ้าอำไพ

แต่หัวใจมืดดำด้วยช้ำตรม

             ตั้งใจมั่นทำหน้าที่ “ครูดีเด่น”

             ทุกคนเห็นทำหน้าชื่นใจขื่นขม

             เป็น “ครูดีในดวงใจ” ใครใครชม

             “ครูแกนนำ” ช้ำตรมระทมใจ

“ครูต้นแบบ” มาทำงานนั้นแต่เช้า

ทุกวันเฝ้าดูแลคอยแก้ไข

มอบความรักมั่นต่อศิษย์สนิทใจ

ครูทนได้แม้เหนื่อยยากลำบากกาย

              แต่น้อยใจหนักหนาฟ้าไม่สน

              มองแต่คนเอาใจไม่มอบหมาย

              หนีการสอนงานไม่ทำตามสบาย

              แค่ประจบเจ้านายไปวันวัน

พอถามหาความเป็นธรรมย้ำให้เศร้า

ว่าตัวเรา “ไม่มีวาสนา” พาโศกศัลย์

สงสารใจ “ข้า” หนาสุดจาบัลย์

ไฉนกันวาสนาไม่มาเยือน

               แม้ไม่เห็นความดีที่ตั้งมั่น

               ขออย่าสรรคำว่ามาเชือดเฉือน

               ใจดวงน้อยเจ็บช้ำถูกย้ำเตือน

               เปรียบเสมือนคมมีดกรีดหัวใจ

                                                                            2  สิงหาคม  2553         

                          


ความเห็น (4)

ขออนุญาตนะคุณครู...

เมื่อฟ้ามืดไยจะทนให้หม่นหมอง

ควรเฝ้ามองรู้เท่าทันไม่หวั่นไหว

พิจารณาเหตุการณ์ที่ผ่านใจ

ปล่อยวางได้เป็นสุขทุกคืนวัน


ธรรมดาของโลกอย่าโศกเศร้า

เพียงแค่เรา" ดี"แท้ไม่แปรผัน

เป็นครูดีในดวงใจให้ทุกวัน

การนินทาว่านั้น ธรรมดา


ครูแกนนำ นำธรรมประจำจิต

ครูต้นแบบไยคิดกลัวปัญหา

ควรมุ่งมั่นสอนสั่งยังวิชา

แก่ลูกศิษย์ลูกหาตาดำดำ


"ดิน"ทำดี ไม่เห็นงาม ก็ตาม"ฟ้า"

ที่ลอยหน้าฟ้ากลับอุปถัมภ์

ดูประหนึ่งที่เห็นไม่เป็นธรรม

คงเป็นกรรมของเราแต่เก่ากาล


หากเอนเอียงคงเลี่ยงจากเที่ยงแท้

ความเป็นธรรมผันแปรทุกสถาน

บนเงื่อนไขผลประโยชน์ที่โปรดปราน

ไม่ขึ้นอยู่กับผลงาน ประการใด


ถึงไม่เห็นความดีมุ่งมั่น

สิ่งสำคัญทำหน้าที่ ดีกว่าไหม

ย่อมประสบพบสุขทุกวันไป

เพียงแค่ใจดวงน้อย รู้ปล่อยวาง


...สู้ๆ นะคุณครู ขอให้มีความสุข


นมัสการ พระมหาวินัย  ภูริปัญโญ 

ขอบพระคุณมากค่ะที่ให้ข้อเสนิแนะ กลอนนี้ เกิดจากความน้อยเนื้อต่ำใจในขณะหนึ่งเท่านั้นเจ้าค่ะ  แต่เอามาลงแบ่งปันให้เพื่อนอ่าน แล้วก็เก็บผลงานตัวเองด้วยเจ้าค่ะ พระอาจารย์แต่งกลอนเก่งนะเจ้าคะ ...ขอบพระคุณWasawat Deemarn  อักขณิช   kwanruthai pusara  ที่เข้ามาให้กำลังใจค่ะ

นมัสการ พระมหาวินัย  ภูริปัญโญ 

ขอบพระคุณมากเจ้าค่ะที่ให้ข้อเสนอแนะ กลอนนี้ เกิดจากความน้อยเนื้อต่ำใจในขณะหนึ่งเมื่อนานมาแล้วเจ้าค่ะ  แต่เอามาลงแบ่งปันให้เพื่อนอ่าน แล้วก็เก็บผลงานตัวเองด้วยเจ้าค่ะ พระอาจารย์แต่งกลอนเก่งและกินใจมากเจ้าค่ะ 

ณ ปัจจุบันนี้ถึงแม้ความชอบยังมาไม่ถึง(กว่า17 ปี) ก็อยู่อย่างมีความสุขและสบายใจแล้วเจ้าค่ะ  เมื่อกลับมาอ่านกลอนนี้ทีไร ก็อดขำตัวเองไม่ได้ 

...ขอบพระคุณWasawat Deemarn อักขณิช   kwanruthai pusara  ที่เข้ามาให้กำลังใจค่ะ



ครูมุก
เขียนเมื่อ

วันนี้เดินขึ้นไปสอนคาบที่ 7 ที่ห้อง 345 อัย..ยะ หอบแฮ้กๆๆๆๆๆๆ นี่ขนาดลูกๆ ม. 5/6(คุณยักษ์) มารับกระเป๋าทุกใบขึ้นไปส่งที่ห้องสอนแล้วนะ เราเดินขึ้นไปแต่ตัว ......อะอะ สังขารน้อ  พอขึ้นไปถึงห้องที่สอน  นักเรียน 4/3 เห็นสภาพครูแล้ว ได้แต่นั่งอมยิ้ม ภาคเรียนนี้น่าจะทำให้เราได้ออกกำลังกายอย่างหนักทุกวัน  ก็ตารางสอนชั่วโมงติดกันแต่ดันอยู่คนละอาคาร  แล้วแต่ละอาคาร  สอนชั้นสูงสุดทั้งนั้น  สภาพวัยใกล้เกษียณ...... สุขภาพน่าจะแข็งแรงขึ้นนะ  55555



ความเห็น (1)

ขอใช้คำนี้กับคุณครูว่า " อดทนเข้าไว้  โตล่ะไม่ใช่เด็ก"  อิอิ ประมาณนั้น ปลอบใจตัวเอง สังขารน้อ.....

ครูมุก
เขียนเมื่อ

เปิดเรียนสัปดาห์แรก แปลกตา....เก่าก่อนมา นักเรียน kw  ไว้ผมสั้น  หญิงไว้ผมสั้นแค่ปกเสื้อ ...เด็กชายผมสั้น รองทรงสูง  ตีนผมขาว  ..สะอาด    หน้าตาเด็กสะอาดใส     มาเทอมนี้ ผู้ชายผมยาวหน้าตารกรุงรัง  ผู้หญิงรวบผบ ติดกิ๊บเต็มหัว  ผูกโบว์  หน้าตาดู(แก่)ไปถนัดตา ...ตอนเช้าฟังข่าว...บอกว่าให้นักเรียนซอยผมได้...พรุ่งนี้จะให้อะไรอีกคะ  ....ท่าน รมต.ทรงผมนักเรียน จะทำอะไร วางแผนครั้งเดียวชัดเจนไปเลยดีไหมคะ ....หรือท่านหวังอะไรในอนาคต(จากเด็กนักเรียน)...........



ความเห็น (1)

ไม่ได้ติดตามรายละเอียดว่ากฎกระทรวงฯในเรื่องนี้ว่าครอบคลุมนักเรียนทุกระดับหรือเปล่า? เพราะถ้าเป็นเด็กเล็กๆ ก็ต้องระวังเรื่องเหาและเรื่องกลิ่นทั้งผู้หญิงและผู้ชายนะคะ...ถึงเป็นเด็กมัธยมก็เถอะถ้าไม่สระผมทุกวัน นอกจากมีกลิ่น ก็มีเหาได้เหมือนกัน และหากผมสกปรกหน้าก็จะเป็นสิวด้วย  แถมอากาศร้อนๆมีเหงื่อออกตามคอก็อาจเป็นเกลื้อนได้อีกด้วย...แต่คิดว่าโรงเรียนที่ไม่ได้สังกัดกระทรวงศึกษาธิการมีทางออกโดยการใช้กฎระเบียบของโรงเรียนตามความเหมาะสมของบริบท เช่นโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ที่มีเด็กหลากหลายส่วนใหญ่เด็กดูแลความสะอาดด้วยตัวเอง ไม่ใช่คุณหนูที่มีพ่อแม่พี่เลี้ยงทำให้ ครูกทม.คงไม่ปล่อยให้ไว้ผมยาวแน่...รับรองค่ะ

ครูมุก
เขียนเมื่อ

วันนี้ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมในการประกวดแฟ้มสะสมผลงานมา 2 รางวัล ดีใจแต่....มีคนพูดว่า ฉันไม่ส่งหรอกพวกนี้มันเสียเวลา เอาเวลาที่ทำพวกนี้ไปคิดหาวิธีสอนดีๆมาสอนเด็กดีกว่า

เกิดคำถามขึ้นในใจ  ...ว่ารางวัลยอดเยี่ยมที่ได้มาสองรางวัล

ได้อะไรจากรางวัลนี้...
ทำไมถึงส่งเข้าประกวด...
เกิดประโยชน์แก่นักเรียนอย่างไร...




ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูมุก
เขียนเมื่อ

10 พ.ค. 56
      ทีมงานพอเพียงชาวนางฟ้า (กัลยาณวัตร) ได้รับเชิญจากโรงเรียนเทพศิรินทร์ขอนแก่น เป็นวิทยากรแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง “การขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษา” ณ ห้องโสตทัศนศึกษา โรงเรียนเทพศิรินทร์ ขอนแก่น 




ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูมุก
เขียนเมื่อ

วันนี้วันพระค่ะ  ก่อนสวดมนต์เย็น  ...นึกถึง "ธรรมะใกล้ตัว" ที่เราอ่านประจำ เพราะว่าเป็นสมาชิก  หลักธรรมเรื่อง "มองตนเองผ่านคนอื่น"  ของคุณดังตฤณ ..ชอบมาก นำความสุขมาฝากเพื่อนๆด้วยค่ะ...ลองอ่านดูนะคะ

เห็นตัวเองผ่านคนอื่น

dungtrin_new2

คุณไม่มีทางรู้ว่าในมุมมองของคนอื่น
ตัวคุณเป็นอย่างไร
จนกว่าจะเจอใครสักคนที่คล้ายกัน
และทำให้คุณพอใจหรือไม่พอใจอย่างแรง

คนเหมือนคุณเป๊ะหายาก แต่คนทำอะไรๆคล้ายคุณหาง่าย
ยิ่งถ้าเป็นคนที่ทำอะไรแบบเดียวกับที่คุณตัดสินใจทำตอนอยากได้มากๆ
หรือตอนกำลังโมโหโกรธาจัดๆ
ก็ดูเหมือนจะพบเจอได้ทั่วไปที่โน่นที่นี่

กว่าจะเข้าใจเหตุผลว่าคนอื่นชอบหรือไม่ชอบ
ยอมรับหรือไม่ยอมรับการกระทำแบบไหน
อยากอยู่ด้วยหรืออยากออกห่างคุณ
บางทีก็ต้องเจอคนทำแบบเดียวกันกับคุณ
ถึงจะย้อนไปนึกออกว่าเวลาเราทำกับคนอื่นเขารู้สึกอย่างไร

พระพุทธเจ้าตรัสว่าอยากให้ใครดีมา
ก็ให้ดีกับเขาก่อน
แม้คุณจะนึกเถียงในใจว่า
ดีอย่างไรมันก็ร้ายมาอยู่วันยังค่ำ
แต่ที่สุดแล้วเมื่อดีกับคนมากพอ
ยืนหยัดกับตัวตนเดิมนานพอ
ความพร้อมจะดีกับใครๆจริงๆ
ก็เข้มข้นพอจะผ่อนหนักให้เป็นเบา
หรือเปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้
ถึงตรงนั้นจะรู้ว่าพระพุทธเจ้า
ไม่ได้สอนให้ดีครั้งเดียวแล้วได้รับผลตอบแทนดีๆกลับมาตลอดไป
ท่านให้ดีตลอดไป แล้วค่อยหวังจะรับผลดีได้นานๆครับ

ดังตฤณ
ตุลาคม ๕๕

                                   

                                                         ดอกบัวหลวงหน้าบ้าน  ปลูกเองค่ะ



ความเห็น (1)
ครูมุก
เขียนเมื่อ

วันนี้กลับจากทำงานเดินเข้าบ้าน  ได้กลิ่นมะม่วงกะล่อนสุกมาแต่ไกล หอม...เรียกน้ำย่อยได้ดีนักแล  หลังจากนึ่งข้าวเหนียวสุก ก็เลยทำการ "บ่ายโบก" มะม่วงกะล่อน...(ก่อนที่จะวายในปีนี้ ปีหน้าโน่นถึงจะได้ลิ้มลองอีกที)  อร่อยมากค่ะ ......มาทานด้วยกันนะคะ  


                        

                                                                       บ่ายโบกมะม่วงกะล่อนสุก

                               

                                                                     มะม่วงกะล่อนสุกค่ะ




ความเห็น (3)

  1. มะม่วงกะล่อน  อยู่จังหวัดไหนคะ ดิฉันอยู่จังหวัดภูเก็ต ยังไม่เคยเห็นเลยค่ะ 
  2. แต่ภาพแรกที่ยัดข้าวเหนียวหน้าตาน่าทานมากเลยค่ะ

สวัสดีค่ะ  

ดวงใจ จิตรามาศ  มะม่วงกะล่อน แถวภาคอีสานมีเยอะมากในสมัยก่อนเพราะว่าเกิดเองตามธรรมชาติ  ปัจจุบันนี้เหลือน้อยเต็มทีเพราะว่าไม่มีการปลูกทดแทน  เขาหันไปเห่อ เขียวเสวย นอแรด น้ำดอกไม่พวกนั้นมากกว่าค่ะ แต่มะม่วงพวกที่กล่าวมาก็ไม่สามารถบ่ายโบกได้ หรือถ้าได้ก็ไม่อร่อยค่ะ.....ขอบคุณนะคะที่เข้ามาเยี่ยมชมค่ะ


                                            

ครูมุก
เขียนเมื่อ

ช่วงนี้กำลังฝึกตัดแต่งรูปภาพจากโปรแกรม photoshop เพื่อใช้ประกอบการทำสื่อการสอนในภาคเรียนที่จะถึง บอกตรงๆ มันมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ  เลยลองมาตัดแต่งภาพตัวเอง ...ได้ไปในที่ต่างๆในโลก ตามจินตนาการ  ...เป็นความสุขเล็กๆของคนที่ไม่ค่อยได้เดินทางไปไหนไกลๆ.....


                           

                                                            ชื่อภาพ  มองฟ้า...เวิ้ง...ว้าง



ความเห็น (1)

มองฟ้าเวิ้งว้าง แต่ภาพครูมุกสดใสนะ

ครูมุก
เขียนเมื่อ

กำลังสวมบทบาทเป็นคนสวน แหงนหน้าเช็ดเหงื่อมองขึ้นไปบนฟ้า เห็นพระอาทิตย์ทรงกลดพอดี  เห็นว่าสวยมากนานๆมีให้เห็นครั้ง คิดถึงชาวG2K เอามาฝากค่ะ





ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูมุก
เขียนเมื่อ

จริงหรือ  ที่มีคนกล่าวว่า  คนที่ไม่ทุกข์คนนั้นไม่เห็นธรรม  

      สังเกตุจากตัวเองคราใดที่เกิดความทุกข์ใจประมาณว่ามองไปทางไหนดูมันตันไปหมด  ดูมันอึดอัดมากจุกแน่นในอก แต่ก็พยายามหาทางออกให้ตัวเ องทุกข์น้อยลง สิ่งแรกที่คิดถึงก็คือ หลักอริยสัจ4พระพุทธเจ้าท่านให้ไว้สำหรับแก้ปัญหา  อันดับแรก ทุกข์เรื่องอะไร  สาเหตุมาจากที่ไหน  แก้จากเหตุ ถ้าเหตุนั้นเกิดจากคนอื่น  ตามธรรมชาติการแก้ปัญหาที่คนอื่น เป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก แต่การแก้ที่ตัวเราดูจะง่ายกว่า  ปัญหาอยู่ที่ว่า ตัวเรา    ....วาง...ได้หรือไม่  กว่าจะมาถึงจุดนี้ใจเราก็เย็นลง ความทุกข์เริ่มคลายลง ปัญญาก็เริ่มมา...นี่หรือไม่คนที่มีทุกข์คนนั้นเห็นธรรม



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูมุก
เขียนเมื่อ

2-3 เม.ย.56

ปฐมนิเทศนักเรียนชั้ม ม.1ได้ยินผู้ปกครองคุยกันเรื่องข้าวของราคาแพงไม่รู้ว่าเงินที่มีอยู่จะพอค่าใช้จ่ายในการเรียนของลูกหลานหรือไม่คุณตาคนหนึ่งบอกว่ารองเท้าที่ซื้อใหม่ในวันนี้หวังว่าหลานจะใช้ได้ถึงสามปี.....



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

ครูมุก
เขียนเมื่อ

27 เมษายน 2556 

คุมสอบครู "การทดสอบสมรรถนะครูทางด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ประจำปีงบประมาณ 2556" จัดโดยสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทศ.  เพื่อเป็นการส่งเสริมสนับสนุนสมรรถนะครู อาจารย์ทางด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ และเป็นการเตรียมความพร้อมในการพัฒนาการเรียนรู้ในชั้นเรียนสำหรับรองรับนโยบายในการใช้คะแนนการทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐาน(ONET)เป็นองค์ประกอบหนึ่งของการจบหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานตามหลักสูตรในระดับชั้น ป. 6 ,ม.3 ,ม.6 ในปีการศึกษา 2556



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท