01-รูปร่างดีรู้ได้อย่างไร


ปัจจุบันคนมักมองว่ารูปร่างของตนเองเป็นแบบใดขึ้นอยู่กับความคิดเห็...
มีต่อ
กิตติพจน์ วิทย์ออก เลขที่ 14

** สวัสดีครับอาจารย์กั๊ม **

ในเพลานี้ข้าพเจ้ามีเกล็ดเคล็ดลับ สูตรการลดน้ำหนักที่ถูกต้อง มาฝากครับ

สูตรการลดน้ำหนักที่ถูกต้อง จะให้ได้ผลดี ตามข้อปฏิบัติดังต่อไปนี้

1. ระลึกอยู่เสอมว่าความอ้วนเป็นอันตราย

2. การลดน้ำหนักไม่ใช่การอดอาหาร แต่ควรดูปริมาณพลังงานที่ได้ จากอาหารให้เหมาะสมกับการทำกิจกรรมในแต่ละวัน

3. ควรกินอาหารให้ครบทุกมื้อ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง

4. ออกกำลังกาย เพื่อเผาผลาญพลังงานที่เหลือไม่ให้เป็นไขมันส่วนเกิน สะสมในร่างกาย

5. กินอาหารพอเหมาะ ไม่กินมากหรือน้อยเกินไป

6. ดื่มน้ำเยอะ ๆ เพราะน้ำจะทำให้สดชื่น และป้องกันไม่ให้อยากกินอาหาร

7. ให้ทุกคนช่วยเตือนในการลดน้ำหนัก ว่า "ตนกำลังลดน้ำหนักอยู่" เพราะจะช่วยไม่ให้ลืม

8. ทำงานด้วยความกีระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่า เพื่อให้ร่างกายได้ออกกำลังทุกสัดส่วน เผาผลาญพลังงานส่วนเกิน

9. ชั่งน้ำหนักทุกอาทิตย์ และทำตารางเปรียบเทียบการลดน้ำหนัก

10. ตั้งปณิธาณว่าจะทำให้ครบทุกข้อ

ที่มา = โดย : นางสาว อนุชิดา นกพึ่ง, โรงเรียนศรีสำโรงชนูปถัมภ์

สำหรับหลายคนที่มีปัญหาเรื่องการนอนหลับ ทั้งๆ ที่มีอาชีพที่เขาให้โอกาสนอนได้มากๆ เช่น เป็นครู อาจารย์ ไม่ต้องอยู่เวรยาม

แถมยังมีเวลาหยุดภาคเรียน แต่ก็ยังนอนไม่หลับ ผู้รู้เรื่องการนอนหลับแนะนำว่าเพื่อให้การนอนหลับดี ควรลองปฏิบัติดังนี้

• เข้านอนและตื่นนอนให้ตรงเวลาทุกวัน ไม่เว้นวันหยุด

• ฝึกทำกิจกรรมที่เป็นอาจิณปฏิบัติ เช่น อาบน้ำก่อนนอน อ่านหนังสือง่ายๆ ก่อนนอน (ถ้าเอาไวยากรณ์ไทยมาอ่านก็ต้องระวังเพราะอาจขึ้นเตียงไม่ทัน)

• ใช้ห้องนอนสำหรับการนอนและเพศสัมพันธ์เท่านั้น ไม่ควรใช้ดูหนังดูละครหรือดูกีฬาทำความรำคาญให้แก่คู่ครองที่มีรสนิยม

ต่างกัน หรือใช้ห้องนอนทำบัญชีเคลียร์หนี้ซึ่งทำให้เครียดจนนอนไม่หลับ

• ทำห้องนอนให้เงียบและมืดซึ่งชวนให้หลับได้ดี

อรชพร เจริญพัฒนสมบัติ.ฟาร์

เป็นที่ตระหนักกันดีในวงการแพทย์แล้วว่ามลพิษทางเสียงส่งผลร้ายต่อการได้ยิน สุขภาพ และคุณภาพชีวิตของมนุษย์ ได้แก่

• การได้ยิน:

การสูญเสียการได้ยิน เสียงดังรบกวน เกิดเสียงหวีดก้องในหูหรือในสมอง

• สุขภาพกาย:

ความดันโลหิตสูง ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว มือเท้าเย็น การไหลเวียนกระแสโลหิตบกพร่องจนถึงโรคหัวใจ

• สุขภาพจิต:

การรบกวนการพักผ่อน เกิดความเครียด และสภาวะตื่นตระหนก ซึ่งพัฒนาไปสู่อาการเจ็บป่วยเศร้าซึมและโรคจิตประสาทได้

• สมาธิ ความคิด และการเรียนรู้:

การรบกวนสมาธิ การคิดค้น วิเคราะห์ข้อมูล และการลดประสิทธิภาพการเรียนรู้ และการตั้งใจรับฟัง

• ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการทํางาน:

การรบกวนระบบและความต่อเนื่องของการทํางาน และทําให้งานล่าช้า ลดทั้งคุณภาพและปริมาณ

• การติดต่อสื่อสาร:

ขัดขวางการได้ยิน และทําให้ต้องตะโกนสื่อสารกัน ทําให้การสื่อสารบกพร่องเกิดความเพี้ยนในการได้ยิน ในเด็กเล็กที่กําลังเรียนพูด

จะถ่วงพัฒนาการในการฟัง การพูด และการออกเสียง ในผู้ใหญ่จะเป็นอุปสรรคต่อการรับฟังสัญญาณเตือนภัยอันอาจทําให้เกิดอุบัติเหตุและอันตราย

• การกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมก้าวร้าว:

เสียงดังเร้าอารมณ์ให้สร้างความรุนแรง ทําร้ายผู้อื่น

• การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม:

กระตุ้นให้เกิดค่านิยมในความรุนแรง ไม่เคารพสิทธิในความสงบสุขของผู้อื่นและสังคมโดยรวม และการขาดมารยาทสังคมที่ดีงาม

คนทั่วไปจะไม่สามารถทราบได้ว่ากำลังฟังเสียงหรือปรับระดับเสียงของเครื่องเล่นเสียงอยู่ที่กี่เดซิเบล ทั้งนี้เนื่องจาก

การวัดเสียงจะต้องใช้เครื่องมือเฉพาะที่เรียกว่า “เครื่องวัดระดับเสียง (Sound Level Meter)” ซึ่งมีหน่วยวัดเป็น เดซิเบลเอ อย่างไรก็ตามขณะนี้ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ได้มีการวิจัยและพัฒนาโปรแกรมวัดระดับเสียง “SOUNDmeter” ซึ่งสามารถนำไปใช้บนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบพกพา (Personal Digital Assistant: PDA) โปรแกรมดังกล่าว

มีความแม่นยำใกล้เคียงกับเครื่องวัดระดับเสียงมาตรฐาน และใช้งานง่าย จึงเหมาะกับคนทั่วไปสำหรับใช้ในการตรวจวัดระดับเสียง

และหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีเสียงดังมากเกินไป

รูปร่างดีเหรอค่ะ การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

อย่ากินจุกจิก พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้มากๆ งดอาหารคาวหวาน

อย่าปล่อยให้ตัวเองอ้วน....

อนุกูล เลขที่36 วิทย์ออก

การดูแลสุขภาพตนเอง โดยธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น ในชีวิต ก็จะพยายามหาทางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เป็นอันดับแรก เมื่อรู้ว่า ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เอง ก็จะแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้อื่น ในเรื่องความเจ็บป่วย หรือปัญหาสุขภาพก็เช่นเดียวกัน ทุกคนต้องการที่จะดูแลตนเอง ให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ ดังนั้น กล่าวได้ว่า "การดูแลสุขภาพตนเอง เป็นกิจกรรมที่บุคคลแต่ละคนปฏิบัติ และยึดเป็นแบบแผนในการปฏิบัติ เพื่อให้มีสุขภาพดี" อาจแบ่งขอบเขตการดูแลสุขภาพตนเอง เป็น 2 ลักษณะคือ การดูแลสุขภาพตนเองในสภาวะปกติ เป็นการดูแลสุขภาพตนเอง และสมาชิกในครอบครัว ให้มีสุขภาพแข็งแรง สมบูรณ์อยู่เสมอ ได้แก่ การดูแลส่งเสริมสุขภาพ เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข เช่น การออกกำลังกาย การสร้างสุขวิทยาส่วนบุคคลที่ดี ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงจากสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ การป้องกันโรค เพื่อไม่ให้เจ็บป่วยเป็นโรค เช่น การไปรับภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ การไปตรวจสุขภาพ การป้องกันตนเองไม่ให้ติดโรค การดูแลสุขภาพตนเองเมื่อเจ็บป่วย ได้แก่ การขอคำแนะนำ แสวงหาวามรู้จากผู้รู้ เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขต่างๆ ในชุมชน บุคลากรสาธารณสุข เพื่อให้ได้แนวทางปฏิบัติ หรือการรักษาเบื้องต้นให้หาย จากความเจ็บป่วย ประเมินตนเองได้ว่า เมื่อไรควรไปพบแพทย์ เพื่อรักษาก่อนที่จะเจ็บป่วยรุนแรง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หรือบุคลากรสาธารณสุข เพื่อบรรเทาความเจ็บป่วย และมีสุขภาพดีดังเดิม การที่ประชาชนทั่วไปสามารถดูแลสุขภาพตนเองได้นั้น จำเป็นต้องมีความรู้ ึความเข้าใจในเรื่อง การดูแลสุขภาพ ตั้งแต่ยังไม่เจ็บป่วย เพื่อบำรุงรักษาตนเอง ให้สมบูรณ์แข็งแรง รู้จักที่จะป้องกันตัวเอง มิให้เกิดโรค และเมื่อเจ็บป่วยก็รู้วิธีที่จะรักษาตัวเอง เบื้องต้นจนหายเป็นปกติ หรือรู้ว่า เมื่อไรต้องไปพบแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข

วัชรี เลขที่17 วิทย์-ออก

การปฏิบัติตนในชีวิตประจำวัน

สุขภาพของคนเราจะดีหรือเสื่อมนั้น ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์แข็งแรง ของอวัยวะต่างๆ เช่น ผิวหนัง ตา หู จมูก และฟัน ซึ่งเป็นอวัยวะภายนอกร่างกาย ที่เราควรดูแลรักษาให้อยู่ในสภาพที่ดี และแข็งแรง เพราะถ้าเสื่อมโทรม หรือผิดปกติ จะส่งผลกระทบต่ออวัยวะส่วนอื่นๆ ได้ ดังนั้น เราต้องระวังรักษาส่วนต่างๆ ของร่างกายให้สะอาด ตลอดจนการออกกำลังกาย และการพักผ่อน เพื่อทำให้ร่างกายมีความสมบูรณ์ แข็งแรง และมีผลทำให้จิตใจเบิกบาน แจ่มใส สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้ อย่างมีความสุข

การดูแลสุขภาพตนเอง ให้มีสุขภาพสมบูรณ์ และแข็งแรงอยู่เสมอ จะต้องปฏิบัติกิจกรรม ในด้านการส่งเสริมสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ในชีวิตประจำวัน โดยยึดหลักสุขบัญญัติ 10 ประการ และสำรวจสุขภาพตนเอง ดังนี้

1. ดูแลรักษาร่างกาย และของใช้ให้สะอาด

อาบน้ำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง

การอาบน้ำให้สะอาด จะต้องใช้สบู่ฟอกทุกส่วนของร่างกายให้ทั่ว และมีการขัดถูขี้ไคล บริเวณลำคอ รักแร้ แขนขา ง่ามนิ้วมือ ง่ามนิ้วเท้า ขาหนีบ โดยเฉพาะอวัยวะเพศ ต้องรักษาความสะอาดเป็นพิเศษ หลังจากนั้นล้างด้วยน้ำ และเช็ดตัวให้แห้ง ด้วยผ้าที่สะอาด จะช่วยให้ร่างกายสะอาด และสดชื่น

สระผม อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง

การสระผมช่วยให้ผสม และหนังศีรษะสะอาด ไม่สกปรก หรือมีกลิ่นเหม็น โยใช้สบู่ หรือแชมพูสระผมจนสะอาด แล้วเช็ดผมให้แห้ง หร้อมทั้งหวีผมให้เรียบร้อย การหมั่นหวีผม จะช่วยนวดศีรษะให้เลือดมาเลี้ยงศีรษะมากขึ้น และต้องล้างหวี หรือแปรงให้สะอาดเสมอ การไม่สระผม หรือสระผมไม่สะอาด ทำให้เป็นชันนะตุ รังแค และเกิดอาการคัน เกิดโรคผิวหนัง และเชื้อราบนหนังศีรษะ ทำให้เกิดผมร่วง และเสียบุคลิกภาพ

การรักษาอนามัยของดวงตา

ดวงตาเป็นอวัยวะสำคัญ เราควรหวงแหน และให้ความเอาใจใส่ ควรปฏิบัติดังนี้

- อ่าน หรือเขียนหนังสือในระยะห่างประมาณ 1 ฟุต โดยมีแสงสว่างเพียงพอ แสงเข้าทางด้านซ้าย หรือตรงข้ามกับมือที่ถนัด หากรู้สึกเพลียสายตา ควรพักผ่อนสายตา โดยการหลับตา หรือมองไปไกลๆ ชั่วครู่

- ดูโทรทัศน์ในระยะห่างอย่างน้อย 1 เมตรครึ่ง

- บำรุงสายตาด้วยการรับประทานอาหารที่มีคุณค่า เช่น มะละกอสุก ฟักทอง และผักบุ้ง เป็นต้น

- ใส่แว่นกันแดด ถ้าจำเป็นต้องมองในที่ๆ มีแสงสว่างมากเกินไป

- ตรวจสายตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยแผ่นทดสอบสายตา (E-Chart) ถ้าสายตาผิดปกติ ให้พบจักษุแพทย์ เพื่อตรวจสอบ และประกอบแว่นสายตา

การรักษาอนามัยของหู

หูเป็นอวัยวะที่สำคัญอย่างหนึ่งของร่างกาย ที่จะต้องเอาใจใส่ดูแลให้ถูกต้อง ดังนี้

- เช็ด บริเวณใบหู และรูหู เท่าที่นิ้วจะเข้าไปได้ ห้ามใช้ของแข็งแคะเขี่ยใบหู รูหู

- คนที่มีประวัติว่า มีการอักเสบของหู ต้องระวังไม่ให้น้ำเข้าหูเด็ดขาด

- หากมีน้ำเข้าหู ให้เอียงหูข้างนั้นลง น้ำจะค่อยๆ ไหลออกมาได้เอง หรือใช้ไม้พันสำลีเช็ดบริเวณช่องหูด้านนอก

- ถ้าเป็นหวัด ไม่ควรสั่งน้ำมูกแรงๆ เพราะจะทำให้เชื้อโรคจากจมูก หรือคอ ถูกดันเข้าไปในหูชั้นกลาง ทำให้เกิดการติดเชื้อ และเกิดเป็นโรคหูน้ำหนวก

- เมื่อมีแมลงเข้าหู อย่าพยายามแคะ ให้ใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันพืช หยอดหูทิ้งไว้ชั่วขณะ แมลงจะเคลื่อนไหวไม่ได้ และตายในที่สุด ควรพบแพทย์เพื่อเอาแมลงออก

- หลีกเลี่ยงจากการถูกกระทบกระแทกหูโดยแรง หรือการตบหู เพราะจะทำให้แก้วหู และกระดูกภายในหูหลุด เกิดการสูญเสียการได้ยินตามมา รวมทั้งการหลีเลี่ยงเสียงอึกทึก และเสียงดังมากๆ อาจทำให้หูพิการได้

- ต้องรู้จักสังเกตอาการผิดปกติของหู และการได้ยินอยู่เสมอ หากมีอาการผิดปกติ เช่น รู้สึกปวดหู เจ็บหู คันหู หูอื้อ มีน้ำหรือหนองไหลจากหู เวียนศีรษะ มีเสียงดังรบกวนในหู การได้ยินเสียงน้อยลง หรือได้ยินไม่ชัด ต้องรีบไปพบแพทย์เฉพาะทาง หู คอ จมูก ทันที

การรักษาอนามัยของจมูก ข้อควรปฏิบัติดังนี้

- ไม่ถอนขนจมูก เพราะจะทำให้จมูกอักเสบได้

- ถ้าเป็นหวัดเรื้อรัง หรือมีเลือดกำเดาออกบ่อยๆ ต้องพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา

- ห้ามใส่เมล็ดผลไม้ หรือสิ่งแปลกปลอมอื่นเข้าไปในรูจมูก

- การไอหรือจาม ต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปาก จมูก เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคในอาการ เป็นผลให้ผู้อื่นติดโรคได้

- ต้องสั่งน้ำมูก ใส่ในผ้า หรือกระดาษเช็ดหน้าที่สะอาด

ตัดเล็บมือเล็บเท้าให้สั้นอยู่เสมอ

มือและเท้าเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่สำคัญ ต้องมีการดูแลรักษา ไม่ปล่อยให้เล็บมือเล็บเท้ายาว การปล่อยให้เล็บยาว โดยไม่ดูแลความสะอาด จะทำให้เชื้อโรคที่สะสมอยู่ตามซอกเล็บ ติดไปกับอาหาร เป็นการนำเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายทาปากโดยตรง ทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วง ก่อน และหลังรับประทานอาหาร และหลังจากเข้าส้วมแล้ว ต้องล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดทุกครั้ง และต้องสวมรองเท้าเมื่อออกจากบ้าน

ถ่ายอุจจาระเป็นเวลาทุกวัน

ควรฝึกขับถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลาทุกวัน ในตอนเช้า อย่าให้ท้องผูกบ่อยๆ เพราะจะทำให้เกิดโรคริดสีดวงทวาร และเป็นมะเร็งในลำไส้ใหญ่ได้

ใส่เสื้อผ้าที่สะอาด ไม่อับชื้น และให้ความอบอุ่นเพียงพอ

การรักษาความสะอาดของเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม และเครื่องนอนเป็นิส่งสำคัญ เสื้อผ้าที่ใช้แล้วทิ้ง ชั้นนอกและชั้นใน ต้องมีการทำความสะอาดด้วยสบู่ หรือผงซักฟอกทุกครั้ง นำไปผึ่งหรือตากแดดให้แห้ง ประการสำคัญ การสวมเสื้อผ้า ต้อใช้ให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ ไม่ใส่เสื้อผ้าซ้ำๆ หรือซักไม่สะอาด อับชื้น เพราะจะทำให้เกิดโรคผิวหนังได้

อนุกูล กองทุม sec 02 เลขที่ 36

อาหารเพื่อสุขภาพ

Free Foodsในที่นี้หมายถึงอาหารที่คุณสามารถกินได้อย่างสบายอกสบายใจโดยไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้น้ำหนักเพิ่มเพราะอาหารเหล่านี้มีแคลอรีต่ำและสามารถเผาผลาญได้ในเวลาอันรวดเร็ว อาหารที่จัดอยู่ในประเภท Free Foods ก็คือ

1. หน่อไม้ฝรั่ง

2. ถั่วงอก

3. บร็อคเคอลี

4. กะหล่ำปลี

5. แครอท มะเขือม่วง

6. ถั่วฝักยาว

7. ผักกาดแก้ว

8. เห็ด

9. ฟักทอง

10. ถั่วลันเตา

11. ผักโขม

12. มะเขือเทศ

13. กะหล่ำดอก

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์

ผักผลไม้บำรุงผิว...

- ส้ม อุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใสดูอ่อนวัย

- มะนาว อุดมด้วยวิตามิน ซี ที่มีประโยชน์ต่อผิว และยังช่วยทำความสะอาดตับซึ่งทำหน้าที่กำจัดของเสียออกจากร่างได้อีกด้วยค่ะ

- แครอท ให้คุณค่าเบต้าแคโรทีน ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นวิตามิน เอ อาหารที่จำเป็นสำหรับผิว

- กีวี ประกอบด้วยวิตามินซี ที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างคอลลาเจน กีวี จัดเป็นสุดยอดผลไม้ที่มีระดับวิตามินซีสูงที่สุดชนิดหนึ่ง เรียกว่าเกือบ 2 เท่าของวิตามินที่เราได้จาการรับประทานส้ม 1 ผลเลยทีเดียว วิตามินซีชนิดนี้มีความสำคัญต่อร่างกายมาก เนื่องจากช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซับธาตุเหล็กและโฟเลต ซึ่งเป็นสารอาหารที่ผู้หญิงต้องการมากที่สุดได้อย่างเต็มที่ และวิตามินซีนี้ยังสามารถบรรเทาอาการของโรคหวัดได้อีกด้วย "กีวี” เป็นผลไม้ที่มีสารอาหารมากที่สุดและมีแมกนีเซียมในปริมาณสูงที่สุดด้วยเช่นกัน แถมยังอุดมไปด้วยโปตัสเซียม วิตามินอี แคลเซียม ฟอสฟอรัส และไฟเบอร์ (เส้นใยอาหาร)สูง ซึ่งในกีวี 1 ลูกจะมีเส้นใยอยู่ถึงร้อยละ 16 ของปริมาณเส้นใยที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน นอกจากนี้ยังมีเอนไซม์ที่ช่วยย่อยโปรตีน รวมทั้งมีสารต้านอนุมูลอิสระอีกหลายชนิด ที่ช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง

- อะโวคาโด อุดมไปด้วยวิตามินซี ที่ช่วยบำรุงผิว การรับประทานอะโวคาโดวันละ 1 ลูก สามารถให้วิตามินอีเพียงพอกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวันได้..

- มะเขือเทศ มีทั้งวิตามินซี และ lycopene ป้องกันผิวเสียจากรังสียูวี

- เมล็ดถั่วต่างๆ อุดมด้วยโปรตีนซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับผิวสวย

- น้ำมันมะกอก มีวิตามิน E อยู่ในปริมาณมาก ซึ่งจะช่วยทำให้เพิ่มอายุของคอลาเจนใต้ผิวทำให้ผิวเนียมนุ่มชุ่มชื่นอย่างเป็นธรรมชาติค่ะ

- โยเกิร์ต ช่วยในการขับถ่าย ทำให้ผิวพรรณสดใส ไม่หมองคล้ำ

- งา อุดมด้วยวิตามิน บี สังกะสี และโปตัสเซียม ช่วยในการเสริมสร้างเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวดูสดใสอ่อนวัยอยู่เสมอ..

- ผักโขม อุดมด้วยธาตุเหล็ก ช่วยบำรุงผิวให้เปล่งปลั่งมีสุขภาพดี

- ปลา อุดมไขมัน เช่น ปลาแซลมอน ซึ่งน้ำมันปลาที่ช่วยให้ผิวพรรณเต่งตึง ไม่เหี่ยวย่น และควรรับประทานอย่างน้อย 2 มื้อต่อสัปดาห์นะคะ

เข้ามาอ่านบทความ ของอ.กั้ม เพิ่งรู้นะครับว่า นอกจากในประเทศ เอธิโอเปีย แล้วยังจะมีคนผอมยังงี้อีก  แล้วกลับมาคำนวณBMI = 21.24 สมส่วน (แต่ก็ยังแอบมีพุงนิดหน่อย)

พอดีไปหาเวปที่เกี่ยวกับการออกกำลังกายมา เลยอยากให้เพื่อนได้อ่านด้วย เป็นเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับการออกกำลังกายและข้อควรระวังเกี่ยวกับการออกกำลังกาย

http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=39&post_id=7874

ไม่รู้ว่ามีใครคิดเหมือนกันหรือเปล่าว่าช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ แล้ว อากาศหนาวได้ใจมาก ๆ เลยค่ะ

และเมื่อเริ่มเข้าหน้าหนาว สาว ๆ หลาย ๆ คนก็เริ่มมีปัญหาผิวหน้าแห้งเป็นขุยบ้าง บางคนก็หน้าแห้งตึงกันบ้าง บางคนก็สังเกตว่าหน้าตัวเองมันกระดำกระด่างผิดปกติบ้าง เรียกได้ว่าอากาศเย็นลงเมื่อไหร่ อาการเหล่านี้เป็นได้ถามหาเสียทุกครั้งไป วันนี้เรามีทริคดี ๆ สู้ภัยหนาวมาฝากจ้าาา

อย่างแรกเลยก็คือต้องล้างหน้าด้วยน้ำเย็น แม้ว่าอากาศจะหนาวมากสักเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าคุณดื้อดึงที่จะใช้น้ำอุ่นล่ะก็เชื่อเถอะค่ะ หน้าคุณจะแห้งตลอดศกแน่นอนเลยทีเดียว ทั้งนี้คุณควรจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่เป็นกลาง คือไม่เป็นกรดหรือด่างมากเกินไป และพิเศษอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีผิวแห้งอยู่แล้วก็คือต้องเลือกแบบที่มีมอยเจอร์ไรเซอร์ด้วยนะคะ เพื่อเป็นการเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวหน้าค่ะ

หลังจากทำความสะอาดร่างกายแล้วก็ไม่ควรลืมที่จะทาโลชั่นด้วย เพื่อเป็นการเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว แต่ถ้าเผอิญว่าคุณมีผิวที่แห้งเป็นขุยไปแล้วให้ใช้โลชั่นแบบเข้มข้นเลยนะคะ และในขณะที่ทาโลชั่นก็อย่าลงน้ำหนักมากเกินไป ให้ทาเพียงเบา ๆ จนกระทั่งส่วนที่เป็นขุยค่อย ๆ หลุดลอกออกไปนะคะ

และที่ขาดไม่ได้ก็คือการทาครีมกันแดด หลาย ๆ คนชะล่าใจเห็นว่าเป็นหน้าหนาวจนละเลยที่จะทาครีมกันแดดกันบ่อย ๆ แม้จะจริงอยู่ที่ว่าอากาศมันเย็นลงก็ตาม แต่แดดมันก็แรงมากขึ้นด้วยเหมือนกันคะ เพราะฉะนั้นก็อย่าชะล่าใจไปนะคะ

นอกจากนี้การดื่มน้ำส้มคั้นเป็นประจำทุกวันวันละ 1 แก้ว ก็ช่วยได้เช่นกันค่ะ นอกจากนี้อย่าลืมหมั่นออกกำลังกายให้เหงือออกตามธรรมชาติด้วยนะคะ เพื่อร่างกายแข็งแรงและสุขภาพผิวที่ดีค่ะ

ท่าถ่ายรูปที่ทำให้ผอมเพรียว??

วิธีง่ายๆ คือการยืนหน้ากระจก มองหน้าตัวเองตรงๆ แล้วลองหันซ้าย หันขวา กดหน้า เอียงหลายๆ มุม จนกว่าจะเจอมุมที่คิดว่าดูดีที่สุด แล้วจำมุมองศานั้นไว้ให้แม่น จากนั้นฝึกซ้อมการวางตา และปาก หน้ากระจกบ่อยๆ (แต่ต้องตอนอยู่คนเดียวนะคะ) พอเราเริ่มคุ้นมุม จะสามารถถ่ายรูปได้อย่างเป็นธรรมชาติ

เมื่อหน้าสวยแล้ว ต่อไปก็ต้องดูเรื่องท่าทางค่ะ

การยืน ให้เรายืนวางขาทำมุม 45 องศากับกล้อง โดยมีขาข้างหนึ่งล้ำหน้าออกไป บิดเอวและลำตัวด้านบนเข้าหากล้อง จะช่วยให้เอวดูเล็กลง มือไม้ถ้าไม่รู้จะวางที่ไหนให้เอามาประสานกันไว้แถวหน้าท้อง จะทำให้มีช่องว่างช่วงเอวดูไม่ตัน และยังช่วยปิดหน้าท้องได้ด้วย

Tips ถ้าต้องยืนถ่ายรูปเป็นหมู่คณะ ให้หลีกเลี่ยงการยืนตรงกลาง ยืนถัดออกมาจากจุดศูนย์กลาง 2-3 คน จะดูตัวเล็กลง ลองสังเกตดูสิคะ คนยืนถ่ายรูปตรงกลางมักจะดูตัวใหญ่สุดเสมอ

การนั่ง ถ้าต้องนั่งถ่ายรูป ให้เรานั่งเก้าอี้แค่ครึ่งหนึ่ง เพื่อให้ตัวไม่จมหายไปในเก้าอี้ และนั่งเอียงสะโพก 45 องศากับกล้อง โดยให้สะโพกชิดขอบเก้าอี้ด้านใดด้านหนึ่ง ยืดหลังให้ตรง ประสานมือไว้ที่ตัก กดใบหน้าลงเล็กน้อย แล้วมองกล้อง จะช่วยให้ใบหน้าดูเล็กลงและดวงตากลมโตขึ้น

การแต่งตัว ควรเลือกเสื้อแบบพอดีตัว อย่ารัดหรือหลวมเกินไป ลายใหญ่ๆ อย่างลายจุด ลายดอก หรือลายเรขาคณิตก็เป็นสิ่งต้องห้าม เพราะจะทำให้ดูตัวใหญ่ขึ้นไปอีก เลือกเสื้อผ้าสีเข้ม อย่างดำ น้ำตาล เทา หรือเนื้อผ้าไม่มัน เพราะเวลาโดนไฟแฟลชจากกล้อง เนื้อผ้ามันจะทำให้ดูตัวหนาขึ้น

Tips รองเท้าส้นสูง (อย่างน้อย 3 นิ้ว) ใส่แล้วจะทำให้ดูรูปร่างโปร่งขึ้น รับรองดูผอมทันตา

การแต่งหน้า เน้นที่ดวงตาให้สวย ดัดและปัดขนตาให้ดูขึ้น อย่าเน้นขอบตาล่างมากเกินไป เพราะจะทำให้ตาโรยเหมือนเหนื่อย ใช้มาสคาร่าสีอ่อนปัดคิ้วเบาๆ แรเงาข้างจมูกนิดหน่อยให้ดูเด่นขึ้น และแรเงาข้างแก้มให้ดูตอบลง แล้วปัดแก้มสีชมพูอีกนิด อย่าลืมเติมปากสีนู้ดดูเป็นธรรมชาติ อย่าเลือกลิปสติกเนื้อกลอสแบบมันวาว ถ้าสะท้อนแสงแฟลชอาจทำให้ดูริมฝีปากมันเงาเกินไป

สุดท้ายคือรอยยิ้ม ความมั่นใจ และความรู้สึกดีๆ จากภายในที่แสดงออกผ่านสีหน้าและแววตา ซึ่งจะทำให้ถ่ายรูปออกมาได้สวยที่สุดค่ะ

สวัสดีครับอาจารย์.....

1.ตะกร้อวง

การเล่นตะกร้อในตอนแรกๆ นั้นยังไม่มีกฎ ระเบียบ กติกา และท่าทางอะไร มากมาย การเล่นเป็นการเตะเพื่อความสนุกสนาน

เพลิดเพลิน ผู้เล่นทุกคนเตะตะกร้อให้ลอยโด่งไปในอากาศ และลอยลงมาหาผู้เล่นอื่นๆ ส่งกัน หรือ ช่วยกันเตะเลี้ยงรับส่งประคองไม่ให้ตกถึงพื้น เมื่อตกถึงพื้นก็จะเก็บมาโยนเตะใหม่ นิยมเตะกันเป็นวงไม่จำกัดจำนวนผู้เล่นและอายุของผู้เล่น แต่มักจะมีผู้เล่นวงละ

4-8 คน ลักษณะการเล่นเป็นวงดังกล่าว เรียกว่า”ตะกร้อวง”

2.ตะกร้อเตะทน

มี 2 ลักษณะคือ ตะกร้อเตะทนประเภทเดี่ยวและประเภทวง

การเล่นประเภทเดี่ยว ผู้เล่นจะเตะโต้ตอบกันคู่ของตัวเองและพยายามให้ได้ จำนวนครั้งในการเตะมากที่สุดภายในเวลา 10 นาที

การเล่นประเภทวง คล้ายกับการเตะตะกร้อวงธรรมดาแต่มีการกำหนดกติกา การเล่นชัดเจน เช่น กำหนดขนาดของวงให้

วงกลมในรัศมี 2 เมตร วงกลมนอกรัศมี 6 เมตร มีเส้นแบ่งแดน ออกเป็น 6 แดนเท่าๆ กัน การแข่งขันแต่ละชุดจะมีผู้เล่น 6 คน สามารถเล่นได้ไม่เกิน 9 โยนในเวลา 30 นาที ในคู่หนึ่งๆ เล่นได้ไม่เกิน 3 โยนในเวลาไม่เกิน 10 นาที ชุดใดได้จำนวนลูกมากที่สุดเป็นชุดชนะ ถ้าจำนวนลูกเท่ากันชุดที่โยนน้อยกว่าเป็นชุดชนะ ถ้าจำนวนลูกและโยนเท่ากันชุดใดใช้เวลาน้อยกว่าเป็นชุดชนะ

3.ตะกร้อพลิกแพลง หรือ ตะกร้อติด

การเล่นตะกร้อประเภทนี้เป็นการเล่นเพื่อแสดงฝีมือการเตะตะกร้อของผู้เล่นเพียง คนเดียวด้วยท่าทางพลิกแพลงต่างๆ ผู้เล่นตะกร้อจะต้องแสดงความสามารถในการเตะตะกร้อให้ลอยอยู่ในอากาศได้เป็นเวลานาน และสามารถบังคับให้ตะกร้อตกมาหยุดนิ่งตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ไหล่ แขน ขา เป็นต้น ไม่ให้ลูกตะกร้อตกถึงพื้น

4.ตะกร้อชิงธง

ตะกร้อชิงธงมีวิธีการเล่นคล้ายวิ่งวัวคน โดยการเล่นจะต้องใช้พื้นที่ทำสนามยาว 50 เมตร ขีดเส้นแบ่งช่อง ขนาดความกว้างช่องละ 3 เมตร ด้วยปูนขาวหรือเชือกหรือวัสดุอย่างอื่นที่นักกีฬาและกรรมการสามารถมองเห็นได้ชัดเจน แต่ต้องไม่เป็นอันตรายหรือ

ขัดขวางการแข่งขัน จำนวนช่องที่ทำขึ้นมีเท่ากับจำนวนผู้เล่น ให้ผู้ แข่งขันยืนที่เส้นเริ่มต้น เมื่อได้ยินสัญญาณเริ่มให้ผู้แข่งขันแต่ละคนเลี้ยง ตะกร้อด้วยส่วนต่างๆ ของร่างกาย ยกเว้นมือไปตามช่องของตนเองโดยตะกร้อไม่ตกพื้นและไม่ออกนอกลู่ไปถึงเส้นชัยซึ่ง

จะมีธงปักไว้ ผู้ที่ดึงธงได้ก่อนเป็นผู้ชนะ

5.ตะกร้อลอดห่วง หรือ ตะกร้อลอดบ่วง

ตะกร้อลอดห่วงนี้พัฒนามาจากตะกร้อวงที่เตะลูกตะกร้อให้โด่งไปมาหาคู่ของตัว เองเท่านั้น ไม่ท้าทายความสามารถเท่าที่ควร ดังนั้น เมื่อประมาณ พ.ศ. 2470 – 2475 หลวงมงคลแมน ( สังข์ บูรณะศิริ) ได้คิดประดิษฐ์ห่วงหวายขึ้นมาเป็นเป้านิ่งแขวนลอยอยู่ระหว่างเสาสูง 2 ต้น ห่วงนี้มี 3 ห่วง ให้ตะกร้อเตะลอดเข้าไปได้ 3 ทิศทาง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของปากห่วงกว้าง 45 เซนติเมตรเท่ากัน ห่วงอยู่สูงจากพื้นโดยวัด จากจุดต่ำสุดของห่วง 5.75 เมตรและแขวนลอยอยู่ระหว่างจุดกึ่งกลางของวงกลมซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 16 เมตร ผู้เล่นจะทำการแข่งขันได้ไม่เกินชุดละ 7 คน และไม่ต่ำกว่า 6 คน การเตะตะกร้อลอดห่วงนี้เป็นลักษณะเฉพาะของประเทศไทยที่ไม่มีประเทศอื่นเล่นได้

ช่วงนี้อากาศเย็นอาจมีอาการไอ มีวิธีรักษาด้วยสมุนไพรดังนี้จร้า

อาการไอ เจ็บคอ ระคายคอเกิดเนื่องจากหลายสาเหตุ ที่สำคัญคือ การติดเชื้อจากเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส หรือเป็นอาการเจ็บคอ ไอแห้งๆ หรือมีเสมหะเล็กน้อย ซึ่งเป็นอาการร่วมในโรคหวัด

ยาที่ใช้รักษามีการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกับ ตัวอย่างเช่น ยาแก้ไอที่ทำให้ลำคอชุ่มชื่น ลดอาการไอ ยาแก้ไอช่วยลดอาการไอและขับเสมหะ ยาแก้ไอที่ช่วยลดอาการอักเสบและฆ่าเชื้อโรค ในที่นี้จะแนะนำสมุนไพรที่ช่วยลดอาการไอ ขับเสมหะและช่วยทำให้ลำคอชุมชื่น

ดีปลี

ชื่ออื่น :ดีปลีเชือก (ภาคใต้) ประดงข้อ ปานนุ (ภาคกลาง)

ชื่อวิทยาศาสตร์ :Piper retrofractum Vahl. Piper chaba Hunter (Syn.)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ดีปลีเป็นไม้เถา รากฝอยออกบริเวณข้อเพื่อใช้ยึดพยุงลำต้น ใบเดี่ยวรูปไข่ แกมขอบขนาน ใบเขียวเข้มและคล้ายใบย่านาง แต่ผิวใบมันกว่า กว้าง 3-5 ซม. ยาว 7-10 ซม. ดอกช่อ ออกที่ซอกใบ ดอกย่อยอัดแน่น ผลเป็นผลสด ผลอ่อนสีเขียว เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีแดง

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ : ดีปลีประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหย 0.7% มีกลิ่นหอมเฉพาะ และประกอบด้วยอัลคาลอยด์ ชื่อ Piperine, Piplartine และ alkaloid มีฤทธิ์ช่วยย่อยอาหาร ขับลม ขับน้ำดี และแก้ท้องเสีย

สรรพคุณ :รสเผ็ดร้อนขม บำรุงธาตุ ขับลม แก้จุกเสียด

วิธีใช้ :เมื่อมีอาการไอ มีเสมหะ ให้ใช้ผลแก่แห้งของดีปลีประมาณครึ่งผลถึง 1 ผล ผสมกับน้ำมะนาวแทรกเกลือ กวาดคอหรือจิบบ่อยๆ

วิธีออกกำลังกายให้สนุก

เคล็ดลับอย่างหนึ่งที่คนหุ่นดีทั้งหลายบอกมาก็คือต้องออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ที่สำคัญต้องทำให้การออกกำลังกายกลายเป็นเรื่องน่าสนุกให้ได้ และนี่คือวิธีที่จะสามารถเปลี่ยนความคิด (เบื่อกับการออกกำลังกาย) ของคุณอย่างได้ผล

หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ซ้ำซากจำเจ จัดตารางการออกกำลังกาย ของคุณให้มีความหลากหลาย อาจปรับให้มีทั้งการออกกำลังแบบที่ได้เรื่องระบบ การหายใจและสมาธิ เช่น โยคะ สลับกับการออกกำลังที่ให้ผลดีกับหัวใจ อย่างการว่ายน้ำ วิ่ง ฯลฯ ร่วมกับการออกกำลังที่ต้องทำร่วมกับหมู่เพื่อน เช่น แบดมินตัน เทนนิส นอกจากจะไม่รู้สึกเบื่อแล้ว ยังจะได้ประโยชน์รอบด้านจากความหลากหลายด้วย

สำรวจตัวเองหลังออกกำลังกาย ด้วยการยืนนิ่ง ๆ สัก 2-3 นาที แล้วคิดว่าวันนี้เรารู้สึกดีแค่ไหน สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้แค่ไหนแล้ว รวมถึง ประโยชน์ที่ได้กับตัวเองในวันนี้ด้วย

ควรจัดให้มีวันพักบ้าง ไม่ต้องกลัวว่าจะสูญเสียความฟิตไป เพราะกล้ามเนื้อของคุณจะยังกระชับและแข็งแรงแม้ในวันที่งดออกกำลังกาย ดังนั้นควรจัดให้มีวันพักบ้างในแต่ละสัปดาห์

ดูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อตัวเอง อย่าเพิ่งตกใจถ้าพบว่าน้ำหนักตัวคุณเพิ่มขึ้น เมื่อคุณเริ่มต้นออกกำลังกายอย่างจริงจัง เพราะผลที่ได้ก็คือกล้ามเนื้อที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งโดยปกติจะมีน้ำหนักมากกว่าไขมันอยู่แล้ว ดังนั้นน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นก็คือน้ำหนักของกล้ามเนื้อที่คุณได้สร้างให้กับร่างกายนั่นเอง และสิ่งที่จะวัดได้ถึงความกระชับก็คือเสื้อผ้าซึ่งจะมีพื้นที่เหลือมากขึ้นกว่าเดิม

สุทธิรา หายยุทธ ม.ฟาร์

ผมสวยด้วยสมุนไพร

ชื่ออื่น : มะกรูด มะหูด (หนองคาย) ส้มมั่วผี (ภาคใต้)

สรรพคุณ ผลของมะกรูดมีน้ำมันหอมระเหย น้ำมะกรูดมีรสเปรี้ยวช่วยให้ผมสะอาดเป็นเงางาม ทำให้ผมนิ่ม แก้คันศีรษะ ป้องกันการเกิดรังแค

วิธีใช้ : นำผลของมะกรูดปิ้งไฟให้สุก ผ่าครึ่งนำผลมะกรูดที่ผ่าครึ่งถูบริเวณศีรษะ หรือนำไปผสมกับน้ำอุ่น เมื่อสระผมเสร็จแล้วเอาน้ำมะกรูดสระซ้ำ โดยใช้มะกรูดครึ่งซึกขยี้ไปบนผม น้ำมะกรูดเป็นกรดอ่อนๆ จะช่วยให้ผมสะอาด น้ำมันหอมระเหยจะทำให้ผมชุ่มชื้นเป็นเงางามและจัดทรงง่าย

ชื่ออื่น :ส้มป่อยเทศ (ภาคเหนือ) มะชัก ชะแช ชะเหล่เด่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)

สรรพคุณ :ใช้ผล มีรสขม แก้ชันตุ แก้รังแค

วิธีใช้ : ใช้ผลมะคำดีควายทุบพอแหลก ต้มในน้ำให้เดือด นำน้ำที่ได้สระผมสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะทำให้หนังศีรษะสะอาด ป้องกันการเกิดรังแค แก้โรคชันตุ

ชื่ออื่น :ว่านไฟไหม้ (ภาคเหนือ) หางตะเข้ (ภาคกลาง)

สรรพคุณ :วุ้นในใบว่านหางจระเข้ที่แก่มีสาร Aloeemodin, Aloesin, Aloin ช่วยรักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก แผลเรื้อรัง และช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ วุ้นในใบมีสรรพคุณรักษาแผล ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย

วิธีใช้ : นำว่านหางจระเข้ที่แก่มาปอกเปลือก เอาแต่ส่วนที่เป็นวุ้น นำมาบดแล้วเอาวุ้นประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ เวลาสระผมหยดน้ำวุ้นจากว่านหางจระเข้ขยี้ผมให้ทั่วทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาทีแล้วล้างออกให้สะอาด ช่วยบำรุงหนังศีรษะ ช่วยลดอาการคัน

เอมวิกา วิญญาปา วิทย์-ออก เลขที่66

สวัสดีค่ะอาจารย์กั้ม

วันนี้หนูได้ความรู้ใหม่จากเว็ปมานำเสนอให้อาจารย์ได้อ่านบทความนี้เป็นของ น้องนู๋ ( guest ) เขาเขียนขึ้นเมื่อ 2007-05-30 16:17:37 เป็นเรื่องเกี่ยวกับ 10 ข้อผิดพลาดจากการออกกำลังกาย

1. ไม่ยืดกล้ามเนื้อให้เพียงพอ

2. ใช้น้ำหนักมากเกินไป

3. ไม่ Warm Up ก่อนออกกำลังกาย

4. ไม่ Cool Down

5. ออกกำลังกายหนักเกินไป

6. ดื่มน้ำน้อยไป

7. ทิ้งน้ำหนักตัวบน Stair Stepper มากเกินไป

8. ออกกำลังกายเบาเกินไป

9. ใช้แรงสะบัดเพื่อยกน้ำหนัก

10. ทาน Energy Bar หรือเครื่องดื่มเกลือแร่เมื่อออกแรงระดับปานกลาง

ดวงตา ถือเป็นนางเอกของใบหน้า ที่สื่อความหมาย และขับเสน่ห์ของผู้หญิงออกมาได้ชัดเจนที่สุด สาวๆ ทั้งหลายจึงนิยมตกแต่งความงามให้ดวงตาของตัวเองด้วยเมกอัพหลากสีสัน

นอกจากการปาดอายแชโดว์แล้ว สาวๆ ยังสามารถเพิ่มเสน่ห์ดึงดูดให้ดวงตาด้วยการกรีดอายไลเนอร์ ซึ่ง How To ฉบับนี้มีเคล็ดลับดีๆ จากเอตูเซส์มาฝาก รับรองว่าทิปส์การกรีดอายไลเนอร์ต่อไปนี้จะช่วยให้คุณสาวๆ ได้เป็นเจ้าของดวงตาที่สวยคม ชิกเลยทีเดียว...

อายไลเนอร์ในดวงใจ

ตามเคาน์เตอร์เครื่องสำอางในปัจจุบันนี้ มีผลิตภัณฑ์อายไลเนอร์ให้เลือกหลากหลายประเภท ซึ่งการเลือกอายไลเนอร์นั้นนอกจากจะเลือกตามความถนัดในการใช้งานแล้ว ยังต้องคำนึงถึงสภาพผิวของแต่ละคนด้วย

Pencil Eyeliner เป็นอายไลเนอร์ที่เขียนง่ายที่สุด และเหมาะสำหรับมือใหม่หัดเขียน สาวๆ ที่จะเลือกใช้อายไลเนอร์ประเภทนี้ควรเป็นเจ้าของผิวรอบดวงตาที่ตึงกระชับ เพราะหากผิวบริเวณนี้แห้งกร้านขาดความกระชับแล้วจะเขียนขอบตาด้วยอายไลเนอร์แบบแท่งได้ยาก นอกจากนี้การกรีดอายไลเนอร์แบบนี้ต้องเหลาอยู่เสมอเพื่อความสะดวกในการเขียน และยังช่วยกำจัดแบคทีเรียที่สะสมอยู่ที่เนื้อผลิตภัณฑ์ด้วย อีกทั้งหลังจากเหลาแล้วควรนำอายไลเนอร์มาลองขีดเขียนที่หลังมือก่อนเพื่อเช็กว่าแหลมเกินไปหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายต่อดวงตา

ทิปส์ : หากคุณมีผิวบริเวณรอบดวงตาแห้งกร้าน และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องใช้อายไลเนอร์แบบแท่ง แนะนำให้จุ่มปลายดินสอในมอยส์เจอไรเซอร์สักเล็กน้อยก่อน จะช่วยทำให้เนื้อผลิตภัณฑ์ทาง่ายยิ่งขึ้น

Liquid Eyeliner มักมาพร้อมกับแปรงปัด สำหรับอายไลเนอร์ที่เป็นเนื้อลิควิดจะเหมาะสำหรับสาวๆ ที่มีทักษะการกรีดที่ดีระดับหนึ่งแล้ว (มีชั่วโมงบินที่มากพอ) อายไลเนอร์ประเภทนี้จะมอบความเนียนเรียบ สีสดชัดได้ดีกว่า Pencil Eyeliner แต่ไม่เหมาะสำหรับการเขียนใต้ตาล่าง ดังนั้นบริเวณใต้ตาล่างยังคงต้องใช้ Pencil Eyeliner จะเหมาะสมและเข้าถึงมากกว่า ส่วนการกรีดอายไลเนอร์แบบลิควิดนี้ควรก้มหน้าลงเล็กน้อยจะช่วยให้เวลาทาแล้วเห็นเส้นชัดเจน ไม่ทำให้อายไลเนอร์เลอะส่วนอื่น ที่สำคัญไม่ทำให้เกิดริ้วรอยจากการย่นหน้าอีกด้วย

ทิปส์ : เคล็ดลับสำหรับการกรีดอายไลเนอร์ประเภทนี้ให้ง่ายขึ้น ให้เอาศอกวางบนโต๊ะ ก้มหน้าลง แล้วเริ่มกรีดอายไลเนอร์ เพราะการวางศอกบนโต๊ะจะทำให้เวลาวาดอายไลเนอร์มีน้ำหนักในการลงเส้นสม่ำเสมอยิ่งขึ้น ผลที่ได้คือเส้นเรียบตรงสม่ำเสมอ

อายไลเนอร์สีอะไรดีนะ?!

หลังจากเลือกประเภทของอายไลเนอร์ได้แล้ว ขั้นต่อมาคือการเลือกสีอายไลเนอร์ สีขาวจะเหมาะกับการสรรค์สร้างดวงตาให้มีสีที่ตัดกันอย่างเด่นชัด เช่น การทาสีขาวประมาณ 1/3 ของหัวตาล่าง แล้วปลายหางตาทาอายไลเนอร์อีกสีหนึ่ง แต่หากคุณต้องการลุคที่ดวงตาดูเป็นธรรมชาติแล้วละก็ การทาอายไลเนอร์สีขาวอาจจะไม่เหมาะกับคุณ ควรเลือกอายไลเนอร์สีที่เข้มขึ้นกว่าสีของขนตาเล็กน้อยจะดูเป็นธรรมชาติกว่า

สำหรับช่วงเทศกาลในปลายปีนี้ สาวๆ สามารถเพิ่มลูกเล่นให้ดวงตาคู่สวยของคุณด้วยการเปลี่ยนสีสันอายไลเนอร์จากสีเดิมๆ อย่างสีดำ น้ำตาล มาเป็นสีสดสว่างอย่างสีเขียว สีชมพู แบบชิกๆ ดูบ้างก็ได้ นอกจากนี้ยังมีอายไลเนอร์ที่มีส่วนผสมของกลิตเตอร์ เมื่อกรีดแล้วดวงตาของคุณจะส่องประกายวิบวับขับเสน่ห์ให้น่าค้นหายิ่งขึ้นด้วย

ทิปส์ : อยากเป็นสาวเสน่ห์แรงทำได้ง่ายๆ ด้วยการเลือกสีอายไลเนอร์ให้เข้ากันกับสีอายแชโดว์และสีของมาสคารา จะทำให้คุณโดดเด่นสะดุดตา

กรีดอายไลเนอร์...ออกแบบได้

การทาอายไลเนอร์ที่ดีที่สุดคือ การค่อยๆ บรรจงทาทีละนิด โดยการลงครั้งแรกให้วาดลงเป็นเส้นบางๆ ก่อน แล้วจึงค่อยๆ ขยายออกไป หลังจากนั้นค่อยวาดเส้นที่คมชัดทับอีกทีหนึ่ง ตามด้วยอายไลเนอร์สีขาวทาตรงบริเวณขนตา เฉพาะบริเวณหัวตาจะทำให้ดวงตาดูสดใสตลอดเวลา

ทิปส์ : หากอยากให้ขนตาดูหนาขึ้น ให้ใช้อายไลเนอร์แบบ Pencil Eyeliner ระบายตรงขอบตาบนตรงที่ขนตาขึ้นเลย ดวงตาจะดูกลมโตขึ้น คุณจะแลดูเป็นสาวคมเข้มในทันที

- การทาอายไลเนอร์ที่ใต้ตาทั้งดวงตาจะเหมาะสำหรับคนที่มีดวงตากลมโต เพราะจะทำให้ตาดูเล็กลง ไม่เหมาะสำหรับคนตาเล็กอยู่แล้ว

- หากคุณเขียนอายไลเนอร์เลอะ หรือมีส่วนใดที่ไม่ต้องการให้ใช้คอตตอนบัดจุ่มเมกอัพรีมูเวอร์ แล้วป้ายเฉพาะบริเวณที่ต้องการจะลบ จะดีกว่าการใช้แป้งเพื่อลบ เพราะเมื่อเราใช้แป้งลบ เวลาผ่านไปสักพักแป้งนั้นจะเลือนหาย แล้วสีที่เปื้อนก็จะปรากฏตัวให้เห็นอย่างเด่นชัด

ข้อควรระวัง : อย่าลืมที่จะล้างรอบดวงตาให้สะอาด ยิ่งทามากเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องใส่ใจทำความสะอาดกับผิวบริเวณนี้ให้มากขึ้นเท่านั้น ควรใช้เมกอัพรีมูเวอร์เฉพาะดวงตาในการทำความสะอาด ส่วนใดที่ยากจะเข้าถึงให้ใช้คอตตอนบัดช่วย

- อย่ากรีดอายไลเนอร์ในขณะที่ดวงตาคุณอ่อนล้า หรือเกิดการอักเสบ เพราะยิ่งจะทำให้ดวงตาเกิดอาการแพ้ หรือติดเชื้อมากยิ่งขึ้น

- อย่าใช้อายไลเนอร์ที่มีปลายแหลมคมใกล้บริเวณดวงตา หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้เด็กเล็ก เพราะอาจมาชนในขณะที่เรากรีดอายไลเนอร์อยู่

อายไลเนอร์กับขนตาปลอม

เดี๋ยวนี้สาวๆ มีวิธีเพิ่มเสน่ห์ให้ดวงตาหลายรูปแบบ และที่นิยมกันมากคือ การติดขนตาปลอม ซึ่งการติดขนตาปลอมนั้นสามารถทำร่วมกับการกรีดอายไลเนอร์ได้ โดยคุณผู้หญิงควรกรีดอายไลเนอร์สีที่คุณชอบให้เสร็จก่อน 1 รอบ แล้วจึงค่อยติดขนตาปลอม และหลังจากติดขนตาปลอมเสร็จให้กรีดอายไลเนอร์สีเดิมทับอีกครั้งหนึ่ง จะได้สีที่สดสวยเฉียบคม หากคุณทาอายไลเนอร์สีดำ การเลือกใช้กาวติดขนตาปลอมสีดำก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะทำให้การติดขนตาปลอมของคุณดูเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น

ง่าย-ง่าย แค่นี้ดวงตาสวยงามโดดเด่นก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

.....อิอิอิ....

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์

หลักการบริโภคอาหารที่สำคัญเพื่อป้องกันและลดระดับโคเลสเตอรอลสูงในเลือด

1. รับประทานโคเลสเตอรอล ไม่เกินวันละ 200 มิลลิกรัม

โคเลสเตอรอล มีเฉพาะในอาหารที่มาจากสัตว์เท่านั้น มีมากในอาหารบางชนิด เช่น ไข่แดง เครื่องในสัตว์ มันสัตว์ สัตว์น้ำบางชนิด (ดูรายละเอียดในตาราง) จึงควรหลีกเลี่ยงรับประทานอาหารเหล่านี้ ในปริมาณมาก

2. รับประทานอาหารในแต่ละวัน ซึ่งให้พลังงานรวมแล้วเพียงพอ ต่อการรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

โดยผู้ใหญ่ ควรมีดัชนีความหนาของร่างกายประมาณ 20.0-24.9 กิโลกรัม/ตารางเมตร โดยคำนวณจาก น้ำหนักตัว หน่วยเป็นกิโลกรัม หารด้วยส่วนสูง หน่วยเป็นเมตร ยกกำลังสอง เช่น ถ้าใครมีน้ำหนัก 50 กิโลกรัม ส่วนสูง 1.5 เมตร จะได้ดัชนีความหนาของร่างกาย = 50/(1.5)2 = 22.2 กก./ตารางเมตร แสดงว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ

3. หลีกเลี่ยงรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง

เช่น กะทิ ไขมันจากสัตว์ หนังสัตว์ เนื้อสัตว์ที่มีมันติดมากๆ เช่น หมูสามชั้น เพราะกรดไขมันอิ่มตัว ส่วนใหญ่ทำให้ระดับโคเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น (ดูรายละเอียดในแผ่นพับ “ไขมันอิ่มตัวกับภาวะโคเลสเตอรอลสูง ในเลือด” : รศ.ดร. ปรียา ลีฬหกุล )

4. รับประทานอาหารที่มีกรดไขมันไลโนเลอิก (linoleic acid) โดยสม่ำเสมอ

ซึ่งพบได้ประมาณร้อยละ 50 ในน้ำมันพืชบางชนิด เช่นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด การรับประทานอาหาร ที่มีกรดไขมันไลโนเลอิกประมาณร้อยละ 7-10 ของพลังงานที่ได้รับ (เช่น วันหนึ่งต้องการพลังงาน 2000 กิโลแคลอรี่ ควรได้กรดไลโนเลอิก ประมาณ 16-22 กรัม ซึ่งได้จากน้ำมันถั่วเหลือง ประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ) จะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดได้ เพราะมีการเปลี่ยนโคเลสเตอรอลอิสระ เป็นโคเลสเตอรอลไลโนเลเอทเพิ่มขึ้น ทำให้มีการเผาผลาญโคเลสเตอรอลที่ตับเพิ่มขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าท่านมีโคเลสเตอรอลสูงในเลือด จากสาเหตุอื่นๆ เช่น กรรมพันธุ์ โรคบางชนิด ท่านต้องรับประทานยาลดโคเลสเตอรอล และรักษาโรคต่างๆ ที่เป็นสาเหตุให้มีโคเลสเตอรอลสูงในเลือด ควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารให้ถูกต้อง โภชนบำบัด จะช่วยเสริมผลการรักษา ให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น และลดปริมาณการรับประทานยาลงได้

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์

ต้มข่าไก่ทานแล้วไม่อ้วนจร้า!!!!

ต้มข่าไก่ตำรับเอาใจคนกลัวอ้วนและผู้ที่ต้องการลดไขมันในเส้นเลือด แต่ยังนิยมอาหารไทยๆ โดยแปลงสูตรเปลี่ยนกะทิมาใช้น้ำนมถั่วเหลืองแทน ทำให้ปราศจากไขมันอิ่มตัว รับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยเต็มๆ ทุกคำ

ส่วนผสม

น้ำนมถั่วเหลือง 3 ถ้วย

เนื้ออกไก่ (ไม่ติดหนัง) 300 กรัม

เห็ดภูฐานหรือเห็ดฟาง 2 ขีด

ข่าหั่นเป็นแว่นๆ 1 แง่ง

ตะไคร้หั่นเป็นท่อน 3 ต้น

ใบมะกรูดฉีก 10 ใบ

พริกแห้งทอด 5 เม็ด

น้ำปลา น้ำมะนาว ผักชีฝรั่ง ต้นหอม ผักชี ปริมาณตามชอบ

วิธีทำ

- ต้มน้ำนมถั่วเหลืองพร้อมกับข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด พอส่งกลิ่นหอมใส่ไก่ลงไป คนให้เข้ากันจนสุก

- จากนั้นใส่เห็ด พอเดือดให้ปิดไฟ ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว พริกแห้งทอด

- ตกแต่งก่อนเสิร์ฟด้วยผักชี ผักชีฝรั่ง ต้นหอม

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์

เคล็ดลับดูแลสุขภาพ

วิธีป้องกันสิวผด

สิวผด จัดเป็นสิวประเภทหนึ่ง ที่พบบ่อย ๆ มีลักษณะคล้ายผดผื่นเล็ก ๆ และแหลม โดยพบว่า มักจะดูเรียบหรือดีขึ้นในตอนเช้า และจะเห่อ ๆ ในตอนบ่าย ๆ ผื่นอาจมีสีแดงและคันได้ หากล้างหน้าบ่อยขึ้น มักเป็นมากขึ้น และหากรักษาไม่ถูกต้องจะเป็นมากขึ้น บริเวณที่พบได้บ่อย ๆ คือ บริเวณใบหน้า โดยเฉพาะ หน้าผากและขมับ

สาเหตุ ที่พบบ่อย คือ 1. จากความร้อน 2. แสงแดด 3. การเช็ดถูหน้าบ่อย ๆ หรือ การเช็ดถูหน้าแรง ๆ 4. เครื่องสำอางบางประเภท 5. บางครั้ง เชื่อว่า เชื้อรา P.OVALE มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

วิธีป้องกันสิวผด คือ

- ลดการรบกวนต่อผิวหน้าให้น้อยที่สุด (Mechanical Irritation) เช่น การนวดหน้า, การขัดหน้า, หรือเช็ดถูหน้าบ่อย ๆ

- ล้างหน้าเฉพาะที่จำเป็น หรือบริเวณที่ผิวมัน เพราะ การล้างหน้าบ่อยๆ จะทำให้สิวผด รุนแรงมากขึ้นได้

- ลด หรือหลีกเลี่ยง การใช้ครีมหรือยาที่ทำให้ผิวหน้าระคายเคืองมากขึ้น (Chemical Irritation) เช่น การใช้ยารักษาสิวประเภท Retinoic Acid, Benzoyel Peroxide AHA, BHA เป็นต้น

- ควรล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า, หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ และไม่ควรใช้น้ำอุ่นล้างหน้า และควรล้างหน้าไม่เกิน 2-3 ครั้งต่อวัน

- ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด และใช้ครีมกันแดดทุกครั้งที่ต้องออกนอกบ้าน ควรเลือกกันแดดที่มี SPF >15-30 และมีค่า PA++ เป็นอย่างน้อย

- ไม่ควรซื้อยามารักษาผื่นเอง เพราะมักทำให้เป็นมากขึ้น และยาที่หาซื้อได้จากร้านขายยา มักเป็น STEROID ซึ่งมีผลข้างเคียงมาก

- ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังที่มีความชำนาญ เพื่อหาสาเหตุ และพร้อมทั้งการแก้ไขและรักษาที่ถูกต้องต่อไป

การดื่มสุรา

การดื่มสราเป็นปริมากมากจะให้ผลเสียต่อร่างกาย ทำให้เกิดโรคตับแข็ง มะเร็ง ความดันโลหิตสูง เลือดออกทางเดินอาหาร อุบัติเหตุ และยังมีแนวโน้มที่จะทำร้ายตัวเองและผู้อื่น ประเทศไทยได้ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่บริโภคสุราติดเป็นอันดับ 5 ของโลกผู้ที่จำหน่ายก็รวยติดอันดับโลก การดื่มสุราเป็นปริมาณน้อยจะทำให้อัตราการตายจากโรคต่างๆลดลง

--------------------------------------------------------

สุราให้เพียงแต่พลังงานแต่คุณค่าทางโภชนาการต่ำมาก

--------------------------------------------------------

คำแนะนำ

เนื่องจากสุราให้พลังงาน และมีคุณค่าทางโภชนาการต่ำ ดังนั้นคนที่ดื่มสุรามักจะขาดสารอาหารและมีน้ำหนักเกิน

การรับประทานสุราแต่พอควรโดยกำหนดให้ผู้หญิงดื่มไม่เกินวันละ 1 หน่วยสุรา ส่วนผู้ชายไม่เกิน 2 หน่วยสุรา

เบียร์ไม่เกิน 360 ซีซี

ไวน์ไม่เกิน 150 ซีซี

สุราอื่นไม่เกิน 45 ซีซี

คนบางจำพวกไม่ควรดื่มสุราได้แก่

ผู้ที่ไม่สามารถควบคุมปริมาณสุราที่จะดื่ม

หญิงวัยเจริญพันธุ์

คนตั้งครรภ์

ผู้ที่เลี้ยงลูกด้วยนมตัวเอง

ผู้ที่รับประทานยา

ผู้ที่ทำงานต้องใช้ทักษะหรือสมาธิ เช่นคนขับรถ

ผู้ที่มีวัยกลางคนเมื่อสุราตามที่กำหนดจะมีอัตราการเกิดโรคหัวใจ และอัตราการเสียตำ่กว่าผู้ที่ไม่ดื่มสุรา

ผู้ที่ดื่มสุราต้องรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ ไม่สูบบุหรี่ รักษาน้ำหนักมิให้เกิน

วัยรุ่นไม่ได้รับประโยชน์จากการดื่มสุรา

ไม่แนะนำให้ดื่มสุราเพื่อเหตุผลทางสุขภาพ

การอดสุรา โรคพิษสุราเรื้อรัง คุณเมาหรือไม่ อาการขาดสุรา สุราช่วยลดอัตราการเสียชีวิต

สุภัทตรา วิทย์ออก เลขที่ 12

สวัสดีค่ะอาจารย์กั๊ม...หนูได้ไปอ่านเกร็ดความรู้อยู่เรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากเลยอยากให้ทุกคนได้อ่านดูค่ะ...

*เกร็ดความรู้เกี่ยวกับ "อึ"*

อึ" กับ "ใบหน้า" ใกล้กันยิ่งกว่าที่คิด

ใครเคยอึแล้วหันกลับไปมองมันอย่างพินิจพิจารณาบ้าง?? ไม่มี!!

ยิ่งทุกวันนี้เครื่องสุขภัณฑ์หรูหราทันสมัย

อึก็ยิ่งกลายเป็นสิ่งที่ถูกทำให้ "ห่างเหิน" จากเจ้าของมันมากขึ้น ทั้งๆ

ที่อึนั่นแหละคือ

*"สัญญาณ"* ที่ดีของระบบสุขภาพคนเรา เพราะมัน

จะสะท้อนว่า เรากินอะไรเข้า

ไป และร่างกายซึมซับได้มากน้อยแค่ไหน

ซึ่งสัญญาณเหล่านี้สุดท้ายก็ส่งผลต่อความอ่อนวัยของใบหน้าคน

เราด้วย

"อึ" จึงสัมพันธ์กับ "ใบหน้า" อย่างใกล้ชิด!!

เพื่อเป็นการเปลี่ยนทัศนคติใหม่เกี่ยวกับอึให้ทุกคน "เฮลธ์คลับ"

ฉบับนี้จึงนำเรื่องราวดีๆ จากงานเสวนา

หัวข้อ "อึ ดั๊นลอยฟ่องเพราะ

กินของดี ดีท็อกซ์ เดลี หน้าใสนะคะ" ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้

ที่โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1 โดยมีนัก

โภชนาการ และผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้ง

สาวๆ หน้าใสมาเป็นผู้ให้รายละเอียด

เริ่มจาก อัจฉรา พรไพศาลสกุล นักโภชนาการ โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท

อธิบายให้เห็นภาพการเดินทาง

ของอาหารหลังจากผ่านเข้าสู่ปาก

แล้วถูกย่อยด้วยกระเพาะอาหารก่อนจะส่ง ต่อไปยังลำไส้เล็กจนถึงลำไส้ใหญ่

"อาหารจะตกอยู่ในลำไส้ประมาณ 60-100 ชั่วโมง แต่เนื่องจากว่า

ระบบการย่อยของคนเราถูกสร้าง

ขึ้นมาสำหรับสัตว์กินพืช ลำไส้จึง

ไม่เชี่ยวชาญในการย่อยเนื้อ

จึงทำให้เกิดคราบตกค้างตามซอกของลำไส้ซึ่งนานวันมันก็จะเกิดการสะสม

และเป็นสาเหตุของอาการท้องผูก

ดังนั้น เราต้องกินผักซึ่งเป็นไม้กวาดลำไส้ซึ่งจะอยู่ในลำไส้ไม่เกิน 1

วัน จะช่วยชะล้างคราบเหล่า

นั้นออกไปพร้อมกันด้วย" นัก

โภชนาการอธิบาย แถมยังแนะนำให้รับประทานผักอย่างน้อย 1 ถ้วยต่อวัน

เพื่อทำให้ขนาดของอึพอดีกับ

ลำไส้และขับเคลื่อนผ่านไปได้สะดวก

อึ สามารถบอกได้ว่าใครสุขภาพดีทั้งร่ายกายและใบหน้าอย่างไร พ.ญ.เรขา

กลลดาเรืองไกร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลกล้วยน้ำ

ไท 1 ได้วิเคราะห์ลักษณะของอึในแต่ละรูปแบบว่า เจ้าของอึ

เลือกรับประทานอาหารได้ถูกต้องหรือไม่

พร้อมอยากให้ทุกคนได้เปลี่ยนพฤติกรรมใหม่

โดยหันหลังกลับไปดูสิ่งที่ขับถ่ายออกไป ว่ามีหน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง

เพื่อจะได้เข้าใจสุขภาพของตัวเองได้ถูกต้อง

*"อึ" ที่ลอยฟ่อง* เป็นก้อนแตกกระจาย ไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่เป็นก้อนยาวๆ

ถ่ายได้ง่ายโดยไม่ต้องเบ่ง สีเขียวขี้ม้า หรือเหลืองทอง บ่ง

บอกว่าลำไส้ใหญ่สะอาด ไม่มีคราบตะกอนหมักหมม

ถือเป็นคนที่เลือกรับประทานอาหารได้ถูกต้องและมีสุขภาพดี

ส่วนถ้าใคร *"อึ" เป็นก้อน* จมน้ำ แต่ไม่ถึงกับเหม็นมาก สีค่อนข้างคล้ำ

แสดงว่า กินเนื้อสัตว์เยอะกว่า

ผัก ถือว่าเป็นคนสุขภาพปาน

กลาง ซึ่งควรจะต้องรับประทานผักให้มากกว่านี้

แต่ถ้าสังเกตดูแล้วเห็นว่า *"อึ" ติดชักโครก*เป็นคราบเหนียวหนึบหนับ

จับเป็นก้อน มีกลิ่นเหม็นตลบอบอวล

สีออกน้ำตาลดำ เข้าขั้นน่า

เป็นห่วง เพราะบ่งบอกว่า สุขภาพย่ำแย่ เนื่องจากกินแต่เนื้อสัตว์ ไขมัน

แป้งขัดขาวหรือข้าวขาวที่ไม่มี

เส้นใย และที่สำคัญไม่ได้มีผักใน

อาหารแต่ละมื้อเลย

"อึ ที่เข้าข่ายวิกฤติ และต้องรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน

เพราะอาจก่อให้เกิดมะเร็งลำไส้ได้ คือ

*อึที่เหนียวข้น สีดำเข้ม มีเลือดออกมากับอุจจาระ*

มีอาการท้องเสียสลับกับท้องผูกบ่อยๆ

น้ำหนักตัวลดเร็วและเบื่ออาหาร

ควรแก้ไขโดยการกิน

ผักผลไม้เยอะๆ รวมถึงธัญพืชที่มี

ไฟเบอร์สูง ซึ่งจะช่วยดูดซึมและ

ขนถ่ายโปรตีน คาร์โบไฮเดรต

ไปใช้ประโยชน์มากขึ้น ช่วยเพิ่มเนื้อ

อุจจาระ ทำให้ขนาดพอเหมาะกับ

การบิดตัวของลำไส้ใหญ่

ลดความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็งและท้องจะไม่ผูกอีกต่อไป" เป็นคำแนะนำที่

สามารถยืนยันได้จากคนสุขภาพดีอย่างคุณหมอเรขา

การปฏิบัติตนอย่างถูกสุขลักษณะพิสูจน์ได้จากหน้าใสๆ ของเธอ

นอกจากนี้ ยังมี 3 สาว

ม.ล.จันทนิภา เกษมศรี ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ โรงแรมแลนด์มาร์ค วรรณพร

ตัญญูไพบูลย์ รองผู้จัดการทั่วไป บริษัท โปรดปราน โปรเจค จำกัด และ กินรี

ดาร์ริงตัน ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด

บริษัท ดับเบิล อิมแพค มาร์เก็ตติ้งคอมมิวนิเคชั่น จำกัด ที่แม้วัยจะย่างเข้า

30 มาแล้วแต่ก็ยังหน้าใส

ดูเป็นวัยรุ่นอยู่ตลอด

พวกเธอเฉลยว่า การดื่มน้ำเยอะๆ วันละ 6-8 แก้ว กินอาหารที่ถูกสุขลักษณะ

ออกกำลังกาย และขับถ่ายเป็นเวลา เป็นเหตุผลที่ทำให้

พวกเธอสุขภาพดีและยังมีใบหน้าที่สดใส อ่อนกว่าวัย เช่นนี้

เชื่อ ไม่ เชื่อ ก็ต้องลองนำไปใช้กันดู พร้อมทั้งอย่าลืมพิสูจน์ "อึ"

ของตัวเองหลังปล่อยออกมาทุกครั้ง

เป็นวิถีทางที่ง่ายที่สุดในการตรวจสอบสุขภาพของตัวเอง

ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆจาก : http://www.stop-at-nothing.com

บุคลิกภาพที่อาจนำไปสู่โรคร้าย

คุณคิดอย่างไร ระหว่าง “ยังมีน้ำเหลืออีกครึ่งหนึ่ง” กับ “น้ำหมดไปครึ่งหนึ่งแล้ว” ทราบหรือไม่ว่า ความคิดที่ต่างกันนี้ สามารถนำคุณไปสู่ความเสี่ยงของโรคร้ายที่ไม่เหมือนกัน

บุคลิกลักษณะ ที่แตกต่างกันมีผลกระทบต่อสุขภาพของคนเรา หลาย ๆ คนทราบดีอยู่แล้วว่า ใครที่มีบุคลิกภาพในเชิงลบ หรือ มองโลกในแง่ร้าย ก็จะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ไม่เพียงเท่านั้น คนที่มีบุคลิกที่ต่างออกไป ก็เสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บต่างชนิดเช่นกัน

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย แวนเดอร์บิลท์ สหรัฐอเมริกา ได้แยกบุคลิกภาพของคนที่มีโอกาสเสี่ยงต่อโรคร้ายออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มเอ บี และซี

กลุ่มเอ คือคนที่มีนิสัยขี้โมโห เห็นแก่ตัว ชอบเยอะเย้ยถากถาง ชอบความรุนแรง หาเรื่อง ไม่ไว้ใจผู้อื่น และชอบทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก คนประเภทนี้ มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ มากกว่าคนที่ทำตัวเรื่อยเปื่อย เพราะคนกลุ่ม เอ นี้ มีอารมณ์ที่ปรวนแปรง่าย

แต่ก็ไม่ใช่ว่า คนที่สงบเสงี่ยม เจียมตัว ขี้อาย ซึ่งจัดว่าเป็น กลุ่มบี นั้นจะปลอดภัย ถ้าคิดเช่นนั้น ต้องคิดใหม่ เพราะคนกลุ่มนี้ จะมีภูมิคุ้มกันโรคต่ำซึ่งเป็นผลจากระดับฮอร์โมนคอลติซอลสูง ส่งผลให้เป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย

ส่วนบุคลิกภาพ กลุ่มสุดท้าย คือ กลุ่ม ซี นั้น เป็นพวกที่ชอบเก็บอารมณ์ ข่มความรู้สึก อดทน อดกลั้น ไม่ชอบความขัดแย้ง กลุ่มนี้ มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง เพราะความพยายามในการควบคุมอารมณ์ จะทำให้ร่างกายมีระดับ Stress ฮอร์โมนสูง ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายทำงานมากเกินไป ทำให้เกิดการแข็งตัวของผนังเซล หรือเนื้อเยื่อ รวมไปถึงรูมาตอยด์ ไขข้ออักเสบ และโรคผิวหนังเรื้อรัง

เมื่อเป็นเช่นนี้ เราสามารถจะเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพของเราได้หรือไม่ เพื่อจะลดความเสี่ยงของโรคร้ายเหล่านี้ คำตอบคือ บุคลิกภาพของเรา ถูกกำหนดโดยยีน แต่ในเรื่องของอารมณ์นั้น เราจะได้รับอิทธิพลจากหลายด้าน ทั้งพ่อแม่ การเลี้ยงดู และเพื่อน ดังนั้น จึงเป็นที่น่ายินดีว่า เราสามารถเปลี่ยนแปลงบางส่วนได้ หากรู้จักวิธีการในการโต้ตอบสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วยความสงบและใจเย็น

123. ศุภณัฐฑ์ ม.ฟาร์

เมื่อ ศ. 14 พ.ย. 2551 @ 20:43

ง่า แบบนี้ดิฉันก้ออยู่ในกลุ่มเสี่ยงล่ะสิ T^T แล้วจะต้องปรับบุคลิก ยังไงดีค่ะเนี่ย

ยิ่งเป็นคนใจร้อนอยู่ด้วย T^T

สวัสดีครับ อ.กั้ม แบบว่าๆ หลัง ลอยกระทง ก็กลับมา บ้านเปิดเน็ท ว่าจะหา คอลัมม์ เกี่ยวกับสุขภาพ มา ข้อความคิดเห็น อ.กั้ม สักหน่อย แต่ ไปเจอ คอลัมม์ นี้มาเห็นว่าแปลกดี ต้องอาศัยผู้ชำนาญ ประสบกาณ์สูงๆ วิเคราะห์ ว่า มันเป็นไปได้จริงมากน้อยแค่ไหน ผมอ่านๆดูแล้ว ในทาง ทฤษี มันน่าจะ ทำได้จริงอยู่ แต่ใน ทาง ปฏิบัติ มันจะได้ จริงไหมครับ

-------------------------------------------------------

เรื่องเซ็กส์กับสุขภาพ

มันมิใช่เรื่องทะลึ่งหรือเรื่องไร้สาระ เพียงแต่คุณอ่านบทความนี้ให้จบแล้วคุณจะเข้าใจ คุณูปกรของเซ็กส์ มีดังนี้

1 . เซ็กส์ คือ การบำรุงความงาม การทดลองทางวิทยาศาสตร์พบว่าขณะมีเพศสัมพันธ์(โดยเฉพาะผู้หญิง) เธอจะหลั่งฮอร์โมน เอสโตรเจน ออกมาปริมาณมาก ซึ่งจะทำให้เส้นผมเป็นเงางามและผิวหนังนุ่มนวล

2 . เซ็กส์ คือ การออกกำลังกายที่ปลอดภัยที่สุด มันทั้งช่วยยืดเส้นยืดสายและทำให้กล้ามเนื้อตึงในทุก ๆ ส่วนของร่างกาย อีกทั้งยังสนุกกว่าวิ่งจ๊อกกิ่ง หรือว่ายน้ำสัก 20 รอบ แถมไม่ต้องใส่รองเท้ากีฬาแพง ๆด้วย

3 . เพศสัมพันธ์ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ที่คุณกินเข้าไปช่วงมื้อค่ำอันแสนจะโรแมนติก

4 . เซ็กส์ ช่วยลดความตึงเครียดได้ดียิ่ง กิจกรรมทางเพศจะช่วยหลั่งสารเอนเดอร์ฟินส์ในกระแสเลือด ทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น

5 . เซ็กส์ แก้ปวดหัว ตลอดกระบวนการทางเพศ จะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด ซึ่งไปปิดกั้นหลอดเลือดในสมองไว้

6 . จูบกันทุกวันช่วยลดอาการฟันผุ การจูบจะช่วยกระตุ้นต่อมน้ำลายให้ขับน้ำลายออกมา จึงช่วยชะล้างฟันของคุณให้สะอาด

7. เพศสัมพันธ์บ่อย ๆ ช่วยแก้อาการคัดจมูก เพราะเซ็กส์เป็นยาแอนตี้ฮิสตามีน จากธรรมชาติ แก้อาการแพ้ฝุ่น แพ้ละอองได้ดี

8. เซ็กส์เป็นน้ำหอมที่ดียิ่ง กลิ่นตัวที่ถูกขับออกมาขณะมีความต้องการทางเพศ เป็นน้ำหอมที่ช่วยให้เพศตรงข้ามคึกคักได้อย่างเหลือเชื่อ

9. เพศสัมพันธ์ที่อ่อนโยนและผ่อนคลายช่วยลดการอักเสบทางผิวหนัง เช่นสิวและผื่นต่าง ๆ ได้ เหงื่อที่ไหลออกมาเป็นตัวชะล้างรูขุมขน ทำให้ผิวหนังผ่องใส

10.เซ็กส์เป็นยานอนหลับที่มีประสิทธิภาพดีกว่า แวเลี่ยม (Valium) หลายเท่า ถ้าคุณสามารถมีเซ็กส์ เกิน 5 ครั้ง ใน 1 คืน

----------------------------------------------------

Credit>>> web http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=healthylove&month=09-2007&date=04&group=4&gblog=1

จากที่ได้อ่านแล้วพบว่า..

ได้สาระดี สามารถนำมาปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้คับ....

ไม่สามารถส่งบทความเกี่ยวกับกีฬาแฮนด์บอลได้

ทำไงดีคับ.........................

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์

เราอ้วนไปหรือไม่ ลองตรวจดูจร้า!!!!

โรคอ้วน คือ อะไร ?

“ความอ้วน” ในที่นี้หมายถึง ความอ้วนที่มากเกินไป มีน้ำหนักตัวมากกว่าที่ควรจะเป็น

ไม่ใช่อ้วนกำลังดี อ้วนพองามหรือกำลังสวย คำว่า “อ้วน” ตามความหมายของ

“คนอ้วน” หรือคนที่เป็นโรคอ้วนนั้น หมายถึง ผู้ที่มีปริมาณไขมันอยู่ในร่างกายมากกว่าเกณฑ์ปกติ ซึ่งตามหลักสากลกำหนดว่า

ผู้ชาย ไม่ควรมีปริมาณของไขมันในตัวเกินกว่า ร้อยละ 12 – 15 ของน้ำหนักตัว

ผู้หญิง ไม่ควรมีปริมาณของไขมันในตัวเกินกว่า ร้อยละ 18 – 20 ของน้ำหนักตัว

ซึ่งในการตรวจหาปริมาณไขมันนี้ต้องทำในห้องปฏิบัติการ ซึ่งเป็นวิธีที่ยุ่งยากอยู่ไม่น้อย

ทีเดียว

จะทราบได้อยางไรว่า ท่านอ้วนเกินไปหรือไม่ แต่ก่อนเราใช้วิธีง่ายๆเช่น การเอาส่วนสูงเป็นเซนติเมตรลบด้วย 110 ในผู้หญิง จะได้น้ำหนักที่เหมาะสม

แต่วิธีนี้ยังไม่ละเอียดเท่าที่ควร ปัจจุบันเราวัดค่าที่เรียกว่า "ดรรชนีมวลของร่างกาย" หรือ

Body Mass Index เรียกย่อ ๆ ว่า "BMI" ค่า BMI นี้จะได้จาก

BMI = น้ำหนัก(ก.ก.) / ส่วนสูง(เมตร)

อาหารกระป๋อง

เป็นอาหารที่บรรจุกระป๋องภายใต้สูญญากาศ หรือมีการไล่อากาศออกก่อนปิดฝา จากนั้นจึงนำไปฆ่าเชื้อในหม้อนึ่งความดันสูง จุลินทรีย์ต่าง ๆ จะถูกทำลายหมด อาหารกระป๋องจึงเก็บไว้ได้เป็นเวลานาน แม้จะทิ้งไว้หลาย ๆ ปี แต่การเก็บอาหารกระป๋องไว้นานถึงแม้อาหารนั้นจะไม่เสียเพราะจุลินทรีย์ แต่สภาพของอาหารในกระป๋องก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาจนไม่เหมาะที่จะนำมารับประทาน

การเลือกซื้ออาหารกระป๋อง

ควรเลือกซื้ออาหารกระป๋องของผู้ผลิตที่เชื่อถือได้ ลักษณะกระป๋องต้องอยู่ในสภาพที่ดี ไม่บุบ บวม รั่วซึม อย่าซื้ออาหารกระป๋องที่ฉลากไม่ถูกต้อง ไม่มีวันที่ผลิต หรือวันหมดอายุ ไม่มีฉลากภาษาไทยแสดงชื่อประเภทอาหาร ส่วนประกอบ ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต เป็นต้น หากซื้ออาหารกระป๋องเพียงเพราะราคาถูก อาจจะได้รับอันตรายจากอาหารกระป๋องที่ผลิตขึ้นโดยไม่ถูกสุขลักษณะได้ โดยเฉพาะอาหารกระป๋องที่มีสภาพความเป็นกรดต่ำ เช่น พวกเนื้อสัตว์ อาหารทะเลย เป็นต้น อาจมีบักเตรี พวกคลอสตริเดียม โบตูลินัม (Clostridium botulinum) ซึ่งจะสร้างสารพิษที่มีผลต่อระบบประสาท ทำให้มีอาการกลืนอาหารลำบาก ม่านตาขยาย หัวใจเต้นเร็ว ระบบหายใจเป็นอัมพาตถึงเสียชีวิตได้

อาหารกระป๋องที่ซื้อมา

เมื่อเปิดฝาแล้วควรสังเกตลักษณะภายในด้วยว่ามีกลิ่น สี หรือลักษณะของอาหารผิดปกติหรือไม่ ถ้าเป็นพวกอาหารคาวควรถ่ายใส่ภาชนะหุงต้มแล้วอุ่นให้เดือดสัก 15 นาที ก่อนนำมารับประทาน สำหรับอาหารกระป๋องอื่น ๆ เมื่อเปิดแล้วหากกินไม่หมดไม่ควรเก็บไว้ในกระป๋อง ควรถ่ายใส่ไว้ในภาชนะที่เป็นแก้ว หรือกระเบื้องเคลือบมีฝาปิด และเก็บไว้ในตู้เย็น

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์

เลี่ยงสาเหตุที่ทำให้ คัน!!!!

อาการคันบริเวณจุดซ่อนเร้นเกิดขึ้นได้เสมอๆ บางคนเป็นๆ หายๆ ก่อความรำคาญ และทำให้เกิดความกังวลใจอย่างมาก

สาเหตุของการคันระคายเคืองมีมากมาย ลองสำรวจทีละอย่างในชีวิตประจำวันของคุณดูว่ามีอะไรที่น่าจะเป็นสาเหตุได้บ้าง

ใส่เสื้อผ้า ชุดชั้นในคับเกินไป ทำให้อากาศถ่ายเทไม่ดี โดยเฉพาะชุดชั้นในที่คับที่เป้า ทำให้เกิดความอับชื้น และคับจนทำให้เกิดการเสียดสี ระคายเคืองคัน ถ้าเกาอาจเป็นแผลติดเชื้อ ควรเลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย เนื้อผ้าระบายอากาศได้ดี ช่วยซับเหงื่อ แห้งเร็ว เช่นผ้าฝ้าย หรือผ้าที่ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติ

หลังเล่นกีฬา หรือออกกำลังกายควรรีบชำระร่างกายอย่าปล่อยไว้นานเพราะเหงื่อออกมากทำให้เกิดการหมักหมม หากมีการระคายเคือง ตกขาวมีสี มีกลิ่น อาจเกิดจากเชื้อรา

หรือเกิดจาก โลน จะทำให้คันบริเวณหัวเหน่า โลนเป็นสัตว์เล็กๆ ประเภทเดียวกับเหา

เกิดจาก โรคเริม (Herpes Simplex) เป็นไวรัส ชนิดหนึ่ง ติดต่อได้ทางผิวสัมผัส และเพศสัมพันธ์ ทำให้มีตุ่มพุพอง มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต

แพ้สารเคมีต่างๆ เช่น จากน้ำยาหรือผงซักฟอกที่ใช้ซักชุดชั้นใน แพ้สบู่อาบน้ำที่มีความเป็นด่างมากเกินไป แพ้น้ำหอมจากผ้าอนามัย แพ้น้ำหอมที่ฉีดพ่นตัว แพ้สารหล่อลื่นที่เคลือบถุงยางอนามัย เป็นต้น

ดังนั้นเมื่อเกิดอาการคันลองสังเกตหาสาเหตุว่ามาจากเรื่องใด ถ้าเกิดจากการแพ้สารต่างๆ ลองปรับเปลี่ยนไปใช้อย่างอื่นอาจดีขึ้น และหายได้เอง แต่ถ้าคันมาก ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ รับการรักษาอย่างถูกต้อง และอย่าซื้อยามาใช้เอง ไม่ว่าจะเป็นยาเหน็บ ยาทา หรือยารับประทาน การรักษาสุขอนามัยในส่วนซ่อนเร้นของสตรีเป็นเรื่องต้องดูแลพิเศษ มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งก็จะเป็นการป้องกันได้ดีเยี่ยมอีกทางหนึ่ง

การดูแลฟันสำหรับผู้ใหญ่

การดูแลฟันที่ดีจะทำให้ท่านมีสุขภาพฟันและเหงือกที่แข็งแรงและเสริมความมั่นใจเมื่อเวลาออกสังคมการดูแลฟันในวัยนี้ประกอบด้วยสภาพฟันและเหงือกที่แข็งแรง

สภาพฟันที่มีคราบหินปูนและมีฟันผุอาหารน้ำตาลยังคงเป็นสาเหตุที่สำคัญของฟันผุ เนื่องจากวัยนี้ต้องออกนอกบ้านไปเรียนหนังสือหรือทำงาน ดังนั้นต้องรับประทานอาหารนอกบ้านไม่สามารถควบคุมอาหารได้ ดังนั้นท่านต้องพยายามเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลให้มากที่สุด เลือกอาหารที่มีน้ำตาลต่ำ เลือกของว่างที่มีน้ำตาลต่ำเช่นผลไม้บางชนิด เช่นฝรั่ง แตงโม ชมพู่ ท่านอาจจะเคี้ยวหมากฝรั่งที่ไม่มีน้ำตาลซึ่งอาจจะช่วยลดการเกิดฟันผุเครื่องดื่ม

หลีกเลี่ยงน้ำอัดลม น้ำหวาน หรือน้ำผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวให้ดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำดังกล่าว

การดูแลฟัน

แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง

ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์

ใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละครั้ง

ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของฟลูออไรค์

พบทันต์แพทย์ตรวจฟันอย่างน้อยปีละครั้ง

เอมวิกา วิญญาปา วิทย์-ออก เลขที่66

เรื่อง การออกกำลังกาย

การออกกำลังกาย (physical exercise) เป็นกิจกรรมของร่างกายที่ช่วยสร้างเสริมและคงไว้ซึ่งสุขภาพและความแข็งแรงของร่างกาย การออกกำลังกายช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและระบบไหลเวียนโลหิต รวมทั้งสร้างเสริมทักษะทางกีฬา การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกันและช่วยป้องกันโรคต่างๆ เช่นโรคหัวใจ, โรคระบบไหลเวียนโลหิต, เบาหวาน, และโรคอ้วนนอกจากนี้การออกกำลังกายยังช่วยสร้างเสริมสุขภาพจิตและลดความเครียดได้

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์

ตากระตุกไม่ใช่แค่ ขวาร้าน ซ้ายดี !!!!

วันไหนอยู่ดีๆ แล้วเกิดตากระตุกขึ้นมา คนที่มีความเชื่อตามแบบโบร่ำโบราณจะต้อง คิดทันทีว่า "ขวาร้าย ซ้ายดี" แต่ถ้าไปถามหมอก็จะได้คำตอบว่าอาการตากระตุก แบ่ง ได้เป็น 2 กรณี คือ เปลือกตากระตุก และลูกตากระตุกเปลือกตากระตุก อาจเกิดจากนิสัยความเคยชินในวัยเด็ก เด็กบางคนสามารถกระตุก เปลือกตาและใบหน้าเป็นครั้งคราวได้ และสามารถหยุดได้ทันทีเมื่อต้องการหยุด อาการจะหายไปได้เมื่อโตขึ้น นอกจากนั้นอาจเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ มักพบในคน สูงอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป เกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย จะมีอาการเปลือกตา ค่อยๆบีบตัวเกร็งทีละน้อยจนกลายเป็นหลับตาแน่นมากทั้งสองตา เกิดเป็นครั้งคราว เป็นๆ กายๆ ขณะหลับจะไม่มีอาการหากทิ้งไว้นาน ความรุนแรงและความถี่จะมากขึ้นจน กลายเป็นตาปิดตลอด ทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ เปลือกตากระตุกอีกชนิดเกิดจากกล้ามเนื้อตาและกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้ากระตุก มัก เกิดจากเส้นเลือดในสมองโป่งพอง หรือมีเนื้องอกกดเส้นประสาทที่มาเลี้ยงเปลือกตา จะมีอาการบีบเกร็งของกล้ามเนื้อเปลือกตาและกล้ามเนื้อใบหน้าครึ่งซีกอาการเกร็ง จะคงอยู่แม้ขณะหลับจะมีอันตรายต้องได้รับการผ่าตัดตากระตุก เป็นอาการกระตุกของลูกตาเป็นจังหวะด้วยทิศทางและความแรงแตกต่างกันออก ไป เกิดได้หลายสาเหตุ เช่น เกิดขึ้นภายใน 2-3 เดือนแรก หลังคลอดหากลูกตากระตุ กเท่าๆ กันในตาทั้งสองข้างอาจร่วมกับการมีศีรษะสั่นด้วย ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมี ปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น นอกจากนี้ยังพบได้จากการล้าของกล้ามเนื้อตาทำให้ตากระตุก กลุ่มนี้ไม่มีปัญหา อะไรหายเองได้ แต่หากอาการตากระตุกเป็นอยู่นานๆ ควรต้องไปพบแพทย์ เพื่อตรวจสอบ หาสาเหตุของโรคจะได้แก้ไขอย่างถูกต้องต่อไป

เลปวรรณ จันต๊ะคาด (ม.ฟาร์)

สาเหตุของพุงป่องไม่ใช่จากการรับประทานเพียงอย่างเดียว และคนพุงป่องก็ไม่ได้แปลว่าอ้วนด้วย แต่อาจเป็นเพียงอาการบวมน้ำเท่านั้น

1. การแพ้อาหาร

บางครั้งอาการท้องบวมอาจเกิดจากอาการระคายเคืองหรือการติดเชื้อของระบบย่อยอาหารในช่องท้อง หรืออาจรวมถึงการรับประทานยาบางชนิดที่ทำให้บวมน้ำและยังรวมไปถึงการมีรอบเดือนด้วย แต่ถ้ารู้สึกว่าหน้าท้องบวมขึ้นผิดปกติหลัง ทานอาหารบางชนิด ให้สันนิษฐานได้ว่าน่าจะมีอาการแพ้อาหารเข้าให้แล้ว จากสถิติพบว่าอาหารจำพวกแป้งและนมมีโอกาสทำให้เกิดอาการแพ้และบวมมากที่สุด

2.อาหารลดน้ำหนัก

คนที่ชอบหวังพึ่งอาหารลดน้ำหนักจำพวกโลว์-แฟ้ต หรือแฟ้ต-ฟรีมักจะมีปัญหาพุงป่อง เนื่องจากคิดว่ามันเป็นอาหารแคลอรี่ต่ำ จึงสามารถกินมากกว่าปกติ อาหารพวกนี้อาจมีพลังงานน้อยกว่าปกติ แต่มันก็ไม่ได้น้อยขนาดนั้น ทางที่ดีหันมารับประทานผักผลไม้ให้มากขึ้นจะดีกว่า รวมทั้งรับประทานอาหารที่มีเอนไซม์ช่วยย่อย อาทิ น้ำมะนาว น้ำส้มสายชูสกัดจากแอ๊ปเปิ้ล หรือผักสดต่าง ๆ

3. กินช้า ๆ แต่บ่อย ๆ

ค่อย ๆ เคี้ยวอาหารช้า ๆ เพื่อให้ประสาทรับรู้ค่อย ๆ รู้สึกอิ่ม และในแต่ละมื้ออย่ากินให้เยอะจนอิ่มแน่นท้อง ควรแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อย่อย ๆ แต่อย่ากินขนมจุบจิบจำพวกขนมนมเนยต่าง ๆ เลือกกินผลไม้หรือธัญพืช เมื่อหิวระหว่างมื้อจะดีกว่า

4.ขจัดสารพิษ

แอลกอฮอล์ คาเฟอีน และนิโคตินในบุหรี่มีผลร้ายต่อระบบเผาผลาญอาหารของร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายบวมน้ำและยังก่อให้เกิดเซลลูไลท์อีกด้วย ดังนั้นเมื่อรู้เหตุดังนี้แล้วก็แค่ลดละเลิกการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และคาเฟอีนต่าง ๆ และเลิกสูบบุหรี่ไปซะด้วยเลยในเวลาเดียวกัน

5.หัดกินสักนิด

ในกระเพาะจะมีแบคทีเรียอาศัยอยู่เพื่อช่วยในการย่อยอาหาร แต่บางครั้งแบคทีเรียเหล่านี้ก็อาจถูกกำจัดไปจากสภาวะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วยหรือการรับประทานอาหารบางชนิด แนะนำให้รับประทานโยเกิร์ตรสธรรมชาติเป็นประจำเพื่อปรับสมดุลแบคทีเรียกลุ่มที่เป็นประโยชน์ จะช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นและช่วยให้หน้าท้องบวมน้อยลงด้วย

6. ดื่มน้ำให้มาก

อาการบวมน้ำนี้ ควรดื่มน้ำให้ได้อย่าง ต่ำ 8 แก้วต่อวัน แต่วิธีการดื่มนั้นอย่าดื่มหมดแก้วในคราวเดียวควรจิบ น้ำบ่อย ๆ เรื่อย ๆ เพราะการที่ดื่มน้ำแก้วใหญ่ในคราวเดียว จะทำให้กระเพาะปัสสาวะขยายใหญ่ ถ้าจะให้ดีลองเลือกดื่มชาสมุนไพร อาทิ ชาเป็ปเปอร์มินต์ หรือชาคาโมไมล์แทนน้ำเปล่า โดยเฉพาะการดื่มในช่วงหลังอาหาร จะช่วยให้อาหารที่รับประทานเข้าไป ย่อยได้ดีขึ้นด้วย

7. บริหารกล้ามเนื้อหัวใจ

ผู้หญิงหลายคนเชื่อว่าการซิตอัพทุกวันจะช่วยให้หน้าท้องแบนเรียบแต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลย แม้ว่าการซิตอัพจะช่วยสร้างกล้ามท้อง แต่ถ้าร่างกายนั้นยังปกคลุมด้วยชั้นไขมัน หน้าท้องเรียบตึงก็จะไม่มีวันโผล่มาให้เห็นหรอก ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เป็นประจำอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน อย่างต่ำ 3 วันต่อสัปดาห์เพื่อให้ร่างกายได้เผาผลาญไขมันออกไป บวกกับการซิตอัพ คราวนี้รับรองสวยตึงแน่นอน

8. หายใจลึก ๆ

เมื่อหายใจเข้าออกแบบลึก ๆ จะช่วยให้ร่างกายจะคลายความตึงเครียดออกมา รวมทั้งยังช่วยในการเติมอ็อกชิเจนและพลังชีวิตให้ร่างกายด้วย ทุกครั้งที่หายใจให้พยายามหายใจให้ลึกเข้าไปยังท้อง อย่าหยุดเพียงแค่เก็บลมไว้ในช่องอกการหายใจเข้าออกจากท้องเป็นนิสัยจะช่วยกระชับให้กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรงมากยิ่งขึ้น

9. นวดกระชับหน้าท้อง

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการนวด ช่วยได้ จริงๆ เนื่องจากการนวดท้องนั้น ช่วยไล่ลมที่กักเก็บไว้ในช่องท้องได้ และช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นด้วย ณ วิธีการนวดก็ไม่ยาก เพียงวางฝ่ามือลงบนท้องแล้วนวดวนตามเข็มนาฬิกา ถ้าอยากเห็นผลลัพธ์เร็วขึ้น อาจใช้ครีมจำพวกกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องร่วมด้วย ก็ได้

ถ้าอยากมีหน้าท้องที่แบนเรียบ ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว ม. ฟาร์

วิธีแก้ปัญหาหน้ามันเยิ้ม

1. ควรล้างหน้าให้สะอาดวันละ 2-3 ครั้งก็พอ เพราะการล้างหน้าบ่อยเกินไป กลับจะเป็นโทษคือทำให้ผิวหน้าอักเสบระคายเคืองได้ ในระหว่างวันถ้ารู้สึกรำคาญหน้ามันก็อาจใช้กระดาษซับมันช่วยได้ สบู่หรือโฟมที่เลือกใช้ควรผลิตสำหรับผิวมันโดยเฉพาะ หรืออาจใช้เป็นสบู่เด็กก็พอ ไม่ควรใช้สบู่ที่ฟอกแล้วหน้าตึงมาก

2. ครีมบำรุงหรือครีมให้ความชุ่มชื้น ควรเลือกชนิดปราศจากน้ำมัน (Oil-free) และไม่อุดตันรูขุมขน (Non-Comidogenic) และควรมีสารป้องกันแสง UV ที่จะมาทำลายผิวด้วย

3. การแต่งหน้า ถ้าเป็นไปได้แป้งที่เหมาะสม สำหรับคนหน้ามันก็คือแป้งฝุ่น แต่ถ้าจำเป็นต้องแต่งหน้าก็อาจใช้แป้งฝุ่นก่อนจึงค่อยแต่งหน้า การเลือกใช้รองพื้นควรใช้ชนิดที่มีส่วนผสมเป็นน้ำ (Water Based) และปราศจากน้ำมัน (Oil-free)

ถ้าปฏิบัติด้วยวิธีดังกล่าวแล้วยังมีหน้ามันมาก มีรูขุมขนกว้างหรือมีสิวขึ้นจนขาดความมั่นใจ ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพราะคุณหมอจะมียาทาบางชนิดที่ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน ช่วยขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ที่อุดตันตามรูขุมขนออกไป เช่น ยาในกลุ่มกรดวิตามินเอ, AHA, BHA ฯลฯ ทำให้ผิวหน้าดูดีขึ้น

ส่วนยารับประทานที่ควบคุมความมันบนใบหน้า เป็นยาอันตรายนะคะ! ซื้อทานเองหรือเอาไปแบ่งเพื่อนทานก็ไม่ได้ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเท่านั้น

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์

อาหาร 7 อย่างที่ควรเลี่ยงเมื่อท้องว่าง!!!

1. เหล้า กระเทียม ทั้งสองอย่างนี้จะยิ่งกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เป็นโรคกระเพาะอาหาร อักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

2. น้ำตาลหรืออาหารหวาน เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาล ส่งผลต่อการ ดูดซึมโปรตีนทุกชนิด และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต

3. ชาแก่ จะทำ ให้กรดเกลือของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือ จาง เกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่ มีแรง

4. ลูกพลับ เป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดเกลือออกมามาก ทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร

5. กล้วย เพราะจะเพิ่มธาตุแมกนีเซียมในเลือดให้สูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียม และแมกนีเซียม เป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นอันตรายต่อ สุขภาพอย่างมาก

6. ผัก เพราะหากรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้ท้องอืด

7. นมและถั่วเหลือง แม้จะอุดมด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อกระเพาะอาหารมีสารประเภท แป้งอยู่

แถมท้ายอีกนิดว่า ขณะท้องว่างไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกาย เพราะอาจทำให้เกิด อาการช็อกได้ง่าย เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำ

เลปวรรณ จันต๊ะคาด (ม.ฟาร์)

การเดิน คือหนึ่งในวิธีการออกกำลังกายที่ดีที่สุด และแทบจะเรียกได้ว่าประหยัดที่สุดด้วย แค่มีรองเท้าดีๆสักคู่ เราก็ออกเดินกันได้แล้ว แต่ทำไมเราถึงต้องเดิน ? เดินแล้วได้อะไร?

คุณจะมีอายุที่ยืนยาวขึ้น

จากการศึกษาเป็นเวลายาวนานกว่า 12 ปี พบว่าคนที่เดินออกกำลังมากกว่า 2 ไมล์ ต่อวัน (1ไมล์=1.6 กม.) มีอายุยืนยาวกว่าคนที่เดินในระยะทางน้อยกว่า 1 ไมล์

คุณจะมีรูปร่างดีขึ้น

การเดินออกกำลังอย่างน้อยอาทิตย์ละ 4 ชั่วโมง ช่วยให้ไขมันส่วนเกินรอบเอวลดลง 16 % นี่ไม่ได้ยกเมฆนะคะ แต่ได้มีการวิจัยแล้วจากผู้หญิงกว่า 44,000 คนในประเทศหรัฐอเมริกา โดยศึกษาต่อเนื่องกันมาถึง 10 ปี ฟังดูน่าเชื่อถือขึ้นไหม?

การเดินช่วยให้กระดูกแข็งแรง

ปกติแล้วผู้หญิงเรามักมีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกเมื่อวัยย่างเข้าเลข 5 แต่การเดินเพียงวันละ 30 นาทีจะช่วยให้กระดูกแข็งแรงขึ้น และลดความเสี่ยง รวมทั้งผลกระทบอันเกิดจากโรคกระดูกพรุนได้ด้วย

หยุด! 'สิว'

วันนี้ขอเอาใจวัยรุ่นที่ไม่อยากเป็นสิว โดยนำวิธีหลีกเลี่ยงมาบอก...

- เลือกเครื่องสำอางที่ดี ปลอดภัย และไม่ระคายเคืองผิว

เครื่องสำอางต้องมีส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย ระบุ Fragrance Free ยิ่งดี เพราะน้ำหอมทำให้ระคายเคืองได้ ผสมสารเคมีน้อยที่สุด ดูพวก Alcohol อย่าเสี่ยงกับ สารหน้าขาว ยาสเตียรอยด์ ยาแก้แพ้ สารปรอท ไฮโดรควิโนน ที่แอบแฝงมาในเครื่องสำอางที่ไม่ได้มาตรฐาน ความน่าเชื่อถือดูจากที่มา มีชื่อที่อยู่ผู้ผลิตที่เป็นจริง ผ่านการทดสอบทางการแพทย์ ยิ่งดี

- ดูแลรักษาความสะอาดอย่างเหมาะสม

ถ้าใช้ครีมกันแดด หรือเครื่องสำอางที่มีค่า SPF ทุกชนิดรวมถึงแป้งทาหน้า พวกรองพื้น เมคอัพ ทาแก้ม ชิมเมอร์ด้วย ต้องล้างหน้า 2 ขั้นตอน ล้างด้วยคลีนเซอร์ดี ๆ ก่อนล้างด้วยโฟมอีกครั้ง

- สัมผัสผิวอย่างอ่อนโยน

อย่าขัดถูแรง ๆ และไม่ควรสครับหน้าบ่อย ๆ เลือกผ้าขนหนูนุ่ม ๆ สำหรับซับหน้า หรือใช้ทิชชูสะอาดซับก็ได้ การสครับผิว หรือถูผิวแรง ๆ จะเป็นการกระตุ้น การระคายเคืองและทำให้เกิดสิว

- เลี่ยงการสัมผัสใบหน้า

ระหว่างวันไม่ต้องแตะต้องสัมผัสใบหน้าเลยยิ่งดี อย่าแกะสิว เชื้อโรคจะได้ไม่เข้าสู่ผิว การแกะสิวก็ทำให้เป็นแผลเป็น

- ระวังเรื่องสารตกค้างที่มองข้าม

เวลาสระผม ก็ให้แชมพูไหลลงหลังจะดีกว่า ถ้าปล่อยให้ลงหน้า ก็จะทำให้ผิวหน้าสัมผัสกับหัวน้ำหอมและความลื่นของแชมพู ซึ่งจะตกค้างบนผิวได้ เพราะจะ เป็นตัวกระตุ้นการระคายเคืองและสิวดีนัก

- ปรึกษาผู้รู้จริง เท่านั้น

อย่าเชื่อคนไม่รู้จริง ฟังหูไว้หูดีกว่า ไม่งั้นก็ถามผู้รู้ เช่นแพทย์ เภสัชกร จะดีกว่า

รู้วิธีแล้ว ปฏิบัติตามกันเลย

วราภรณ์ สุตพลสันติกุล(ฟาร์อีสเทอร์น)

ฟังเพลงสนุกสนานรื่นเริง ส่งเสริมสุขภาพใจแข็งแรง

นักวิจัยพบ ฟังเพลงโปรดมีส่วนช่วยทำให้ระบบหลอดเลือดทำงานดีขึ้น นับเป็นหลักฐานครั้งแรกที่แสดงว่าอารมณ์คนเราถูกปลุกขึ้นมา ได้เมื่อได้ฟังเพลงที่สนุกสนาน และมีผลดีต่อสุขภาพในการทำหน้าที่ของหลอดเลือดอีกด้วย

นักวิจัยคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ ในบัลติมอร์ ได้ศึกษากับอาสาสมัครชายสุขภาพดี ไม่สูบบุหรี่ 70 เปอร์เซ็นต์ อายุเฉลี่ย 36 ปี พบว่า ดนตรีที่อาสาสมัครเลือกฟังแล้วทำให้อารมณ์ดีสนุกสนานนั้น จะทำให้ เนื้อเยื่อในหลอดโลหิตขยายตัว เพื่อให้กระแสโลหิตไหลเวียนดีขึ้น ผลสนองตอบด้านสุขภาพเช่นนี้เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับที่นักวิจัยกลุ่มเดียวกันนี้เคยศึกษาไว้เมื่อปี 2548 เกี่ยวกับเรื่องการหัวเราะ

อย่างไรก็ตาม จากผลการศึกษาครั้งนี้ ยังพบว่า เมื่ออาสาสมัครฟังเพลงในแบบที่ตนรู้สึกว่าเคร่งเครียดจะส่งผลต่อหลอดเลือดให้ตีบแคบลง กล่าวคือ การไหลเวียนของโลหิตลดลงนั่นเอง

พัชรินทร์ เนตรทิพย์(ฟาร์อีสเทอร์น)

เดินเร็วๆ ช่วยลดความอยากช็อกโกแลต

สำหรับคนที่ชอบกินช็อกโกแลตจนเข้าขั้น "ช็อกโกฮอลิค" คือชอบมากจนถึงขั้นชีวิตนี้ขาดเธอไม่ได้ ลองหันมาฟังทางนี้

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเอ็กซ์เตอร์ พบว่า การออกกำลังกายด้วยการเดินเร็วๆ แค่เพียง 15 นาที สามารถช่วยลดอาการอยากกินช็อกโกแลตลงได้ด้วย เรียกได้ว่างานนี้นับเป็นผลประโยชน์ของ การออกกำลังกายอีกอย่างหนึ่งที่เพิ่มขึ้นนอกจากการช่วยลดอาการติดนิโคติน ในบุหรี่ หรือสิ่งเสพติดอื่นด้วย

ในการทดลองนั้น คณะนักวิจัยได้ให้อาสาสมัครที่กินช็อกโกแลตเป็นประจำ 25 คน ไปเข้าค่ายอดช็อกโกแลต 3 วัน (โอ..เป็นเรื่องเลย ให้งดของชอบเนี่ย) หลังจากนั้นนักวิจัยก็สุ่มเลือกให้อาสาสมัครทั้งไปเดินเร็ว ๆ 15 นาที กับไปนอนพัก หลังจากนั้นก็ต้องมาทดสอบใจแก้ปัญหาว่าจะลดความอยากกินช็อกโกแลตลงได้หรือไม่ หลังออกกำลังแล้วเขาบอกว่า การออกกำลังช่วยลดความอยากกินช็อกโกแลตลงได้มากกว่าพวกที่ไปนอนพัก อธิบายได้ว่า ความอยากกินไม่เพียงลดลงระหว่างที่เดินเท่านั้น แต่ยังคงอยู่อย่างน้อยอีก 10 นาทีหลังจากนั้นด้วย

เหตุผลของเรื่องนี้ ศาสตราจารย์เอเดรียน เทเลอร์ สรุปว่า นักประสาทวิทยาเห็นว่าเป็นกระบวนการทั่วไปในบริเวณศูนย์การให้รางวัลที่สมอง ระหว่างการติดยากับติดอาหาร และอาจเป็นได้ว่าเพราะการออกกำลังอาจส่งผล ต่อสารเคมีในสมองที่ช่วยควบคุมอารมณ์และความอยาก ให้ลดน้อยลงไป

และนี่จึงน่าจะเป็นข่าวดีสำหรับคนที่คิดจะลดน้ำหนัก แล้วยังติดขนมขบเคี้ยวของหวานกันอยู่

คนึงนิจ มีใจดี(ฟาร์อีสเทอร์น)

เพิ่มความจำให้สมอง

สมองก็เหมือนส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ที่ต้องออกกำลังบริหารอยู่เสมอ เพื่อให้คงอยู่ในสภาพดี นอกจากจะส่งผลให้สมองโลดแล่นแล้ว ยังส่งผลต่อประสิทธิภาพของการจดจำด้วย

สำหรับใครที่เป็นคนขี้หลงขี้ลืม อาจเป็นเพราะละเลยการบำรุงสมองไป "เกร็ดน่ารู้" สัปดาห์นี้ มีวิธีเพิ่มความจำให้สมอง ด้วยหลักปฏิบัติง่ายๆ มาฝากกัน

1. อาหารเพิ่มความจำ อยู่ในอาหารกลุ่มวิตามินบี เช่น นมพร่องมันเนย กล้วย ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่วต่างๆ ผัก ผลไม้ ช่วยป้องกันสมองเสื่อม ความจำเลอะเลือน

กลุ่มธาตุเหล็ก เช่น เนื้อสัตว์ อาหารทะเล มีผลต่อไอคิว ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองซีกซ้าย ซึ่งเกี่ยวกับระบบการคิด

ไข่แดง ตับ ถั่วลิสง เนยถั่ว บำรุงเซลล์สมอง

ปลาที่มีโอเมก้า 3 อาทิ ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน และปลาแมคคอเรล ช่วยป้องกันความจำเสื่อม

2. ออกกำลังเพิ่มความจำ การออกกำลังกายจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้เลือดนำออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ ควรออกกำลังกายให้หลากหลายประเภท เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ของสมองจากการฝึกฝนทักษะใหม่ๆ เช่น การเดิน วิ่ง ขี่จักรยาน เต้นแอโรบิก หรือว่ายน้ำ เป็นต้น

3. นอนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง เซลล์ประสาทจะสื่อสารกันได้มากขึ้น ส่งผลต่อการเรียนรู้และความจำ

4. บริหารสมอง อาทิ การเล่นหมากรุก หมากล้อม เล่นเกมคอร์สเวิร์ด ฯลฯ ซึ่งต้องใช้ความคิด เซลล์สมองจะเจริญเติบโตมากขึ้น ความสามารถในการจำก็จะดีขึ้นด้วย

หลักง่ายๆ ทำให้เป็นกิจวัตรประจำวัน เพียงเท่านี้...ไม่ว่าจะอายุมากแค่ไหน สมองก็ยังมีประสิทธิภาพ ความจำก็ยังดีอยู่เสมอ

เบญจวรรณ หล้าแปง(ฟาร์อีสเทอร์น)

ปรุงอาหารต้านมะเร็ง ด้วยเมนูโฮมเมด

You are what you eat คำกล่าวนี้ทำให้กระแสของการทำอาหารสไตล์โฮมเมดเฟื่องฟูในยุคปัจจุบัน ส่วนหนึ่งมาจากความทันสมัยของวิทยาการที่สร้างสรรค์เครื่องครัวที่มีประสิทธิภาพ ช่วยประหยัดเวลา ลดความยุ่งยากในการจัดเตรียมอาหาร แต่ที่สำคัญเหนืออื่นใดคือเราสามารถคัดสรรสารอาหารจากวัตถุดิบได้อย่างมีคุณภาพ และปลอดภัยได้มากขึ้น

การปรุงอาหารจึงเป็นเสมือนการจัดยาต่อต้านโรคร้ายที่แสนอร่อย และสนุกสนาน และถ้าคุณเป็นอีกคนที่ตระหนักในสุขอนามัยของสุขภาพที่ช่วยต้านพิษ และลดความเสี่ยงของการสะสมอนุมูลอิสระที่ก่อให้เกิดมะเร็งและโรคร้ายอื่นๆ นี่คือไอเดียเก๋ๆ ตำรับ น.พ.สำราญ อาบสุวรรณ ผู้หายจากมะเร็งปอดระยะสุดท้ายที่ WP ขอแนะนำให้สาวโฮมเมดหัดทำ

น้ำซุปโพแทสเซียม สำหรับใช้เป็นน้ำแกงปรุงอาหาร

ส่วนผสม & เครื่องปรุง

น้ำสะอาด 20 ลิตร

หอมใหญ่ 1/2 กก.

แครอทขนาดกลาง 1/2 กก.

มันฝรั่ง 1/2 กก.

หัวไชเท้า 1/2 กก. (จะใส่หรือไม่ก็ได้ บางคนบอกว่าจะไปล้างยา)

วิธีทำ : ต้มน้ำให้เดือด นำผักที่เตรียมไว้ใส่ลงไปในหม้อต้มให้เดือด 15 นาที จากนั้นเคี่ยวไปประมาณ 2 ชั่วโมง ไฟกลางๆ เมื่อได้ที่แล้วทิ้งให้เย็น กรองเอากากออก นำน้ำซุปที่ได้แบ่งใส่ถุง แช่ช่องแข็งไว้ใช้ทำอาหารต่อไป

เมนูอาหารที่ปรุงด้วยน้ำซุปโพแทสเซียม

แกงเลียง

ส่วนผสม & เครื่องปรุง : น้ำซุปโพแทสเซียม, หอมแดง, กระชาย, พริกไทยป่น, สาหร่าย,

(แผ่นกลมๆ ที่ใช้ใส่แกงจืด) ผักสดแล้วแต่ชอบ เช่น บวบ, ตำลึง , ใบแมงลัก, ฟักทอง, ข้าวโพดอ่อน, น้ำเต้า, ผักแม้ว, เป็นต้น ซีอิ๊วขาว

วิธีทำ : ตำหอมแดง กระชาย พริกไทยป่น สาหร่ายเข้าด้วยกัน หรือจะปั่นก็ได้ (ปั่นต้องใส่น้ำซุปลงไปด้วย) นำน้ำซุปโพแทสเซียมใส่หม้อละลายเครื่องแกงที่ตำไว้ ปิดฝา ตั้งไฟให้เดือด เมื่อได้ที่แล้วใส่ผักสุกยากลงไปก่อน เช่น ฟักทอง ข้าวโพดอ่อน ผักที่เป็นใบใส่ทีหลัง ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ชิมรส

แกงส้มผักรวม

ส่วนผสม & เครื่องปรุง : น้ำซุปโพแทสเซียม, เครื่องแกงส้ม (ต้องไม่ใส่กะปิ), น้ำมะขาม, ซีอิ๊วขาว,

น้ำตาลโตนด, ผักสดแล้วแต่ชอบ เช่น ยอดมะพร้าว, ผักบุ้งไทย, กะหล่ำปลี, ดอกกระหล่ำ ฯลฯ

วิธีทำ :นำน้ำซุปโพแทสเซียมใส่หม้อ ละลายเครื่องแกงก่อนที่จะตั้งเตา (ถ้าละลายในน้ำเดือดจะจับตัวเป็นก้อน) ตั้งไฟให้เดือด ปรุงรสตามชอบ (ควรลดเค็มและหวาน) ใส่ผักลงไป ชิมรสอีกครั้ง เพราะน้ำในผักจะทำให้รสชาติ

เปลี่ยนไปเล็กน้อย

ผัดผักรวมมิตร

ส่วนผสม & เครื่องปรุง : น้ำซุปโพแทสเซียม, แครอทขนาดกลาง, ถั่วลันเตา, เห็ดหอม, ผักกาดขาว,

ข้าวโพดเมล็ด, กระเทียมหั่นแว่นพอประมาณ, ซีอิ๊วขาวเล็กน้อย, เกลือโพแทสเซียมเล็กน้อย

วิธีทำ : คั่วกระเทียมให้หอม แล้วจึงใส่น้ำซุปโพแทสเซียมลงไปพอประมาณ ใส่ผักเตรียมไว้ (ใส่ผักสุกยากลงไปก่อน) ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวและเกลือโพแทสเซียมเล็กน้อยเท่านั้น ปิดฝาให้ผักระอุสักครู่ ผัดให้เข้ากันอีกครั้ง ตักใส่จาน

แกงป่า

ส่วนผสม & เครื่องปรุง : น้ำซุปโพแทสเซียม, เครื่องแกงป่า (ต้องไม่ใส่กะปิ), แครอทขนาดกลาง, ข้าวโพดอ่อน, มะเขือเปราะ, ชะอม, ฟักทอง, ถั่วฝักยาว, ใบกะเพรา, กระชายหั่นฝอย, ซีอิ๊วขาวเล็กน้อย

วิธีทำ : นำน้ำซุปโพแทสเซียมใส่กระทะผัดเครื่องแกงให้เข้ากัน ตั้งไฟให้เดือดปรุงรสตามชอบ ใส่ผักตามต้องการ แต่จะใส่ผักสุกยากลงไปก่อน เช่น ฟักทอง, ข้าวโพดอ่อน ผักที่เป็นใบใส่ทีหลัง ชิมรส ตักใส่ชาม

ผัดเผ็ดมะเขือยาว

ส่วนผสม & เครื่องปรุง : น้ำซุปโพแทสเซียม เครื่องแกงเผ็ด (ต้องไม่ใส่กะปิ), มะเขือยาว, มะกรูดหั่นฝอย ซีอิ๊วขาวเล็กน้อย, น้ำตาลโตนด, ลูกชิ้นเห็ดหอม (ถ้ามี)

วิธีทำ :นำน้ำซุปโพแทสเซียมใส่กระทะผัดเครื่องแกงให้เข้ากันปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวเล็ก น้อย น้ำตาลโตนด ใส่มะเขือยาว ผัดให้เข้ากัน ปิดฝาให้มะเขือระอุสักครู่ เปิดฝา ผัดให้เข้ากันอีกครั้ง ชิมรส โรยหน้าด้วยใบมะกรูดหั่นฝอย ตักใส่จาน

การตั้งคอมพิวเตอร์

ท่านผู้อ่านที่ทำงานกับ computer หรือเล่นเกม หรือเพื่อการศึกษาหากท่านใช้เวลากับมันมากโดยที่ปรับโต๊ะ เก้าอี้ หรือจอ monitor ไม่ถูกต้องอาจจะทำให้ปวดตา ปวดคอ ปวดหลัง บทความนี้จะเป็นคำแนะนำการทำงานกับ computer

การปรับ Keyboad

การทำงานกับ computer นานจะมีปัญหาเกี่ยวกับแขน ข้อมือ และมือ คำแนะนำต่อไปนี้จะทำให้ท่านทำงานสบายขึ้น

-ปรับความสูงของ keyboard เพื่อให้หัวไหล่ได้พัก แขนแนบลำตัว keyboard

อยู่ตรงหน้าไม่เอียงซ้ายหรือขวา

-Keyboardควรอยู่ใกล้กับผู้ใช้เพื่อที่จะไม่ต้องเอื้อมมือ

-ข้อศอกควรได้ฉาก90 องศา แขนส่วนปลายจะขนานกับพื้น

-Mouse ควรวางข้างKeyboard

-ขณะที่ไม่ได้ทำงานควรพักแขนไว้บนท้องไม่ควรพักแขนไว้บน Keyboard หรือ Mouse

การตั้งDesktops

-โต๊ะที่วาง computer ควรจะสูง 25-29 นิ้วขึ้นกับส่วนสูงของผู้ใช้

-ปรับเก้าอี้ให้แขนขนานกับพื้นขณะทำงานและแขนควรอยู่สูงจากต้นขา 2นิ้ว

-ใต้โต๊ะควรเป็นพื้นที่ว่างเพื่อยืดเท้า

-ของที่ใช้บ่อยควรอยู่ใกล้มือ

-ถ้าใช้ที่หนีบกระดาษควรอยู่ระดับเดียวกับ monitor

การปรับ Monitors

การปรับแต่งMonitorจะช่วยให้ตาและระบบกล้ามเนื้อทำงานได้ดีขึ้นคำแนะนำนี้จะช่วยอาการปวดตาปวดคอและเมื่อยกล้ามเนื้อไหล่

-เช็ดจอให้สะอาด

-ปรับความสว่างให้พอเหมาะ

-จอ monitor ตั้งอยู่ตรงหน้าเพื่อที่จะต้องไม่หมุนคอ

-จอควรห่างจากตัวผู้ใช้ 20-26 นิ้ว

-จอทำมุกกับแนวดี่ง10-20 องศา

-ให้แสงจากหน้าต่างเข้าทางข้างเพื่อป้องกันการสะท้อนของแสง

-จอไม่ควรได้รับแสงโดยตรงเพราะจะทำให้เกิดการสะท้อนของแสงหรืออาจจะใส่แผ่นกรองแสง

-ขอบบนของจอmonitor ควรอยู่ระดับเดียวกับตา

การปรับแสง

-แสงที่ใช้ไม่ควรเกิน18-46 แรงเทียน

-แสงควรเข้าทางด้านข้างเพื่อป้องกันการสะท้อนของแสง

-วางจอmonitor โดยหันด้างข้างของจอ monitor ไปหาหน้าต่าง

ไม่ควรใช้โคมไฟ

-ผนังด้านหลังจอmonitorควรทาสีทึบเพื่อป้องกันสะท้อนของแสง

-ใช้แผ่นกันการสะท้อนของแสง

การปรับเก้าอี้

เชื่อกันว่าการนั่งเป็นการผ่อนคลาย ความจริงการนั่งนานๆจะทำให้กระดูกหลัง หมอนรองกระดูกได้รับน้ำหนักอยู่ตลอดเวลา นอกจากหลังแล้วยังมีผลต่อเท้าเนื่องจากเลือดจะไปกองที่เท้า ข้อแนะนำนี้จะช่วยให้ท่านผู้อ่านทำงานกับ computer อย่างสบาย

-อย่าท่าใดท่าหนึ่งนานๆ

-เปลี่ยนท่านั่งและยืนสลับกัน

-ปรับเบาะพิงหลังให้รองบริเวณเอวอาจจะใช้หมอนหรือผ้าหนุนด้วยก็ได้ท่านั่งที่ดีควรจะเป็นท่าที่ขาตั้งฉากกับลำตัว

-ปรับความสูงของเก้าอี้เพื่อให้เท้าวางบนพื้น

-นั่งหลังพิงพนักพิง

-ต้นขาขนานกับพื้น เข่าอยู่แนวระนาบเดียวกับข้อสะโพก

-เข่าควรอยู่ห่างจากเบาะนั่ง 2-3 นิ้ว

-อย่านั่งหลังโก่ง

-ปรับความสูงของที่พักแขนให้แขนและไหล่ได้พักขณะทำงาน

เข็มขัดนิรภัย

เมื่อเกิดอุบัติเหตุจราจรทางบกจะทำให้เกิดการสูญเสียชีวิต ร่างกาย อันตรายที่เกิดกับคนมีตั้งแต่ไม่มากเช่นแผลถลอกจนกระทั้งอวัยวะภายในได้รับบาดเจ็บ อาจจะพิการ การป้องกันที่ดีที่สุดคือการป้องกันมิให้เกิดอุบัติเหตุ แต่ก็ไม่สามารถป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ การใช้เข็มขัดนิรภัยจะช่วยลดความรุนแรงของการบาดเจ็บ

การเปลี่ยนแปลงเมื่อเกิดอุบัติเหตุ

แรงกระแทกที่เกิดจากรถที่วิ่งเร็ว 60 กิโลเมตรจะเท่ากับรถที่ตกที่สูง 14 เมตรหรือความสูงประมาณตึก 5 ชั้น ตัวรถจะยุบหรือบิดงอ

คนที่อยู่ในรถถ้าไม่คาดเข็มขัดนิรภัยจะเดินทางด้วยความเร็วเท่ากับรถเมื่อชนและหยุด ศีรษะ หน้า ลำตัวของคนในรถจะถูกเหวี่ยงไปกระแทกกับพวงมาลัย และกระจกหน้ารถอาจทำให้หมดสติหรือเสียชีวิต

อวัยวะในร่างกาย เช่นตับ ไต ลำไส้ สมองหรือไขสันหลังซึ่งมีการเคลื่อนไหวอยู่ภายในจะเคลื่อนไหวเท่ากับความเร็วของรถ เมื่อคนในรถหยุด อวัยวะภายในจะกระแทกกันเอง ทำให้ตับ ไต ลำไส้หรือสมองฉีกขาดได้

ใครบ้างที่ควรคาดเข็มขัดนิรภัย

คนที่ขับรถทุกคน

ผู้โดยสารทุกคนไม่ว่าจะนั่งหน้าหรือหลัง

ผู้โดยสารรถขนาดใหญ่ที่มีเข็มขัดนิรภัยควรต้องคาดเช่นกัน

ประเภทของเข็มขัดนิรภัย

เข็มขัดนิรภัยที่รัดตรงบริเวณโคนขา รอบสะโพก (lap belt หรือแบบสองจุด) พบได้ในเครื่องบิน สำหรับรถยนต์จะใช้กับที่นั่งตอนหลัง เข็มขัดชนิดนี้ใช้คาดบริเวณต้นขา รอบสะโพก ไม่ควรรัดบริเวณหน้าท้อง

เข็มขัดที่คาดผ่านบริเวณสะโพกและไหล่ ( lap shoulder belt หรือแบบ 3 จุด)คาดบริเวณสะโพก บริเวณต้นขา และผ่านเฉียงทางหน้าอกและกระดูกไหปลาร้า

"มังคุด ลำไย ลองกอง"ยอดผลไม้เพื่อสุขภาพ

มังคุด...ลองกอง...ลำไย เป็นผลไม้ไทยๆ ที่มีรสชาติอร่อยลิ้น มีประโยชน์มากมาย รวมถึงสรรพคุณทางยาสมุนไพร ในช่วงที่ผลไม้มีปัญหาผลผลิตล้นตลาด ทำให้ราคาแสนถูกอย่างไม่น่าเชื่อ การหันมาบริโภคผลไม้ไทย จึงถือเป็นการได้กำไร 2 ต่อ คือนอกจากจะเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรแล้ว ยังทำให้สุขภาพดีอีกด้วย

อ.สง่า ดามาพงศ์ นักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข บอกถึงคุณประโยชน์ของผลไม้ไทยๆ อย่างมังคุด ลองกอง และลำไยว่า สำหรับ “มังคุด” นั้นเป็น “ราชินีผลไม้” หรือ Queen of fruit เนื่องจากรสชาติของมังคุดอร่อยมาก มีเอกลักษณ์ หอมหวาน แต่ไม่หวานจัด แบบอมเปรี้ยวอมหวาน รสชาติกินขาดผลไม้ทุกชนิด ขณะที่คุณประโยชน์ทางสารอาหารก็มีวิตามินซีสูง ช่วยต้านมะเร็งไม่ให้เกิดอนุมูลอิสระ และมีแคลเซียมซึ่งปกติมีมากในนม เนื้อสัตว์ ในผลไม้ไม่ได้มีมากมายแต่มีในมังคุด อีกทั้งยังมีฟอสฟอรัส โพแทสเซียม ช่วยให้เผาผลาญพลังงานได้เป็นปกติ

แต่ที่โดดเด่นมากที่สุด คือ ในมังคุดมีไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหาร หากอาหารไม่ย่อยหรือดูดซึม เมื่อรับประทานมังคุดเส้นใยอาหารตัวนี้ก็จะไปเกาะเป็นก้อนอมน้ำมีน้ำหนัก ดึงเอาสารก่อมะเร็งในไขมัน น้ำตาล ที่อยู่ระหว่างมื้อออกไปทางอุจจาระ ดังนั้น หากใครที่ท้องผูกเป็นประจำหรืออยากลดน้ำหนักจึงขอแนะนำให้กินมังคุด

ส่วนลองกองและลำไยนั้น อ.สง่า ชี้ให้เห็นความแตกต่างกับมังคุดว่า ลองกองจะมีวิตามินสูงกว่ามังคุด มีไฟเบอร์ แคลเซียม คล้ายมังคุด แต่มีเสน่ห์ที่เนื้อใส รสชาติอมเปรี้ยวอมหวาน ขณะที่ลำไย นอกจากมีรสหวานกรอบแล้ว ยังมีแคลเซียมสูงกว่าเมื่อเทียบมังคุดและลองกอง อีกทั้งให้พลังงานสูงกว่าผลไม้อีก 2 ชนิดด้วย

อย่างไรก็ตามในการกินลำไยซึ่งเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลมากกว่าผลไม้ทั้ง 2 ชนิด การกินลำไย จึงต้องระวังสำหรับผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก เป็นเบาหวาน อ้วนลงพุง แต่ในคนที่มีสุขภาพปกติสามารถกินลำไยได้ แต่ก็ไม่ควรกินมากจนเกินไป

นอกจากจะอธิบายคุณประโยชน์ผลไม้ 3 ชนิดเสร็จสรรพแล้ว อ.สง่า ยังแนะนำวิธีการรับประทานผลไม้ง่ายๆ ด้วย 3 ข้อ คือ 1.ควรกินผลไม้ให้หลากหลายชนิด อย่าซ้ำซากจำเจ ทั้งมังคุด ลองกอง ลำไย สามารถกินได้ใน 1 วัน สลับกัน การซื้อมังคุดกิน 3 กิโลกรัม ในวันเดียวคงไม่ถูกต้องนัก 2.ควรเลือกกินผลไม้ตามฤดูกาล ฤดูกาลมังคุดก็กินมังคุด ฤดูกาลลำไยก็กินลำไย แม้ว่าสมัยนี้ผลไม้จะสามารถออกผลได้เกือบทุกฤดูกาล แต่สารอาหารคุณค่าความสดสู้ในฤดูกาลของผลไม้ชนิดนั้นๆ ไม่ได้ และ 3.ควรกลับมากินผลไม้ไทยมากขึ้น เพราะผลไม้ไทยอร่อย สด ราคาถูก และให้คุณค่าทางโภชนาการมากกว่าผลไม้นอก เช่น ผลไม้นำเข้าจากต่างประเทศที่ต้องใส่รังไว้นานๆ ใช้เวลาในการขนส่ง วิตามินซีที่ควรได้รับอาจหายไปแล้วกว่าครึ่ง ต่างจากผลไม้ที่เด็ดเมื่อวานซึ่งมีวิตามินซีมากกว่าอยู่แล้ว

นอกจากนี้ หากต้องการกินผลไม้เพื่อช่วยควบคุมน้ำหนัก อ.สง่า บอกว่า ควรเลือกรับประทานผลไม้ที่รสไม่หวานจัด ไม่มีแป้งมาก ซึ่งผลไม้ที่มีแป้งมากเช่น มะม่วงดิบ มะละกอ และหากจะกินลดน้ำหนัก ลดพุง ให้กินข้าวมื้อเย็นแต่น้อยแล้วกินผลไม่เป็นอาหารว่าง หรือกินผลไม้ก่อนอาหารมื้อหลัก โดยเฉพาะมื้อเย็นโดยให้กินผลไม้ก่อนอาหารเย็นประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วกินน้ำประมาณ 2 แก้ว จะทำให้ความอยากกินอาหารเย็นน้อยลง

ด้าน พญ.ลลิตา ธีระสิริ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญธรรมชาติบำบัด ศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี เสริมว่า นอกจากผลไม้อย่างมังคุดจะมีรสชาติอร่อยแล้วยังมีสรรพคุณทางยาด้วย โดยเนื้อใช้เป็นยาแก้ร้อนใน บำรุงกำลัง จะเห็นได้ว่า หากกินลำไย หรือทุเรียนซึ่งเป็นผลไม้ร้อน ให้กินแก้ด้วยมังคุด ส่วนยางที่มีสีเหลืองๆ ที่ปนกับเนื้อจะช่วยแก้ท้องเสีย ส่วนเปลือกมังคุดตากแห้งฝนกับน้ำปูนใสสามารถใช้ในการรักษาแผลหนองพุพอง กำจัดแบคทีเรีย หรือนำเปลือกมังคุดฝนกับน้ำกินแก้ท้องเสีย

ส่วนลำไย เป็นผลไม้ที่ถือเป็นยาบำรุงหัวใจร่างกาย บำรุงเลือดลม ระบบประสาท ช่วยในเรื่องความจำ ในตำราแพทย์แผนจีนมักนำลำไยอบแห้งมาต้มกับโสม ช่วยให้ผู้สูงวัยไม่หลงลืม ส่วนในตำราแพทย์แผนไทย มักนำไปต้มแช่เหล้า ใช้เป็นยาบำรุงเลือด ระบบประสาท ป้องกันโรคหลงๆ ลืมๆ

เรียกว่าสรรพคุณที่คนโบราณเรียนรู้ประโยชน์จากลำไยทั้งไทยและจีนใกล้เคียงกัน

อย่างไรก็ตาม นอกจากเนื้อของลำไยจะให้ประโยชน์ทางยาอย่างยิ่งแล้ว คนไทยยังนำรากของต้นลำไยต้มกินแก้เสมหะมาก ส่วนผู้ที่ควรกินลำไย เช่น ผู้ที่มีอาการท้องเสีย อาหารไม่ย่อย ท้องอืดแน่น ฝ้าบนลิ้นสีขาว และหนา หรือเป็นหวัด ไม่ควรกินลำไยสดมากจนเกินไป เพราะลำไยมีคุณสมบัติร้อน จะทำให้เกิดอาการเจ็บคอ และเป็นร้อนในภายในปากได้

พญ.ลลิตา บอกอีกว่า สุดท้ายลองกอง นับว่าเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินบี และฟอสฟอรัส มีสรรพคุณในการลดความร้อน ที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย เมื่อกินเป็นประจำ จะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นไข้ตัวร้อน และช่วยไม่ให้เกิดอาการร้อนในขึ้นในปากได้อีกด้วย รวมถึงแก้ปวดท้อง ท้องเสีย เม็ดลองกองใช้ขับพยาธิ เปลือกใช้ไล่ยุง

สุดท้าย อ.สง่า บอกว่า อย่างไรก็ดี รัฐบาลควรถือโอกาสนี้ในการรณรงค์ให้คนไทยหันมากินผลไม้เพื่อสุขภาพมากขึ้น โดยการรับประทานผลไม้เป็นอาหารว่างแทนขนมหวาน เพื่อควบคุมโรคอ้วน มีประโยชน์มากกว่า นอกจากนี้ควรปลูกฝังให้ทุกคนเลือกบริโภคผลไม้ไทยมากขึ้น เนื่องจากตั้งแต่มีระบบการค้าเสรี ผลไม้นอกทะลักเข้าประเทศเป็นจำนวนมาก ทำให้คนแห่ไปกินผลไม้ต่างชาติ ทิ้งผลไม้ไทยไว้เบื้องหลัง และที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ หากจะกินผลไม้ควรกินผลไม้สดๆ มากกว่าแปรรูปเป็นน้ำผลไม้ที่ไม่ให้คุณค่าทางโภชนาการ เพราะผลไม้สดย่อมมีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่ามาก

เหมันต์ ( เลขที่ 87 ) วิทย์ออก

ป้องกันและลดการเป็น โคเรสเตอรอลสูง New!!!

สวัสดีค่ะ วันนี้จะขอแนะนำทุกท่าน แบบวิธีง่ายๆ ลองควบคุมดูนะค่ะ ก่อนที่จะสายไปเป็นเหมือนดิฉันเจ้าค่ะ

1. ควรที่จะใช้น้ำมันพืชปรุงอาหาร นะค่ะ พยามเลี่ยงน้ำมันหมู หรือน้ำมันอะไรที่ก่อให้เกิดการสะสมของไขมันค่ะ

2. ไม่ควรกินอาหารทอดเป็นประจำ เช่น กล้วยแขก ปลาท่องโก๋ ไก่ทอด รวมทั้งแกงกะทิด้วย

3. กินโคเลสเตอรอลไม่เกินวันละ 300 มิลลิกรัม โดยพยายามลด หรือ ถ้าเลิกทานได้ก็จะดีค่ะอาหาร ที่มีโคเลสเตอรอลสูง โดยเฉพาะพวกเครื่องในสัตว์ สมองหมู หนังสัตว์ เช่น หนังไก่ทอด หนังเป็ด หนังหมู หมูกรอบ ไข่แดง

ไข่ขาวไม่มีโคเลสเตอรอล ลองเอามาตีทานเป็นไข่เจียวแก้ขัดได้ค่ะ ไข่ปลา กุ้ง ปลาหมึก หอยนางรม เป็นต้น เลือกกินเฉพาะ เนื้อปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน นมพร่องไขมัน

** ข้อสำคัญควรออกกำลังกายควบคู่กันไปนะค่ะ หรือเน้นทานผักแยะๆ เหมือนที่ตอนแรกตัวเองเป็นขึ้นสูง 200 กว่าค่ะ พอลองควบคุม ดูแล้ว ลดเป็นร้อย เลยค่ะ เพื่อนๆ ลองดูนะค่ะ**

สาระความรู้ดีๆ เกี่ยวกับสุขภาพขอบคุณ http://www.variousshop.com/

ฟิตร่างกายตอนเย็นดีสุด

ศาสตราจารย์โทมัส ไรลี แห่งสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การกีฬาและการออกกำลังกาย มหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล จอห์นมัวร์ ระบุว่า ช่วงเวลาเหมาะที่สุดในการออกกำลังกายสำหรับคนส่วนใหญ่ราวร้อยละ 90 คือ ระหว่าง 16.00 ถึง 19.00 น. เพราะอุณหภูมิของร่างกายจะเพิ่มสูงสุด กล้ามเนื้อขยายตัว และมีความยืดหยุ่น เป็นช่วงที่ร่างกายมีกำลังมากทีสุด อัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตต่ำ ดังนั้นจึงไม่ต้องใช้ความพยายามมากนักเพื่อออกกำลังกาย ทำให้มีแรงจูงใจอยากออกกำลังกายมากขึ้นและมีแนวโน้มบาดเจ็บน้อยลง

สำหรับผู้หญิง ศ.ไรลี แนะนำว่า ช่วงเวลาออกกำลังกายเหมาะสมที่สุดในแต่ละเดือน คือ ช่วง 7-14 วันหลังไข่ตก เพราะระดับฮอร์โมนโปรเจสเทอโรนจะเพิ่มสูงสุด ส่งผลกระทบต่อวิธีที่ร่างกายใช้ไขมันและคาร์โบไฮเดรต นอกจากนั้น หากมีอาการปวดประจำเดือนเป็นประจำ การออกกำลังเป็ยประจำแม้ในช่วงที่มีประจำเดือนก็สามารถบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้ด้วย

ทิพย์สุดา วิทย์ออก เลขที่ 6

การรับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ เป็นรากฐานสำคัญของการป้องกันและรักษาภาวะคลอเลสเตอรอลสูงในเลือด ดังนั้น เราควรเข้าใจถึงแนวทางในการบริโภคอาหารอย่างถูกต้องเพื่อควบคุมระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด และต้องมีความตั้งใจจริง ที่จะปฏิบัติให้ได้ในชีวิตประจำวัน เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง หลีกเลี่ยงโรคร้ายต่างๆ ซึ่งมีภาวะคลอเลสเตอรอลสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ เช่น โรคหลอดเลือดแดงแข็ง โรคหัวใจขาดเลือด หนูได้ไปอ่านบทความบทความหนึ่งมาซึ่งเป็นที่น่าสนใจ หนูจึงนำมาให้อาจารย์ดูค่ะ เป็นบทความเกี่ยวกับ

“ หลักการบริโภคอาหารที่สำคัญเพื่อป้องกันและลดระดับคลอเลสเตอรอลสูงในเลือด ”

1.รับประทานคลอเลสเตอรอล ไม่เกินวันละ 200 มิลลิกรัม คลอเลสเตอรอลมีเฉพาะในอาหารที่มาจากสัตว์เท่านั้น มีมากในอาหารบางชนิด เช่น ไข่แดง เครื่องในสัตว์ มันสัตว์ สัตว์น้ำบางชนิด (ดูรายละเอียดในตาราง) จึงควรหลีกเลี่ยงรับประทานอาหารเหล่านี้ ในปริมาณมาก

2.รับประทานอาหารในแต่ละวัน ซึ่งให้พลังงานรวมแล้วเพียงพอ ต่อการรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติโดยผู้ใหญ่ ควรมีดัชนีความหนาของร่างกายประมาณ 20.0-24.9 กิโลกรัม/ตารางเมตร โดยคำนวณจาก น้ำหนักตัว หน่วยเป็นกิโลกรัม หารด้วยส่วนสูง หน่วยเป็นเมตร ยกกำลังสอง เช่น ถ้าใครมีน้ำหนัก 50 กิโลกรัม ส่วนสูง 1.5 เมตร จะได้ดัชนีความหนาของร่างกาย = 50/(1.5)2 = 22.2 กก./ตารางเมตร แสดงว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ

3.หลีกเลี่ยงรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น กะทิ ไขมันจากสัตว์ หนังสัตว์ เนื้อสัตว์ที่มีมันติดมากๆ เช่น หมูสามชั้น เพราะกรดไขมันอิ่มตัว ส่วนใหญ่ทำให้ระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น

4.รับประทานอาหารที่มีกรดไขมันไลโนเลอิก (linoleic acid)โดยสม่ำเสมอ ซึ่งพบได้ประมาณร้อยละ 50 ในน้ำมันพืชบางชนิด เช่นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด การรับประทานอาหาร ที่มีกรดไขมันไลโนเลอิกประมาณร้อยละ 7-10 ของพลังงานที่ได้รับ (เช่น วันหนึ่งต้องการพลังงาน 2000 กิโลแคลอรี่ ควรได้กรดไลโนเลอิก ประมาณ 16-22 กรัม ซึ่งได้จากน้ำมันถั่วเหลือง ประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ )จะช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดได้ เพราะมีการเปลี่ยนคลอเลสเตอรอลอิสระ เป็นคลอเลสเตอรอลไลโนเลเอทเพิ่มขึ้น ทำให้มีการเผาผลาญคลอเลสเตอรอลที่ตับเพิ่มขึ้น

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล : http://www.heartandcholesterol.com

อุษา บัวบรรเทา พิเศษ ภาคค่ำ

สุดยอดเคล็ดลับหุ่นสวย

1.ลงทุนซื้อชุดสวยที่หลงรักหนักหนา (แต่ยัดตัวเองใส่ลงไปในชุดนั้นไม่ได้)นำมาแขวนไว้หน้าเตียง หรือที่สะดุดตาที่สุดเพื่อเป็นแรงเร้าหรือตัวกระตุ้นให้คุณลดน้ำหนัก อย่างจริงจังได้อย่างรวดเร็ว

2.ถ้าคุณรู้สึกตัวเองนั้นชักจะมีเนื้อหนังมากเกินไป ไขมันเริ่มสะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย จนเริ่มรู้สึกอึดอัดแล้วละก็ ลองมาทบทวนดูสิ ว่าคุณมักจะมีขนมติดไม้ติดมืออยู่ตลอดเวลา หรือไม่ถ้าคุณมักจะทำอย่างนั้นประจำ ก็ควรจะตัดใจจากขนมอร่อยๆนั้นให้ได้อย่างเด็ดขาด

3.การลดความอ้วน มีความสำคัญอยู่เพียงข้อเดียวคือ การไม่ตามใจตัวเอง

4.ตอนเย็นหลังเลิกเรียนแล้ว หากคุณต้องใช้รถประจำทาง ก็ควรเดินย้อน จากป้ายประจำของคุณไปอีก 1 ป้ายเพื่อเป็นการออกกำลังกายแถมยังได้ประโยชน์ คืออาจจะได้นั่งหรือยืนสบายๆ ไม่เบียดเสียดอีกด้วย

5.เวลามากกว่า 2 ชั่วโมง ที่ควรใช้กับหน้าจอทีวีไม่ว่าจะเป็นวันหยุด หรือวันธรรมดานั้น ไม่ควรจะนอนดูเฉยๆ ควรฝึกออกกำลังกายหน้าจอทีวีไปด้วยให้เป็นนิสัย เช่น นอนถีบจักรยานอากาศ

อาหารที่เราควรรับประทาน

ประเภทของอาหารที่ควรรับประทาน

เพื่อให้ง่ายและสะดวกต่อการปฏิบัติ จะขอแบ่งอาหาร ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ

กลุ่มที่ควรงด มีดังนี้

น้ำตาลทุกชนิด (รวมน้ำผึ้งด้วย)

ขนมหวาน เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง และขนมเชื่อมต่าง ๆ ฯลฯ

ผลไม้กวน เชื่อม บรรจุกระป๋อง ผลไม้สดที่มีเครื่องจิ้ม น้ำตาล-พริก-เกลือทุกชนิด

น้ำหวาน น้ำอัดลม รวมถึงเครื่องดื่มที่ใส่น้ำตาลเช่น ชา กาแฟ

ผลไม้รสหวานจัด เช่น ทุเรียน ขนุน ละมุด น้อยหน่า ลิ้นจี่ อ้อย ฯลฯ

กลุ่มที่ควบคุมปริมาณ คือ

อาหารพวกแป้ง ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน ขนมปัง มะกะโรนี มัน เมล็ดพืชแห้ง เช่น มะม่วงหิมพานต์ถั่วต่าง ๆ เป็นต้น

อาหารไขมันมาก เช่น ขาหมูก ข้าวมันไก่ อาหารทอดด้วยน้ำมัน อาหารกะทิ ฯลฯ

อาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง เช่น ไข่แดง หอยนางรม ฯลฯ

ผักประเภทหัวที่มีแป้งมาก เช่น หัวผักกาด ฟักทอง แครอท หัวหอม สะเดา กะเจี๊ยบ ถั่วงอกหัวโต ถั่วลันเตา หัวปลี ฯลฯ

มะละกอ ฝรั่ง สับปะรด ฯลฯ รวมทั้งผลไม้ดอง เป็นต้น

กลุ่มที่ไม่จำกัดปริมาณ ได้แก่

ผักทุกชนิด ยกเว้น ผักที่มีแป้งมาก

อาหารโปรตีนจากพืช เช่น เต้าหู้ เป็นต้น

ข้อพึงปฏิบัติในการปรับเปลี่ยนอาหาร

1. คำนึงถึงพลังงานที่ได้ตามประเภทอาหาร

2. ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน ต้องลดปริมาณลง ห้ามรับประทานของหวาน อาหารมัน ๆ

3. ให้รับประทานอาหารในปริมาณที่สม่ำเสมอ ไม่มากหรือน้อยเกินไปเพราะจะทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ยาก

4. อย่ารับประทานจุบจิบ หรือรับประทานไม่ตรงเวลา เพราะอาจเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้

5. ผู้ที่รักษาด้วยยาฉีดอินซุลินที่ออกฤทธิ์ยาว เช่น NPH หรือ monotard ฤทธิ์ยาจะอยู่ได้นาน 24 ชั่วโมง และจะออกฤทธิ์สูงสุดในตอนเย็นหรือกลางคืน อาจต้องเพิ่มอาหารว่างในตอนบ่ายและมื้อกลางคืนโดยให้แบ่งอาหารออกเป็น 4-6 มื้อด้วยปริมาณที่เหมาะสมระมัดระวังที่จะให้บางมื้อมากเกินไปด้วย

6. เลือกรับประทานอาหารที่มีกากใยมาก เช่น ข้าวซ้อมมือ ถั่วแขก ถั่วฝักยาว ผักทุกชนิด ฯลฯ

7. ผู้ที่เป็นความดันโลหิตสูงหรือโรคไตร่วมด้วยควรลดอาหารเค็ม

8. การแลกเปลี่ยนอาหาร รายการอาหารที่จะนำมาแลกเปลี่ยนกันได้ต้องเป็นรายการอาหารที่อยู่ในหมวดเดียวกัน ซึ่งให้พลังงานโปรตีนและไขมันในปริมาณใกล้เคียงกันที่แสดงไว้ในหน้า 14

9 การปรับเปลี่ยนอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับอินซุลินหรือกินยาลดน้ำตาลในกรณีพิเศษ

เมื่อมีอาการใจสั่น เหงื่อออก ให้ดื่มน้ำหวาน น้ำผลไม้ หรืออมลูกอมหวาน หากเกินปรากฎการณ์นี้ 2 วันติดต่อกันต้องลดยาลง

ในเวลาเจ็บป่วยกินอาหารตามปกติได้น้อยหรือกินไม่ได้ ก็ให้เปลี่ยนเป็นอาหารที่อยากกินแทน รวมทั้งผลไม้ ขนม หรือน้ำหวานโดยไม่ต้องงดยา หรืออาจลดยาเมื่อเกรงว่าจะมากเกินไปไม่สมดุลกับอาหาร

เมื่อต้องการออกกำลังกายหนักปานกลาง ซึ่งไม่ได้ทำประจำให้กินอาหารก่อนออกกำลังกายปริมาณไม่เกินครึ่งหนึ่งของปริมาณที่กินประจำ โดยไม่ต้องงดหรือลดกินหรือฉีดยา

10. โปรดจดจำไว้ว่า แม้ระดับน้ำตาลในเลือดจะดีแล้ว ผู้ป่วยจำเป็นต้องรับประทานอาหรที่เหมาะสมตลอดไป ขอให้ฝึกปฏิบัติจนเป็นนิสัยแล้วเรื่องการควบคุมอาหารเบาหวานก็ไม่ใช่เรื่องยาก

กระดูกหัก (Fracture/Broken bones)

กระดูกหัก เป็นภาวะที่พบได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ส่วนมากมักเกิดจากการได้รับบาดเจ็บ เช่น หกล้ม รถคว่ำ รถชน เป็นต้น ในผู้สูงอายุ กระดูกเสื่อม ผุ และเปราะ จึงมีโอกาสหักง่าย เมื่อถูกแรงกระแทกเพียงเล็กน้อย ที่พบได้บ่อยคือ กระดูกต้นขาหรือตะโพกหัก กระดูกหักแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ใหญ่ๆได้แก่

กระดูกหักชนิดธรรมดา (Simple fracture/Closed fracture) จะมีอาการกระดูกหักเพียงอย่างเดียวไม่มีบาดแผลที่ผิวหนัง และกระดูกจะไม่โผล่ออกนอกผิวหนัง

กระดูกหักชนิดซับซ้อนหรือมีบาดแผล (Compound fracture/Open fracture) จะมีบาดแผลซึ่งลึกถึงกระดูก หรือกระดูกที่หักอาจทิ่มแทงทะลุออกนอกเนื้อ ถือเป็นชนิดร้ายแรง อาจทำให้ตกเลือดรุนแรง เส้นประสาทถูกทำลาย หรือติดเชื้อได้ง่าย เป็นสาเหตุที่ทำให้สูญเสียแขนขาได้

อาการ

บริเวณที่หักมีลักษณะบวม เขียวช้ำ เจ็บปวดซึ่งจะเป็นมากเวลาเคลื่อนไหวหรือใช้มือกดถูก บางคนอาจรู้สึกเคลื่อนไหวส่วนนั้นลำบาก (ถ้าเคลื่อนไหวได้ตามปกติก็อาจหักได้เช่นกัน) หรือมีการเคลื่อนไหวผิดรูปไป แขนขาส่วนที่หัก อาจมีลักษณะผิดรูปผิดร่าง เช่น โก่งงอ หรือสั้นกว่าข้างที่ดี บางครั้งถ้าลองจับกระดูกบริเวณนั้นดู อาจได้ยินเสียงกระดูกสีกัน หรือรู้สึกกรอบแกรบ แต่กระดูกหักบางแห่ง เช่น ข้อมือ ข้อเท้า อาจมีอาการบวมและปวดเพียงเล็กน้อย จนเข้าใจผิดว่าเป็นเพียงข้อเคล็ดข้อแพลงก็ได้

อาการแทรกซ้อน ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจทำให้กระดูกที่หักต่อกันได้ไม่ดี ทำให้แขนขาโก่งได้ ถ้าเป็นกระดูกชนิดซับซ้อน อาจทำให้หลอดเลือดแดงฉีกขาด ตกเลือดรุนแรงถึงช็อกได้ หรืออาจทำให้เส้นประสาทฉีกขาดเป็นอัมพาตและชาได้ หรือไม่ก็อาจมีการติดเชื้อรุนแรง จนกลายเป็นโลหิตเป็นพิษได้ บางคนอาจติดเชื้อเรื้อรังกลายเป็นเยื่อกระดูกอักเสบเรื้อรัง (Chonic osteomyelitis)

การรักษา

ควรให้การปฐมพยาบาล เช่น ห้ามเลือด ใส่เฝือกหรือดามกระดูกส่วนที่หักไว้ ถ้าช็อกให้น้ำเกลือ แล้วส่งโรงพยาบาล ควรเอกซเรย์ดูลักษณะการหักของกระดูก แล้วให้การรักษาโดยพยายามดึงกระดูกให้เข้าที่ (ถ้าจำเป็นอาจต้องดมยาให้ผู้ป่วยสลบ) แล้วใส่เฝือกปูนพลาสเตอร์ไว้ ถ้ากระดูกต้นขาหัก บางครั้งอาจต้องให้ผู้ป่วยนอนบนเตียงแล้วใช้น้ำหนักถ่วงดึงให้กระดูกเข้าที่ ผู้ป่วยอาจต้องนอนนิ่งๆ อยู่เป็นสัปดาห์ ๆ ในบางรายอาจต้องรักษาด้วยการผ่าดัด ใช้เหล็กดามกระดูกไว้ ถ้าหากกระดูกหักแหลกละเอียด หรือมีบาดแผลเหวอะหวะ ที่อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรง อาจต้องรักษาด้วยการตัดแขนหรือขาส่วนนั้นทิ้ง เพื่อรักษาชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัยเสียก่อน เมื่อแผลหายแล้วจึงค่อยให้ผู้ป่วยใส่แขนขาเทียม ซึ่งจะช่วยให้เดินและทำงานได้

ข้อแนะนำ

กระดูกที่หักสามารถต่อกันได้เองโดยธรรมชาติการรักษาจึงอยู่ที่การดึงกระดูกให้เข้าที่ และตรึง(ดามหรือเข้าเฝือก) ไว้ อย่าให้เลื่อนจากแนวปกติ รอให้กระดูกต่อกันเองจนสนิท ซึ่งอาจกินเวลา 1 - 3 เดือนขึ้นอยู่กับอายุ(เด็กหายเร็วกว่าผู้ใหญ่) ตำแหน่งที่หัก(แขนหายเร็วกว่าขา) และลักษณะของกระดูกหัก

วิธีรักษากระดูกหักของแพทย์ มีได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับตำแหน่งและลักษณะของกระดูกหัก ถ้าเป็นกระดูกหักชนิดธรรมดา มักจะต้องดึงกระดูกเข้าที่ แล้วใส่เฝือกปูน แล้วนัดมาตรวจเป็นระยะ จนกว่าจะหายสนิท จึงถอดเฝือกออก ถ้าเป็นกระดูกหักชนิดซับซ้อน การรักษาอาจยุ่งยากขึ้น อาจต้องผ่าตัด มีผู้ป่วยเพียงจำนวนน้อยเท่านั้น ที่อาจต้องพิจารณาให้ตัดแขนหรือขาส่วนนั้นทิ้ง เนื่องจากกระดูกหักอย่างรุนแรง ปล่อยไว้อาจเป็นอันตรายถึงตายได้ ดังนั้นจึงควรอธิบายให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจ

ในปัจจุบัน ยังมีผู้ป่วยจำนวนมากที่ยังนิยมไปรักษากับหมอรักษากระดูกแผนโบราณ(มีทั้งหมอพระและหมอชาวบ้าน ซึ่งกระจายอยู่ทั่วทุกจังหวัด)ถ้าเป็นกระดูกหักชนิดธรรมดาและไม่รุนแรง ก็มักจะได้ผลดี แต่ถ้าเป็นชนิดรุนแรง กระดูกอาจต่อกันได้ แต่อาจทำให้แขนขาโก่งหรือใช้การไม่ได้ ซึ่งต้องให้แพทย์แก้ไขภายหลัง ดังนั้นจึงควรหาทางส่งเสริมให้ประชาชนและหมอรักษากระดูกแผนโบราณ มีความรู้เกี่ยวกับวิธีการรักษากระดูกของแพทย์แผนปัจจุบันให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดความร่วมมือกันในการดูแลรักษาผู้ป่วยอย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น

ชาวบ้านมักมีความเชื่อและความกลัวอย่างผิดๆเกี่ยวกับการรักษากระดูกหักของแพทย์ เช่น

เชื่อว่าใส่เฝือกปูนหนาๆ อาจทำให้เนื้อเน่าอยู่ภายในเฝือก

รู้สึกว่าการให้ผู้ป่วยนอนบนเตียงและใช้น้ำหนักถ่วงกระดูกให้เข้าที่เป็นเรื่องที่น่าทรมาน หรือไม่ก็คิดว่าแพทย์ไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้น

กลัวที่จะถูกตัดแขนตัดขา เป็นต้น ดังนั้น แพทย์ผู้รักษาควรใช้หลักจิตวิทยาในการพูดคุยชี้แจงผู้ป่วยเข้าใจในวิธีการรักษาของแทพย์

การปฐมพยาบาลกระดูกหัก

ถ้ามีเลือดออก ควรทำการห้ามเลือด ดังนี้

ถ้าบาดแผลเล็ก ควรให้ผ้าสะอาดพับทบหนาๆ หลายชั้น วางบนปากแผล แล้วใช้นิ้วหรืออุ้งมือกดห้ามเลือด หรือใช้ผ้าพันรัดให้แน่น

ถ้าบาดแผลใหญ่ และเลือดไหลรุนแรง ควรใช้ผ้า เชือกหรือสารยางรัดเหนือบาดแผลให้แน่น เรียกว่า การัดทูร์นิเคต์ ควรคลายเชือกทุกๆ 15 นาที โดยคลายนานครั้งละ 0.5 - 1 นาที ถ้าเลือดยังไม่หยุดก็รัดกระชับเข้าไปใหม่

ก่อนเคลื่อนย้ายผู้ป่วยควรทำการดามกระดูกส่วนที่หัก โดยใช้แผ่นไม้ กระดาษแข็ง กระดาษหนังสือพิมพ์พับทบหลายๆ ชั้นทำเป็นเฝือกวางแนบส่วนที่หักโดยให้ปลายทั้ง 2 ครอบคลุมถึงข้อที่อยู่เหนือและใต้ส่วนที่หัก ใช้ผ้าพันยึดไว้ไม่ให้เคลื่อนไหว ถ้าเป็นปลายแขนหรือมือให้ใช้ผ้าคล้องคอ ถ้าเป็นที่ขา อาจใช้ขาข้างที่ดีทำเป็นเฝือกแทน โดยใช้ผ้าหรือกระดาษหนาๆ วางคั่นตรงกลางขาทั้งสองข้างแล้วใช้ผ้าพันรอบขาทั้ง2 ข้างหลายๆเปราะ

ถ้ากระดูกโผล่ออกนอกเนื้อ ห้ามดึงกระดูกให้กลับเข้าที่ เพราะจะทำให้เชื้อโรคและสิ่งสกปรกจากภายนอกเข้าไปในบาดแผล ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย ควรใช้ผ้าสะอาดปิดปากแผล แล้วใช้เฝือกดาม แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลถ้าโรงพยาบาลอยู่ไกล ควรให้กินยาปฏิชีวินะ เช่น เพนวี ถ้าปวดมาก ให้กินยาแก้ปวด ถ้ามีภาวะช็อก ควรให้น้ำเกลือ

กระดูกซี่โครงหัก (Rib fracture)

กระดูกซี่โครงหัก มักเกิดจากแรงกระแทกถูกบริเวณซี่โครงโดยตรง เช่น ถูกตี ถูกเตะ หกล้มกระแทกถูกพื้นหรือมุมโต๊ะ ถูกรถชน เป็นต้น ส่วนมากจะไม่มีอาการรุนแรงและค่อยๆ หายได้เองส่วนน้อยอาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการปวดขณะก้มงอ บิดตัว หรือหายใจแรงๆ และเมื่อใช้นิ้วกดถูกเบาๆ จะรู้สึกเจ็บ ถ้ากระดูกหักรุนแรง ทิ่มแทงถูกเนื้อปอด อาจทำให้เกิดภาวะมีลมในช่องหรือปอดทะลุ หรือมีเลือดออกในช่องปอด (Hemothorex) ผู้ป่วยจะมีอาการหอบตัวเขียว ไอออกเป็นฟองเลือดสดๆ หรือช็อก หน้าอกเคาะโปร่ง (ถ้ามีลมในช่องปอด) หรือเคาะทึบ (ถ้ามีเลือดในช่องปอด) ถ้ามีบาดแผลที่ผิวหนัง ทะลุถึงในปอด จะมีลมจากภายนอกผ่านบาดแผลเข้าไปในช่องปอด ทำให้เกิดภาวะมีลมในช่องปอดได้เช่นกัน ถ้ากระดูกซี่โครงหักหลายแห่ง (มักพบในกรณีที่เกิดจากรถชน รถคว่ำ) อาจทำให้เกิด ภาวะอกรวน (Flail chest) จะมีอาการหอบ ตัวเขียว ช็อก และหายใจผิดธรรมดา คือหน้าอกส่วนนั้นจะยุบลงเวลาหายใจเข้า และโป่งขึ้นเวลาหายใจออก ซึ่งตรงกันข้ามกับหน้าอกส่วนที่ปกติ ภาวะอกรวมมักเกิดในคนอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไปมากกว่าตนหนุ่มสาว

การรักษา

ถ้ามีอาการหอบ ตัวเขียว ช็อก หรือสงสัยมีลมหรือเลือดอยู่ในช่องปอด หรือสงสัยมีภาวะอกรวน ควรส่งโรงพยาบาลด่วน ถ้ามีแผลที่ผิวหนังทะลุถึงปอด ให้ใช้ผ้าสะอาดหรือผ้าก๊อชหนาๆ ปิดอุดรูรั่ว ถ้ามีภาวะอกรวน ให้ใช้มือกดบริเวณนั้นไว้ หรือให้ผู้ป่วยนอนตะแคงให้ส่วนนั้นทับบนหมอน หรือใช้ผ้าขาวม้าหรือผ้าเช็ดตัวพับหลายๆทบ วางบนส่วนนั้น แล้วใช้ผ้าพันไว้ไม่ให้หน้าอกยุบพองอีก

ถ้ากระดูกซี่โครงหักแบบธรรมดา ไม่มีภาวะแทรกซ้อนดังกล่าว เพียงแต่รู้สึกเจ็บปวด ขณะเคลื่อนไหวหรือหายใจแรงๆ ให้นอนพักพยายามเคลื่อนไหวให้น้อย ที่สุด อย่าหายใจเข้าออกแรงๆ และให้กินยาแก้ปวด ไม่จำเป็นต้องใช้ผ้าพันหรือเข้าเฝือกรอบหน้าอก อาการเจ็บปวดจะค่อยๆดีขึ้น อาจกินเวลา 1 - 2 สัปดาห์ และอาจกินเวลาเป็นเดือนๆ กว่าจะอาการปวดจะหายขาด ถ้าอาการปวดไม่ทุเลาขึ้นใน 1 - 2 สัปดาห์ หรือมีอาการหายใจหอบ ไอเป็นเลือดสดๆ ซึดหรือสงสัยมีภาวะแทรกซ้อน ควรส่งโรงพยาบาล

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ 5001023016 (ฟาร์)

เคล็ดลับหลับสบาย..

สำรวจว่าห้องนอนอากาศถ่ายเทสะดวกหรือเปล่า

อันนี้เป็นตามหลักสุขศึกษาเบื้องต้นเลย ถ้าเปิดแอร์อุณหภูมิควรอยู่ที่ 20-25 องศาเซลเซียส แน่นอนค่ะว่าถ้าอากาศร้อนอบอ้าว ทำให้เรานอนไม่หลับกระสับการะส่าย

ก่อนเข้านอนให้อาบน้ำร้อน

เพราะจะช่วยผ่อนคลายร่างกายและใจที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามาทั้งวัน ถ้าที่บ้านมีอ่างอาบน้ำให้หยดลาเวนเดอร์หรือคาโมไมล์ลงไปสักหน่อย จะช่วยให้หลับสบายขึ้น เมื่ออาบเสร็จอย่าลืมทาโลชั่น เพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว และหาชุดนอนนุ่มสบายมาใส่

หลีกเลี่ยง ชา กาแฟ และเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์

ในตอนเย็นหรือหัวค่ำ ให้มาเลือกดื่มชาสมุนไพรย่างชาคาโมไมล์ หรือชาลาเวนเดอร์แทน หรือจะเป็นนมอุ่น ๆ ช็อกโกแลตร้อนสักแก้วก็จะทำให้หลับง่ายขึ้น

ไม่ควรรับประทานอาหารเย็นแบบใกล้เวลาเข้านอนมากเกินไป

เพราะจะทำให้กระเพาะคุณทำงานหนัก ถ้าเป็นได้คืออย่ารับประทานมื้อเย็นหลัง 1 ทุ่มเลยค่ะนอกจากนั้นขอแนะนำให้เลือกอาหารเบา ๆ ย่อยง่าย จำพวกปลานึ่งผักนึ่ง หลีกเลี่ยงพวกอาหารไขมัน เนื้อสัตว์ เครื่องเทศ และเครื่องปรุงรสจัด ๆ ค่ะ

ก่อนเข้านอนสัก 3 ชั่วโมง พยายามตัดเรื่องคร่ำเคร่งออกจากตัวจากใจ

ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะขนงานมาทำหรืออ่านหนังสือประเภทตื่นเต้น ลึกลับ เพราะนอกจากทำให้คุณวางหนังลือไม่ลงแล้ว ยังทำให้เกิดความตื่นเต้นก่อนนอนอีกแต่ให้หาเพลงเบา ๆ ฟังแทน อาจเป็นเพลงพวกนิวเอจ เพื่อการผ่อนคลาย ซึ่งเดี๋ยวนี้มีให้เลือกเยอะทีเดียว

แต่ละคนมีนาฬิกาชีวิตของคุณเอง

ลองสังเกตดูดี ๆ สิว่าคุณหิวข้าวตอนไหน และง่วงนอนตอนไหน ถ้าเกิดอาการง่วงเหงาหาวนอน หนังตาหย่อน แสดงว่าคุณต้องนอนแล้วละ ให้รีบนอนทันที เพราะถ้าเลยเวลานอนไปคุณอาจนอนไม่หลับเลย และเมื่อได้ เวลาทองของตัวเองแล้ว ก็โปรดจำไว้ และพยายามทำให้เป็น

หนาวๆร้อนๆ ดูแลสุขภาพด้วยนะคับ

เดี๋ยวไม่มีคัยมาสอนแฮนด์บอล.....หุหุ.

สุทธิรา หาญยุทธ ม. ฟาร์

6 ข้อควรจำก่อนตรวจภายใน!!!

คุณผู้หญิงหลายคนมักกังวลเมื่อต้องมีนัดกับคุณหมอสูตินารี เพื่อตรวจภายใน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับผู้หญิงอายุ 35 ปีขึ้นไป เพื่อตรวจเช็คความปกติของมดลูกและมะเร็งปากมดลูก อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง

- ทำความสะอาด ก่อนไปตรวจควรทำความสะอาดภายนอก โดยใช้สบู่ธรรมดา ไม่ต้องใส่น้ำหอม แป้ง หรือฉีดสเปร์ย์ดับกลิ่น

- ไม่ควรไปตรวจช่วงมีประจำเดือน

- ไม่ควรสวนหรือล้างภายในช่องคลอด เพราะอาจล้างเอาส่วนที่เป็นสาเหตุของโรคนั้นออกไป

- ไม่ควรโกนขน เพราะมีผลเสียต่อการตรวจได้เช่นกัน เช่น ทำให้หมอวินิจฉัยโรคทางพันธุกรรมบางอย่างไม่ได้ เพราะต้องอาศัยดูจากขนด้วย

- สวมกระโปรงหรือกางเกงหลวมๆ ที่สามารถถอดออกง่าย เพื่อความสะดวกในการตรวจ

- งดการมีเพศสัมพันธ์ก่อนตรวจ

การตรวจภายในครั้งต่อไป คงช่วยให้หลายคนสบายใจขึ้นนะค๊ะ...

น.ส.อัญชลี อินทะรส วิทย์ออก เลขที่ 64

สวัสดีค่ะ อ. กั้ม วันนี้หนูได้เข้าเว็บแล้วไปเจอบทความหนึ่ง อยากให้ อ. มาอ่านดู หนูได้บทความของกระทรวงสาธารณะสุข

โภชนาการกับการออกกำลังกาย

วัยเรียนและวัยรุ่น เป็นวัยที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว จึงจำเป็นต้อง

ได้รับอาหาร 5 หมู่ ในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตและสุขภาพ

ที่ดี อย่างไรก็ตาม การเจริญเติบโตและสุขภาพของร่างกายจะสมบูรณ์ได้ไม่เต็ม

ที่ถ้าปราศจากการออกกำลังกาย วัยเรียนและวัยรุ่นเป็นวัยที่มีกิจกรรมการเล่น และ

การออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาค่อนข้างมาก การออกกำลังกายที่เหมาะสมจะช่วย

ให้ร่างกายใช้ประโยชน์จากอาหารที่กินอย่างมีประสิทธิภาพ และกระตุ้นให้มีการ

หลั่งฮอร์โมนสำหรับการเจริญเติบโต ดังนั้นการส่งเสริมให้เด็กได้รับอาหารที่

เหมาะสมร่วมไปกับการออกกำลังกายอย่างเพียงพอจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อการ

เจริญเติบโตโดยเฉพาะความสูงและสุขภาพของเด็กทั้งในปัจจุบันและเมื่อเติบโต

เป็นผู้ใหญ่

เด็กที่ออกกำลังกายมากหรือเป็นนักกีฬา จะมีการใช้พลังงานมากกว่า

เด็กทั่วไป และมีการสูญเสียน้ำและแร่ธาตุมากขึ้น จึงควรกินอาหารที่ให้พลังงาน

อย่างเพียงพอสมดุลกับกิจกรรมที่ใช้ในแต่ละวัน โดยควรเพิ่ม ข้าวแป้ง ผลไม้

หรือน้ำผลไม้ เพื่อเพิ่มพลังงาน และดื่มน้ำให้เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องกินผลิตภัณฑ์

เสริมอาหาร หรือดื่มเครื่องดื่มประเภทเกลือแร่ และเครื่องดื่มชูกำลัง

โชติกา แจ้งกระจ่าง เลขที่5 วิทย์ออก

สำหรับคนชอบนอนดึกตื่นสายนะคะ

นอนดึกและตื่นสายช่วงวันหยุด ทำให้นาฬิกาในร่างกายถูกปรับให้สายขึ้น ส่งผลให้รู้สึกงัวเงียในช่วงเช้าวันจันทร์ ซึ่งทำให้ภาวการณ์เรียนรู้บกพร่องและขาดสมาธิ

อีกทั้งยังมีผลการวิจัยจากอีกหลายประเทศระบุชัดเจนว่า การที่เด็กหรือวัยรุ่นอดนอน นอนน้อย นอนดึก หรือนอนไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย มีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของร่างกายด้วย อาทิ รูปร่างเตี้ย ไม่แข็งแรง ความสามารถในการเรียนรู้น้อยกว่าคนที่นอนหลับอย่างเพียงพอ

เนื่องจากในระหว่างการหลับสนิท โกรทฮอร์โมนจะหลั่ง ส่งผลให้คนที่เจริญเติบโตยังไม่เต็มที่ร่างกายสูง แข็งแรง ส่วนในคนที่ร่างกายเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว จะช่วยให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แจ่มใสร่าเริง

ซึ่งช่วงเวลาโดยเฉลี่ยที่ควรนอนในแต่ละวันควรอยู่ที่ 8 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม แต่ละช่วงวัยต้องการการนอนที่แตกต่างกัน เด็กจะต้องการนอนมากกว่าผู้ใหญ่

โดยผู้เชี่ยวชาญโดยทั่วไปแนะนำให้วัยรุ่นนอนไม่ต่ำกว่าคืนละ 9 ชั่วโมง แต่ในความเป็นจริงแล้ววัยรุ่นส่วนใหญ่นอนหลับเพียงคืนละ 7 ชั่วโมงเท่านั้น ดังนั้นถ้าไม่อยาก โง่เตี้ย ขาดสมาธิ ก็จงอย่านอนดึกตื่นสายจนติดเป็นนิสัยเด็ดขาด

***ข้อมูลจากdek-d.com***

วาณิช กลิ่นบ้านหม้อ วิทย์ออก เลขที่15

วันนี้มีบทความมาฝากสาวๆที่อยากลดน้ำหนักแบบไม่เหนื่อย

สถาบันสุขภาพจิตสหรัฐฯ ออกมาแนะนำว่า หากอยากลดน้ำหนักแบบสบายๆ ให้ นอนตื่นสายขึ้นอีกวันละ 1-2 ชม. พร้อมกับยังเตือนว่า การอดนอนจะยิ่งทำให้อ้วนขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญของสถาบันอธิบายเป็นเชิงว่า เหตุที่นอนนานขึ้นจะทำให้น้ำหนักลดได้ เนื่องจากสารเลพติน สารเคมีที่ร่างกายปล่อยออกมาตอนหลับ เป็นตัวควบคุมไขมันในตัวอยู่ โดยจะคอยส่งสัญญาณเมื่อเราอิ่มให้รู้

นักวิจัยได้ศึกษาด้วยการคอยติดตามนิสัยการนอนของกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ใหญ่ วัยระหว่าง 27-40 ปี จำนวนเกือบ 500 ราย มาเป็นเวลานาน 13 ปีกว่า ระหว่างช่วงเวลาดังกล่าว พวกผู้หญิงนอน เฉลี่ยแล้วน้อยลง จาก 7.7 ชม. เป็น 7.3 ชม. ในขณะ ที่ฝ่ายชาย จาก 7.1 ชม. เหลือแค่ 6.9 ชม. และทั้งหมดพากันมีน้ำหนักเฉลี่ยเพิ่มขึ้นคนละ 5 ปอนด์

ในเวลาเดียวกัน ดร.สัญชัย ปาเตล ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการนอน โรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด ให้ความเห็นว่า มีสารเคมีและฮอร์โมนหลายชนิด ทำหน้าที่คอยควบคุมความหิว และการเพิ่มของน้ำหนักตัวอยู่ "หากเรานอนนานขึ้นสักชั่วโมงหรือสองชั่วโมง จะไปกระทบสิ่งเหล่านี้ได้อย่างมาก" อย่างเช่น เคยพบในการศึกษาที่แล้วมาว่า อาสาสมัครที่ถูกทำให้อดนอน จะมีระดับของเลพตินลดต่ำลงอย่างชัดเจน "การทำให้มันมีระดับต่ำลง อาจจะทำให้ความหิวเพิ่มขึ้น"

(ที่มา teenee.com) (หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ)

*** เคล็ดลับการรักษาสุขภาพเบื้องต้น ***

ความลับของการมีสุขภาพดีและยืนยาวได้ ไม่ได้อยู่ที่การได้กินยาอายุวัฒนะจากท้องทะเลลึก หรือการใช้สารสกัดจากดอกไม้ล้านปีแห่งยอดเขาหิมาลัย หรือการดื่มโสมพันปีจากเทือกเขาลี้ลับ แต่ได้จากการดำรงชีวิตและการกินอยู่อย่างง่าย ๆ เพียงไม่กี่อย่างในชีวิตประจำวันเท่านั้นก็สามารถที่จะทำให้ความสุขอยู่กับสุขภาพดี มีพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย หรือเป็นโรคฮิตที่นำความพิการและความจำกัดมาสู่ชีวิต

เป็นเรื่องน่าสนใจที่การศึกษาเกี่ยวกับสุขภาพดีจำนวนมากมักจะแสดงผลที่บ่งชี้ ให้เห็นถึงการปฏิบัติง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างหนึ่งของการศึกษาที่โด่งดังมีผลการศึกษาเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในกลุ่มนักวิชาการสาธารณสุข คือ การศึกษาของ น.พ.เบลล็อค และ เบรสโล จากแคลิฟอร์เนีย ได้ศึกษาถึงปัจจัยที่ทำนายความยืนยาวของอายุและปัจจัยส่งเสริมให้มีสุขภาพดี 7 ประการ โดยพบว่า หากเราได้ปฏิบัติสิ่งเหล่านี้จริงจัง จะส่งผลดีต่อสุขภาพและมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น

*** ปัจจัยดังกล่าวประกอบด้วย ***

1) นอนหลับวันละ 7-8 ชั่วโมง

2) รับประทานอาหารเช้าเป็นประจำ

3) ไม่รับประทานอาหารจุกจิกระหว่างมื้อ

4) รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

5) ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

6) ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ งดดื่มแอลกอฮอล์

7) ไม่สูบบุหรี่

จะเห็นว่าพฤติกรรมสุขภาพเหล่านี้ ทุกคนสามารถทำได้ตลอดเวลาทุกสถานที่และทุกฐานะ สิ่งที่คุกคามสุขภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนเรา ปัจจุบันนี้จึงไม่ได้อยู่ที่การขาดวิตามิน หรือ สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ แต่เกิดจากการประเมินค่าความสำคัญของการปฏิบัติที่สุขภาพดีต่ำเกินไป จึงมีคนนำข้อควรปฏิบัติไปใช้ในชีวิตประจำวันน้อยจนถึงไม่สนใจเลย ในบางตัวอย่างหรือปัจจัยที่ได้จากการศึกษาที่กล่าวถึงประการหนึ่งในชีวิตประจำวัน หากเราสามารถทำได้จนเป็นนิสัยแล้ว จะก่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ จะทำให้เห็นความแตกต่างของพละกำลังกับความอ่อนเพลีย

ระหว่างความสดชื่นกับความหดหู่ ระหว่างสุขภาพและความเจ็บป่วย คือ การดื่มน้ำอุ่น 1-2 แก้วหลังตื่นนอนตอนเช้า เหตุผลคือ ในตอนกลางคืนขณะหลับอุณหภูมิของร่างกายลดลง เลือดจะถูกดึงจากแขน-ขา หรือเรียกว่าส่วนปลายของร่างกายเข้าสู่ส่วนกลางอันเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกายและผิวหนัง การดื่มน้ำอุ่น 1-2 แก้วหลังตื่นตอนจะส่งผลให้มีการแผ่กระจายตัวของอุณหภูมิ ทำให้เส้นเลือดส่วนปลายซึ่งหดเล็กลงในตอนกลางคืนขยายตัวออก ช่วยให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น และทำให้ผิวหนังอุ่นขึ้น เหตุผลอีกอย่างที่สำคัญคือ ช่วยลดภาวะท้องผูกโดยเฉพาะสตรีตั้งครรภ์และผู้สูงอายุ ที่มักจะประสบภาวะท้องผูก การดื่มน้ำอุ่นในตอนเช้า จะกระตุ้นการทำงานโดยเฉพาะ การเคลื่อนไหวของลำไส้ ช่วยให้การขับถ่ายได้สะดวก ผลระยะยาวจะทำให้เกิดความสดชื่น มีการทำงานที่ดีของร่างกาย กระเพาะอาหาร และลำไส้มีความพร้อมในการทำงาน คือการย่อยและดูดซึมเมื่อถึงมื้ออาหาร ผู้ที่ปฏิบัติอยู่เป็นประจำจะบอกได้ถึงความแตกต่างที่กล่าวถึง

การเริ่มต้นดื่มน้ำอุ่นในตอนเช้าของคนที่ไม่เคยปฏิบัติมาก่อน อาจจะเริ่มด้วยการดื่มน้ำอุ่นแก้วเล็ก ๆ แล้วค่อยเพิ่มปริมาณขึ้น จนได้ขนาดแก้วละ 250 ซีซี หรือมากกว่า ถ้ายังทำไม่ได้ตามแผน อาจจะต้องเขียนโน้ตติดไว้หน้ากระจกเตือนตัวเองว่าวันนี้คุณดื่มน้ำหรือยัง หรือจะให้น่าดื่มและเชิญชวนให้ดื่มได้มากขึ้น อาจจะบีบน้ำมะนาวลงไปเล็กน้อย หรือจะเป็นชาสมุนไพรก็ไม่มีข้อห้ามแต่อย่างใด

แค่นี้คุณก็มีสุขภาพดีได้ตั้งแต่ตอนเช้า ลองหันมาปฏิบัติอย่างจริงจังทุกวัน แล้วเพิ่มข้อปฏิบัติอื่น ๆ ที่กล่าวไว้ติดตามมาก็จะทำให้คุณมีสุขภาพดี อายุยืนยาว ไม่ต้องหันไปพึงยาหรือสารสกัดใดให้เสียเงินโดยไม่จำเป็น........

นางสาว เลปวรรณ จันต๊ะคาด (ม.ฟาร์อีสเทอร์น)

กลุ่มคนอ้วนหรือมีน้ำหนักเกิน

คำแนะนำ

-การควบคุมน้ำหนักจะต้องรับประทานอาหารให้พลังงานที่ได้รับและใช้ไปเกิดความสมดุล

-การลดน้ำหนักจะต้องค่อยลดพลังงานที่ได้รับจากอาหารโดยที่ไม่ขาดสารอาหาร และเพิ่มการออกกำลังกาย

-สำหรับเด็กที่มีน้ำหนักเกินจะต้องปรึกษาแพทย์ดูแล ก่อนการจำกัดอาหาร

-สำหรับคนท้องต้องควบคุมน้ำหนักอย่าให้เกิน

-สำหรับคนทั่วไปที่มีโรคจะต้องปรึกษาแพทย์ก่อนการควบคุมอาหาร

การจัดการเรื่องน้ำหนัก

ปัญหาเรื่องคนอ้วนหรือน้ำหนักเกินเป็นปัญหาทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย นอกจากนั้นยังว่าว่าเด็กและเด็กวัยรุ่นมีปัญหาเรื่องน้ำหนักเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคเรื้องรังต่างๆตามมา คนที่มีน้ำหนักเกินมักจะเกิดจากพฤติกรรมในการรับประทานอาหารที่มากเกินไป และพฤติกรรมในการออกกำลังกายน้อยเกินไป ลำพังการลดปริมาณวันละ 100 กิโลแคลอรีก็จะป้องกันน้ำหนักเพิ่ม หรือลดปริมาณลงวันละ 500 กิโลแคลอรีก็จะทำให้น้ำหนักลดลงได้ แต่การลดน้ำหนักโดยให้ลดอาหารเป็นเรื่องยากจึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใส่น้ำตาล หรือการรับประทานอาหารมัน หรือเครื่องดื่ม คำแนะนำสำหรับการลดน้ำหนัก

-การรักษาน้ำหนักให้ดีต้องปรับพลังงานที่ได้จากอาหารที่รับประทาน ให้สมดุลกับพลังงานที่เราใช้(น้ำหนักเท่าเดิม)

-การป้องกันน้ำหนักเกินทำได้โดยการลดปริมาณอาหาร ลดน้ำตาล และเพิ่มการออกกำลังกาย

วุ้นลูกตาเสื่อม (Vitreous degeneration) **ตอนแรกนึกว่าวุ้นในลูกตาลเชื่อมเหอะๆ**

เนื่องด้วยปัจจุบัน ได้มีร้านอินเตอร์เน็ตหรือร้านเกมส์เยอะและมีคนเล่นเกมส์และเน็ตเป็นเวลานาน รวมถึงคนที่ทำงานที่ต้องอยู่หน้าคอมเป็นเวลานาน ควรพึงระวังไว้เกี่ยวกับโรคภัยที่จะตามมากับการอยู่หน้าคอมเป็นระยะเวลานานๆ

เตือนคนที่ใช้คอมพิวเตอร์บ่อย ไม่ว่าจะใช้เล่นเกมส์ หรือใช้ว่าทำงานลองอ่านดูนะ แล้วก็ดูแลตัวเองด้วย ตอนนี้ในประเทศไทยมีคนเป็นโรค "วุ้นในลูกตาเสื่อม" ถึง 14 ล้านคนแล้วครับจากข้อมูลทางหนังสือพิมพ์?? นี่เฉพาะแค่ที่มีข้อมูลบันทึกไว้นะครับ คนที่ไม่รู้ตัวเองว่าตัวเองก็เป็นจะมากขนาดไหน

ผมคิดว่า ในขณะที่คุณอ่านข้อความของผมนี้จากทางเนตบางคนก็เป็นแต่ไม่รู้ตัวครับ

อาการก็คือ : คุณจะเห็นเป็นคราบดำๆ เหมือนยักใย่ ลอยไปลอยมา เหมือนคราบที่ติดกระจกน่ะครับ จะเห็นชัดก็ต่อเมื่อ คุณมองไปยังภาพแบล็คกราวนด์ที่มีสีสว่าง เช่น ท้องฟ้าขาวๆ ฝาห้องขาวๆ ฝาห้องน้ำขาวๆ จะเห็นเป็นคราบดำๆ ลอยไปลอยมา ถ้าอาการมากกว่านั้นก้อคือ ประสาทตาฉีกขาด คุณจะมองเห็นแสงแฟลชในที่มืด ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา (น่ากลัวมากๆ) และถึงขั้นนี้จะต้องผ่าตัด (ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันว่าจะดีเหมือนเดิม จะตาบอดหรือไม่ ?)

สาเหตุของโรคนี้คือ : การใช้สายตามากเกินไป (เล่นคอม)

แต่ ก่อนโรคนี้จะเกิดกับผู้สูงอายุ หรือ คนที่มีอาชีพใช้สายตามากๆ เช่น ช่างเจียรไนเพชรพลอย ที่ต้องใช้สายตาเพ่งมากๆ แต่เดี๋ยวนี้คนเป็นโรควุ้นในลูกตาเสื่อมกันมากเพราะ เล่นเนต หรือ เล่นคอม

คุณฟังไม่ผิดหรอกครับ เดี๋ยวนี้คนเป็นโรคนี้กันมากเพราะเล่นคอมนี่แหละ ถาม ว่าทำไม คนเล่นเนต เล่นคอม ถึงเป็นกันมาก? ไม่ว่าคุณจะเล่นเนต,เล่นเกมส์,อ่านไดอารี่,อ่านบทความ,อ่านหนังสือ หรืออะไรก็ตาม ที่อยู่บนจอคอมพิวเตอร์ ล้วนทำให้สายตาคุณเสียได้ทั้งสิ้น เพราะว่า ถ้าคุณอ่านหนังสือที่เป็นแผ่นกระดาษธรรมดาๆ ระยะห่างระหว่าง ลูกตา กับ ตัวหนังสือ จะคงที่แน่นอน เพราะขอบของตัวหนังสือจะคมชัด ทำให้สมองกะระยะโฟกัสได้ถูกต้องแน่นอน กล้ามเนื้อและประสาทตา จึงทำงานค่อนข้างคงที่

แต่ ! ตัวหนังสือบนจอคอมพิวเตอร์นั้น มีลักษณะเป็นจุดๆ ประกอบกัน เหมือนแขวนลอยบนจอ ขอบของตัวหนังสือไม่ชัด สมองจะสับสนในการปรับระยะโฟกัส (เพราะจอแก้ว จะมีความหนาของแก้ว แต่เรามองผ่านมันไป และจอ LCD เราก้อต้องมองผ่านเข้าไปเหมือนกัน ตัวหนังสือมันไม่ได้ติดอยู่ด้านบนเหมือนอยู่บนแผ่นกระดาษ การปรับระยะโฟกัสจึงไม่แน่นอน )

บวก กับลักษณะการอ่านหน้าหนังสือในคอมนั้น จะต้องใช้เม้าส์จิ้ม ลากแถบด้านข้างจอ เพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือขึ้นลง เพื่อจะอ่านบรรทัดด้านล่างได้ หรือไม่ก็ใช้ลูกหมุนที่อยู่บนเม้าส์ หมุนเพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือ แต่การเลื่อนบรรทัดนี้ มันไม่เหมือนกับการอ่านหนังสือจากแผ่นกระดาษที่แขนกับคอ จะปรับการมองขึ้นลงโดยอัตโนมัติ มีระยะที่แน่นอน สัมพันธ์กัน

แต่ ว่าการเลื่อนบรรทัดด้วยแถบด้านข้างหรือลูกกลิ้งบนเม้าส์นั้น มันจะมีลักษณะการเลื่อนแบบกระตุกๆ (คุณสังเกตุดู) มันจึงทำให้ปวดตามากๆ เพราะลูกตาจะต้องลากลูกตา เลื่อนตามบรรทัดที่กระตุกๆ นั้นไปตลอด บวกกับ การพิมพ์ตัวหนังสือนั้นบางที คุณต้องก้มเพื่อมองนิ้วว่ากดตำแหน่งบนแป้มพิมพ์ถูกตัวอักษรหรือไม่ ทำให้เดี๋ยวก้ม เดี๋ยวเงย ลูกตาปรับโฟกัสบ่อยเกิน ทำให้ลูกตาทำงานหนัก กว่าจะพิมพ์งานเสร็จคุณจะปวดตามากๆ

อย่างเด็กนักศึกษา เร่งพิมพ์รายงานส่งอาจารย์ ติดต่อกันข้ามคืน สองสามวัน ตาจะปวดมากๆ รวมทั้งเวลาการเปิดโปรแกรม word ในการพิมพ์ตัวหนังสือมักจะมีสีพื้นที่เป็นสีสว่าง (ที่นิยมก็คือ ตัวหนังสือดำ พื้นสีขาว ) สีพื้นที่สว่างขาวจ้า นี่เอง ทำให้ตาคุณจะเกิดอาการแพ้แสง ถ้ามีการพิมพ์ติดต่อกันนานๆ เพราะจ้องจอสีขาวนานเกินไป หรือไม่ก็ในคนที่ชอบเล่นเกมส์บ่อยๆ มักจะมีการปรับแสงสว่างให้จ้าที่สุด

เพราะ เวลาเล่นเกมส์ ภาพพื้นหลังของเกมส์มักจะมืดๆ เป็นสีกำแพง เป็นสีปราสาท มันจะให้สีสวยสดดี แต่การทำแบบนี้มีข้อเสียคือ บางทีคุณหรือพี่น้องของคุณมาใช้คอมเครื่องนั้นต่อ จะทำให้บางครั้งลืมปรับความสว่างกลับมาให้มืดเหมือนเดิม จากที่แค่สว่างพอที่จะพิมพ์รายงาน กลายเป็นจ้องจอสว่างจ้าตลอดคืนไม่รู้ตัว สรุปก็คือ

1. การมองตัวหนังสือที่แขวนลอยอยู่ในจอ โฟกัสไม่แน่นอน กล้ามเนื้อลูกตาทำงานหนัก "ทำให้สายตาเสีย"

2. การเลื่อนตัวหนังสือและแถบบรรทัด ในหน้าคอม หรือ หน้าเนต มันจะเลื่อนแบบเป็นกระตุกๆ ทำให้สายตาเสีย การกระตุกๆ ของแถบบรรทัดนี่เองที่ทำให้สายตาเสีย ถ้าคุณอ่านหนังสือจากเวปมากๆ คุณจะติดนิสัยเสียอย่างนึงติดตัวไปคือ คุณจะติดนิสัย มองอะไรก็ตาม ไม่ว่าใกล้ไกล จะปรับโฟกัสมองเพ่งอยู่เสมอ ผลก็คือ กล้ามเนื้อตาทำงานหนัก คุณจะเริ่มมองของที่อยู่ไกลๆ เบลอๆ คุณจะไม่สามารถปรับโฟกัส มองของใกล้ แล้วมองไกล ได้ทันทีเหมือนเคย (กล้ามเนื้อประสาทลูกตาจะล้า การปรับโฟกัสลูกตาเริ่มช้าลง)

3. การก้มๆ เงยๆ มองแป้นพิมพ์ และมองจอคอม กลับไปกลับมา "ทำให้สายตาเสีย"

4. การปรับจอภาพที่มีแสงสว่างจ้า มากเกินไปโดยไม่รู้ตัว "ทำให้สายตาเสีย" ข้อนี้คล้ายๆ กับการเปิดดูทีวีในห้องมืดๆ เป็นประจำ แล้วทำให้สายตาเสียน่ะเอง อย่างเดียวกัน

5. การใช้จอคอม ที่มีความกว้างมากเกิน จอคอมกว้างๆ นั้น เหมาะสำหรับการดูภาพดูหนัง แต่ไม่เหมาะกับการดูตัวหนังสือ เพราะว่า สายตาคนเรานั้นมีระยะการมองตัวอักษรที่ 1 ฟุต (12 นิ้ว) แต่จอคอมสมัยใหม่ กลับมีความกว้าง 17 นิ้ว 19 นิ้ว หรือมากกว่านั้น ซึ่งมันกว้างเกินระยะกวาดสายตามอง จากขอบหนึ่งไปสู่อีกขอบหนึ่ง (ทำให้ปวดทั้งคอ ทั้งลูกตา) แค่คุณนั่งอ่านหนังสือบนจอกว้างแบบนี้หนึ่งชั่วโมง ลูกตาคุณจะทำงานปรับโฟกัส กลับไปกลับมาเป็นพันๆ ครั้ง และถ้าเป็นปี หรือ หลายปี ติดต่อกัน สายตาคุณเสียแน่นอน เพราะฉะนั้น ถ้าคุณจะอ่านหนังสือจากจอคอมขนาดของจอคอมของคุณต้องไม่เกิน 15 นิ้ว

ถาม กลับไปว่า ทำไม กระดาษเอกสารที่ใช้ในการอ่าน การเขียนทั่วไป จึงมีขนาด A4 ? (คำตอบ ก็คือ ความกว้างของกระดาษ A4 ไม่กว้างเกินไป กำลังพอดี ในการกวาดสายตามอง ยังไงล่ะครับ)

และ เป็นคำตอบเดียวกับที่ว่า ทำไมขนาดของจอคอมคุณที่จะเอามาอ่านหนังสือ ไม่ควรเกิน 15 นิ้ว นั่นเอง ส่วนมากคนทั่วไป มักจะคิดไม่ถึงว่า การเล่นคอมทุกวัน ง่ายๆ นั้น จะเป็นสาเหตุ ที่สามารถทำให้ตาบอดได้ ถ้าเกิดรุนแรง เพราะกว่าจะรู้ตัวไปหาหมอ หมอก็อาจจะบอกว่าคุณไม่สามารถรักษาหายได้แล้ว และต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเท่านั้น!!!

ผม จึงอยากจะฝากประโยคเอาไว้ให้คนที่เล่นคอมทุกคนว่า คอมพิวเตอร์นั้น มีไว้สำหรับการค้นหาข้อมูล ไม่ได้มีไว้สำหรับการอ่านเป็นประจำ โดยเฉพาะการอ่าน อะไรก็ตามที่ยาวๆ เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นไดอารี่ หนังสือบนเนต คุณเสี่ยงทั้งนั้น เพราะฉะนั้น เราควรจะกลับมาอ่านหนังสือกระดาษกันเหมือนเดิม ลืมเรื่องเล่นเนต เล่นคอมซะ เพื่อสุขภาพตา

ปกติ ที่เห็นใยแมงมุมดำๆ (เรียกว่า Floaters) เป็นผลจากการเสื่อมสลายของวุ้นในลูกตาจนเกิดเป็นตะกอนข้างใน ไม่ได้เป็นอันตรายครับ เมื่อเวลาผ่านไปตะกอนจะค่อยๆ ลอยออกจากลานสายตาไปอยู่บริเวณขอบๆ มากขึ้นจนเราจะไม่สังเกตเห็นมันไปเอง แต่คนที่เริ่มมีอาการเห็นแสงกระพริบ (Flashing) นั้นน่าสงสัยว่าอาจมีจอประสาทตาลอก (Retinal detachment) หรือวุ้นลูกตาลอก (Posterior vitreous detachment)

คนที่เพิ่งจะเริ่มสังเกตเห็นอาการนี้เป็นครั้งแรก แนะนำให้ไปพบจักษุแพทย์ครับ เพื่อตรวจดูว่าเริ่มมีจอประสาทตาลอก/วุ้นลูกตาลอกแล้วหรือยัง ถ้าแพทย์บอกว่ายังไม่มี เป็นแค่วุ้นลูกตาเสื่อมธรรมดา ก็สบายใจได้ แต่ไม่ใช่สบายจนลืมระวังตัวนะครับ ต้องคอยสังเกตตัวเองด้วยว่าถ้าเห็น Flashing กับ Floater ปริมาณมากกว่าเดิมแบบเฉียบพลัน ควรกลับไปพบแพทย์อีกครั้งครับ

ในคนปกติจะมีการเสื่อมสลายของวุ้นลูกตาอย่างช้าๆ อยู่ตลอดเวลาครับ แต่จะมีอาการเร็วหรือช้าก็ขึ้นกับปัจจัยเสี่ยงของแต่ละคนอีก

คนที่มีสายตาสั้นมากๆ

เคยมีประวัติกระทบกระเทือนลูกตาอย่างรุนแรง

เคยมีการอักเสบหรือติดเชื้อภายในลูกตา

เคยได้รับการผ่าตัดต้อกระจก

คนที่มีวุ้นลูกตาลอกหรือจอประสาทตาลอกมาแล้วข้างหนึ่ง

คนที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรควุ้นลูกตาเสื่อมหรือจอประสาทตาลอก

คนเหล่านี้ก็จะมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดการเสื่อมสลายของวุ้นลูกตาได้เร็วกว่าคนทั่วไป

การป้องกัน

จาก ที่ได้อ่านที่ดอสโพสไว้ การใช้สายตาให้น้อยลงก็อาจเป็นหนทางหนึ่งที่ป้องกันการเกิดได้นะ แต่ว่าในบทความของต่างประเทศส่วนใหญ่จะไม่ได้กล่าวถึงส่วนนี้ การป้องกันที่ดีที่สุดคือ การรู้จักอาการของโรค และระวังตัวเองอยู่เสมอ เมื่อเริ่มสังเกตเห็น Flashing หรือ Floaters ก็ควรพบจักษุแพทย์ทันทีเพื่อตรวจให้แน่ใจว่าไม่มีจอประสาทตาหรือวุ้นลูก ตาลอกเกิดขึ้น เป็นการป้องกันไม่ให้โรคดำเนินไปถึงจุดที่อันตรายนั่นเอง

การ เห็น Floater ถือเป็นความผิดปกติ นะครับ แต่การที่เพิ่งมองเห็นเป็นครั้งแรก ปริมาณไม่มากนัก และได้พบจักษุแพทย์เพื่อยืนยันแล้วว่าไม่มีการเกิดจอประสาทตาหรือวุ้นลูกตาล อก เป็นเพียงแค่วุ้นลูกตาเสื่อม นี่คือไม่อันตรายครับ

แต่ ถ้าเห็นFloater หรือ Flashing ปริมาณมากขึ้นกว่าเดิม อันนี้ต้องเริ่มสงสัยครับว่าโรคได้ดำเนินต่อไปถึงขั้นที่มีการลอกแล้วหรือ เปล่า ถ้าปล่อยไว้นานโดยไม่ใส่ใจถึงปริมาณที่เพิ่มขึ้นอยู่ อาจเป็นอันตรายได้ ซึ่งต้องรีบพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจครับ

การป้องกันปัญหาสุขภาพจากการใช้คอมพิวเตอร์

จาก การที่เราๆ ท่านๆ ต้องทำงานเกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์เวลานานๆ แน่นอนย่อมมีผลเสียกับ สุขภาพ ซึ่งมักจะมีอาการปวดตาและเมื่อยล้าของนัยน์ตาก็คงจะเคยเกิดกับผู้ที่ทำงาน หรือใช้งานคอมพิวเตอร์ ซึ่งจักษุแพทย์ได้พบว่ามีหลายๆ สาเหตุที่ทำให้นัยน์ตาต้องเสี่ยงภัยจากเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นผลทำให้เกิดอาการปวดตา ฉะนั้นจึงขอแนะนำการป้องกันปัญหาสุขภาพจากการใช้ คอมพิวเตอร์ ดังนี้

1. นั่งในท่าที่เหมาะสม และห่างจากจอคอมพิวเตอร์ประมาณ 20-30 นิ้ว

2. จอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 20-26 องศา

3. จัดเอกสารที่ต้องใช้ดูประกอบไว้ใกล้กับจอเครื่องคอมพิวเตอร์จะได้ลดการส่าย ศีรษะไปมามาก และลดการเปลี่ยนระยะการดูของสายตาในระยะที่ต่างกันมาก

4. จัดแสง และแสงสะท้อนจากจอให้ลดลงในระดับที่ตาเรารู้สึกสบาย

5. อย่าให้มีฝุ่นเกาะจอคอมพิวเตอร์ ควรทำความสะอาดเสมอ

6. พักสายตา พักอิริยาบถทุกๆ 20 นาที เพื่อป้องกันตาเมื่อย

7. กะพริบตาบ้าง ถ้ารู้สึกแสบตา หรือใช้น้ำตาเทียมหยดเป็นครั้งคราว

8. จอภาพคอมพิวเตอร์ต้องโฟกัสชัดเจน ตัวหนังสือภาพในจอให้ปรับให้ชัดเสมอ

9. ผู้ ที่มีอายุเกิน 40 ปี และจำเป็นต้องใช้แว่นอ่านหนังสือ ควรใช้แว่นอ่านหนังสือที่เหมาะสม และไม่ควรใช้แว่น 2 ชั้น หรือแว่นไม่มีชั้น เพราะจะทำให้ต้องเงยหน้าอ่านข้อความในจอตลอด ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้ปวดต้นคอเพิ่มขึ้น

การทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ล้วนแล้วแต่ส่งผลเสียหายให้กับดวงตาของ เรา ฉะนั้นนัยน์ตาของคนเรานับว่ามีค่ายิ่งควรแก่การทนุถนอมไว้ โดยการหลีกเลี่ยงต้นเหตุ และป้องกันปัญหาสุขภาพไว้ ในระหว่างทำงานอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือวิธีการอื่นๆ เพื่อช่วยให้ดวงตาอยู่กับเราตราบนานเท่านานตลอดไป

ขอบคุณคห.ที่162. สิรพล 50 มากเลยค่ะ ช่วยเตือนสติดิฉันให้ระวังตัวมากขึ้นกว่าเก่า เพราะดิฉันเองก็ทำงานหน้าจอคอมเป็นเวลานานๆเหมือนกัน จนน้ำตาแห้งต้องหยอดน้ำตาเทียมค่ะ

การรักษารากฟัน คืออะไร???

ที่แผนกทันตกรรม โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง

“หมอๆ ผมปวดฟัน จะมาอุดฟัน”

หมอตรวจดูในปาก พบว่าฟันกรามที่คนไข้ชี้ให้ดูมีรอยผุใหญ่และลึก ทะลุโพรงประสาทฟันแล้ว ลุงให้ประวัติว่ามีอาการปวดมาหลายสัปดาห์แล้ว ปวดๆหายๆ เคี้ยวอะไรไม่ค่อยได้ พอหมอลองเคาะฟัน ลุงก็บอกว่าเจ็บ

“ลุงครับ ฟันของลุงผุลึกขนาดนี้ อุดเฉยๆไม่ได้แล้วครับ ถ้าจะให้หายปวดมี 2 วิธีคือรักษารากฟัน หรือไม่ก็ถอนฟันออก”

ลุงทำหน้างง

“โธ่ อุดไม่ได้เหรอหมอ ลุงไม่อยากถอน ไม่อยากฟันหลอ ว่าแต่รักษารากฟัน มันคืออะไรเหรอหมอ”

รักษารากฟัน ( Root canal treatment )

ปกติฟันของคนเรา ประกอบด้วยส่วนต่างๆ3ชั้น

ชั้นแรกคือชั้นเคลือบฟัน (Enamel) มีลักษณะแข็ง เงา เป็นชั้นที่อยู่นอกสุด ถ้าฟันชั้นนี้ผุมักไม่มีอาการใดๆ ถ้าแปรงฟันได้สะอาด ใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์อย่างสม่ำเสมอ รอยผุอาจหยุดอยู่เพียงชั้นนี้ได้

ชั้นที่สอง ชั้นเนื้อฟัน (Dentin) มีลักษณะนิ่มกว่าชั้นเคลือบฟัน เป็นชั้นที่ไวต่ออุณหภูมิและการสัมผัส ถ้าฟันผุถึงชั้นนี้มักมีอาการเสียว เช่นเสียวตอนดื่มน้ำเย็น เสียวตอนแปรงฟัน หรือเสียวตอนกินอาหารหวาน ถ้าฟันผุถึงชั้นนี้สามารถอุดเติมส่วนที่ผุได้

ชั้นที่สาม ชั้นโพรงประสาทฟัน (Dental pulp) เป็นชั้นที่อยู่ในสุด ลักษณะเป็นช่องว่าง มีเส้นเลือดเส้นประสาทมาเลี้ยงฟัน ถ้าฟันผุถึงชั้นนี้ จะมีอาการปวด และหากมีการติดเชื้อภายในฟัน สารพิษจากเชื้อโรคจะถูกกักภายในฟันจนเกิดหนอง และอาจทำให้ปวดมาก หรือมีอาการเหงือกบวม แก้มบวมได้

และอีกกรณีคือฟันที่ถูกกระแทกจากอุบัติเหตุ แรงกระแทกอาจทำให้เส้นเลือดที่มาเลี้ยงฟันขาด ฟันที่ไม่มีเลือดมาเลี้ยงจะเรียกว่าฟันตาย อาจเกิดอาการปวดได้เช่นกัน

วิธีรักษาฟันที่ผุถึงชั้นนี้จึงมี2วิธี คือ 1.ถอนฟันออก เพื่อกำจัดแหล่งเชื้อโรค หรือ 2. รักษารากฟัน เพื่อเก็บฟันไว้

เผยเคล็บลับสุขภาพดีด้วย7อ.

ปัจจุบัน ต้องยอมรับว่า คนไทยมีความตื่นตัวกับกระแสดูแลสุขภาพกันค่อนข้างมาก ด้วยความเชื่อผสมกับความหวังที่ว่า เมื่อใดที่ตัวเลข(อายุ)เพิ่มสูงขึ้นใบหน้ายังดูอ่อนกว่าวัย ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง รวมถึงสามารถป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้อีกด้วย ทว่า คำถามที่มักเกิดขึ้นอยู่เสมอๆ ก็คือ ทำอย่างไรถึงจะทำให้สุขภาพแข็งแรงและไม่เจ็บไข้ได้ป่วย

น.พ.อารีย์ วชิรมโน ผู้เชี่ยวชาญการแพทย์ทางเลือก ให้คำแนะนำว่า ปัจจุบันทางการแพทย์มีความเจริญก้าวหน้า ส่งผลให้คนไทยมีอายุยืนขึ้นจากเดิมเฉลี่ยที่ 60 ปีต้นๆ แต่ขณะนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 70 ปี อย่างไรก็ดี การที่มีอายุยืนยาวเพิ่มขึ้นกลับต้องเผชิญปัญหาโรคภัยที่มากขึ้นตามไปด้วย

บางรายถูกคุกคามหนักจนรู้สึกท้อแท้แล้วไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไป ซึ่งแน่นอนว่า ยิ่งท้อแท้มากเท่าไหร่มหัตภัยร้าย ยิ่งเข้ามากัดกร่อนบั่นทอนร่างกายและจิตใจเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ผู้ที่ป่วยต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ เพราะถ้าใจเข้มแข็งโรคจะค่อยๆ ถอยออกไปทีละน้อยๆ จนหายไปในที่สุด

ทั้งนี้ เคล็ดลับในการดูแลสุขภาพให้มีอายุยืนพร้อมกับความสุขนั้น น.พ.อารีย์บอกว่า ต้องประกอบไปด้วย 7 อ. ได้แก่ 1. อิทธิบาทสี่ 2 . อารมณ์ 3. อากาศ 4. อาหาร 5. ออกกำลังกาย 6. เอนกาย และ 6. เอาพิษออกจากร่างกาย

สำหรับ 2 อ คือ อิทธิบาทสี่ กับ อารมณ์ เกิดจากจิต เป็นความรู้สึกนึกคิดภายในจิตใจ ถ้าคิดในเชิงบวกจะไม่มีปัญหาต่อสุขภาพแต่อย่างใด แต่วันใดคิดในแง่ลบหรือมีอารมณ์โกรธขึ้นมาเมื่อไหร่จะมีผลต่อสุขภาพทันที เนื่องจากร่างกายมีการกลั่นโฮโมนบางชนิดขึ้นแล้วโฮโมนนี้กลับมาทำร้ายตัวเอง

ดังนั้น สิ่งที่ควรฝึกปฏิบัติคือ ปรับพฤติกรรมยิ้มแย้มแจ่มใส หัวเราะ ร่าเริง ละเว้นอารมณ์โกรธ เพราะอารมณ์โกรธนั้นกลับมีผลร้ายต่อสุขภาพตัวเอง " บางคนโมโหมากจนกระทั่งความดันขึ้น เบาหวานขึ้น หรือบางรายนอนต้องล้มหมอนนอนเสื่อ"

ส่วน อ อากาศ น.พ.อารีย์ กล่าวว่า คนเราไม่กินอาหารได้ 40-50 วัน อดน้ำได้ 3-5 วัน แต่ขาดอากาศเพียง 8-10 นาที หากสังเกตให้ดีๆ จะพบว่าอากาศมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต ดังนั้น ขอแนะเคล็ดลับการสูดอากาศอย่างถูกวิธี (ระหว่างที่อยู่ในสถานที่ที่อากาศบริสุทธิ์) ให้หายใจเข้าไปในปอดให้มาก เพื่อให้ปอดขยายแล้วกลั้นไว้สักครู่ ค่อยหายใจออกทั้งทางปากและจมูก ทำอย่างนี้วันละ 3-4 ครั้งทุกวัน สามารถแก้ปัญหาโรคภูมิแพ้ หอบหืดได้

สำหรับ อ อาหาร อยากให้รับประทานผัก ผลไม้สด และเว้นอาหาร Junk Food ขนมขบเคี้ยว ขณะที่ อ ออกกำลังกาย เป็นอีก อ หนึ่งที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ควรมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ "คนส่วนใหญ่อ้างว่า ไม่มีเวลาไปออกกำลังกาย โดยให้เหตุผลว่างานเยอะ จริงแล้วคำว่าออกกำลังกายไม่จำเป็นต้องไปวิ่งที่สวนสาธารณะ ต้นแอโรบิก โยคะ อันที่จริงอยู่ที่ไหนก็ออกกำลังกายได้ ด้วยการเดิน โดยก้าวยาวๆ พร้อมแขว่งแขน เหมือนกับทหารเดินสวนสนาม"

น.พ.อารีย์ กล่าวถึง อ เอนกาย(นอน) ว่า การนอนเป็นการพักผ่อน หลังจากที่เราพาร่างกายไปตรากตำทำงานในเวลากลางวันวันละหลายชั่วโมง จึงควรนอนแต่หัวค่ำ พร้อมฝึกให้นอนหลับยาวครั้งเดียวอย่างน้อย 7 ชั่วโมง หากสังเกตว่าวันไหนหลับสนิทตื่นขึ้นมาจะอารมณ์แจ่มใส หน้าตาสดใส เป็นต้น

ส่วน อ เอาพิษออกจากร่างกาย หมายถึงการถ่ายอุจจาระ โดยปกติทุกวันเรารับประทานเข้าไป มีทั้งที่อาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย บางอย่างก็มีพิษต่อร่างกาย จึงจำเป็นต้องถ่ายออกมา เพื่อไม่ให้พิษตกค้างอยู่ที่ลำไส้ใหญ่ "เคยพบบางรายไม่ถ่าย 10 วัน แล้วบอกว่า ปกติ แต่ผู้ตอบไม่รู้ว่า การที่มีกากของเสียอยู่ในร่างกายเป็นเวลาหลายวัน มีผลเสียต่อร่างกาย เพราะร่างกายซึ่งเป็นกลไกอัตโนมัติจะดูดซับเอาของเสียเหล่านี้หล่อเลี้ยงร่างกาย เมื่อของเสียไปเลี้ยงร่างกายนานวันเข้า ส่งผลให้เกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ริดสีดวงทวาร และอื่นๆ"

น.พ.อารีย์ให้คำแนะนำทิ้งท้ายว่า 7 อ มีความจำเป็นต่อมนุษย์ทุกคน และคนใดสามารถปฏิบัติตามอย่างสม่ำเสมอ ในอนาคตจะมีอายุยืนแล้วสุขภาพแข็งแรง ไร้โรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนอย่างแน่นอน

การควบคุมอารมณ์โกรธ

คอลัมน์ สดจากจิตวิทยา

จุฑาธิป วัชรานนท์/กรมสุขภาพจิต

1. ก่อนอื่นต้องรู้ตัวก่อนว่าตนเองกำลังตกอยู่ในอารมณ์โกรธ สิ่งที่บ่งบอกว่าตนเองกำลังตกอยู่ในอารมณ์โกรธ เช่น หัวใจเต้นเร็ว ตัวสั่น มือสั่น เม้มปาก กัดฟัน หรือกำมือ ร้องกรี๊ด บางคนมีอารมณ์อยากตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามด้วยการกระทำที่รุนแรง ฯลฯ

2. เมื่อรู้ว่าตนเองมีอาการตามข้อที่ 1 จงหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้าม และบอกตัวท่านเองว่า ‘เรากำลังตกอยู่ในความโกรธ’ ฉะนั้น ท่านควรรีบสงบสติอารมณ์ของท่านโดยเร็ว อาจจะใช้วิธีนับเลขถอยหลังในใจ เช่น เดิมเคยนับ 1-20 ก็ให้นับยี่สิบ สิบเก้า สิบแปด จนถึงหนึ่ง วิธีนี้จะช่วยให้ลดความโมโหและพลุ่งพล่านในจิตใจได้

3. คิดอย่างใช้เหตุผล เช่น ขณะขับรถอยู่จู่ๆ ก็มีรถคันอื่นขับปาดหน้า บางคนโกรธไขกระจกลงและตะโกนด่า บางคนขับรถปาดหน้ากลับเพื่อแก้แค้น ซึ่งถ้าลองทบทวนดูก็จะมีเหตุผลที่สามารถเป็นไปได้หลายๆ อย่าง เช่น เขากำลังรีบมองไม่เห็นรถท่าน เขาขาดความระมัดระวังจึงขับรถปาดหน้าโดยไม่ได้ตั้งใจ เป็นต้น ถ้าลองฝึกคิดอย่างมีเหตุผลบ้างจะช่วยยับยั้งอารมณ์โกรธไม่ให้ปะทุขึ้นมามาก ช่วยลดการระบายความโกรธไปยังผู้อื่นได้

4. เมื่อความโกรธความพลุ่งพล่านในใจลดลง จึงค่อยเผชิญหน้ากับคู่กรณีและพูดคุยโดยใช้เหตุผล ถ้าหากยังไม่สามารถควบคุมความโกรธไว้ได้ อาจจะต้องเลื่อนการเจรจากับคู่กรณีออกไปก่อน หรือโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากตำรวจ ญาติหรือคนใกล้ชิด

5. หลังจากเหตุการณ์ต่างๆ ผ่านไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อมีเวลาว่างถ้าอยากจะระบายความโกรธ ก็ลองเล่นกีฬาที่ต้องออกแรงมากๆ โดยเล่นอย่างน้อยครั้ง 30 นาทีขึ้นไป เช่น ตีเทนนิส ชกกระสอบทราย เตะฟุตบอล ฯลฯ หรือบางคนใช้วิธีตะโกนดังๆ ในห้องน้ำไม่ให้ใครได้ยิน ทั้งสองวิธีนี้จะช่วยให้รู้สึกสบายขึ้น

ถ้าใครรู้ว่าตนเองถูกอารมณ์โกรธครอบงำบ่อยๆ ละก็ ลองฝึกฝนตนเองบ้างตามข้อที่ 1-5 ข้างต้น อย่าปล่อยให้อารมณ์โกรธมีอำนาจเหนือจิตใจตนเอง เพราะถ้าไม่รีบกำจัดหรือควบคุมไว้นับวันความโกรธก็จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น อย่าปล่อยให้อารมณ์โกรธแผดเผาตนเองจนไม่มีความสุขเสียละ

•• ยิ้มเข้าไว้ค่ะ..และทุกอย่างจะดีเองค่ะ เพราะอย่างน้อยในตอนที่เรายิ้มอยู่เราก็ทำหน้าโกรธไม่ได้อ่ะค่ะ จริงป่ะคะ แหะแหะ ^^

นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส จัดอันดับ 10 เครื่องดื่มที่มีประโยชน์ที่สุดในโลก โดยดูที่ระดับสารแอนติออกซิแดนต์ หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ปัจจุบันมีเครื่องดื่มหลายชนิดอ้างว่า ใส่สารอนุมูลอิสระไว้ แต่หลายคนไม่ทราบว่าสารนี้คืออะไรกันแน่ สำหรับสารต้านอนุมูลอิสระ มีประ โยชน์เนื่องมาจากในขบวนการปฏิกิริยาชีวเคมี ที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย จะมีการขับของเสียที่ร่างกายได้รับ ได้แก่ ควันบุหรี่ แอลกอฮอล์ รังสียูวี เอกซเรย์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นอนุมูลอิสระที่มีอันตรายต่อเซลล์ในร่างกาย ที่อาจส่งผลให้เกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ภาวะข้อต่ออักเสบ ต้อกระจก และการเสื่อมของอวัยวะต่างๆ อนุมูลอิสระจะทำลายเนื้อเยื่อเซลล์ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของดีเอ็นเอ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของการมีเซลล์มะเร็ง และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่นำไปสู่ขบวนการเกิดโรคมะเร็ง สำหรับ 10 อันดับเครื่องดื่มที่มีประโยชน์มากที่สุด คือ 1. น้ำทับทิม 2. ไวน์แดง 3. น้ำองุ่นคอนคอร์ด 4. น้ำบลูเบอร์รี่ 5. น้ำแบล็กเชอร์รี่ 6. น้ำอะซาอี 7. น้ำแครนเบอร์รี่ 8. น้ำส้ม 9. น้ำชา 10. น้ำแอปเปิ้ล - ปราฟดา

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)016

การออกกำลังกายในเด็กวันเรียน / วัยรุ่น

ข้อแนะนำการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพในอายุต่ำกว่า 10 ปี

การออกกำลังกายในวัยนี้ ควรมุ่งให้เด็กมีความเพลิดเพลินและให้เด็กได้ฝึกหรือ

เล่นด้วยความสมัครใจพร้อมอธิบายถึงประโยชน์ ที่เด็กได้รับจากการฝึก ไม่ควรใช้วิธี

บังคับ ควรจัดให้เท่าที่เด็กต้องการ โดยเน้นที่ความสนุกสนานของเด็กเป็นใหญ่ ไม่ควร

ทำเพื่อจุดประสงค์ของพ่อแม่หรือโค้ช การตั้งความหวังสูงมากหรือการมุ่ง ฝึกเพื่อ

เอาชนะเพียงอย่างเดียวล้วนเป็นผลเสียต่อสุขภาพเด็กทั้งสิ้น เพราะการทำงาน

ของระบบประสาท และการประสานงานของกล้ามเนื้อมีน้อย จึงควรให้เด็กได้ออกกำลัง

กายเบา ๆ ง่าย ๆ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์มากนัก เช่น การวิ่ง การเล่นเกมส์ ยิมนาสติก การบริหาร

ประกอบดนตรี การเล่นที่ฝึกความคล่องแคล่ว และความชำนาญแบบง่าย ๆ เช่น ปีน ไต่

ข้อแนะนำการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพในอายุ 11-14 ปี

การออกกำลังกายในวัยนี้ เพื่อเพิ่มความคล่องแคล่ว ปลูกฝังให้มีน้ำใจนักกีฬาและ

ให้มีการแสดงออกถึงความสามารถเฉพาะตัว ส่งเสริมให้เด็กเล่นกีฬาที่หลากหลาย เพื่อให้

มีการพัฒนาร่างกายทุกส่วนโดยใช้กิจกรรมหลายๆ อย่างสลับกันเช่น ฟุตบอล แชร์บอล วอลเลย์บอล ปิงปอง แบดมินตัน ยิมนาสติก ว่ายน้ำ ขี่จักรยานแต่ต้องหลีกเลี่ยงการปะทะ

ในกิจกรรมที่ต้องสัมผัสกับฝ่ายตรงข้าม และที่เป็นข้อห้ามคือ การชกมวย และการออกกำลัง

กายที่ต้องใช้ความอดทน เช่น วิ่งระยะไกล (ระยะทาง 10 กิโลเมตรขึ้นไป) การออก

กำลังกายในแต่ละวัน ควรได้จากการฝึกเล่นกีฬาวันละ 2 ชั่วโมง สลับกับการพักเป็นระยะ ๆ

ข้อแนะนำการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพในเด็กอายุ 15-17 ปี

การออกกำลังกายวัยนี้จะมีความแตกต่างระหว่างเพศ ผู้ชายจะออกกำลังกายเพื่อ

ให้เกิดกำลัง ความแข็งแรง รวดเร็ว และความอดทน เช่น การวิ่ง ว่ายน้ำ ถีบจักรยาน เล่น

บาสเกตบอล วอลเลย์บอล โปโลน้ำ ฟุตบอล กระโดดสูง กรรเชียง ส่วนผู้หญิงจะเน้นการออก

กำลังกายประเภทที่ไม่หนักแต่ทำให้ร่างกายแข็งแรงและเสริมสร้างรูปร่างทรวดทรง

เช่น ว่ายน้ำ ยิมนาสติก และวอลเลย์บอล เป็นต้น ให้ปฏิบัติเป็นกิจวัตรประจำวัน วันละ

1 ชั่วโมง โดยใช้การออกแรงแบบหนักสลับเบา

คนึงนิจ มีใจดี ( ฟาร์ ) 006

การดูแลสุขภาพตนเอง ให้มีสุขภาพสมบูรณ์ และแข็งแรงอยู่เสมอ จะต้องปฏิบัติกิจกรรม ในด้านการส่งเสริมสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ในชีวิตประจำวัน โดยยึดหลักสุขบัญญัติ 10 ประการ และสำรวจสุขภาพตนเอง ดังนี้

1. ดูแลรักษาร่างกาย และของใช้ให้สะอาด

อาบน้ำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2 ครั้งการอาบน้ำให้สะอาด จะต้องใช้สบู่ฟอกทุกส่วนของร่างกายให้ทั่ว และมีการขัดถูขี้ไคล บริเวณลำคอ รักแร้ แขนขา ง่ามนิ้วมือ ง่ามนิ้วเท้า ขาหนีบ โดยเฉพาะอวัยวะเพศ ต้องรักษาความสะอาดเป็นพิเศษ หลังจากนั้นล้างด้วยน้ำ และเช็ดตัวให้แห้ง ด้วยผ้าที่สะอาด จะช่วยให้ร่างกายสะอาด และสดชื่น สระผม อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้งการสระผมช่วยให้ผสม และหนังศีรษะสะอาด ไม่สกปรก หรือมีกลิ่นเหม็น โยใช้สบู่ หรือแชมพูสระผมจนสะอาด แล้วเช็ดผมให้แห้ง หร้อมทั้งหวีผมให้เรียบร้อย การหมั่นหวีผม จะช่วยนวดศีรษะให้เลือดมาเลี้ยงศีรษะมากขึ้น และต้องล้างหวี หรือแปรงให้สะอาดเสมอ การไม่สระผม หรือสระผมไม่สะอาด ทำให้เป็นชันนะตุ รังแค และเกิดอาการคัน เกิดโรคผิวหนัง และเชื้อราบนหนังศีรษะ ทำให้เกิดผมร่วง และเสียบุคลิกภาพ การรักษาอนามัยของดวงตาดวงตาเป็นอวัยวะสำคัญ เราควรหวงแหน และให้ความเอาใจใส่ ควรปฏิบัติดังนี้ อ่าน หรือเขียนหนังสือในระยะห่างประมาณ 1 ฟุต โดยมีแสงสว่างเพียงพอ แสงเข้าทางด้านซ้าย หรือตรงข้ามกับมือที่ถนัด หากรู้สึกเพลียสายตา ควรพักผ่อนสายตา โดยการหลับตา หรือมองไปไกลๆ ชั่วครู่ ดูโทรทัศน์ในระยะห่างอย่างน้อย 1 เมตรครึ่ง บำรุงสายตาด้วยการรับประทานอาหารที่มีคุณค่า เช่น มะละกอสุก ฟักทอง และผักบุ้ง เป็นต้น ใส่แว่นกันแดด ถ้าจำเป็นต้องมองในที่ๆ มีแสงสว่างมากเกินไป ตรวจสายตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยแผ่นทดสอบสายตา (E-Chart) ถ้าสายตาผิดปกติ ให้พบจักษุแพทย์ เพื่อตรวจสอบ และประกอบแว่นสายตา การรักษาอนามัยของหูหูเป็นอวัยวะที่สำคัญอย่างหนึ่งของร่างกาย ที่จะต้องเอาใจใส่ดูแลให้ถูกต้อง ดังนี้

เช็ด บริเวณใบหู และรูหู เท่าที่นิ้วจะเข้าไปได้ ห้ามใช้ของแข็งแคะเขี่ยใบหู รูหู คนที่มีประวัติว่า มีการอักเสบของหู ต้องระวังไม่ให้น้ำเข้าหูเด็ดขาด หากมีน้ำเข้าหู ให้เอียงหูข้างนั้นลง น้ำจะค่อยๆ ไหลออกมาได้เอง หรือใช้ไม้พันสำลีเช็ดบริเวณช่องหูด้านนอก

ถ้าเป็นหวัด ไม่ควรสั่งน้ำมูกแรงๆ เพราะจะทำให้เชื้อโรคจากจมูก หรือคอ ถูกดันเข้าไปในหูชั้นกลาง ทำให้เกิดการติดเชื้อ และเกิดเป็นโรคหูน้ำหนวก เมื่อมีแมลงเข้าหู อย่าพยายามแคะ ให้ใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันพืช หยอดหูทิ้งไว้ชั่วขณะ แมลงจะเคลื่อนไหวไม่ได้ และตายในที่สุด ควรพบแพทย์เพื่อเอาแมลงออก หลีกเลี่ยงจากการถูกกระทบกระแทกหูโดยแรง หรือการตบหู เพราะจะทำให้แก้วหู และกระดูกภายในหูหลุด เกิดการสูญเสียการได้ยินตามมา รวมทั้งการหลีเลี่ยงเสียงอึกทึก และเสียงดังมากๆ อาจทำให้หูพิการได้ ต้องรู้จักสังเกตอาการผิดปกติของหู และการได้ยินอยู่เสมอ หากมีอาการผิดปกติ เช่น รู้สึกปวดหู เจ็บหู คันหู หูอื้อ มีน้ำหรือหนองไหลจากหู เวียนศีรษะ มีเสียงดังรบกวนในหู การได้ยินเสียงน้อยลง หรือได้ยินไม่ชัด ต้องรีบไปพบแพทย์เฉพาะทาง หู คอ จมูก ทันที การรักษาอนามัยของจมูก ข้อควรปฏิบัติดังนี้

ไม่ถอนขนจมูก เพราะจะทำให้จมูกอักเสบได้

ถ้าเป็นหวัดเรื้อรัง หรือมีเลือดกำเดาออกบ่อยๆ ต้องพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา

ห้ามใส่เมล็ดผลไม้ หรือสิ่งแปลกปลอมอื่นเข้าไปในรูจมูก

การไอหรือจาม ต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปาก จมูก เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคในอาการ เป็นผลให้ผู้อื่นติดโรคได้

ต้องสั่งน้ำมูก ใส่ในผ้า หรือกระดาษเช็ดหน้าที่สะอาด

ตัดเล็บมือเล็บเท้าให้สั้นอยู่เสมอมือและเท้าเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่สำคัญ ต้องมีการดูแลรักษา ไม่ปล่อยให้เล็บมือเล็บเท้ายาว การปล่อยให้เล็บยาว โดยไม่ดูแลความสะอาด จะทำให้เชื้อโรคที่สะสมอยู่ตามซอกเล็บ ติดไปกับอาหาร เป็นการนำเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายทาปากโดยตรง ทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วง ก่อน และหลังรับประทานอาหาร และหลังจากเข้าส้วมแล้ว ต้องล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดทุกครั้ง และต้องสวมรองเท้าเมื่อออกจากบ้าน ถ่ายอุจจาระเป็นเวลาทุกวันควรฝึกขับถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลาทุกวัน ในตอนเช้า อย่าให้ท้องผูกบ่อยๆ เพราะจะทำให้เกิดโรคริดสีดวงทวาร และเป็นมะเร็งในลำไส้ใหญ่ได้ ใส่เสื้อผ้าที่สะอาด ไม่อับชื้น และให้ความอบอุ่นเพียงพอการรักษาความสะอาดของเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม และเครื่องนอนเป็นิส่งสำคัญ เสื้อผ้าที่ใช้แล้วทิ้ง ชั้นนอกและชั้นใน ต้องมีการทำความสะอาดด้วยสบู่ หรือผงซักฟอกทุกครั้ง นำไปผึ่งหรือตากแดดให้แห้ง ประการสำคัญ การสวมเสื้อผ้า ต้อใช้ให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ ไม่ใส่เสื้อผ้าซ้ำๆ หรือซักไม่สะอาด อับชื้น เพราะจะทำให้เกิดโรคผิวหนังได้

2. รักษาฟันให้แข็งแรง และแปรงฟันทุกวันอย่างถูกต้อง

แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หลีกเลี่ยงขนมหวาน เช่น ลูกอม แปรงฟัน หรือบ้วนปากหลังรับประทานอาหาร ไม่ใช้ฟันขบเคี้ยวของแข็ง

3. ล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหาร และหลังการขับถ่าย

ควรล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง ก่อนและหลังการปรุงอาหาร รวมทั้งก่อนรับประทานอาหาร และหลังการขับถ่าย เป็นการป้องกันการแพร่เชื้อ และติดเชื้อโรคได้ ควรล้างมือให้ถูกวิธี ดังนี้ ให้มือเปียกน้ำ ฟอกสบู่ ถูให้ทั่วฝ่ามือ ด้านหน้า และด้านหลังมือ ถูตามง่ามนิ้วมือ และซอกเล็บให้ทั่ว เพื่อให้สิ่งสกปรกหลุดออกไป พร้อมทั้งถูกข้อมือ ล้างน้ำให้สะอาด แล้วเฃ็ดมือให้แห้งด้วยผ้าที่สะอาด

4. รับประทานอาหารสุก สะอาด ปราศจากสารอันตราย และหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด สีฉูดฉาด เลือกซื้ออาหารสด สะอาด ปลอดสารพิษ โดยคำนึงถึงหลัก 3 ป. คือประโยชน์ ปลอดภัย ประหยัด ปรุงอาหารที่ถูกสุขลักษณะ และใช้เครื่องปรุงรสที่ถูกต้อง โดยคำนึงถึงหลัก 3 ส. คือ สงวนคุณค่า สุกเสมอ สะอาดปลอดภัย รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย รับประทานอาหารปรุงสักใหม่ และใช้ช้อนกลางในการรับประทานอาหารร่วมกัน หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ อาหารรสจัด อาหารใส่สีฉูดฉาด ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว

5. งดบุหรี่ สุรา สารเสพย์ติด การพนัน และการสำส่อนทางเพศ

ไม่เสพสารเสพย์ติดทุกชนิด เช่น บุหรี่ สุรา ยาบ้า กัญชา กาว ทินเนอร์ งดเล่นการพนันทุกชนิด ไม่มั่วสุมทางเพศ

6. สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวให้อบอุ่น

ทุกคนในครอบครัวช่วยกันทำงานบ้าน มีการปรึกษาหารือ และแสดงความคิดเห็นร่วมกัน

การเผื่อแผ่น้ำใจซึ่งกันและกัน การทำบุญ และได้ทำกิจกรรมสนุกสนานร่วมกัน

7. ป้องกันอุบัติเหตุด้วยความำม่ประมาท

ดูแล ตรวจสอบ และระมัดระวังอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้าน เช่น ไฟฟ้า เตาแก๊ส ของมีคม ธูปเทียนที่จุดบูชาพระ และไม้ขีดไฟ ระมัดระวังเพื่อป้องกันอุบัติภัยในที่สาธารณะ เช่น การใช้ถนน โรงฝึกงาน สถานที่ก่อสร้าง และชุมชนแออัด เป็นต้น

8. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และตรวจสุขภาพประจำปี

การออกกำลังกายช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เจริญเติบโตสมวัย กระตุ้นให้กระดูกยาวขึ้น และเข็งแรงขึ้น ทำให้สูงสง่า บุคลิกดี และยังช่วยผ่อนคลายความเครียด จากการทำงาน ตลอดจนเพิ่มภูมิต้านทานแก่ร่างกาย โดย ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน ครั้งละ 20-30 นาที ออกกำลังกาย และเล่นกีฬาให้เหมาะสมกับสภาพร่างกาย และวัย

ตรวจสอบสุขภาพประจำปีอย่างน้อยปีละครั้ง

9. ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอ

พักผ่อน และนอนหลับให้เพียงพอ จัดสิ่งแวดล้อมทั้งในบ้าน และนอกบ้านให้น่าอยู่

มองโลกในแง่ดี ให้อภัย และยอมรับข้อบกพร่องของคนอื่น มื่อมีปัญหาไม่สบายใจ ควรหาทางผ่อนคลาย ในทางที่ถูกต้องเหมาะสม

10. มีสำนึกต่อส่วนรวม ร่วมสร้างสรรค์สังคม

ใช้ทรัพยากร เช่น น้ำ ไฟ อย่างประหยัด หลีกเลี่ยงการใช้วัสดุ อุปกรณ์ที่ก่อให้เกิดพิษต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ถุงพลาสติก โฟม ตลอดจนการร่วมมือกัน รักษาความสะอาด และเป็นระเบียบของสถานที่ทำงาน และที่พัก เป็นต้น

คนึงนิจ มีใจดี ( ฟาร์ ) 006

น้ำผึ้งก็เป็นยาอายุวัฒนะ

สารอาหารสำคัญๆที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในน้ำผึ้งก็คือ โปรตีน วิตามินบี1 บี2 บี5 และบี12 ไบโอติน เหล็ก ทองแดง แมงกานีส ซิลิคอน แคลเซียม โซเดียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส กำมะถัน โบรมีน และคลอรีน น้ำผึ้งมีสรรพคุณทางยา ช่วยบำรุงร่างกายให้กระปรี้กระเปร่า แข็งแรง สดชื่น เพิ่มพลัง แก้เบื่ออาหาร บำรุงหัวใจ บำรุงข้อต่างๆ ช่วยให้นอนหลับสบาย น้ำผึ้งจัดเป็นอาหารเสริมที่ดีที่คุณควรสนใจ หมั่นรับประทานเป็นประจำทุกๆ สัปดาห์ก็จะช่วยบำรุงร่างกายให้มีสุขภาพดีอย่างที่คุณพิสูจน์ได้

กระเทียมดูแลหัวใจ

กระเทียมเป็นของคู่ครัวที่คนไทยเราคุ้นเคยกันดี แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าในกระเทียมนั้นมีสาร อาหารสำคัญมากมายมหาศาลที่ล้วนแล้วแต่มีสรรพคุณทางยาอย่างน่าอัศจรรย์ กระเทียมช่วยป้องกันอาการหัวใจล้มเหลว ช่วยควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ บำรุงประสาท กระตุ้นให้จิตใจสดใส ไม่หดหู่ ซึมเศร้า ไม่เป็นโรคเหน็บชา กล้ามเนื้อแข็งแรง มีกำลังวังชา กระตุ้นให้ร่างกายเกิดความอยากอาหาร เยียวยาอาการไอ รักษาโรคพยาธิ ขับปัสสาวะ ช่วยบำรุงระบบทางเดินหายใจ บรรเทาอาการที่เกี่ยวกับโรคลำไส้ บำรุงเลือด ป้องกันโรคตับ โรคเส้นโลหิตตีบตัน บำบัดอาการโรครูมาติซึม โรคข้ออักเสบ ต้านทานโรคภูมิแพ้ ช่วยลดคอเลสเตอรอล นอกจากนั้นกระเทียมยังรักษาโรคเกี่ยวกับผิวหนังได้อีกด้วย ถ้าคุณรับประทานกระเทียมสม่ำเสมอโรคภัยอันตรายต่างๆ จะไม่มากล้ำกรายร่างกายทำลายสุขภาพของคุณ ได้แน่นอน กระเทียมช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย คนที่มีไขมันอุดตันในเส้นเลือดมากอาจเกิดการหัวใจวายได้ การรับประทานกระเทียมเป็นประจำเท่ากับว่าคุณได้ดูแลหัวใจของคุณให้แข็งแรงไว้ก่อนที่จะมีอาการใดๆ เกิดขึ้นเมื่อไร้เรี่ยวแรง หน้ามือ วิงเวียน แก้ไขรวดเร็วได้อย่างไร

น.ส.กาญจนา จันทร์หล้า เลขที่70

บทความเรื่องนี้ดีมากๆเลยค่ะ อาจารย์ขา...หนูคำนวรดูปรากฏว่ารูปร่างของหนูมันสมส่วน แต่มาดูตัวจริง...โอ้โห...อ้วนค่ะ...แขน ขาใหญ่..หนูอยากให้อาจารย์เขียนตารางอาหารควบคุมน้ำหนักด้วยค่ะ.....ที่จริงเมื่อก่อนหนูน้ำหนักตัวก็มากเข้าขั้นม๊ากมากเลยแหละค่ะแต่หนูมาเริ่มดูแลสุขภาพเริ่มลดน้ำหนักเมื่ออยู่ม.ปลายจนมันก็ลดนะค่ะแต่.....หนูยังไม่พอใจกับน้ำหนักตอนนี้..หนูจะพยายามลดอีก.....เพราะฉะนั้นต้องไปเต้นแอโรบิคค่ะ.....ปะ ไปแอโรบิคแดนซ์กัน....สู้ๆ...น้ำหนักต้องลด..

อารมณ์ขัน... ช่วยคุณได้ในการทำงาน

เสียงหัวเราะและรอยยิ้มไม่เพียงแต่ทำให้คุณอารมณ์ดี มันยังทำให้การสื่อสารในที่ทำงานราบรื่นขึ้นและเพิ่มผลงานอีกด้วย แค่เพียงให้แน่ใจว่าคุณใช้อารมณ์ขันในแบบที่เหมาะกับบรรยากาศการทำงานก็พอ

จากการสำรวจกลุ่มผู้บริหารของ Robert Half International พบว่า 91 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริหารเห็นว่า อารมณ์ขันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความก้าวหน้าทางอาชีพการงาน มันช่วยคุณสร้างความปรองดองในกลุ่มคนที่อยู่รอบตัวคุณ ทำให้มีการสื่อสารกันอย่างเปิดเผย สร้างบรรยากาศการทำงานในแง่บวกและช่วยผ่อนคลายความเครียด แม้แต่ในวันที่เคร่งเครียดที่สุดก็ตาม แต่ใช่ว่าอารมณ์ขับทุกอย่างจะได้รับการยอมรับในที่ทำงานอารมณ์ขันควรเหมาะสมกับการทำงาน ไม่เป็นตลกร้ายหรือทำให้ใครสักคนต้องอับอาย ต่อไปนี้คือเคล็ดลับบางอย่างที่จะทำให้แน่ใจว่าคุณไม่ได้ทำเรื่องตลกแบบโง่ๆ

อย่าใช้ตลกเสียดสี บ่อยครั้งคนเราชอบใช้อารมณ์ขัน เพื่อเป็นวิธีเหยียดหยามคนอื่นแบบอ้อมๆ ตัวอย่าง เช่น "ไม่เชื่อเลยว่าคุณมาตรงเวลาได้ มีโอกาสพิเศษอะไรเหรอ" การเสียดสีไม่ใช่ไอเดียที่ดีเท่าไหร่นัก เพราะฉะนั้นเก็บคำพูดประเภทนี้เอาไว้กับตัวเองคนเดียวก็พอ

ใช้ตัวเองทำตลก เอาเลย พูดตลกถึงจุดอ่อนของตัวการทำเช่นนั้นทำให้คนอื่นสบายใจเวลาอยู่กับคุณ และคุณก็ไม่เสี่ยงกับการทำให้ใครเคือง ด้วยการใช้เขาหรือเธอมาเป็นประเด็นในการพูดตลก ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณสะดุดล้มในระหว่างการนำเสนองาน ลองพูดว่า "ฉันหวังว่าคุณคงจะชอบไอเดียฉันจนหัวปักหัวปำเหมือนฉันนะ" มันจะช่วยทำให้สถานการณ์น่าอืดอัดผ่อนคลายลง แค่ให้แน่ใจว่าคำพูดของคุณเป็นไปแบบสบายๆ เพื่อที่เพื่อนร่วมงานจะได้ไม่คิดว่าความพยายามจะทำตลกของคุณเป็นการร้องขอความช่วยเหลือ

หัวเราะไปกับคนอื่น คุณสามารถถูกมองว่าเป็นคนมีอารมณ์ขันได้ โดยไม่ต้องแม้แต่จะเล่าเรื่องตลก แต่ปรับตัวให้เข้ากับอารมณ์ขันของคนที่อยู่รอบตัวคุณ และสนุกไปกับเขาด้วย

เก็บเรื่องขำขัน คุณสร้างไฟล์เก็บโครงการหลายอย่างที่คุณต้องทำ แล้วทำไมไม่สร้างไฟล์สำหรับเก็บเรื่องตลกดูบ้างล่ะลองเก็บการ์ตูนสนุกๆ ที่เหมาะกับสถานที่ทำงาน บทความตลกๆ ในหนังสือ หรืออะไรก็ตามทำให้คุณหัวเราะเอาไว้ และเมื่อเพื่อนร่วมงานของคุณรู้สึกเหนื่อยและเครียดจากการทำงาน คุณก็สามารถทำให้เขาหรือเธอประหลาดใจได้ด้วยเรื่องต่างๆ ที่คุณเก็บเอาไว้ แต่อย่าเก็บเรื่องที่อาจทำให้คนอื่นขุ่นเคืองใจหรือไม่มีรสนิยมเอาไว้ก็พอ

ตั้งคณะกรรมการอารมณ์ขัน เชื้อเชิญเพื่อนร่วมงานมาร่วมกันเพิ่มความสนุกสนานให้แก่ที่ทำงาน เช่น จัดปาร์ตี้สนุกๆ ในตอนบ่าย แต่ต้องปรึกษาหัวหน้าแผนกหรือฝ่ายบริหาร เพื่อให้คุณได้รับอนุญาตก่อนลงมือทำ

ถ่ายรูปสนุกๆ หากล้องเอาไว้ใกล้มือ เพื่อเก็บภาพหลุดๆ ของคุณและเพื่อนร่วมงาน แล้วก็เอาไปติดบอร์ดของที่ทำงานภาพแอบถ่ายของแต่ละคนแบบไม่ตั้งใจ จะทำให้ทุกคนอารมณ์ดีขึ้นได้

วิธีขับถ่ายปัสสาวะ เพื่อสุขภาพที่ดี

1.อย่ากลั้นปัสสาวะ เมื่อรู้สึกปวดต้องไปปัสสาวะ

2.เวลาปัสสาวะไม่ควรรีบร้อนเบ่งมาก เพราะอาจทำให้หูรูดปัสสาวะชำรุดได้

3.ควรถ่ายปัสสาวะให้เหลือน้อยที่สุดในหนึ่งครั้ง นั่นคือเมื่อรู้สึกถ่ายหมดแล้วให้เบ่งต่ออีกนิดหน่อย ปัสสาวะที่เหลือจะไหลออกมา

4.ไม่ควรบังคับให้ตนเองถ่ายปัสสาวะบ่อย เพราะจะติดเป็นนิสัย เวลาที่เหมาะสมคือ 2-4 ชั่วโมงควรถ่ายปัสสาวะหนึ่งครั้ง

5.ให้สังเกตการถ่ายปัสสาวะ และน้ำปัสสาวะของตนเองทุกครั้งว่า ต้องเบ่งมากผิดปกติหรือไม่ น้ำปัสสาวะลำพุ่งดีหรือไม่ ลำน้ำปัสสาวะมีขนาดเล็กลงกว่าเดิมหรือไม่ น้ำปัสสาวะมีสีเหลืองใสหรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเป็นอาการผิดปกติที่สามารถบอกโรคได้

6.อาจจะล้างทำความสะอาดหลังปัสสาวะ แต่อย่าให้บริเวณนั้นเปียกชื้น เพราะอาจเกิดเชื้อราได้ ทางที่ดีหลังปัสสาวะทุกครั้ง ควรซับให้แห้ง

7.เมื่อปัสสาวะไม่ออก ต้องหาสาเหตุโดยการไปพบแพทย์ อย่าซื้อยาขับปัสสาวะรับประทานเพราะจะเกิดอันตรายได้

8.เมื่อเข้าสู่วัยกลางคน การบริหารอุ้งเชิงกรานโดยการขมิบ (ฝ่ายหญิงขมิบช่องคลอด ฝ่ายชายขมิบทวารหนัก) วันละ 100 ครั้ง จะช่วยป้องกันอาการปัสสาวะเล็ด

9.ดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 10 แก้ว หรือหนึ่งลิตร จะช่วยให้น้ำปัสสาวะใส มีจำนวนพอดีและป้องกันภาวะปัสสาวะอักเสบ

10.ก่อนมีเพศสัมพันธ์ และหลังมีเพศสัมพันธ์ คุณผู้หญิงควรถ่ายปัสสาวะทิ้ง จะช่วยป้องกันการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

11.น้ำปัสสาวะจะต้องเป็นน้ำเท่านั้น ถ้ามีมูก หนอง น้ำเหลือง เลือดปนออกมา ถือว่าผิดปกติต้องไปพบแพทย์

12.การขับถ่ายปัสสาวะ ต้องขับถ่ายคล่องไม่มีอาการเจ็บปวด ถ้าปัสสาวะแสบขัดลำบากนับว่าเป็นอาการผิดปกติ ต้องไปพบแพทย์อีกเช่นกัน

13.คนเราทุกคนต้องปัสสาวะทุกวัน วันละ 4-6 ครั้ง ถ้าไม่ปัสสาวะเลย 1 วัน ถือว่าตกอยู่ในภาวะอันตราย ต้องไปพบแพทย์โดยด่วน

14.ก่อนเดินทางไกล ก่อนยกของหนัก ควรปัสสาวะทิ้งก่อนทุกครั้ง

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์

วิธีที่จะเป้นตัวช่วยให้หุ่นคุณสวยได้ง่ายๆ จากการลดน้ำหนักที่แสนยากเย็น!!!

1. หากนึกอยากรับประทานของหวานๆ ขึ้นมาเมื่อใด ลอง หยิบผลไม้ แทนที่จะเป็นขนมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นขนมไทยหรือขนมฝรั่ง ลองนึกดูนะคะ ขนมปังปิสกิตช็อกโกแลต 1 แผ่นมีถึง 85 แคลอรี ในขณะที่แอปเปิ้ล 1 ผล มีเพียง 50 แคลอรี ชมพู่ 1 ขีดมีเพียง 23 แคลอรี

2. นมสดๆ ที่บอกว่าเป็นนมล้วนๆ หรือ whole milk 100 มิลลิลิตร มี 68 แคลอรี นมที่พร่องมันเนยครึ่งๆ หรือ semi-skimmed milk มี 49 แคลอรี และนมพร่องมันเนยแท้ๆ หรือ skimmed-milk มีเพียง 34 แคลอรี พิจารณาดูนะครับว่าคุณค่าอาหารอื่นที่ได้จากนมนั้นเท่ากัน แต่คุณไม่จำเป็นต้องดื่มเอาไขมันจากนมเข้าไปด้วยเพื่อไปเพิ่มไขมันในตัวคุณ ไอศกรีมทั่วไปขนาด 50 กรัม หรือ 1 3/4 ออนซ์ มี 110 แคลอรีถ้าเปลี่ยนเป็นโยเกิร์ต แบบ low fat หรือไขมันต่ำจะได้เพียง 50 แคลอรีเท่านั้น

3. ลดอาหารประเภทอุดมไขมัน เปลี่ยนไปหาอาหารประเภทโปรตีนที่มีไขมันต่ำ เช่น เนื้อไก่ เนื้อไก่งวง เนื้อลูกวัว เนื้อปลา และอาหารจำพวกถั่ว

4. หากคุณเป็นผู้ที่ชอบรับประทานมันฝรั่งทอด เลือกแบบเป็นแท่งหรือที่เรียกว่า French fries ดีกว่า เพราะมันฝรั่งทอดชนิดที่เป็นแผ่นกลมๆ บางๆ หรือที่เรียกว่า chips นั้น ดูดอมน้ำมันไว้มากกว่าแบบแท่ง หรือถ้าชอบ chips จริงๆ ก็พยายามหาชนิดที่เขียนว่า low-fat

5. เลือกซื้อปลากระป๋องที่แช่ในน้ำเกลือ แทนปลากระป๋องที่แช่ในน้ำมัน คุณจะได้แคลอรีน้อยลงถึง 100 แคลอรี ต่อน้ำหนักปลา 100 กรัม หรือ 3 1/2 ออนซ์

6. ผลไม้กระป๋องก็เช่นกัน เลือกซื้อชนิดที่แช่ในน้ำผลไม้ (juice) แทนชนิดที่แช่ในน้ำเชื่อม (syrup) คุณจะเลี่ยงได้ถึง 20 แคลอรี ต่อ 100 กรัม หรือ 3 1/2 ออนซ์ เลยทีเดียว

7. ลดน้ำตาลที่เติม เวลาชง กาแฟ ชา หรือเครื่องดื่มร้อยๆ เย็นๆ ถ้าเป็นไปได้งดเลยก็จะดี ยังไม่อยากแนะนำให้ใช้สารให้ความหวานแทนเพราะไม่แน่ใจถึงผลลัพธ์อื่นที่จะได้รับด้วย

8. เลือกซื้อเนยที่สกัดจากพืช หรือส่วนของพืชแทนเนยที่สกัดจากนมวัว

9. เปลี่ยนลักษณะการเลือกอาหาร ในแต่ละมื้อ โดยเพิ่มผัก ลดเนื้อสัตว์และครีม - มัน - เนยทั้งหลาย

10. ก่อนไปจ่ายของที่ตลาด เขียนรายการต่างๆ ไว้ก่อน เพื่อจะได้ผ่านตาว่าสิ่งใดควรเปลี่ยนแปลงหรือไม่ควรซื้อเลย และไม่ควรช้อปปิ้งสินค้าประเภทอาหารในยามที่คุณหิว เพราะคุณจะหยิบอาหารที่นำมารับประทาน ขนม หรือสิ่งอุดมด้วยไขมันโดยไม่รู้ตัว

เทคนิคนี้มีไว้เฉพาะสำหรับผู้ใหญ่นะคะ เพราะผู้ใหญ่ไม่มีความต้องการไขมันจำนวนมากมาย หากไม่ลดลงก็จะไปเพิ่มพูนเป็นส่วนเกินของร่างกาย และยังอาจทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ อาหารประเภทแคลอรีต่ำและนมพร่องมันเนยเหล่านี้ ไม่เหมาะสำหรับเด็ก เนื่องจากเด็กโดยเฉพาะที่อยู่ที่ในวันที่เจริญเติบโต ยังต้องการสารอาหารและวิตามินต่างๆ อีกมาก

เหมันต์ ( เลขที่ 87 ) วิทย์ออก

วิธีลดหุ่นแบบไฮโซ

โดยปกติแล้วคนเราจะมีส่วนที่เก็บสะสมไขัน แตกต่างกันครับ ผู้หญิงมักสะสมที่ สะโพก ก้น ท้องแขน หน้าอก หน้าท้อง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แตกต่างกันแล้วแต่บุค...

-หน้าท้อง เกิดจาก ไขมันที่สะสมอยู่ใต้ชั้นผิวหรือเรียกว่า sub cutaneous fat ยิ่งหนามาก ก็จะมีหน้าท้องโตมาก ย้วย เผละ และยังเกิดจากไขมันที่สะสมที่อวัยวะภายในช... ท้องก็จะป่องออกมา

การออกกำลังที่ช่วยลดไขมันได้นั้นคือ Aerobic exercise หรือ -การออกกำลังกายที่ร่างกายใช้ออกซิเจนในกา...

โดยการใช้กล้ามเนื้อมัดใญ่หลายๆ ส่วน 60 - 80 % Maximum heart rateเป็นเวลาต่อเนื่องกัน โดยไม่หยุดพัก หรือหัวใจเราต้องเต้นเร็วขึ้นกว่าปกติ อันได้แก่ การวิ่ง ปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิก การเดินเร็ว เป็นต้น

แต่กรณีของคุณมีปวดหลัง ร้าวลงขาด้วยหรือไม่ ผมไม่ทราบว่าเป็นอะไร อาจจะ HNPหรือเปล่าเพราะห้าม sit upหรือด้วยสาเหตุอื่น

แนะนำว่าการวิ่งหรือเดินนานๆก็ไม่ใช่อะไ... HNP การปั่นจักรยานเคลื่อนที่ก็ไม่เหมาะ เพราะไม่มีใครนั่งตัวตรงได้ตลอด 30 นาที (ถ้าเป็น HNP ห้ามก้มตัว นั่งหลังค่อมนานๆ ห้ามยกของหนักๆ ห้ามซิทอัพ จนกว่าจะหายดี เพราะอาการจะแย่ลง)แนะนำจักรยานแบบนั่งเอน... ตามฟิตเนสจะเหมาะสมกว่านะครับ

หลักการ

-ต้องออกกำลังกาย ต่อเนื่องด้วยความหนักหรือแรงต้านคงที่ อย่างน้อย 30 นาที ไม่รวมการ warm up และ cool down อาทิตย์ละ 3 ครั้ง

ทำไมต้อง 30 นาที

-เพื่อให้ร่างกายได้เข้าสู่กระบวนการสัน...

ในช่วงแรกที่เริ่มออกกำลังกายร่างกายจะใ...

ระบบ ATP - CP จากกล้ามเนื้อซึ่งให้พลังงานออกมาได้รวดเร... แต่น้อย แต่ร่างกายจะใช้หมดไปในเวลาเพียง 5 - 8 วินาทีเท่านั้น หลังจากนั้นร่างกายก็จะดึงกลูโคสในกระแสเล... ถ้าเรายังไม่หยุดวิ่งต่อมาเมื่อระดับน้ำตา... อินซูลินจะเริ่มทำงานสลายไกลโคเจน ( Glycogen ) ที่สะสมในกล้ามเนื้อ และตับ เพื่อให้ได้น้ำตาลออกมา ไม่ให้เกิดภาวะน้ำตาลในกระแสเลือดต่ำ จะวิงเวียน หน้ามืด ตัวเย็น เหงื่อออก ใจสั่น ในช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ยังไม่ต้องใช้ออกซิ... มีการ สะสมกรดแลกติกที่กล้ามเนื้อทำให้เกิดอาการ... ล้ากล้ามเนื้อ ซึ่งเมื่อกล้ามเนื้อได้พัก และมีออกซิเจนเพียงพอ กรดแลกติกจึงจะถูกกำจัดออกไป ดังนั้นจึงควรจะมีการ cool down เสมอ เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือด

เพื่อมาพัดพาเอากรดแลกติกออกไป

จากนั้นเมื่อออกกำลังกายต่อเนื่องมาถึง 15 - 20 นาที ีก็จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการใช้ออกซิเจนในก...

ร่างกายจะใช้ไกลโคเจน ไขมันและโปรตีน เป็นแหล่งพลังงาน ช่วงแรกมาจากคาร์โบไฮเดรทหลังจากนั้น

ร่างกายจะใช้พลังงานจากไขมันเป็นพลังงาน... ยิ่งนานสัดส่วนการใช้ไขมันก็จะสูงขึ้นครับ

คนที่จะลดไขมันในร่างกายจึงต้องออกกำลัง...

60 - 80 % Maximum heart rate คืออะไร?

-คืออัตราการเต้นของหัวใจต่อนาที 60 - 80 % ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุดเทียบตามช่วงอา...

Maximum Heart Rate (MHR) = 220 - อายุ(ปี)

Target Heart Rate (อัตราการเต้นหัวใจที่ต้องการ) ในที่นี้คือ 60 และ 80 %MHR ก็แค่เอา 0.6 หรือ 0.8มาคูณกับเลขที่ได้ออกมาจาก MHR ก๋็จะได้อัตราการเต้นของหัวใจต่อนาทีที่เห... เวลาออกกกำลังกายก็ควรให้หัวใจเราเต้นอยู่... ควรเริ่มที่ 60 ก่อนนะ

แล้วต่างกับ sit up ยังไง

ไม่เห็นจะได้ออกแรงกล้ามเนื้อท้องเลย แล้วจะลดหน้าท้องอย่างไร

- sit up เป็นการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้า... หรือ Strengthening Exercise หลักการคือใช้แรงต้านมาก แต่ช่วงเวลาสั้นๆ ร่างกายจำเป็นต้องใช้พลัง่นที่รวดเร็ว ดังนั้นแหล่งพลังงานที่ใช้คือระบบ ATP - CP ต่อมาก็เป็นกลูโคสและไกลโคเจนซึ่งจะไม่มีก...

ผลจากการออกกำลังกายแบบนี้คือกล้ามเนื้อ Six pack แต่ถ้ามีไขมันหน้าท้องหนาๆนอกจากจะเป็นอุป... มันก็ไม่เห็น six pack นะ

แต่ aerobic ex. นั้นจะมีการดึงไขมันมาใช้จากทั่วร่างกาย มันจะดึงออกมาใช้ทุกส่วน ทั้งหน้าท้อง สะโพก ก้น ต้นแขน เอามาหมด ไม่ได้เอามาจากแค่ที่ตรงขาเวลาวิ่งเท่านั้...

นอกจกนี้การออกกำลังกายแบบนี้ยังเป็นการ... และปอด ให้ดีขึ้น ถ้าทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ

ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเส้นเลือดด้วยครับ

* Il y a 5 mois

Sources :

งานกายภาพบำบัด

จาก Physiology Exercise

รักษาขอบตาดำ

สาว ๆ หลายคนคงมักเจอปัญหานี้ ทำไมขอบตาเราดำเหมือนหมีแพนด้าเลย...คงกลุ้มมากเลย แต่ปัญหานี้จะหมดไปเมื่อลองทำตามคำแนะนำนี้

สาเหตุของขอบตาดำ

กรรมพันธุ์ ถ้าคนไทยมีขอบตาดำ แล้วลองหันไปมองญาติพี่น้อง พ่อแม่ของคุณดูว่าเป็นแบบเดียวกับที่คุณเป็นหรือไม่ ถ้าเป็นละก็ การรักษาและป้องกันอาจจะยาก

ภูมิแพ้ คนที่เป็นภูมิแพ้ จะพบว่าเส้นเลือดดำที่อยู่รอบตาจะขยายใหญ่มากกว่าคนทั่วไป และเส้นเลือดดำเหล่านี้นี่เองที่เป็นสาเหตุให้ขอบตาของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ดูคล้ำกว่าคนทั่วไป

การระคายเคืองแถว ๆ รอบตา เช่น การขยี้ตาบ่อย ๆ เพราะการขยี้ตาจะกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีให้เพิ่มจำนวนขึ้นบริเวณนั้น

แพ้ครีมทารอบดวงตา บางคนอาจแพ้สารบางอย่างในครีม ซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่า ใครจะแพ้สารตัวใด ใครบ้างที่จะเป็น ถ้ารู้ว่าแพ้คงต้องหยุดการทาครีมดังกล่าว ถ้าไม่ทราบอาจต้องพึ่งการทดสอบว่าแพ้สารที่ต้องสงสัยหรือไม่

อดนอน สาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่พบบ่อยในสภาพสังคมปัจจุบัน ใครที่รู้ตัวว่าอดนอนบ่อยๆ หรือนอนดึก ก็ขอให้นอนเร็วขึ้น เพื่อที่ขอบตาจะได้ดูสดใสกว่าเดิม

เป็นปานโอตะ ปานโอตะ คือ เซลล์เม็ดสีที่อยู่ในชั้นหนังแท้ พบในบางคนที่มีความผิดปกติที่เซลล์สร้างเม็ดสีอยู่ผิดที่ ซึ่งมักพบบริเวณรอบ ๆ ตา โดยมากมักจะเป็นข้างเดียว แต่มีบางคนอาจเป็นได้ทั้ง 2 ข้าง ทำให้ขอบตาดูเขียวคล้ำ

การรักษาขอบตาดำ

ใช้ยาทาใต้ตาที่มีส่วนผสมของ Whitening เช่น วิตามินซี

รักษาด้วยเลเซอร์ หรือเครื่องแสงเข้มข้น เป็นวิธีที่ได้ผลดี เลเซอร์ที่ใช้รักษาขอบตาดำได้ ที่นิยมมากที่สุดคือ Nd-yag laser นอกจากนี้เลเซอร์ตัวนี้ยังสามารถรักษาภาวะปานโอตะได้ด้วย หลังยิงเลเซอร์ ผิวบริเวณนั้นจะเป็นสะเก็ด และสะเก็ดจะหลุดออกภายใน 1-2 อาทิตย์ และผิวของตาที่คล้ำก็จะดูขาวขึ้น เครื่องแสงเข้มข้น คล้ายกับเลเซอร์ แต่ต่างกันที่หลังจากยิงเสร็จแล้วจะไม่เป็นแผล แต่อาจจะเป็นสะเก็ดฝอย ๆ เล็กน้อย แต่เครื่องนี้ไม่สามารถรักษาภาวะปานโอตะได้

ขอบตาดำเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลารักษากันนาน และถ้าไม่รู้จักดูแลตัวเองให้ดี นอนหลับไม่เพียงพอ ไม่ช้าขอบตาก็กลับมาดำได้อีก ดังนั้น การดูแลเอาใจใส่รอบดวงตาเสียแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่จะเริ่มเป็นจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็ลองไปทำตามกันนะคะ หมีแพนด้าจะได้ไม่เรียกพี่................

กินผักผลไม้ให้ได้คุณประโยชน์สูงสุด

หลายคนชอบกินผักและผลไม้ แต่ทราบหรือไม่ว่ากินอย่างไรให้ได้คุณประโยชน์สูงสุด

แก้วมังกร – ผลไม้ชนิดนี้กินได้เพลิน ๆ แต่ถ้ากลืนโดยไม่ได้เคี้ยวเมล็ดเล็ก ๆ สีดำให้แตกซะก่อน อาจพลาดสิ่งดี ๆ ไป เพราะในเมล็ดของแก้วมังกรมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ รวมทั้งวิตามินอี การเคี้ยวให้แตกจะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารเหล่านี้ได้

ส้ม - ส้มเป็นผลไม้ที่มีไบโอฟลาโวนอยด์ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระสูง โดยจะมีมากในเยื่อบุผิวและเนื้อเยื่อส่วนใน ดังนั้น เวลากินส้มจึงไม่ควรลอกเยื่อบุผิวขาวๆ ออก และควรกินเนื้อส้มเข้าไปด้วย ช่วยเพิ่มกาก ใย อาหารอีกต่างหาก

ฝรั่ง - เวลากินฝรั่งหลายคนจะทิ้งเมล็ดแล้วกินแต่เนื้อเพราะมีความเชื่อว่าการกินเมล็ดฝรั่งจะทำให้เป็นโรคไส้ติ่ง ทั้ง ๆ ที่เมล็ดฝรั่งมีความหวานหอมและเป็นกากใยอาหารที่ดีเยี่ยม จริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นเมล็ดอะไรหรืออาหารอะไร หากสามารถเข้าไปในไส้ติ่งได้ก็ทำให้เป็นโรคไส้ติ่งอักเสบได้ทั้งสิ้น ไม่จำเป็นต้อง เป็น เมล็ดฝรั่งอย่างเดียว

แครอท - ผักสีส้มที่กินแล้วผิวสวยเพราะได้ชื่อว่ามีสารเบต้าแคโรทีนสูง แต่จะได้ประโยชน์มากขึ้นหากปรุงด้วยความร้อนก่อนนำมากิน ความร้อนจะช่วยทำให้ผนังเซลล์ของแครอทอ่อนตัวลงร่างกายสามารถย่อยได้ง่ายและดูดซึมสารอาหารต่างๆ ได้ดีขึ้น

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว ม.ฟาร์

ข้าวกล้อง วิตามิน...เพียบ

ข้าวกล้องคือข้าวที่สีเอาเปลือก (แกลบ) ออกโดยที่ยังมีจมูกข้าว และเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว (รำ) อยู่ ข้าวกล้องจะมีสีน้ำตาลอ่อน ซึ่งจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวนี้มีคุณค่าอาหารที่มีประโยชน์มาก

สำหรับข้าวขาวที่เรากินๆ กันอยู่นั้น เป็นข้าวที่เกิดจากการขัดสีหลายๆ ครั้ง จนเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวและจมูกข้าวหลุดออกไป จนเหลือแต่เนื้อในของข้าว

ข้าวกล้องบางคนเรียกกันติดปากว่า ข้าวซ้อมมือหรือข้าวแดง เนื่องจากในสมัยโบราณ ชาวบ้านใช้วิธีตำข้าวกินกันเอง จึงเรียกว่า ข้าวซ้อมมือ แต่ปัจจุบันเราใช้เครื่องจักรสีข้าวแทน จึงเรียกข้าวที่สีเอาเปลือกออกนี้ว่า ข้าวกล้อง

ข้าวกล้องมีโปรตีนประมาณ 7-12% (แล้วแต่พันธุ์ข้าว) นักค้นคว้าชื่อ โรสเดล ( Rosedale ) ได้วิเคราะห์ว่า การขัดสีข้าวกล้องจนมีสีขาว จะทำให้โปรตีนสูญหายไปประมาณ 30%

ประโยชน์มากมายของการกินข้าวกล้อง

• ได้วิตามินบีรวม ช่วยป้องกันและบรรเทาอาหารอ่อนเพลีย แขน ขาไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ โรคผิวหนังบางชนิด บำรุงสมอง ทำให้เจริญอาหาร

• ได้วิตามินบี 1 ซึ่งถ้ากินเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคเหน็บชาได้

• ได้วิตามินบี 2 ป้องกันโรคปากนกกระจอก

• ได้ฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน

• ได้แคลเซียม ทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว

• ได้ทองแดง สร้างเมล็ดโลหิต และเฮโมโกลบิน

• ได้ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง

• ได้โปรตีน ช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ

• ได้ไขมัน ให้พลังงานแก่ร่างกาย ไขมันในข้าวกล้องเป็นไขมันที่ดี ไม่มีโคเรสเตอรอล

• ได้ไนอะซิน ช่วยระบบผิวหนังและเส้นประสาท และป้องกันโรคเพลลากรา (โรคที่เกิดจากการขาดไนอะซิน จะมีอาการท้องเสีย ประสาทไหว โรคผิวหนัง)

• ได้คาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานแก่ร่างกาย

• ได้กากอาหาร ข้าวกล้องมีกากอาหารมาก ซึ่งจะทำให้ท้องไม่ผูก และช่วยป้องกันมะเร็งในลำไส้อีกด้วย

• วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ในข้าวกล้องจะช่วยให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

วิ่งอย่างไรไม่ให้ปวดเข่า

การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่นิยมกันอย่างกว้างขวาง แต่บางครั้งการวิ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดเข่าได้ ซึ่งอาการที่พบบ่อยมักเกิดจากการบาดเจ็บ จากการใช้มากเกินไปของกระดูกอ่อน ผิวข้อหัวเข่า โดยจะมีอาการปวดด้านหน้าของข้อหัวเข่าและมักเป็นมากขึ้นเวลาขึ้นลงบันได หรือเวลานั่งยองๆ นานๆ

ดังนั้น การป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดเข่าขณะวิ่ง คือ การวอร์มอัพยืดกล้ามเนื้อขาและลำตัวก่อนออกวิ่ง ด้วยการเดินเร็วหรือวิ่งเหยาะๆ เพื่อให้มีการปรับตัวของกล้ามเนื้อ ส่วนรองเท้าสำหรับวิ่งควรมีพื้นกันแรงกระแทก กระชับพอดีเท้า และบริเวณที่วิ่งควรเป็นพื้นเสมอกันไม่เอียง และวิ่งโดยลงน้ำหนักที่ส้นเท้า ไม่วิ่งขึ้นลงเนิน เมื่อใกล้จะหยุดวิ่งค่อยลดความเร็วลงและควรเดินต่ออีกสักพักเป็นการ Cool-down และทำการยืดเหยียดกล้ามเนื้ออีกครั้ง ซึ่งจะช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อหลังวิ่งได้

อาหารเพื่อสุขภาพ สำหรับคุณผู้หญิงโดยเฉพาะ

อาหาร 3 หมู่หลัก ที่ช่วยให้พลังงาน

ในแต่ละวันปริมาณของพลังงานขั้นต่ำสุด ที่ถือว่าเพียงพอต่อร่างกายผู้หญิงจะอยู่ที่ 25 แคลอรีต่อหนักหนักตัว 1 กิโลกรัม เพราะฉะนั้น ถ้าหากคุณมีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม คุณควรจะได้รับพลังงานจากอาหาร 1,250 แคลอรี ซึ่งประเภทของอาหารที่ให้พลังงาน ได้แก่

อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว ข้าวโพด ขนมปัง เส้นก๋วยเตี๋ยวชนิดต่างๆ เผือก มันเทศ ฝรั่ง ผลไม้ที่มีแป้งและน้ำตาลสูง ฯลฯ โดยคาร์โบไฮเดรต 1 กรัมจะให้พลังงานแก่ร่างกาย 4 แคลอรี ตามปกติ คนเรามักจะรับประทานอาหารประเภทนี้เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ในแต่ละวันไม่ควรจะรับประทานคาร์โบเดรตมากเกินครึ่งของแคลอรี่ทั้งหมดที่ร่างกายต้องการ กล่าวคือ หากแบ่งอาหารที่ให้พลังงานทั้งหมดออกเป็น 6 ส่วนใน 3 ส่วน ควรจะเป็นคาร์โบไฮเดรต

อาหารประเภทโปรตีน ได้แก่ เนื้อสัตว์ต่างๆ ไข่ นม ถั่วชนิดต่างๆ ปริมาณของโปรตีน 1 กรัมจะให้พลังงาน 4 แคลอรี โปรตีนนับเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเสริมสร้างความเจริญเติบโตของร่างกาย และช่วยแซมเซลล์ส่วนที่สึกหรอ ฉะนั้นในแต่ละวันจึงควรรับประทานอาหารประเภทนี้อย่างน้อย 2 ใน 6 ส่วนของปริมาณแคลอรีทั้งหมดที่ร่างกายต้องการ

อาหารประเภทไขมัน อย่างเช่น เนย น้ำมันพืช กะทิ และไขมัน สัตว์ต่างๆ ซึ่งล้วนแต่ให้พลังงานสูง ไขมันเพียง 1 กรัม จะให้พลังงานได้ถึง 9 แคลอรี ด้วยเหตุนี้ หากยังต้องการรักษาหุ่นดีๆ ให้อยู่กับคุณนานๆ จึงไม่ควรรับประทานอาหารประเภทนี้ มากเกิน 1 ใน 6 ส่วนของปริมาณแคลอรีทั้งหมด ที่ร่างกายต้องการ

วิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญสำหรับผู้หญิง

นอกเหนือจากอาหาร 3 หมู่หลัก ที่ให้พลังงานแล้ว ร่างกายยังมีความต้องการวิตามิน และแร่ธาตุอื่นๆ อีกหลายชนิด ทั้งนี้วิตามิน และแร่ธาตุ ที่จำเป็นสำหรับสรีระร่างกายของผู้หญิงโดยเฉพาะ ได้แก่

โฟเลต ถ้าหากผู้หญิงได้รับวิตามินชนิดนี้น้อยเกินไป พวกเธอจะค่อยๆ เกิดอาการหงุดหงิด กระวนกระวาย และความจำไม่ดี หรือหลงลืมง่าย ยิ่งไปกว่านั้นโฟเลตยังมีความสำคัญต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์อีกด้วย ฉะนั้น หญิงมีครรภ์จึงควรบำรุงโฟเลตเยอะๆ ซึ่งแหล่งอาหารที่อุดมด้วยโฟเลตก็คือ ผักสดชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ผักกาดขาว ผักกาดแก้ว คะน้า กวางตุ้ง ใบโหระพา หรือพืชผักในตระกูลถั่ว เช่น ถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา ถั่วเขียว นอกจากนั้นเนื้อสัตว์ ตับ นม และเนยแข็งก็มีโฟเลตอยู่มากพอสมควร

อย่างไรก็ดีโมเลกุลของโฟเลตเป็นอะไรที่สูญสลายได้ง่าย แค่คุณประกอบอาหารดังกล่าวด้วยความร้อนสูงเพียง 45 องศา อาหารนั้นก็แทบจะไม่เหลือโฟเลตให้คุณอีกเลย ฉะนั้นหากต้องการให้ได้คุณค่าของโฟเลตอย่างเต็มที่ ก็ควรจะรับประทานแบบสดๆ หรือพยายามให้อาหารผ่านความร้อนน้อยที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกพืชผัก ซึ่งมีผักอยู่หลายชนิดที่เราสามารถนำมารับประทานทั้งที่ยังสดๆ ได้อย่างปลอดภัย แต่สำหรับเนื้อสัตว์ และตับนั้น ห้ามนำมารับประทานแบบดิบๆ อย่างเด็ดขาด

เหล็ก สารอาหารที่จำเป็นต่อการช่วยบำรุงเซลล์เม็ดเลือด ให้มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง สามารถลำเลียงออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญสำหรับความเป็นหญิง ผู้ซึ่งต้องสูญเสียเลือด และมีการผลิตเลือดใหม่ในทุกรอบเดือน ยิ่งทำให้ร่างกายไม่อาจขาดธาตุเหล็กได้ แหล่งอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่ เนื้อสัตว์ ตับ ไข่แดง ผักใบเขียว ถั่วเหลือง และพืชตระกูลถั่ว อย่างไรตามธาตุเหล็กจะสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น หากได้วิตามินซีเข้ามาช่วย

แคลเซียม แร่ธาตุที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับความแข็งแรงของกระดูก และฟัน เป็นสารอาหารสำคัญอีกตัวหนึ่ง ที่ผู้หญิงไม่ควรขาด เพราะร่างกายของเพศหญิงโดยเฉพาะในวัยที่หมดประจำเดือนไปแล้ว จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนได้สูงกว่าชาย ทั้งนี้เป็นผลมาจากการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำให้การดูดซึมแคลเซียมเป็นไปได้ยาก แหล่งอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียม ซึ่งหลายคนต่างก็รู้ดีว่ามีมากก็คือ นม นอกจากนี้ในพืชผักใบเขียวหลายชนิดอย่าง คะน้า ผักกระเฉด ยอดแค ผักขม ก็เพียบพร้อมไปด้วยแคลเซียมสูง ไม่แพ้นมเช่นกัน

แมกนีเซียม เป็นธาตุอาหารที่มีประโยชน์ต่อการช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่กระดูก และฟันอีกตัวหนึ่งโดยจะเข้าไปช่วยทำหน้าที่ควบคุมปริมาณแคลเซียมให้พอเพียงกับร่างกายอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งยังมีส่วนช่วยควบคุมระบบการทำงานของประสาท ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของร่างกายด้วย แหล่งของอาหารที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย ที่มีแมกนีเซียมอยู่มาก ได้แก่ ขนมปังโฮลวีต สาหร่าย กล้วย และผักใบเขียวต่างๆ

เครดิตโดย พญ. รัชวดี กาญจนรุจิวงศ์

8 วิธีสวยด้วยน้ำผึ้ง

เกร็ดความรู้วันนี้ขอเสนอ ความสวยที่ได้มาจากน้ำผึ้ง แต่ก่อนจะลงมือทำสวย เรามาทดสอบก่อนดีกว่าว่า น้ำผึ่ง ที่มีอยู่นั้น ของแท้หรือของเทียม

เริ่มจาก นำน้ำผึ้งจากธรรมชาติที่ยังไม่ผ่านความร้อนใส่ไว้ในขวด ตั้งทิ้งไว้สักพัก ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้จากธรรมชาติจะสังเกตเหตุเกสรดอกไม้ลอยอยู่ด้านบน

หลังจากรู้แล้ว ก็เริ่มปฏิบัติเสริมสวยกันเลย...

1. น้ำผึ้งช่วยปรับสมดุลของร่างกายและควบคุมน้ำหนัก ใครที่มีปัญหาปวดข้อ ปวดกระดูก เป็นตะคริวอยู่บ่อย ๆ หรือแม้กระทั่งโรคอ้วน ก็สามารถดื่มน้ำผึ้ง เพื่อช่วยบรรเทาโรคต่าง ๆ ได้

วิธีคือ นำน้ำผึ้ง 3 ช้อนผสมกับน้ำส้มสายชูหมักแอ๊ปเปิ้ล (หรือ Apple Vinegar) 3 ช้อนชา ผสมน้ำเปล่า 1 แก้ว ดื่มทุกเช้าหลังตื่นนอนและระหว่างมื้อเป็นประจำทุกวัน จะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงและสดชื่น

2. หน้าแห้งแตกเป็นขุย สาวที่มีผิวหน้าแห้งกร้านเหมือนอีสานแล้ง ควรทำเป็นอย่างยิ่ง นำไข่แดง 1 ฟอง และน้ำผึ้ง 1ช้อนผสมให้เข้ากัน พอกหน้าทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

3. น้ำผึ้งสยบสิ้วเสี้ยนบนใบหน้า หลังล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น เช็ดหน้าให้แห้ง จากนั้นนำกล้วยหอมครึ่งลูก บดผสมกับน้ำผึ้ง นำมาทาบนใบหน้าทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก น้ำผึ้งมีเอนโซม์ที่ทำให้หน้าคุณชุ่มชื่นนุ่มนวลขึ้น และยังบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ด้วย

4. ผมหยาบกระด้างเกินเยียวยา ต้องลองสูตรนี้ หลังสระผมเสร็จ นำน้ำผึ้งผสมกับน้ำมันมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ ชโลมผมแล้วทิ้งไว้ 3-5 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผมคุณจะนิ่มและเงางามดุจเส้นไหม

5. ใครที่นอนไม่หลับ ฟังทางนี้ด่วน ผสมน้ำผึ้งกับน้ำอุ่น หรือนมร้อนดื่มก่อนนอน จะช่วยให้คุณหลับสบายขึ้น

6. สครับหน้าแบบง่าย ๆ เพียงนำน้ำผึ้งผสมกับแอ๊ปเปิ้ลมาปั่นรวมกัน ทาให้ทั่วใบหน้า พร้อมกับนวดเบา ๆ ความหยาบของแอ๊ปเปิ้ลจะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าให้ออกไปให้ผิวหน้าสดใสเปล่งปลั่งขึ้น

7. สูตรไล่ตีนกาออกจากหน้า นำแครอท 1 หัวเล็กมาปอกเปลือกและปั่นให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้ง และนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 5-10 นาที ริ้วรอยตีนเป็ดตีนกาทั้งหลายจะค่อย ๆ โบยบินออกจากหน้าของคุณในเร็ววัน

8. เสียงใสเหมือนระฆังเงิน หากใครเกิดอาการเจ็บคอ รู้สึกคอแห้งเสียงแหบร้องราคาโอเกะไม่สนุกละก็ เพียงผสมน้ำมะนาว 1 ลูก + น้ำผึ้ง 2-3 ช้อนโต๊ะ + น้ำเดือด 2 ช้อนโต๊ะ จิบบ่อย ๆ แก้เจ็บคอ แต่หากกินไม่หมดก็นำมาทาหน้าได้ด้วย ทาทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผิวหน้าจะขาวใสและเต่งตึงขึ้นทันตาเห็น

รูขุมขนกว้าง สาเหตุและการป้องกันแก้ไข

รูขุมขนกว้าง เป็นลักษณะทางผิวหนังที่พบได้บ่อย จะถือว่าเป็นปัญหาหรือไม่ใช่ปัญหาก็ได้ เนื่องจากไม่ใช่โรคทางผิวหนังและก่อให้เกิดอันตรายแต่อย่างใด ยกเว้นเรื่องความสวยงาม เนื่องจากคนที่มีรูขุมขนกว้าง จะมีโอกาสมีสิวเสี้ยนได้ง่ายกว่าคนที่ไม่มีปัญหาดังกล่าว

ปกติท่อที่เปิดตามผิวพรรณทั่วไป จะมี 2 ประเภทใหญ่ๆ ก็คือ ท่อเปิดต่อมเหงื่อ และท่อเปิดรูขุมขน ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ขนงอกขึ้นมา และเป็นต่อมท่อที่ระบายของไขมันจากต่อม Sebaceous Gland (ดูภาพประกอบ) ซึ่งจะมีขนาดโตมากน้อยแตกต่างกันในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับ

1. อายุ เมื่ออายุเกิน 20 ปีขึ้นไปรูขุมขนมีโอกาสจะโตมากขึ้นตามธรรมชาติ

2. ลักษณะผิว ในกรณีที่มีผิวหน้ามันมาก โอกาสจะมีรูขุมขนกว้างมากขึ้น จะเกิดขึ้นเร็วและโตกว่าคนที่มีผิวธรรมดาหรือผิวแห้ง

แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหารูขุมขนกว้าง

1. พยายามลดความมันบนใบหน้า เพื่อเป็นการป้องกัน มีได้หลายๆ วิธีดังนี้

1.1 การล้างหน้าบ่อยๆ

1.2 เลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสำหรับผิวมัน ซึ่งมักจะได้แก่ สบู่ล้างหน้า หรือโฟมล้างหน้า

1.3 การทาโลชั่นลดความมัน หรือเจลควบคุมความมัน

1.4 การรับประทานยากลุ่มเรตินอยด์ กรณีที่ผิวหน้ามันมากๆ และได้ปฏิบัติในข้อ 1.1-1.3 แล้วไม่ดีขึ้น ได้แก่ยา roaccutane,Isotretinoin

2. กระชับรูขุมขนให้เล็กลง ซึ่งมีได้หลายๆ วิธี ดังนี้

2.1 การทำ Chemical Peeling ด้วย AHA,BHA,TCA

2.2 การทำไอออนโต โดยใช้ยากลุ่มวิตามินเอ,hyaluronic acid,aloe vera

2.3 การทาครีมที่ผสมด้วยกรดผลไม้อ่อนๆ เช่น AHA,BHA เป็นประจำ

2.4 การกรอผิวหน้าด้วยเกร็ดอัญมณี (Microdermabrasion)

2.5 การกรอผิวหน้าด้วย Laser ( Laser Resufacement)

2.6 การทำ Photorejuvenation ด้วยเครื่อง IPL (Intense Pulse Light)

2.7 การทำ Skin Needling: จัดเป็นเทคนิคใหม่ล่าสุด ของ ค.ศ.2006 โดยพบได้ผลดีมากกว่าวิธีอื่นๆ

หลักการทำโดยการใช้ลูกกลิ้งที่มีเข็มเล็กๆ ติดที่ปลาย กลิ้งไปบนใบหน้า ทำให้เกิดรูเล็กๆ จำนวนมากในชั้นหนังแท้ แล้วให้ร่างกายทำการซ่อมแซมเนื้อเยื่อเอง ทั้งการสร้างคอลลาเจนใหม่ และการเรียงตัวของเซลล์ จึงทำให้ผิวหน้ากลับมาเรียบเนียนดีขึ้นได้เหมือนตอนเยาว์วัย

อนึ่งการแก้ไขปัญหารูขุมขนกว้างในข้อ 2 จะพบว่า ค่าใช้จ่ายและผลลัพธ์ที่ได้ก็แตกต่างกันไป การพิจารณาเลือกแบบใด ควรสอบถามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างรอบคอบ เพราะบางอย่างก็มีผลข้างเคียงได้ เช่น การทำการกรอหน้าด้วยเกร็ดอัญมณี หรือเลเซอร์

เตือนวัยรุ่นกินยาผิวขาว..ระวังเส้นเลือดอุดตัน

ใช้ยาเป็นประจำ เสี่ยงผิดปกติระบบสายตา

น.พ.ชาตรี บานชื่น เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า กรณีมีข่าวระบุว่าวัยรุ่นมีค่านิยมในการหันมารับประทานยาที่มีส่วนผสมของ "ทราเนซามิค แอซิด (Tranexamic acid)" ซึ่งมีการโฆษณาขายทางเว็บไซต์ โดยอวดอ้างสรรพคุณว่าสามารถสร้างเม็ดสีเมลานิน และลดสีผิวให้อ่อนลง ลดสีฝ้า กระ จุดด่างดำให้จางลง ทำให้ผิวขาว ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ไม่เคยอนุญาตให้แสดงสรรพคุณดังที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด ทั้งนี้ สรรพคุณที่ อย. อนุญาตในทะเบียนยาที่มีส่วนผสมของทราเนซามิค แอซิด คือใช้ในภาวะเลือดออกมากผิดปกติในโรคบางชนิด เช่น โรคลิวคิเมีย โรคอะพลาสติก แอนนิเมีย เป็นต้น และภาวะเลือดออกมาก ระหว่างหรือหลังการผ่าตัด รวมทั้งภาวะเลือดออกมากผิดปกติเฉพาะที่ เช่น ปอด ไต และอวัยวะสืบพันธุ์ เป็นต้น

สำหรับอาการข้างเคียงจากการรับประทานยาดังกล่าวคือ อาจทำให้ระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร

เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย เวียนศีรษะ ภาวะความดันต่ำ ภาวะที่มีลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือด เช่น ภาวะลิ่มเลือดอุดหลอดเลือดดำ หลอดเลือดแดง เป็นต้น อีกทั้งไม่ควรใช้ยานี้ระหว่างตั้งครรภ์และให้นมบุตร นอกจากนี้ ยังมีคำเตือน สำหรับผู้ใช้ยาชนิดนี้คือ ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีเลือดออกในสมอง ผู้ที่ใช้ยานี้เป็นประจำควรได้รับการตรวจวัดการมองเห็น และตรวจตาเป็นระยะๆ หากมีความผิดปกติให้หยุดยาและปรึกษาแพทย์ ระวังการใช้ยาในผู้ที่หลอดเลือดอุดตัน คนสูงอายุ และควรลดขนาดยาลงในผู้ป่วยที่ไตทำงานผิดปกติ ยานี้จัดเป็นยาอันตราย ต้องมีการสั่งจ่ายยา โดยแพทย์หรือเภสัชกรที่ร้านขายยาแผนปัจจุบันเท่านั้น

น.พ.ชาตรี กล่าวเตือนวัยรุ่นและประชาชนอย่าหลงเชื่อการโฆษณาสรรพคุณของยาดังกล่าวว่าสามารถทำให้ผิวขาว

เพราะอาจได้รับผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายจากการใช้ยาดังกล่าว โดยเฉพาะการเกิดภาวะเส้นเลือดอุดตัน สำหรับในกรณีที่มีการโฆษณาขายยาทางเว็บไซต์ต่างๆ นี้ อย.ได้ดำเนินการตรวจสอบเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว โดยจะมีความผิดฐานโฆษณาขายยาโดยไม่ได้รับอนุญาตจาก อย. มีโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท ขายยาโดยไม่มีใบอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท

สาวิตรี ศรีธรรมราช_Far039

วิ่งอย่างไรไม่ให้ปวดเข่า

การวิ่งเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่ดีและทำได้ง่าย แต่บางครั้งเทคนิคการวิ่งที่ไม่ถูกต้อง รองเท้าหรือบริเวณที่วิ่งไม่เหมาะสม การที่มีภาวะหรือโรคเกี่ยวกับข้อ หรือสภาพร่างกายที่ไม่อำนวยก็อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ ไม่ว่าจะเป็นข้อเท้า ข้อเข่า หรือหลัง

อาการปวดเข่าที่พบได้บ่อยจากการวิ่ง เกิดจากการบาดเจ็บซ้ำๆ ของกระดูกอ่อนของกระดูกสะบ้าหัวเข่าและกระดูกหัวเข่าหรือที่เรียกว่า Patellofemoral pain syndrome โดยมักทำให้เกิดอาการปวดด้านหน้าของข้อเข่าแต่อยู่ด้านหลังของกระดูกสะบ้า อาการปวดมักเป็นมากขึ้นเวลาขึ้นลงบันได หรือเวลานั่งยองๆ นานๆ นอกจากนี้ในกีฬาที่ต้องมีการกระโดดร่วมด้วย ก็อาจเกิดการบาดเจ็บซ้ำๆ ของเอ็นที่อยู่ใต้ต่อกระดูกสะบ้าร่วมด้วย

การวิ่งขึ้นลงเนินบ่อยๆ หรือต้องมีการงอเข่ามากๆ อาจจะทำให้เกิดการเสียดสีของพังผืดที่อยู่ด้านข้างนอกของเข่า (Iliotibial band syndrome) ทำให้เกิดอาการปวดบริเวณด้านนอกของข้อเข่าได้

ผู้ที่มีข้อเข่าเสื่อมและใส่รองเท้าที่ไม่มียางหรือ air cushion กันกระแทกอย่างเพียงพอ อาจเกิดอาการปวดบริเวณด้านในของข้อเข่าได้

การป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดเข่าขณะวิ่งได้แก่

1. การยืดกล้ามเนื้อรอบเข่าและข้อเท้าให้เพียงพอ ควรยืดช้าๆ ค้างไว้ 10-15 วินาที ต่อครั้ง ทำประมาณ 5-10 ครั้งต่อมัด เน้นการยืดกล้ามเนื้อน่อง กล้ามเนื้อกางสะโพก กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้าและด้านหลังเป็นหลัก

2. การ warmup ให้เพียงพอ โดยเริ่มจากการเดินเร็วหรือวิ่งเหยาะๆ ก่อนที่จะวิ่งเต็มที่ เพื่อให้มีการปรับตัวของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการออกกำลังกาย ระบบไหลเวียนโลหิต และระบบการหายใจ

3. รองเท้าวิ่ง ควรมีพื้นกันแรงกระแทกที่เพียงพอและมีความกระชับพอดีกับเท้า เวลาเลือกซื้อที่ร้านควรบอกพนักงานว่าคุณต้องการวิ่งแบบไหน ในปัจจุบันถ้าคุณไปเดินในแผนกกีฬาของห้างสรรพสินค้า จะเห็นว่ามีการแยกประเภทรองเท้าสำหรับกีฬาประเภทต่างๆ ไว้แล้ว โดยทั่วไปถ้าต้องการวิ่งออกกำลังกายเพื่อสุภาพ ไม่ใช่การวิ่งสปรินท์ ให้เลือกรองเท้าแบบ Cross training

4. การตรวจดูลักษณะเท้าว่าผิดปกติหรือไม่ ส่วนใหญ่ที่พบคือ ภาวะเท้าแบน ถ้าคุณมีเท้าแบนหรือไม่มีอุ้งเท้าสูงเพียงพอ เวลาวิ่งนานๆ อาจทำให้มีแรงปฏิกิริยาจากพื้นกระทำต่อข้อเท้าและข้อเข่าอย่างผิดปกติ ทำให้เกิดอาการปวดเข่าหรือข้อเท้าเรื้อรังได้ ท่านควรไปพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาหรืออาจลองซื้อแผ่นยางเสริมอุ้งเท้าที่มีขายสำเร็จรูปมาติดภายในรองเท้า

5. บริเวณที่วิ่ง ควรเป็นพื้นที่เสมอกัน ไม่ควรวิ่งบริเวณที่เป็นพื้นเอียงหรือบริเวณที่มีการหักเลี้ยวอย่างเฉียบพลัน พื้นวิ่งที่ดีที่สุดคือ พื้นยางสังเคราะห์เพราะมีความนุ่มและเก็บพลังงานเพื่อเปลี่ยนเป็นแรงส่งตัวได้ดี คุณอาจวิ่งบนพื้นดินแทนก็ได้ และถ้าจะวิ่งบนพื้นคอนกรีตควรเลือกรองเท้าที่รับแรงกระแทกอย่างเพียงพอ

6. ไม่ควรวิ่งก้าวเท้ายาวเกินไป หรือยกเข่าสูงเกินไป เพราะทำให้ข้อเข่าต้องงอมากเกินความจำเป็น อาจทำให้เกิดปัญหาปวดเข่าได้ง่ายขึ้น ส่วนแขนก็ควรงอเพียงเล็กน้อยและแกว่งข้างลำตัว และไม่ควรแกว่งมือเลยแนวกลางของลำตัว ในกรณีที่คุณมีปัญหาปวดหลังหรือน้ำหนักตัวมากๆ ควรแกว่งแขนค่อนมาทางด้านหลังเพื่อไม่ให้ลำตัวตัวก้มไปข้างหน้ามากเกินไปด้วย

7. ควรวิ่งโดยลงน้ำหนักที่ส้นเท้า การวิ่งโดยลงน้ำหนักที่ปลายเท้านานๆ จะทำให้เกิดแรงกระชากพังผืดฝ่าเท้า ปวดกล้ามเนื้อน่อง และยังเกิดแนวแรงที่ผิดปกติที่ผ่านต่อข้อเข่า ทำให้ต้องงอเข่ามากขึ้นขณะวิ่ง อาจทำให้เกิดการปวดเข่าด้านหน้าได้ การวิ่งลงน้ำหนักที่ปลายเท้าจะทำได้ในกรณีวิ่งสปรินท์หรือสำหรับนักกีฬาที่มีความฟิตเพียงพอ

8. ไม่ควรวิ่งขึ้นลงเนิน ถ้าคุณมีปัญหาที่ข้อเข่าบ่อยๆ ถ้าจะวิ่งขึ้นเนิน ให้เอนลำตัวไปด้านหน้า ก้าวเท้าให้สั้นลง และมองตรงไปข้างหน้า ไม่ควรแหงนหน้าขึ้น ถ้าจะวิ่งลงเนิน พยายามให้ลำตัวตั้วตรง เพราะแรงโน้มถ่วงอาจทำให้คุณเสียหลักได้ และควรก้าวเท้าให้ยาวขึ้นและเร็วขึ้นกว่าปกติ

9. ถ้าคุณมีภาวะข้อเสื่อมอย่างชัดเจน ควรออกกำลังกายด้วยวิธีอื่นเช่น ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือเดินเร็ว แทนการวิ่ง

10. ระยะทางที่วิ่งต้องเหมาะสม ถ้าจะเพิ่มระยะทางก็ควรเพื่มช้าๆ ในแต่ละสัปดาห์

11. เมื่อใกล้จะหยุดวิ่ง ค่อยลดความเร็วลง อย่ารีบวิ่งเต็มฝีเท้า และควรเดินต่ออีกสักพักเพื่อให้ร่างกายได้ชะเอากรดแลคติกออกไปจากกล้ามเนื้อบ้าง ทำให้ช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อหลังวิ่งในวันรุ่งขึ้น

12. หมั่นออกกำลังกายกล้ามเนื้อต้นขา โดยการเหยียดเข่าตรงและเกร็งค้างไว้ 5 วินาทีต่อครั้ง ทำประมาณ 10 -20 ครั้งต่อวัน หรือคุณอาจเข้ายิมเล่นเวทเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้าและด้านหลัง สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง โดยเฉพาะคุณสุภาพสตรีที่มีสะโพกกว้างซึ่งจะมีแนวโน้มที่เกิดปัญหา Patellofemoral pain ได้ การออกกำลังกายดังกล่าวจะช่วยพัฒนากล้ามเนื้อที่ช่วยรั้งกระดูกสะบ้าเข้าด้านใน ซึ่งจะช่วยลดปัญหา Patellofemoral pain ในระยะยาว

คำแนะนำที่กล่าวมานี้เป็นคำแนะนำสำหรับการวิ่งจ็อกกิ้งเพื่อสุขภาพทั่วๆ ไป รูปแบบการฝึกอาจแตกต่างออกไปถ้าท่านต้องการวิ่งเพื่อแข่งขัน หรือวิ่งสปรินท์ หวังว่าท่านจะสามารถวิ่งจ็อกกิ้งได้อย่างมีความสุขเมื่อได้ปฏิบัติตามข้อแนะนำเหล่านี้แล้ว อย่างไรก็ตามถ้ายังคงมีอาการปวดเข่าหรือข้ออื่นๆ อยู่ก็ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงหรือเพื่อการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

ผิวมัน แนวทางการป้องกันและแก้ไข

ปัญหาผิวหน้ามันมีสาเหตุส่วนใหญ่ เกิดจากปัญหาฮอร์โมนเพศ โดยมักพบได้ในชาย มากกว่าหญิง พบในวัยรุ่น จนถึงวัยกลางคนได้ ปัญหาหน้ามันเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดสิวอักเสบ สิวอุดตัน และรูขุมขนกว้าง ในภายหลังได้

แนวทางการดูแลแก้ไขมีดังนี้

1. ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ควรเลือก สบู่ล้างหน้า อาจเป็นก้อน หรือ สบู่เหลวก็ได้ เพราะในสบู่ จะมีสารที่ทำให้เกิดฟอง ซึ่งสามารถลดความมันบนใบหน้าได้ ผู้ที่มีผิวมัน สามารถล้างหน้าได้บ่อย 4-5 ครั้งต่อวันได้ ในกรณีที่ไม่สามารถพกพาสบู่ล้างหน้าไปได้ในทุกที่ การล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดบ่อยๆ หรือทุกครั้งที่หน้ามัน ก็เป็นสิ่งที่ดี การใช้เจลล้างหน้า หรือโฟม ควรเลือกเป็นพิเศษสำหรับผิวมัน แต่มักล้างความมันบนใบหน้าได้น้อยกว่าสบู่ล้างหน้า

2.การใช้โลชั่นหรือโทนเนอร์ เพื่อเช็ดหน้าลดความมัน เป็นสิ่งที่แนะนำให้ใช้ ถ้าล้างหน้าด้วยสบู่อย่างเดียวแล้วผิวหน้ายังมันอยู่

3. การใช้ Oil Conrol Products ซึ่งจะช่วยซับความมัน ควรเลือกที่มีอนุภาคเล็กๆ ที่สามารถแทรกซึมเข้าไปซับได้ในรูขุมขน ซึ่งต้องมีขนาดที่เล็กมากเป็น Micron

4. ควรเลือกครีมกันแดดที่มีลักษณะเป็นโลชั่น หรือ ครีมที่มี SPF = 15 ก็เพียงพอ เพราะถ้าเลือกครีมกันแดด ที่มี SPF สูงกว่านี้มักจะมีความมันสูง ก่อนใช้ครีมกันแดดยี่ห้อใด ควรลองทาครีมบริเวณท้องแขน เพื่อทดสอบอาการแพ้ หรือ ความมัน ก่อนการตัดสินใจในการซื้อครีมกันแดด

5. หลีกเลี่ยงของมัน ขนมหวาน ไอสครีม และอาหารที่มีแคลอรี่สูง หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด

6. ถ้าปฏิบัติข้อ 1-5 แล้วยังไม่ได้ผลดีนัก การทำให้ผิวหน้าแห้งลง ด้วย การรับประทานยา กลุ่ม Retinoids หรือ Isotretinoin เช่น Roaccutane หรือ Acnotin วันละ10-20 มก.ต่อวัน ก็เป็นการช่วยได้มาก เพราะยาในกลุ่มนี้ จะช่วยลดการสร้างไขมันที่ต่อมไขมันบนใบหน้า นอกจากนี้ยังช่วยรักษาปัญหาสิวอุดตัน รูขุมขนกว้าง และริ้วรอยแผลเป็นได้ดี แต่ก็ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์

7. ยาเม็ดคุมกำเนิด ซึ่งมักมีส่วนประกอบ ของฮอร์โมนProgesterone เฉพาะชนิดที่มีฤทธิ์ต้านฮอร์โมน Angrogen ได้ จึงสามารถทำให้ต่อมไขมันผลิตไขมันลดลงได้ แต่การทำงานดังกล่าวอาจรบกวน การมีประจำเดือนในผู้หญิงได้ จึงได้มีการเสริมฮฮร์โมนเพศหญิงคือ Estrogen ร่วมด้วย จึงอยู่ในลักษณะคล้ายยาคุมกำเนิด คือบรรจุเป็นแผง 21 เม็ด ที่นิยมใช้ในคลินิกผิวหนังก็คือ Dian-35

8. การกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี ทีเรียกว่า การทำ MD ( Microdermabrasion) โดยจะทำให้ไขมันที่เคลือบผิวส่วนบนของผิวหน้าหลุดลอกออก และทำให้ท่อไขมันเล็กลง การผลิตไขมันในต่อมไขมันถูกระบายออกได้มากขึ้น

สมุนไพรพิชิตหน้าหนาว

เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ต้องดูแลสุขภาพนะคะ หลักง่ายๆ ของการดูแลสุขภาพโดยทั่วไปคือ ต้องดูแลร่างกายให้ ได้รับความอบอุ่น เริ่มกันตั้งแต่การรับประทานอาหาร เครื่องดื่ม การทำความสะอาดร่างกาย ตลอดจนการดูแลสุขภาพด้านอื่นๆ เพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วย ซึ่งมีคำแนะนำดีๆ มาฝากค่ะ

ฤดูหนาวรับประทานอะไรดี

สำหรับการรับประทานอาหารในช่วงฤดูหนาว สาวๆ อย่างเราควรเลือกรับประทานอาหารที่ร้อนและปรุงเสร็จใหม่ๆ ควรมีรสเปรี้ยวอมขมเล็กน้อย และรสเผ็ด เช่น แกงส้มดอกแค แกงขี้เหล็ก แกงป่า สะเดาน้ำปลาหวาน และน้ำพริก เพราะธรรมชาติจะปรับเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ผักพื้นบ้านและพืชสมุนไพรในฤดูต่างๆ ก็เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน ในฤดูหนาว มักจะมีสมุนไพรพื้นบ้าน เช่น สะเดา ซึ่งมีรสขม เมื่อกินแล้วจะช่วยแก้ไข้ ทำให้เจริญอาหาร ขี้เหล็กมีสรรพคุณช่วยระบาย ดอกแคแก้ไข้หัวลม ซึ่งสาว WP ควรเลือกรับประทานผักพื้นบ้านที่มีอยู่ตามฤดูกาล ส่วนการเลือกเครื่องดื่มในช่วงหน้าหนาวนี้ ควรจะเป็นเครื่องดื่มร้อนๆ เช่น น้ำขิง ชาสมุนไพร เพื่อช่วยให้ชุ่มคอ ลดอาการไอ แก้หวัด ซึ่งป้องกันการเป็นหวัดในช่วงนี้ได้อีกทางหนึ่งด้วย

หน้าหนาวควรดูแลร่างกายอย่างไร

ด้วยอากาศที่หนาวเย็น เราควรอาบน้ำด้วยน้ำอุ่นและเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่หนา แต่บางครั้งการอาบน้ำอุ่นจะทำให้ผิวแห้งง่ายกว่าอาบน้ำเย็น เพราะน้ำมันที่ผิวหนังจะถูกชะล้างออกไป รวมทั้งความชื้นของอากาศที่ลดลง ก็จะเพิ่มให้ผิวแห้งแตกและคันได้ง่าย ดังนั้น สาวๆ ควรจะดูแลร่างกายในช่วงหน้าหนาวนี้เป็นพิเศษ โดยสามารถนำเอาสมุนไพรพื้นบ้านมาประยุกต์ใช้ดูแลผิวพรรณ อย่าง น้ำมันงา ขมิ้นชัน ผิวมะนาว และผิวมะกรูด

สมุนไพรดูแลผิวพรรณ

- น้ำมันงา นำงาดิบประมาณ 1 ถ้วย โขลกให้ละเอียด บีบเอาน้ำมันจากงาเก็บไว้ในขวด ทาผิวตอนเช้าและก่อนนอน น้ำมันงาจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดอาการแห้งแตกและคัน

- ขมิ้นชัน มีสรรพคุณช่วยลดอาการคันและช่วยลดอาการผดผื่นตามผิวหนัง เพียงนำขมิ้นชันสดมาล้างให้สะอาด โขลกให้ละเอียด บีบน้ำที่ได้นำมาทาผิว หลังอาบน้ำเช้า-เย็น แต่อาจจะมีสีของขมิ้นติดตามเสื้อผ้าที่สวมใส่

- ผิวมะกรูด น้ำมันที่ผิวของมะนาวและมะกรูด จะช่วยเคลือบผิว ให้ชุ่มชื้น ลดอาการคัน ลดการอักเสบ โดยนำมะนาวที่ใช้แล้ว ส่วนบริเวณผิวด้านนอกของมะนาว มาทาผิวบริเวณที่แห้งคัน เช้า-เย็น ก็จะช่วยลดอาการคันได้

การดูแลสุขภาพด้วยการอาบสมุนไพร

การอาบน้ำอุ่นในฤดูหนาวจะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น เพราะในฤดูหนาว คนส่วนใหญ่มักจะเป็นหวัด คัดจมูก และคันตามผิวหนัง ซึ่งหากนำสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยลดอาการคัน มาต้มอาบแทนน้ำเปล่า ก็จะช่วยบรรเทาอาการคันได้ดี สมุนไพร ที่หาได้ง่าย ที่ควรนำมาต้มมีดังนี้

• ยอดผักบุ้ง จำนวน 5 ยอด ใช้รักษาอาการคัน

• ใบมะกรูด จำนวน 3-5 ใบ แก้วิงเวียน ช่วยให้หายใจสบาย

• ใบมะขาม/ใบส้มป่อย 1 กำมือ แก้อาการคันตามร่างกาย ช่วยให้ผิวหนังสะอาด

• ต้นตะไคร้ จำนวน 3 ต้น บำรุงธาตุไฟ

• หัวไพล จำนวน 2-3 หัว ลดอาการอักเสบ ปวด บวม

• ใบหนาด จำนวน 3-5 ใบ ช่วยบำรุง แก้โรคผิวหนัง น้ำเหลือง

• หัวขมิ้นชัน จำนวน 2-3 หัว ช่วยสมานแผล แก้คันตามผิวหนัง

• การบูร จำนวน 15 กรัม ช่วยบำรุงหัวใจ

• หัวหอมแดง จำนวน 3-5 หัว แก้หวัดคัดจมูก

เพียงนำสมุนไพรทั้งหมดมาต้มรวมกัน ผสมน้ำเย็นให้พออุ่น แล้วนำมาอาบ สรรพคุณของสมุนไพรก็จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ลดอาการคันตามผิวหนัง ช่วยให้หายใจโล่ง แค่นี้สาวๆ ก็จะรู้สึกสบายตัว ไม่ต้องกังวลกับฤดูหนาวแล้ว

วิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยลดการแพ้อากาศ ได้แก่

- วิตามินซี ช่วยป้องกันและเสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือด ป้องกันหวัดและการแพ้อากาศ แหล่งที่พบมากได้แก่ ฝรั่ง ส้ม และสับปะรด

- วิตามินอี ช่วยสร้างภูมิคุ้นกัน ต้านอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรง แหล่งที่พบมากได้แก่ ธัญพืช ข้างกล้อง และรำข้าว

- วิตามินเอ ช่วยต้านอนุมูลอิสระและเสริมสร้างการทำงานของเซลล์เม็ดเลือด แหล่งที่พบมากได้แก่ ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง แครอท มะเขือเทศ ฟักทอง มะละกอ และน้ำมันตับปลา

-สังกะสี (Zinc) ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย และป้องกันอนุมูลอิสระ แหล่งที่พบมากได้แก่ อาหารทะเล ธัญพืช และผลิตภัณฑ์นม

- ซิลิเนียม (Selenium) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน แหล่งที่พบมากได้แก่ เนื้อสัตว์ ธัญพืช จมูกข้าว รำข้าว เห็ด และกะหล่ำปลี

นายชัยวิชิต อิ่นแก้ว ฟาร์ 5001023035

ก่อนหน้านี้เรามักจะได้ยินคำแนะนำที่ว่า "การดื่มน้ำมาก ๆ นั้นดีต่อร่างกาย" แต่ดูเหมือนว่าคำแนะนำนี้จะค่อนข้างใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ดื่อน้ำเยอะไปก็ไม่ดี ทั้งนี้เนื่องจากว่าในระยะหลังมานี้มีข้อโต้แย้งคำแนะนำดังกล่าวนี้มากขึ้น โดยดร.สแตนลีย์ โกลด์ฟาร์บ และดร.แดน เนกัวนู จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียในฟิลาเดลเฟีย สหรัฐฯ ได้ตรวจสอบเอกสารทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับผลต่อสุขภาพจากการดื่มน้ำปริมาณมากในแต่ละวัน ทั้งคู่ พบว่า คนที่อยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งแล้ง รวมถึงนักกีฬาอาจต้องการน้ำมากกว่าคนอื่น ขณะที่คนที่ป่วยเป็นโรคบางโรคควรดื่มน้ำมากๆ แต่สำหรับคนปกติ การกระทำดังกล่าวไม่ได้ช่วยให้สุขภาพดีขึ้นแต่อย่างใด นอกจากนี้นักเคมีบำบัดของเยอรมันยังกล่าวว่า การดื่มน้ำที่มากเกินไปนั้นก็เป็นอันตรายเช่นกัน เช่นในหมู่นักกีฬาที่ดื่มน้ำมากเกินไปอาจจะทำให้โซเดียมในร่างกายลดลง แถมการดื่มน้ำมากเกินไปก็ยิ่งทำให้เกิดการกระหายน้ำมากขึ้นด้วย แต่ทั้งนี้การดื่มน้ำน้อยเกินไปก็ไม่เป็นผลดี เพราะอาจจะทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำได้ด้วย เพราะฉะนั้นการดื่มน้ำในปริมาณที่พอดี ๆ คือ 6 - 8 แก้ว (ประมาณ 1.2 ลิตร

นายชัยวิชิต อิ่นแก้ว ฟาร์ 5001023035

ใครที่ชอบดื่มนมเป็นประจำ รู้หรือไม่ว่า การดื่มนมอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาบอกกัน .....

มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในสหรัฐฯ กล่าวว่า เด็กหนุ่มสาวทั้งหลายที่มีสิวขึ้นบนใบหน้าว่า ให้ลดปริมาณการดื่มนมให้น้อยลง เพราะก่อนหน้านี้เคยมีการทดลองแล้ว พบว่า ถ้าอยากจะห่างสิวควรจะเลิกกินมันฝรั่งทอดกรอบและช็อกโกแลต แต่ในการทดลองใหม่นี้ได้แสดงว่า

วัยรุ่นที่ดื่มนมประจำวันละไม่น้อยกว่า 476 ซีซี ล้วนแต่เป็นสิวกันครึ่งหนึ่ง เมื่อเทียบกับคนที่ดื่มน้อยกว่าหรือไม่ดื่มเลย นมมีความเกี่ยวพันกับการเป็นสิวอย่างชัดเจน รายงานผลการทดลอง ซึ่งเสนอในวารสารวิชาการ "แพทย์โรคผิวหนัง" แห่งอเมริกัน ยังกล่าวอีกว่า ฮอร์โมนการเจริญเติบโต และฮอร์โมนเพศในน้ำนมวัว อาจจะเป็นเครื่องกระตุ้นทำให้เกิดสิวได้

นายชัยวิชิต อิ่นแก้ว ฟาร์ 5001023035

คนไหนที่รู้ตัวว่ากำลังเป็นโรคแพ้อากาศ วันนี้มีทางออกที่ช่วยลดการแพ้อากาศมาบอก...

ลดอาการแพ้อากาศได้โดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ พักผ่อนให้เพียงพอ และที่สำคัญควรกินผักผลไม้สด เพื่อให้ได้รับวิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยลดการแพ้อากาศ

วิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยลดการแพ้อากาศ ได้แก่

- วิตามินซี ช่วยป้องกันและเสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือด ป้องกันหวัดและการแพ้อากาศ แหล่งที่พบมากได้แก่ ฝรั่ง ส้ม และสับปะรด

- วิตามินอี ช่วยสร้างภูมิคุ้นกัน ต้านอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรง แหล่งที่พบมากได้แก่ ธัญพืช ข้างกล้อง และรำข้าว

- วิตามินเอ ช่วยต้านอนุมูลอิสระและเสริมสร้างการทำงานของเซลล์เม็ดเลือด แหล่งที่พบมากได้แก่ ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง แครอท มะเขือเทศ ฟักทอง มะละกอ และน้ำมันตับปลา

-สังกะสี (Zinc) ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย และป้องกันอนุมูลอิสระ แหล่งที่พบมากได้แก่ อาหารทะเล ธัญพืช และผลิตภัณฑ์นม

- ซิลิเนียม (Selenium) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน แหล่งที่พบมากได้แก่ เนื้อสัตว์ ธัญพืช จมูกข้าว รำข้าว เห็ด และกะหล่ำปลี

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากลดอาการแพ้อากาศ ลองหาวิตามินและเกลือแร่ที่แนะนำมาทานกันดีกว่า

เลปวรรณ จันต๊ะคาด(ม.ฟาร์อีส)

การป้องกันโรคมะเร็ง ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง

โรคมะเร็งเป็นโรคที่พบได้บ่อยโดยเฉพาะในปัจจุบันซึ่งมีมลภาวะจากการพัฒนาประเทศ และประชาชนขาดความเอาใจใส่ต่อสุขภาพตนเอง ขาดการออกกำลังกาย รับประทานอาหารไม่เลือก เหล่าเป็นสาเหตุให้มะเร็งเพิ่มขึ้น

โรคมะเร็งเป็นโรคที่ป้องกันได้ และสามารถรักษาให้หายขาดได้หากสามารถวินิจฉัยได้ตั้งแต่เริ่มเป็น เนื้อหาที่นำเสนอจะเป็นแนวทางการตรวจและวินิจฉัย พร้อมทั้งแผนการรักษา ท่านผู้อ่านควรทำความเข้าใจ และนำความรู้ที่ได้ปรึกษาแพทย์ของท่านเกี่ยวกับวิธีรักษาของมะเร็งแต่ละชนิด

โรคมะเร็งคืออะไร

ร่างกายเราประกอบไปด้วยอวัยวะต่างๆ อวัยวะจะประกอบด้วยเซลล์ กลุ่มของเซลล์ที่มีรูปร่างและทำหน้าที่เหมือนกันรวมตัวกันจะเป็นอวัยวะ หลายอวัยวะมาทำงานร่วมกันเป็นระบบ หลายๆระบบทำงานร่วมกันเป็นร่างกายของคนเรา เซลล์ต่างๆจะมีอายุเมื่อตายก็จะมีเซลล์ใหม่เจริญทดแทนเซลล์เก่า

เซลล์ที่สร้างใหม่ไม่หยุดเราเรียกเนื้องอกซึ่งแบ่งเป็น เนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงหรือทางการแพทย์เรียก Benign tumor ส่วนมะเร็งที่แพร่กระจายไปอวัยวะอื่นๆเรียกมะเร็ง

ชนิดของมะเร็ง

ชนิดของมะเร็งจะแบ่งตามชนิดของเซลล์ที่เป็นต้นกำเนิด เช่น

carcinomas เซลล์ต้นกำเนิดเกิดเซลล์บุผิว (epithelium)มะเร็งชนิดนี้เป็นมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดประมาณร้อยละ 85

Sarcomas เป็นมะเร็งที่เกิดจากเนื้อเยื่อผูกพัน(connective tissue) เช่นกล้ามเนื้อ กระดูก ไขมัน

leukemia/lymphoma เป็นมะเร็งที่เกิดจากเซลล์เม็ดเลือด

มะเร็งอื่นๆ เช่น มะเร็งสมอง

คนเราเป็นโรคมะเร็งชนิดไหนมาก

ผู้ชายเราพบมะเร็ง

มะเร็งปอด 19%

มะเร็งต่อมลูกหมาก 17 %

มะเร็งลำไส้ใหญ่ 14 %

มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ 7 %

ผู้หญิง

มะเร็งเต้านม 29%

มะเร็งลำไส้ใหญ่ 12%

มะเร็งปอด 11%

มะเร็งรังไข่ 5%

การรักษาโรคมะเร็ง

การเฝ้าติดตาม

เมื่อบอกว่าเป็นมะเร็งคนทั่วไปมักจะคิดว่าต้องผ่าตัด หรือให้เคมีบำบัด แต่มีมะเร็งบางประเภทที่ไม่แพร่กระจาย และเจริญเติบโตช้ามาก การรักาาจึงเฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงของมะเร็ง

การผ่าตัด

การผ่าตัดจะผ่าเอาเนื้องอกออกจากร่างกาย นอกจากนั้นบางรายอาจจะต้องผ่าตัดเอาต่อมน้ำเหลืองหรือมะเร็งที่แพร่กระจายออกให้หมด อ่านที่นี่

การฉายแสง

คือการใช้รังสีรักษาเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งแต่มีผลกับเซลล์ปกติน้อย อาการข้างเคียงคืออาการอ่อนเพลียไม่มีแรง

เคมีบำบัด

คือการให้สารเคมีหรือยาที่ทำลายเซลล์มะเร็งมีทั้งยาเม็ด ยาน้ำ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นยาฉีด มะเร็งบางชนิดให้ยาเพียงชนิดเดียวแต่ว่วนใหญ่จะยาสองชนิดขึ้นไป

การให้ฮอร์โมน

มะเร็งบางชนิดจะแบ่งตัวเมื่อมีฮอร์โมน การให้ยาเพื่อเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนทำให้เซลล์หยุดการเจริญเติบโต ส่วนใหญ่จะใช้รักษามะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก

การรักษาอื่นๆ

เช่นการให้ภูมิเพื่อทำลายเซลล์เช่น interferon เป็นต้น

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์

ระบบย่อยอาหาร!!!

ระบบย่อยอาหารประกอบด้วย ปาก ลิ้น ฟัน หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก และลำไส้ใหญ่ อวัยวะต่างๆ มีหน้าที่ ดังนี้

1 ปาก เป็นอวัยวะส่วนแรงของระบบย่อยอาหาร ภายในประกอบด้วย ลิ้น ฟัน และต่อมน้ำลาย เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไป ริมฝีปากและลิ้นจะทำหน้าที่ส่งอาหารให้ฟันบดเคี้ยว และลิ้นยังทำหน้าที่รับรสชาติอาหาร และคลุกเคล้าอาหารกับน้ำลายเพื่อให้อาหารอ่อนนุ่ม กลืนสะดวก นอกจากนี้ในน้ำลายยังมีน้ำย่อยช่วยย่อยอาหารจำพวกแป้งให้เป็นน้ำตาลด้วย

2 หลอดอาหาร เป็นท่อกลวงขนาดสั้น มีความยาวประมาณ 25 เซนติเมตร ส่วนปลายของหลอดอาหารเป็นกล้าเนื้อหูรูด ซึ่งสามารถบีบตัวให้หลอดอาหารปิด เพื่อป้องกันไม่ให้อาหารที่อยู่ในกระเพาะอาหารไหลย้อยกลับสู่หลอดอาหารอีก หลอดอาหารไม่มีหน้าที่ในการย่อยอาหาร แต่ทำหน้าที่เป็นทางลำเลียงอาหารไปสู่กระเพาะอาหารเท่านั้น

3 ตับและตับอ่อน เป็นอวัยวะที่ผลิตน้ำดีและส่งไปเก็บไว้ที่ถุงน้ำดี เพื่อช่วยในการย่อยไขมัน

4 กระเพาะอาหาร เป็นอวัยวะที่อยู่ต่อจากหลอดอาหาร ตั้งบริเวณใต้ทรวงอกของคนเรา ส่วนบนของกระเพาะอาหารจะเชื่อมต่อกับหลอดอาหาร และส่วนปลายเชื่อมต่อกับลำไส้เล็ก มีลักษณะเป็นกล้ามเนื้อหูรูด เพื่อป้องกันไม่ให้อาหารที่อยู่ในลำไส้เล็กย้อยกลับสู่กระเพาะอาหารได้อีกกล้ามเนื้อขนาดใหญ่

กระเพาะอาหารทำหน้าที่ผลิตน้ำย่อยออกมา เพื่อย่อยอาหารพวกโปรตีนเท่านั้น โดยกระเพาะอาหารจะบีบรัดตัวให้อาหารคลุกเคล้ากับน้ำย่อย

5 ลำไส้เล็ก เป็นทางเดินอาหารที่สำคัญที่สุดและมีความยาวที่สุด ลำไส้เล็กจะทำหน้าที่ย่อยอาหารทุกประเภท และการย่อยแล้วจะถูกดูดซึมผ่านผนังลำไส้เล็กเข้าสู่หลอดเลือด

6 ลำไส้ใหญ่ เป็นส่วนที่ต่อจากลำไส้เล็ก มีลักษณะเป็นท่อกลวงขนาดใหญ่ ส่วนปลายเป็นกล้ามเนื้อหูรูด เรียกว่า ทวารหนัก ลำไส้ใหญ่ไม่ได้ทำหน้าที่ในการย่อยอาหาร แต่จะทำหน้าที่ดูดซึมน้ำและเกลือแร่บางส่วนที่เหลืออยู่ในกากอาหาร ทำให้กากอาหารเป็นก้อนอุจจาระ นอกจากนี้ลำไส้ใหญ่ยังขับเมือกออกมาหล่อลื่น ทำให้อุจจาระเคลื่อนตัวได้เมื่อเรากินอาหารเข้าไป ฟันของเราจะบดเคี้ยวอาหารให้เล็กลง และอาหารจะเคลื่อนผ่านหลอดอาหารไปยังกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารจะย่อยอาหารให้เล็กลง และส่งผ่านไปยังลำไส้เล็ก อาหารต่างๆ ถูกย่อยที่ลำไส้เล็กเป็นจุดสุดท้าย และถูกดูดซึมเข้าสู่หลอดเลือด เพื่อไปเลี้ยงร่างกายส่วนกากอาหารที่เหลือจะถูกขับอออกมาทางทวารหนัก

การตรวจสุขภาพ

การตรวจสุขภาพด้วยตัวเอง

ปัจจุบันสังคมไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงจากสังคมเกษตรกรรมไปสู่สังคมอุตสาหกรรม การใช้ชีวิตของคนเปลี่ยนไปทั้งในแง่การใช้แรงงานทำงานมาใช้สมองนั่งโต๊ะทำงาน การใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบทำให้เกิดความเครียด ขาดการออกกำลังกาย ขาดการรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ ขาดความสนใจต่อสุขภาพตัวทำให้เกิดโรคต่างๆซึ่งเกิดจากการไม่ดูแลตัวเองให้ดีเช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมอง ความดันโลหิตสูง โรคมะเร็งซึ่งโรคเหล่านี้สามารถป้องกันหรือลดอุบัติการณ์ได้โดยการที่เราใส่ใจดูแลตัวเอง เพียงใช้เวลาวันละประมาณ 1 ชั่วโมงก็สามารถทำให้สุขภาพดีขึ้น

คนไทยทุกวันนี้รักสุขภาพมากขึ้นจะเห็นได้จากกระแสการใช้สมุนไพร การนวด spa ชาเขียว อาหารเสริมต่างๆ การตรวจสุขภาพต่างๆ ทั้งที่อาจจะไม่มีรายงานว่าได้ผลจริงทำให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจและเสียงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน

ในความหมายของคนทั่วไปการตรวจสุขภาพคือไปพบแพทย์และตรวจตามโปรแกรมตามที่แพทย์หรือโรงพยาบาลเสนอ ในความเป็นจริงการตรวจสุขภาพตนเองควรจะเริ่มต้นโดยตัวเองสำรวจสุขภาพตนเอง

กินวิตามิน..เกลือแร่ แก้แพ้อากาศ

คนไหนที่รู้ตัวว่ากำลังเป็นโรคแพ้อากาศ วันนี้เดลินิวส์มีทางออกที่ช่วยลดการแพ้อากาศมาบอก...

การลดอาการแพ้อากาศทำได้โดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ดื่มน้ำเปล่ามากๆ พักผ่อนให้เพียงพอ และที่สำคัญควรกินผักผลไม้สด เพื่อให้ได้รับวิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยลดการแพ้อากาศ

วิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยลดการแพ้อากาศ ได้แก่

วิตามินซี ช่วยป้องกันและเสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือด ป้องกันหวัดและการแพ้อากาศ แหล่งที่พบมากได้แก่ ฝรั่ง ส้ม และสับปะรด

วิตามินอี ช่วยสร้างภูมิคุ้นกัน ต้านอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรง แหล่งที่พบมากได้แก่ ธัญพืช ข้างกล้อง และรำข้าว

วิตามินเอ ช่วยต้านอนุมูลอิสระและเสริมสร้างการทำงานของเซลล์เม็ดเลือด แหล่งที่พบมากได้แก่ ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง แครอท มะเขือเทศ ฟักทอง มะละกอ และน้ำมันตับปลา

สังกะสี (Zinc) ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย และป้องกันอนุมูลอิสระ แหล่งที่พบมากได้แก่ อาหารทะเล ธัญพืช และผลิตภัณฑ์นม

ซิลิเนียม (Selenium) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน แหล่งที่พบมากได้แก่ เนื้อสัตว์ ธัญพืช จมูกข้าว รำข้าว เห็ด และกะหล่ำปลี

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากลดอาการแพ้อากาศ ลองหาวิตามินและเกลือแร่ที่แนะนำมาทานกันดีกว่า

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว ม.ฟาร์

กินปลา เพื่อสุขภาพ

1. ปลาสามารถแยกประเภทและชนิดได้อย่างไร

จริง ๆ วิธีแยกประเภทของปลา คงจะมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่า จะแยกเพื่อประโยชน์ประเภทใด แต่ในทางวิชาการแพทย์ หรือที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ก็คงจะแยกเป็นปลาน้ำจืด กับปลาน้ำเค็ม

2. ในเนื้อปลามีสารอาหารชนิดใดบ้างที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

ด้านหลัก : จะเป็นโปรตีน ซึ่งในเนื้อปลา จะเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย และมีประโยชน์ต่อร่างกาย ไขมันจะมีอยู่บ้าง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับประเภทของปลา อย่างในปลาน้ำจืด จะมีไขมันไม่มากนัก ยกเว้นพวกปลาสวาย หรือปลาสลิดตากแห้ง ส่วนปลาทะเล ก็จะมีไขมันอีกประเภท ซึ่งจะแตกต่างจากปลาน้ำจืด พวกที่เป็นกรดไขมัน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เราพบว่า มันมีคุณค่าในแง่ ของการลดการจับตัวของเกล็ดเลือด และอาจจะช่วยในการป้องกันโรคต่างๆ อาทิ โรคหลอดเลือดหัวใจ หรือไขมันในเลือดสูง นอกจากนั้น เครื่องใน ตับปลา ก็จะมีน้ำมันและวิตามิน ในกลุ่มที่ละลายได้ดีในไขมัน เป็น วิตามิน A D E K และ แร่ธาตุ โดยเฉพาะในตัวปลาบางชนิด ที่เรารับประทานได้ ก็จะได้แคลเซียมด้วย

3. ปกติเราควรรับประทานอาหารประเภทปลามากน้อยเพียงใดต่อวัน

ปกติร่างกายของคนเรา จะต้องการโปรตีนแตกต่างกันไป แล้วแต่ช่วงวัย เช่น วัยเด็กจะต้องการโปรตีนสูง 1.2 - 1.5 ต่อ น้ำหนักต่อ 1 กิโลกรัม ในผู้ใหญ่ 0.8-1 กรัม ต่อ กิโลกรัมต่อวัน ซึ่งในแต่ละวัน ก็ควรบริโภคเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ ด้วย

4. ในด้านประโยชน์ต่อสุขภาพมีอะไรบ้าง

ด้านหลัก : ก็จะได้โปรตีน เพราะโปรตีน เพราะโปรตีนในเนื้อปลา จะย่อยง่าย มีคุณค่าในแง่ของการบำรุงสมอง การพัฒนาสมองในเด็ก โดยเฉพาะปลาทะเล นอกจากจะได้โปรตีนแล้ว ยังจะได้แร่ธาตุไอโอดีน จะมีบทบาทในการพัฒนาสมอง โดยเฉพาะที่ไกลจากทะเล ก็จะมีความเสี่ยงก็จะเกิดโรคคอพอก ในกลุ่มผู้สูงอายุก็เป็นแหล่งโปรตีน ที่รับประทานง่าย ย่อยง่าย ก็จะเป็นประโยชน์ของปลา

5. ในกรณีที่แพ้อาหารทะเล ไม่สามารถรับประทานได้ จะมีวิธีแก้ไขอย่างไร

ถ้าขาดอาหารทะเล ก็สามารถรับประทานปลาน้ำจืดแทนได้ แต่ถ้าไม่สามารถรับประทานปลาได้เลย เช่น เหม็นคาวปลา ก็ยังสามารถได้ในแหล่งโปรตีนอื่นๆ เช่น เนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ ไข่ดาว ถั่ว งา ร่างกายก็ยังจะได้โปรตีนเพียงพอ

6. การรับประทานปลาให้ได้ประโยชน์ต่อร่างกาย

1. รับประทานปลาที่ปรุงสุก

2. เปลี่ยนประเภทของปลาไปเรื่อยๆ ลดปัญหาการปนเปื้อน

3. บริโภคร่วมกับอาหารอื่นๆ ให้ครบทุกชนิด คือ อาหารหลัก 5 หมู่

7. ที่เรียกกันว่า น้ำมันตับปลา หรือ น้ำมันปลา ควรรับประทานหรือไม่

ปัจจุบันที่มีขายอยู่ตามท้องตลาด จะมี 2 ประเภท คือ น้ำมันตับปลา หรือ น้ำมันปลา

น้ำมันตับปลา มีจำหน่ายมานานแล้ว ซึ่งผู้ใหญ่จะนำมาให้เด็กๆ ทาน เพื่อเป็นยาบำรุง ซึ่งจะมีวัตถุประสงค์ ก็จะต้องการเสริมวิตามิน ซึ่งจะละลายในไขมัน A D E K ก็จะสกัดจากปลา มีทั้งชนิดเม็ดและชนิดน้ำ

แต่ในปัจจุบันนี้ ที่นิยมกันมากขึ้น คือ น้ำมันปลา (Fish oil) เป็นสารสกัดไขมันจากปลาทะเล มีการศึกษาจากการเปรียบเทียบ เกี่ยวกับการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ในคนชาวเอสกิโม เมื่อเปรียบเทียบ กับชาวเอสกิโม จึงทำให้ชาวเอสกิโม มีอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ น้อยกว่า นับว่าชาวเอสกิโม จะรับประทานปลามากกว่า จึงทำให้ได้รับสารอาหารกจากปลามากกว่า ซึ่งจะมีฤทธิลดกรดตัวของเกร็ดเลือด และลดไตรกีรเซอร์ไรด์ได้ดี ทำให้คนมีความสนใจมากขึ้น แต่จากการศึกษาทดลอง จากแพทย์สหรัฐอเมริกา พบว่า การบริโภคแต่น้ำมันปลาในรูปเม็ด ไม่สามารถป้องกันโรคหัวใจ และไม่ช่วยผู้ป่วย หายจากโรคหัวใจ

8. ข้อแนะนำช่วงท้ายรายการ : ข้อแนะนำเพื่อสุขภาพ

1. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่

2. รับประทานอาหารให้พอเหมาะ

3. รับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารมาก ช่วยควบคุมลำดับน้ำตาลและไขมันในเลือด

4. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหาร ที่มีไขมันในปริมาณมาก

5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

6. งดการสูบบุหรี่ และดื่มสุรา

สวยด้วยชาดำ

ทราบหรือไม่ว่า ชาดำทำให้สวยได้ มีเรื่องนี้มาบอก...

ชาดำ มีประโยชน์กับผิวพรรณ และสุขภาพ เพราะชาดำมีสารแอนติออกซิแด้นท์สูง มีวิตามินอี และซีที่ช่วยลดเลือนริ้วรอย ทำให้เป็นส่วนผสมสำคัญในเครื่องสำอางหลากหลายประเภท นอกจากนี้ยังช่วยลดการเผาไหม้ของแสงแดด ให้ความชุ่มชื่นกับริมฝีปาก ลดการอาการบวมของเปลือกตา ให้กลิ่นหอมต่อเรียวเท้า และยังให้ความเงางามกับเส้นผม

วิธีสวยด้วยชาดำ

สำหรับดวงตา นำถุงชาที่ใช้แล้วไปแช่ตู้เย็น เมื่อดวงตาเกิดการเหนื่อยล้า ให้นำมาประคบบนเปลือกทิ้งไว้ข้างละ 10-20 นาที จะช่วยลดการบวมช้ำได้ดี แต่ถ้าอยากได้คุณค่าชาดำ แบบเต็ม ๆ ให้นำน้ำชา (ที่เย็นแล้ว) มาล้างหน้าแทนน้ำเปล่า ส่วนถ้าอยากใช้แทนลิปโทนเนอร์ ให้เอาถุง ชาอุ่น ๆ มาถูบริเวณริมฝีปาก ประมาณ 5 นาที จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นได้มาก แต่ถ้าอยากให้เท้าหอม ให้ล้างเท้าด้วยน้ำชาแบบเข้มข้น ปิดท้ายด้วยการเพิ่มความเงางามให้เส้นผม ด้วยการนำน้ำชาแบบเข้มข้นมา ล้างแชมพูออกแทนน้ำเปล่า เพียงเท่านี้ ผมก็จะสวยเงางาม

หันมา สวยแบบประหยัด ด้วย "ชาดำ" กันเถอะ

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ 5001023016(ฟาร์)

นมเปรี้ยวแก้ท้องผูก และแก้ท้องเสีย

ประโยชน์ที่จะได้จากการดื่มนมเปรี้ยวก็คือการได้รับแบคทีเรียชนิดดีทั้ง 2 ชนิดเข้าไปในลำไส้ โดยมีการศึกษาที่พบว่า Lactobacilli จะช่วยกำจัดแบคทีเรียชนิดร้ายที่อาจจะเจริญเติบโตในลำไส้และทำให้เกิดท้องเสียได้ แต่ขณะนี้แบคทีเรียที่ทำให้เกิดท้องเสียชนิดเฉียบพลันหลายชนิดดื้อต่อ Lactobacilli จึงมักจะต้องได้ยาปฏิชีวนะในการรักษาท้องเสีย การดื่มนมเปรี้ยวเพื่อรักษาโรคท้องร่วงจากเชื้อแบคทีเรียจึงอาจจะไม่สามารถควบคุมเชื้อแบคทีเรียได้ อย่างไรก็ตามการดื่มนมเปรี้ยวเป็นประจำอาจจะช่วยป้องกันลำไส้ไม่ให้ท้องเสียได้ ในกรณีที่รับประทานอาหารที่อาจมีแบคทีเรียชนิดร้ายปะปนเข้าไปในอาหาร

สำหรับกลไกที่นมเปรี้ยวช่วยแก้ไขท้องผูกนั้นเชื่อว่า การมีแบคทีเรียชนิดนี้จำนวนมากจะช่วยทำให้ลำไส้ใหญ่แข็งแรง มีแรงบีบตัวที่มากขึ้น ช่วยในการผลักดันอุจจาระออกมาง่ายขึ้น นอกจากนั้นแบคทีเรียชนิดดีนี้จะช่วยย่อยกากใยในอาหาร ทำให้เกิดกรดแฟตตี้โมเลกุลสั้นจำนวนมากมาย ซึ่งเป็นอาหารของเซลล์ต่าง ๆ ในลำไส้ใหญ่ และเกิดน้ำและก๊าซทำให้อุจจาระนุ่ม ไม่เกาะตัวแน่นจนแข็งเป็นก้อนใหญ่ อุจจาระที่นุ่มนี้จึงทำให้ถ่ายได้ง่าย แต่คนที่มีอาการท้องผูกที่เป็นมานานและมีอุจจาระที่แข็งและก้อนใหญ่มาก หรือแข็งจนเป็นเม็ดกระสุนอาจจะตอบสนองไม่มีดีต่อนมเปรี้ยว จึงควรได้รับการรักษาด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย

สิ่งที่ได้จากการดื่มนมเปรี้ยวถัดมาก็คือ การได้แคลเซียมจากนมวัวที่นำมาทำนมเปรี้ยว แต่เนื่องจากนมเปรี้ยวนี้มีราคาแพงกว่านมวัวพร้อมดื่มทั่วไปเกือบ 3 เท่าตัว เมื่อเปรียบเทียบในปริมาณน้ำนมที่เท่ากัน จึงไม่แนะนำให้ดื่มนมเปรี้ยวเพื่อหวังจะได้รับแคลเซียมเพียงอย่างเดียว

น้ำตาลทรายในนมเปรี้ยวนี้มีส่วนที่ทำให้ฟันผุได้ง่าย ดังนั้นเมื่อดื่มนมเปรี้ยวทุกครั้งก็ควรจะบ้วนปาก เพื่อกำจัดคราบน้ำตาลในนมที่อาจเกาะติดที่ฟันได้ ในกรณีที่ดื่มนมเปรี้ยวแล้วเข้านอน ก็ควรได้รับการแปรงฟันทุกครั้ง

ยังมีนมเปรี้ยวที่ผสมผลไม้ชนิดต่าง ๆ และทำให้เป็นครีมเข้มข้น จึงควรอ่านฉลากข้างขวดว่า ให้พลังงานเท่าใดด้วย เพราะถ้ารับประทานมากเกินไปก็อาจทำให้เป็นโรคอ้วนได้ ถ้าแยกดื่มเป็นนมวัวธรรมดา และรับประทานผลไม้เป็นประจำก็จะประหยัดเงินกว่ามาก

และสุดท้าย มีนมเปรี้ยวที่บรรจุในกล่องยูเอชทีโดยไม่ได้แช่ตู้เย็น นมเปรี้ยวชนิดนี้จะไม่มีแบคทีเรียที่มีชีวิตทั้ง 2 ชนิดนี้ จึงมีแต่น้ำนมที่ไม่มีน้ำตาลแลคโตส แต่มีน้ำตาลทรายและกรดแฟตตี้ชนิดโมเลกุลดังที่ได้กล่าวมา จึงให้คุณค่าคล้ายน้ำนมวัวธรรมดาแต่จะแพงกว่าการดื่มนมวัว จึงควรพิจารณาความคุ้มค่าทางด้านโภชนาการกับจำนวนเงินที่ต้องจ่ายไป

สุดท้ายนี้ขอเตือนให้จำว่า การดื่มนมนั้นเมื่อให้ร่างกายได้รับแคลเซียมและแร่ธาตุอื่น ๆ เป็นหลัก แต่ที่ได้นอกเหนือจากนั้นก็คือ การได้รับโปรตีนและพลังงานที่มากพอสมควร โดยปกตินม 1 แก้ว จะให้พลังงานเกือบ 12% และ 10% ของความต้องการพลังงานใน 1 วัน ในหญิงและชายตามลำดับ ถ้าไม่อยากให้ได้รับพลังงานมากเกินไป ก็ควรดื่มนมขาดมันเนย และเมื่อจะดื่มนมเปรี้ยว เราก็คาดหวังจะได้รับแบคทีเรียชนิดดีทั้ง 2 ชนิดดังที่ได้กล่าวมา จึงควรดื่มเพียงชั่วคราว โดยเฉพาะควรดื่มหลังจากการได้กินยาปฏิชีวนะในการรักษาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ เมื่อดื่มนมเปรี้ยวได้สักระยะ ภายในลำไส้ใหญ่ก็จะมีแบคทีเรียชนิดดีนี้จำนวนมาก ก็ควรจะเลี้ยงแบคทีเรียนี้อย่างต่อเนื่องด้วยการรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำทุก ๆ วัน โดยไม่จำเป็นต้องดื่มนมเปรี้ยวอีกต่อไป.

การออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น เช่น

เดินให้เร็วขึ้นสลับกับเดินช้า

ขี่จักรยานนานขึ้น

ขึ้นบันไดหลายชั้นขึ้น

ขุดดิน ทำสวนนานขึ้น

ว่ายน้ำ

เต้น aerobic แต่ไม่ต้องมาก

เต้นรำ

เล่นกีฬา เช่น แบดมินตัน เทนนิส ปิงปอง

การออกกำลังกาย ส่งเสริมให้มีกิจกรรมให้มาก อย่านั่งๆนอนๆจะทำให้สุขภาพกาย สุขภาพใจ และการควบคุมน้ำหนักดีขึ้นสำหรับผู้ใหญ่ ส่งเสริมให้มีกิจกรรมที่ใช้พลังงานปานกลาง มากกว่าปกติวันละ 30 นาทีทุกวันไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน หรือที่บ้าน เช่นการถูบ้าน การเดินขึ้นบันได การเดินเร็วๆไปจ่ายตลาด ถ้าต้องการให้สุขภาพแข็งแรงให้ออกกำลังกายชนิดหนัก หรือออกกำลังกายนานขึ้น ถ้าต้องการควบคุมน้ำหนักหรือป้องกันน้ำหนักเพิ่มต้องออกกำลังกายชนิดปานกลางหรือชนิดหนักวันละ 60 นาทีทุกวัน โดยที่รับประทานอาหารที่มีพลังงานเท่าเดิม ถ้าต้องการลดน้ำหนักลดน้ำหนักต้องออกกำลังกายปานกลางถึงหนักวันละ 60-90 นาทีโดยที่รับประทานอาหารที่ให้พลังงานไม่เกิน

ส่งเสริมให้ร่างกายแข็งแรงโดยการ ออกกำลังเพื่อให้หัวใจแข็ง ออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ออกกำลังกายเพื่อให้ข้อเคลื่อนไหวได้ดี ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายมีความอดทน

20 วิธีรักษาสุขภาพใจ เมื่อชีวิตล่ม

คุณเคยประสบเหตุการณ์ "ชีวิตล่ม" หรือไม่ ช่วงเวลาที่คุณรู้สึกว่าไม่เหลืออะไรอีกแล้วในชีวิต หัวใจปวดชาและไม่ว่ามองไปทางไหนก็เหมือนมีหมอกซึมเศร้าครอบคลุมไปทั่ว คุณไม่จำเป็นต้องเป็นนักธุรกิจพันล้านจึงประสบเหตุการณ์เช่นนี้

การสูญเสียบุคคลที่รัก หรือการต้องผ่านเหตุการณ์อันเลวร้ายก็เพียงพอที่จะให้ทำคุณสงสัยว่าคุณจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกหรือ ?

ดอกเตอร์ซูซาน ซอกกลิโอ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา แนะนำ 20 วิธีต่อไปนี้ เพื่อให้คุณสามารถทำใจและก้าวไปข้างหน้ากับชีวิตได้

1. ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง อย่าพยายามผลักอารมณ์หรือความรู้สึกออกไป ขั้นแรกของการรักษาสภาพจิตใจก็คือการที่คุณแยกแยะอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นความเศร้า ความโกรธ ความรู้สึกผิด หรือความรู้สึกอื่นๆ จงยอมรับเมื่อมันเกิดขึ้น

2. กำหนดเวลาสงบ ทำหน้าที่ในแต่ละวันของคุณให้เสร็จ และกำหนดเวลา 15 นาทีในแต่ละวันให้เป็นเวลาสงบ ควรจะเป็นเวลาเดียวกันทุกวันหากทำได้ ระหว่างวันควรให้เวลาตนเองได้อยู่เงียบๆเช่นไปเดินเล่นคนเดียว หรือเขียนบันทึก

3. แสดงความรู้สึกของคุณออกมา ให้สังเกตุและศึกษาอารมณ์ของตัวเอง แล้วถ่ายทอดออกมา ไม่ว่าจะเป็นการเขียนบันทึก บทกลอน จดหมาย หรือการวาดภาพ

4. สร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว เพื่อนฝูง หรือเข้ากลุ่มกับผู้ที่มีประสบการณ์เดียวกันเพื่อแชร์ความรู้สึกของคุณ เปิดกว้างต่อความรักและความห่วงใยที่มีอยู่รอบตัวคุณ อย่าคิดว่าคุณอยู่ตัวคนเดียว

5. สร้างเครื่องเตือนความทรงจำ หากคุณสูญเสียคนที่เป็นที่รักไป ให้ทำสิ่งเล็กๆน้อยที่ช่วยให้คุณระลึกถึงผู้ที่จากไป เช่น คุณอาจจะจัดทำสมุดบันทึกภาพหรือวิดีโอเกี่ยวกับผู้ซึ่งจากไป แล้วแจกจ่ายให้เพื่อนหรือญาติๆ

6. สร้างสิ่งอุทิศกับสิ่งที่คุณเสียไป ซึ่งอาจจะเป็นบ้านหรือตึกที่ทำงาน โดยการทำอัลบั้มภาพรวมเรื่องราวที่มีความหมายพิเศษ

7. หาวัตถุแทนค่าทางใจ อาจเป็นสิ่งของที่มีความหมายพิเศษและทำให้คุณรู้สึกว่าได้อยู่ใกล้กับสิ่งที่คุณสูญเสีย ซึ่งจะเป็นสิ่งที่คุณจะทนุถนอมไว้ในใจตลอดไป

8. ถ่ายทอดความรัก หนึ่งในการให้เกียรติชีวิตที่สูญเสียไปก็คือ การถ่ายทอดและเผือแผ่ความรักไปยังผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นการยิ้ม ให้กำลัง หรือเป็นที่ปรึกษาใหัผู้อื่นเพื่อสร้างความรู้สึกทางบวกให้ตนเอง

9. ทำกุศลกรรมในชื่อของคนรักของคุณที่จากไป คุณอาจจะก่อตั้งมูลนิธิหรือกองทุนเพื่อสิ่งที่ผู้ที่จากไปนั้นรัก หรือให้ความสำคัญ

10. แสดงความมีน้ำใจในที่ทำงาน หากคุณสูญเสียเพื่อนร่วมงาน คุณอาจจะทำโดยไม่ต้องออกชื่อก็ได้

11. บอกเล่าเรื่องราวของคุณ เพื่อว่าผู้อื่นที่ประสบเหตการณ์เดียวกันจะได้ไม่รู้สึกเดียวดาย

12. กอดและปลอบโยนผู้ซึ่งกำลังเศร้าโศกจากการสูญเสีย

13. ช่วยเหลือ เช่นการรับเอาสัตว์จรจัดมาเลี้ยง

14. สนุกสนานกับสิ่งเล็กๆน้อยๆ เช่นการแสดงดนตรี หรือเกมกีฬา

15. พูดคำขอบคุณให้มากขึ้นที่โต๊ะอาหาร

16. กอดลูกๆ ของคุณ ไม่ว่าพวกแกจะโตแค่ไหนแล้วก็ตาม

17. มีความอดทนกับทุกๆคนที่คุณพบให้มากขึ้น

18. แสดงความรักให้บ่อยขึ้น

19. กำหนดมุมมอง ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต

20. ใช้ชีวิตให้เต็มที่ทุกวันอย่างมีค่าและมีความหมาย

มันเป็นเรื่องง่ายและ 'สะดวก' ที่จะปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งลงไปในความเศร้าโศกเมื่อชีวิตคุณผ่านประสบการณ์อันเลวร้าย การทำใจและมีชีวิตต่อไปนั้นเป็นเรื่องยากและต้องใช้ความพยายามอย่างสูง ทว่าเมื่อคุณสามารถก้าวผ่านพ้นช่วงเวลาอันมืดครึ้มไปได้สำเร็จ คุณจะพบว่าชีวิตนั้นยังมีสิ่งน่ารื่นรมย์ที่จะช่วยให้คุณก้าวต่อไปได้อย่างมีความสุข

สุดยอดอาหารเพื่อเส้นผม

ไข่: ไข่เป็นแหล่งอาหารที่อุดมด้วยกรดอะมิโนแอซิดที่มีกำมะถันเป็นองค์ประกอบ และช่วยในด้านความแข็งแรงของเส้นผม

ปลา: อุดมด้วยโปรตีนและกรดไขมันโอเมก้า-3 ช่วยให้เส้นผมแข็งแรง และมีประกายเงางาม

ถั่ว: มีกรดไขมันจำเป็นหลายชนิด ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เส้นผมแห้ง ขาดความชุ่มชื้น

ธัญพืช: ธัญพืชมีแร่ธาตุซิลิก้าสูง โดยเฉพาะในข้าวโอ๊ต หรือมูสลี่ จะช่วยให้ผมที่ดูหมองไม่สดใสกลับคืนความเงางามอีกครั้งหนึ่ง

ผลไม้: ผลไม้สีสันสดใสจะอุดมด้วยวิตามินนานาชนิด ช่วยคืนชีวิตชีวาและความแข็งแรงให้กับเส้นผม

ผัก: อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนซึ่งร่างกายจะทำการแปลงให้เป็นวิตามินเอ ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญต่อสุขภาพเส้นผม

น้ำ: น้ำไม่ได้ทำหน้าที่ให้ความชุ่มชื่นแก่ร่างกายและผิวหนังเท่านั้น แต่ยังช่วยรักษาความชุ่มชื่นให้แก่เส้นผมด้วย ซึ่งจะส่งผลให้เส้นผมมีความยืดหยุ่นและเป็นมันเงา

ในเวลาที่นอนไม่หลับ การจิบน้ำผึ้งอุ่นๆ จะช่วยให้คุณหลับ

>ได้ง่ายขึ้น หากช่วงไหนโหมงานหนักๆ ใบหน้าหมองคล้ำ อิดโรย ให้ใช้น้ำผึ้งบริสุทธิ์ทาผิวหน้า ทิ้งไว้ราว 3-4 นาทีแล้วจึงใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น เช็ดออก จะช่วยให้ผิวหน้าสดใส มีชีวิตชีวาขึ้น

น้ำผึ้งนั้น เราสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ในทุกขั้นตอนของการดูแลผิวหน้าตั้งแต่การทำความสะอาดผิว กระชับรูขุมขนและการบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น ป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย

เติมน้ำมะนาว 2-3 หยด ลงในน้ำผึ้ง แล้วนำมาพอกหน้าไว้สัก5 นาที แล้วล้างออก จะช่วยให้ผิวหน้าขาว สดใสขึ้น

กล้วยสุก 1 ผล นำมาบดแล้วเติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน

นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออก จะช่วยให้คนที่ผิวแห้งมากๆ ดูชุ่มชื้นขึ้น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท