01-รูปร่างดีรู้ได้อย่างไร


รูปร่างดีรู้ได้อย่างไร

ปัจจุบันคนมักมองว่ารูปร่างของตนเองเป็นแบบใดขึ้นอยู่กับความคิดเห็นส่วนบุคคลหรือเป็นการแสดงความคิดว่ามีรูปร่างแบบใด ซึ่งบางครั้งอาจจะไม่ตรงกับความเป็นจริงและอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ ดังจะเห็นได้จากการที่กลุ่มนางแบบในปัจจุบันที่วงการแฟชั่นทั่วโลก ได้จุดกระแสขึ้นมาตั้งแต่ปลายปี 2006 ที่ผ่านมา ก็คือ การที่ผู้จัดงานแฟชั่น วีค ทั่วโลก พร้อมใจกันแบนนางแบบที่ผอมผิดปกติ โดยห้ามไม่ให้นางแบบที่ผอมเหมือนคนเป็นโรคขาดอาหารเดินแบบโดยเด็ดขาด หลังจากการตายระหว่างเดินแบบ ของนางแบบชาวอุรุกวัย ที่ไม่ยอมกินอะไรเลยก่อนเดินแบบ เพราะคิดว่าถ้าผอมจะทำให้ตัวเองดูดีและมีชื่อเสียงมากขึ้น การตายของนางแบบอุรุกวัย ทำให้ แมดริด แฟชั่น วีค ของสเปน เป็นประเทศแรกที่ประกาศแบนนางแบบที่ผอมผิดปกติทันที โดยจะไม่ยอมให้เดินแบบ ถ้านางแบบคนนั้นมีมวลรวมของร่างกาย(body mass index)อยู่ที่ระดับตํากว่า 18 ในทางการแพทย์บอกว่า ปกติแล้วคนเราควรมีมวลรวมของร่างกาย(body mass index)อยู่ที่ระดับ 18 ขึ้นไป จึงจะถือว่ามีสุขภาพดี

 

ในทางกลับกันความอ้วนนี้ยังก่อให้เกิดต่อการเกิดอาการและโรคต่างๆ มากมายอาทิ อาการหายใจไม่อิ่ม ,ทำให้ข้อต่อต่างๆ ของร่างกายแบกรับน้ำหนักมากขึ้น, แผลจะหายซ้าและติดเชื้อได้ง่าย,โรคหัวใจขาดเลือด ,โรคเบาหวาน,นิ่วในทางเดินน้ำดีเพิ่มขึ้น ,ความดันโลหิตสูง ,หัวใจขาดเลือด ,เส้นเลือดในสมองตีบ,โรคมะเร็งบางชนิด ได้แก่มะเร็งที่พึ่งฮอร์โมนในผู้หญิงได้แก่ โรคมะเร็งมดลูก โรคมะเร็งปากมดลูก โรคมะเร็งเต้านม ส่วนในผู้ชายได้แก่มะเร็งลูกหมาก นอกจากนั้นยังพบว่ามะเร็งทางเดินอาหารเพิ่มขึ้นเช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งหลอดอาหาร และโรคมะเร็งถุงน้ำดี ฯ ซึ่งเป็นการบั่นทอนสุขภาพให้เสื่อมโทรมและเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

 

 ฉะนั้นการที่มีรูปร่างที่ดีก็จะส่งผลให้สุขภาพร่างกายดีขึ้นตามไปด้วย ซึ่งในการตรวจสอบรูปร่างของตนเองสามารถหาได้จากดัชนีมวลกาย BMI [body mass index] ซึ่งคิดค้นโดย Mr.Adolphe Quetelet    ชาวเบลเยี่ยม เป็นค่าที่อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างน้ำหนักตัวและส่วนสูง มาเป็นตัวชี้วัดสภาวะของร่างกายว่ามีความสมดุลของน้ำหนักตัวต่อส่วนสูงอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมหรือไม่    ค่าดัชนีมวลกายสามารถคำนวณได้โดยนำน้ำหนักตัว (หน่วยเป็นกิโลกรัม) หารด้วย ส่วนสูงกำลังสอง (หน่วยเป็นเมตร) ดังนี้

 

 

 

 

 

 

การคำนวณดัชนีมวลกาย

ดัชนีมวลกาย(BMI)   =    น้ำหนัก(กก)
                                      ส่วนสูง(ม)²

ตัวอย่างการคำนวณ

น้ำหนัก 75 กก.      ส่วนสูง 180ซม.

1.    น้ำหนักตั้ง   75 กก.

2.    ส่วนสูงxส่วนสูง = 1.80x1.80= 3.24

3.    ดัชนีมวลกาย= 75/3.24=23.14 กก/ตารางเมตร

                              รูปร่างสมส่วน

เมื่อคำนวณหาค่าดัชนีมวลกาย BMI [body mass index] ได้แล้วก็นำมาเปรียบเทียบกับตารางว่าท่านมีรูปร่างอย่างไร

ดรรชนีมวลกาย

รูปร่าง

ชาย

หญิง

ผอม

น้อยกว่า  19.00

น้อยกว่า  18.00

สมส่วน

ระหว่าง  19.01 - 24.99

ระหว่าง  18.01 - 23.99

น้ำหนักเกิน

ระหว่าง  25.00 - 29.9

ระหว่าง  24.00 - 29.9

อ้วนไป

มากกว่า  30

มากกว่า  30

 

 

ความสำคัญของการรู้ค่าดัชนีมวลร่างกาย  BMI [body mass index]  เพื่อดูอัตราการเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ถ้าค่าที่คำนวณได้ มาก หรือ น้อยเกินไป ดังนั้นจึงควรรักษาระดับน้ำหนัก และค่าดัชนีความหนาของร่างกายให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ  สำหรับค่าค่าดัชนีมวลร่างกาย สำหรับชาวเอเชีย พบว่าประเทศอากาศร้อน ความอ้วนจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ จึงถือค่าประมาณ 18-23 กก./ตารางเมตร  เป็นค่าที่เหมาะสมสำหรับชาวเมืองร้อน การประเมินค่าดัชนีมวลกายนั้น จะต้องคำนึงถึงตัวแปรต่าง ๆ ด้วย ดังเช่นมวลกล้ามเนื้อ มวลไขมัน เพราะฉะนั้นดัชนีมวลร่างกายข้างต้นจะไม่สามารถนำไปใช้ได้กับผู้ที่มีมวลกล้ามเนื้อมาก

ข้อระวัง ในการคำนวณหาค่าดัชนีมวลร่างกาย  BMI [body mass index] จะใช้ประเมินปริมาณไขมันในผู้ที่มีกล้ามเนื้อมากๆไม่ได้ เช่น นักกีฬา นักเพาะกาย ที่อาจจะมีน้ำหนักมากเกิน 100 กิโลกรัมแต่ไม่จัดอยู่ในขั้นอ้วนหรืออันตรายมาก และใช้ประเมินในผู้ที่กล้ามเนื้อลีบจากสูงอายุไม่ได้ สำหรับคนอ้วนที่ยังไม่มีอาการของโรคต่างๆ ถือเป็นโอกาสดีที่ท่านยังมีเวลาแก้ตัว รีบควบคุมสภาพของท่านให้อยู่ในเกณฑ์ปกติหรือใกล้กับปกติให้มากที่สุดก่อนที่จะมีการแสดงอาการของโรคต่างๆเกิดขึ้น 

การรับประทานอาหารมากๆและไม่ถูกสุขลักษณะแล้วทำให้มีค่าดัชนีมวลกายสูงๆ จะทำให้ต้องมาเสียโอกาสต่างๆไม่ว่าจะเป็น การเข้าทำงาน การเสียบุคลิกภาพ  และต้องคอยจ่ายยาเพื่อรักษาอาการของโรคที่ตามมา  การลดการน้ำหนักที่มากเกินไปโดยการหันมาสนใจดูแลสุขภาพเราเอง จะทำให้ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากมายเหมือนการรักษา อีกทั้งยังได้สุขภาพที่สมบูรณ์ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีในบั้นปลายอีกด้วย  

สำหรับท่านที่มีเกณฑ์ดัชนีมวลกายต่ำกว่ามาตรฐาน คงต้องมาลองสำรวจหาความผิดปกติของระบบอาหารและการทานอาหารของเรา หรือการทำกิจวัตรประจำวันต่างๆเพื่อหาสาเหตุที่ทำให้เราเบื่ออาหาร ทานไม่ได้ หรือใช้พลังงานมากกว่าการได้รับสารอาหารเข้าไป การปล่อยสภาพร่างกายให้ผอมมากและนานเกินไปก็มีผลร้ายต่อร่างกายเราเช่นกัน ฉะนั้นจึงควรรีบหาสาเหตุและแก้ไขที่ต้นเหตุ แล้วสุขภาพที่ดีและรูปร่างที่ดีก็จะกลับมาเป็นของคุณครับ

 

 

      

 

----------------------------------------

หมายเลขบันทึก: 220425เขียนเมื่อ 2 พฤศจิกายน 2008 23:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 19:48 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1,131)

แวะมาดูรูปร่างดีค่ะ ขอบคุณค่ะ

คำนวณแล้วครับ

ไม่มาก ไม่น้อย แต่ต้องเริ่มระวังแล้วหล่ะ

ขอบคุณสำหรับสาระดีๆครับ

ข้อมูลมีสาระมากค่ะ ต่อไปคงต้องระวังเรื่องการทานอาหารให้มาก

ไม่อย่างนั้น อ้วนแน่นอน ... ขอบคุณนะคะสำหรับสาระดี ๆ แบบนี้

ลองคำนวนดูแล้วผลออกมาว่าผมผอมครับ ผมพยายามกินให้มากและออกกำลังกายแต่น้ำหนักก็ไม่ขึ้นสักที ทำอย่างไรดีครับ

เอมวิกา วิญญาปา วิทย์-ออก เลขที่66

อ.กั้ม หนูได้คำนวนดูแล้วตั้งแต่ในคาบเรียนแรกแล้ว ผลออกมาว่า ปกติค่ะ อาจารย์หนูมีเรื่องอยากปรึกษา หนูอยากตัวสูง ทำไงดีล่ะค่ะ หนูได้อ่านบทความข้างบนแล้ว ได้ความรู้เพิ่มขึ้นเยอะเลย ขอบคุณค่ะ

เอกนารินทร์ พงค์จันทร์ วิทย์-ออก เลขที่24

ผมลองดูแล้ว ปกติคับ แล้วผมชอบวิทย์ออกกำลังกายมาก

I've already done it.

My result is simple But in fact I really fat.

Let see! my leg as big as a pig's leg.

-*-

น.ส สิริกัญญา ทองสิริ 83

ข้อมูลมีสาระดีมากค่ะ ต่อไปนี้คงต้องควบคุมเรื่องอาหาร เทียบกับตารางแล้วสมส่วนค่ะ แต่อยากให้น้ำหนักลดเร็วๆต้องทำไรค่ะ อยากลดต้นแขน ต้นขา ให้เล็กลงทำอย่างไรค่ะ

เออ อ.ค่ะ คือหนูคำนวนแล้วล่ะค่ะ แต่หนูอยากจะผอมลงอีง่ะ ทำไงค่ะ เอาแบบว่าผอมหุ้นดีอะค่ะ

ถ้าทำได้บอกด้วยค่ะ

ลองคำนวณดู..ดีใจจังอยู่ที่สมส่วน

ขอบคุณข้อมูลดีๆ

สุภาพรรณ วงศ์สุภา วิทย์ออก 62

หนูได้อ่านบทความของอาจารย์แล้วได้ความรู้มากขึ้นกับการดูแลสุขภาพของตัวเองและการหาค่าbmiแล้วอยู่ในเกณฑ์ปกติค่ะ

สิริกัญญา ทองสิริ วิทย์ออก 83

ออกกำลังกายทุกวันเหงื่อออกมากที่หลังค่ะ ทำให้เป็นผื่นเต็มหลัง มีวิธีอย่างไรค่ะที่ไม่ให้ผื่นขึ้นที่หลัง

ธีรกานต์ ริมแจ่ม วิทย์ออก 25

ผมลองคำนวนดูแล้วผมมีรูปร่างผอมและอยากอ้วนกว่านี้และอาจรย์สอนดีสนุดครับแต่ถึงหน้าจะดุแต่ก็ใจดีนะครับ

อาจารย์ ผมไม่อ้วน ไม่ผอม แต่มีน้ำหนักมาก

และไหล่กว้าง แบบนี้สมส่วนมั้ยคับ

ไหล่กว้างงงงงงงง หรอออ

พอจาจอดดรถซักคันได่มะจร้า

หุหุ

เกือบบอ้วนหละเนี่ย

ตายยย

ตายยย

ลดด่วนนน

นที วิทสุข ยังมะมีรหัส

ก็ลองเข้ามาอ่านดูครับ

ปกติก็ชอบออกกำลังกายอยู่แล้ว

ก็ดีที่ได้เรียนเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ ทำให้รู้เรื่องร่างกายมากขึ้นครับ

ผมก็ลองคำนวนดูแล้ว สัดส่วนก็โอเค ไม่อ้วน ไม่ผอมครับ

แต่อยากให้เฟริมกว่านี้ คงต้องเบริน์อีกเยอะเลย

แต่ว่ากลัวเบริน์เยอะแล้วมันจะผอมเกินไปอะคับ

ต้องทำไงดีอ่า

ผอมไปก็ไม่ดี

อ้วนไปก็ไม่ดี

ขอสมส่วนก็พอคับ เหอะๆ

ขอบคุณคับสำหรับสาระ

กิ่งกาญจน์ บัวชุม วิทย์ออกฯ ภาคค่ำ

บทความมีสาระมากค่ะ ชอบตรงที่เค้าแบนนางแบบที่ผอมเกินไปออก เพราะคนเราสมัยนี้มักชอบทำอะไรตามสมัยนิยม ความจริงผู้หญิงที่ดูอวบมีน้ำมีนวลยังดูดีและน่าดูกว่าผู้หญิงที่ผอมอีก ขอบคุณนะค่ะสำหรับบทความที่มีสาระแบบนี้ จะรออ่านบทความหน้าต่อไปนะค่ะ

แวะมาทักทายครับ

สำหรับคนรูปร่างดี อิอิ

โอ๊ต แฮนบอล<เคยฟันดาบด้วยนะครับ>

พอดีเลยครับ ผมอยากผอมพอดี

คือตอนนี้ผมอ้วนมากกก

ขอบคุณครับ

     จากที่ได้อ่านบทความแล้วทำให้ได้ความรู้มากขึ้นและได้เห็นว่าใน

ปัจจุบันมีคนสนในการดูแลสุขภาพกันมากขึ้น ดังนั้นวิธีการดูแล

สุขภาพที่ดีที่สุดคือการเล่นกีฬาคับ โดยเฉพาะกีฬาเทควันโดคับ อิอิ

อ่านแล้วรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กจังคับ อิอิ

ทำยังไงให้ตัวใหญ่ขึ้นสมชายคับ

จากบทความในข้างต้น ทำให้ได้รับความรู้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากค่ะ

แต่ถ้ามีท่านใดสามารถให้ข้อมูลการออกกำลังกาย แบบลดไขมันเฉพาะส่วนได้ ช่วยกรุณาแนะนำให้ดิฉันด้วยน่ะ

ขอบคุณล่วงหน้า ค่ะ ~_~ ^_^

ปิยะธิดา วิทย์ 2 เลขที่ 79

อิอิ...ตอนแรกนึกว่าตัวเองอ้วน แต่พอคำนวณแล้วก็ปกติ ไม่น่าเชื่อเลย อิอิ...

แต่ก็อยากผอมกว่านี้อ่ะ คงต้องไปเต้นแอคโรบิคล่ะ *-*

เบญจมาศ วิทย์ 02 เลขที่ 78

หนูคำนวณดูแล้วปกติคะแต่ทำไมตัวจริงหนูดูเหมือนจะอ้วนมากไม่เหมือนกับผลที่ออกมาคะ และอีกอย่างหนูอยากทราบว่าตอนนี้จะสูงขึ้นอีกไหมมีวิธีอะไรบ้างที่ช่วยให้สูงขึ้นกว่านี้บอกหน่อยคะ

อ่านบทความแล้ว คำนวณ ไปแล้วใน คาบ แรก ผลคำนวณ ผม นี้ ก็ ออกมาสมส่วน ปกติดีนะ แต่ทำไม ความรู้สึกมันยัง Body มันแห้งๆ ก้างๆ ยังไงก็ไม่รู้ บทความ อ.กั้ม กับ รูปภาพ นี้เลิศจังครับ ไม่ทราบว่า รูปแรกนั่น ใช่ Skeleton ที่ อ.กั้ม สอน ไปในคาบ ที่ 2 ไหม ครับ ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงมากเลยนะครับนั่น

"""รูปร่างที่สวยงามสมส่วน มักได้มากับความรู้เสมอๆ""""

((ลุงของ สไปเดอร์แมน บอก ไว้)) ขอบคุณ อ.กั้มครับ ที่ให้ความรู้

จากที่ฉันได้อ่านข้อความนี้ เกิดความสนใจเป็ยอย่างมาก เลยอยากหยิบยกมาให้เพื่อนๆได้อ่านกันน่ะค่ะ

เป็นสูตรอาหารลดน้ำหนัก3 วัน4กิโล สำหรับผู้หญิงที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว

ซึ่งสูตรอาหารมีดังนี้ค่ะ

วันที่ 1

เช้า กินชาหรือกาแฟ ไม่ใส่น้ำตาล กับขนมปังปิ้งหนึ่งแผ่น แล้วก็ถั่วกระป๋อง Baked Bean (มันคือถั่วขาว ในซอสมะเขือเทศ)

กลางวัน กินทูน่า ครึ่งกระป๋อง (ทูน่าในน้ำเกลือ) ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น แล้วก็ชาหรือกาแฟ ไม่ใส่น้ำตาลแก้วนึง

เย็น กินแฮม 2 แผ่น ถั่วฝักยาวต้ม 2 ออนซ์ (ประมาาณ 120 กรัม) บัทรูทต้ม 4 ออนซ์ แล้วก็ไอติมวานิลลา 4 ออนซ์

----------------------------------------------------

วันที่ 2

เช้า กินขนมปังปิ้ง กับกล้วยหอม แล้วก็ชาหรือกาแฟ ไข่ต้ม1ฟองด้วย

กลางวัน กินคอทเทจชีส (ชีสถ้วยของโฟร์โมสต์) 1ถ้วย แล้วก็ saltine craker 5 แผ่น แล้วก็ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล

เย็น กินบร็อคโคลีต้ม 4 ออนซ์ แครอทต้ม 2 ออนซ์ แฮม 2 แผ่น กล้วยหอมครึ่งลูก หรือลูกนึงเล็กๆ แล้วก็ไอติมวานิลา

----------------------------------------------------

วันที่ 3

เช้า กินเชลด้าชีส (ชีสแผ่นนี่แหละ)1 แผ่น กับชา แล้วก็ saltine craker 5 แผ่น

กลางวัน กินไข่ต้ม กับขนมปังปิ้ง 1 แผ่น แล้วก็ชาหรือกาแฟ ไม่ใส่น้ำตาล

เย็น กินดอกกระหล่ำต้ม 4 ออนซ์ บีทรูท 4 ออนซ์ ทูน่า 4 ออนซ์ ไอติมวานิลา 4 ออนซ์ แล้วก็ขนมปังปิ้งแผ่นนึง

**เป็นไงบ้างค่ะเพื่อนๆ เมื่ออ่านบทความข้างต้นแล้ว (จะลองเอาไปปฏิบัติดู ก็ได้ น่ะค่ะ)การลดน้ำหนักไม่จำเป็นว่าต้องอดอาหารเสมอไป การรับประทานอาหารอย่างถูกต้อง ก็สามารถลดความอ้วนได้ และได้เสียสุขภาพ ถ้าเราจะลดน้ำหนัก เราสามารถเลือกควบคุมการรับประทานอาหารได้ พร้อมทั้งการออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อร่างกายที่แข็งแรง และรูปร่างที่สวยงามไปพร้อมๆกัน

หากเพื่อนๆท่านใด ได้นำไปปฏิบัติแล้วได้ผล ดีขนาดไหน ช่วยมาเล่าสู่กันฟังด้วยน่ะค่ะ จะได้เป็นแนวทางให้เพื่อนๆอีกหลายคนได้นำไปปฏิบัติตาม ค่ะ แล้วถ้าเพื่อนท่านใดมีสูตรอาหารลดน้ำหนักแบบนี้อีก ช่วยมาแนะนำให้ด้วยน่ะค่ะ(ถ้าเป็นอาหารเมืองเหนือได้ ก็จะดีมากๆ น่ะค่ะ อิอิ)ขอบคุณค่ะ .....^_^

***แก้ไขค่ะ ม่ะกี้พิมข้อความบางประโยคผิดพลาดค่ะ -*- T^T **

จากที่ฉันได้อ่านข้อความนี้ เกิดความสนใจเป็ยอย่างมาก เลยอยากหยิบยกมาให้เพื่อนๆได้อ่านกันน่ะค่ะ

เป็นสูตรอาหารลดน้ำหนัก3 วัน4กิโล สำหรับผู้หญิงที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว

ซึ่งสูตรอาหารมีดังนี้ค่ะ

วันที่ 1

เช้า กินชาหรือกาแฟ ไม่ใส่น้ำตาล กับขนมปังปิ้งหนึ่งแผ่น แล้วก็ถั่วกระป๋อง Baked Bean (มันคือถั่วขาว ในซอสมะเขือเทศ)

กลางวัน กินทูน่า ครึ่งกระป๋อง (ทูน่าในน้ำเกลือ) ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น แล้วก็ชาหรือกาแฟ ไม่ใส่น้ำตาลแก้วนึง

เย็น กินแฮม 2 แผ่น ถั่วฝักยาวต้ม 2 ออนซ์ (ประมาาณ 120 กรัม) บัทรูทต้ม 4 ออนซ์ แล้วก็ไอติมวานิลลา 4 ออนซ์

----------------------------------------------------

วันที่ 2

เช้า กินขนมปังปิ้ง กับกล้วยหอม แล้วก็ชาหรือกาแฟ ไข่ต้ม1ฟองด้วย

กลางวัน กินคอทเทจชีส (ชีสถ้วยของโฟร์โมสต์) 1ถ้วย แล้วก็ saltine craker 5 แผ่น แล้วก็ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล

เย็น กินบร็อคโคลีต้ม 4 ออนซ์ แครอทต้ม 2 ออนซ์ แฮม 2 แผ่น กล้วยหอมครึ่งลูก หรือลูกนึงเล็กๆ แล้วก็ไอติมวานิลา

----------------------------------------------------

วันที่ 3

เช้า กินเชลด้าชีส (ชีสแผ่นนี่แหละ)1 แผ่น กับชา แล้วก็ saltine craker 5 แผ่น

กลางวัน กินไข่ต้ม กับขนมปังปิ้ง 1 แผ่น แล้วก็ชาหรือกาแฟ ไม่ใส่น้ำตาล

เย็น กินดอกกระหล่ำต้ม 4 ออนซ์ บีทรูท 4 ออนซ์ ทูน่า 4 ออนซ์ ไอติมวานิลา 4 ออนซ์ แล้วก็ขนมปังปิ้งแผ่นนึง

**เป็นไงบ้างค่ะเพื่อนๆ เมื่ออ่านบทความข้างต้นแล้ว (จะลองเอาไปปฏิบัติดู ก็ได้ น่ะค่ะ)การลดน้ำหนักไม่จำเป็นว่าต้องอดอาหารเสมอไป การรับประทานอาหารอย่างถูกต้อง ก็สามารถลดความอ้วนได้ และไม่เสียสุขภาพ ถ้าเราจะลดน้ำหนัก เราสามารถเลือกควบคุมการรับประทานอาหารได้ พร้อมทั้งการออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อร่างกายที่แข็งแรง และรูปร่างที่สวยงามไปพร้อมๆกัน

หากเพื่อนๆท่านใด ได้นำไปปฏิบัติแล้วได้ผล ดีขนาดไหน ช่วยมาเล่าสู่กันฟังด้วยน่ะค่ะ จะได้เป็นแนวทางให้เพื่อนๆอีกหลายคนได้นำไปปฏิบัติตาม ค่ะ แล้วถ้าเพื่อนท่านใดมีสูตรอาหารลดน้ำหนักแบบนี้อีก ช่วยมาแนะนำให้ด้วยน่ะค่ะ(ถ้าเป็นอาหารเมืองเหนือได้ ก็จะดีมากๆ น่ะค่ะ อิอิ)ขอบคุณค่ะ .....^_^

  • ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆค่ะ
  • ผอมเกินไปก็ดูไม่ดีเอาเสียเลยนะคะ
  • ออกจะน่ากลัวซะอีก !
  • ทางสายกลางดีที่สุด..อิอิ

อิอิ สมัครสมาชิกล่ะ อิอิ ((( กัลยาณี ภาคค่ำ )))

<a href="http://glitter.kapook.com/category.php?category_id=47&sid=4241daa67963830ddb25aa396fa52291" target="_blank"><img src="http://i223.photobucket.com/albums/dd277/akapong/thankyou/11060809.gif" border="0" alt="คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ..." title="คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ..."></a>

ข้อมูลมีประโยชน์มาก ๆ เลย

จะติดตามตอนต่อไปนะคะ

มาแล้วครับพี่ผมฝากควมาคิดถึงมาให้ว่าสบายดีก่อครับ

ข้อมูลมีประโยชน์มากๆเลยคับ.โดยเฉพาะในการหาดัชนีมวลกายของตัวเราว่าเป็นอย่างไร

การคำนวนหาดัชนีมวลกายอยู่ในขั้นปกติ แต่ยังมีไขมันส่วนเกินอยู่ออกกำลังกายแล้วยังไม่ลดจะทำยังไงดีค่ะ?

สวัสดีครับจารย์อยากรู้ว่าตะกร้อชิงธงเขาเล่นกันยังไงอ่ะครับ

สวัสดีครับอาจารย์อิๆ

สุขภาพที่ดีคือ การที่เราดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง ตั้งแต่เรื่อง การออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร การพักผ่อน การป้องกันโรค การลดหรือเลิกสิ่งบั่นทอนสุขภาพ ร่างกายเรากระปี้กระเปร่า พร้อมที่จะดำเนินชีวิตประจำวัน

สวัสดีค่ะอาจารย์

การคำนวณหาดัชนีมวลกายจากข้อมูลด้านบนที่ได้อ่าน หนูลองคำนวนแล้วมีเกณฑ์ดัชนีที่สมส่วนแต่ทำไมดูภายนอกจึงดูอ้วนจังค่ะ

ขอบคุณคะ..ข้อมูลน่าสนใจและเป็นประโยชน์มากเลยคะ

เต้นรำในน้ำ-แก้แพ้ท้องนะคับ

การเต้นรำหรือเต้นแอโรบิคในน้ำชองคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ ช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้อง และช่วยให้คลอดง่ายนะคับ

ข้อมูลจาก (สสส.)

หาแฟน จน ๆ รับรองผอมเพรียว(ไส้แห้ง) อิอิ

สวัสดีค่ะอาจารย์

สุขภาพที่ดี หมายถึง สภาวะแห่งความสมบูรณ์ของร่างกาย จิตใจ และสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีสุข มิใช่เพียงแต่ปราศจากโรคและความพิการเท่านั้น

อาจจำแนกออกได้เป็น 3 ประการ คือ

1. สุขภาพทางกาย

2. สุขภาพทางจิต

3. การดำรงชีวิตอยู่ในสังคมด้วยดี

สวัสดีค่ะอาจารย์ วันนี้มีเรื่องสงสัยอยากจะถามค่ะ

บางครั้งที่วัดค่า BMI ออกมาแล้วอยู่ในระดับที่ปกติ แต่ทำไมเรายังรู้สึกว่าตัวเองอ้วน แถมยังมีหน้าท้องอีกด้วยล่ะคะ แต่บางวันถ้าไม่ทานข้าวก็จะรู้สึกเฉยๆ แต่พอตกดึกไปกจะเริ่มหิว จารย์พอที่จะมีวิธีแนะนำบ้างมั้ยคะ

การมีสุขภาพที่ดีนั้น จะต้องประกอบไปด้วยร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์ ในด้านร่างกายก็อาจจะเริ่มจากการดูแลตนเองในเรื่องต่างๆ เช่น การทานอาหารที่มีประโยชน์ การดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รวมไปถึงการทำจิตใจให้แจ่มใส ดังกับคำที่ทุกคนเคยได้ยินว่า "ร่างกายที่สมบูรณ์ย่อมอยู่ในจิตใจที่แข็งแรง"

สวัสดีครับอาจารย์

กติกาตะกร้อ กติกาเซปักตะกร้อ กฏกติกาตะกร้อ กฏกติกาเซปักตะกร้อ

กติกาตะกร้อ เซปักตะกร้อ

1.ผู้เล่น

ประเภทเดี่ยว มีผู้เล่นตัวจริง 3 คน สำรอง 1 คน ประเภททีม ประกอบด้วย 3 ทีม มีผู้เล่น 9 คน และผู้เล่นสำรอง 3 คน2. ตำแหน่งของผู้เล่น มี 3 ตำแหน่งคือ

2.1 หลัง ( Back ) เป็นผู้เตะตะกร้อจากวงกลม

2.2 หน้าซ้าย

2.3 หน้าขวา

3. การเปลี่ยนตัวผู้เล่น

ในทีมเดี่ยวเปลี่ยนตัวได้ 1 คน และถ้าเหลือน้อยกว่า 3 คน ถือว่าแพ้ ผู้มีชื่อในทีมเดี่ยวที่เล่นมานานแล้ว จะลงเล่นในทีมเดี่ยวต่อไปไม่ได้

4. การเสี่ยงและการอบอุ่นร่างกาย

มีการเสี่ยง ผู้ชนะการเสี่ยงจะได้เลือกข้างหรือส่งลูก ทีมที่ได้ส่งลูกจะได้อบอุ่นร่างกายก่อน เป็นเวลา 2 นาที พร้อมเจ้าหน้าที่และนักกีฬาไม่เกิน 5 คน

5. ตำแหน่งของผู้เล่นระหว่างการส่งลูกเสิร์ฟ

เมื่อเริ่มเล่นทั้ง 2 ทีมพร้อมในแดนของตนเอง ผู้เล่นฝ่ายเสิร์ฟจะต้องอยู่ในวงกลมของตนเอง เมื่อเสิร์ฟแล้วจึงเคลื่อนที่ได้ ส่วนผู้เล่นฝ่ายรับจะยืนที่ใดก็ได้

6. การเปลี่ยนส่ง

ให้เปลี่ยนการส่งลูกเมื่อฝ่ายส่งลูกผิดกติกา หรือ ฝ่ายรับทำลูกให้ตกบนพื้นที่ของฝ่ายส่งได้

7. การขอเวลานอก

ขอได้เซตละ 1 ครั้งๆ ละ 1 นาที

8. การนับคะแนน

การแข่งขันใช้แบบ 2 ใน 3 เซต ในเซตที่ 1 และเซตที่ 2 จะมีคะแนนสูงสุด 15 คะแนน ทีมใดได้ 15 คะแนนก่อน จะเป็นผู้ชนะในเซตนั้นๆ ทั้ง 2 เซต จะไม่มีดิวส์ หากทั้งสองทีมได้ 13 ก่อน หรือ 14 เท่ากัน พักระหว่างเซต 2 นาที ถ้าเสมอกัน 1:1 เซต ให้ทำการแข่งขันเซตที่ 3 ด้วยไทเบรก โดยเริ่มด้วยการเสี่ยงใหม่ โดยใช้คะแนน 6 คะแนน ทีมใดได้ 6 คะแนนก่อนเป็นผู้ชนะ แต่จะต้องแพ้ชนะอย่างน้อย 2 คะแนน ถ้ายังไม่แพ้กันไม่น้อยกว่า 2 คะแนน ก็ให้ทำการแข่งขันอีก 2 คะแนน แต่ไม่เกิน 8 คะแนน เช่น 8:6 หทรือ 8:7 ถือเป็นการยุติการแข่งขันระบบไทเบรก เมื่อฝ่ายใดก็ตามได้ 3 คะแนน และขอเวลานอกได้เซตละ 1 ครั้ง ครั้งละ 1 นาที สำหรับไทเบรก ขอเวลาได้ 1 ครั้ง ครั้งละ 30 วินาที

แนะนำการดูตะกร้อ

มารยาทในการเล่นที่ดี

การเล่นกีฬาทุกชนิด ผู้เล่นจะต้องมีมารยาทในการเล่นและการแข่งขัน ประพฤติปฎิบัติตนให้เป็นไปตามขั้นตอนของการเล่นกีฬาแต่ละประเภท จึงจะนับว่าเป็นผู้เล่นที่ดีและมีมารยาท ผู้เล่นควรต้องมีมารยาทดังนี้ คือ

1. การแสดงความยินดี ชมเชยด้วยการปรบมือหรือจับมือเมื่อเพื่อนเล่นได้ดี แสดงความเสียใจเมื่อตนเอง หรือเพื่อนร่วมทีมเล่นผิดพลาดและพยามปลอบใจเพื่อน ตลอดจนปรับปรุงการเล่นของตัวเองให้ดีขึ้น

2. การเล่นอย่างสุภาพและเล่นอย่างนักกีฬา การแสดงกิริยาท่าทางการเล่นต้องให้เหมาะสมกับการเป็นนักกีฬาที่ดี

3. ผู้เล่นที่ดีต้องไม่หยิบอุปกรณ์ของผู้อื่นมาเล่นโดยพลการ

4. ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ต้องไม่แสดงอาการดีใจหรือเสียใจจนเกินไป

5. ผู้เล่นต้องเชื่อฟังคำตัดสินของกรรมการ หากไม่พอใจคำตัดสินก็ยื่นประท้วงตามกติกา

6. ผู้เล่นต้องควบคุมอารมณ์ให้สุขุมอยู่ตลอดเวลา

7. ก่อนการแข่งขันหรือหลังการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายแพ้หรือชนะก็ตาม ควรจะต้องจับมือแสดงความยินดี

8. หากมีการเล่นผิดพลาด จะต้องกล่าวคำขอโทษทันทีและต้องกล่าวให้อภัยเมื่อฝ่ายตรงข้ามกล่าวขอโทษด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส

9. ต้องแต่งกายรัดกุม สุภาพ ถูกต้องตามกติกาที่กำหนดไว้

10. ไม่ส่งเสียงเอะอะในขณะเล่นหรือแข่งขันจนทำให้ผู้เล่นอื่นเกิดความรำคาญ

11. ต้องปฏิบัติตามกฎข้อบังคับตามกติกาอย่างเคร่งครัด

12. มีความอดทนต่อการฝึกซ้อมและการเล่น

13. หลังจากฝึกซ้อมแล้วต้องเก็บอุปกรณ์ให้เรียบร้อย

14. เล่นและแข่งขันด้วยชั้นเชิงของนักกีฬา รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ในการเล่นกีฬา

มารยาทของผู้ชมที่ดี

1. ปรบมือให้นักกีฬาและผู้ตัดสินเมื่อเขาดินลงสนาม

2. ปรบมือแสดงความยินดีเมื่อผู้เล่นเล่นได้ดี หรือชนะการแข่งขัน

3. นั่งชมด้วยความสงบเรียบร้อยไม่ส่งเสียงเอะอะ

4. ไม่แสดงท่าทางยั่วยุให้ผู้เล่นขาดสมาธิ

5. ไม่ใช้เสียงเพลงที่มีเนื้อหาหยาบคาย สร้างความแตกแยก

6. อย่าแสดงกิริยาไม่สุภาพหรือใช้วัสดุสิ่งของขว้างปาลงสนาม นักกีฬา หรือกรรมการ

7. ผู้ดูต้องยอมรับการตัดสินของผู้ตัดสิน

8. ไม่ส่งเสียงโห่ร้องหรือแสดงกิริยาเย้ยหยัน เมื่อผู้เล่นเล่นผิดพลาดหรือผู้ตัดสินผิดพลาด

9. ผู้ดูควรเรียนรู้กติกาการแข่งขันกีฬาชนิดนั้นๆ พอสมควร

10. ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ เมื่อเกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้นในสนามแข่งขัน

11. สนับสนุนให้กำลังใจและให้เกียรตินักกีฬาทุกประเภทเพื่อเป็นการส่งเสริมการกีฬาของชาติ

ไมไม่เห็นเพื่อนผมเข้ามาเม้นอะคับ....

เข้ามาอ่านแล้วได้ความรู้มากมายค่ะ

เข้ามาอ่านแล้วมีประโยชน์มากค่ะ

บดินทร์ ศิษย์อาจารย์คะนอง

บทความนี้ดีมาก

ขอบคุณนะครับ

สำหรับข้อมูลดีๆๆ

2 ทอง

1 เงิน

1 ทองแดง

ปล.เหรียญทองแดงผมหายครับ

ใครขโมยไปเอามาคืนด้วย

ได้คำนวณ BMI ทำให้รู้ขนาดน้ำหนักที่พอเหมาะกับส่วนสูงของตัวเอง

ได้ประโยชน์มากมายเลย

จากบทความ รูปร่างดีรู้ได้อย่างไร

อ่านแล้วรู้สึกว่าเป็นบทความที่ดีและมีประโยชน์เพราะเป็นบทความที่ทำให้หลายๆคนสามารถอ่านและนำไปคำนวณหาค่านำหนักตัวได้ และทำให้หลายๆคนที่คิดไปเองว่าตนเองอ้วนบ้างผอมบ้างได้รู้ว่าแท้จริงแล้วมีมวลนำหนักเป็นอย่างไร และที่สำคัญคนส่านใหญ่อยากมีรูปร่างที่ผอมบางจึงหาวิธีลดความอ้วนด้วยวิธีต่างๆที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ควรจะใช้วิธีออกกำลังกายดีกว่าเพราะจะมีประโยชน์ทำหให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง

บดินทร์ ศึษย์อาจารย์คะนอง

ลักษณะและขนาดของลูกแฮนด์บอล

ลูกบอล (The Ball)

1. ลูกบอลจะต้องทำด้วยหนังหรือวัสดุสังเคราะห์ และเป็นรูปทรงกลม ผิวของลูกบอลต้องไม่สะท้อนแสงหรือลื่น

2. ลูกบอลเมื่อวัดโดยรอบก่อนการแข่งขัน สำหรับผู้ชายมีเส้นรอบวงระหว่าง 58-60 เซนติเมตร หนัก 425-475 กรัม สำหรับผู้หญิง มีเส้นรอบวงระหว่าง 54-56 เซนติเมตร หนัก 325-400 กรัม

3. การแข่งขันทุกครั้งจะต้องมีลูกบอลที่ถูกต้องตามกติกาจำนวน 2 ลูก

4. เมื่อการแข่งขันได้เริ่มขึ้น จะเปลี่ยนลูกบอลไม่ได้ นอกจากจะมีเหตุผลอันสมควรเท่านั้น

5. ลูกบอลที่ได้รับการรับรองจากสหพันธ์แฮนด์บอลนานาชาติต้องมีเครื่องหมายของสหพันธ์เท่านั้นจึงจะสามารถใช้แข่งขันในระดับนานาชาติได้

โอ้วว กติกา ของกีฬานี้น่าสนใจดีน่ะค่ะ ต่อไปนี้จะได้ดูกีฬาให้สนุกมากยิ่งขึ้น

**แต่ใครมีกติกา ของกีฬาแปลกๆของพวกฝรั่ง ในโลกใบนี้ของเรามั่งค่ะ

อยากทราบจังเลยค่ะ อิอิ

เพื่อนๆค่ะ.. วันนี้คุณได้ออกกำลังกายแล้วหรือยัง???

วันนี้ดิฉันได้ไปอ่านเจอข้อความบทหนึ่งซึ่งมีความน่าสนใจเป็นอย่างมากค่ะ

เป็นการออกกำลังกายที่มากกว่าแค่การออกกำลังกาย แต่ระหว่างการออกกำลังกายชนิดนี้ ยังสามารถพัฒนาสมองของเราไปพร้อมๆกันด้วย น่าสนใจใช่ไมค่ะ เรามาดูกันเลย

*****การออกกำลังกายพัฒนาสมอง ด้วยตาราง 9 ช่อง*****

เรามารู้จักสมองกันก่อนน่ะค่ะ สมองถือได้ว่าเป็นศูนย์บัญชาการหลักที่ใช้ในการสั่งการระบบต่างๆของร่างกาย ประกอบด้วย เซลล์ประสาทส่วนต่างๆ ที่ทำงานเชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบที่ควบคุมพฤติกรรมทุกอย่างของมนุษย์

โดยสมองของคนเรานั้น แยกออกเป็น 2 ส่วนใหญ่คือ พฤติกรรมที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของจิตใจ เช่น อาการสะดุ้งตกใจ และพฤติกรรมที่อยู่ภายใต้การควบคุมของจิตใจ เช่น การอ่าน การเขียน การฟัง ตลอดจนการเคลื่อนไหวต่างๆอย่างเป็นระบบตามที่สมองเคยได้รับการฝึกเรียนรู้มา

ปัจจุบันมนุษย์เรามีพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจากสภาพสังคมและสภาพแวดล้อมที่มีความแออัดเร่งรีบ จึงทำให้ขาดสมาธิหรือมีจิตใจจดจ่อในการรับรู้เรียนรู้สั้นลง หงุดหงิดง่าย ขาดความมั่นคงทางอารมณ์ ใจร้อน มีความเครียดและความวิตกกังวลสูง ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรค เช่น โรคสมาธิสั้นในเด็ก โรคเครียด โรคสมองเสื่อม ในผู้สูงอายุ

ขั้นตอนการออกกำลังกายด้วยตาราง 9 ช่อง

1.เริ่มต้นการฝึกด้วยการปฏิบัติช้าๆ ทีละขั้นตอน โดยใช้มือซ้ายหรือเท้าซ้ายเคลื่อนไหวนำ และใช้มือขวาหรือเท้าขวาเคลื่อนไหวตามในแต่ละขั้นตอนจนจบตามที่กำหนดไว้

2.ปฏิบัติตามข้อ 1 สลับกันอย่างต่อเนื่อง โดยพยายามไม่หยุดชะงักในช่วงที่มีการสลับกันจากซ้ายไปขวา

3.ปฏิบัติตามข้อ 2 โดยพยายามปรับความเร็วในการเคลื่อนไหวตามลำดับ

4.หากการสลับจากซ้ายไปขวามีความผิดพลาดให้หยุดการปฏิบัติทันที จากนั้นให้เริ่มปฏิบัติใหม่ช้าๆ จนสามารถปรับความเร็วเพิ่มขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งถึงความเร็วสูงสุดของแต่บุคคล

5.การฝึกในรูปแบบอาจใช้ระยะเวลาในการฝึกปฏิบัติต่อรอบประมาณ 10-15 วินาที โดยมีช่วงพักสลับแต่ละช่วง 30-60 นาที แต่ละรูปแบบของการฝึกปฏิบัติซ้ำ 3-5 รอบ

หรือถ้าหากอยากจะฝึกสมองและสมาธิ พร้อมกับได้เหงื่อไปด้วยพร้อมๆกัน ซึ่งถือว่าเป็นการเล่นที่ยากขึ้นมาหน่อย โดยการก้าวทแยงมุมแบบรัศมีดาว ซึ่งวิธีการเล่นนั้นสามารถปฏิบัติได้ดังนี้

7 8 9

4 5 6

1 2 3

ผู้ฝึกยืนด้วยเท้าทั้งสองข้างอยู่ที่ช่องหมายเลข 5 ช่องที่ใช้เคลื่อนไหวในการฝึกคือ 1/3/5/7 และ 9 (ใช้เท้าซ้ายเป็นเท้านำ)

1.ก้าวเท้าซ้ายเอียงลงไปที่ช่องหมายเลข 1

2.ก้าวเท้าขวาเอียงขึ้นไปที่ช่องหมายเลข 9

3.ก้าวเท้าซ้ายกลับมาที่ช่องหมายเลข 5

4.ก้าวเท้าขวากลับมาที่ช่องหมายเลข 5

5.ก้าวเท้าซ้ายเอียงขึ้นไปที่ช่องหมายเลข 7

6.ก้าวเท้าขวาเอียงลงที่ช่องหมายเลข 3

7.ก้าวเท้าซ้ายกลับมาที่ช่องหมายเลข 5

8.ก้าวเท้าขวากลับมาที่ช่องหมายเลข 5

เป็นอย่างไรบ้างค่ะเพื่อนๆ ลองเอาไปปฏิบัติตามกันดูน่ะค่ะ "ออกกำลังวันละนิด สุขภาพชีวิตยิ่งยืนนานค่ะ" ^_^~

ประวัติกีฬาแฮนด์บอล

แฮนด์บอล (Handball) เริ่มต้นมาจากประเทศเยอรมัน ในราวปลายศตวรรษที่ 19 โดยครูพลศึกษาคนหนึ่งชื่อ Konrad Koch ได้ริเริ่มและแนะนำกีฬาประเภทนี้ออกมาเผยแพร่ อย่างไรก็ตาม เกมแฮนด์บอลก็ยังไม่เป็นที่นิยมกว้างขวางเท่าที่ควร จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2447 แฮนด์บอลจึงได้มีการพัฒนาอย่างกว้างขวางขึ้นในภาคพื้นยุโรป มีการกำหนดระเบียบและกติกาการเล่นโดยอาศัยกติกาของฟุตบอลเป็นหลัก นักพลศึกษาชาวอเมริกากล่าวว่า กีฬาแฮนด์บอลน่าจะเป็นเกมกีฬาที่เก่าแก่ที่สุด เพราะมนุษย์นิยมใช้มือกับลูกบอลขว้างมาแต่โบราณแล้ว อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถจะเดาได้ว่าเกมนี้ได้วิวัฒนาการมาเป็นกีฬาแฮนด์บอลในปัจจุบันได้อย่างไร

ประเทศยุโรปในฤดูหนาวไม่สามารถเล่นกีฬากลางแจ้งได้ จึงใช้ห้องพลศึกษาดัดแปลงเล่นกีฬาฟุตบอลด้วยมือ ตอนแรกใช้ผู้เล่น 11 คนเท่ากับฟุตบอล แต่ไม่สะดวก เพราะสถานที่คับแคบ จึงลดจำนวนผู้เล่นเหลือข้างละ 7 คน จึงกลายมาเป็นกีฬาแฮนด์บอลแบบการเล่นในปัจจุบัน ในช่วงนั้นแฮนด์บอลมิได้ถือว่าเป็นกีฬาอย่างหนึ่ง เพราะไม่มีหน่วยงานเป็นของตนเอง แต่คณะกรรมการที่ก่อตั้งและดำเนินการก็มาจากสหพันธ์กีฬาสมัครเล่นระหว่างชาติ (The International Amateur Athletic Federation) มีชื่อย่อๆ ว่า I.A.A.F. คณะกรรมการชุดนี้เป็นคณะกรรมการที่มีหน้าที่จัดดำเนินการต่างๆ ในทวีปยุโรปสมัยนั้น

หลังจากปี พ.ศ. 2447 กีฬาแฮนด์บอลซึ่งอยู่ในความดูแลของ I.A.A.F. ก็มีความมั่นคงขึ้น และหลายๆ ประเทศให้ความสนใจ และมีการจัดบรรจุในรายการกิจกรรมการกีฬาของประเทศนั้นๆ ด้วย ตลอดจนได้มีการแข่งขันทั้งภายในและภายนอกประเทศมากขึ้น

ในปี พ.ศ. 2469 I.A.A.F. ได้ตั้งคณะกรรมการกีฬาแฮนด์บอลขึ้นโดยเฉพาะ โดยมีคณะกรรมการที่มาจากประเทศต่างๆ ในเครือสมาชิกของกีฬาประเภทนี้มีการประชุมตกลงเรื่องกติกาซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่กีฬาแฮนด์บอลได้ตั้งเป็นกีฬาประเภทหนึ่งโดยเอกเทศ และมีการริเริ่มตั้งสหพันธ์แฮนด์บอลขึ้นในปี พ.ศ. 2471 ประเทศกลุ่มสมาชิก 11 ประเทศได้เข้าร่วมประชุมในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่เมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศฮอลแลนด์ The International amateur Handball Federation ก็ได้จัดตั้งขึ้น และบุคคลที่มีความสำคัญของการกีฬาสหพันธ์คือ Every Brundage ประธานของ I.O.C. ได้เป็นสมาชิกขององค์การใหม่นี้ด้วย

ในปี พ.ศ. 2471 กีฬาแฮนด์บอลก็ได้มีการสาธิตขึ้นในมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ต่อมาในปี พ.ศ. 2474 แฮนด์บอลก็ได้บรรจุเข้าเป็นรายการแข่งขันกีฬาระหว่างชาติ โดยการยอมรับของ I.O.C. หลังจากการประชุมที่กรุงอัมสเตอร์ดัม สมาชิกทั้งหมด 11 ประเทศ ก็ได้เพิ่มเป็น 25 ประเทศในปี พ.ศ. 2477 ซึ่งเป็นจุดที่ชี้ให้เห็นว่ากีฬาแฮนด์บอลได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ในปี พ.ศ. 2479 ก็ได้บรรจุเข้าแข่งขันในกีฬาโอลิมปิกที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน หรือที่เรียกว่า Nazi Olympic

สงครามโลกครั้งที่ 2 ได้สร้างปัญหาต่างๆ ให้กับการกีฬาเป็นอย่างมากแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีการประชุมร่วมกันอีกครั้งหนึ่งที่โคเปนเฮเกน เพื่อที่จะฟื้นฟูกีฬาแฮนด์บอลขึ้นมาใหม่ แต่ก็ล้มเหลว จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2499 จึงได้มีการแก้ไขกติกาแฮนด์บอลขึ้นใหม่ และยอมรับทักษะการเล่นสมัยก่อน ซึ่งทำให้ลักษณะของการเล่นและกติกาเปลี่ยนแปลงไป โดยอาศัยกติกาของฟุตบอลและบาสเกตบอลมาผสมกัน

สมัยก่อนนิยมการเล่นแบบ 11 คน เช่นเดียวกับฟุตบอล แต่ในยุโรปตอนเหนือได้มีการเล่นแบบ 7 คน และเล่นกันในร่ม ตอนแรกๆ ก็ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก แต่ต่อมาการเล่นแฮนด์บอลแบบ 7 คน ก็เป็นที่นิยมแพร่หลายในยุโรป ทำให้การเล่นแบบ 11 คนได้หายไป ซึ่งในปัจจุบันทั่วโลกก็ยอมรับการเล่นแบบ 7 คน และจากผลของการวิจัยต่างๆ ปรากฏว่าแฮนด์บอลเป็นกีฬาที่มีความเร็วเป็นอันดับสองของโลกรองลงมาจากกีฬาฮอกกี้น้ำแข็ง เหตุที่แฮนด์บอล 7 คนนิยมเล่นในร่มก็อาจเป็นเพราะเนื้อที่สนามน้อย สามารถเล่นในที่แคบๆ ได้ และอีกอย่างก็คือสภาพของดินฟ้าอากาศในฤดูหนาวของทวีปยุโรปนั้นจะปกคลุมไปด้วยหิมะและน้ำแข็ง ดังนั้นแฮนด์บอลจึงไม่สามารถเล่นในสนามกลางแจ้งได้ ด้วยเหตุผลนี้แฮนด์บอลจึงเป็นที่นิยมเล่นกันในร่มหรือโรงยิมเนเซียมแทน

จากที่กล่าวมาแล้วจะเห็นว่ากีฬาแฮนด์บอลเป็นกีฬาของโลกอย่างหนึ่งเพราะการแข่งขันกีฬาสำคัญระหว่างชาติก็มีการแข่งแฮนด์บอลด้วย เช่น กีฬาเอเชียนเกมส์ ที่ประเทศอินเดีย เมื่อปี พ.ศ. 2525 ก็ได้มีการแข่งขันแฮนด์บอล หลังจากที่บรรจุไว้ในกีฬาโอลิมปิก เมื่อปี พ.ศ. 2479 แล้ว และในปี พ.ศ. 2516 ได้บรรจุในโปรแกรมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่นครมิวนิค ประเทศเยอรมันตะวันตกด้วย

ประวัติแฮนด์บอลในประเทศไทย

กีฬาแฮนด์บอลได้นำเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2482 โดยอาจารย์กอง วิสุทธารมย์ อดีตอธิบดีกรมพลศึกษา ในสมัยนั้นแฮนด์บอลยังนิยมการเล่นแบบ 11 คนอยู่ แต่คนไทยเราไม่ค่อยจะนิยมเล่นกีฬาประเภทนี้กันเลยยกไป ซึ่งอาจเป็นเพราะประเทศไทยสามารถเล่นฟุตบอลได้ตลอดฤดูกาล กีฬาแฮนด์บอลจึงไม่เป็นที่นิยมเล่นดังกล่าว

ต่อมาในปี พ.ศ.2500 อาจารย์ชนิต คงมนต์ ได้ไปดูงานด้านพลศึกษาในประเทศเดนมาร์ก และสวีเดน ได้นำกีฬาแฮนด์บอลนี้มาเผยแพร่อีกครั้งหนึ่ง โดยเริ่มบรรจุเข้าสอนในโรงเรียนฝึกหัดครูพลานามัย และวิทยาลัยพลศึกษาก่อนที่อื่นเพื่อเป็นการทดลอง และต่อมาก็ได้เผยแพร่ไปตามโรงเรียนต่างๆ บ้าง แต่ก็ยังไม่กว้างขวางนัก

ปัจจุบันวิทยาลัยพลศึกษาทั่วประเทศได้บรรจุวิชาแฮนด์บอลไว้ในหลักสูตร ตลอดจนหลักสูตรประโยคมัธยมศึกษาตอนปลายของกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2518 ได้กำหนดเป็นวิชาบังคับ จึงนับได้ว่ากีฬาแฮนด์บอลเป็นที่รู้จักและนิยมกันอย่างกว้างขวางในหมู่นักเรียนวิทยาลัยพลศึกษา และประชาชนคนไทยมากยิ่งขึ้น

แฮนด์บอลได้บรรจุเข้าแข่งขันในกีฬาของวิทยาลัยพลศึกษาทั่วประเทศที่กรมพลศึกษาเป็นเจ้าภาพ เมื่อ พ.ศ. 2524 โดยการใช้กติกาการแข่งขันสากลฝ่ายละ 7 คน ปัจจุบัน นายปรีดา รอดโพธิ์ทอง อธิบดีกรมพลศึกษา ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า กีฬาแฮนด์บอลเป็นกีฬาที่มีความเหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ และสภาพของคนไทย จึงได้ส่งเสริมและให้มีการฟื้นฟูกีฬาประเภทนี้ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง โดยให้กองกีฬากรมพลศึกษาเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งจัดให้มีการอบรมผู้ฝึกสอน อบรมผู้ตัดสิน พร้อมทั้งจัดให้มีการแข่งขันกีฬาแฮนด์บอลในกีฬากรมพลศึกษาเป็นประจำทุกปี

นพ.รุ่งโรจน์ชี้แจงว่า สำหรับแผ่นแปะคุมกำเนิดนั้น เป็นนวัตกรรมล่าสุดของการคุมกำเนิดที่จำหน่ายในท้องตลาด สูตินรีแพทย์ทั่วไปมักเรียกแผ่นแปะคุมกำเนิดว่า “ยาคุมกอเอี๊ยะ” เพราะมีลักษณะการใช้เหมือนกอเอ๊ะ คือ เมื่อแปะที่ผิวหนังแล้ว ตัวยาจะค่อยๆ ซึมผ่านผิวหนังเข้าสู่กระแสเลือด แล้วไปออกฤทธิ์ป้องกันการตั้งครรภ์ เป็นยาคุมกำเนิดชนิดแปะชนิดแรกที่ได้รับอนุมัติจาก FDA (องค์การอาหารและยา) ของสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2544 มีจำหน่ายในสหรัฐฯในปี 2545

ใช้แทนยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดกินสำหรับคนที่ไม่สามารถรับประทานยาได้ หรือคนที่ชอบลืมกินยา หรือไม่ชอบกินยา ถ้าใช้อย่างถูกต้องก็มีประสิทธิภาพ 99 %

สำหรับผลค้างเคียงของการใช้ยานั้น นพ.อรรณพ กล่าวว่า มีน้อยมาก ทั้งมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยค่อนข้างสูง ความน่าเชื่อถือก็เหมือนกับยาเม็ดคุมกำเนิดทั่วไป แต่อาการข้างเคียงน้อยไม่เหมือนกับยาเม็ดเพราะไม่ต้องรับประทานเข้าไปได้ผลดี สมมุติว่าหากเราใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดตัวยาที่ใช้เมื่อเข้าไปในร่างกายจะไม่ค่อยสม่ำเสมอแต่ยาชนิดนี้เมื่อแปะบนผิวหนัง ตัวยาที่ร่างกายได้รับจะสม่ำเสมอกว่า อาการข้างเคียงก็จะไม่ค่อยมีอย่างเช่นเลือดออกผิดปกติก็จะพบน้อยมาก

มัลลิกา เอี่ยมนุ้ย วิทย์ออกฯภาคค่ำ

อ่านแล้วรู้สึกว่าเป็นบทความที่มีประโยชน์เพราะเป็นบทความที่ทำให้สามารถอ่านและนำไปคำนวณหาค่านำหนักตัวได้ เพราะโดยปกติแล้วคนส่วนใหญ่มักจะหาค่าไม่เป็น

มัลลิกา เอี่ยมนุ้ย วิทย์ออกฯภาคค่ำ

วันนี้ดิฉันได้ไปอ่านเจอข้อความที่น่าสนใจเป็นอย่างมากค่ะ เพราะเคยคิดไหมค่ะว่ามีวิธีการรับประทานอาหารอย่างไรจึงทำให้อารมณ์ดีขึ้น ซึ่งสามารถปฏิบัติได้ง่ายในชีวิตประจำวัน

 

การปรับเปลี่ยนประเภทของอาหารเพียงเล็กน้อยก็สามารถส่งผลให้อารมณ์ดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพียงแค่คุณ...

• รับประทานอาหารให้ครบมื้อ ถ้าไม่มีเวลารับประทานอาหารเป็นมื้อแบบกิจลักษณะ ควรเลือกของว่างเล็กๆ น้อยๆ เช่น ขนมปังโฮลวีทสักแผ่นหรือ ขนมปังกรอบธัญพืชสัก 2-3 แผ่น อย่าปล่อยให้ท้องว่างเด็ดขาด หรือว่าจะแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อเล็กๆ แต่รับประทานบ่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำตาลในเลือดตก

• รับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ผักและผลไม้ที่มีเส้นใยมาก และมีรสไม่หวาน เป็นต้น เพราะร่างกายจะค่อยๆ ย่อยและดูดซึมช้าๆ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ สม่ำเสมอ และหลังรับประทานอาหารได้ 4-6 ชั่วโมง ร่างกายจะหลั่งสารฮอร์โมนบางชนิดเพื่อสลายไกลโคเจน ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่สะสมอยู่ในร่างกาย และเพิ่มการสร้างกลูโคสจากแหล่งอาหารอื่น เช่น ไขมัน

• งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คาเฟอีน หันมาดื่มน้ำผลไม้คั้นสดหรือน้ำเปล่าธรรมดาแทน

• หมั่นออกกำลังกาย เนื่องจากหลังออกกำลังกายต่อเนื่องสัก 20 นาที ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนแอนโดรฟีนออกมาตามธรรมชาติ ทำให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้ปกระเปร่าและมีความสุข ลดความกังวลและเครียดลงได้

หากเพื่อนๆสนใจ ลองไปปฏิบัติดูได้นะค่ะ เพราะมีการทดลอง สามารถได้ผลลัทธ์ที่ดีทีเดียวค่ะ

เอมวิกา วิญญาปา วิทย์-ออก เลขที่66

อาจารย์ที่หนูบอกว่าอยากลดความอ้วน หนูได้ศึกษาดูแล้วค่ะ หนูไปเจอบทความอยู่บทหนึ่งมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับยาลดความอ้วนว่ามีข้อดีและข้อเสียอย่างไรแต่หนูไม่รู้ว่าเป็นของใครเขาไม่ได้บอกไว้ทำให้หนูรู้ที่มาของมัน หนูเลยคิดว่าเป็นอย่างนี้แหละดีแล้ว ไม่ต้องลดแล้วล่ะ บทความที่จะยกมาให้อาจารย์อ่านมีดังนี้ค่ะ

ยาลดความอ้วนที่มีการใช้กัน มีข้อดีข้อเสียอย่างไร

ยาลดความอ้วนที่ใช้กันมีหลายตัว แต่แบ่งเป็นกลุ่มหลักๆได้คือ

ยาออกฤทธิ์ "กดความอยากอาหาร"

การใช้ยาลดความอ้วนที่ออกฤทธิ์ "กดความอยากอาหาร" ยาในกลุ่มนี้เป็นยาที่มี การดัดแปลงมาจาก"ยาบ้า" วิธีนี้มีผู้นิยมใช้กันมาก ข้อดีของการใช้ยาคือ น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็ว แต่มีข้อเสียคือ ผลข้างเคียงจากการใช้ยา เช่นง่วงซึมกระสับกระส่าย ใจสั่น กระวนกระวาย อ่อนเพลียจากการขาดอาหาร มีตะคริวขึ้นตามกล้ามเนื้อ หงุดหงิดง่ายโดยเฉพาะผู้มีปัญหาทางด้าน สุขภาพจิต อาจเกิดอาการคุ้มคลั่งได้ง่าย และ ยังมีผลทำให้เกิดโรคหัวใจบางชนิด จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาในกลุ่มนี้ทุกครั้ง

นอกจากนี้การใช้ยาในกลุ่มนี้เนื่องจากร่ายกายไม่ได้รับสารอาหารอย่างพอเพียง จึงมีการสลายตัวของไขมัน และกล้ามเนื้อของร่างกายไปพร้อมกันด้วยทำร่างกายทรุดโทรมเกิดโรคแทรกซ้อนได้ง่าย และ มีข้อสังเกตุคือยากลุ่มนี้เมื่อใช้ต่อเนื่องไปนานๆ เกินกว่าสองถึงสามเดือน ไปแล้ว จะไม่ค่อยได้ผล หรือมีอาการดื้อยา

และที่สำคัญ อีกประการหนึ่งคือเมื่อหยุดใช้ยาจะไม่มีการกดความรู้สึกหิว ร่างกายจึงจะรู้สึกหิวมากกว่าปกติ ทำให้มีการกินอาหารเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ ก่อให้เกิดการอ้วน กลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว(YOYO Effect)

สวัสดีครับอาจารย์กั๊ม

ในครั้งนี้ผมมีเคล็ดลับการรักษาสุขภาพเบื้องต้นมาฝากครับ

เพราะว่าผมเป็นคนที่นอนดึกเพราะชอบดูทีวีดึก ๆ ก็เลยต้องหาวิธีรักษาสุขภาพ

พอเจอข้อความนี้ผมอ่านแล้วก็ลองนำไปปฏิบัติตาม

ปรากฎว่ามันก็ได้ผลดีเลยทีเดียว

ยังไงก็ลองอ่านดูนะครับ

ความลับของการมีสุขภาพดีและยืนยาวได้ ไม่ได้อยู่ที่การได้กินยาอายุวัฒนะจากท้องทะเลลึก หรือการใช้สารสกัดจากดอกไม้ล้านปีแห่งยอดเขาหิมาลัย หรือการดื่มโสมพันปีจากเทือกเขาลี้ลับ แต่ได้จากการดำรงชีวิตและการกินอยู่อย่างง่าย ๆ เพียงไม่กี่อย่างในชีวิตประจำวันเท่านั้นก็สามารถที่จะทำให้ความสุขอยู่กับสุขภาพดี มีพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย หรือเป็นโรคฮิตที่นำความพิการและความจำกัดมาสู่ชีวิต

เป็นเรื่องน่าสนใจที่การศึกษาเกี่ยวกับสุขภาพดีจำนวนมากมักจะแสดงผลที่บ่งชี้ ให้เห็นถึงการปฏิบัติง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างหนึ่งของการศึกษาที่โด่งดังมีผลการศึกษาเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในกลุ่มนักวิชาการสาธารณสุข คือ การศึกษาของ น.พ.เบลล็อค และ เบรสโล จากแคลิฟอร์เนีย ได้ศึกษาถึงปัจจัยที่ทำนายความยืนยาวของอายุและปัจจัยส่งเสริมให้มีสุขภาพดี 7 ประการ โดยพบว่า หากเราได้ปฏิบัติสิ่งเหล่านี้จริงจัง จะส่งผลดีต่อสุขภาพและมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น

*** ปัจจัยดังกล่าวประกอบด้วย ***

1) นอนหลับวันละ 7-8 ชั่วโมง

2) รับประทานอาหารเช้าเป็นประจำ

3) ไม่รับประทานอาหารจุกจิกระหว่างมื้อ

4) รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

5) ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

6) ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ งดดื่มแอลกอฮอล์

7) ไม่สูบบุหรี่

จะเห็นว่าพฤติกรรมสุขภาพเหล่านี้ ทุกคนสามารถทำได้ตลอดเวลาทุกสถานที่และทุกฐานะ สิ่งที่คุกคามสุขภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนเรา ปัจจุบันนี้จึงไม่ได้อยู่ที่การขาดวิตามิน หรือ สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ แต่เกิดจากการประเมินค่าความสำคัญของการปฏิบัติที่สุขภาพดีต่ำเกินไป จึงมีคนนำข้อควรปฏิบัติไปใช้ในชีวิตประจำวันน้อยจนถึงไม่สนใจเลย ในบางตัวอย่างหรือปัจจัยที่ได้จากการศึกษาที่กล่าวถึงประการหนึ่งในชีวิตประจำวัน หากเราสามารถทำได้จนเป็นนิสัยแล้ว จะก่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ จะทำให้เห็นความแตกต่างของพละกำลังกับความอ่อนเพลีย

ระหว่างความสดชื่นกับความหดหู่ ระหว่างสุขภาพและความเจ็บป่วย คือ การดื่มน้ำอุ่น 1-2 แก้วหลังตื่นนอนตอนเช้า เหตุผลคือ ในตอนกลางคืนขณะหลับอุณหภูมิของร่างกายลดลง เลือดจะถูกดึงจากแขน-ขา หรือเรียกว่าส่วนปลายของร่างกายเข้าสู่ส่วนกลางอันเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกายและผิวหนัง การดื่มน้ำอุ่น 1-2 แก้วหลังตื่นตอนจะส่งผลให้มีการแผ่กระจายตัวของอุณหภูมิ ทำให้เส้นเลือดส่วนปลายซึ่งหดเล็กลงในตอนกลางคืนขยายตัวออก ช่วยให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น และทำให้ผิวหนังอุ่นขึ้น เหตุผลอีกอย่างที่สำคัญคือ ช่วยลดภาวะท้องผูกโดยเฉพาะสตรีตั้งครรภ์และผู้สูงอายุ ที่มักจะประสบภาวะท้องผูก การดื่มน้ำอุ่นในตอนเช้า จะกระตุ้นการทำงานโดยเฉพาะ การเคลื่อนไหวของลำไส้ ช่วยให้การขับถ่ายได้สะดวก ผลระยะยาวจะทำให้เกิดความสดชื่น มีการทำงานที่ดีของร่างกาย กระเพาะอาหาร และลำไส้มีความพร้อมในการทำงาน คือการย่อยและดูดซึมเมื่อถึงมื้ออาหาร ผู้ที่ปฏิบัติอยู่เป็นประจำจะบอกได้ถึงความแตกต่างที่กล่าวถึง

การเริ่มต้นดื่มน้ำอุ่นในตอนเช้าของคนที่ไม่เคยปฏิบัติมาก่อน อาจจะเริ่มด้วยการดื่มน้ำอุ่นแก้วเล็ก ๆ แล้วค่อยเพิ่มปริมาณขึ้น จนได้ขนาดแก้วละ 250 ซีซี หรือมากกว่า ถ้ายังทำไม่ได้ตามแผน อาจจะต้องเขียนโน้ตติดไว้หน้ากระจกเตือนตัวเองว่าวันนี้คุณดื่มน้ำหรือยัง หรือจะให้น่าดื่มและเชิญชวนให้ดื่มได้มากขึ้น อาจจะบีบน้ำมะนาวลงไปเล็กน้อย หรือจะเป็นชาสมุนไพรก็ไม่มีข้อห้ามแต่อย่างใด

แค่นี้คุณก็มีสุขภาพดีได้ตั้งแต่ตอนเช้า ลองหันมาปฏิบัติอย่างจริงจังทุกวัน แล้วเพิ่มข้อปฏิบัติอื่น ๆ ที่กล่าวไว้ติดตามมาก็จะทำให้คุณมีสุขภาพดี อายุยืนยาว ไม่ต้องหันไปพึงยาหรือสารสกัดใดให้เสียเงินโดยไม่จำเป็น........

บทความนี้มาจากฝ่ายส่งเสริมสุขภาพโรงพยาบาลมิชชั่น "เปิดโลกหน้าเหลือง" ฉบับที่ 33 ประจำเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2545 วารสารสำหรับลูกค้าสมุดหน้าเหลืองไทยแลนด์ เยลโล่เพลเพส

หรือ http://gotoknow.org/blog/gump/220425?page=2

นางสาว เลปวรรณ จันต๊ะคาด (ม.ฟาร์อีสเทอร์น)

สุขภาพที่ดี คือ การที่เราดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง ตั้งแต่เรื่อง การออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร การพักผ่อน การลดหรือเลิกสิ่งที่บั่นทอนสุขภาพ ร่างกายเรากระปี้กระเปร่า พร้อมที่จะดำเนินชีวิตประจำวัน

นางสาว เลปวรรณ จันต๊ะคาด (ม.ฟาร์อีสเทอร์น)

วิธีการปฏิบัติเพื่อให้สุขภาพดี

1.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยสัปดาห์ละ2-3ครั้ง

2.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

3.ระบายความเครียดลงในกระดาษในแต่ละวัน เมื่อเครียดน้อยลงโรคต่างๆก็จะน้อยลง

4.ทำตัวเองให้เป็นคนสนุสนาน เพื่อชีวิตที่ยืนยาว เช่น ดูหนัง ฟังเพลง

5.เล่นเกมส์ฝึกสมอง ช่วยชะลอการเกิดโรคความจำเสื่อม

6.ควรล้างมือบ่อยๆ อย่างน้อยวันละ 4 ครั้ง

7.ตรวจร่างกายและเลือดเป็นประจำ อย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อป้องกันการรุกรานของโรคแต่เนิ่นๆ

นางสาว เลปวรรณ จันต๊ะคาด (ม.ฟาร์อีสเทอร์น)

ปัจจัยที่ทำให้สุขภาพดี คือ อาหารและจิตใจ ถ้าเราได้ในสิ่งที่ต้องการจิตใจจะเบิกบาน แต่ถ้าจิตใจไม่ดี ทำให้ปวดหัวสุขภาพไม่ดี เพราะร่างกายทำงานหนัก เพราะอารมณ์ของเราแปรปรวน แต่จริงๆแล้วสุขภาพที่ดีทุกอย่างดีหมดไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือหน้าตา ผิวพรรณ

นางสาว เลปวรรณ จันต๊ะคาด (ม.ฟาร์อีสเทอร์น)

การตรวจสุขภาพ คือ การที่ผู้ไม่ได้เจ็บป่วยหรือรู้สึกว่าตัวเองมีสุขภาพแข็งแรงดีมาตรวจ เพื่อตรวจสอบว่ามีความผิดปกติอะไรแอบซ่อนอยู่หรือไม่ และควรได้รับคำแนะนำเพื่อปรับเปลี่ยน แก้ไข ป้องกัน ไม่ให้เกิดโรค เช่น การตรวจสุภาพแล้วพบว่ามีไขมันในเลือดสูง ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร ก็จะได้ปรับพฤติกรรมการบริโภคอาหาร และออกกำลังกายให้สมำเสมอ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคหลอดเลือดอุดตันในอนาคต เป็นต้น

ดีดูด้วยสุขภาพและร่างกาย

รักกีฬาจัง

ดีดูด้วยสุขภาพและร่างกาย

ชุติมา วิทย์ออก เลขที่ 4

ในหน้าหนาวทุกคนย่อมประสบปัญหาผิวแห้งแตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาวๆ ที่ถือปัญหาเรื่องความสวยงามที่จำเป็นจะต้องดูแลเป็นอย่างดี วันนี้มีวิธีการป้องกันและรักษาผิวแห้งแตกในหน้าหนาวมาฝากกันค่ะ

หลักการดูแลผิวเพื่อป้องกันและรักษาผิวแห้งมีไม่มาก

การดูแลภายนอก

- ไม่ควรอาบน้ำบ่อย อาบด้วยน้ำอุ่นได้ แต่อุณหภูมิไม่เกิน 34 องศาเซลเซียส

- เลือกผลิตภัณฑ์อาบน้ำหรือล้างหน้าที่ไม่มีความเป็นกรดหรือด่างแรง ๆ ควรใช้สบู่ หรือเจล

- ทาครีมเช้า-เย็น เพื่อลดการสูญเสียน้ำ ใช้ครีมที่มีสารจำพวก Vaseline, Petrolatum, Lanolin, Caramide พร้อมกับการดึงน้ำจากอากาศเข้าผิวหนัง โดยใช้ส่วนผสมของสารจำพวก Propylene Glycol, Glycerine ทาครีมที่มีส่วนผสมของ AHA, Lactic acid ที่ช่วยลดความหนาและการตึงของผิวหนัง ส่วนผสมที่กล่าวข้างต้น สามารถอ่านได้ตามฉลากข้างขวดครีมทั่วไป

- ควรสวมถุงเท้าหรือถุงน่องเมื่อสวมรองเท้า ป้องกันผิวแตกได้ดี

การดูแลภายใน

ผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง ควรปรนเปรอตนเองด้วยอาหารที่เน้นหนักสารอาหารที่บำรุงผิวโดยเฉพาะ อาทิ

- อาหารที่มีวิตามินซี เพราะเป็นสาร Antioxidants ทำหน้าที่ลดอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็งผิวหนัง ชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่น เป็นสารที่จำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นหนังแท้ ซึ่งมีมากในส้ม มะนาว ฝรั่ง มะขาม มะละกอสุก แคนตาลูป มะเขือเทศ กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ หรือรับประทานวิตามินซีสังเคราะห์วันละ 500-1,000 มิลลิกรัม

- รับประทานอาหารที่มีวิตามินอีที่จะช่วยป้องกันเนื้อเยื่อจากการถูกทำลาย เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวพรรณ ป้องกันและลดอันตรายจากแสงแดด ซึ่งได้แก่ พวกน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันปาล์มโอเลอิน ถั่วเปลือกแข็ง หรือรับประทานวิตามินอีในรูปอาหารเสริมวันละ 400 มิลลิกรัม

- วิตามินเอซึ่งร่างกายจะเปลี่ยนแปลงในรูปเรตินอล ซึ่งปัจจุบันมีการสังเคราะห์เพื่อช่วยเสริมสร้างผิวพรรณ บ้างก็มารักษาสิว วิตามินเอมีมากในฟักทอง แครอท น้ำมันตับปลา ไข่ นม กล้วยไข่ ลูกท้อแห้ง เป็นต้น

นอกจากวิตามินดังที่กล่าวมายังมี ไบโอติน สารอาหารที่อยู่ในตระกูลวิตามินบี พวกบรูเวอร์ยีสต์ ข้าวกล้อง ขนมปัง ไข่แดง ตับ ที่ร่างกายต้องการ โดยรวมแล้วคือการรับประทานให้ครบ 5 หมู่ เป็นการดีที่สุดสำหรับผิวพรรณ การอดอาหารเพื่อการลดความอ้วน นอกจากจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพผิวหนัง ท่านจะขาดสารอาหารสำคัญ เกร็ดความรู้ที่ริมระเบียงนำมาฝากนี้เชื่อว่า ต้องเป็นประโยชน์ต่อคุณในหน้าหนาวนี้อย่างแน่นอน

กิตติพจน์ วิทยืออก เลขที่ 14

ปัจจุบันความอ้วยกลายเป็นปัญหาใหญ่ คนเรามักจะหาวิธีมากมาย วันนี้ผมขอนำเสนอ การลดความอ้วนด้วยสมุนไพร

สูตรลดความอ้วน

สูตรนี้ถ้าปฏิบัติอย่างเคร่งครัด และไม่โกงตัวเอง

รับรองว่าจะลดน้ำหนักได้สัปดาห์ละ 5 กิโลกรัม

โดย 3 วันแรกลดได้ถึง 3 กิโลกรัม

ข้อห้าม งดเหล้า ไวน์ น้ำหวาน น้ำอัดลมทุกชนิด ชา กาแฟ ได้นิดหน่อย แต่ห้ามใส่น้ำตาล ห้ามรับประทานถั่ว ,ข้าวโพด ทุกชนิด

เริ่มวันแรก รับประทานผลไม้ทุกมื้อ โดยเฉพาะ แตงทุกชนิด เพราะมีแคลอรีต่ำ (ยกเว้นแตงกวา) ไม่มีแป้ง น้ำตาล (ส่วนอย่างอื่นงดหมด)

วันที่สอง จะเป็นผักทุกชนิด เช่น สลัดผัก มันฝรั่งนึ่งหรือเผา 1 หัว ใส่เนยก้อนเล็กๆเกลือ พริกไทย ซอสมะเขือเทศเพิ่มรสชาติ หรือจะดัดแปลงเป็นอาหารไทย เช่น เห็ดผัดกับน้ำพริกแกง,น้ำพริกเผา ช่วยให้ไม่เบื่ออาหาร (ที่สำคัญอย่างอื่นต้องงดเช่นเดียวกัน)

วันที่สาม ผักและผลไม้ ผสมกันรับประทานได้ทั้งวัน

วันที่สี่ กล้วยหอม 3 ใบ แบ่งรับประทานมื้อละ 1 ใบ ตามด้วยนมพร่องไขมัน มื้อละ 1 แก้ว

วันที่ห้า สามารถทานเนื้อสัตว์ได้ 10-20 กรัม (ประมาณชิ้นหรือสองชิ้นเล็กๆนั่นแหละ) ทานกับมะเขือเทศ 6 ลูก โดยน้ำไปอบ หรือย่าง แล้วลอกเปลือกออก แบ่งรับประทานเป็น 2-3 มื้อก็จะดี

วันที่หก รับประทานได้ทั้งเนื้อปลา ไก่ เนื้อ ทั้ง 3 มื้อ แค่พออิ่ม โดยรับประทานกับสลัดผัก

วันที่เจ็ด วันสุดท้ายแล้ว ให้เป็นข้างซ้อมมือ กับผัก (ไม่มีเนื้อสัตว์) แนะนำให้นำข้าวไปคลุก น้ำปลา หรือผัดกับน้ำพริกเผา ผัดร้อนๆ โดยใส่ผักลงไปด้วยก็ได้ โดยไม่มีเนื้อสัตว์

เมื่อครบ 7 วัน ก็หมุน เมนูไปรับประทานเหมือนวันแรก ทำเช่นนี้เป็นประจำทุกสัปดาห์ หรือจะเสริมด้วยซุปที่รับประทานได้ทุกวัน (ยกเว้นวันแรก)

ซุปสูตรลดความอ้วน

ประกอบด้วย เซลอรี 1 ต้น กะหล่ำปลี หอมหัวใหญ่ 6 หัว

พริกยักษ์ 1 เม็ด มะเขือเทศ 4 ลูก หั่นใส่รวมกัน ใส่น้ำพอท่วมผัก

เติมพริกไทย เกลือ ซอสพริม เพื่อเพิ่มรสชาติ ต้มจนเปื่อย

ขอรับรองว่า ถ้าปฏิบัติได้ตามนี้ จะได้ผลยอดเยี่ยม หน้าตาสวย เหมือนเดิม ร่างกายไม่โทรม เพียง 2 เดือนครึ่ง สามารถลดน้ำหนักได้ถึง 15 กิโลกรัม

นายชัยวิชิต อิ่นแก้ว(5001023035 ฟาร์อีสเทอร์น)

"ผิวขาดน้ำ" เป็นสัญญาณอันตรายของปัญหาผิวหน้าขาดความกระชับ และปัญหาริ้วรอย ถ้าไม่อยากหน้าเหี่ยวดูแก่ก่อนวัย ต้องรู้จักดูแลผิวหน้าตั้งแต่เนิ่นๆ !!!

แถมช่วงนี้อากาศก็เริ่มที่จะเย็นลงแล้วด้วย ดังนั้นสาว ๆ ทั้งหลายก็ควรจะเริ่มดูแลผิวหน้าของตัวเองเพื่อสู้กับอากาศที่เย็นลงได้แล้วนะคับ

ทั้งนี้หากสาว ๆ คนไหนสังเกตเห็นว่า มีเส้นปรากฏเป็นริ้ว ๆ บนแก้มนั้น เดาได้ว่าผิวของคุณกำลังขาดน้ำ อันนี้ถือเป็นสัญญาณอันตราย เพราะจะนำไปสู่ผิวที่อ่อนแอแพ้ง่าย ขาดความชุ่มชื้น และสูญเสียความแน่นกระชับ จนทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย ทางที่ดีควรดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ 8 แก้ว หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่

เพราะนอกจากการบำรุงผิวตามปกติแล้ว ในแต่ละวันก็ควรจะดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อเติมความชุ่มชื่นให้ผิวพรรณ รวมไปถึงพยายามพักผ่อนให้เพียงพอ และทานอาหารให้ครบ 5 หมู่เพียงเท่านี้อาการ "ผิวขาดน้ำ" ก็จะไม่มาย่ำกรายแล้วนะคับ

นายนที รินยานะ 5001023054 (ฟาร์อีสเทอร์น)

การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพคืออะไร

คือ การออกกำลังกายเพื่อเพิ่ม หรือคงไว้ซึ่งความทนทานของระบบไหลเวียน

โลหิตและปอด โดยมีขบวนการใช้ออกซิเจน ในขบวนการเผาผลาญ เพื่อให้

เกิดพลังงานสำหรับการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง จึงมีชื่อเรียกการออก

กำลังกายชนิดนี้ว่า AEROBIC EXERCISE

สวัสดีครับ ออกกำลังกายดีกว่าการอดอาหาร

อยากหุ่นดีต้องออกกำลังกายนะคาบ

นางสาว เลปวรรณ จันต๊ะคาด (ม.ฟาร์อีสเทอร์น)

การตรวจสุขภาพ คือ

-การตรวจสุขภาพประจำปี เป็นการคัดกรองหากรองเป็นประจำทุก 12 เดือน โรคที่คัดกรองสามารถเป็นโรคที่สามารถควบคุมได้หรือสามารถรักษาในระยะเริ่มต้นแล้วได้ผลดี การตรวจคัดกรองในกลุ่มคนที่ไม่มีอาการก่อนจะมีอาการ จะช่วยชะลอการเจ็บป่วยหรือการเสียชีวิตได้

-การตรวจสุขภาพเป็นระยะ เป็นการตรวจสุขภาพที่กำหนดตามความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังและโรคที่เกิดจากการสัมผัสสิ่งแวดล้อมในการทำงาน อาทิ การตรวจคัดกรองโรคหอบหืดจากการทำงาน

ซึ่งการตรวจสุขภาพทั้ง2แบบนี้ มีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไปจากการตรวจเพื่อวินิจฉัยโรค

นางสาววราภรณ์ สุตพลสันติกุล (ม.ฟาร์อีสเทอร์น)

"ผิวขาดน้ำ" เป็นสัญญาณอันตรายของปัญหาผิวหน้าขาดความกระชับ และปัญหาริ้วรอย ถ้าไม่อยากหน้าเหี่ยวดูแก่ก่อนวัย ต้องรู้จักดูแลผิวหน้าตั้งแต่เนิ่นๆ !!!

แถมช่วงนี้อากาศก็เริ่มที่จะเย็นลงแล้วด้วย ดังนั้นสาว ๆ ทั้งหลายก็ควรจะเริ่มดูแลผิวหน้าของตัวเองเพื่อสู้กับอากาศที่เย็นลงได้แล้วนะคะ

ทั้งนี้หากสาว ๆ คนไหนสังเกตเห็นว่า มีเส้นปรากฏเป็นริ้ว ๆ บนแก้มนั้น เดาได้ว่าผิวของคุณกำลังขาดน้ำ อันนี้ถือเป็นสัญญาณอันตราย เพราะจะนำไปสู่ผิวที่อ่อนแอแพ้ง่าย ขาดความชุ่มชื้น และสูญเสียความแน่นกระชับ จนทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย ทางที่ดีควรดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ 8 แก้ว หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่

เพราะนอกจากการบำรุงผิวตามปกติแล้ว ในแต่ละวันก็ควรจะดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อเติมความชุ่มชื่นให้ผิวพรรณ รวมไปถึงพยายามพักผ่อนให้เพียงพอ และทานอาหารให้ครบ 5 หมู่เพียงเท่านี้อาการ "ผิวขาดน้ำ" ก็จะไม่มาย่ำกรายแล้วค่ะ

นางสาวพัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ม.ฟาร์อีสเทอร์น)

การดูแลสุขภาพดวงตา

ผื่นที่เปลือกตา

ผื่นที่เปลือกตา มีสาเหตุได้จากอะไรได้บ้าง เป็นสิ่งที่ต้องถาม

ต้อกระจก (Cataract)

ต้อกระจก เป็นภาวะที่พบบ่อยมากในผู้ป่วยสูงอายุเกิดจากการเสื่อมสภาพไปตามวัย ทำให้เลนส์แก้วตาที่ทำหน้าที่โฟกัสภาพ ซึ่งตามปกติจะเหมือนกระจกใสกลายเป็นกระจกฝ้า เป็นผลให้เกิดอาการตาพร่ามัวขึ้น ซึ่งไม่สามารถแก้ไขด้วยแว่นหรือคอนแทคเลนส์ได้ ต้องผ่าตัดเท่านั้น

ต้อหิน (GLAUCOMA)

ชื่อที่ใช้เรียกต้อหินนั้นเป็นชื่อที่ทำให้คนฟังเข้าใจผิดกันไม่ใช่น้อย เนื่องจากทำให้หลายๆคนพากันคิดว่ามีก้อนที่เหมือนหินอยู่ในตา และเมื่อเป็นแล้วก็จำเป็นที่จะต้องรักษาโดยการผ่าตัดเอาต้อหินอออก แท้ที่จริงแล้วกลับตรงกันข้าม เพราะไม่มีก้อนอะไรทั้งสิ้นเพียงแต่...

วิธีการถนอมดวงตา

น่าสนใจดีโดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ทุกวันหรือ ใช้ปาล์มบ่อยๆ วิธีนี้คิดค้นขึ้นโดยจักษุแพทย์ชาวอเมริกันชื่อว่านายแพทย์ วิลเลียม เอช. เบตส์ (ค.ศ. 1860-1931)

อาหารเพื่อสุขภาพตา

ดวงตา เป็นอวัยวะที่มีความละเอียดอ่อน ซับซ้อน และยังเป็นอวัยวะที่ต้องปะทะกับแสงแดดทุกวัน เป็นสาเหตุของต้อกระจกและจอประสาทตาเสื่อม ซึ่งนำไปสู่สาเหตุการตาบอดในผู้สูงอายุ

โรคศูนย์กลางจอประสาทตาเสื่อมเนื่องจากอายุ

ตา เป็นอวัยวะที่สำคัญมากต่อของคนเราเพราะว่าหากตาทำงานผิดปกติไปหรือสูญเสียการมองเห็นไปแล้วนั้น เราย่อมไม่สามารถดำเนินชีวิตประจำวัน ได้ตามปกติ ตัวอย่างเช่น การเดินทาง การขับรถ อ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ หรือภาพยนตร์ เป็นต้น หรือแม้กระทั่งการช่วยเหลือตัวเองในการทำธุระส่วนตัว หรือจนอาจเป็นภาระต่อผู้อื่น และหากเกิดขึ้นในผู้สูงอายุด้วยแล้วยิ่งทำให้เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายขึ้น

วิตามินสำหรับคนสายตาสั้น

วิตามินสำหรับคนสายตาสั้น มีข่าวดีสำหรับคนสายตาสั้นค่ะ อย่าเพิ่งท้อนะคะ ว่า เมื่อสายตาสั้นแล้วต้องสั้นขึ้นเรื่อยๆ เพราะหาก ได้รับการบำรุงที่ดีก็จะช่วยชะลอการเสื่อมของเซลส์ ประสาทได้ค่ะ

การบริหารดวงตา

วิธีการฝึกสายตาอย่างธรรมชาติ เพื่อพักผ่อนกล้ามเนื้อตาและช่วยรักษาสายตาให้ดีขึ้น นายแพทย์เบตส์เขียนหนังสือชื่อ Perfect Sight without Glasses เป็นที่นิยมแพร่หลาย แม้ภายหลังเขาเสียชีวิต แต่วิธีการของนายแพทย์เบตส์ยังได้รับการเผยแพร่โดยแพทย์ทั้งหลายทั่วยุโรปและอเมริกา "วิธีของเบตส์" มี 7 ท่าด้วยกัน

นางสาววราภรณ์ สุตพลสันติกุล (ม.ฟาร์อีสเทอร์น)

หากสาวอวบอย่างคุณเมื่อเห็นสาวเอวบางร่างน้อยแต่งตัวเซ็กซี่แล้วเกิดอาการอิจฉาตาร้อนอยากจะลุกขึ้นมาโชว์หุ่นกับเขาดูบ้าง แต่ก่อนที่จะตัดสินใจทําอย่างนั้น WP ขอแนะให้มาอ่านข้างล่างนี้กันก่อนดีไหม เผื่อจะช่วยให้คุณไม่ต้องตกเป็นประเด็นฮอตให้คนอื่นเขาแอบเอาไปเม้าท์กัน

วิธีที่ WP จะนํามาแนะนําในวันนี้คือการกินโปรตีนค่ะ อ๊ะๆ คงนึกไม่ถึงละสิว่าโปรตีนนี่น่ะเหรอจะช่วยให้ฉันผอมได้ อย่าเพิ่งดูถูกไปนะคะ เพราะเขาได้มีการทดลองออกมายืนยันแล้วว่า

คนที่กินโปรตีนสูงจะมีแนวโน้มที่จะลดน้ำหนักได้มากกว่ากลุ่มที่กินโปรตีนน้อยหรือไม่กินเลย ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะโปรตีนมีส่วนช่วยในการเพิ่มอัตราเมตาบอลิซึ่มให้กับร่างกาย

นั่นก็หมายถึงคุณจะเผาผลาญ แคลอรีได้มากขึ้น นอกจากนี้ โปรตีนยังทําให้ระดับไนโตรเจนในร่างกายเกิดความสมดุลซึ่งจะมีผลให้มวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น ช่วยให้อัตราการดูดซึมกลูโคสในกระแสเลือดช้าลงซึ่งจะทําให้ไม่ค่อยหิว และช่วยลดระดับ อินซูลินทําให้การเผาผลาญไขมันเป็นไปได้ง่ายขึ้นด้วย

แหล่งโปรตีนหาได้จากไหน

โดยปกติแล้ว ร่างกายจะสามารถสร้างกรดอะมิโนขึ้นมาเองได้ 80% ที่เหลืออีก 20% จะต้องรับจากการกินเข้าไป ซึ่งแหล่งของกรดอะมิโนเหล่านี้ หาได้จากอาหารที่มีโปรตีนสูง อย่างเช่น

เคซีน - หรือโปรตีนจากนมซึ่งเป็นที่โปรดปรานของกล้ามเนื้อมาก ช่วยทําให้กล้ามเนื้อกระชับ เพิ่มการสังเคราะห์และยับยั้งการย่อยสลายโปรตีน จากการศึกษาพบว่า ถ้าเรากินอาหารที่มีเคซีนเข้าไป มันจะไปเกาะกันเป็นก้อนอยู่ในรูปของวุ้นที่กระเพาะ ทําให้อาหารเคลื่อนตัวช้าลง

เป็นเหตุให้กรดอะมิโนถูกปล่อยเข้าสู่กระแสเลือดมากขึ้น นอกจากนี้ เคซีนยังช่วยในเรื่องของการเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ เพิ่มระดับ HDL และช่วยคลายอาการปวดของกล้ามเนื้อและข้อต่อด้วยค่ะ

ถั่วเหลือง - มีโปรตีนสูงถึงร้อยละ 34

ซึ่งมากกว่าโปรตีนจากเนื้อหมูประมาณ 2 เท่า ถึงแม้ถั่วเหลืองจะไม่ค่อยมีบทบาทในการปั้นหุ่นมากนัก แต่มันก็มีความสําคัญต่อสุขภาพมากๆ เลยนะ เพราะในเมล็ดถั่วเหลืองโดยเฉพาะผิวหุ้มของมันจะมีสารเลซิธิน (Lecithin) ซึ่งเป็นสารบํารุงสมอง ช่วยในด้านการเพิ่มความจํา ลดไขมันและคอเลสเตอรอลในร่างกายค่ะ

ไข่-แหล่งโปรตีนที่ดีและราคาถูก ซึ่งหลายๆ คนอาจจะกลัวการกินไข่เพราะกลัวคอเลสเตอรอลที่มีอยู่ในไข่แดง แต่จริงๆ แล้วไขมันอิ่มตัวในอาหารต่างหากละที่เป็นตัวการทําให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูง

ยิ่งไปกว่านั้นการกินไข่ยังเป็นการช่วยป้องกันโรคหัวใจและมีบทบาทในเรื่องของการลดน้ำหนักด้วยนะคะ เพราะไข่ 1 ฟอง นอกจากจะให้แคลอรีต่ำ เพียง 75 แคลอรีแล้ว ยังทําให้รู้สึกอิ่มได้นานกว่าอาหารชนิดอื่นๆ ที่ให้แคลอรีเท่ากันอีกค่ะ

นาย นันทชัย ใหม่คำ(ม.ฟาร์อีสเทอร์น)

ขอแนะนำแนวทางปฏิบัตินะคะว่า

อาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายได้แก่อาหารจานต่างๆ ทั้งอาหารไทยและอาหารนานาชาติ

โดยขอให้พิจารณาจากส่วนประกอบของอาหารซึ่งควรมีทั้ง เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ และข้าวหรือขนมปัง

จากธัญพืชที่ผ่านขั้นตอนการแปรรูปน้อยที่สุด

แล้วปรุงอาหารถูกตามขั้นตอนเช่น ต้ม แกง ทอด ปิ้ง ย่าง อบ หรือ นึ่ง

โดยหลีกเลี่ยงอาหารที่อมน้ำมัน หรือการใช้น้ำมันเก่าทำอาหาร

รวมทั้งอาหารที่ไหม้เกรียมจากการปิ้ง ย่างด้วยค่ะ

และที่สำคัญต้องหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหาร 3 มื้อ

หลีกเลี่ยงอาหารจุกจิกและงดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เหล้า เบียร์ น้ำอัดลม

รวมทั้งบุหรี่ แนะนำให้ดื่มน้ำสะอาด น้ำผลไม้ นมหรือนมเปรี้ยวเพื่อสุขภาพอีกด้วยค่ะ

นางสาว เบญจวรรณ หล้าแปง(ม.ฟาร์อีสเทอร์น)

อาหารที่ดีต่อสุขภาพ

จากงานวิจัยที่ผ่านมาบอกเราว่าอาหารบางชนิดสามารถใช้แทนยาได้ในการรักษาสุขภาพ ตัวอย่างอาหารที่มีผลดีต่อสุขภาพ

chocolate ที่มีถั่วalmonds

จากกการศึกษาพบว่าการรับประทานอาหารนี้จะชะลอการเกิดโรค alzheimer โดยคิดว่าเป็นผลจากสารต้านอนุมูลอิสระในถั่ว แนะนำให้รับประทานถั่ว almond วันละ 60 กรับต่อวัน

ปลา

สารแมกนีเซียมจะช่วยผู้ป่วยโรคหอบหืดโดยลดความถี่และความรุนแรงของอาการหอบ สารแมกนีเซียมมีมากในปลา แนะนำให้ผู้ป่วยโรคหอบหืดรับประทานปลา อาหารทะเลอย่างน้อยวันละครั้ง

ผัก

คนที่รับประทานผักที่ผ่านการผัดหรือต้มจะมีโอกาสเกิดข้ออักเสบน้อยกว่าคนที่ไม่รับประทานร้อยละ 75 เชื่อว่าผักที่ผ่านการปรุงเกลือแร่จะถูกดูดซึมได้ดีกว่า

องุ่นช่วยเลือดออกตามไรฟัน

การขาดวิตามินซีทำให้เหงือกอักเสบและมีเลือดออก องุ่นจะมีวิตามินซีอย่างเพียงพอที่จะป้องกันการขาดวิตามินซี

น้ำช่วยลดกลิ่นปาก

หลายคนใช้มินช่วยลดกลิ่นปาก กลิ่นปากเกิดจากสาร sulfer ในปากการดื่มน้ำบ่อยๆจะช่วยชะล้างสารที่หมักในปากจะช่วยลดกลิ่นปาก

ไวน์อาจจะช่วยรักษาท้องร่วง

ในไวน์ไม่ว่าจะเป็นไวน์ขาวหรือไวน์แดงจะมีสาร bismuth ซึ่งใช้รักษาท้องร่วง การดื่มไวน์วันละ 1 แก้วจะช่วยหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคที่เรียในลำไส้ก่อนที่มันจะก่อให้เกิดโรค

น้ำมะเขือเทศช่วยในคนที่เมาค้าง

การที่คนดื่มสุราและมีอาการคลื่นไส้แสดงว่าเขาขาดแร่ธาตุ โปรแตสเซียม แคลเซียม โซเดียม สารดังกล่าวมีมากในน้ำมะเขือเทศ และให้ดื่มน้ำตามเพื่อให้ผู้ป่วยฟื้นเร็วขึ้น

น้ำตาลหนึ่งช้อนแก้สะอึก

เทน้ำตาล 1 ช้อนโต๊ะในปากและกลืนลงไป น้ำตาลจะกระตุ้นคอทำให้อาการสะอึกหายไป

กล้วยหอมแก้ตะคริว

หลังจากที่ตรากตรำทำงานหรือเล่นกีฬากล้ามเนื้อจะขาดเกลือแร่ทำให้เกิดตะคริว การรับประทานกล้วยหอมและดื่มน้ำตามจะช่วยแก้ปัญหานี้

เนื้อไม่มีมันจะช่วยชะลอการเกิดหัวล้าน

การขาดธาตุสังกะสีจะทำให้ผมร่วง เนื้อวัวที่ไม่มีไขมันจะมีธาตุสังกะสีมากช่วยชะลอผมร่วง

คนเป็นหมันควรรับประทานกรดโฟลิก

ผู้ชายที่มีเชื้อน้อยควรจะรับประทานอาหารที่มีกรดโฟลิก เพราะวิตามินนี้จะช่วยเร่งการแบ่งตัวของเชื้ออสุจิ และการสังเคราะห์ DNA

นางสาวคนึงนิจ มีใจดี (ม.ฟาร์)

สรรพคุณของวุ้นสำรองและวิธีการใช้

- แก้เจ็บคอแก้ไข้ ใช้ลูกสำรองราว 10-20 ลูก ต้มกับชะเอมจีนพอหวานจนได้น้ำยาเข้มข้น จิบน้ำสำรองบ่อยๆ ช่วยแก้ไข้เจ็บคอดีนัก

- แก้ไอขับเสมหะ ใช้ลูกสำรองแค่ 3-5 ลูกก็พอ เพียงแช่ลงในน้ำสัก 1 แก้ว จนพองเป็นวุ้นออกมา เติมน้ำตาล กรวดลงไปเพื่อแต่งรสให้หวานตามใจชอบ ดื่มทั้งเนื้อวุ้นและน้ำครั้งละ 1 แก้ว วันละ 3 เวลาก่อนอาหาร

ช่วงฝนตกทุกวันอย่างนี้ ไข้หวัดกำลังระบาดพร้อมกับอาการไอ เจ็บคอ มีเสมหะ จึงควรหาลูกสำรองมาประจำ บ้านไว้เพื่อทำเครื่องดื่มอุ่นๆ แก้ไข้ แก้ไอ ขับเสมหะ แก้เจ็บคอ เนื่องจากอาการหวัดในหน้าฝนกันเถอะ และใน บางวันที่อากาศร้อนก็สามารถเรียกหาน้ำสำรองดื่มแก้ร้อนใน กระหายน้ำ ช่วยให้ใจคอชุ่มชื่น กระปรี้ กระเปร่า ได้ ดีกว่าดื่มชาหรือกาแฟเป็นไหนๆ

- แก้ตาอักเสบ เนื่องจากวุ้นสำรองเป็นยาเย็นที่ไม่เป็นอันตรายต่อเยื่อบุอ่อนๆ จึงสามารถนำมาใช้รักษาตาอัก เสบได้ โดยนำผ้าก็อซชุบน้ำพอชุ่มชื้น แล้วนำไปวางทับบนตาที่อักเสบ จากนั้นจึงวางแผ่นเปลือกหุ้มเมล็ดลูก สำรองลงบนผ้าก็อซ เปลือกหุ้มเมล็ดนั้นจะพองตัวเป็นวุ้นแทรกซึมในผ้าก็อซ ช่วยบรรเทาอาการเจ็บตา ตาอัก เสบอย่างได้ผลมาแล้ว

- แก้โรคอ้วน สรรพคุณลูกสำรองที่น้องๆธิดาช้างทั้งหลายควรสนใจ เนื่องจากฤทธิ์ในการระบายของวุ้น สำรองก็ดี หรือ การพองตัวของวุ้นสำรองที่คล้ายกับบุกก็ดี ล้วนเป็นคุณสมบัติสำคัญ แบบทูอินวันของสมุนไพร ลดน้ำหนักอย่างลูกสำรอง ที่ควรจัดเป็นเมนูเครื่องดื่มประจำสำหรับสาวไดเอ็ททั้งหลาย ที่เจาะกลุ่มเป้าหมาย ไปที่สาวๆก็เพราะมีตัวเลขว่าคุณผู้หญิงเป็นโรคอ้วนมากกว่าคุณผู้ชายถึง 2 เท่า เดี๋ยวนี้ความอ้วนไม่ใช่ภาวะ ตุ้ยนุ้ยธรรมดาแล้ว แต่ในทางการแพทย์ถือว่าเป็นภาวะของโรคอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสาเหตุไปสู้โรคอื่นๆอีกมาก มายที่ทำให้อายุสั้น เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน เป็นต้น

น้ำสำรองจึงเป็นเครื่องดื่มสุขภาพอีกตัวหนึ่ง ซึ่งควรสำรองไว้เป็นทางเลือกสำหรับผู้รักสุขภาพทั้งหลาย อย่างไรก็ตาม เวลานี้มีการนำวุ้นสำรองมาฟอกสีเพื่อผลิตรังนกเทียมส่งออกไปต่างประเทศ เช่น จีน และ ประเทศแถบตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนับสนุนสมุนไพรไทยโกอินเตอร์ แต่ที่น่าวิตก ก็คือ ลูกสำรองที่ ซื้อขายกันในท้องตลาด นับแต่อดีตจนปัจจุบัน พบว่าชาวบ้านยังใช้วิธีโค่นต้นสำรองเพื่อเก็บลูก ถ้าหากเป็น เช่นนี้ไม่นาน เราก็คงไม่เหลือลูกสำรองลูกสุดท้ายไว้ให้ลูกหลานได้ดู

เวลานี้ทางจีนเองก็พยายามปลูกต้นสำรองไว้ เพื่อการค้าของตนเอง เพราะรู้ว่าสักวันหนึ่งแหล่งสำรองในไทย พม่า กัมพูชา และคาบสมุทรมาลายู คงจะสูญพันธุ์หาทำยายาก ดังนั้นพี่ไทยเองก็ไม่ควรประมาท ทั้งเกษตร ของภาครัฐและภาคประชาชนควารร่วมมือกันหาทางปลูกสำรองแบบไม้โตเร็ว เพื่อการค้าและยุติการทำลาย ต้นสำรองในป่าธรรมชาติ มิฉะนั้นแล้ว สมุนไพรที่มีวุ้นมหัศจรรย์ก็คงจะกลายเป็นเพียงตำนานสำหรับคนรุ่น หลัง และเมื่อถึงวันนั้นเราอาจจะต้องสั่งซื้อลูกสำรองจากประเทศจีนก็เป็นได้

ชื่อ:น.ส.ริศรา สิงห์สุวรรณ์(ม.ฟาร์)

สุขภาพ...

นักวิจัยมหาวิทยาลัยเดนมาร์กเปิดเผยผลการศึกษาว่า การดื่มแอลกอฮอล์และออกกำลังกายให้ผลดีต่อสุขภาพหากปฏิบัติอย่างเหมาะสมไปพร้อมๆ กัน

แต่อย่าเข้าใจผิดหรือตีความเอาแต่ได้ประสาสิงห์สุรา เนื่องจากข้อดีนั้นไม่ได้หมายถึงเมาไปออกกำลังกายไป เพราะถ้าทำอย่างนั้นมันคือหนทางสู่หายนะชัดๆ ทว่าการดื่มกับการออกกำลังกายจะเกิดประโยชน์ เมื่อดื่มในปริมาณเล็กน้อยถึงปานกลางเพื่อสังสรรค์หรือเข้าสังคม ส่วนการออกกำลังกายก็ควรปฏิบัติอย่างต่อ

นอกจากงานวิจัยล่าสุดจากเดนมาร์ก ก่อนหน้านี้มีการศึกษาพบว่า การดื่มในปริมาณน้อยถึงปานกลาง มีส่วนเกี่ยวพันกับการลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจ และงานวิจัยบางชิ้นยังพบด้วยว่า การดื่มในปริมาณที่เหมาะสมสามารถลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งบางชนิดด้วย เช่นเดียวกับที่พบว่าผู้ออกกำลังกายเป็นประจำก็มีอัตราเสี่ยงของโรคดังกล่าวลด

ดังนั้นเมื่อเอาสองเรื่องนี้ (ดื่มพอประมาณและออกกำลังกายสม่ำเสมอ) มารวมกัน ก็ยิ่งให้ผลที่เอื้อต่อกัน นั่นคือทำให้อัตราเสี่ยงของโรคหัวใจลดต่ำลงกว่าการทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่าง

แต่ถึงที่สุดของที่สุด ข้อดีและคุณประโยชน์ที่กล่าวมา ตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่ว่า “ดื่มแต่น้อยพอเป็นกระษัย และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ” เท่านั้น หากดื่มหนักแบบเมาหัวราน้ำ หรือออกกำลังกายแบบเหยาะๆ แหยะ ทำบ้างไม่ทำบ้าง นอกจากไม่เกิดประโยชน์ยังมีสิทธิ์เป็นบ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บ

เด็กฟาร์เจ้า (สร้อยนภา)

สมอง ” ... กองบัญชาการของร่างกาย

“ สมอง ” เป็นอวัยวะที่มีโครงสร้างซับซ้อน ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกายในแทบทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหว ระบบประสาทสัมผัสต่างๆ เช่น การได้ยิน การมองเห็น การรับรู้กลิ่นและรส เป็นต้น นอกจากนี้สมองยังมีหน้าที่สำคัญในการควบคุมอารมณ์ ความรู้สึก การเรียนรู้ และความจำ สมองประกอบด้วยเซลล์ประสาท (neuron) จำนวนมากกว่าแสนล้านเซลล์ที่มีแขนงประสาท (neuronal processes) งอกออกมา ประสานกันเป็นร่างแหเพื่อใช้ในการติดต่อและส่งสัญญาณประสาท โดยมีอัตราความเร็วของการส่งสัญญาณตั้งแต่ 0.5-120 เมตร/วินาที เชื่อว่าเซลล์ประสาทจะมีจำนวนคงที่เมื่อแรกคลอด แต่การงอกของแขนงประสาทจะเพิ่มขึ้นได้หลังจากมีการกระตุ้นจากการเรียนรู้และได้รับสารอาหารที่เหมาะสม ทำให้สามารถส่งสัญญาณประสาทได้เร็วขึ้น และมีการติดต่อประสานงานที่ต่อเนื่องครอบคลุม สมองจึงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะเป็นปัจจัยที่บ่งบอกถึงความฉลาดและสติปัญญาได้

“ สารสื่อประสาท ” ปัจจัยที่ช่วยการทำงานของสมอง

เช่นเดียวกับอวัยวะอื่นๆ ของร่างกาย สมองต้องการสารอาหารเพื่อเป็นพลังงานและใช้ในการทำงาน การติดต่อกันระหว่างเซลล์สมองยังต้องการสารเคมีที่เรียกว่า สารสื่อประสาท (neurotransmitter) อย่างน้อย 3 ชนิด ที่จะทำให้การส่งข้อมูลของสมองเป็นไปอย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพ สารสื่อประสาทเหล่านี้สร้างมาจากสารอาหารต่างๆ ที่รับประทาน โดยมีวิตามินและแร่ธาตุช่วยในกระบวนการ...ได้แก่

อะซิทิลโคลีน (Acetylcholine) ทำหน้าที่กระตุ้นเซลล์ประสาท ควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ และมีบทบาทสำคัญเกี่ยวข้องกับการสร้างความจำด้วย โดยพบว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ (Alzheimer's disease) จะมีอะซิทิลโคลีนในสมองน้อยกว่าคนปกติ อะซิทิลโคลีนมีมากในอาหาร จำพวกไข่แดง ถั่ว ข้าวไม่ขัดสี ตับ เนื้อสัตว์ต่างๆ ปลา นม เนยแข็ง และผักโดยเฉพาะ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บร็อคโคลี เป็นต้น

โดปามีน (Dopamine) เกี่ยวข้องกับสมาธิ ความสนใจ และการเรียนรู้ ในขณะเดียวกันก็มีผลต่อความรู้สึกตื่นตัว โดยจะเห็นได้จากผู้ที่เป็นโรคจิตเภท (schizophrenia) จะมีโดปามีนในสมองมากกว่าคนปกติ โดปามีนมีมากในอาหารที่เป็นแหล่งของโปรตีนทุกชนิด เช่น เนื้อสัตว์ต่างๆ ผลิตภัณฑ์จากนม ปลา ถั่วต่างๆ รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง การรับประทานอาหารที่มีโปรตีนประมาณ 60-80 กรัม จะช่วยให้ตื่นตัว และมีพลังได้

ซีโรโตนิน (Serotonin) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการแสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สึก และควบคุมวงจรการนอนหลับ โดยซีโรโตนินจะทำงานเฉพาะในบริเวณสมองส่วนกลาง (brain rewards system) เมื่อเกิดความรู้สึกพอใจ พบว่าผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้าจะมีระดับของซีโรโตนินในสมองบริเวณนี้น้อยกว่าปกติ สารอาหารคาร์โบไฮเดรตจำพวกแป้งและน้ำตาล เช่น ข้าว พาสต้า ผักประเภทหัว ธัญพืช และขนมปัง จะช่วยเพิ่มการดูดซึมทริปโตแฟน (tryptophan) ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นซีโรโตนินในสมอง โดยพบว่าภายใน 30 นาทีหลังรับประทานอาหารประเภทดังกล่าวจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายและสงบได้นานหลายชั่วโมง

น.ส.อนงค์ วงศ์สุภา (ม.ฟาร์)

โรคฟันผุนี้เกิดจากการใช้ชีวิตของเราเอง ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่รับประทาน วิธีการดูแลรักษาความสะอาดของเราเอง หรือปริมาณสารฟลูออไรด์ที่เราบริโภคเข้าไป แม้กระทั่งการถ่ายทอดทางพันธุกรรมก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

แม้ว่าฟันผุจะพบบ่อยในเด็ก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่พบอาการฟันผุในผู้ใหญ่ ซึ่งอาการฟันผุ

ที่พบบ่อยได้แก่

*ฟันผุด้านบดเคี้ยว เป็นประเภทที่พบมากที่สุดทั้งในเด็กและผู้ใหญ่

*ฟันผุที่เกิดบนผิวรากฟัน ยิ่งเมื่อมีอายุมากขึ้น เหงือกก็จะถอยร่นไป ทำให้บริเวณ รากฟันสัมผัสกับแบคทีเรียมากขึ้น

*ฟันผุที่เกิดซ้ำภายหลังการอุดฟัน หลังจากอุดฟันไปได้สักระยะหนึ่ง

จะเกิดรอยผุ ที่วัสดุอุด เพราะมีเชื้อแบคทีเรียสะสมอยู่ จนเกิดพลัค

และในที่สุดก็เกิดอาการ ฟันผุกลับมาได้อีกครั้ง

ในผู้ใหญ่ที่มีอาการ “ปากแห้ง” ไม่ว่าจะมาจากการทำเคมีบำบัด การเจ็บป่วย

หรือว่ายาต่างๆ จะเกิดฟันผุได้ง่าย เพราะว่าร่างกายผลิตน้ำลายออกมาน้อย

แพรวนภา สุกใส (ม.ฟาร์อีสเทอร์น)

...แนะกินผักพื้นบ้านรักษาโรคหน้าหนาว ^_^\\

กรมแพทย์แผนไทยฯ แนะกินผักพื้นบ้านรักษาโรคหน้าหนาว ไข้ตัวร้อนกินสะเดา-มะระ เป็นหวัดซดต้มจืดเติมพริกไทย กระเทียม ใช้ท่าฤาษีดัดตนออกกำลังกาย

นพ.ลือชา วนรัตน์ อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า สภาพอากาศในฤดูหนาวมีความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้โดยเฉพาะโรคที่เกิดจากระบบทางเดินหายใจ ช่วงนี้ทางแพทย์แผนไทยเชื่อว่าธาตุไฟในร่างกายผิดปกติจึงก่อให้เกิดธาตุพิการ จึงควรรักษาสุขภาพและป้องกันการเกิดโรค โดยเลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสมกับร่างกาย และเลือกใช้ส่วนประกอบในเครื่องปรุงอาหารเป็นผักพื้นบ้านที่หาได้ง่าย ๆ ในท้องถิ่น เป็นการเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ ได้รับความปลอดภัย และไม่มีการใช้สารเคมีหรือสารกำจัดศัตรูพืชมาก

อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ กล่าวอีกว่า การเลือกรับประทานอาหารหรือผักเพื่อรักษาตามอาการในช่วงฤดูหนาว คือ หากมีอาการเป็นไข้ตัวร้อน เบื่ออาหารให้รับประทานผักที่มีรสขม เช่น สะเดา หรือ มะระ ถ้ามีอาการเป็นไข้หนาวสั่น หรือเป็นหวัดมีน้ำมูก ควรรับประทานอาหารประเภทต้มจืดเติมพริกไทย กระเทียม หอม จะช่วยบรรเทาอาการไข้หวัดได้ หากมีอาการไอ เจ็บคอ มีเสมหะให้รับประทานผลไม้หรืออาหารที่มีรสเปรี้ยว เช่น น้ำมะนาว โดยนำมะนาวสดคั้นน้ำ เติมเกลือเล็กน้อย จิบบ่อย ๆ หรือจะทำเป็นน้ำมะนาวใส่เกลือและน้ำตาล ปรุงรสเข้มข้นแต่ไม่หวานจัด จิบได้บ่อย ๆตามต้องการ เพื่อลดอาการไอ เจ็บคอ และขับเสมหะได้ด้วย

นพ.ลือชา กล่าวด้วยว่า การออกกำลังกายก็มีส่วนทำให้ร่างกายเกิดความอบอุ่นลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้ เช่น การบริหารร่างกายแบบไทย ด้วยท่าฤาษีดัดตน หรือ โยคะ หรือแม้แต่การรำไทเก๊ก โดยเฉพาะท่าฤาษีดัดตนของไทยไม่ใช่ท่าผาดโผนหรือฝืนร่างกายจนเกินไป ส่วนใหญ่เป็นท่าดัดตนตามอิริยาบถของคนไทยและคนทั่วไปสามารถทำเองได้ สำหรับผู้สนใจสามารถศึกษาการออกกำลังกายด้วยท่าฤาษีดัดตนแบบง่ายๆ 15 ท่า ได้ที่เวปไซค์ กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก www.dtam.go.th หัวข้อ การบริหารร่างกาย/ส่งเสริมสุขภาพ

ปัจจัยทางจิตวิทยา ได้รับการยอมรับว่า มีความสำคัญต่อการแพทย์ ตั้งแต่สมัย Hippocrates ดังได้มีประมาณการว่า 60% ของผู้ป่วยที่พบแพทย์ มีสาหตุเบื้องต้นทางอารมณ์ มากกว่าทางกายจริงๆ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวนี้ ก็ใกล้เคียงกับประมาณการในปัจจุบัน ที่พบ ประมาณ 50-80% ดังนั้น ไม่ว่าผู้ป่วยจะมาด้วยโรคอะไร การให้การดูแลทางด้านจิตใจ ก็จะช่วยให้ผลการรักษา เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

การรักษาด้านจิตใจ มีวิธีการหลายแบบ ทั้งแบบเรียบง่าย เช่น การให้กำลังใจ และแบบที่มีขั้นตอนซับซ้อน และต้องระมัดระวัง เช่น การรักษาทางยา หรือช๊อกไฟฟ้า นอกจากนั้น ยังมีการรักษาอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่ต้องใช้ทั้งยา และการกระตุ้นด้วยไฟฟ้า แต่จะให้ความสำคัญกับการฝึก ให้ผู้ป่วยแก้ไขปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ที่ไม่พึงปรารถนา ให้กลับมาดำเนินชีวิตได้ อย่างมีความสุขด้วยตนเอง ซึ่งเรียกว่าพฤติกรรมบำบัด การทำพฤติกรรมบำบัด จะมีเรื่องที่เกี่ยวข้องด้วย 2-3 เรื่อง คือ การฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และการทำ biofeedback ในที่นี้จะขอกล่าวเฉพาะ การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

หลักการทั่วๆ ไปในการสร้างความผ่อนคลายด้วยตนเอง

คุณสามารถทำให้ร่างกายผ่อนคลายได้ ด้วยวิธีมุ่งความสนใจไปที่กล้ามเนื้อแต่ละกลุ่ม ให้เกร็งให้แน่น แล้วค้างไว้ประมาณ 10 วินาที แล้วจึงค่อยๆ คลายออก การเกร็งเต็มที่แล้วคลายออก จะทำให้คุณรู้สึกหนักและอบอุ่น เพราะคลื่นบางๆ ของกระแสเลือด จะเคลื่อนไหวไปยังอวัยวะส่วนนั้นๆ เมื่อกล้ามเนื้อคลายตัว คุณก็รู้สึกผ่อนคลายสบาย ข้อสำคัญ ต้องไม่เร่งการเกร็งกล้ามเนื้อ ส่วนที่กำลังมีความเครียดให้แน่นจนเกินไป เพราะจะทำให้เป็นตะคริวได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อมีการเกร็ง ปวดเมื่อยที่กล้ามเนื้อส่วนคอ วิธีการแก้ไขก่อนจะทำการผ่อนคลาย คือ นวดเบาๆ ให้กล้ามเนื้อคลายตัวลงก่อน

การเริ่มต้นทำที่ง่ายที่สุด มักจะนิยมให้เกร็งนิ้ว ไม่ใช่ฝ่ามือ เกร็งทั้ง 2 ข้างพร้อมๆ กัน นับในใจ ช้าๆ ถึง 10 แล้วค่อยๆ คลายมือออก ให้ดูเหมือนกลีบดอกไม้ค่อยๆ บาน ให้อยู่กับความรู้สึกอบอุ่น สบาย เมื่อกล้ามเนื้อคลายตัว หลังจากเกร็งมาระยะหนึ่งแล้ว ต่อไปจึงทำที่กล้ามเนื้อกลุ่มอื่นๆ ที่ใกล้เคียงกัน เช่น ที่แขน ให้เกร็งแขนค้างไว้ 10-20 วินาทีแล้วคลายออก

ตัวอย่างวิธีการผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่อวัยวะต่างๆ

ไหล่

- จินตนาการว่ามีเชือกผูก ที่ไหล่ทั้งสองของคุณ เชือกนั้นๆ ค่อยๆ ดึงไหล่ของคุณให้ยกสูงขึ้นๆ ทีละน้อย จนกระทั่งใกล้ติ่งหูมากที่สุด

- เอาละปล่อยเชือกลง ให้ไหล่ลงมาอยู่ตามปกติ แล้วจึงดึงเชือกให้ดึงรั้งไปข้างหลัง จนคุณรู้สึกเกร็งที่ส่วนหลังค้างไว้ แล้วค่อยๆ ผ่อนเชือก จนกระทั่งไหล่ทั้ง 2 ของคุณกลับคืนสู่สภาพปกติ

- ต่อไปให้ห่อไหลทั้ง 2 ไปข้างหน้า โดยแขนทั้ง 2 เหยียดเกร็ง ค้างไว้ นับ 1-10 แล้วจึงปล่อยลง

ขาอ่อน

- ให้เท้าทั้ง 2 กดลงกับพื้นให้แน่นที่สุด จนรู้สึกเกร็งตลอดขา

- ยกขาทั้ง 2 ขึ้นจากพื้น ยืดตรงเข่าไม่งอ กระดกนิ้วเท้าให้ชี้ขึ้นสูงที่สุด เท่าที่จะทำได้ เกร็งค้างไว้....ปล่อยลง

เท้า - น่อง

- เอาปลายเท้าทั้ง 2 กดพื้นไว้ แล้วยกส้นเท้าให้สูงที่สุด เท่าที่จะทำได้เกร็งค้างไว้...ปล่อยลง

- กดส้นเท้าไว้กับพื้น กระดกเท้าขึ้นให้มากที่สุด เกร็งค้างไว้ ......ปล่อยลง

ก้น

- ขมิบเกร็งก้น จนรู้สึกเหมือนนั่งสูงขึ้น ค้างไว้....ปล่อยลง

หลัง

- แอ่นตัวไปข้างหน้ามากที่สุด จนตัวโค้งเหมือนคันศร เกร็งค้างไว้....ปล่อย

กระเพาะลำไส้

- แขม่วหน้าท้องให้มากที่สุด จินตนาการว่ากระเพาะลำไส้ เข้าไปใกล้กระดูกสันหลัง มากที่สุดเกร็งไว้.....ปล่อยลงตามปกติ

หน้าอก

- เอาฝ่ามือทั้ง 2 ประกบกันข้างหน้าอก แล้วดันเข้าหากันช้าๆ จนแน่นที่สุดเกร็งค้างไว้....ปล่อย

ใบหน้า - ศีรษะ

- เลิกคิ้วให้สูงสุด เหมือนคุณประหลาดใจเต็มที่ ค้างไว้......ปล่อย

- ยิ้มกว้างๆ ที่สุดจนเห็นฟันมากที่สุด เท่าที่คุณไม่เคยเป็นมาก่อน ค้างไว้...ปล่อย..กดคางลงให้เข้าใกล้หน้าอก ให้มากที่สุด ค้างไว้....ปล่อยคืนที่

คอ

- เกร็งกล้ามเนื้อคอ ยื่นส่วนใบหน้าไปข้างหน้า ค่อยๆ หมุนศีรษะช้าๆ ตามเข็มนาฬิกา 1 รอบ ทวนเข็มนาฬิกา 1 รอบ

การนำไปใช้

เมื่อเกิดภาวะสงบหรือผ่อนคลาย คุณจะพร้อมที่จะรับคำแนะนำต่างๆ ดังนั้น ช่วงนี้จึงควรพูดกับตัวเอง ถึงสิ่งที่ต้องการให้ตัวเองเป็น หรือจดจำ เพราะมันจะค่อยๆ แทรกตัว เข้าไปสู่จิตใจใต้สำนึกของคุณในที่สุด

ตัวอย่างคำพูด

1. จิตใจฉันสงบเยือกเย็นขึ้นทุกวัน

2. ฉันยอมรับสภาพของตัวเอง ทั้งในด้านร่างกาย และอารมณ์ความรู้สึก

3. เมื่อเกิดความเครียด ฉะนั้น สามารถผ่อนคลายลงได้ด้วยตนเอง

4. ฉันสามารถพูดคุยกับเจ้านาย หรือคนแปลกหน้าได้เหมือนปกติ

5. ฉันเป็นคนดี และสามารถให้ความรักกับคนอื่นๆ ได้

6. ฉันสามารถเลิกคิดเรื่องไร้สาระ หรือสิ่งไม่ดีต่างๆ ได้

7. ฉันเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ

8. สมาธิและความจำของฉันดีขึ้นทุกวัน

9. ฉันมีความอดทนต่อเรื่องราวต่างๆ ได้ดี

10. ฉันไม่กลัวสิ่งที่คนอื่นๆ ส่วนมากไม่กลัวกัน

ทำไมวิธีการผ่อนคลายจึงได้ผล

จากที่กล่าวมาแล้วว่า ความคิดมีผลต่ออารมณ์ และปฏิกิริยาทางร่างกาย ดังนั้น ถ้าเปลี่ยนการคิดกังวล กับเรื่องที่ทำให้ไม่สบายไปสู่สิ่งดีๆ หรือทำการผ่อนคลายส่วนต่างๆ ของร่างกาย ก็จะช่วยให้เกิดภาวะสมดุลขึ้นใหม่ ไม่ว่าจะเรื่องของการรับรู้ความคิด การได้ยิน ตลอดจนการทำงานของต่อมไร้ท่อ เมื่อหลอดเลือดขยายตัว ปริมาณโลหิตที่ไหลเวียนไปยังอวยวะต่างๆ ก็มีมากขึ้น มีอ๊อกซิเจนมากขึ้น ขจัดกรดแลคติกไปได้มากขึ้น ความตึงตัวของกล้ามเนื้อก็ลดลงไป ความผ่อนคลาย สงบ สบาย ก็เข้ามาแทนที่ นอกจานั้นการผ่อนคลาย ยังมีประโยชน์ ดังต่อไปนี้ คือ

1. การผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ยังช่วยลดการเร้าอารมณ์ ในระบบประสานส่วนกลาง ทำให้ระบบสมองส่วนลิมปิค (limbic) ถูกกระตุ้นน้อยลง ความเครียดทางอารมณ์ จึงลดลงไป และก็จะรู้สึกดีขึ้น ทั้งจิตใจและร่างกาย

2. ภาวะผ่อนคลาย จะทำให้คุณกลับสู่ปกติ ทั้งร่างกายและจิตใจ รู้สึกอารมณ์ปลอดโปร่งแจ่มใส สามารถรู้เท่าทัน กับปฏิกิริยาของตัวเอง เมื่อเกิดความเครียด และคิดแก้ไขสิ่งที่เป็นปัญหานั้นๆ ได้อย่างมีเหตุผล และมีประสิทธิภาพต่อไป

3. จะเห็นได้ว่า การจัดการกับความเครียด ด้วยการใช้เทคนิคผ่อนคลายนี้ จึงเป็นบันไดขั้นแรก ที่จะเตรียมตัวให้พร้อม กับการที่จะเริ่มต้นติดแก้ปัญหาที่มีอยู่ อย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง นอกจากนั้น ยังเป็นวิธีการที่จะช่วยเหลือขจัดโรค อันเนื่องมาจากความเครียดต่างๆ ด้วย ข้อสำคัญที่สุด วิธีผ่อนคลายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการฝึกผ่อนคลายคล้ามเนื้อ การสร้างจินตนาการถึงสถานที่พิเศษ การทำสมาธิ ฯลฯ ล้วนแล้วแต่ทำได้สะดวก ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ไม่ต้องมีอุปกรณ์ประกอบ ดังนั้น ใครๆ ก็ทำได้ไม่ว่าจะมีฐานะ หรือยากจน สิ่งสำคัญมีอยู่เพียงว่าวิธีการต่างๆ ที่จะใช้ ควรเลือกให้เหมาะกับตัวเอง ทั้งนี้ เนื่องจากบางวิธีอาจจะไม่เหมาะ กับคนที่มีปัญหาสุขภาพบางอย่างอยู่ก่อนแล้วก็ได้ ถ้าจะได้ดี ควรปรึกษาแพทย์ก่อนว่า ตนเองจะทำวิธีที่ตั้งไว้ได้หรือไม่ ก็จะได้ประโยชน์สูงสุด

รศ. พญ. กนกรัตน์ สุขะตุงคะ

ภาควิชาจิตเวชศาสตร์

แหล่งข้อมูล : Siriraj E-Public Library - www.si.mahidol.ac.th

ข้อมูลสุขภาพที่เกี่ยวข้อง

บันได 5 ขั้น สู่ชีวิตใหม่ ที่มีค่าและเป็นสุข

สุขภาพจิตดี ด้วยการปรับวิธีคิดให้เหมาะสม

ความเครียด

คู่มือคลายเครียด (1)

การนอนไม่หลับ

น.ส.ริศรา สิงห์สุวรรณ์ (ม.ฟาร์)

สาวคนไหนที่มีรอบเดือนมาน้อย วันนี้มีอาหารบำรุงรอบเดือนมาฝาก

ประจำเดือนที่มาตามปกติแสดงถึงความสมบูรณ์ของสตรีวัยเจริญพันธุ์ และเป็นการถ่ายเทเลือดเสียซึ่งเกิดจากการสลายตัวของเยื่อบุมดลูกและสร้างเยื่อบุมดลูกใหม่หมุนเวียน ทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเป็นปกติ

แต่ละเดือนที่ผู้หญิงต้องเสียเลือดเป็นจำนวนมากจากการมีรอบเดือน ร่างกายจะสูญเสียวิตามินและเกลือแร่ อย่างแคลเซียม ธาตุเหล็ก และสังกะสีด้วย ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียกว่าปกติ หรือมีอาการปวดศีรษะ นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร อารมณ์เศร้าซึม โดยเฉพาะผู้หญิงที่สุขภาพไม่แข็งแรง ขาดการออกกำลังกาย หากมัวแต่อดอาหาร รักษาหุ่น อาจทำให้ขาดสารอาหารที่จำเป็น และเสี่ยงต่อภาวะโลหิตจาง ร่างกายจะซูบซีด ผิวพรรณไม่มีเลือด

ในช่วงมีรอบเดือน การรับประทานอาหารที่สมดุลต่อร่างกายจะช่วยป้องกันอาการต่าง ๆ ได้โดยเน้นที่อาหารบำรุงเลือด เช่น เครื่องในสัตว์ ไข่แดง ถั่วเมล็ดแห้ง และ ผักใบสีเขียวจัด เช่น คะน้า กวางตุ้ง สาหร่าย เป็นต้น ซึ่งให้ธาตุเหล็ก วิตามินบี 6, บี 12, บีรวม และกรดโฟลิก ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้าง

สำหรับสตรีที่ประจำเดือนมาน้อยหรือมากผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจมี ความผิดปกติ ในร่างกาย เช่น ต่อมไทรอยด์ทำงานไม่สมบูรณ์ หรือมีเนื้อร้ายที่มดลูก

รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าลืมหันมาดูแลรักษาสุขภาพกันด้วย...

ชื่อพชรมณ ฟาร์อีสเทิร์น

วิธีการดูแลสุขภาพ ในโรคภูมิแพ้ ต้องทำยังไงบ้าง?

1. ออกกำลังกายโดยเริ่มเดินเร็ว ๆ ก่อน ประมาณวันละ 30 นาที อาจจะ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ พอเริ่มอยู่ตัวสัก 2 อาทิตย์ก็เต้นแอโรบิคค่ะ

2. ทานผักผลไม้มาก ๆ เน้น วิตามินซีค่ะ ทานมังสวิรัติได้ก็ดีนะคะ

3. เลี่ยงสิ่งที่เราแพ้ อันนี้สำคัญที่สุดค่ะ ถ้าแพ้อากาศเย็น ก็ต้องทำให้ร่างกายอบอุ่น ถ้าแพ้ฝุ่น ก็ต้องซักผ้าปูที่นอนปลอกหมอนทุกอาทิตย์ และใช้แบบใยสังเคราะห์

4. ไม่ให้เลี้ยงสัตว์ เช่น แมว สุนัข

5. ของเครื่องใช้ทุกอย่างเช็ดกำจัดฝุ่น แต่ต้องใช้ผ้าปิดจมูกและปากด้วยนะคะ

6. ไม่สะสมของเยอะ ของใช้ในห้องนอนไม่ควรมีมากเกินไป และไม่ควรมีตุ๊กตาขนปุยค่ะ

7. ทานยาภูมิแพ้มาก ๆ จะอ้วนนะคะ และบางตัวง่วงนอนด้วยค่ะ ให้ระวังด้วย

สุพรรษา ฟาร์อีสเทิร์น

20 สูตรการดูแลความงาม ง่ายๆน่ารู้.

1. ปัญหาจุดด่างดำบนใบหน้า ต้องใช้น้ำมะขามเปียก ผสมขมิ้นทาให้ทั่ว ทิ้งไว้จนแห้งแล้วล้างออก จากนั้นนำแตงกวาฝานบางๆ วางทั่วใบหน้า ประมาณ 10 - 15 นาที ทำสัปดาห์ละครั้ง จุดด่างดำจะจางลงและผิวหน้านุ่มขึ้น

2. ใช้น้ำมะนาวผสมน้ำเปล่าเล็กน้อยนวดหน้าอกทุกเย็น ผิวจะกระชับและขาวสดใส

3. ปกป้องผิวจากริ้วรอย โดยใช้ใบบัวบกปั่นละเอียด คั้นน้ำออกพอหมาดๆ นำเฉพาะกากมาพอกทั่วหน้า ทิ้งไว้ 20 นาที หรืออาจเปลี่ยนมาใช้มะละกอ หรือแครอท แทนก็ได้ พอกสัปดาห์ละ 1 - 2 ครั้ง

4. สูตรสำหรับผิวกาย ลองใช้กล้วยสุก 1 ผลปั่นผสมกับนมสดครึ่งถ้วย พอกทิ้งไว้ 5 นาทีแล้วล้างออกให้สะอาด น้ำตาลและโปรตีนในกล้วยจะช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวที่แห้งเสียให้นุ่มลื่น

5. อย่าละเลยการดูแลมือเป็นอันขาด ใช้น้ำมันมะกอก 2 ช้อนชา ผสมกับครีมบำรุงมือทั่วไป นำมานวดมือสัก 10 - 15 นาที แล้วล้างออก มือจะนุ่มลื่น สุขภาพเล็บแข็งแรง ถ้าทำได้ทุกวันจะดีมากๆ

6. มีปัญหาใต้วงแขนคล้ำ ลองใช้น้ำมะขามเปียกผสมน้ำผึ้งนิดหน่อยมาทาใต้วงแขน ทิ้งไว้ 5 นาทีแล้วล้างออก นอกจากจะขาวขึ้นแล้วยังเนียนนุ่มอีกด้วย

7. จู่ๆ สิวเกิดอักเสบ รีบไปหาน้ำแข็งก้อนมาประคบด่วน ความเย็นจะช่วยให้เส้นเลือดหดตัวจึงลดอาการบวมแดง แล้วรอให้สิวยุบเอง อย่าใช้มือซนๆ ไปบีบสิวเด็ดขาด

8. สาวผิวมันหรือผิวผสม ใช้น้ำมะเขือเทศสุกที่กรองกากออกแล้ว ผสมนมสดในปริมาณเท่ากัน ใช้เช็ดทำความสะอาดผิววันละ 1 - 2 ครั้ง แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด กรดในมะเขือเทศจะช่วยขัดลอกเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน พร้อมลดความมันและความหมองคล้ำบนใบหน้าอีกด้วย

9. ส้นเท้าแตกจะสวมรองเท้าเปลือยส้นคงไม่น่าดู แนะนำให้นำเปลือกกล้วย (ด้านใน) มาถูบริเวณส้นเท้า แล้วล้างออก หมั่นทำทุกวันส้นเท้าจะเรียบเนียนสวยเหมือนเดิม

10. รอยช้ำรอบดวงตา นอกจากใช้ถุงชาประคบแล้วสามารถผสมเกลือ 1 ช้อนชาผสมกับน้ำร้อนครึ่งถ้วย แล้วใช้ผ้าหรือสำลีชุบน้ำเกลือปิดตาไว้ 5 - 10 นาที รอยช้ำจะค่อยๆ จางลง

11. สาวผมมันต้องลองสูตรนี้ นำว่านหางจระเข้มาฝานเปลือกออก นำเฉพาะเนื้อเจลไปปั่น ให้ได้ 1 ช้อนชา ผสมกับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา และแชมพูที่ใช้เป็นประจำอีก 1 ถ้วย นำไปสระผมตามปกติ นอกจากลดความมันแล้วยังคืนความสมดุลให้แก่เส้นผมและหนังศีรษะ

12. สาวผมแห้งฟูไม่มีน้ำหนักแก้ไขได้ เพียงนำอโวคาโด 1 ผล ปอกเปลือกและบดให้ละเอียด ผสมกับกะทิ 1 ถ้วยจนเป็นเนื้อเดียวกัน ใช้หมักผมหลังจากสระผมเรียบร้อยแล้ว นวดให้ทั่วศีรษะ โดยใช้หวีซี่ห่างๆ แปรงผมให้เป็นระเบียบ ทิ้งไว้ 15 นาทีค่อยล้างออก

13. อยากใส่เสื้อสีดำ แต่มีรังแคมารบกวน อย่างนี้ต้องใช้น้ำมะนาว 8 ช้อนโต๊ะผสมน้ำสะอาดครึ่งถ้วยคนให้เข้ากัน นวดหนังศีรษะและเส้นผมเบาๆ เพื่อให้กระตุ้นระบบหมุนเวียนโลหิต จากนั้นหมักทิ้งไว้ 30 นาทีจึงล้างออก

14. หลังจากเจอแดดมาทั้งวัน ควรทำให้ผิวหน้าเย็นลงด้วย การคั้นน้ำแตงกวามาเช็ดใบหน้าและรอบดวงตา ผิวหน้าจะรู้สึกผ่อนคลาย ทั้งยังลดอาการบวมแดงอีกด้วย

15. อยากหน้าขาวแบบธรรมชาติ ให้ละลายดินสอพองในน้ำจนข้น แล้วผสมขมิ้นกับน้ำมะนาวให้เป็นเนื้อเดียวกัน พอกหน้าทิ้งไว้ให้แห้งจึงล้างออก

16. การนอนหงายเป็นประจำช่วยป้องกันไม่ให้ใบหน้ามีริ้วรอยได้ แต่ถ้าชอบนอนตะแคงควรเลือกปลอกหมอนที่ทำจากผ้าซาตินจะดีสุด

17. กำจัดสิวเสี้ยนด้วยการนำไข่ขาวมาพอกบริเวณจมูก รอให้แห้งแล้วล้างออก สิ้วเสี้ยนบางส่วนจะหลุดออกมาโดยไม่ทำให้ผิวบริเวณนั้นแห้งตึง

18. ใช้คัตตอนบัดชุบเบบี้ออยล์ทำความสะอาดสะดือหลังอาบน้ำทุกวัน เวลาใส่เสื้อเอวลอยจะได้อวดผิวสวยไม่อายใคร

19. รอยคล้ำรอบดวงตาแบบหมีแพนด้าดูจางลงได้ด้วย น้ำผึ้งบริสุทธิ์ 1 ช้อนชาผสมน้ำแร่อุ่นๆ ครึ่งแก้ว แล้วใช้สำลีชุบน้ำผึ้งที่ผสมไว้ แปะบริเวณรอบดวงตา 10 นาทีแล้วล้างออกให้สะอาด

20. ช้อปปิ้งนานๆ เท้าคงเมื่อยล้า ก่อนนอนแช่เท้าในน้ำอุ่นผสมเกลือ 1 -2 ช้อนโต๊ะ คืนนี้หลับสบายแน่ๆ

สุวลักษณ์ ฟาร์อีสเทิร์น

วิธีการดูแล สุขภาพผิว โดยเฉพาะ ใบหน้า ให้ ขาว เนียน

ถ้าอยากมีสุขภาพผิวดี และมีใบหน้าที่ขาวเนียนมีวิธีการง่ายๆ และราคาถูกมาก ดังนี้ค่ะ สับปะรดสดๆ คั้นเอาแต่น้ำมาชโลมพอกทาใบหน้า คนที่มีผิวหน้ามันจะได้ผิวที่ดี สมดุล จุดด่างดำ และริ้วรอยต่างๆ จะหายไป (พอกนาน 20 นาที) แอปเปิลนำไปปั่นให้ข้น (ไม่ต้องให้เป็นน้ำ) หรือฝานเป็นชิ้นบางๆ นำมาวางทั่วใบหน้า หรือพอกหน้าไว้นาน 20 นาที เหมาะสำหรับคนผิวแห้ง เพิ่มความชุ่มชื้นให้ใบหน้า ผิวหน้าที่ตากลมตากแดดมากๆ ควรบำรุงด้วยสูตรนี้ มะละกอสุกที่คัดเมล็ดทิ้งแล้วปั่นหรือยีให้เละด้วยส้อม นำมาพอกหน้านาน 15-20 นาที ทำให้ผิวหน้าที่แห้งแตกเป็นขุยๆ มีความนุ่มนวลและชุ่มชื้นขึ้น เปลือกมะนาวที่บีบน้ำออกแล้วนำมาถูคลึงเบาๆ ทั่วใบหน้ามันจะช่วยลดความมัน ขจัดสิวเสี้ยน เพิ่มความขาวนวลได้ดี มะเขือเทศ แตงกวา น้ำผึ้ง (เลือกอย่างหนึ่งอย่างใด) ปั่นละเอียดหรือฝานบางๆ วางทั่วใบหน้าหรือพอกหน้านาน 20 นาทีเป็นประจำทุก 1 สัปดาห์ จะช่วยขจัดริ้วรอยบนใบหน้า เพิ่มความขาวเนียนผุดผ่องให้ใบหน้าได้อย่างวิเศษ

ธีรกานต์ ริมแจ่ม วิทย์ออก 25

การที่ผมได้ออกกำลังกายทุกวันทำให้สุขะภาพดีมากและอยากให้เพื่อนมาออกกำกายทุกวันที่โรงยิมและจะออกกำลังกายนอกสถานที่อื่นก็ได้เหมือนกันหรือในแต่ละวันเราก็ออกกำลังกายเปฦนเวลาวันละ 30 นาทีจะทำให้มีสุขขะภาพแข็งแรงไม่เป็นโรคได้ง่ายเหมือนกับที่ ดร.สรพงษ์ วงศ์ธีระธรณ์ บอกว่าคนเราต้องออกกำลังกายอยากน้อยวันละ 1-3 ช.ม และจะทำให้สุขะภาพแข็งแรงกินข้าวลำแต้ๆ

"เคล็ดลับ"

คุณเคยรู้สึกเมื่อยล้าดวงตา เนื่องจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆหรือไม่ เชื่อว่าคนทำงานส่วนใหญ่ต้องเคยสัมผัสกับอาการเหล่านั้นแน่นอน ซึ่งวันนี้เราก็มีเคล็บลับสำหรับผู้ที่ต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์มาฝาก เพื่อรักษาดวงตาคู่สวยของคุณให้ใสปิ๊งอยู่ตลอด

1. หมั่นกระพริบตาให้บ่อยขึ้น อาการตาแห้งเกิดจากเมื่อเรามีสมาธิขณะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ อัตราการกระพริบตาจะลดลงจาก 20-22ครั้ง ต่อนาที เหลือเพียง 6-8 ครั้ง ต่อนาที ถ้าไม่อยากตาแห้ง ก็ต้องกระพริบตาบ่อยขึ้น

2. จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม ปรับความสูงของจอให้เหมาะสม โดยระยะห่างระหว่างจอภาพกับตัวเรา ควรอยู่ระหว่าง 20-28 นิ้ว หรือประมาณ 1 ช่วงแขน จุดศูนย์กลางของคอมพิวเตอร์ควรอยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 4-9 นิ้ว ไม่ควรอยู่สูงหรือต่ำกว่านี้มากนัก และควรจะตั้งตรงหน้า ตำแหน่งการวางคอมพิวเตอร์ควรจะให้หน้าต่างอยู่ด้านข้างของโต๊ะ เพื่อป้องกันไม่ให้แสงตกสะท้อนหน้าจอ

3. ปรับตัวอักษรให้ใหญ่ขึ้น

4. เลือกแว่นที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ ควรใช้เลนส์สีชมพูอ่อน จะช่วยให้สบายตาขึ้นภายใต้แสงจากหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ สำหรับคนที่ใส่แว่นควรปรึกษาจักษุแพทย์

5. เบรกซะบ้าง ทุกๆชั่วโมง ควรลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายสัก 10 นาที เพื่อพักสายตา และป้องกันไม่ให้เกิดความเมื่อยล้า

6. เปลี่ยนจอใหม่ เลือกใช้จอชนิดLCD (จอแบน) แม้ราคาจะแพงกว่าจอธรรมดา (CRT) แต่ช่วยถนอมตาได้มาก

เมื่อผู้ชายเริ่มย่างเข้าอายุ 40 ปีต่อมลูกหมากจะโตเมื่ออายุมากขึ้นก็จะพบผู้ป่วยที่ต่อมลูกหมากโตจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ80จะมีต่อมลูกหมากโต ต่อมลูกหมากจะเริ่มโตจากด้านในดังนั้นก็จะกดท่อปัสสาวะทำให้ปัสสาวะลำบาก เมื่อปัสสาวะลำบากทำให้ปัสสาวะออกไม่หมดเหลือปัสสาวะบางส่วนในกระเพาะปัสสาวะเกิดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะได้ นอกจากนี้การที่ทางเดินปัสสาวะถูกกดอาจจะทำให้กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไม่ดีและอาจจะเกิดไตวายได้หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง

21 เคล็บลับความสวย ความงาม ที่สาวๆ ควรรู้

1. งดรับประทานอาหารที่จะทำให้ฟันของคุณไม่ขาวอย่างที่ควรจะเป็น อย่างเช่น ไวน์แดง ซอร์สถั่วเหลือง หรือสเต็ค แล้วหันมาเคียวอาหารจำพวกแอปเปิล แครอท หรือแตงกวา เซลลูโลสในผิวของมัน จะทำความสะอาดผิวฟันของคุณให้ขาวสดใส

2. เลือกยาสีฟันที่มีสีขาว ที่ผสมฟลูออไรด์ และพยายามแปรงฟันหลังอาหาร หากไม่สามารถทำได้ ก็ให้เคี้ยวหมากฝรั่งที่ไม่มีน้ำตาล แต่อาจจะมีสารจำพวกเพิ่มความขาว เคี้ยวสัก 20 นาทีก็พอ เพราะมันจะช่วยลดคราบฟันได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์

3. หากคุณมีปัญหาเรื่องฟันไม่ขาว ก็ให้ใช้ผลิตภัณฑ์ฟอกสีฟัน ที่เรียกว่า Crest White Strip โดยใส่ไว้สัก 30 นาที วันละ 2 ครั้ง จะช่วยให้ฟันขาวขึ้นมาได้ภายในสองสัปดาห์ ซึ่งทางที่ดีควรจะปรึกษาทันตแพทย์

4. ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง อย่าลืมครีมกันแดดเป็นอันขาด เพราะแสง UV เป็นสาเหตุให้คุณเหี่ยวเร็วอย่างคาดไม่ถึง

5. ปรนิบัติผิวตั้งแต่หัวจรดเท้า อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ตั้งแต่การทำความสะอาด ไปจนถึงการใช้ครีมบำรุง

6.หาเวลาในการพักผ่อน อย่างเช่นการไปทะเล แล้วไปหาอาหารทะเลรับประทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปลา กรดไขมันโอเมก้า 3 มีประโยชน์ต่อผิวพรรณของคุณ

7. รับประทานชาเขียว เพราะมันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำงานของระบบการสร้างความยืดหยุ่นของผิว

8. รับประทานอาหารที่ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ อย่างเช่น วิตามิน C , E และเบต้าแคโรทีน ซึ่งสารเหล่านี้ มีในมะเขือเทศ แครอท เป็นต้น

9. รับประทานน้ำมันโอลิเวอร์ ช่วยป้องกันจุดด่างดำต่าง ๆ ที่เกิดกับผิว

10. ออกกำลังกายครั้งละ 20 นาที 4 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ถ้าต้องการเห็นผลเร็ว อาจเพิ่มเป็น 30 หรือ 40 นาทีก็ได้

11. ยกน้ำหนักเพื่อให้กล้ามเนื้อกระชับ และเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ

12. ดูแลผมให้สุขภาพดีเสมอ โดยผู้เชี่ยวชาญแนะว่า ให้ Hot oil บำรุงเป็นประจำทุกสัปดาห์

13. หาทรงผมที่เหมาะกับตัวคุณ การไว้ผมยาวเกินไป หรือสั้นเกินไป อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้คุณดูแก่ลงได้ ให้เลือกที่พอเหมาะพอดี

14. บำรุงผิวก่อนแต่งหน้า โดยอาจจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวสว่างใส ก่อนที่จะลงรองพื้นและเครื่องสำอางอื่นๆ

15. ระมัดระวังเรื่องของการใช้อายไลน์เนอร์ และอาจจะช่วยเพิ่มไฮไลท์บริเวณกระดูกใต้คิ้ว และมาสคาร่าที่เพิ่มความหนาให้กับขนตา

16. ถ้าคุณอายุเกิน 25 ปี ปากจะเริ่มบางลง ซึ่งควรจะใช้ดินสอเขียนขอบปากช่วยหรืออาจจะใช้ลิปมันช่วย ทำให้ดูปากอวบอิ่มและสุขภาพดี รวมทั้งอย่าลืมเลือกลิปสติกที่ให้ความชุ่มชื้น หรืออาจจะมีสารกันแดดผสมก็ได้

17. ปัญหาเรื่องรูขุมขน นับว่าเป็นปัญหาใหญ่เมื่ออายุมากขึ้น เพราะฮอร์โมนจะเปลี่ยนทำให้รูขุมขนกว้างขึ้น ผิวหน้าจะดูหยาบขึ้น ควรจะใช้โทนเนอร์ ช่วยกระชับรูขุมขนบ้าง แม้จะใม่ใช่ทางแก้ปัญหาถาวรก็ตามที

18. จุดด่างดำต่าง ๆ สามารถเกิดขึ้นได้ เมื่ออายุเข้าเลข 3 ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งนั้น มาจากแสงอาทิตย์ และหากพบปัญหาในบริเวณกว้าง ควรจะพบแพทย์เพื่อการรักษาที่ถูกต้อง

19. ริ้วรอยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นที่หน้าผาก หัวคิ้ว ถ้ามันทำให้คุณรู้สึกแย่ อาจจะปรึกษาแพทย์เพื่อฉีดโบท๊อกได้

20. ความชุ่มชื้นเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ดวงตาของตนดูอ่อนวัยและสดใส ควรจะใช้อายครีมวันละ 2 ครั้ง

21. ปัญหาเรื่องตีนกา แพทย์ผิวหนังอาจจะช่วยได้ ด้วยการสั่งครีมบางชนิด ซึ่งต้องมีใบสั่งจากแพทย์ให้คุณใช้

วีระยุทธ หอมนวล ม.ฟาร์

ประโยชน์ของน้ำแร่

น้ำแร่ เป็นน้ำที่มีสารบางอย่างละลายอยู่ซึ่งไม่มีอยู่ในน้ำธรรมชาติชนิดอื่นๆ สารที่ละลายอยู่เช่น สังกะสี กำมะถัน เป็นต้น บ่อน้ำแร่ที่มีชื่อเสียงในประเทศไทยมีหลายแห่ง เช่นที่จังหวัดกาญจนบุรี สุราษฎร์ธานี ระนอง เป็นต้น สำหรับน้ำแร่บรรจุขวดที่ขายในเมืองไทย ส่วนมากสั่งมาจากประเทศฝรั่งเศสและเบลเยี่ยม

แหล่งน้ำแร่แต่ละแหล่งจะมีแร่ธาตุต่างกัน ประโยชน์ของน้ำแร่จึงอยู่ที่แร่ธาตุที่ละลายอยู่ในน้ำนั้นๆ เช่น

- น้ำแร่ที่มีเกลือซัลเฟตของโซเดียมหรือแมกนีเซียม จะเป็นยาระบายช่วยขับถ่าย

- น้ำแร่ที่มีฟลูออไรด์เป็นองค์ประกอบ มีประโยชน์ในการป้องกันฟันผุ

- น้ำแร่ที่มีฤทธิ์เป็นเบส ซึ่งมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นองค์ประกอบ จะช่วยขับปัสสาวะ นอกจากนั้นยังทำให้น้ำมีรสชวนดื่มอีกด้วย รายได้เสริมทำออนไลด์ผ่าน net 100% รายได้ 5 หมื่น บ/ด ขั้นต่ำ สมัครที่ www.abc.321.cn

- น้ำแร่ที่เป็นด่างมีเกลือไบคาร์บอเนต อาจช่วยลดกรดในกระเพาะ

น้ำแร่ที่บริสุทธิ์ต้องมีส่วนประกอบและคุณสมบัติของน้ำแร่คงเดิมเท่าที่มีอยู่ในธรรมชาติ ไม่มีการปนเปื้อนหรือปรุงแต่งด้วยสารเคมีใดๆ เพราะน้ำแร่ในธรรมชาติเองมีความสะอาด ผ่านการกรองจากชั้นดินต่าง ๆ มาอย่างดี เวลานำน้ำแร่ไปบรรจุขวดจำหน่าย เพียงแต่นำมาผ่านการฆ่าเชื้อโรคพวกเชื้อแบคทีเรียและจุลินทรีย์ แล้วนำไปผ่านเครื่องกรอง จากนั้นจึงตรวจสอบคุณภาพให้ได้มาตรฐาน คือ ต้องไม่มีแร่ธาตุเกินอัตราส่วนที่จะเป็นอันตรายต่อร่างกาย

นักวิทยาศาสตร์จากหลายประเทศในยุโรปเชื่อว่าน้ำแร่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ก็เป็นความเชื่อที่ขาดหลักฐานการทดลองทางวิทยาศาสตร์และทางการแพทย์

21 เคล็บลับความสวย ความงาม ที่สาวๆ ควรรู้

ใคร ๆ ก็อยากดูอ่อนกว่าวัยทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าคุณจะอยู่ในวัยไหนก็ตาม เรามีเคล็ด 21 อย่าง ที่จะทำให้คุณดูอ่อนกว่าวัยเสมอ

1. งดรับประทานอาหารที่จะทำให้ฟันของคุณไม่ขาวอย่างที่ควรจะเป็น อย่างเช่น ไวน์แดง ซอร์สถั่วเหลือง หรือสเต็ค แล้วหันมาเคียวอาหารจำพวกแอปเปิล แครอท หรือแตงกวา เซลลูโลสในผิวของมัน จะทำความสะอาดผิวฟันของคุณให้ขาวสดใส

2. เลือกยาสีฟันที่มีสีขาว ที่ผสมฟลูออไรด์ และพยายามแปรงฟันหลังอาหาร หากไม่สามารถทำได้ ก็ให้เคี้ยวหมากฝรั่งที่ไม่มีน้ำตาล แต่อาจจะมีสารจำพวกเพิ่มความขาว เคี้ยวสัก 20 นาทีก็พอ เพราะมันจะช่วยลดคราบฟันได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์

3. หากคุณมีปัญหาเรื่องฟันไม่ขาว ก็ให้ใช้ผลิตภัณฑ์ฟอกสีฟัน ที่เรียกว่า Crest White Strip โดยใส่ไว้สัก 30 นาที วันละ 2 ครั้ง จะช่วยให้ฟันขาวขึ้นมาได้ภายในสองสัปดาห์ ซึ่งทางที่ดีควรจะปรึกษาทันตแพทย์

4. ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบทำกิจกรรมกลางแจ้ง อย่าลืมครีมกันแดดเป็นอันขาด เพราะแสง UV เป็นสาเหตุให้คุณเหี่ยวเร็วอย่างคาดไม่ถึง

5. ปรนิบัติผิวตั้งแต่หัวจรดเท้า อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ตั้งแต่การทำความสะอาด ไปจนถึงการใช้ครีมบำรุง

6.หาเวลาในการพักผ่อน อย่างเช่นการไปทะเล แล้วไปหาอาหารทะเลรับประทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปลา กรดไขมันโอเมก้า 3 มีประโยชน์ต่อผิวพรรณของคุณ

7. รับประทานชาเขียว เพราะมันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำงานของระบบการสร้างความยืดหยุ่นของผิว

8. รับประทานอาหารที่ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ อย่างเช่น วิตามิน C , E และเบต้าแคโรทีน ซึ่งสารเหล่านี้ มีในมะเขือเทศ แครอท เป็นต้น

9. รับประทานน้ำมันโอลิเวอร์ ช่วยป้องกันจุดด่างดำต่าง ๆ ที่เกิดกับผิว

10. ออกกำลังกายครั้งละ 20 นาที 4 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ถ้าต้องการเห็นผลเร็ว อาจเพิ่มเป็น 30 หรือ 40 นาทีก็ได้

11. ยกน้ำหนักเพื่อให้กล้ามเนื้อกระชับ และเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ

12. ดูแลผมให้สุขภาพดีเสมอ โดยผู้เชี่ยวชาญแนะว่า ให้ Hot oil บำรุงเป็นประจำทุกสัปดาห์

13. หาทรงผมที่เหมาะกับตัวคุณ การไว้ผมยาวเกินไป หรือสั้นเกินไป อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้คุณดูแก่ลงได้ ให้เลือกที่พอเหมาะพอดี

14. บำรุงผิวก่อนแต่งหน้า โดยอาจจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวสว่างใส ก่อนที่จะลงรองพื้นและเครื่องสำอางอื่นๆ

15. ระมัดระวังเรื่องของการใช้อายไลน์เนอร์ และอาจจะช่วยเพิ่มไฮไลท์บริเวณกระดูกใต้คิ้ว และมาสคาร่าที่เพิ่มความหนาให้กับขนตา

16. ถ้าคุณอายุเกิน 25 ปี ปากจะเริ่มบางลง ซึ่งควรจะใช้ดินสอเขียนขอบปากช่วยหรืออาจจะใช้ลิปมันช่วย ทำให้ดูปากอวบอิ่มและสุขภาพดี รวมทั้งอย่าลืมเลือกลิปสติกที่ให้ความชุ่มชื้น หรืออาจจะมีสารกันแดดผสมก็ได้

17. ปัญหาเรื่องรูขุมขน นับว่าเป็นปัญหาใหญ่เมื่ออายุมากขึ้น เพราะฮอร์โมนจะเปลี่ยนทำให้รูขุมขนกว้างขึ้น ผิวหน้าจะดูหยาบขึ้น ควรจะใช้โทนเนอร์ ช่วยกระชับรูขุมขนบ้าง แม้จะใม่ใช่ทางแก้ปัญหาถาวรก็ตามที

18. จุดด่างดำต่าง ๆ สามารถเกิดขึ้นได้ เมื่ออายุเข้าเลข 3 ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งนั้น มาจากแสงอาทิตย์ และหากพบปัญหาในบริเวณกว้าง ควรจะพบแพทย์เพื่อการรักษาที่ถูกต้อง

19. ริ้วรอยต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นที่หน้าผาก หัวคิ้ว ถ้ามันทำให้คุณรู้สึกแย่ อาจจะปรึกษาแพทย์เพื่อฉีดโบท๊อกได้

20. ความชุ่มชื้นเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ดวงตาของตนดูอ่อนวัยและสดใส ควรจะใช้อายครีมวันละ 2 ครั้ง

21. ปัญหาเรื่องตีนกา แพทย์ผิวหนังอาจจะช่วยได้ ด้วยการสั่งครีมบางชนิด ซึ่งต้องมีใบสั่งจากแพทย์ให้คุณใช้

วันนี้เรามีทริคดี ๆ สู้ภัยหนาวมาฝาก

1.อย่างแรกเลยก็คือต้องล้างหน้าด้วยน้ำเย็น แม้ว่าอากาศจะหนาวากสักเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าคุณดื้อดึงที่จะใช้น้ำอุ่นล่ะก็เชื่อเถอะค่ะ หน้าคุณจะแห้งตลอดศกแน่นอนเลยทีเดียว ทั้งนี้คุณควรจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่เป็นกลาง คือไม่เป็นกรดหรือด่างมากเกินไป และพิเศษอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีผิวแห้งอยู่แล้วก็คือต้องเลือกแบบที่มีมอยเจอร์ไรเซอร์ด้วยนะคะ เพื่อเป็นการเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวหน้าค่ะ

2.หลังจากทำความสะอาดร่างกายแล้วก็ไม่ควรลืมที่จะทาโลชั่นด้วย เพื่อเป็นการเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว แต่ถ้าเผอิญว่าคุณมีผิวที่แห้งเป็นขุยไปแล้วให้ใช้โลชั่นแบบเข้มข้นเลยนะคะ และในขณะที่ทาโลชั่นก็อย่าลงน้ำหนักมากเกินไป ให้ทาเพียงเบา ๆ จนกระทั่งส่วนที่เป็นขุยค่อย ๆ หลุดลอกออกไปนะคะ

และที่ขาดไม่ได้ก็คือการทาครีมกันแดด หลาย ๆ คนชะล่าใจเห็นว่าเป็นหน้าหนาวจนละเลยที่จะทาครีมกันแดดกันบ่อย ๆ แม้จะจริงอยู่ที่ว่าอากาศมันเย็นลงก็ตาม แต่แดดมันก็แรงมากขึ้นด้วยเหมือนกันคะ เพราะฉะนั้นก็อย่าชะล่าใจไปนะคะ

นอกจากนี้การดื่มน้ำส้มคั้นเป็นประจำทุกวันวันละ 1 แก้ว ก็ช่วยได้เช่นกันค่ะ นอกจากนี้อย่าลืหมั่นออกกำลังกายให้เหงือออกตามธรรมชาติด้วยนะคะ เพื่อร่างกายแข็งแรงและสุขภาพผิวที่ดีค่ะ

กล้วยหอมเพียง 2 ใบ ช่วยลดหุ่นให้ดูเพรียวบางได้ และกลายเป็น สูตรลดน้ำหนักสุดฮิต ที่สาวหนุ่มแดนซากุระแห่ทำตาม จนแทบแย่งชิงกันเพื่อให้ได้กล้วยหอมมาครอบครอง หวังลดน้ำหนักได้เพรียวกันถ้วนหน้า

สูตรลดน้ำหนักที่ตกเป็นข่าวโจษขานเมื่อไม่นานมานี้ แนะนำให้กินกล้วยหอม 1-2 ผล พร้อมกับน้ำในอุณหภูมิห้องในมื้อเช้า ส่วนมื้อกลางวันและเย็นสามารถกินได้ตามปกติ อาจจะเพิ่มอาหารว่างตอนบ่ายสาม สิ่งสำคัญคือ งดของหวานและเข้านอนก่อนเที่ยงคืน

“ในทางโภชนาการแล้ว สูตรดังกล่าวสามารถลดน้ำหนักได้จริง หากเป็นคนที่ไม่ทานอาหารเช้าเลย หรือทานอาหารเช้าที่หนักเกินไป” แววตา เอกชาวนา นักโภชนาการ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล อธิบายความเป็นไปได้

กล้วยหอม 1 ลูก น้ำหนักประมาณ 100 กรัม (ไม่รวมเปลือก) จะให้พลังงาน 120 กิโลแคลอรี ในกรณีที่กินข้าวเช้าตามปกติ เช่น ข้าวมันไก่ 1 จาน ที่ให้พลังงาน 500 กิโลแคลอรี หากเปลี่ยนมากินกล้วยหอมเป็นมื้อเช้า ก็จะได้แคลอรีน้อยลง ในขณะเดียวกัน หากว่ากันตามสูตรก็จะให้กินพร้อมกับน้ำ ทำให้อิ่มเร็วขึ้น

สำหรับคนที่ไม่เคยกินข้าวเช้า นักโภชนาการบอกว่า สูตรนี้ช่วยได้อย่างมาก เนื่องจากจะสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ให้ได้รับอาหารเช้า ซึ่งเป็นมื้อที่จำเป็นต่อร่างกายและสมอง

“ในสังคมปัจจุบัน คนเร่งรีบจนไม่กินอาหารเช้าหรือดื่มเพียงกาแฟ 1 แก้ว ซึ่งส่งผลต่อระบบการเผาผลาญในร่างกาย กล้วยหอมจะถือเป็นอาหารมื้อเช้า ที่ช่วยให้ระบบการเผาผลาญทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น” ในกล้วย นอกจากจะมีคาร์โบไฮเดรต และไฟเบอร์ ยังมีน้ำตาลทั้งกลูโคส, ฟลุกโตส และซูโคส ที่ช่วยเพิ่มพลังกายและสมอง ให้สามารถนำไปใช้ได้เลย ทำให้นักโภชนาการมองว่า สูตรลดน้ำหนักด้วยกล้วยนี้ จะเป็นที่นิยมนานกว่าสูตรอื่น เนื่องจากเป็นสูตรที่ง่าย ราคาไม่แพง แถมยังอร่อย ทำให้คนไม่ฝืนใจกิน ในขณะเดียวกันก็สามารถใช้กับกล้วยประเภทอื่น ได้ไม่ว่าจะเป็นกล้วยน้ำว้า กล้วยไข่

นอกจากรับประทานกล้วยแล้ว ข้อห้ามเกี่ยวกับของหวานและการนอน ก็เป็นปัจจัยเสริมที่ดี น.ส.แววตาชี้ว่า ของหวานเป็นอุปสรรคสำคัญในการลดน้ำหนัก

ขณะที่การจัดเวลาของว่างช่วงบ่ายสามโมงก็ถือว่าดี จากเดิมที่คนไทยกินของว่างไม่เป็นเวลา ก็จะช่วยให้นาฬิการ่างกายเรียนรู้ และปรับระบบเผาผลาญในช่วงเวลานั้น ส่วนการนอนก่อนเที่ยงคืน ก็เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบเผาผลาญได้อีกทางหนึ่ง อย่างไรก็ดี นักโภชนาการแนะนำว่า สูตรนี้เหมาะกับคนที่ไม่รับประทานอาหารเช้า หรือรับประทานอาหารเช้าที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ผู้ที่ไม่ควรลิ้มลองคือ ผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคไต เนื่องจากกล้วยมีน้ำตาลและโปแตสเซียมสูง ในขณะที่ผู้ที่รับประทานอาหารเช้าเพื่อสุขภาพอยู่แล้วก็ไม่จำเป็น อาทิเช่น คอร์นเฟลกกับนม, ข้าวกับแกงจืดตำลึง หรือ ข้าวกับไก่ผัดขิง เป็นต้น

ในขณะเดียวกัน สูตรลดน้ำหนักนี้ก็ไม่เหมาะกับเด็กวัยเรียน เนื่องจากเด็กวัยนี้ต้องการโปรตีนในช่วงเช้าเพื่อเป็นแหล่งพลังงานระหว่างวัน

โดยนักโภชนาการแนะว่า หากต้องการลดน้ำหนัก อาจจะปรับสูตร เช่น กล้วยกับหมูปิ้ง กล้วยกับไข่ต้ม หรือกล้วยกับชีสแบบไขมันต่ำ นักโภชนาการยังบอกด้วยว่า ไม่เฉพาะแต่กล้วยที่สามารถนำไปใช้เป็นสูตรลดน้ำหนักได้ ผลไม้อื่นก็สามารถทำได้เช่นกัน โดยดูจากผลไม้ที่ไม่หวานมาก ไม่หนักแป้ง และกินได้ง่าย เช่น แอ๊ปเปิ้ล แคนตาลูป หรือแตงโม เป็นต้น ในขณะเดียวกัน ก็ควรหลีกเลี่ยงทุเรียน, ขนุน ที่หวานจัดหรือผลไม้ที่เป็นกรดเช่น สับปะรด

“สิ่งสำคัญที่ต้องย้ำเตือนทุกคนคือ กล้วย 1 ใบ ไม่ใช่อาหารมหัศจรรย์ที่จะทำให้คนเราผอมสวย สุขภาพดี เนื่องจากเป็นอาหารที่ไม่ครบ 5 หมู่ แต่กล้วยจะเป็นจุดเริ่มต้น ให้คนหันมารับประทานอาหารเช้าซึ่งเป็นมื้อสำคัญ และเพิ่มสารอาหารให้ครบ 5 หมู่ในมื้ออื่นของวัน และต้องออกกำลังกายให้สมดุลกับอาหารที่กินเข้าไปในแต่ละวัน เพื่อสร้างเสริมสุขภาพที่ดีต่อไป”

ผมหงอกก่อนวัย

ผมหงอกแสดงถึงเซลล์ร่างกายเริ่มเสื่อมลงหรือเรียกสั้นๆ ว่า "เริ่มแก่" ซึ่งปัจจุบันแนวโน้มอายุคาดหวังของประชากรโลกลดลงเรื่อยๆ จึงไม่แปลกใจเลยที่หนุ่มสาวอายุเพิ่งยี่สิบก็มีผมหงอกแล้ว โดยทั่วไปผมจะเริ่มหงอกจากจอน ขมับ แล้วลามไปทั่วศีรษะ อาจเป็นเพราะหนังศีรษะแต่ละส่วน ทั้งด้านหน้า ตรงขมับ ด้านข้าง ด้านหลัง และกลางศีรษะ อย่างไรก็ตามยังไม่มีคำอธิบายแน่ชัดว่าเพราะเหตุใด แต่หากเปรียบเทียบทั้งร่างกาย จะพบว่าผมหงอกเริ่มที่ศีรษะก่อนแล้วค่อยลามไปที่เคราและขนตามร่างกายในเวลาต่อมา

ใครมีผมหงอกก่อนวัยได้บ้าง

ทายาทผมหงอก คนที่ได้รับถ่ายทอดยีนผมหงอกมาจากพ่อหรือแม่ หากพ่อแม่มีผมหงอกก่อนวัยก็เชื่อได้เลยว่าลูกมีสิทธิ์ผมหงอกตอนเป็นหนุ่มได้เช่นกัน

สิงห์นักสูบ มีงานวิจัยว่าคนที่สูบบุหรี่ตั้งแต่อายุน้อยจะมีผมหงอกก่อนคนที่ไม่สูบบุหรี่ เพราะสารอนุมูลอิสระจากการเผาไหม้บุหรี่เข้าสู่ร่างกาย ทำให้เซลล์ทั่วร่างกายแก่เร็ว

เป็นโรคกระดูกพรุนหรือโรคหลอดเลือดหัวใจ ผู้ที่เป็นโรคใดโรคหนึ่งในสองโรคนี้ บ่งบอกถึงสัญญาณความชรามาเยี่ยมแล้ว

การรักษา

ไม่มีทั้งยารับประทานและยาทาที่สามารถฟื้นคืนเซลล์สร้างเม็ดสีให้ทำงานปกติได้เลย แต่มีวิธีเดียวคือ เมื่อเริ่มรู้ว่ามีผมหงอกแค่เพียงเส้นเดียว ควรหันมาออกกำลังกายเสียตั้งแต่เนิ่นๆ ควบคู่กับรับประทานผัก ผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ จะช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน หลอดเลือดหัวใจ และชะลอวัยได้

วิทยาศาสตร์การแพทย์ไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหาผมหงอกก่อนวัย และอนาคตอาจมีการใช้ สเต็มเซลล์ ปลูกเซลล์รากผมที่ดีลงไปแทนได้ ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ในขั้นทดลอง หรืออาจใช้ ฮอร์โมนต้านความชรา แต่หากไม่ควบคุมปริมาณให้ดีอาจก่อมะเร็งได้ ต้องจับตาดูว่าทั้งสองวิธีนี้จะผ่านการรับรองจากวงการแพทย์เมื่อไร เพื่อความปลอดภัยของทุกคน

ชุติมา วิทย์ออก เลขที่ 4

เวลาเกิดอุบัติเหตุ เราจะต้องระวังสมอง และไขสันหลังให้ดีที่สุด เพราะถ้าเกิดการกระทบกระเทือนก็มักอาจจะส่งผลต่อร่างกายของคนเรา เช่น ความจำเสื่อม การเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นต้น ดังนั้นทั้งสองสิ่งนี้คือสิ่งที่เราจำเป็นต้องดูแลเป็นอย่างดี ซึ่งสิ่งแรกที่ควรจะทำเมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้นก็คือ การตั้งสติ

กิตติพจน์ วิทย์ออก เลขที่ 14

** สวัสดีครับอาจารย์กั๊ม **

ในเพลานี้ข้าพเจ้ามีเกล็ดเคล็ดลับ สูตรการลดน้ำหนักที่ถูกต้อง มาฝากครับ

สูตรการลดน้ำหนักที่ถูกต้อง จะให้ได้ผลดี ตามข้อปฏิบัติดังต่อไปนี้

1. ระลึกอยู่เสอมว่าความอ้วนเป็นอันตราย

2. การลดน้ำหนักไม่ใช่การอดอาหาร แต่ควรดูปริมาณพลังงานที่ได้ จากอาหารให้เหมาะสมกับการทำกิจกรรมในแต่ละวัน

3. ควรกินอาหารให้ครบทุกมื้อ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูง

4. ออกกำลังกาย เพื่อเผาผลาญพลังงานที่เหลือไม่ให้เป็นไขมันส่วนเกิน สะสมในร่างกาย

5. กินอาหารพอเหมาะ ไม่กินมากหรือน้อยเกินไป

6. ดื่มน้ำเยอะ ๆ เพราะน้ำจะทำให้สดชื่น และป้องกันไม่ให้อยากกินอาหาร

7. ให้ทุกคนช่วยเตือนในการลดน้ำหนัก ว่า "ตนกำลังลดน้ำหนักอยู่" เพราะจะช่วยไม่ให้ลืม

8. ทำงานด้วยความกีระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่า เพื่อให้ร่างกายได้ออกกำลังทุกสัดส่วน เผาผลาญพลังงานส่วนเกิน

9. ชั่งน้ำหนักทุกอาทิตย์ และทำตารางเปรียบเทียบการลดน้ำหนัก

10. ตั้งปณิธาณว่าจะทำให้ครบทุกข้อ

ที่มา = โดย : นางสาว อนุชิดา นกพึ่ง, โรงเรียนศรีสำโรงชนูปถัมภ์

สำหรับหลายคนที่มีปัญหาเรื่องการนอนหลับ ทั้งๆ ที่มีอาชีพที่เขาให้โอกาสนอนได้มากๆ เช่น เป็นครู อาจารย์ ไม่ต้องอยู่เวรยาม

แถมยังมีเวลาหยุดภาคเรียน แต่ก็ยังนอนไม่หลับ ผู้รู้เรื่องการนอนหลับแนะนำว่าเพื่อให้การนอนหลับดี ควรลองปฏิบัติดังนี้

• เข้านอนและตื่นนอนให้ตรงเวลาทุกวัน ไม่เว้นวันหยุด

• ฝึกทำกิจกรรมที่เป็นอาจิณปฏิบัติ เช่น อาบน้ำก่อนนอน อ่านหนังสือง่ายๆ ก่อนนอน (ถ้าเอาไวยากรณ์ไทยมาอ่านก็ต้องระวังเพราะอาจขึ้นเตียงไม่ทัน)

• ใช้ห้องนอนสำหรับการนอนและเพศสัมพันธ์เท่านั้น ไม่ควรใช้ดูหนังดูละครหรือดูกีฬาทำความรำคาญให้แก่คู่ครองที่มีรสนิยม

ต่างกัน หรือใช้ห้องนอนทำบัญชีเคลียร์หนี้ซึ่งทำให้เครียดจนนอนไม่หลับ

• ทำห้องนอนให้เงียบและมืดซึ่งชวนให้หลับได้ดี

อรชพร เจริญพัฒนสมบัติ.ฟาร์

เป็นที่ตระหนักกันดีในวงการแพทย์แล้วว่ามลพิษทางเสียงส่งผลร้ายต่อการได้ยิน สุขภาพ และคุณภาพชีวิตของมนุษย์ ได้แก่

• การได้ยิน:

การสูญเสียการได้ยิน เสียงดังรบกวน เกิดเสียงหวีดก้องในหูหรือในสมอง

• สุขภาพกาย:

ความดันโลหิตสูง ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว มือเท้าเย็น การไหลเวียนกระแสโลหิตบกพร่องจนถึงโรคหัวใจ

• สุขภาพจิต:

การรบกวนการพักผ่อน เกิดความเครียด และสภาวะตื่นตระหนก ซึ่งพัฒนาไปสู่อาการเจ็บป่วยเศร้าซึมและโรคจิตประสาทได้

• สมาธิ ความคิด และการเรียนรู้:

การรบกวนสมาธิ การคิดค้น วิเคราะห์ข้อมูล และการลดประสิทธิภาพการเรียนรู้ และการตั้งใจรับฟัง

• ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการทํางาน:

การรบกวนระบบและความต่อเนื่องของการทํางาน และทําให้งานล่าช้า ลดทั้งคุณภาพและปริมาณ

• การติดต่อสื่อสาร:

ขัดขวางการได้ยิน และทําให้ต้องตะโกนสื่อสารกัน ทําให้การสื่อสารบกพร่องเกิดความเพี้ยนในการได้ยิน ในเด็กเล็กที่กําลังเรียนพูด

จะถ่วงพัฒนาการในการฟัง การพูด และการออกเสียง ในผู้ใหญ่จะเป็นอุปสรรคต่อการรับฟังสัญญาณเตือนภัยอันอาจทําให้เกิดอุบัติเหตุและอันตราย

• การกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมก้าวร้าว:

เสียงดังเร้าอารมณ์ให้สร้างความรุนแรง ทําร้ายผู้อื่น

• การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม:

กระตุ้นให้เกิดค่านิยมในความรุนแรง ไม่เคารพสิทธิในความสงบสุขของผู้อื่นและสังคมโดยรวม และการขาดมารยาทสังคมที่ดีงาม

คนทั่วไปจะไม่สามารถทราบได้ว่ากำลังฟังเสียงหรือปรับระดับเสียงของเครื่องเล่นเสียงอยู่ที่กี่เดซิเบล ทั้งนี้เนื่องจาก

การวัดเสียงจะต้องใช้เครื่องมือเฉพาะที่เรียกว่า “เครื่องวัดระดับเสียง (Sound Level Meter)” ซึ่งมีหน่วยวัดเป็น เดซิเบลเอ อย่างไรก็ตามขณะนี้ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ได้มีการวิจัยและพัฒนาโปรแกรมวัดระดับเสียง “SOUNDmeter” ซึ่งสามารถนำไปใช้บนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบพกพา (Personal Digital Assistant: PDA) โปรแกรมดังกล่าว

มีความแม่นยำใกล้เคียงกับเครื่องวัดระดับเสียงมาตรฐาน และใช้งานง่าย จึงเหมาะกับคนทั่วไปสำหรับใช้ในการตรวจวัดระดับเสียง

และหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่มีเสียงดังมากเกินไป

รูปร่างดีเหรอค่ะ การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

อย่ากินจุกจิก พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้มากๆ งดอาหารคาวหวาน

อย่าปล่อยให้ตัวเองอ้วน....

อนุกูล เลขที่36 วิทย์ออก

การดูแลสุขภาพตนเอง โดยธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น ในชีวิต ก็จะพยายามหาทางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เป็นอันดับแรก เมื่อรู้ว่า ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เอง ก็จะแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้อื่น ในเรื่องความเจ็บป่วย หรือปัญหาสุขภาพก็เช่นเดียวกัน ทุกคนต้องการที่จะดูแลตนเอง ให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ ดังนั้น กล่าวได้ว่า "การดูแลสุขภาพตนเอง เป็นกิจกรรมที่บุคคลแต่ละคนปฏิบัติ และยึดเป็นแบบแผนในการปฏิบัติ เพื่อให้มีสุขภาพดี" อาจแบ่งขอบเขตการดูแลสุขภาพตนเอง เป็น 2 ลักษณะคือ การดูแลสุขภาพตนเองในสภาวะปกติ เป็นการดูแลสุขภาพตนเอง และสมาชิกในครอบครัว ให้มีสุขภาพแข็งแรง สมบูรณ์อยู่เสมอ ได้แก่ การดูแลส่งเสริมสุขภาพ เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข เช่น การออกกำลังกาย การสร้างสุขวิทยาส่วนบุคคลที่ดี ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงจากสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ การป้องกันโรค เพื่อไม่ให้เจ็บป่วยเป็นโรค เช่น การไปรับภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ การไปตรวจสุขภาพ การป้องกันตนเองไม่ให้ติดโรค การดูแลสุขภาพตนเองเมื่อเจ็บป่วย ได้แก่ การขอคำแนะนำ แสวงหาวามรู้จากผู้รู้ เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขต่างๆ ในชุมชน บุคลากรสาธารณสุข เพื่อให้ได้แนวทางปฏิบัติ หรือการรักษาเบื้องต้นให้หาย จากความเจ็บป่วย ประเมินตนเองได้ว่า เมื่อไรควรไปพบแพทย์ เพื่อรักษาก่อนที่จะเจ็บป่วยรุนแรง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หรือบุคลากรสาธารณสุข เพื่อบรรเทาความเจ็บป่วย และมีสุขภาพดีดังเดิม การที่ประชาชนทั่วไปสามารถดูแลสุขภาพตนเองได้นั้น จำเป็นต้องมีความรู้ ึความเข้าใจในเรื่อง การดูแลสุขภาพ ตั้งแต่ยังไม่เจ็บป่วย เพื่อบำรุงรักษาตนเอง ให้สมบูรณ์แข็งแรง รู้จักที่จะป้องกันตัวเอง มิให้เกิดโรค และเมื่อเจ็บป่วยก็รู้วิธีที่จะรักษาตัวเอง เบื้องต้นจนหายเป็นปกติ หรือรู้ว่า เมื่อไรต้องไปพบแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข

วัชรี เลขที่17 วิทย์-ออก

การปฏิบัติตนในชีวิตประจำวัน

สุขภาพของคนเราจะดีหรือเสื่อมนั้น ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์แข็งแรง ของอวัยวะต่างๆ เช่น ผิวหนัง ตา หู จมูก และฟัน ซึ่งเป็นอวัยวะภายนอกร่างกาย ที่เราควรดูแลรักษาให้อยู่ในสภาพที่ดี และแข็งแรง เพราะถ้าเสื่อมโทรม หรือผิดปกติ จะส่งผลกระทบต่ออวัยวะส่วนอื่นๆ ได้ ดังนั้น เราต้องระวังรักษาส่วนต่างๆ ของร่างกายให้สะอาด ตลอดจนการออกกำลังกาย และการพักผ่อน เพื่อทำให้ร่างกายมีความสมบูรณ์ แข็งแรง และมีผลทำให้จิตใจเบิกบาน แจ่มใส สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้ อย่างมีความสุข

การดูแลสุขภาพตนเอง ให้มีสุขภาพสมบูรณ์ และแข็งแรงอยู่เสมอ จะต้องปฏิบัติกิจกรรม ในด้านการส่งเสริมสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ในชีวิตประจำวัน โดยยึดหลักสุขบัญญัติ 10 ประการ และสำรวจสุขภาพตนเอง ดังนี้

1. ดูแลรักษาร่างกาย และของใช้ให้สะอาด

อาบน้ำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง

การอาบน้ำให้สะอาด จะต้องใช้สบู่ฟอกทุกส่วนของร่างกายให้ทั่ว และมีการขัดถูขี้ไคล บริเวณลำคอ รักแร้ แขนขา ง่ามนิ้วมือ ง่ามนิ้วเท้า ขาหนีบ โดยเฉพาะอวัยวะเพศ ต้องรักษาความสะอาดเป็นพิเศษ หลังจากนั้นล้างด้วยน้ำ และเช็ดตัวให้แห้ง ด้วยผ้าที่สะอาด จะช่วยให้ร่างกายสะอาด และสดชื่น

สระผม อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง

การสระผมช่วยให้ผสม และหนังศีรษะสะอาด ไม่สกปรก หรือมีกลิ่นเหม็น โยใช้สบู่ หรือแชมพูสระผมจนสะอาด แล้วเช็ดผมให้แห้ง หร้อมทั้งหวีผมให้เรียบร้อย การหมั่นหวีผม จะช่วยนวดศีรษะให้เลือดมาเลี้ยงศีรษะมากขึ้น และต้องล้างหวี หรือแปรงให้สะอาดเสมอ การไม่สระผม หรือสระผมไม่สะอาด ทำให้เป็นชันนะตุ รังแค และเกิดอาการคัน เกิดโรคผิวหนัง และเชื้อราบนหนังศีรษะ ทำให้เกิดผมร่วง และเสียบุคลิกภาพ

การรักษาอนามัยของดวงตา

ดวงตาเป็นอวัยวะสำคัญ เราควรหวงแหน และให้ความเอาใจใส่ ควรปฏิบัติดังนี้

- อ่าน หรือเขียนหนังสือในระยะห่างประมาณ 1 ฟุต โดยมีแสงสว่างเพียงพอ แสงเข้าทางด้านซ้าย หรือตรงข้ามกับมือที่ถนัด หากรู้สึกเพลียสายตา ควรพักผ่อนสายตา โดยการหลับตา หรือมองไปไกลๆ ชั่วครู่

- ดูโทรทัศน์ในระยะห่างอย่างน้อย 1 เมตรครึ่ง

- บำรุงสายตาด้วยการรับประทานอาหารที่มีคุณค่า เช่น มะละกอสุก ฟักทอง และผักบุ้ง เป็นต้น

- ใส่แว่นกันแดด ถ้าจำเป็นต้องมองในที่ๆ มีแสงสว่างมากเกินไป

- ตรวจสายตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยแผ่นทดสอบสายตา (E-Chart) ถ้าสายตาผิดปกติ ให้พบจักษุแพทย์ เพื่อตรวจสอบ และประกอบแว่นสายตา

การรักษาอนามัยของหู

หูเป็นอวัยวะที่สำคัญอย่างหนึ่งของร่างกาย ที่จะต้องเอาใจใส่ดูแลให้ถูกต้อง ดังนี้

- เช็ด บริเวณใบหู และรูหู เท่าที่นิ้วจะเข้าไปได้ ห้ามใช้ของแข็งแคะเขี่ยใบหู รูหู

- คนที่มีประวัติว่า มีการอักเสบของหู ต้องระวังไม่ให้น้ำเข้าหูเด็ดขาด

- หากมีน้ำเข้าหู ให้เอียงหูข้างนั้นลง น้ำจะค่อยๆ ไหลออกมาได้เอง หรือใช้ไม้พันสำลีเช็ดบริเวณช่องหูด้านนอก

- ถ้าเป็นหวัด ไม่ควรสั่งน้ำมูกแรงๆ เพราะจะทำให้เชื้อโรคจากจมูก หรือคอ ถูกดันเข้าไปในหูชั้นกลาง ทำให้เกิดการติดเชื้อ และเกิดเป็นโรคหูน้ำหนวก

- เมื่อมีแมลงเข้าหู อย่าพยายามแคะ ให้ใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันพืช หยอดหูทิ้งไว้ชั่วขณะ แมลงจะเคลื่อนไหวไม่ได้ และตายในที่สุด ควรพบแพทย์เพื่อเอาแมลงออก

- หลีกเลี่ยงจากการถูกกระทบกระแทกหูโดยแรง หรือการตบหู เพราะจะทำให้แก้วหู และกระดูกภายในหูหลุด เกิดการสูญเสียการได้ยินตามมา รวมทั้งการหลีเลี่ยงเสียงอึกทึก และเสียงดังมากๆ อาจทำให้หูพิการได้

- ต้องรู้จักสังเกตอาการผิดปกติของหู และการได้ยินอยู่เสมอ หากมีอาการผิดปกติ เช่น รู้สึกปวดหู เจ็บหู คันหู หูอื้อ มีน้ำหรือหนองไหลจากหู เวียนศีรษะ มีเสียงดังรบกวนในหู การได้ยินเสียงน้อยลง หรือได้ยินไม่ชัด ต้องรีบไปพบแพทย์เฉพาะทาง หู คอ จมูก ทันที

การรักษาอนามัยของจมูก ข้อควรปฏิบัติดังนี้

- ไม่ถอนขนจมูก เพราะจะทำให้จมูกอักเสบได้

- ถ้าเป็นหวัดเรื้อรัง หรือมีเลือดกำเดาออกบ่อยๆ ต้องพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา

- ห้ามใส่เมล็ดผลไม้ หรือสิ่งแปลกปลอมอื่นเข้าไปในรูจมูก

- การไอหรือจาม ต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปาก จมูก เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคในอาการ เป็นผลให้ผู้อื่นติดโรคได้

- ต้องสั่งน้ำมูก ใส่ในผ้า หรือกระดาษเช็ดหน้าที่สะอาด

ตัดเล็บมือเล็บเท้าให้สั้นอยู่เสมอ

มือและเท้าเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่สำคัญ ต้องมีการดูแลรักษา ไม่ปล่อยให้เล็บมือเล็บเท้ายาว การปล่อยให้เล็บยาว โดยไม่ดูแลความสะอาด จะทำให้เชื้อโรคที่สะสมอยู่ตามซอกเล็บ ติดไปกับอาหาร เป็นการนำเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายทาปากโดยตรง ทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วง ก่อน และหลังรับประทานอาหาร และหลังจากเข้าส้วมแล้ว ต้องล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดทุกครั้ง และต้องสวมรองเท้าเมื่อออกจากบ้าน

ถ่ายอุจจาระเป็นเวลาทุกวัน

ควรฝึกขับถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลาทุกวัน ในตอนเช้า อย่าให้ท้องผูกบ่อยๆ เพราะจะทำให้เกิดโรคริดสีดวงทวาร และเป็นมะเร็งในลำไส้ใหญ่ได้

ใส่เสื้อผ้าที่สะอาด ไม่อับชื้น และให้ความอบอุ่นเพียงพอ

การรักษาความสะอาดของเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม และเครื่องนอนเป็นิส่งสำคัญ เสื้อผ้าที่ใช้แล้วทิ้ง ชั้นนอกและชั้นใน ต้องมีการทำความสะอาดด้วยสบู่ หรือผงซักฟอกทุกครั้ง นำไปผึ่งหรือตากแดดให้แห้ง ประการสำคัญ การสวมเสื้อผ้า ต้อใช้ให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ ไม่ใส่เสื้อผ้าซ้ำๆ หรือซักไม่สะอาด อับชื้น เพราะจะทำให้เกิดโรคผิวหนังได้

อนุกูล กองทุม sec 02 เลขที่ 36

อาหารเพื่อสุขภาพ

Free Foodsในที่นี้หมายถึงอาหารที่คุณสามารถกินได้อย่างสบายอกสบายใจโดยไม่ต้องกังวลว่าจะทำให้น้ำหนักเพิ่มเพราะอาหารเหล่านี้มีแคลอรีต่ำและสามารถเผาผลาญได้ในเวลาอันรวดเร็ว อาหารที่จัดอยู่ในประเภท Free Foods ก็คือ

1. หน่อไม้ฝรั่ง

2. ถั่วงอก

3. บร็อคเคอลี

4. กะหล่ำปลี

5. แครอท มะเขือม่วง

6. ถั่วฝักยาว

7. ผักกาดแก้ว

8. เห็ด

9. ฟักทอง

10. ถั่วลันเตา

11. ผักโขม

12. มะเขือเทศ

13. กะหล่ำดอก

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์

ผักผลไม้บำรุงผิว...

- ส้ม อุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใสดูอ่อนวัย

- มะนาว อุดมด้วยวิตามิน ซี ที่มีประโยชน์ต่อผิว และยังช่วยทำความสะอาดตับซึ่งทำหน้าที่กำจัดของเสียออกจากร่างได้อีกด้วยค่ะ

- แครอท ให้คุณค่าเบต้าแคโรทีน ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นวิตามิน เอ อาหารที่จำเป็นสำหรับผิว

- กีวี ประกอบด้วยวิตามินซี ที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างคอลลาเจน กีวี จัดเป็นสุดยอดผลไม้ที่มีระดับวิตามินซีสูงที่สุดชนิดหนึ่ง เรียกว่าเกือบ 2 เท่าของวิตามินที่เราได้จาการรับประทานส้ม 1 ผลเลยทีเดียว วิตามินซีชนิดนี้มีความสำคัญต่อร่างกายมาก เนื่องจากช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซับธาตุเหล็กและโฟเลต ซึ่งเป็นสารอาหารที่ผู้หญิงต้องการมากที่สุดได้อย่างเต็มที่ และวิตามินซีนี้ยังสามารถบรรเทาอาการของโรคหวัดได้อีกด้วย "กีวี” เป็นผลไม้ที่มีสารอาหารมากที่สุดและมีแมกนีเซียมในปริมาณสูงที่สุดด้วยเช่นกัน แถมยังอุดมไปด้วยโปตัสเซียม วิตามินอี แคลเซียม ฟอสฟอรัส และไฟเบอร์ (เส้นใยอาหาร)สูง ซึ่งในกีวี 1 ลูกจะมีเส้นใยอยู่ถึงร้อยละ 16 ของปริมาณเส้นใยที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน นอกจากนี้ยังมีเอนไซม์ที่ช่วยย่อยโปรตีน รวมทั้งมีสารต้านอนุมูลอิสระอีกหลายชนิด ที่ช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง

- อะโวคาโด อุดมไปด้วยวิตามินซี ที่ช่วยบำรุงผิว การรับประทานอะโวคาโดวันละ 1 ลูก สามารถให้วิตามินอีเพียงพอกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวันได้..

- มะเขือเทศ มีทั้งวิตามินซี และ lycopene ป้องกันผิวเสียจากรังสียูวี

- เมล็ดถั่วต่างๆ อุดมด้วยโปรตีนซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับผิวสวย

- น้ำมันมะกอก มีวิตามิน E อยู่ในปริมาณมาก ซึ่งจะช่วยทำให้เพิ่มอายุของคอลาเจนใต้ผิวทำให้ผิวเนียมนุ่มชุ่มชื่นอย่างเป็นธรรมชาติค่ะ

- โยเกิร์ต ช่วยในการขับถ่าย ทำให้ผิวพรรณสดใส ไม่หมองคล้ำ

- งา อุดมด้วยวิตามิน บี สังกะสี และโปตัสเซียม ช่วยในการเสริมสร้างเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวดูสดใสอ่อนวัยอยู่เสมอ..

- ผักโขม อุดมด้วยธาตุเหล็ก ช่วยบำรุงผิวให้เปล่งปลั่งมีสุขภาพดี

- ปลา อุดมไขมัน เช่น ปลาแซลมอน ซึ่งน้ำมันปลาที่ช่วยให้ผิวพรรณเต่งตึง ไม่เหี่ยวย่น และควรรับประทานอย่างน้อย 2 มื้อต่อสัปดาห์นะคะ

เข้ามาอ่านบทความ ของอ.กั้ม เพิ่งรู้นะครับว่า นอกจากในประเทศ เอธิโอเปีย แล้วยังจะมีคนผอมยังงี้อีก  แล้วกลับมาคำนวณBMI = 21.24 สมส่วน (แต่ก็ยังแอบมีพุงนิดหน่อย)

พอดีไปหาเวปที่เกี่ยวกับการออกกำลังกายมา เลยอยากให้เพื่อนได้อ่านด้วย เป็นเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับการออกกำลังกายและข้อควรระวังเกี่ยวกับการออกกำลังกาย

http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=39&post_id=7874

ไม่รู้ว่ามีใครคิดเหมือนกันหรือเปล่าว่าช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ แล้ว อากาศหนาวได้ใจมาก ๆ เลยค่ะ

และเมื่อเริ่มเข้าหน้าหนาว สาว ๆ หลาย ๆ คนก็เริ่มมีปัญหาผิวหน้าแห้งเป็นขุยบ้าง บางคนก็หน้าแห้งตึงกันบ้าง บางคนก็สังเกตว่าหน้าตัวเองมันกระดำกระด่างผิดปกติบ้าง เรียกได้ว่าอากาศเย็นลงเมื่อไหร่ อาการเหล่านี้เป็นได้ถามหาเสียทุกครั้งไป วันนี้เรามีทริคดี ๆ สู้ภัยหนาวมาฝากจ้าาา

อย่างแรกเลยก็คือต้องล้างหน้าด้วยน้ำเย็น แม้ว่าอากาศจะหนาวมากสักเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าคุณดื้อดึงที่จะใช้น้ำอุ่นล่ะก็เชื่อเถอะค่ะ หน้าคุณจะแห้งตลอดศกแน่นอนเลยทีเดียว ทั้งนี้คุณควรจะเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่เป็นกลาง คือไม่เป็นกรดหรือด่างมากเกินไป และพิเศษอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีผิวแห้งอยู่แล้วก็คือต้องเลือกแบบที่มีมอยเจอร์ไรเซอร์ด้วยนะคะ เพื่อเป็นการเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิวหน้าค่ะ

หลังจากทำความสะอาดร่างกายแล้วก็ไม่ควรลืมที่จะทาโลชั่นด้วย เพื่อเป็นการเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว แต่ถ้าเผอิญว่าคุณมีผิวที่แห้งเป็นขุยไปแล้วให้ใช้โลชั่นแบบเข้มข้นเลยนะคะ และในขณะที่ทาโลชั่นก็อย่าลงน้ำหนักมากเกินไป ให้ทาเพียงเบา ๆ จนกระทั่งส่วนที่เป็นขุยค่อย ๆ หลุดลอกออกไปนะคะ

และที่ขาดไม่ได้ก็คือการทาครีมกันแดด หลาย ๆ คนชะล่าใจเห็นว่าเป็นหน้าหนาวจนละเลยที่จะทาครีมกันแดดกันบ่อย ๆ แม้จะจริงอยู่ที่ว่าอากาศมันเย็นลงก็ตาม แต่แดดมันก็แรงมากขึ้นด้วยเหมือนกันคะ เพราะฉะนั้นก็อย่าชะล่าใจไปนะคะ

นอกจากนี้การดื่มน้ำส้มคั้นเป็นประจำทุกวันวันละ 1 แก้ว ก็ช่วยได้เช่นกันค่ะ นอกจากนี้อย่าลืมหมั่นออกกำลังกายให้เหงือออกตามธรรมชาติด้วยนะคะ เพื่อร่างกายแข็งแรงและสุขภาพผิวที่ดีค่ะ

ท่าถ่ายรูปที่ทำให้ผอมเพรียว??

วิธีง่ายๆ คือการยืนหน้ากระจก มองหน้าตัวเองตรงๆ แล้วลองหันซ้าย หันขวา กดหน้า เอียงหลายๆ มุม จนกว่าจะเจอมุมที่คิดว่าดูดีที่สุด แล้วจำมุมองศานั้นไว้ให้แม่น จากนั้นฝึกซ้อมการวางตา และปาก หน้ากระจกบ่อยๆ (แต่ต้องตอนอยู่คนเดียวนะคะ) พอเราเริ่มคุ้นมุม จะสามารถถ่ายรูปได้อย่างเป็นธรรมชาติ

เมื่อหน้าสวยแล้ว ต่อไปก็ต้องดูเรื่องท่าทางค่ะ

การยืน ให้เรายืนวางขาทำมุม 45 องศากับกล้อง โดยมีขาข้างหนึ่งล้ำหน้าออกไป บิดเอวและลำตัวด้านบนเข้าหากล้อง จะช่วยให้เอวดูเล็กลง มือไม้ถ้าไม่รู้จะวางที่ไหนให้เอามาประสานกันไว้แถวหน้าท้อง จะทำให้มีช่องว่างช่วงเอวดูไม่ตัน และยังช่วยปิดหน้าท้องได้ด้วย

Tips ถ้าต้องยืนถ่ายรูปเป็นหมู่คณะ ให้หลีกเลี่ยงการยืนตรงกลาง ยืนถัดออกมาจากจุดศูนย์กลาง 2-3 คน จะดูตัวเล็กลง ลองสังเกตดูสิคะ คนยืนถ่ายรูปตรงกลางมักจะดูตัวใหญ่สุดเสมอ

การนั่ง ถ้าต้องนั่งถ่ายรูป ให้เรานั่งเก้าอี้แค่ครึ่งหนึ่ง เพื่อให้ตัวไม่จมหายไปในเก้าอี้ และนั่งเอียงสะโพก 45 องศากับกล้อง โดยให้สะโพกชิดขอบเก้าอี้ด้านใดด้านหนึ่ง ยืดหลังให้ตรง ประสานมือไว้ที่ตัก กดใบหน้าลงเล็กน้อย แล้วมองกล้อง จะช่วยให้ใบหน้าดูเล็กลงและดวงตากลมโตขึ้น

การแต่งตัว ควรเลือกเสื้อแบบพอดีตัว อย่ารัดหรือหลวมเกินไป ลายใหญ่ๆ อย่างลายจุด ลายดอก หรือลายเรขาคณิตก็เป็นสิ่งต้องห้าม เพราะจะทำให้ดูตัวใหญ่ขึ้นไปอีก เลือกเสื้อผ้าสีเข้ม อย่างดำ น้ำตาล เทา หรือเนื้อผ้าไม่มัน เพราะเวลาโดนไฟแฟลชจากกล้อง เนื้อผ้ามันจะทำให้ดูตัวหนาขึ้น

Tips รองเท้าส้นสูง (อย่างน้อย 3 นิ้ว) ใส่แล้วจะทำให้ดูรูปร่างโปร่งขึ้น รับรองดูผอมทันตา

การแต่งหน้า เน้นที่ดวงตาให้สวย ดัดและปัดขนตาให้ดูขึ้น อย่าเน้นขอบตาล่างมากเกินไป เพราะจะทำให้ตาโรยเหมือนเหนื่อย ใช้มาสคาร่าสีอ่อนปัดคิ้วเบาๆ แรเงาข้างจมูกนิดหน่อยให้ดูเด่นขึ้น และแรเงาข้างแก้มให้ดูตอบลง แล้วปัดแก้มสีชมพูอีกนิด อย่าลืมเติมปากสีนู้ดดูเป็นธรรมชาติ อย่าเลือกลิปสติกเนื้อกลอสแบบมันวาว ถ้าสะท้อนแสงแฟลชอาจทำให้ดูริมฝีปากมันเงาเกินไป

สุดท้ายคือรอยยิ้ม ความมั่นใจ และความรู้สึกดีๆ จากภายในที่แสดงออกผ่านสีหน้าและแววตา ซึ่งจะทำให้ถ่ายรูปออกมาได้สวยที่สุดค่ะ

สวัสดีครับอาจารย์.....

1.ตะกร้อวง

การเล่นตะกร้อในตอนแรกๆ นั้นยังไม่มีกฎ ระเบียบ กติกา และท่าทางอะไร มากมาย การเล่นเป็นการเตะเพื่อความสนุกสนาน

เพลิดเพลิน ผู้เล่นทุกคนเตะตะกร้อให้ลอยโด่งไปในอากาศ และลอยลงมาหาผู้เล่นอื่นๆ ส่งกัน หรือ ช่วยกันเตะเลี้ยงรับส่งประคองไม่ให้ตกถึงพื้น เมื่อตกถึงพื้นก็จะเก็บมาโยนเตะใหม่ นิยมเตะกันเป็นวงไม่จำกัดจำนวนผู้เล่นและอายุของผู้เล่น แต่มักจะมีผู้เล่นวงละ

4-8 คน ลักษณะการเล่นเป็นวงดังกล่าว เรียกว่า”ตะกร้อวง”

2.ตะกร้อเตะทน

มี 2 ลักษณะคือ ตะกร้อเตะทนประเภทเดี่ยวและประเภทวง

การเล่นประเภทเดี่ยว ผู้เล่นจะเตะโต้ตอบกันคู่ของตัวเองและพยายามให้ได้ จำนวนครั้งในการเตะมากที่สุดภายในเวลา 10 นาที

การเล่นประเภทวง คล้ายกับการเตะตะกร้อวงธรรมดาแต่มีการกำหนดกติกา การเล่นชัดเจน เช่น กำหนดขนาดของวงให้

วงกลมในรัศมี 2 เมตร วงกลมนอกรัศมี 6 เมตร มีเส้นแบ่งแดน ออกเป็น 6 แดนเท่าๆ กัน การแข่งขันแต่ละชุดจะมีผู้เล่น 6 คน สามารถเล่นได้ไม่เกิน 9 โยนในเวลา 30 นาที ในคู่หนึ่งๆ เล่นได้ไม่เกิน 3 โยนในเวลาไม่เกิน 10 นาที ชุดใดได้จำนวนลูกมากที่สุดเป็นชุดชนะ ถ้าจำนวนลูกเท่ากันชุดที่โยนน้อยกว่าเป็นชุดชนะ ถ้าจำนวนลูกและโยนเท่ากันชุดใดใช้เวลาน้อยกว่าเป็นชุดชนะ

3.ตะกร้อพลิกแพลง หรือ ตะกร้อติด

การเล่นตะกร้อประเภทนี้เป็นการเล่นเพื่อแสดงฝีมือการเตะตะกร้อของผู้เล่นเพียง คนเดียวด้วยท่าทางพลิกแพลงต่างๆ ผู้เล่นตะกร้อจะต้องแสดงความสามารถในการเตะตะกร้อให้ลอยอยู่ในอากาศได้เป็นเวลานาน และสามารถบังคับให้ตะกร้อตกมาหยุดนิ่งตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น ไหล่ แขน ขา เป็นต้น ไม่ให้ลูกตะกร้อตกถึงพื้น

4.ตะกร้อชิงธง

ตะกร้อชิงธงมีวิธีการเล่นคล้ายวิ่งวัวคน โดยการเล่นจะต้องใช้พื้นที่ทำสนามยาว 50 เมตร ขีดเส้นแบ่งช่อง ขนาดความกว้างช่องละ 3 เมตร ด้วยปูนขาวหรือเชือกหรือวัสดุอย่างอื่นที่นักกีฬาและกรรมการสามารถมองเห็นได้ชัดเจน แต่ต้องไม่เป็นอันตรายหรือ

ขัดขวางการแข่งขัน จำนวนช่องที่ทำขึ้นมีเท่ากับจำนวนผู้เล่น ให้ผู้ แข่งขันยืนที่เส้นเริ่มต้น เมื่อได้ยินสัญญาณเริ่มให้ผู้แข่งขันแต่ละคนเลี้ยง ตะกร้อด้วยส่วนต่างๆ ของร่างกาย ยกเว้นมือไปตามช่องของตนเองโดยตะกร้อไม่ตกพื้นและไม่ออกนอกลู่ไปถึงเส้นชัยซึ่ง

จะมีธงปักไว้ ผู้ที่ดึงธงได้ก่อนเป็นผู้ชนะ

5.ตะกร้อลอดห่วง หรือ ตะกร้อลอดบ่วง

ตะกร้อลอดห่วงนี้พัฒนามาจากตะกร้อวงที่เตะลูกตะกร้อให้โด่งไปมาหาคู่ของตัว เองเท่านั้น ไม่ท้าทายความสามารถเท่าที่ควร ดังนั้น เมื่อประมาณ พ.ศ. 2470 – 2475 หลวงมงคลแมน ( สังข์ บูรณะศิริ) ได้คิดประดิษฐ์ห่วงหวายขึ้นมาเป็นเป้านิ่งแขวนลอยอยู่ระหว่างเสาสูง 2 ต้น ห่วงนี้มี 3 ห่วง ให้ตะกร้อเตะลอดเข้าไปได้ 3 ทิศทาง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของปากห่วงกว้าง 45 เซนติเมตรเท่ากัน ห่วงอยู่สูงจากพื้นโดยวัด จากจุดต่ำสุดของห่วง 5.75 เมตรและแขวนลอยอยู่ระหว่างจุดกึ่งกลางของวงกลมซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 16 เมตร ผู้เล่นจะทำการแข่งขันได้ไม่เกินชุดละ 7 คน และไม่ต่ำกว่า 6 คน การเตะตะกร้อลอดห่วงนี้เป็นลักษณะเฉพาะของประเทศไทยที่ไม่มีประเทศอื่นเล่นได้

ช่วงนี้อากาศเย็นอาจมีอาการไอ มีวิธีรักษาด้วยสมุนไพรดังนี้จร้า

อาการไอ เจ็บคอ ระคายคอเกิดเนื่องจากหลายสาเหตุ ที่สำคัญคือ การติดเชื้อจากเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส หรือเป็นอาการเจ็บคอ ไอแห้งๆ หรือมีเสมหะเล็กน้อย ซึ่งเป็นอาการร่วมในโรคหวัด

ยาที่ใช้รักษามีการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกับ ตัวอย่างเช่น ยาแก้ไอที่ทำให้ลำคอชุ่มชื่น ลดอาการไอ ยาแก้ไอช่วยลดอาการไอและขับเสมหะ ยาแก้ไอที่ช่วยลดอาการอักเสบและฆ่าเชื้อโรค ในที่นี้จะแนะนำสมุนไพรที่ช่วยลดอาการไอ ขับเสมหะและช่วยทำให้ลำคอชุมชื่น

ดีปลี

ชื่ออื่น :ดีปลีเชือก (ภาคใต้) ประดงข้อ ปานนุ (ภาคกลาง)

ชื่อวิทยาศาสตร์ :Piper retrofractum Vahl. Piper chaba Hunter (Syn.)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ดีปลีเป็นไม้เถา รากฝอยออกบริเวณข้อเพื่อใช้ยึดพยุงลำต้น ใบเดี่ยวรูปไข่ แกมขอบขนาน ใบเขียวเข้มและคล้ายใบย่านาง แต่ผิวใบมันกว่า กว้าง 3-5 ซม. ยาว 7-10 ซม. ดอกช่อ ออกที่ซอกใบ ดอกย่อยอัดแน่น ผลเป็นผลสด ผลอ่อนสีเขียว เมื่อสุกจะเปลี่ยนเป็นสีแดง

ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ : ดีปลีประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหย 0.7% มีกลิ่นหอมเฉพาะ และประกอบด้วยอัลคาลอยด์ ชื่อ Piperine, Piplartine และ alkaloid มีฤทธิ์ช่วยย่อยอาหาร ขับลม ขับน้ำดี และแก้ท้องเสีย

สรรพคุณ :รสเผ็ดร้อนขม บำรุงธาตุ ขับลม แก้จุกเสียด

วิธีใช้ :เมื่อมีอาการไอ มีเสมหะ ให้ใช้ผลแก่แห้งของดีปลีประมาณครึ่งผลถึง 1 ผล ผสมกับน้ำมะนาวแทรกเกลือ กวาดคอหรือจิบบ่อยๆ

วิธีออกกำลังกายให้สนุก

เคล็ดลับอย่างหนึ่งที่คนหุ่นดีทั้งหลายบอกมาก็คือต้องออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ที่สำคัญต้องทำให้การออกกำลังกายกลายเป็นเรื่องน่าสนุกให้ได้ และนี่คือวิธีที่จะสามารถเปลี่ยนความคิด (เบื่อกับการออกกำลังกาย) ของคุณอย่างได้ผล

หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ซ้ำซากจำเจ จัดตารางการออกกำลังกาย ของคุณให้มีความหลากหลาย อาจปรับให้มีทั้งการออกกำลังแบบที่ได้เรื่องระบบ การหายใจและสมาธิ เช่น โยคะ สลับกับการออกกำลังที่ให้ผลดีกับหัวใจ อย่างการว่ายน้ำ วิ่ง ฯลฯ ร่วมกับการออกกำลังที่ต้องทำร่วมกับหมู่เพื่อน เช่น แบดมินตัน เทนนิส นอกจากจะไม่รู้สึกเบื่อแล้ว ยังจะได้ประโยชน์รอบด้านจากความหลากหลายด้วย

สำรวจตัวเองหลังออกกำลังกาย ด้วยการยืนนิ่ง ๆ สัก 2-3 นาที แล้วคิดว่าวันนี้เรารู้สึกดีแค่ไหน สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้แค่ไหนแล้ว รวมถึง ประโยชน์ที่ได้กับตัวเองในวันนี้ด้วย

ควรจัดให้มีวันพักบ้าง ไม่ต้องกลัวว่าจะสูญเสียความฟิตไป เพราะกล้ามเนื้อของคุณจะยังกระชับและแข็งแรงแม้ในวันที่งดออกกำลังกาย ดังนั้นควรจัดให้มีวันพักบ้างในแต่ละสัปดาห์

ดูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อตัวเอง อย่าเพิ่งตกใจถ้าพบว่าน้ำหนักตัวคุณเพิ่มขึ้น เมื่อคุณเริ่มต้นออกกำลังกายอย่างจริงจัง เพราะผลที่ได้ก็คือกล้ามเนื้อที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งโดยปกติจะมีน้ำหนักมากกว่าไขมันอยู่แล้ว ดังนั้นน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นก็คือน้ำหนักของกล้ามเนื้อที่คุณได้สร้างให้กับร่างกายนั่นเอง และสิ่งที่จะวัดได้ถึงความกระชับก็คือเสื้อผ้าซึ่งจะมีพื้นที่เหลือมากขึ้นกว่าเดิม

สุทธิรา หายยุทธ ม.ฟาร์

ผมสวยด้วยสมุนไพร

ชื่ออื่น : มะกรูด มะหูด (หนองคาย) ส้มมั่วผี (ภาคใต้)

สรรพคุณ ผลของมะกรูดมีน้ำมันหอมระเหย น้ำมะกรูดมีรสเปรี้ยวช่วยให้ผมสะอาดเป็นเงางาม ทำให้ผมนิ่ม แก้คันศีรษะ ป้องกันการเกิดรังแค

วิธีใช้ : นำผลของมะกรูดปิ้งไฟให้สุก ผ่าครึ่งนำผลมะกรูดที่ผ่าครึ่งถูบริเวณศีรษะ หรือนำไปผสมกับน้ำอุ่น เมื่อสระผมเสร็จแล้วเอาน้ำมะกรูดสระซ้ำ โดยใช้มะกรูดครึ่งซึกขยี้ไปบนผม น้ำมะกรูดเป็นกรดอ่อนๆ จะช่วยให้ผมสะอาด น้ำมันหอมระเหยจะทำให้ผมชุ่มชื้นเป็นเงางามและจัดทรงง่าย

ชื่ออื่น :ส้มป่อยเทศ (ภาคเหนือ) มะชัก ชะแช ชะเหล่เด่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)

สรรพคุณ :ใช้ผล มีรสขม แก้ชันตุ แก้รังแค

วิธีใช้ : ใช้ผลมะคำดีควายทุบพอแหลก ต้มในน้ำให้เดือด นำน้ำที่ได้สระผมสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะทำให้หนังศีรษะสะอาด ป้องกันการเกิดรังแค แก้โรคชันตุ

ชื่ออื่น :ว่านไฟไหม้ (ภาคเหนือ) หางตะเข้ (ภาคกลาง)

สรรพคุณ :วุ้นในใบว่านหางจระเข้ที่แก่มีสาร Aloeemodin, Aloesin, Aloin ช่วยรักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก แผลเรื้อรัง และช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ วุ้นในใบมีสรรพคุณรักษาแผล ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย

วิธีใช้ : นำว่านหางจระเข้ที่แก่มาปอกเปลือก เอาแต่ส่วนที่เป็นวุ้น นำมาบดแล้วเอาวุ้นประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ เวลาสระผมหยดน้ำวุ้นจากว่านหางจระเข้ขยี้ผมให้ทั่วทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาทีแล้วล้างออกให้สะอาด ช่วยบำรุงหนังศีรษะ ช่วยลดอาการคัน

เอมวิกา วิญญาปา วิทย์-ออก เลขที่66

สวัสดีค่ะอาจารย์กั้ม

วันนี้หนูได้ความรู้ใหม่จากเว็ปมานำเสนอให้อาจารย์ได้อ่านบทความนี้เป็นของ น้องนู๋ ( guest ) เขาเขียนขึ้นเมื่อ 2007-05-30 16:17:37 เป็นเรื่องเกี่ยวกับ 10 ข้อผิดพลาดจากการออกกำลังกาย

1. ไม่ยืดกล้ามเนื้อให้เพียงพอ

2. ใช้น้ำหนักมากเกินไป

3. ไม่ Warm Up ก่อนออกกำลังกาย

4. ไม่ Cool Down

5. ออกกำลังกายหนักเกินไป

6. ดื่มน้ำน้อยไป

7. ทิ้งน้ำหนักตัวบน Stair Stepper มากเกินไป

8. ออกกำลังกายเบาเกินไป

9. ใช้แรงสะบัดเพื่อยกน้ำหนัก

10. ทาน Energy Bar หรือเครื่องดื่มเกลือแร่เมื่อออกแรงระดับปานกลาง

ดวงตา ถือเป็นนางเอกของใบหน้า ที่สื่อความหมาย และขับเสน่ห์ของผู้หญิงออกมาได้ชัดเจนที่สุด สาวๆ ทั้งหลายจึงนิยมตกแต่งความงามให้ดวงตาของตัวเองด้วยเมกอัพหลากสีสัน

นอกจากการปาดอายแชโดว์แล้ว สาวๆ ยังสามารถเพิ่มเสน่ห์ดึงดูดให้ดวงตาด้วยการกรีดอายไลเนอร์ ซึ่ง How To ฉบับนี้มีเคล็ดลับดีๆ จากเอตูเซส์มาฝาก รับรองว่าทิปส์การกรีดอายไลเนอร์ต่อไปนี้จะช่วยให้คุณสาวๆ ได้เป็นเจ้าของดวงตาที่สวยคม ชิกเลยทีเดียว...

อายไลเนอร์ในดวงใจ

ตามเคาน์เตอร์เครื่องสำอางในปัจจุบันนี้ มีผลิตภัณฑ์อายไลเนอร์ให้เลือกหลากหลายประเภท ซึ่งการเลือกอายไลเนอร์นั้นนอกจากจะเลือกตามความถนัดในการใช้งานแล้ว ยังต้องคำนึงถึงสภาพผิวของแต่ละคนด้วย

Pencil Eyeliner เป็นอายไลเนอร์ที่เขียนง่ายที่สุด และเหมาะสำหรับมือใหม่หัดเขียน สาวๆ ที่จะเลือกใช้อายไลเนอร์ประเภทนี้ควรเป็นเจ้าของผิวรอบดวงตาที่ตึงกระชับ เพราะหากผิวบริเวณนี้แห้งกร้านขาดความกระชับแล้วจะเขียนขอบตาด้วยอายไลเนอร์แบบแท่งได้ยาก นอกจากนี้การกรีดอายไลเนอร์แบบนี้ต้องเหลาอยู่เสมอเพื่อความสะดวกในการเขียน และยังช่วยกำจัดแบคทีเรียที่สะสมอยู่ที่เนื้อผลิตภัณฑ์ด้วย อีกทั้งหลังจากเหลาแล้วควรนำอายไลเนอร์มาลองขีดเขียนที่หลังมือก่อนเพื่อเช็กว่าแหลมเกินไปหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายต่อดวงตา

ทิปส์ : หากคุณมีผิวบริเวณรอบดวงตาแห้งกร้าน และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องใช้อายไลเนอร์แบบแท่ง แนะนำให้จุ่มปลายดินสอในมอยส์เจอไรเซอร์สักเล็กน้อยก่อน จะช่วยทำให้เนื้อผลิตภัณฑ์ทาง่ายยิ่งขึ้น

Liquid Eyeliner มักมาพร้อมกับแปรงปัด สำหรับอายไลเนอร์ที่เป็นเนื้อลิควิดจะเหมาะสำหรับสาวๆ ที่มีทักษะการกรีดที่ดีระดับหนึ่งแล้ว (มีชั่วโมงบินที่มากพอ) อายไลเนอร์ประเภทนี้จะมอบความเนียนเรียบ สีสดชัดได้ดีกว่า Pencil Eyeliner แต่ไม่เหมาะสำหรับการเขียนใต้ตาล่าง ดังนั้นบริเวณใต้ตาล่างยังคงต้องใช้ Pencil Eyeliner จะเหมาะสมและเข้าถึงมากกว่า ส่วนการกรีดอายไลเนอร์แบบลิควิดนี้ควรก้มหน้าลงเล็กน้อยจะช่วยให้เวลาทาแล้วเห็นเส้นชัดเจน ไม่ทำให้อายไลเนอร์เลอะส่วนอื่น ที่สำคัญไม่ทำให้เกิดริ้วรอยจากการย่นหน้าอีกด้วย

ทิปส์ : เคล็ดลับสำหรับการกรีดอายไลเนอร์ประเภทนี้ให้ง่ายขึ้น ให้เอาศอกวางบนโต๊ะ ก้มหน้าลง แล้วเริ่มกรีดอายไลเนอร์ เพราะการวางศอกบนโต๊ะจะทำให้เวลาวาดอายไลเนอร์มีน้ำหนักในการลงเส้นสม่ำเสมอยิ่งขึ้น ผลที่ได้คือเส้นเรียบตรงสม่ำเสมอ

อายไลเนอร์สีอะไรดีนะ?!

หลังจากเลือกประเภทของอายไลเนอร์ได้แล้ว ขั้นต่อมาคือการเลือกสีอายไลเนอร์ สีขาวจะเหมาะกับการสรรค์สร้างดวงตาให้มีสีที่ตัดกันอย่างเด่นชัด เช่น การทาสีขาวประมาณ 1/3 ของหัวตาล่าง แล้วปลายหางตาทาอายไลเนอร์อีกสีหนึ่ง แต่หากคุณต้องการลุคที่ดวงตาดูเป็นธรรมชาติแล้วละก็ การทาอายไลเนอร์สีขาวอาจจะไม่เหมาะกับคุณ ควรเลือกอายไลเนอร์สีที่เข้มขึ้นกว่าสีของขนตาเล็กน้อยจะดูเป็นธรรมชาติกว่า

สำหรับช่วงเทศกาลในปลายปีนี้ สาวๆ สามารถเพิ่มลูกเล่นให้ดวงตาคู่สวยของคุณด้วยการเปลี่ยนสีสันอายไลเนอร์จากสีเดิมๆ อย่างสีดำ น้ำตาล มาเป็นสีสดสว่างอย่างสีเขียว สีชมพู แบบชิกๆ ดูบ้างก็ได้ นอกจากนี้ยังมีอายไลเนอร์ที่มีส่วนผสมของกลิตเตอร์ เมื่อกรีดแล้วดวงตาของคุณจะส่องประกายวิบวับขับเสน่ห์ให้น่าค้นหายิ่งขึ้นด้วย

ทิปส์ : อยากเป็นสาวเสน่ห์แรงทำได้ง่ายๆ ด้วยการเลือกสีอายไลเนอร์ให้เข้ากันกับสีอายแชโดว์และสีของมาสคารา จะทำให้คุณโดดเด่นสะดุดตา

กรีดอายไลเนอร์...ออกแบบได้

การทาอายไลเนอร์ที่ดีที่สุดคือ การค่อยๆ บรรจงทาทีละนิด โดยการลงครั้งแรกให้วาดลงเป็นเส้นบางๆ ก่อน แล้วจึงค่อยๆ ขยายออกไป หลังจากนั้นค่อยวาดเส้นที่คมชัดทับอีกทีหนึ่ง ตามด้วยอายไลเนอร์สีขาวทาตรงบริเวณขนตา เฉพาะบริเวณหัวตาจะทำให้ดวงตาดูสดใสตลอดเวลา

ทิปส์ : หากอยากให้ขนตาดูหนาขึ้น ให้ใช้อายไลเนอร์แบบ Pencil Eyeliner ระบายตรงขอบตาบนตรงที่ขนตาขึ้นเลย ดวงตาจะดูกลมโตขึ้น คุณจะแลดูเป็นสาวคมเข้มในทันที

- การทาอายไลเนอร์ที่ใต้ตาทั้งดวงตาจะเหมาะสำหรับคนที่มีดวงตากลมโต เพราะจะทำให้ตาดูเล็กลง ไม่เหมาะสำหรับคนตาเล็กอยู่แล้ว

- หากคุณเขียนอายไลเนอร์เลอะ หรือมีส่วนใดที่ไม่ต้องการให้ใช้คอตตอนบัดจุ่มเมกอัพรีมูเวอร์ แล้วป้ายเฉพาะบริเวณที่ต้องการจะลบ จะดีกว่าการใช้แป้งเพื่อลบ เพราะเมื่อเราใช้แป้งลบ เวลาผ่านไปสักพักแป้งนั้นจะเลือนหาย แล้วสีที่เปื้อนก็จะปรากฏตัวให้เห็นอย่างเด่นชัด

ข้อควรระวัง : อย่าลืมที่จะล้างรอบดวงตาให้สะอาด ยิ่งทามากเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องใส่ใจทำความสะอาดกับผิวบริเวณนี้ให้มากขึ้นเท่านั้น ควรใช้เมกอัพรีมูเวอร์เฉพาะดวงตาในการทำความสะอาด ส่วนใดที่ยากจะเข้าถึงให้ใช้คอตตอนบัดช่วย

- อย่ากรีดอายไลเนอร์ในขณะที่ดวงตาคุณอ่อนล้า หรือเกิดการอักเสบ เพราะยิ่งจะทำให้ดวงตาเกิดอาการแพ้ หรือติดเชื้อมากยิ่งขึ้น

- อย่าใช้อายไลเนอร์ที่มีปลายแหลมคมใกล้บริเวณดวงตา หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้เด็กเล็ก เพราะอาจมาชนในขณะที่เรากรีดอายไลเนอร์อยู่

อายไลเนอร์กับขนตาปลอม

เดี๋ยวนี้สาวๆ มีวิธีเพิ่มเสน่ห์ให้ดวงตาหลายรูปแบบ และที่นิยมกันมากคือ การติดขนตาปลอม ซึ่งการติดขนตาปลอมนั้นสามารถทำร่วมกับการกรีดอายไลเนอร์ได้ โดยคุณผู้หญิงควรกรีดอายไลเนอร์สีที่คุณชอบให้เสร็จก่อน 1 รอบ แล้วจึงค่อยติดขนตาปลอม และหลังจากติดขนตาปลอมเสร็จให้กรีดอายไลเนอร์สีเดิมทับอีกครั้งหนึ่ง จะได้สีที่สดสวยเฉียบคม หากคุณทาอายไลเนอร์สีดำ การเลือกใช้กาวติดขนตาปลอมสีดำก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะทำให้การติดขนตาปลอมของคุณดูเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น

ง่าย-ง่าย แค่นี้ดวงตาสวยงามโดดเด่นก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

.....อิอิอิ....

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์

หลักการบริโภคอาหารที่สำคัญเพื่อป้องกันและลดระดับโคเลสเตอรอลสูงในเลือด

1. รับประทานโคเลสเตอรอล ไม่เกินวันละ 200 มิลลิกรัม

โคเลสเตอรอล มีเฉพาะในอาหารที่มาจากสัตว์เท่านั้น มีมากในอาหารบางชนิด เช่น ไข่แดง เครื่องในสัตว์ มันสัตว์ สัตว์น้ำบางชนิด (ดูรายละเอียดในตาราง) จึงควรหลีกเลี่ยงรับประทานอาหารเหล่านี้ ในปริมาณมาก

2. รับประทานอาหารในแต่ละวัน ซึ่งให้พลังงานรวมแล้วเพียงพอ ต่อการรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

โดยผู้ใหญ่ ควรมีดัชนีความหนาของร่างกายประมาณ 20.0-24.9 กิโลกรัม/ตารางเมตร โดยคำนวณจาก น้ำหนักตัว หน่วยเป็นกิโลกรัม หารด้วยส่วนสูง หน่วยเป็นเมตร ยกกำลังสอง เช่น ถ้าใครมีน้ำหนัก 50 กิโลกรัม ส่วนสูง 1.5 เมตร จะได้ดัชนีความหนาของร่างกาย = 50/(1.5)2 = 22.2 กก./ตารางเมตร แสดงว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ

3. หลีกเลี่ยงรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง

เช่น กะทิ ไขมันจากสัตว์ หนังสัตว์ เนื้อสัตว์ที่มีมันติดมากๆ เช่น หมูสามชั้น เพราะกรดไขมันอิ่มตัว ส่วนใหญ่ทำให้ระดับโคเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น (ดูรายละเอียดในแผ่นพับ “ไขมันอิ่มตัวกับภาวะโคเลสเตอรอลสูง ในเลือด” : รศ.ดร. ปรียา ลีฬหกุล )

4. รับประทานอาหารที่มีกรดไขมันไลโนเลอิก (linoleic acid) โดยสม่ำเสมอ

ซึ่งพบได้ประมาณร้อยละ 50 ในน้ำมันพืชบางชนิด เช่นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด การรับประทานอาหาร ที่มีกรดไขมันไลโนเลอิกประมาณร้อยละ 7-10 ของพลังงานที่ได้รับ (เช่น วันหนึ่งต้องการพลังงาน 2000 กิโลแคลอรี่ ควรได้กรดไลโนเลอิก ประมาณ 16-22 กรัม ซึ่งได้จากน้ำมันถั่วเหลือง ประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ) จะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดได้ เพราะมีการเปลี่ยนโคเลสเตอรอลอิสระ เป็นโคเลสเตอรอลไลโนเลเอทเพิ่มขึ้น ทำให้มีการเผาผลาญโคเลสเตอรอลที่ตับเพิ่มขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าท่านมีโคเลสเตอรอลสูงในเลือด จากสาเหตุอื่นๆ เช่น กรรมพันธุ์ โรคบางชนิด ท่านต้องรับประทานยาลดโคเลสเตอรอล และรักษาโรคต่างๆ ที่เป็นสาเหตุให้มีโคเลสเตอรอลสูงในเลือด ควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารให้ถูกต้อง โภชนบำบัด จะช่วยเสริมผลการรักษา ให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น และลดปริมาณการรับประทานยาลงได้

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์

ต้มข่าไก่ทานแล้วไม่อ้วนจร้า!!!!

ต้มข่าไก่ตำรับเอาใจคนกลัวอ้วนและผู้ที่ต้องการลดไขมันในเส้นเลือด แต่ยังนิยมอาหารไทยๆ โดยแปลงสูตรเปลี่ยนกะทิมาใช้น้ำนมถั่วเหลืองแทน ทำให้ปราศจากไขมันอิ่มตัว รับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยเต็มๆ ทุกคำ

ส่วนผสม

น้ำนมถั่วเหลือง 3 ถ้วย

เนื้ออกไก่ (ไม่ติดหนัง) 300 กรัม

เห็ดภูฐานหรือเห็ดฟาง 2 ขีด

ข่าหั่นเป็นแว่นๆ 1 แง่ง

ตะไคร้หั่นเป็นท่อน 3 ต้น

ใบมะกรูดฉีก 10 ใบ

พริกแห้งทอด 5 เม็ด

น้ำปลา น้ำมะนาว ผักชีฝรั่ง ต้นหอม ผักชี ปริมาณตามชอบ

วิธีทำ

- ต้มน้ำนมถั่วเหลืองพร้อมกับข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด พอส่งกลิ่นหอมใส่ไก่ลงไป คนให้เข้ากันจนสุก

- จากนั้นใส่เห็ด พอเดือดให้ปิดไฟ ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว พริกแห้งทอด

- ตกแต่งก่อนเสิร์ฟด้วยผักชี ผักชีฝรั่ง ต้นหอม

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์

เคล็ดลับดูแลสุขภาพ

วิธีป้องกันสิวผด

สิวผด จัดเป็นสิวประเภทหนึ่ง ที่พบบ่อย ๆ มีลักษณะคล้ายผดผื่นเล็ก ๆ และแหลม โดยพบว่า มักจะดูเรียบหรือดีขึ้นในตอนเช้า และจะเห่อ ๆ ในตอนบ่าย ๆ ผื่นอาจมีสีแดงและคันได้ หากล้างหน้าบ่อยขึ้น มักเป็นมากขึ้น และหากรักษาไม่ถูกต้องจะเป็นมากขึ้น บริเวณที่พบได้บ่อย ๆ คือ บริเวณใบหน้า โดยเฉพาะ หน้าผากและขมับ

สาเหตุ ที่พบบ่อย คือ 1. จากความร้อน 2. แสงแดด 3. การเช็ดถูหน้าบ่อย ๆ หรือ การเช็ดถูหน้าแรง ๆ 4. เครื่องสำอางบางประเภท 5. บางครั้ง เชื่อว่า เชื้อรา P.OVALE มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

วิธีป้องกันสิวผด คือ

- ลดการรบกวนต่อผิวหน้าให้น้อยที่สุด (Mechanical Irritation) เช่น การนวดหน้า, การขัดหน้า, หรือเช็ดถูหน้าบ่อย ๆ

- ล้างหน้าเฉพาะที่จำเป็น หรือบริเวณที่ผิวมัน เพราะ การล้างหน้าบ่อยๆ จะทำให้สิวผด รุนแรงมากขึ้นได้

- ลด หรือหลีกเลี่ยง การใช้ครีมหรือยาที่ทำให้ผิวหน้าระคายเคืองมากขึ้น (Chemical Irritation) เช่น การใช้ยารักษาสิวประเภท Retinoic Acid, Benzoyel Peroxide AHA, BHA เป็นต้น

- ควรล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า, หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ และไม่ควรใช้น้ำอุ่นล้างหน้า และควรล้างหน้าไม่เกิน 2-3 ครั้งต่อวัน

- ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด และใช้ครีมกันแดดทุกครั้งที่ต้องออกนอกบ้าน ควรเลือกกันแดดที่มี SPF >15-30 และมีค่า PA++ เป็นอย่างน้อย

- ไม่ควรซื้อยามารักษาผื่นเอง เพราะมักทำให้เป็นมากขึ้น และยาที่หาซื้อได้จากร้านขายยา มักเป็น STEROID ซึ่งมีผลข้างเคียงมาก

- ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังที่มีความชำนาญ เพื่อหาสาเหตุ และพร้อมทั้งการแก้ไขและรักษาที่ถูกต้องต่อไป

การดื่มสุรา

การดื่มสราเป็นปริมากมากจะให้ผลเสียต่อร่างกาย ทำให้เกิดโรคตับแข็ง มะเร็ง ความดันโลหิตสูง เลือดออกทางเดินอาหาร อุบัติเหตุ และยังมีแนวโน้มที่จะทำร้ายตัวเองและผู้อื่น ประเทศไทยได้ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่บริโภคสุราติดเป็นอันดับ 5 ของโลกผู้ที่จำหน่ายก็รวยติดอันดับโลก การดื่มสุราเป็นปริมาณน้อยจะทำให้อัตราการตายจากโรคต่างๆลดลง

--------------------------------------------------------

สุราให้เพียงแต่พลังงานแต่คุณค่าทางโภชนาการต่ำมาก

--------------------------------------------------------

คำแนะนำ

เนื่องจากสุราให้พลังงาน และมีคุณค่าทางโภชนาการต่ำ ดังนั้นคนที่ดื่มสุรามักจะขาดสารอาหารและมีน้ำหนักเกิน

การรับประทานสุราแต่พอควรโดยกำหนดให้ผู้หญิงดื่มไม่เกินวันละ 1 หน่วยสุรา ส่วนผู้ชายไม่เกิน 2 หน่วยสุรา

เบียร์ไม่เกิน 360 ซีซี

ไวน์ไม่เกิน 150 ซีซี

สุราอื่นไม่เกิน 45 ซีซี

คนบางจำพวกไม่ควรดื่มสุราได้แก่

ผู้ที่ไม่สามารถควบคุมปริมาณสุราที่จะดื่ม

หญิงวัยเจริญพันธุ์

คนตั้งครรภ์

ผู้ที่เลี้ยงลูกด้วยนมตัวเอง

ผู้ที่รับประทานยา

ผู้ที่ทำงานต้องใช้ทักษะหรือสมาธิ เช่นคนขับรถ

ผู้ที่มีวัยกลางคนเมื่อสุราตามที่กำหนดจะมีอัตราการเกิดโรคหัวใจ และอัตราการเสียตำ่กว่าผู้ที่ไม่ดื่มสุรา

ผู้ที่ดื่มสุราต้องรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ ไม่สูบบุหรี่ รักษาน้ำหนักมิให้เกิน

วัยรุ่นไม่ได้รับประโยชน์จากการดื่มสุรา

ไม่แนะนำให้ดื่มสุราเพื่อเหตุผลทางสุขภาพ

การอดสุรา โรคพิษสุราเรื้อรัง คุณเมาหรือไม่ อาการขาดสุรา สุราช่วยลดอัตราการเสียชีวิต

สุภัทตรา วิทย์ออก เลขที่ 12

สวัสดีค่ะอาจารย์กั๊ม...หนูได้ไปอ่านเกร็ดความรู้อยู่เรื่องหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากเลยอยากให้ทุกคนได้อ่านดูค่ะ...

*เกร็ดความรู้เกี่ยวกับ "อึ"*

อึ" กับ "ใบหน้า" ใกล้กันยิ่งกว่าที่คิด

ใครเคยอึแล้วหันกลับไปมองมันอย่างพินิจพิจารณาบ้าง?? ไม่มี!!

ยิ่งทุกวันนี้เครื่องสุขภัณฑ์หรูหราทันสมัย

อึก็ยิ่งกลายเป็นสิ่งที่ถูกทำให้ "ห่างเหิน" จากเจ้าของมันมากขึ้น ทั้งๆ

ที่อึนั่นแหละคือ

*"สัญญาณ"* ที่ดีของระบบสุขภาพคนเรา เพราะมัน

จะสะท้อนว่า เรากินอะไรเข้า

ไป และร่างกายซึมซับได้มากน้อยแค่ไหน

ซึ่งสัญญาณเหล่านี้สุดท้ายก็ส่งผลต่อความอ่อนวัยของใบหน้าคน

เราด้วย

"อึ" จึงสัมพันธ์กับ "ใบหน้า" อย่างใกล้ชิด!!

เพื่อเป็นการเปลี่ยนทัศนคติใหม่เกี่ยวกับอึให้ทุกคน "เฮลธ์คลับ"

ฉบับนี้จึงนำเรื่องราวดีๆ จากงานเสวนา

หัวข้อ "อึ ดั๊นลอยฟ่องเพราะ

กินของดี ดีท็อกซ์ เดลี หน้าใสนะคะ" ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้

ที่โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 1 โดยมีนัก

โภชนาการ และผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้ง

สาวๆ หน้าใสมาเป็นผู้ให้รายละเอียด

เริ่มจาก อัจฉรา พรไพศาลสกุล นักโภชนาการ โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท

อธิบายให้เห็นภาพการเดินทาง

ของอาหารหลังจากผ่านเข้าสู่ปาก

แล้วถูกย่อยด้วยกระเพาะอาหารก่อนจะส่ง ต่อไปยังลำไส้เล็กจนถึงลำไส้ใหญ่

"อาหารจะตกอยู่ในลำไส้ประมาณ 60-100 ชั่วโมง แต่เนื่องจากว่า

ระบบการย่อยของคนเราถูกสร้าง

ขึ้นมาสำหรับสัตว์กินพืช ลำไส้จึง

ไม่เชี่ยวชาญในการย่อยเนื้อ

จึงทำให้เกิดคราบตกค้างตามซอกของลำไส้ซึ่งนานวันมันก็จะเกิดการสะสม

และเป็นสาเหตุของอาการท้องผูก

ดังนั้น เราต้องกินผักซึ่งเป็นไม้กวาดลำไส้ซึ่งจะอยู่ในลำไส้ไม่เกิน 1

วัน จะช่วยชะล้างคราบเหล่า

นั้นออกไปพร้อมกันด้วย" นัก

โภชนาการอธิบาย แถมยังแนะนำให้รับประทานผักอย่างน้อย 1 ถ้วยต่อวัน

เพื่อทำให้ขนาดของอึพอดีกับ

ลำไส้และขับเคลื่อนผ่านไปได้สะดวก

อึ สามารถบอกได้ว่าใครสุขภาพดีทั้งร่ายกายและใบหน้าอย่างไร พ.ญ.เรขา

กลลดาเรืองไกร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลกล้วยน้ำ

ไท 1 ได้วิเคราะห์ลักษณะของอึในแต่ละรูปแบบว่า เจ้าของอึ

เลือกรับประทานอาหารได้ถูกต้องหรือไม่

พร้อมอยากให้ทุกคนได้เปลี่ยนพฤติกรรมใหม่

โดยหันหลังกลับไปดูสิ่งที่ขับถ่ายออกไป ว่ามีหน้าตาเป็นอย่างไรบ้าง

เพื่อจะได้เข้าใจสุขภาพของตัวเองได้ถูกต้อง

*"อึ" ที่ลอยฟ่อง* เป็นก้อนแตกกระจาย ไม่มีกลิ่นเหม็น ไม่เป็นก้อนยาวๆ

ถ่ายได้ง่ายโดยไม่ต้องเบ่ง สีเขียวขี้ม้า หรือเหลืองทอง บ่ง

บอกว่าลำไส้ใหญ่สะอาด ไม่มีคราบตะกอนหมักหมม

ถือเป็นคนที่เลือกรับประทานอาหารได้ถูกต้องและมีสุขภาพดี

ส่วนถ้าใคร *"อึ" เป็นก้อน* จมน้ำ แต่ไม่ถึงกับเหม็นมาก สีค่อนข้างคล้ำ

แสดงว่า กินเนื้อสัตว์เยอะกว่า

ผัก ถือว่าเป็นคนสุขภาพปาน

กลาง ซึ่งควรจะต้องรับประทานผักให้มากกว่านี้

แต่ถ้าสังเกตดูแล้วเห็นว่า *"อึ" ติดชักโครก*เป็นคราบเหนียวหนึบหนับ

จับเป็นก้อน มีกลิ่นเหม็นตลบอบอวล

สีออกน้ำตาลดำ เข้าขั้นน่า

เป็นห่วง เพราะบ่งบอกว่า สุขภาพย่ำแย่ เนื่องจากกินแต่เนื้อสัตว์ ไขมัน

แป้งขัดขาวหรือข้าวขาวที่ไม่มี

เส้นใย และที่สำคัญไม่ได้มีผักใน

อาหารแต่ละมื้อเลย

"อึ ที่เข้าข่ายวิกฤติ และต้องรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน

เพราะอาจก่อให้เกิดมะเร็งลำไส้ได้ คือ

*อึที่เหนียวข้น สีดำเข้ม มีเลือดออกมากับอุจจาระ*

มีอาการท้องเสียสลับกับท้องผูกบ่อยๆ

น้ำหนักตัวลดเร็วและเบื่ออาหาร

ควรแก้ไขโดยการกิน

ผักผลไม้เยอะๆ รวมถึงธัญพืชที่มี

ไฟเบอร์สูง ซึ่งจะช่วยดูดซึมและ

ขนถ่ายโปรตีน คาร์โบไฮเดรต

ไปใช้ประโยชน์มากขึ้น ช่วยเพิ่มเนื้อ

อุจจาระ ทำให้ขนาดพอเหมาะกับ

การบิดตัวของลำไส้ใหญ่

ลดความเสี่ยงจากการเป็นมะเร็งและท้องจะไม่ผูกอีกต่อไป" เป็นคำแนะนำที่

สามารถยืนยันได้จากคนสุขภาพดีอย่างคุณหมอเรขา

การปฏิบัติตนอย่างถูกสุขลักษณะพิสูจน์ได้จากหน้าใสๆ ของเธอ

นอกจากนี้ ยังมี 3 สาว

ม.ล.จันทนิภา เกษมศรี ผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ โรงแรมแลนด์มาร์ค วรรณพร

ตัญญูไพบูลย์ รองผู้จัดการทั่วไป บริษัท โปรดปราน โปรเจค จำกัด และ กินรี

ดาร์ริงตัน ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด

บริษัท ดับเบิล อิมแพค มาร์เก็ตติ้งคอมมิวนิเคชั่น จำกัด ที่แม้วัยจะย่างเข้า

30 มาแล้วแต่ก็ยังหน้าใส

ดูเป็นวัยรุ่นอยู่ตลอด

พวกเธอเฉลยว่า การดื่มน้ำเยอะๆ วันละ 6-8 แก้ว กินอาหารที่ถูกสุขลักษณะ

ออกกำลังกาย และขับถ่ายเป็นเวลา เป็นเหตุผลที่ทำให้

พวกเธอสุขภาพดีและยังมีใบหน้าที่สดใส อ่อนกว่าวัย เช่นนี้

เชื่อ ไม่ เชื่อ ก็ต้องลองนำไปใช้กันดู พร้อมทั้งอย่าลืมพิสูจน์ "อึ"

ของตัวเองหลังปล่อยออกมาทุกครั้ง

เป็นวิถีทางที่ง่ายที่สุดในการตรวจสอบสุขภาพของตัวเอง

ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆจาก : http://www.stop-at-nothing.com

บุคลิกภาพที่อาจนำไปสู่โรคร้าย

คุณคิดอย่างไร ระหว่าง “ยังมีน้ำเหลืออีกครึ่งหนึ่ง” กับ “น้ำหมดไปครึ่งหนึ่งแล้ว” ทราบหรือไม่ว่า ความคิดที่ต่างกันนี้ สามารถนำคุณไปสู่ความเสี่ยงของโรคร้ายที่ไม่เหมือนกัน

บุคลิกลักษณะ ที่แตกต่างกันมีผลกระทบต่อสุขภาพของคนเรา หลาย ๆ คนทราบดีอยู่แล้วว่า ใครที่มีบุคลิกภาพในเชิงลบ หรือ มองโลกในแง่ร้าย ก็จะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ ไม่เพียงเท่านั้น คนที่มีบุคลิกที่ต่างออกไป ก็เสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บต่างชนิดเช่นกัน

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย แวนเดอร์บิลท์ สหรัฐอเมริกา ได้แยกบุคลิกภาพของคนที่มีโอกาสเสี่ยงต่อโรคร้ายออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มเอ บี และซี

กลุ่มเอ คือคนที่มีนิสัยขี้โมโห เห็นแก่ตัว ชอบเยอะเย้ยถากถาง ชอบความรุนแรง หาเรื่อง ไม่ไว้ใจผู้อื่น และชอบทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก คนประเภทนี้ มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ มากกว่าคนที่ทำตัวเรื่อยเปื่อย เพราะคนกลุ่ม เอ นี้ มีอารมณ์ที่ปรวนแปรง่าย

แต่ก็ไม่ใช่ว่า คนที่สงบเสงี่ยม เจียมตัว ขี้อาย ซึ่งจัดว่าเป็น กลุ่มบี นั้นจะปลอดภัย ถ้าคิดเช่นนั้น ต้องคิดใหม่ เพราะคนกลุ่มนี้ จะมีภูมิคุ้มกันโรคต่ำซึ่งเป็นผลจากระดับฮอร์โมนคอลติซอลสูง ส่งผลให้เป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย

ส่วนบุคลิกภาพ กลุ่มสุดท้าย คือ กลุ่ม ซี นั้น เป็นพวกที่ชอบเก็บอารมณ์ ข่มความรู้สึก อดทน อดกลั้น ไม่ชอบความขัดแย้ง กลุ่มนี้ มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง เพราะความพยายามในการควบคุมอารมณ์ จะทำให้ร่างกายมีระดับ Stress ฮอร์โมนสูง ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายทำงานมากเกินไป ทำให้เกิดการแข็งตัวของผนังเซล หรือเนื้อเยื่อ รวมไปถึงรูมาตอยด์ ไขข้ออักเสบ และโรคผิวหนังเรื้อรัง

เมื่อเป็นเช่นนี้ เราสามารถจะเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพของเราได้หรือไม่ เพื่อจะลดความเสี่ยงของโรคร้ายเหล่านี้ คำตอบคือ บุคลิกภาพของเรา ถูกกำหนดโดยยีน แต่ในเรื่องของอารมณ์นั้น เราจะได้รับอิทธิพลจากหลายด้าน ทั้งพ่อแม่ การเลี้ยงดู และเพื่อน ดังนั้น จึงเป็นที่น่ายินดีว่า เราสามารถเปลี่ยนแปลงบางส่วนได้ หากรู้จักวิธีการในการโต้ตอบสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วยความสงบและใจเย็น

123. ศุภณัฐฑ์ ม.ฟาร์

เมื่อ ศ. 14 พ.ย. 2551 @ 20:43

ง่า แบบนี้ดิฉันก้ออยู่ในกลุ่มเสี่ยงล่ะสิ T^T แล้วจะต้องปรับบุคลิก ยังไงดีค่ะเนี่ย

ยิ่งเป็นคนใจร้อนอยู่ด้วย T^T

สวัสดีครับ อ.กั้ม แบบว่าๆ หลัง ลอยกระทง ก็กลับมา บ้านเปิดเน็ท ว่าจะหา คอลัมม์ เกี่ยวกับสุขภาพ มา ข้อความคิดเห็น อ.กั้ม สักหน่อย แต่ ไปเจอ คอลัมม์ นี้มาเห็นว่าแปลกดี ต้องอาศัยผู้ชำนาญ ประสบกาณ์สูงๆ วิเคราะห์ ว่า มันเป็นไปได้จริงมากน้อยแค่ไหน ผมอ่านๆดูแล้ว ในทาง ทฤษี มันน่าจะ ทำได้จริงอยู่ แต่ใน ทาง ปฏิบัติ มันจะได้ จริงไหมครับ

-------------------------------------------------------

เรื่องเซ็กส์กับสุขภาพ

มันมิใช่เรื่องทะลึ่งหรือเรื่องไร้สาระ เพียงแต่คุณอ่านบทความนี้ให้จบแล้วคุณจะเข้าใจ คุณูปกรของเซ็กส์ มีดังนี้

1 . เซ็กส์ คือ การบำรุงความงาม การทดลองทางวิทยาศาสตร์พบว่าขณะมีเพศสัมพันธ์(โดยเฉพาะผู้หญิง) เธอจะหลั่งฮอร์โมน เอสโตรเจน ออกมาปริมาณมาก ซึ่งจะทำให้เส้นผมเป็นเงางามและผิวหนังนุ่มนวล

2 . เซ็กส์ คือ การออกกำลังกายที่ปลอดภัยที่สุด มันทั้งช่วยยืดเส้นยืดสายและทำให้กล้ามเนื้อตึงในทุก ๆ ส่วนของร่างกาย อีกทั้งยังสนุกกว่าวิ่งจ๊อกกิ่ง หรือว่ายน้ำสัก 20 รอบ แถมไม่ต้องใส่รองเท้ากีฬาแพง ๆด้วย

3 . เพศสัมพันธ์ช่วยเผาผลาญแคลอรี่ที่คุณกินเข้าไปช่วงมื้อค่ำอันแสนจะโรแมนติก

4 . เซ็กส์ ช่วยลดความตึงเครียดได้ดียิ่ง กิจกรรมทางเพศจะช่วยหลั่งสารเอนเดอร์ฟินส์ในกระแสเลือด ทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น

5 . เซ็กส์ แก้ปวดหัว ตลอดกระบวนการทางเพศ จะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด ซึ่งไปปิดกั้นหลอดเลือดในสมองไว้

6 . จูบกันทุกวันช่วยลดอาการฟันผุ การจูบจะช่วยกระตุ้นต่อมน้ำลายให้ขับน้ำลายออกมา จึงช่วยชะล้างฟันของคุณให้สะอาด

7. เพศสัมพันธ์บ่อย ๆ ช่วยแก้อาการคัดจมูก เพราะเซ็กส์เป็นยาแอนตี้ฮิสตามีน จากธรรมชาติ แก้อาการแพ้ฝุ่น แพ้ละอองได้ดี

8. เซ็กส์เป็นน้ำหอมที่ดียิ่ง กลิ่นตัวที่ถูกขับออกมาขณะมีความต้องการทางเพศ เป็นน้ำหอมที่ช่วยให้เพศตรงข้ามคึกคักได้อย่างเหลือเชื่อ

9. เพศสัมพันธ์ที่อ่อนโยนและผ่อนคลายช่วยลดการอักเสบทางผิวหนัง เช่นสิวและผื่นต่าง ๆ ได้ เหงื่อที่ไหลออกมาเป็นตัวชะล้างรูขุมขน ทำให้ผิวหนังผ่องใส

10.เซ็กส์เป็นยานอนหลับที่มีประสิทธิภาพดีกว่า แวเลี่ยม (Valium) หลายเท่า ถ้าคุณสามารถมีเซ็กส์ เกิน 5 ครั้ง ใน 1 คืน

----------------------------------------------------

Credit>>> web http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=healthylove&month=09-2007&date=04&group=4&gblog=1

จากที่ได้อ่านแล้วพบว่า..

ได้สาระดี สามารถนำมาปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้คับ....

ไม่สามารถส่งบทความเกี่ยวกับกีฬาแฮนด์บอลได้

ทำไงดีคับ.........................

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์

เราอ้วนไปหรือไม่ ลองตรวจดูจร้า!!!!

โรคอ้วน คือ อะไร ?

“ความอ้วน” ในที่นี้หมายถึง ความอ้วนที่มากเกินไป มีน้ำหนักตัวมากกว่าที่ควรจะเป็น

ไม่ใช่อ้วนกำลังดี อ้วนพองามหรือกำลังสวย คำว่า “อ้วน” ตามความหมายของ

“คนอ้วน” หรือคนที่เป็นโรคอ้วนนั้น หมายถึง ผู้ที่มีปริมาณไขมันอยู่ในร่างกายมากกว่าเกณฑ์ปกติ ซึ่งตามหลักสากลกำหนดว่า

ผู้ชาย ไม่ควรมีปริมาณของไขมันในตัวเกินกว่า ร้อยละ 12 – 15 ของน้ำหนักตัว

ผู้หญิง ไม่ควรมีปริมาณของไขมันในตัวเกินกว่า ร้อยละ 18 – 20 ของน้ำหนักตัว

ซึ่งในการตรวจหาปริมาณไขมันนี้ต้องทำในห้องปฏิบัติการ ซึ่งเป็นวิธีที่ยุ่งยากอยู่ไม่น้อย

ทีเดียว

จะทราบได้อยางไรว่า ท่านอ้วนเกินไปหรือไม่ แต่ก่อนเราใช้วิธีง่ายๆเช่น การเอาส่วนสูงเป็นเซนติเมตรลบด้วย 110 ในผู้หญิง จะได้น้ำหนักที่เหมาะสม

แต่วิธีนี้ยังไม่ละเอียดเท่าที่ควร ปัจจุบันเราวัดค่าที่เรียกว่า "ดรรชนีมวลของร่างกาย" หรือ

Body Mass Index เรียกย่อ ๆ ว่า "BMI" ค่า BMI นี้จะได้จาก

BMI = น้ำหนัก(ก.ก.) / ส่วนสูง(เมตร)

อาหารกระป๋อง

เป็นอาหารที่บรรจุกระป๋องภายใต้สูญญากาศ หรือมีการไล่อากาศออกก่อนปิดฝา จากนั้นจึงนำไปฆ่าเชื้อในหม้อนึ่งความดันสูง จุลินทรีย์ต่าง ๆ จะถูกทำลายหมด อาหารกระป๋องจึงเก็บไว้ได้เป็นเวลานาน แม้จะทิ้งไว้หลาย ๆ ปี แต่การเก็บอาหารกระป๋องไว้นานถึงแม้อาหารนั้นจะไม่เสียเพราะจุลินทรีย์ แต่สภาพของอาหารในกระป๋องก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาจนไม่เหมาะที่จะนำมารับประทาน

การเลือกซื้ออาหารกระป๋อง

ควรเลือกซื้ออาหารกระป๋องของผู้ผลิตที่เชื่อถือได้ ลักษณะกระป๋องต้องอยู่ในสภาพที่ดี ไม่บุบ บวม รั่วซึม อย่าซื้ออาหารกระป๋องที่ฉลากไม่ถูกต้อง ไม่มีวันที่ผลิต หรือวันหมดอายุ ไม่มีฉลากภาษาไทยแสดงชื่อประเภทอาหาร ส่วนประกอบ ชื่อและที่ตั้งของผู้ผลิต เป็นต้น หากซื้ออาหารกระป๋องเพียงเพราะราคาถูก อาจจะได้รับอันตรายจากอาหารกระป๋องที่ผลิตขึ้นโดยไม่ถูกสุขลักษณะได้ โดยเฉพาะอาหารกระป๋องที่มีสภาพความเป็นกรดต่ำ เช่น พวกเนื้อสัตว์ อาหารทะเลย เป็นต้น อาจมีบักเตรี พวกคลอสตริเดียม โบตูลินัม (Clostridium botulinum) ซึ่งจะสร้างสารพิษที่มีผลต่อระบบประสาท ทำให้มีอาการกลืนอาหารลำบาก ม่านตาขยาย หัวใจเต้นเร็ว ระบบหายใจเป็นอัมพาตถึงเสียชีวิตได้

อาหารกระป๋องที่ซื้อมา

เมื่อเปิดฝาแล้วควรสังเกตลักษณะภายในด้วยว่ามีกลิ่น สี หรือลักษณะของอาหารผิดปกติหรือไม่ ถ้าเป็นพวกอาหารคาวควรถ่ายใส่ภาชนะหุงต้มแล้วอุ่นให้เดือดสัก 15 นาที ก่อนนำมารับประทาน สำหรับอาหารกระป๋องอื่น ๆ เมื่อเปิดแล้วหากกินไม่หมดไม่ควรเก็บไว้ในกระป๋อง ควรถ่ายใส่ไว้ในภาชนะที่เป็นแก้ว หรือกระเบื้องเคลือบมีฝาปิด และเก็บไว้ในตู้เย็น

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์

เลี่ยงสาเหตุที่ทำให้ คัน!!!!

อาการคันบริเวณจุดซ่อนเร้นเกิดขึ้นได้เสมอๆ บางคนเป็นๆ หายๆ ก่อความรำคาญ และทำให้เกิดความกังวลใจอย่างมาก

สาเหตุของการคันระคายเคืองมีมากมาย ลองสำรวจทีละอย่างในชีวิตประจำวันของคุณดูว่ามีอะไรที่น่าจะเป็นสาเหตุได้บ้าง

ใส่เสื้อผ้า ชุดชั้นในคับเกินไป ทำให้อากาศถ่ายเทไม่ดี โดยเฉพาะชุดชั้นในที่คับที่เป้า ทำให้เกิดความอับชื้น และคับจนทำให้เกิดการเสียดสี ระคายเคืองคัน ถ้าเกาอาจเป็นแผลติดเชื้อ ควรเลือกเสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย เนื้อผ้าระบายอากาศได้ดี ช่วยซับเหงื่อ แห้งเร็ว เช่นผ้าฝ้าย หรือผ้าที่ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติ

หลังเล่นกีฬา หรือออกกำลังกายควรรีบชำระร่างกายอย่าปล่อยไว้นานเพราะเหงื่อออกมากทำให้เกิดการหมักหมม หากมีการระคายเคือง ตกขาวมีสี มีกลิ่น อาจเกิดจากเชื้อรา

หรือเกิดจาก โลน จะทำให้คันบริเวณหัวเหน่า โลนเป็นสัตว์เล็กๆ ประเภทเดียวกับเหา

เกิดจาก โรคเริม (Herpes Simplex) เป็นไวรัส ชนิดหนึ่ง ติดต่อได้ทางผิวสัมผัส และเพศสัมพันธ์ ทำให้มีตุ่มพุพอง มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต

แพ้สารเคมีต่างๆ เช่น จากน้ำยาหรือผงซักฟอกที่ใช้ซักชุดชั้นใน แพ้สบู่อาบน้ำที่มีความเป็นด่างมากเกินไป แพ้น้ำหอมจากผ้าอนามัย แพ้น้ำหอมที่ฉีดพ่นตัว แพ้สารหล่อลื่นที่เคลือบถุงยางอนามัย เป็นต้น

ดังนั้นเมื่อเกิดอาการคันลองสังเกตหาสาเหตุว่ามาจากเรื่องใด ถ้าเกิดจากการแพ้สารต่างๆ ลองปรับเปลี่ยนไปใช้อย่างอื่นอาจดีขึ้น และหายได้เอง แต่ถ้าคันมาก ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ รับการรักษาอย่างถูกต้อง และอย่าซื้อยามาใช้เอง ไม่ว่าจะเป็นยาเหน็บ ยาทา หรือยารับประทาน การรักษาสุขอนามัยในส่วนซ่อนเร้นของสตรีเป็นเรื่องต้องดูแลพิเศษ มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งก็จะเป็นการป้องกันได้ดีเยี่ยมอีกทางหนึ่ง

การดูแลฟันสำหรับผู้ใหญ่

การดูแลฟันที่ดีจะทำให้ท่านมีสุขภาพฟันและเหงือกที่แข็งแรงและเสริมความมั่นใจเมื่อเวลาออกสังคมการดูแลฟันในวัยนี้ประกอบด้วยสภาพฟันและเหงือกที่แข็งแรง

สภาพฟันที่มีคราบหินปูนและมีฟันผุอาหารน้ำตาลยังคงเป็นสาเหตุที่สำคัญของฟันผุ เนื่องจากวัยนี้ต้องออกนอกบ้านไปเรียนหนังสือหรือทำงาน ดังนั้นต้องรับประทานอาหารนอกบ้านไม่สามารถควบคุมอาหารได้ ดังนั้นท่านต้องพยายามเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลให้มากที่สุด เลือกอาหารที่มีน้ำตาลต่ำ เลือกของว่างที่มีน้ำตาลต่ำเช่นผลไม้บางชนิด เช่นฝรั่ง แตงโม ชมพู่ ท่านอาจจะเคี้ยวหมากฝรั่งที่ไม่มีน้ำตาลซึ่งอาจจะช่วยลดการเกิดฟันผุเครื่องดื่ม

หลีกเลี่ยงน้ำอัดลม น้ำหวาน หรือน้ำผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวให้ดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำดังกล่าว

การดูแลฟัน

แปรงฟันวันละ 2 ครั้ง

ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์

ใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละครั้ง

ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของฟลูออไรค์

พบทันต์แพทย์ตรวจฟันอย่างน้อยปีละครั้ง

เอมวิกา วิญญาปา วิทย์-ออก เลขที่66

เรื่อง การออกกำลังกาย

การออกกำลังกาย (physical exercise) เป็นกิจกรรมของร่างกายที่ช่วยสร้างเสริมและคงไว้ซึ่งสุขภาพและความแข็งแรงของร่างกาย การออกกำลังกายช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและระบบไหลเวียนโลหิต รวมทั้งสร้างเสริมทักษะทางกีฬา การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกันและช่วยป้องกันโรคต่างๆ เช่นโรคหัวใจ, โรคระบบไหลเวียนโลหิต, เบาหวาน, และโรคอ้วนนอกจากนี้การออกกำลังกายยังช่วยสร้างเสริมสุขภาพจิตและลดความเครียดได้

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์

ตากระตุกไม่ใช่แค่ ขวาร้าน ซ้ายดี !!!!

วันไหนอยู่ดีๆ แล้วเกิดตากระตุกขึ้นมา คนที่มีความเชื่อตามแบบโบร่ำโบราณจะต้อง คิดทันทีว่า "ขวาร้าย ซ้ายดี" แต่ถ้าไปถามหมอก็จะได้คำตอบว่าอาการตากระตุก แบ่ง ได้เป็น 2 กรณี คือ เปลือกตากระตุก และลูกตากระตุกเปลือกตากระตุก อาจเกิดจากนิสัยความเคยชินในวัยเด็ก เด็กบางคนสามารถกระตุก เปลือกตาและใบหน้าเป็นครั้งคราวได้ และสามารถหยุดได้ทันทีเมื่อต้องการหยุด อาการจะหายไปได้เมื่อโตขึ้น นอกจากนั้นอาจเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ มักพบในคน สูงอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป เกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย จะมีอาการเปลือกตา ค่อยๆบีบตัวเกร็งทีละน้อยจนกลายเป็นหลับตาแน่นมากทั้งสองตา เกิดเป็นครั้งคราว เป็นๆ กายๆ ขณะหลับจะไม่มีอาการหากทิ้งไว้นาน ความรุนแรงและความถี่จะมากขึ้นจน กลายเป็นตาปิดตลอด ทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ เปลือกตากระตุกอีกชนิดเกิดจากกล้ามเนื้อตาและกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้ากระตุก มัก เกิดจากเส้นเลือดในสมองโป่งพอง หรือมีเนื้องอกกดเส้นประสาทที่มาเลี้ยงเปลือกตา จะมีอาการบีบเกร็งของกล้ามเนื้อเปลือกตาและกล้ามเนื้อใบหน้าครึ่งซีกอาการเกร็ง จะคงอยู่แม้ขณะหลับจะมีอันตรายต้องได้รับการผ่าตัดตากระตุก เป็นอาการกระตุกของลูกตาเป็นจังหวะด้วยทิศทางและความแรงแตกต่างกันออก ไป เกิดได้หลายสาเหตุ เช่น เกิดขึ้นภายใน 2-3 เดือนแรก หลังคลอดหากลูกตากระตุ กเท่าๆ กันในตาทั้งสองข้างอาจร่วมกับการมีศีรษะสั่นด้วย ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมี ปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น นอกจากนี้ยังพบได้จากการล้าของกล้ามเนื้อตาทำให้ตากระตุก กลุ่มนี้ไม่มีปัญหา อะไรหายเองได้ แต่หากอาการตากระตุกเป็นอยู่นานๆ ควรต้องไปพบแพทย์ เพื่อตรวจสอบ หาสาเหตุของโรคจะได้แก้ไขอย่างถูกต้องต่อไป

เลปวรรณ จันต๊ะคาด (ม.ฟาร์)

สาเหตุของพุงป่องไม่ใช่จากการรับประทานเพียงอย่างเดียว และคนพุงป่องก็ไม่ได้แปลว่าอ้วนด้วย แต่อาจเป็นเพียงอาการบวมน้ำเท่านั้น

1. การแพ้อาหาร

บางครั้งอาการท้องบวมอาจเกิดจากอาการระคายเคืองหรือการติดเชื้อของระบบย่อยอาหารในช่องท้อง หรืออาจรวมถึงการรับประทานยาบางชนิดที่ทำให้บวมน้ำและยังรวมไปถึงการมีรอบเดือนด้วย แต่ถ้ารู้สึกว่าหน้าท้องบวมขึ้นผิดปกติหลัง ทานอาหารบางชนิด ให้สันนิษฐานได้ว่าน่าจะมีอาการแพ้อาหารเข้าให้แล้ว จากสถิติพบว่าอาหารจำพวกแป้งและนมมีโอกาสทำให้เกิดอาการแพ้และบวมมากที่สุด

2.อาหารลดน้ำหนัก

คนที่ชอบหวังพึ่งอาหารลดน้ำหนักจำพวกโลว์-แฟ้ต หรือแฟ้ต-ฟรีมักจะมีปัญหาพุงป่อง เนื่องจากคิดว่ามันเป็นอาหารแคลอรี่ต่ำ จึงสามารถกินมากกว่าปกติ อาหารพวกนี้อาจมีพลังงานน้อยกว่าปกติ แต่มันก็ไม่ได้น้อยขนาดนั้น ทางที่ดีหันมารับประทานผักผลไม้ให้มากขึ้นจะดีกว่า รวมทั้งรับประทานอาหารที่มีเอนไซม์ช่วยย่อย อาทิ น้ำมะนาว น้ำส้มสายชูสกัดจากแอ๊ปเปิ้ล หรือผักสดต่าง ๆ

3. กินช้า ๆ แต่บ่อย ๆ

ค่อย ๆ เคี้ยวอาหารช้า ๆ เพื่อให้ประสาทรับรู้ค่อย ๆ รู้สึกอิ่ม และในแต่ละมื้ออย่ากินให้เยอะจนอิ่มแน่นท้อง ควรแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อย่อย ๆ แต่อย่ากินขนมจุบจิบจำพวกขนมนมเนยต่าง ๆ เลือกกินผลไม้หรือธัญพืช เมื่อหิวระหว่างมื้อจะดีกว่า

4.ขจัดสารพิษ

แอลกอฮอล์ คาเฟอีน และนิโคตินในบุหรี่มีผลร้ายต่อระบบเผาผลาญอาหารของร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายบวมน้ำและยังก่อให้เกิดเซลลูไลท์อีกด้วย ดังนั้นเมื่อรู้เหตุดังนี้แล้วก็แค่ลดละเลิกการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และคาเฟอีนต่าง ๆ และเลิกสูบบุหรี่ไปซะด้วยเลยในเวลาเดียวกัน

5.หัดกินสักนิด

ในกระเพาะจะมีแบคทีเรียอาศัยอยู่เพื่อช่วยในการย่อยอาหาร แต่บางครั้งแบคทีเรียเหล่านี้ก็อาจถูกกำจัดไปจากสภาวะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วยหรือการรับประทานอาหารบางชนิด แนะนำให้รับประทานโยเกิร์ตรสธรรมชาติเป็นประจำเพื่อปรับสมดุลแบคทีเรียกลุ่มที่เป็นประโยชน์ จะช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นและช่วยให้หน้าท้องบวมน้อยลงด้วย

6. ดื่มน้ำให้มาก

อาการบวมน้ำนี้ ควรดื่มน้ำให้ได้อย่าง ต่ำ 8 แก้วต่อวัน แต่วิธีการดื่มนั้นอย่าดื่มหมดแก้วในคราวเดียวควรจิบ น้ำบ่อย ๆ เรื่อย ๆ เพราะการที่ดื่มน้ำแก้วใหญ่ในคราวเดียว จะทำให้กระเพาะปัสสาวะขยายใหญ่ ถ้าจะให้ดีลองเลือกดื่มชาสมุนไพร อาทิ ชาเป็ปเปอร์มินต์ หรือชาคาโมไมล์แทนน้ำเปล่า โดยเฉพาะการดื่มในช่วงหลังอาหาร จะช่วยให้อาหารที่รับประทานเข้าไป ย่อยได้ดีขึ้นด้วย

7. บริหารกล้ามเนื้อหัวใจ

ผู้หญิงหลายคนเชื่อว่าการซิตอัพทุกวันจะช่วยให้หน้าท้องแบนเรียบแต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลย แม้ว่าการซิตอัพจะช่วยสร้างกล้ามท้อง แต่ถ้าร่างกายนั้นยังปกคลุมด้วยชั้นไขมัน หน้าท้องเรียบตึงก็จะไม่มีวันโผล่มาให้เห็นหรอก ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เป็นประจำอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน อย่างต่ำ 3 วันต่อสัปดาห์เพื่อให้ร่างกายได้เผาผลาญไขมันออกไป บวกกับการซิตอัพ คราวนี้รับรองสวยตึงแน่นอน

8. หายใจลึก ๆ

เมื่อหายใจเข้าออกแบบลึก ๆ จะช่วยให้ร่างกายจะคลายความตึงเครียดออกมา รวมทั้งยังช่วยในการเติมอ็อกชิเจนและพลังชีวิตให้ร่างกายด้วย ทุกครั้งที่หายใจให้พยายามหายใจให้ลึกเข้าไปยังท้อง อย่าหยุดเพียงแค่เก็บลมไว้ในช่องอกการหายใจเข้าออกจากท้องเป็นนิสัยจะช่วยกระชับให้กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรงมากยิ่งขึ้น

9. นวดกระชับหน้าท้อง

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการนวด ช่วยได้ จริงๆ เนื่องจากการนวดท้องนั้น ช่วยไล่ลมที่กักเก็บไว้ในช่องท้องได้ และช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นด้วย ณ วิธีการนวดก็ไม่ยาก เพียงวางฝ่ามือลงบนท้องแล้วนวดวนตามเข็มนาฬิกา ถ้าอยากเห็นผลลัพธ์เร็วขึ้น อาจใช้ครีมจำพวกกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องร่วมด้วย ก็ได้

ถ้าอยากมีหน้าท้องที่แบนเรียบ ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว ม. ฟาร์

วิธีแก้ปัญหาหน้ามันเยิ้ม

1. ควรล้างหน้าให้สะอาดวันละ 2-3 ครั้งก็พอ เพราะการล้างหน้าบ่อยเกินไป กลับจะเป็นโทษคือทำให้ผิวหน้าอักเสบระคายเคืองได้ ในระหว่างวันถ้ารู้สึกรำคาญหน้ามันก็อาจใช้กระดาษซับมันช่วยได้ สบู่หรือโฟมที่เลือกใช้ควรผลิตสำหรับผิวมันโดยเฉพาะ หรืออาจใช้เป็นสบู่เด็กก็พอ ไม่ควรใช้สบู่ที่ฟอกแล้วหน้าตึงมาก

2. ครีมบำรุงหรือครีมให้ความชุ่มชื้น ควรเลือกชนิดปราศจากน้ำมัน (Oil-free) และไม่อุดตันรูขุมขน (Non-Comidogenic) และควรมีสารป้องกันแสง UV ที่จะมาทำลายผิวด้วย

3. การแต่งหน้า ถ้าเป็นไปได้แป้งที่เหมาะสม สำหรับคนหน้ามันก็คือแป้งฝุ่น แต่ถ้าจำเป็นต้องแต่งหน้าก็อาจใช้แป้งฝุ่นก่อนจึงค่อยแต่งหน้า การเลือกใช้รองพื้นควรใช้ชนิดที่มีส่วนผสมเป็นน้ำ (Water Based) และปราศจากน้ำมัน (Oil-free)

ถ้าปฏิบัติด้วยวิธีดังกล่าวแล้วยังมีหน้ามันมาก มีรูขุมขนกว้างหรือมีสิวขึ้นจนขาดความมั่นใจ ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพราะคุณหมอจะมียาทาบางชนิดที่ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน ช่วยขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ที่อุดตันตามรูขุมขนออกไป เช่น ยาในกลุ่มกรดวิตามินเอ, AHA, BHA ฯลฯ ทำให้ผิวหน้าดูดีขึ้น

ส่วนยารับประทานที่ควบคุมความมันบนใบหน้า เป็นยาอันตรายนะคะ! ซื้อทานเองหรือเอาไปแบ่งเพื่อนทานก็ไม่ได้ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเท่านั้น

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์

อาหาร 7 อย่างที่ควรเลี่ยงเมื่อท้องว่าง!!!

1. เหล้า กระเทียม ทั้งสองอย่างนี้จะยิ่งกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เป็นโรคกระเพาะอาหาร อักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

2. น้ำตาลหรืออาหารหวาน เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาล ส่งผลต่อการ ดูดซึมโปรตีนทุกชนิด และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต

3. ชาแก่ จะทำ ให้กรดเกลือของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือ จาง เกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่ มีแรง

4. ลูกพลับ เป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดเกลือออกมามาก ทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร

5. กล้วย เพราะจะเพิ่มธาตุแมกนีเซียมในเลือดให้สูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียม และแมกนีเซียม เป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นอันตรายต่อ สุขภาพอย่างมาก

6. ผัก เพราะหากรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้ท้องอืด

7. นมและถั่วเหลือง แม้จะอุดมด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อกระเพาะอาหารมีสารประเภท แป้งอยู่

แถมท้ายอีกนิดว่า ขณะท้องว่างไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกาย เพราะอาจทำให้เกิด อาการช็อกได้ง่าย เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำ

เลปวรรณ จันต๊ะคาด (ม.ฟาร์)

การเดิน คือหนึ่งในวิธีการออกกำลังกายที่ดีที่สุด และแทบจะเรียกได้ว่าประหยัดที่สุดด้วย แค่มีรองเท้าดีๆสักคู่ เราก็ออกเดินกันได้แล้ว แต่ทำไมเราถึงต้องเดิน ? เดินแล้วได้อะไร?

คุณจะมีอายุที่ยืนยาวขึ้น

จากการศึกษาเป็นเวลายาวนานกว่า 12 ปี พบว่าคนที่เดินออกกำลังมากกว่า 2 ไมล์ ต่อวัน (1ไมล์=1.6 กม.) มีอายุยืนยาวกว่าคนที่เดินในระยะทางน้อยกว่า 1 ไมล์

คุณจะมีรูปร่างดีขึ้น

การเดินออกกำลังอย่างน้อยอาทิตย์ละ 4 ชั่วโมง ช่วยให้ไขมันส่วนเกินรอบเอวลดลง 16 % นี่ไม่ได้ยกเมฆนะคะ แต่ได้มีการวิจัยแล้วจากผู้หญิงกว่า 44,000 คนในประเทศหรัฐอเมริกา โดยศึกษาต่อเนื่องกันมาถึง 10 ปี ฟังดูน่าเชื่อถือขึ้นไหม?

การเดินช่วยให้กระดูกแข็งแรง

ปกติแล้วผู้หญิงเรามักมีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกเมื่อวัยย่างเข้าเลข 5 แต่การเดินเพียงวันละ 30 นาทีจะช่วยให้กระดูกแข็งแรงขึ้น และลดความเสี่ยง รวมทั้งผลกระทบอันเกิดจากโรคกระดูกพรุนได้ด้วย

หยุด! 'สิว'

วันนี้ขอเอาใจวัยรุ่นที่ไม่อยากเป็นสิว โดยนำวิธีหลีกเลี่ยงมาบอก...

- เลือกเครื่องสำอางที่ดี ปลอดภัย และไม่ระคายเคืองผิว

เครื่องสำอางต้องมีส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย ระบุ Fragrance Free ยิ่งดี เพราะน้ำหอมทำให้ระคายเคืองได้ ผสมสารเคมีน้อยที่สุด ดูพวก Alcohol อย่าเสี่ยงกับ สารหน้าขาว ยาสเตียรอยด์ ยาแก้แพ้ สารปรอท ไฮโดรควิโนน ที่แอบแฝงมาในเครื่องสำอางที่ไม่ได้มาตรฐาน ความน่าเชื่อถือดูจากที่มา มีชื่อที่อยู่ผู้ผลิตที่เป็นจริง ผ่านการทดสอบทางการแพทย์ ยิ่งดี

- ดูแลรักษาความสะอาดอย่างเหมาะสม

ถ้าใช้ครีมกันแดด หรือเครื่องสำอางที่มีค่า SPF ทุกชนิดรวมถึงแป้งทาหน้า พวกรองพื้น เมคอัพ ทาแก้ม ชิมเมอร์ด้วย ต้องล้างหน้า 2 ขั้นตอน ล้างด้วยคลีนเซอร์ดี ๆ ก่อนล้างด้วยโฟมอีกครั้ง

- สัมผัสผิวอย่างอ่อนโยน

อย่าขัดถูแรง ๆ และไม่ควรสครับหน้าบ่อย ๆ เลือกผ้าขนหนูนุ่ม ๆ สำหรับซับหน้า หรือใช้ทิชชูสะอาดซับก็ได้ การสครับผิว หรือถูผิวแรง ๆ จะเป็นการกระตุ้น การระคายเคืองและทำให้เกิดสิว

- เลี่ยงการสัมผัสใบหน้า

ระหว่างวันไม่ต้องแตะต้องสัมผัสใบหน้าเลยยิ่งดี อย่าแกะสิว เชื้อโรคจะได้ไม่เข้าสู่ผิว การแกะสิวก็ทำให้เป็นแผลเป็น

- ระวังเรื่องสารตกค้างที่มองข้าม

เวลาสระผม ก็ให้แชมพูไหลลงหลังจะดีกว่า ถ้าปล่อยให้ลงหน้า ก็จะทำให้ผิวหน้าสัมผัสกับหัวน้ำหอมและความลื่นของแชมพู ซึ่งจะตกค้างบนผิวได้ เพราะจะ เป็นตัวกระตุ้นการระคายเคืองและสิวดีนัก

- ปรึกษาผู้รู้จริง เท่านั้น

อย่าเชื่อคนไม่รู้จริง ฟังหูไว้หูดีกว่า ไม่งั้นก็ถามผู้รู้ เช่นแพทย์ เภสัชกร จะดีกว่า

รู้วิธีแล้ว ปฏิบัติตามกันเลย

วราภรณ์ สุตพลสันติกุล(ฟาร์อีสเทอร์น)

ฟังเพลงสนุกสนานรื่นเริง ส่งเสริมสุขภาพใจแข็งแรง

นักวิจัยพบ ฟังเพลงโปรดมีส่วนช่วยทำให้ระบบหลอดเลือดทำงานดีขึ้น นับเป็นหลักฐานครั้งแรกที่แสดงว่าอารมณ์คนเราถูกปลุกขึ้นมา ได้เมื่อได้ฟังเพลงที่สนุกสนาน และมีผลดีต่อสุขภาพในการทำหน้าที่ของหลอดเลือดอีกด้วย

นักวิจัยคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ ในบัลติมอร์ ได้ศึกษากับอาสาสมัครชายสุขภาพดี ไม่สูบบุหรี่ 70 เปอร์เซ็นต์ อายุเฉลี่ย 36 ปี พบว่า ดนตรีที่อาสาสมัครเลือกฟังแล้วทำให้อารมณ์ดีสนุกสนานนั้น จะทำให้ เนื้อเยื่อในหลอดโลหิตขยายตัว เพื่อให้กระแสโลหิตไหลเวียนดีขึ้น ผลสนองตอบด้านสุขภาพเช่นนี้เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับที่นักวิจัยกลุ่มเดียวกันนี้เคยศึกษาไว้เมื่อปี 2548 เกี่ยวกับเรื่องการหัวเราะ

อย่างไรก็ตาม จากผลการศึกษาครั้งนี้ ยังพบว่า เมื่ออาสาสมัครฟังเพลงในแบบที่ตนรู้สึกว่าเคร่งเครียดจะส่งผลต่อหลอดเลือดให้ตีบแคบลง กล่าวคือ การไหลเวียนของโลหิตลดลงนั่นเอง

พัชรินทร์ เนตรทิพย์(ฟาร์อีสเทอร์น)

เดินเร็วๆ ช่วยลดความอยากช็อกโกแลต

สำหรับคนที่ชอบกินช็อกโกแลตจนเข้าขั้น "ช็อกโกฮอลิค" คือชอบมากจนถึงขั้นชีวิตนี้ขาดเธอไม่ได้ ลองหันมาฟังทางนี้

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเอ็กซ์เตอร์ พบว่า การออกกำลังกายด้วยการเดินเร็วๆ แค่เพียง 15 นาที สามารถช่วยลดอาการอยากกินช็อกโกแลตลงได้ด้วย เรียกได้ว่างานนี้นับเป็นผลประโยชน์ของ การออกกำลังกายอีกอย่างหนึ่งที่เพิ่มขึ้นนอกจากการช่วยลดอาการติดนิโคติน ในบุหรี่ หรือสิ่งเสพติดอื่นด้วย

ในการทดลองนั้น คณะนักวิจัยได้ให้อาสาสมัครที่กินช็อกโกแลตเป็นประจำ 25 คน ไปเข้าค่ายอดช็อกโกแลต 3 วัน (โอ..เป็นเรื่องเลย ให้งดของชอบเนี่ย) หลังจากนั้นนักวิจัยก็สุ่มเลือกให้อาสาสมัครทั้งไปเดินเร็ว ๆ 15 นาที กับไปนอนพัก หลังจากนั้นก็ต้องมาทดสอบใจแก้ปัญหาว่าจะลดความอยากกินช็อกโกแลตลงได้หรือไม่ หลังออกกำลังแล้วเขาบอกว่า การออกกำลังช่วยลดความอยากกินช็อกโกแลตลงได้มากกว่าพวกที่ไปนอนพัก อธิบายได้ว่า ความอยากกินไม่เพียงลดลงระหว่างที่เดินเท่านั้น แต่ยังคงอยู่อย่างน้อยอีก 10 นาทีหลังจากนั้นด้วย

เหตุผลของเรื่องนี้ ศาสตราจารย์เอเดรียน เทเลอร์ สรุปว่า นักประสาทวิทยาเห็นว่าเป็นกระบวนการทั่วไปในบริเวณศูนย์การให้รางวัลที่สมอง ระหว่างการติดยากับติดอาหาร และอาจเป็นได้ว่าเพราะการออกกำลังอาจส่งผล ต่อสารเคมีในสมองที่ช่วยควบคุมอารมณ์และความอยาก ให้ลดน้อยลงไป

และนี่จึงน่าจะเป็นข่าวดีสำหรับคนที่คิดจะลดน้ำหนัก แล้วยังติดขนมขบเคี้ยวของหวานกันอยู่

คนึงนิจ มีใจดี(ฟาร์อีสเทอร์น)

เพิ่มความจำให้สมอง

สมองก็เหมือนส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ที่ต้องออกกำลังบริหารอยู่เสมอ เพื่อให้คงอยู่ในสภาพดี นอกจากจะส่งผลให้สมองโลดแล่นแล้ว ยังส่งผลต่อประสิทธิภาพของการจดจำด้วย

สำหรับใครที่เป็นคนขี้หลงขี้ลืม อาจเป็นเพราะละเลยการบำรุงสมองไป "เกร็ดน่ารู้" สัปดาห์นี้ มีวิธีเพิ่มความจำให้สมอง ด้วยหลักปฏิบัติง่ายๆ มาฝากกัน

1. อาหารเพิ่มความจำ อยู่ในอาหารกลุ่มวิตามินบี เช่น นมพร่องมันเนย กล้วย ธัญพืชไม่ขัดสี ถั่วต่างๆ ผัก ผลไม้ ช่วยป้องกันสมองเสื่อม ความจำเลอะเลือน

กลุ่มธาตุเหล็ก เช่น เนื้อสัตว์ อาหารทะเล มีผลต่อไอคิว ช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองซีกซ้าย ซึ่งเกี่ยวกับระบบการคิด

ไข่แดง ตับ ถั่วลิสง เนยถั่ว บำรุงเซลล์สมอง

ปลาที่มีโอเมก้า 3 อาทิ ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน และปลาแมคคอเรล ช่วยป้องกันความจำเสื่อม

2. ออกกำลังเพิ่มความจำ การออกกำลังกายจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ทำให้เลือดนำออกซิเจนไปเลี้ยงสมองได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ ควรออกกำลังกายให้หลากหลายประเภท เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ของสมองจากการฝึกฝนทักษะใหม่ๆ เช่น การเดิน วิ่ง ขี่จักรยาน เต้นแอโรบิก หรือว่ายน้ำ เป็นต้น

3. นอนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมอง เซลล์ประสาทจะสื่อสารกันได้มากขึ้น ส่งผลต่อการเรียนรู้และความจำ

4. บริหารสมอง อาทิ การเล่นหมากรุก หมากล้อม เล่นเกมคอร์สเวิร์ด ฯลฯ ซึ่งต้องใช้ความคิด เซลล์สมองจะเจริญเติบโตมากขึ้น ความสามารถในการจำก็จะดีขึ้นด้วย

หลักง่ายๆ ทำให้เป็นกิจวัตรประจำวัน เพียงเท่านี้...ไม่ว่าจะอายุมากแค่ไหน สมองก็ยังมีประสิทธิภาพ ความจำก็ยังดีอยู่เสมอ

เบญจวรรณ หล้าแปง(ฟาร์อีสเทอร์น)

ปรุงอาหารต้านมะเร็ง ด้วยเมนูโฮมเมด

You are what you eat คำกล่าวนี้ทำให้กระแสของการทำอาหารสไตล์โฮมเมดเฟื่องฟูในยุคปัจจุบัน ส่วนหนึ่งมาจากความทันสมัยของวิทยาการที่สร้างสรรค์เครื่องครัวที่มีประสิทธิภาพ ช่วยประหยัดเวลา ลดความยุ่งยากในการจัดเตรียมอาหาร แต่ที่สำคัญเหนืออื่นใดคือเราสามารถคัดสรรสารอาหารจากวัตถุดิบได้อย่างมีคุณภาพ และปลอดภัยได้มากขึ้น

การปรุงอาหารจึงเป็นเสมือนการจัดยาต่อต้านโรคร้ายที่แสนอร่อย และสนุกสนาน และถ้าคุณเป็นอีกคนที่ตระหนักในสุขอนามัยของสุขภาพที่ช่วยต้านพิษ และลดความเสี่ยงของการสะสมอนุมูลอิสระที่ก่อให้เกิดมะเร็งและโรคร้ายอื่นๆ นี่คือไอเดียเก๋ๆ ตำรับ น.พ.สำราญ อาบสุวรรณ ผู้หายจากมะเร็งปอดระยะสุดท้ายที่ WP ขอแนะนำให้สาวโฮมเมดหัดทำ

น้ำซุปโพแทสเซียม สำหรับใช้เป็นน้ำแกงปรุงอาหาร

ส่วนผสม & เครื่องปรุง

น้ำสะอาด 20 ลิตร

หอมใหญ่ 1/2 กก.

แครอทขนาดกลาง 1/2 กก.

มันฝรั่ง 1/2 กก.

หัวไชเท้า 1/2 กก. (จะใส่หรือไม่ก็ได้ บางคนบอกว่าจะไปล้างยา)

วิธีทำ : ต้มน้ำให้เดือด นำผักที่เตรียมไว้ใส่ลงไปในหม้อต้มให้เดือด 15 นาที จากนั้นเคี่ยวไปประมาณ 2 ชั่วโมง ไฟกลางๆ เมื่อได้ที่แล้วทิ้งให้เย็น กรองเอากากออก นำน้ำซุปที่ได้แบ่งใส่ถุง แช่ช่องแข็งไว้ใช้ทำอาหารต่อไป

เมนูอาหารที่ปรุงด้วยน้ำซุปโพแทสเซียม

แกงเลียง

ส่วนผสม & เครื่องปรุง : น้ำซุปโพแทสเซียม, หอมแดง, กระชาย, พริกไทยป่น, สาหร่าย,

(แผ่นกลมๆ ที่ใช้ใส่แกงจืด) ผักสดแล้วแต่ชอบ เช่น บวบ, ตำลึง , ใบแมงลัก, ฟักทอง, ข้าวโพดอ่อน, น้ำเต้า, ผักแม้ว, เป็นต้น ซีอิ๊วขาว

วิธีทำ : ตำหอมแดง กระชาย พริกไทยป่น สาหร่ายเข้าด้วยกัน หรือจะปั่นก็ได้ (ปั่นต้องใส่น้ำซุปลงไปด้วย) นำน้ำซุปโพแทสเซียมใส่หม้อละลายเครื่องแกงที่ตำไว้ ปิดฝา ตั้งไฟให้เดือด เมื่อได้ที่แล้วใส่ผักสุกยากลงไปก่อน เช่น ฟักทอง ข้าวโพดอ่อน ผักที่เป็นใบใส่ทีหลัง ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ชิมรส

แกงส้มผักรวม

ส่วนผสม & เครื่องปรุง : น้ำซุปโพแทสเซียม, เครื่องแกงส้ม (ต้องไม่ใส่กะปิ), น้ำมะขาม, ซีอิ๊วขาว,

น้ำตาลโตนด, ผักสดแล้วแต่ชอบ เช่น ยอดมะพร้าว, ผักบุ้งไทย, กะหล่ำปลี, ดอกกระหล่ำ ฯลฯ

วิธีทำ :นำน้ำซุปโพแทสเซียมใส่หม้อ ละลายเครื่องแกงก่อนที่จะตั้งเตา (ถ้าละลายในน้ำเดือดจะจับตัวเป็นก้อน) ตั้งไฟให้เดือด ปรุงรสตามชอบ (ควรลดเค็มและหวาน) ใส่ผักลงไป ชิมรสอีกครั้ง เพราะน้ำในผักจะทำให้รสชาติ

เปลี่ยนไปเล็กน้อย

ผัดผักรวมมิตร

ส่วนผสม & เครื่องปรุง : น้ำซุปโพแทสเซียม, แครอทขนาดกลาง, ถั่วลันเตา, เห็ดหอม, ผักกาดขาว,

ข้าวโพดเมล็ด, กระเทียมหั่นแว่นพอประมาณ, ซีอิ๊วขาวเล็กน้อย, เกลือโพแทสเซียมเล็กน้อย

วิธีทำ : คั่วกระเทียมให้หอม แล้วจึงใส่น้ำซุปโพแทสเซียมลงไปพอประมาณ ใส่ผักเตรียมไว้ (ใส่ผักสุกยากลงไปก่อน) ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวและเกลือโพแทสเซียมเล็กน้อยเท่านั้น ปิดฝาให้ผักระอุสักครู่ ผัดให้เข้ากันอีกครั้ง ตักใส่จาน

แกงป่า

ส่วนผสม & เครื่องปรุง : น้ำซุปโพแทสเซียม, เครื่องแกงป่า (ต้องไม่ใส่กะปิ), แครอทขนาดกลาง, ข้าวโพดอ่อน, มะเขือเปราะ, ชะอม, ฟักทอง, ถั่วฝักยาว, ใบกะเพรา, กระชายหั่นฝอย, ซีอิ๊วขาวเล็กน้อย

วิธีทำ : นำน้ำซุปโพแทสเซียมใส่กระทะผัดเครื่องแกงให้เข้ากัน ตั้งไฟให้เดือดปรุงรสตามชอบ ใส่ผักตามต้องการ แต่จะใส่ผักสุกยากลงไปก่อน เช่น ฟักทอง, ข้าวโพดอ่อน ผักที่เป็นใบใส่ทีหลัง ชิมรส ตักใส่ชาม

ผัดเผ็ดมะเขือยาว

ส่วนผสม & เครื่องปรุง : น้ำซุปโพแทสเซียม เครื่องแกงเผ็ด (ต้องไม่ใส่กะปิ), มะเขือยาว, มะกรูดหั่นฝอย ซีอิ๊วขาวเล็กน้อย, น้ำตาลโตนด, ลูกชิ้นเห็ดหอม (ถ้ามี)

วิธีทำ :นำน้ำซุปโพแทสเซียมใส่กระทะผัดเครื่องแกงให้เข้ากันปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวเล็ก น้อย น้ำตาลโตนด ใส่มะเขือยาว ผัดให้เข้ากัน ปิดฝาให้มะเขือระอุสักครู่ เปิดฝา ผัดให้เข้ากันอีกครั้ง ชิมรส โรยหน้าด้วยใบมะกรูดหั่นฝอย ตักใส่จาน

การตั้งคอมพิวเตอร์

ท่านผู้อ่านที่ทำงานกับ computer หรือเล่นเกม หรือเพื่อการศึกษาหากท่านใช้เวลากับมันมากโดยที่ปรับโต๊ะ เก้าอี้ หรือจอ monitor ไม่ถูกต้องอาจจะทำให้ปวดตา ปวดคอ ปวดหลัง บทความนี้จะเป็นคำแนะนำการทำงานกับ computer

การปรับ Keyboad

การทำงานกับ computer นานจะมีปัญหาเกี่ยวกับแขน ข้อมือ และมือ คำแนะนำต่อไปนี้จะทำให้ท่านทำงานสบายขึ้น

-ปรับความสูงของ keyboard เพื่อให้หัวไหล่ได้พัก แขนแนบลำตัว keyboard

อยู่ตรงหน้าไม่เอียงซ้ายหรือขวา

-Keyboardควรอยู่ใกล้กับผู้ใช้เพื่อที่จะไม่ต้องเอื้อมมือ

-ข้อศอกควรได้ฉาก90 องศา แขนส่วนปลายจะขนานกับพื้น

-Mouse ควรวางข้างKeyboard

-ขณะที่ไม่ได้ทำงานควรพักแขนไว้บนท้องไม่ควรพักแขนไว้บน Keyboard หรือ Mouse

การตั้งDesktops

-โต๊ะที่วาง computer ควรจะสูง 25-29 นิ้วขึ้นกับส่วนสูงของผู้ใช้

-ปรับเก้าอี้ให้แขนขนานกับพื้นขณะทำงานและแขนควรอยู่สูงจากต้นขา 2นิ้ว

-ใต้โต๊ะควรเป็นพื้นที่ว่างเพื่อยืดเท้า

-ของที่ใช้บ่อยควรอยู่ใกล้มือ

-ถ้าใช้ที่หนีบกระดาษควรอยู่ระดับเดียวกับ monitor

การปรับ Monitors

การปรับแต่งMonitorจะช่วยให้ตาและระบบกล้ามเนื้อทำงานได้ดีขึ้นคำแนะนำนี้จะช่วยอาการปวดตาปวดคอและเมื่อยกล้ามเนื้อไหล่

-เช็ดจอให้สะอาด

-ปรับความสว่างให้พอเหมาะ

-จอ monitor ตั้งอยู่ตรงหน้าเพื่อที่จะต้องไม่หมุนคอ

-จอควรห่างจากตัวผู้ใช้ 20-26 นิ้ว

-จอทำมุกกับแนวดี่ง10-20 องศา

-ให้แสงจากหน้าต่างเข้าทางข้างเพื่อป้องกันการสะท้อนของแสง

-จอไม่ควรได้รับแสงโดยตรงเพราะจะทำให้เกิดการสะท้อนของแสงหรืออาจจะใส่แผ่นกรองแสง

-ขอบบนของจอmonitor ควรอยู่ระดับเดียวกับตา

การปรับแสง

-แสงที่ใช้ไม่ควรเกิน18-46 แรงเทียน

-แสงควรเข้าทางด้านข้างเพื่อป้องกันการสะท้อนของแสง

-วางจอmonitor โดยหันด้างข้างของจอ monitor ไปหาหน้าต่าง

ไม่ควรใช้โคมไฟ

-ผนังด้านหลังจอmonitorควรทาสีทึบเพื่อป้องกันสะท้อนของแสง

-ใช้แผ่นกันการสะท้อนของแสง

การปรับเก้าอี้

เชื่อกันว่าการนั่งเป็นการผ่อนคลาย ความจริงการนั่งนานๆจะทำให้กระดูกหลัง หมอนรองกระดูกได้รับน้ำหนักอยู่ตลอดเวลา นอกจากหลังแล้วยังมีผลต่อเท้าเนื่องจากเลือดจะไปกองที่เท้า ข้อแนะนำนี้จะช่วยให้ท่านผู้อ่านทำงานกับ computer อย่างสบาย

-อย่าท่าใดท่าหนึ่งนานๆ

-เปลี่ยนท่านั่งและยืนสลับกัน

-ปรับเบาะพิงหลังให้รองบริเวณเอวอาจจะใช้หมอนหรือผ้าหนุนด้วยก็ได้ท่านั่งที่ดีควรจะเป็นท่าที่ขาตั้งฉากกับลำตัว

-ปรับความสูงของเก้าอี้เพื่อให้เท้าวางบนพื้น

-นั่งหลังพิงพนักพิง

-ต้นขาขนานกับพื้น เข่าอยู่แนวระนาบเดียวกับข้อสะโพก

-เข่าควรอยู่ห่างจากเบาะนั่ง 2-3 นิ้ว

-อย่านั่งหลังโก่ง

-ปรับความสูงของที่พักแขนให้แขนและไหล่ได้พักขณะทำงาน

เข็มขัดนิรภัย

เมื่อเกิดอุบัติเหตุจราจรทางบกจะทำให้เกิดการสูญเสียชีวิต ร่างกาย อันตรายที่เกิดกับคนมีตั้งแต่ไม่มากเช่นแผลถลอกจนกระทั้งอวัยวะภายในได้รับบาดเจ็บ อาจจะพิการ การป้องกันที่ดีที่สุดคือการป้องกันมิให้เกิดอุบัติเหตุ แต่ก็ไม่สามารถป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ การใช้เข็มขัดนิรภัยจะช่วยลดความรุนแรงของการบาดเจ็บ

การเปลี่ยนแปลงเมื่อเกิดอุบัติเหตุ

แรงกระแทกที่เกิดจากรถที่วิ่งเร็ว 60 กิโลเมตรจะเท่ากับรถที่ตกที่สูง 14 เมตรหรือความสูงประมาณตึก 5 ชั้น ตัวรถจะยุบหรือบิดงอ

คนที่อยู่ในรถถ้าไม่คาดเข็มขัดนิรภัยจะเดินทางด้วยความเร็วเท่ากับรถเมื่อชนและหยุด ศีรษะ หน้า ลำตัวของคนในรถจะถูกเหวี่ยงไปกระแทกกับพวงมาลัย และกระจกหน้ารถอาจทำให้หมดสติหรือเสียชีวิต

อวัยวะในร่างกาย เช่นตับ ไต ลำไส้ สมองหรือไขสันหลังซึ่งมีการเคลื่อนไหวอยู่ภายในจะเคลื่อนไหวเท่ากับความเร็วของรถ เมื่อคนในรถหยุด อวัยวะภายในจะกระแทกกันเอง ทำให้ตับ ไต ลำไส้หรือสมองฉีกขาดได้

ใครบ้างที่ควรคาดเข็มขัดนิรภัย

คนที่ขับรถทุกคน

ผู้โดยสารทุกคนไม่ว่าจะนั่งหน้าหรือหลัง

ผู้โดยสารรถขนาดใหญ่ที่มีเข็มขัดนิรภัยควรต้องคาดเช่นกัน

ประเภทของเข็มขัดนิรภัย

เข็มขัดนิรภัยที่รัดตรงบริเวณโคนขา รอบสะโพก (lap belt หรือแบบสองจุด) พบได้ในเครื่องบิน สำหรับรถยนต์จะใช้กับที่นั่งตอนหลัง เข็มขัดชนิดนี้ใช้คาดบริเวณต้นขา รอบสะโพก ไม่ควรรัดบริเวณหน้าท้อง

เข็มขัดที่คาดผ่านบริเวณสะโพกและไหล่ ( lap shoulder belt หรือแบบ 3 จุด)คาดบริเวณสะโพก บริเวณต้นขา และผ่านเฉียงทางหน้าอกและกระดูกไหปลาร้า

"มังคุด ลำไย ลองกอง"ยอดผลไม้เพื่อสุขภาพ

มังคุด...ลองกอง...ลำไย เป็นผลไม้ไทยๆ ที่มีรสชาติอร่อยลิ้น มีประโยชน์มากมาย รวมถึงสรรพคุณทางยาสมุนไพร ในช่วงที่ผลไม้มีปัญหาผลผลิตล้นตลาด ทำให้ราคาแสนถูกอย่างไม่น่าเชื่อ การหันมาบริโภคผลไม้ไทย จึงถือเป็นการได้กำไร 2 ต่อ คือนอกจากจะเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรแล้ว ยังทำให้สุขภาพดีอีกด้วย

อ.สง่า ดามาพงศ์ นักโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข บอกถึงคุณประโยชน์ของผลไม้ไทยๆ อย่างมังคุด ลองกอง และลำไยว่า สำหรับ “มังคุด” นั้นเป็น “ราชินีผลไม้” หรือ Queen of fruit เนื่องจากรสชาติของมังคุดอร่อยมาก มีเอกลักษณ์ หอมหวาน แต่ไม่หวานจัด แบบอมเปรี้ยวอมหวาน รสชาติกินขาดผลไม้ทุกชนิด ขณะที่คุณประโยชน์ทางสารอาหารก็มีวิตามินซีสูง ช่วยต้านมะเร็งไม่ให้เกิดอนุมูลอิสระ และมีแคลเซียมซึ่งปกติมีมากในนม เนื้อสัตว์ ในผลไม้ไม่ได้มีมากมายแต่มีในมังคุด อีกทั้งยังมีฟอสฟอรัส โพแทสเซียม ช่วยให้เผาผลาญพลังงานได้เป็นปกติ

แต่ที่โดดเด่นมากที่สุด คือ ในมังคุดมีไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหาร หากอาหารไม่ย่อยหรือดูดซึม เมื่อรับประทานมังคุดเส้นใยอาหารตัวนี้ก็จะไปเกาะเป็นก้อนอมน้ำมีน้ำหนัก ดึงเอาสารก่อมะเร็งในไขมัน น้ำตาล ที่อยู่ระหว่างมื้อออกไปทางอุจจาระ ดังนั้น หากใครที่ท้องผูกเป็นประจำหรืออยากลดน้ำหนักจึงขอแนะนำให้กินมังคุด

ส่วนลองกองและลำไยนั้น อ.สง่า ชี้ให้เห็นความแตกต่างกับมังคุดว่า ลองกองจะมีวิตามินสูงกว่ามังคุด มีไฟเบอร์ แคลเซียม คล้ายมังคุด แต่มีเสน่ห์ที่เนื้อใส รสชาติอมเปรี้ยวอมหวาน ขณะที่ลำไย นอกจากมีรสหวานกรอบแล้ว ยังมีแคลเซียมสูงกว่าเมื่อเทียบมังคุดและลองกอง อีกทั้งให้พลังงานสูงกว่าผลไม้อีก 2 ชนิดด้วย

อย่างไรก็ตามในการกินลำไยซึ่งเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลมากกว่าผลไม้ทั้ง 2 ชนิด การกินลำไย จึงต้องระวังสำหรับผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก เป็นเบาหวาน อ้วนลงพุง แต่ในคนที่มีสุขภาพปกติสามารถกินลำไยได้ แต่ก็ไม่ควรกินมากจนเกินไป

นอกจากจะอธิบายคุณประโยชน์ผลไม้ 3 ชนิดเสร็จสรรพแล้ว อ.สง่า ยังแนะนำวิธีการรับประทานผลไม้ง่ายๆ ด้วย 3 ข้อ คือ 1.ควรกินผลไม้ให้หลากหลายชนิด อย่าซ้ำซากจำเจ ทั้งมังคุด ลองกอง ลำไย สามารถกินได้ใน 1 วัน สลับกัน การซื้อมังคุดกิน 3 กิโลกรัม ในวันเดียวคงไม่ถูกต้องนัก 2.ควรเลือกกินผลไม้ตามฤดูกาล ฤดูกาลมังคุดก็กินมังคุด ฤดูกาลลำไยก็กินลำไย แม้ว่าสมัยนี้ผลไม้จะสามารถออกผลได้เกือบทุกฤดูกาล แต่สารอาหารคุณค่าความสดสู้ในฤดูกาลของผลไม้ชนิดนั้นๆ ไม่ได้ และ 3.ควรกลับมากินผลไม้ไทยมากขึ้น เพราะผลไม้ไทยอร่อย สด ราคาถูก และให้คุณค่าทางโภชนาการมากกว่าผลไม้นอก เช่น ผลไม้นำเข้าจากต่างประเทศที่ต้องใส่รังไว้นานๆ ใช้เวลาในการขนส่ง วิตามินซีที่ควรได้รับอาจหายไปแล้วกว่าครึ่ง ต่างจากผลไม้ที่เด็ดเมื่อวานซึ่งมีวิตามินซีมากกว่าอยู่แล้ว

นอกจากนี้ หากต้องการกินผลไม้เพื่อช่วยควบคุมน้ำหนัก อ.สง่า บอกว่า ควรเลือกรับประทานผลไม้ที่รสไม่หวานจัด ไม่มีแป้งมาก ซึ่งผลไม้ที่มีแป้งมากเช่น มะม่วงดิบ มะละกอ และหากจะกินลดน้ำหนัก ลดพุง ให้กินข้าวมื้อเย็นแต่น้อยแล้วกินผลไม่เป็นอาหารว่าง หรือกินผลไม้ก่อนอาหารมื้อหลัก โดยเฉพาะมื้อเย็นโดยให้กินผลไม้ก่อนอาหารเย็นประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วกินน้ำประมาณ 2 แก้ว จะทำให้ความอยากกินอาหารเย็นน้อยลง

ด้าน พญ.ลลิตา ธีระสิริ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญธรรมชาติบำบัด ศูนย์ธรรมชาติบำบัดบัลวี เสริมว่า นอกจากผลไม้อย่างมังคุดจะมีรสชาติอร่อยแล้วยังมีสรรพคุณทางยาด้วย โดยเนื้อใช้เป็นยาแก้ร้อนใน บำรุงกำลัง จะเห็นได้ว่า หากกินลำไย หรือทุเรียนซึ่งเป็นผลไม้ร้อน ให้กินแก้ด้วยมังคุด ส่วนยางที่มีสีเหลืองๆ ที่ปนกับเนื้อจะช่วยแก้ท้องเสีย ส่วนเปลือกมังคุดตากแห้งฝนกับน้ำปูนใสสามารถใช้ในการรักษาแผลหนองพุพอง กำจัดแบคทีเรีย หรือนำเปลือกมังคุดฝนกับน้ำกินแก้ท้องเสีย

ส่วนลำไย เป็นผลไม้ที่ถือเป็นยาบำรุงหัวใจร่างกาย บำรุงเลือดลม ระบบประสาท ช่วยในเรื่องความจำ ในตำราแพทย์แผนจีนมักนำลำไยอบแห้งมาต้มกับโสม ช่วยให้ผู้สูงวัยไม่หลงลืม ส่วนในตำราแพทย์แผนไทย มักนำไปต้มแช่เหล้า ใช้เป็นยาบำรุงเลือด ระบบประสาท ป้องกันโรคหลงๆ ลืมๆ

เรียกว่าสรรพคุณที่คนโบราณเรียนรู้ประโยชน์จากลำไยทั้งไทยและจีนใกล้เคียงกัน

อย่างไรก็ตาม นอกจากเนื้อของลำไยจะให้ประโยชน์ทางยาอย่างยิ่งแล้ว คนไทยยังนำรากของต้นลำไยต้มกินแก้เสมหะมาก ส่วนผู้ที่ควรกินลำไย เช่น ผู้ที่มีอาการท้องเสีย อาหารไม่ย่อย ท้องอืดแน่น ฝ้าบนลิ้นสีขาว และหนา หรือเป็นหวัด ไม่ควรกินลำไยสดมากจนเกินไป เพราะลำไยมีคุณสมบัติร้อน จะทำให้เกิดอาการเจ็บคอ และเป็นร้อนในภายในปากได้

พญ.ลลิตา บอกอีกว่า สุดท้ายลองกอง นับว่าเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินบี และฟอสฟอรัส มีสรรพคุณในการลดความร้อน ที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย เมื่อกินเป็นประจำ จะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นไข้ตัวร้อน และช่วยไม่ให้เกิดอาการร้อนในขึ้นในปากได้อีกด้วย รวมถึงแก้ปวดท้อง ท้องเสีย เม็ดลองกองใช้ขับพยาธิ เปลือกใช้ไล่ยุง

สุดท้าย อ.สง่า บอกว่า อย่างไรก็ดี รัฐบาลควรถือโอกาสนี้ในการรณรงค์ให้คนไทยหันมากินผลไม้เพื่อสุขภาพมากขึ้น โดยการรับประทานผลไม้เป็นอาหารว่างแทนขนมหวาน เพื่อควบคุมโรคอ้วน มีประโยชน์มากกว่า นอกจากนี้ควรปลูกฝังให้ทุกคนเลือกบริโภคผลไม้ไทยมากขึ้น เนื่องจากตั้งแต่มีระบบการค้าเสรี ผลไม้นอกทะลักเข้าประเทศเป็นจำนวนมาก ทำให้คนแห่ไปกินผลไม้ต่างชาติ ทิ้งผลไม้ไทยไว้เบื้องหลัง และที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ หากจะกินผลไม้ควรกินผลไม้สดๆ มากกว่าแปรรูปเป็นน้ำผลไม้ที่ไม่ให้คุณค่าทางโภชนาการ เพราะผลไม้สดย่อมมีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่ามาก

เหมันต์ ( เลขที่ 87 ) วิทย์ออก

ป้องกันและลดการเป็น โคเรสเตอรอลสูง New!!!

สวัสดีค่ะ วันนี้จะขอแนะนำทุกท่าน แบบวิธีง่ายๆ ลองควบคุมดูนะค่ะ ก่อนที่จะสายไปเป็นเหมือนดิฉันเจ้าค่ะ

1. ควรที่จะใช้น้ำมันพืชปรุงอาหาร นะค่ะ พยามเลี่ยงน้ำมันหมู หรือน้ำมันอะไรที่ก่อให้เกิดการสะสมของไขมันค่ะ

2. ไม่ควรกินอาหารทอดเป็นประจำ เช่น กล้วยแขก ปลาท่องโก๋ ไก่ทอด รวมทั้งแกงกะทิด้วย

3. กินโคเลสเตอรอลไม่เกินวันละ 300 มิลลิกรัม โดยพยายามลด หรือ ถ้าเลิกทานได้ก็จะดีค่ะอาหาร ที่มีโคเลสเตอรอลสูง โดยเฉพาะพวกเครื่องในสัตว์ สมองหมู หนังสัตว์ เช่น หนังไก่ทอด หนังเป็ด หนังหมู หมูกรอบ ไข่แดง

ไข่ขาวไม่มีโคเลสเตอรอล ลองเอามาตีทานเป็นไข่เจียวแก้ขัดได้ค่ะ ไข่ปลา กุ้ง ปลาหมึก หอยนางรม เป็นต้น เลือกกินเฉพาะ เนื้อปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน นมพร่องไขมัน

** ข้อสำคัญควรออกกำลังกายควบคู่กันไปนะค่ะ หรือเน้นทานผักแยะๆ เหมือนที่ตอนแรกตัวเองเป็นขึ้นสูง 200 กว่าค่ะ พอลองควบคุม ดูแล้ว ลดเป็นร้อย เลยค่ะ เพื่อนๆ ลองดูนะค่ะ**

สาระความรู้ดีๆ เกี่ยวกับสุขภาพขอบคุณ http://www.variousshop.com/

ฟิตร่างกายตอนเย็นดีสุด

ศาสตราจารย์โทมัส ไรลี แห่งสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การกีฬาและการออกกำลังกาย มหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล จอห์นมัวร์ ระบุว่า ช่วงเวลาเหมาะที่สุดในการออกกำลังกายสำหรับคนส่วนใหญ่ราวร้อยละ 90 คือ ระหว่าง 16.00 ถึง 19.00 น. เพราะอุณหภูมิของร่างกายจะเพิ่มสูงสุด กล้ามเนื้อขยายตัว และมีความยืดหยุ่น เป็นช่วงที่ร่างกายมีกำลังมากทีสุด อัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตต่ำ ดังนั้นจึงไม่ต้องใช้ความพยายามมากนักเพื่อออกกำลังกาย ทำให้มีแรงจูงใจอยากออกกำลังกายมากขึ้นและมีแนวโน้มบาดเจ็บน้อยลง

สำหรับผู้หญิง ศ.ไรลี แนะนำว่า ช่วงเวลาออกกำลังกายเหมาะสมที่สุดในแต่ละเดือน คือ ช่วง 7-14 วันหลังไข่ตก เพราะระดับฮอร์โมนโปรเจสเทอโรนจะเพิ่มสูงสุด ส่งผลกระทบต่อวิธีที่ร่างกายใช้ไขมันและคาร์โบไฮเดรต นอกจากนั้น หากมีอาการปวดประจำเดือนเป็นประจำ การออกกำลังเป็ยประจำแม้ในช่วงที่มีประจำเดือนก็สามารถบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้ด้วย

ทิพย์สุดา วิทย์ออก เลขที่ 6

การรับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการ เป็นรากฐานสำคัญของการป้องกันและรักษาภาวะคลอเลสเตอรอลสูงในเลือด ดังนั้น เราควรเข้าใจถึงแนวทางในการบริโภคอาหารอย่างถูกต้องเพื่อควบคุมระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด และต้องมีความตั้งใจจริง ที่จะปฏิบัติให้ได้ในชีวิตประจำวัน เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง หลีกเลี่ยงโรคร้ายต่างๆ ซึ่งมีภาวะคลอเลสเตอรอลสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ เช่น โรคหลอดเลือดแดงแข็ง โรคหัวใจขาดเลือด หนูได้ไปอ่านบทความบทความหนึ่งมาซึ่งเป็นที่น่าสนใจ หนูจึงนำมาให้อาจารย์ดูค่ะ เป็นบทความเกี่ยวกับ

“ หลักการบริโภคอาหารที่สำคัญเพื่อป้องกันและลดระดับคลอเลสเตอรอลสูงในเลือด ”

1.รับประทานคลอเลสเตอรอล ไม่เกินวันละ 200 มิลลิกรัม คลอเลสเตอรอลมีเฉพาะในอาหารที่มาจากสัตว์เท่านั้น มีมากในอาหารบางชนิด เช่น ไข่แดง เครื่องในสัตว์ มันสัตว์ สัตว์น้ำบางชนิด (ดูรายละเอียดในตาราง) จึงควรหลีกเลี่ยงรับประทานอาหารเหล่านี้ ในปริมาณมาก

2.รับประทานอาหารในแต่ละวัน ซึ่งให้พลังงานรวมแล้วเพียงพอ ต่อการรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติโดยผู้ใหญ่ ควรมีดัชนีความหนาของร่างกายประมาณ 20.0-24.9 กิโลกรัม/ตารางเมตร โดยคำนวณจาก น้ำหนักตัว หน่วยเป็นกิโลกรัม หารด้วยส่วนสูง หน่วยเป็นเมตร ยกกำลังสอง เช่น ถ้าใครมีน้ำหนัก 50 กิโลกรัม ส่วนสูง 1.5 เมตร จะได้ดัชนีความหนาของร่างกาย = 50/(1.5)2 = 22.2 กก./ตารางเมตร แสดงว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ

3.หลีกเลี่ยงรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น กะทิ ไขมันจากสัตว์ หนังสัตว์ เนื้อสัตว์ที่มีมันติดมากๆ เช่น หมูสามชั้น เพราะกรดไขมันอิ่มตัว ส่วนใหญ่ทำให้ระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น

4.รับประทานอาหารที่มีกรดไขมันไลโนเลอิก (linoleic acid)โดยสม่ำเสมอ ซึ่งพบได้ประมาณร้อยละ 50 ในน้ำมันพืชบางชนิด เช่นน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด การรับประทานอาหาร ที่มีกรดไขมันไลโนเลอิกประมาณร้อยละ 7-10 ของพลังงานที่ได้รับ (เช่น วันหนึ่งต้องการพลังงาน 2000 กิโลแคลอรี่ ควรได้กรดไลโนเลอิก ประมาณ 16-22 กรัม ซึ่งได้จากน้ำมันถั่วเหลือง ประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ )จะช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลในเลือดได้ เพราะมีการเปลี่ยนคลอเลสเตอรอลอิสระ เป็นคลอเลสเตอรอลไลโนเลเอทเพิ่มขึ้น ทำให้มีการเผาผลาญคลอเลสเตอรอลที่ตับเพิ่มขึ้น

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล : http://www.heartandcholesterol.com

อุษา บัวบรรเทา พิเศษ ภาคค่ำ

สุดยอดเคล็ดลับหุ่นสวย

1.ลงทุนซื้อชุดสวยที่หลงรักหนักหนา (แต่ยัดตัวเองใส่ลงไปในชุดนั้นไม่ได้)นำมาแขวนไว้หน้าเตียง หรือที่สะดุดตาที่สุดเพื่อเป็นแรงเร้าหรือตัวกระตุ้นให้คุณลดน้ำหนัก อย่างจริงจังได้อย่างรวดเร็ว

2.ถ้าคุณรู้สึกตัวเองนั้นชักจะมีเนื้อหนังมากเกินไป ไขมันเริ่มสะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย จนเริ่มรู้สึกอึดอัดแล้วละก็ ลองมาทบทวนดูสิ ว่าคุณมักจะมีขนมติดไม้ติดมืออยู่ตลอดเวลา หรือไม่ถ้าคุณมักจะทำอย่างนั้นประจำ ก็ควรจะตัดใจจากขนมอร่อยๆนั้นให้ได้อย่างเด็ดขาด

3.การลดความอ้วน มีความสำคัญอยู่เพียงข้อเดียวคือ การไม่ตามใจตัวเอง

4.ตอนเย็นหลังเลิกเรียนแล้ว หากคุณต้องใช้รถประจำทาง ก็ควรเดินย้อน จากป้ายประจำของคุณไปอีก 1 ป้ายเพื่อเป็นการออกกำลังกายแถมยังได้ประโยชน์ คืออาจจะได้นั่งหรือยืนสบายๆ ไม่เบียดเสียดอีกด้วย

5.เวลามากกว่า 2 ชั่วโมง ที่ควรใช้กับหน้าจอทีวีไม่ว่าจะเป็นวันหยุด หรือวันธรรมดานั้น ไม่ควรจะนอนดูเฉยๆ ควรฝึกออกกำลังกายหน้าจอทีวีไปด้วยให้เป็นนิสัย เช่น นอนถีบจักรยานอากาศ

อาหารที่เราควรรับประทาน

ประเภทของอาหารที่ควรรับประทาน

เพื่อให้ง่ายและสะดวกต่อการปฏิบัติ จะขอแบ่งอาหาร ออกเป็น 3 กลุ่ม คือ

กลุ่มที่ควรงด มีดังนี้

น้ำตาลทุกชนิด (รวมน้ำผึ้งด้วย)

ขนมหวาน เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง และขนมเชื่อมต่าง ๆ ฯลฯ

ผลไม้กวน เชื่อม บรรจุกระป๋อง ผลไม้สดที่มีเครื่องจิ้ม น้ำตาล-พริก-เกลือทุกชนิด

น้ำหวาน น้ำอัดลม รวมถึงเครื่องดื่มที่ใส่น้ำตาลเช่น ชา กาแฟ

ผลไม้รสหวานจัด เช่น ทุเรียน ขนุน ละมุด น้อยหน่า ลิ้นจี่ อ้อย ฯลฯ

กลุ่มที่ควบคุมปริมาณ คือ

อาหารพวกแป้ง ข้าว ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน ขนมปัง มะกะโรนี มัน เมล็ดพืชแห้ง เช่น มะม่วงหิมพานต์ถั่วต่าง ๆ เป็นต้น

อาหารไขมันมาก เช่น ขาหมูก ข้าวมันไก่ อาหารทอดด้วยน้ำมัน อาหารกะทิ ฯลฯ

อาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง เช่น ไข่แดง หอยนางรม ฯลฯ

ผักประเภทหัวที่มีแป้งมาก เช่น หัวผักกาด ฟักทอง แครอท หัวหอม สะเดา กะเจี๊ยบ ถั่วงอกหัวโต ถั่วลันเตา หัวปลี ฯลฯ

มะละกอ ฝรั่ง สับปะรด ฯลฯ รวมทั้งผลไม้ดอง เป็นต้น

กลุ่มที่ไม่จำกัดปริมาณ ได้แก่

ผักทุกชนิด ยกเว้น ผักที่มีแป้งมาก

อาหารโปรตีนจากพืช เช่น เต้าหู้ เป็นต้น

ข้อพึงปฏิบัติในการปรับเปลี่ยนอาหาร

1. คำนึงถึงพลังงานที่ได้ตามประเภทอาหาร

2. ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน ต้องลดปริมาณลง ห้ามรับประทานของหวาน อาหารมัน ๆ

3. ให้รับประทานอาหารในปริมาณที่สม่ำเสมอ ไม่มากหรือน้อยเกินไปเพราะจะทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ยาก

4. อย่ารับประทานจุบจิบ หรือรับประทานไม่ตรงเวลา เพราะอาจเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้

5. ผู้ที่รักษาด้วยยาฉีดอินซุลินที่ออกฤทธิ์ยาว เช่น NPH หรือ monotard ฤทธิ์ยาจะอยู่ได้นาน 24 ชั่วโมง และจะออกฤทธิ์สูงสุดในตอนเย็นหรือกลางคืน อาจต้องเพิ่มอาหารว่างในตอนบ่ายและมื้อกลางคืนโดยให้แบ่งอาหารออกเป็น 4-6 มื้อด้วยปริมาณที่เหมาะสมระมัดระวังที่จะให้บางมื้อมากเกินไปด้วย

6. เลือกรับประทานอาหารที่มีกากใยมาก เช่น ข้าวซ้อมมือ ถั่วแขก ถั่วฝักยาว ผักทุกชนิด ฯลฯ

7. ผู้ที่เป็นความดันโลหิตสูงหรือโรคไตร่วมด้วยควรลดอาหารเค็ม

8. การแลกเปลี่ยนอาหาร รายการอาหารที่จะนำมาแลกเปลี่ยนกันได้ต้องเป็นรายการอาหารที่อยู่ในหมวดเดียวกัน ซึ่งให้พลังงานโปรตีนและไขมันในปริมาณใกล้เคียงกันที่แสดงไว้ในหน้า 14

9 การปรับเปลี่ยนอาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับอินซุลินหรือกินยาลดน้ำตาลในกรณีพิเศษ

เมื่อมีอาการใจสั่น เหงื่อออก ให้ดื่มน้ำหวาน น้ำผลไม้ หรืออมลูกอมหวาน หากเกินปรากฎการณ์นี้ 2 วันติดต่อกันต้องลดยาลง

ในเวลาเจ็บป่วยกินอาหารตามปกติได้น้อยหรือกินไม่ได้ ก็ให้เปลี่ยนเป็นอาหารที่อยากกินแทน รวมทั้งผลไม้ ขนม หรือน้ำหวานโดยไม่ต้องงดยา หรืออาจลดยาเมื่อเกรงว่าจะมากเกินไปไม่สมดุลกับอาหาร

เมื่อต้องการออกกำลังกายหนักปานกลาง ซึ่งไม่ได้ทำประจำให้กินอาหารก่อนออกกำลังกายปริมาณไม่เกินครึ่งหนึ่งของปริมาณที่กินประจำ โดยไม่ต้องงดหรือลดกินหรือฉีดยา

10. โปรดจดจำไว้ว่า แม้ระดับน้ำตาลในเลือดจะดีแล้ว ผู้ป่วยจำเป็นต้องรับประทานอาหรที่เหมาะสมตลอดไป ขอให้ฝึกปฏิบัติจนเป็นนิสัยแล้วเรื่องการควบคุมอาหารเบาหวานก็ไม่ใช่เรื่องยาก

กระดูกหัก (Fracture/Broken bones)

กระดูกหัก เป็นภาวะที่พบได้บ่อยทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ส่วนมากมักเกิดจากการได้รับบาดเจ็บ เช่น หกล้ม รถคว่ำ รถชน เป็นต้น ในผู้สูงอายุ กระดูกเสื่อม ผุ และเปราะ จึงมีโอกาสหักง่าย เมื่อถูกแรงกระแทกเพียงเล็กน้อย ที่พบได้บ่อยคือ กระดูกต้นขาหรือตะโพกหัก กระดูกหักแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ใหญ่ๆได้แก่

กระดูกหักชนิดธรรมดา (Simple fracture/Closed fracture) จะมีอาการกระดูกหักเพียงอย่างเดียวไม่มีบาดแผลที่ผิวหนัง และกระดูกจะไม่โผล่ออกนอกผิวหนัง

กระดูกหักชนิดซับซ้อนหรือมีบาดแผล (Compound fracture/Open fracture) จะมีบาดแผลซึ่งลึกถึงกระดูก หรือกระดูกที่หักอาจทิ่มแทงทะลุออกนอกเนื้อ ถือเป็นชนิดร้ายแรง อาจทำให้ตกเลือดรุนแรง เส้นประสาทถูกทำลาย หรือติดเชื้อได้ง่าย เป็นสาเหตุที่ทำให้สูญเสียแขนขาได้

อาการ

บริเวณที่หักมีลักษณะบวม เขียวช้ำ เจ็บปวดซึ่งจะเป็นมากเวลาเคลื่อนไหวหรือใช้มือกดถูก บางคนอาจรู้สึกเคลื่อนไหวส่วนนั้นลำบาก (ถ้าเคลื่อนไหวได้ตามปกติก็อาจหักได้เช่นกัน) หรือมีการเคลื่อนไหวผิดรูปไป แขนขาส่วนที่หัก อาจมีลักษณะผิดรูปผิดร่าง เช่น โก่งงอ หรือสั้นกว่าข้างที่ดี บางครั้งถ้าลองจับกระดูกบริเวณนั้นดู อาจได้ยินเสียงกระดูกสีกัน หรือรู้สึกกรอบแกรบ แต่กระดูกหักบางแห่ง เช่น ข้อมือ ข้อเท้า อาจมีอาการบวมและปวดเพียงเล็กน้อย จนเข้าใจผิดว่าเป็นเพียงข้อเคล็ดข้อแพลงก็ได้

อาการแทรกซ้อน ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจทำให้กระดูกที่หักต่อกันได้ไม่ดี ทำให้แขนขาโก่งได้ ถ้าเป็นกระดูกชนิดซับซ้อน อาจทำให้หลอดเลือดแดงฉีกขาด ตกเลือดรุนแรงถึงช็อกได้ หรืออาจทำให้เส้นประสาทฉีกขาดเป็นอัมพาตและชาได้ หรือไม่ก็อาจมีการติดเชื้อรุนแรง จนกลายเป็นโลหิตเป็นพิษได้ บางคนอาจติดเชื้อเรื้อรังกลายเป็นเยื่อกระดูกอักเสบเรื้อรัง (Chonic osteomyelitis)

การรักษา

ควรให้การปฐมพยาบาล เช่น ห้ามเลือด ใส่เฝือกหรือดามกระดูกส่วนที่หักไว้ ถ้าช็อกให้น้ำเกลือ แล้วส่งโรงพยาบาล ควรเอกซเรย์ดูลักษณะการหักของกระดูก แล้วให้การรักษาโดยพยายามดึงกระดูกให้เข้าที่ (ถ้าจำเป็นอาจต้องดมยาให้ผู้ป่วยสลบ) แล้วใส่เฝือกปูนพลาสเตอร์ไว้ ถ้ากระดูกต้นขาหัก บางครั้งอาจต้องให้ผู้ป่วยนอนบนเตียงแล้วใช้น้ำหนักถ่วงดึงให้กระดูกเข้าที่ ผู้ป่วยอาจต้องนอนนิ่งๆ อยู่เป็นสัปดาห์ ๆ ในบางรายอาจต้องรักษาด้วยการผ่าดัด ใช้เหล็กดามกระดูกไว้ ถ้าหากกระดูกหักแหลกละเอียด หรือมีบาดแผลเหวอะหวะ ที่อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรง อาจต้องรักษาด้วยการตัดแขนหรือขาส่วนนั้นทิ้ง เพื่อรักษาชีวิตให้อยู่รอดปลอดภัยเสียก่อน เมื่อแผลหายแล้วจึงค่อยให้ผู้ป่วยใส่แขนขาเทียม ซึ่งจะช่วยให้เดินและทำงานได้

ข้อแนะนำ

กระดูกที่หักสามารถต่อกันได้เองโดยธรรมชาติการรักษาจึงอยู่ที่การดึงกระดูกให้เข้าที่ และตรึง(ดามหรือเข้าเฝือก) ไว้ อย่าให้เลื่อนจากแนวปกติ รอให้กระดูกต่อกันเองจนสนิท ซึ่งอาจกินเวลา 1 - 3 เดือนขึ้นอยู่กับอายุ(เด็กหายเร็วกว่าผู้ใหญ่) ตำแหน่งที่หัก(แขนหายเร็วกว่าขา) และลักษณะของกระดูกหัก

วิธีรักษากระดูกหักของแพทย์ มีได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับตำแหน่งและลักษณะของกระดูกหัก ถ้าเป็นกระดูกหักชนิดธรรมดา มักจะต้องดึงกระดูกเข้าที่ แล้วใส่เฝือกปูน แล้วนัดมาตรวจเป็นระยะ จนกว่าจะหายสนิท จึงถอดเฝือกออก ถ้าเป็นกระดูกหักชนิดซับซ้อน การรักษาอาจยุ่งยากขึ้น อาจต้องผ่าตัด มีผู้ป่วยเพียงจำนวนน้อยเท่านั้น ที่อาจต้องพิจารณาให้ตัดแขนหรือขาส่วนนั้นทิ้ง เนื่องจากกระดูกหักอย่างรุนแรง ปล่อยไว้อาจเป็นอันตรายถึงตายได้ ดังนั้นจึงควรอธิบายให้ผู้ป่วยและญาติเข้าใจ

ในปัจจุบัน ยังมีผู้ป่วยจำนวนมากที่ยังนิยมไปรักษากับหมอรักษากระดูกแผนโบราณ(มีทั้งหมอพระและหมอชาวบ้าน ซึ่งกระจายอยู่ทั่วทุกจังหวัด)ถ้าเป็นกระดูกหักชนิดธรรมดาและไม่รุนแรง ก็มักจะได้ผลดี แต่ถ้าเป็นชนิดรุนแรง กระดูกอาจต่อกันได้ แต่อาจทำให้แขนขาโก่งหรือใช้การไม่ได้ ซึ่งต้องให้แพทย์แก้ไขภายหลัง ดังนั้นจึงควรหาทางส่งเสริมให้ประชาชนและหมอรักษากระดูกแผนโบราณ มีความรู้เกี่ยวกับวิธีการรักษากระดูกของแพทย์แผนปัจจุบันให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดความร่วมมือกันในการดูแลรักษาผู้ป่วยอย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น

ชาวบ้านมักมีความเชื่อและความกลัวอย่างผิดๆเกี่ยวกับการรักษากระดูกหักของแพทย์ เช่น

เชื่อว่าใส่เฝือกปูนหนาๆ อาจทำให้เนื้อเน่าอยู่ภายในเฝือก

รู้สึกว่าการให้ผู้ป่วยนอนบนเตียงและใช้น้ำหนักถ่วงกระดูกให้เข้าที่เป็นเรื่องที่น่าทรมาน หรือไม่ก็คิดว่าแพทย์ไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้น

กลัวที่จะถูกตัดแขนตัดขา เป็นต้น ดังนั้น แพทย์ผู้รักษาควรใช้หลักจิตวิทยาในการพูดคุยชี้แจงผู้ป่วยเข้าใจในวิธีการรักษาของแทพย์

การปฐมพยาบาลกระดูกหัก

ถ้ามีเลือดออก ควรทำการห้ามเลือด ดังนี้

ถ้าบาดแผลเล็ก ควรให้ผ้าสะอาดพับทบหนาๆ หลายชั้น วางบนปากแผล แล้วใช้นิ้วหรืออุ้งมือกดห้ามเลือด หรือใช้ผ้าพันรัดให้แน่น

ถ้าบาดแผลใหญ่ และเลือดไหลรุนแรง ควรใช้ผ้า เชือกหรือสารยางรัดเหนือบาดแผลให้แน่น เรียกว่า การัดทูร์นิเคต์ ควรคลายเชือกทุกๆ 15 นาที โดยคลายนานครั้งละ 0.5 - 1 นาที ถ้าเลือดยังไม่หยุดก็รัดกระชับเข้าไปใหม่

ก่อนเคลื่อนย้ายผู้ป่วยควรทำการดามกระดูกส่วนที่หัก โดยใช้แผ่นไม้ กระดาษแข็ง กระดาษหนังสือพิมพ์พับทบหลายๆ ชั้นทำเป็นเฝือกวางแนบส่วนที่หักโดยให้ปลายทั้ง 2 ครอบคลุมถึงข้อที่อยู่เหนือและใต้ส่วนที่หัก ใช้ผ้าพันยึดไว้ไม่ให้เคลื่อนไหว ถ้าเป็นปลายแขนหรือมือให้ใช้ผ้าคล้องคอ ถ้าเป็นที่ขา อาจใช้ขาข้างที่ดีทำเป็นเฝือกแทน โดยใช้ผ้าหรือกระดาษหนาๆ วางคั่นตรงกลางขาทั้งสองข้างแล้วใช้ผ้าพันรอบขาทั้ง2 ข้างหลายๆเปราะ

ถ้ากระดูกโผล่ออกนอกเนื้อ ห้ามดึงกระดูกให้กลับเข้าที่ เพราะจะทำให้เชื้อโรคและสิ่งสกปรกจากภายนอกเข้าไปในบาดแผล ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย ควรใช้ผ้าสะอาดปิดปากแผล แล้วใช้เฝือกดาม แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาลถ้าโรงพยาบาลอยู่ไกล ควรให้กินยาปฏิชีวินะ เช่น เพนวี ถ้าปวดมาก ให้กินยาแก้ปวด ถ้ามีภาวะช็อก ควรให้น้ำเกลือ

กระดูกซี่โครงหัก (Rib fracture)

กระดูกซี่โครงหัก มักเกิดจากแรงกระแทกถูกบริเวณซี่โครงโดยตรง เช่น ถูกตี ถูกเตะ หกล้มกระแทกถูกพื้นหรือมุมโต๊ะ ถูกรถชน เป็นต้น ส่วนมากจะไม่มีอาการรุนแรงและค่อยๆ หายได้เองส่วนน้อยอาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการปวดขณะก้มงอ บิดตัว หรือหายใจแรงๆ และเมื่อใช้นิ้วกดถูกเบาๆ จะรู้สึกเจ็บ ถ้ากระดูกหักรุนแรง ทิ่มแทงถูกเนื้อปอด อาจทำให้เกิดภาวะมีลมในช่องหรือปอดทะลุ หรือมีเลือดออกในช่องปอด (Hemothorex) ผู้ป่วยจะมีอาการหอบตัวเขียว ไอออกเป็นฟองเลือดสดๆ หรือช็อก หน้าอกเคาะโปร่ง (ถ้ามีลมในช่องปอด) หรือเคาะทึบ (ถ้ามีเลือดในช่องปอด) ถ้ามีบาดแผลที่ผิวหนัง ทะลุถึงในปอด จะมีลมจากภายนอกผ่านบาดแผลเข้าไปในช่องปอด ทำให้เกิดภาวะมีลมในช่องปอดได้เช่นกัน ถ้ากระดูกซี่โครงหักหลายแห่ง (มักพบในกรณีที่เกิดจากรถชน รถคว่ำ) อาจทำให้เกิด ภาวะอกรวน (Flail chest) จะมีอาการหอบ ตัวเขียว ช็อก และหายใจผิดธรรมดา คือหน้าอกส่วนนั้นจะยุบลงเวลาหายใจเข้า และโป่งขึ้นเวลาหายใจออก ซึ่งตรงกันข้ามกับหน้าอกส่วนที่ปกติ ภาวะอกรวมมักเกิดในคนอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไปมากกว่าตนหนุ่มสาว

การรักษา

ถ้ามีอาการหอบ ตัวเขียว ช็อก หรือสงสัยมีลมหรือเลือดอยู่ในช่องปอด หรือสงสัยมีภาวะอกรวน ควรส่งโรงพยาบาลด่วน ถ้ามีแผลที่ผิวหนังทะลุถึงปอด ให้ใช้ผ้าสะอาดหรือผ้าก๊อชหนาๆ ปิดอุดรูรั่ว ถ้ามีภาวะอกรวน ให้ใช้มือกดบริเวณนั้นไว้ หรือให้ผู้ป่วยนอนตะแคงให้ส่วนนั้นทับบนหมอน หรือใช้ผ้าขาวม้าหรือผ้าเช็ดตัวพับหลายๆทบ วางบนส่วนนั้น แล้วใช้ผ้าพันไว้ไม่ให้หน้าอกยุบพองอีก

ถ้ากระดูกซี่โครงหักแบบธรรมดา ไม่มีภาวะแทรกซ้อนดังกล่าว เพียงแต่รู้สึกเจ็บปวด ขณะเคลื่อนไหวหรือหายใจแรงๆ ให้นอนพักพยายามเคลื่อนไหวให้น้อย ที่สุด อย่าหายใจเข้าออกแรงๆ และให้กินยาแก้ปวด ไม่จำเป็นต้องใช้ผ้าพันหรือเข้าเฝือกรอบหน้าอก อาการเจ็บปวดจะค่อยๆดีขึ้น อาจกินเวลา 1 - 2 สัปดาห์ และอาจกินเวลาเป็นเดือนๆ กว่าจะอาการปวดจะหายขาด ถ้าอาการปวดไม่ทุเลาขึ้นใน 1 - 2 สัปดาห์ หรือมีอาการหายใจหอบ ไอเป็นเลือดสดๆ ซึดหรือสงสัยมีภาวะแทรกซ้อน ควรส่งโรงพยาบาล

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ 5001023016 (ฟาร์)

เคล็ดลับหลับสบาย..

สำรวจว่าห้องนอนอากาศถ่ายเทสะดวกหรือเปล่า

อันนี้เป็นตามหลักสุขศึกษาเบื้องต้นเลย ถ้าเปิดแอร์อุณหภูมิควรอยู่ที่ 20-25 องศาเซลเซียส แน่นอนค่ะว่าถ้าอากาศร้อนอบอ้าว ทำให้เรานอนไม่หลับกระสับการะส่าย

ก่อนเข้านอนให้อาบน้ำร้อน

เพราะจะช่วยผ่อนคลายร่างกายและใจที่เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามาทั้งวัน ถ้าที่บ้านมีอ่างอาบน้ำให้หยดลาเวนเดอร์หรือคาโมไมล์ลงไปสักหน่อย จะช่วยให้หลับสบายขึ้น เมื่ออาบเสร็จอย่าลืมทาโลชั่น เพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว และหาชุดนอนนุ่มสบายมาใส่

หลีกเลี่ยง ชา กาแฟ และเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์

ในตอนเย็นหรือหัวค่ำ ให้มาเลือกดื่มชาสมุนไพรย่างชาคาโมไมล์ หรือชาลาเวนเดอร์แทน หรือจะเป็นนมอุ่น ๆ ช็อกโกแลตร้อนสักแก้วก็จะทำให้หลับง่ายขึ้น

ไม่ควรรับประทานอาหารเย็นแบบใกล้เวลาเข้านอนมากเกินไป

เพราะจะทำให้กระเพาะคุณทำงานหนัก ถ้าเป็นได้คืออย่ารับประทานมื้อเย็นหลัง 1 ทุ่มเลยค่ะนอกจากนั้นขอแนะนำให้เลือกอาหารเบา ๆ ย่อยง่าย จำพวกปลานึ่งผักนึ่ง หลีกเลี่ยงพวกอาหารไขมัน เนื้อสัตว์ เครื่องเทศ และเครื่องปรุงรสจัด ๆ ค่ะ

ก่อนเข้านอนสัก 3 ชั่วโมง พยายามตัดเรื่องคร่ำเคร่งออกจากตัวจากใจ

ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะขนงานมาทำหรืออ่านหนังสือประเภทตื่นเต้น ลึกลับ เพราะนอกจากทำให้คุณวางหนังลือไม่ลงแล้ว ยังทำให้เกิดความตื่นเต้นก่อนนอนอีกแต่ให้หาเพลงเบา ๆ ฟังแทน อาจเป็นเพลงพวกนิวเอจ เพื่อการผ่อนคลาย ซึ่งเดี๋ยวนี้มีให้เลือกเยอะทีเดียว

แต่ละคนมีนาฬิกาชีวิตของคุณเอง

ลองสังเกตดูดี ๆ สิว่าคุณหิวข้าวตอนไหน และง่วงนอนตอนไหน ถ้าเกิดอาการง่วงเหงาหาวนอน หนังตาหย่อน แสดงว่าคุณต้องนอนแล้วละ ให้รีบนอนทันที เพราะถ้าเลยเวลานอนไปคุณอาจนอนไม่หลับเลย และเมื่อได้ เวลาทองของตัวเองแล้ว ก็โปรดจำไว้ และพยายามทำให้เป็น

หนาวๆร้อนๆ ดูแลสุขภาพด้วยนะคับ

เดี๋ยวไม่มีคัยมาสอนแฮนด์บอล.....หุหุ.

สุทธิรา หาญยุทธ ม. ฟาร์

6 ข้อควรจำก่อนตรวจภายใน!!!

คุณผู้หญิงหลายคนมักกังวลเมื่อต้องมีนัดกับคุณหมอสูตินารี เพื่อตรวจภายใน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับผู้หญิงอายุ 35 ปีขึ้นไป เพื่อตรวจเช็คความปกติของมดลูกและมะเร็งปากมดลูก อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง

- ทำความสะอาด ก่อนไปตรวจควรทำความสะอาดภายนอก โดยใช้สบู่ธรรมดา ไม่ต้องใส่น้ำหอม แป้ง หรือฉีดสเปร์ย์ดับกลิ่น

- ไม่ควรไปตรวจช่วงมีประจำเดือน

- ไม่ควรสวนหรือล้างภายในช่องคลอด เพราะอาจล้างเอาส่วนที่เป็นสาเหตุของโรคนั้นออกไป

- ไม่ควรโกนขน เพราะมีผลเสียต่อการตรวจได้เช่นกัน เช่น ทำให้หมอวินิจฉัยโรคทางพันธุกรรมบางอย่างไม่ได้ เพราะต้องอาศัยดูจากขนด้วย

- สวมกระโปรงหรือกางเกงหลวมๆ ที่สามารถถอดออกง่าย เพื่อความสะดวกในการตรวจ

- งดการมีเพศสัมพันธ์ก่อนตรวจ

การตรวจภายในครั้งต่อไป คงช่วยให้หลายคนสบายใจขึ้นนะค๊ะ...

น.ส.อัญชลี อินทะรส วิทย์ออก เลขที่ 64

สวัสดีค่ะ อ. กั้ม วันนี้หนูได้เข้าเว็บแล้วไปเจอบทความหนึ่ง อยากให้ อ. มาอ่านดู หนูได้บทความของกระทรวงสาธารณะสุข

โภชนาการกับการออกกำลังกาย

วัยเรียนและวัยรุ่น เป็นวัยที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว จึงจำเป็นต้อง

ได้รับอาหาร 5 หมู่ ในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตและสุขภาพ

ที่ดี อย่างไรก็ตาม การเจริญเติบโตและสุขภาพของร่างกายจะสมบูรณ์ได้ไม่เต็ม

ที่ถ้าปราศจากการออกกำลังกาย วัยเรียนและวัยรุ่นเป็นวัยที่มีกิจกรรมการเล่น และ

การออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาค่อนข้างมาก การออกกำลังกายที่เหมาะสมจะช่วย

ให้ร่างกายใช้ประโยชน์จากอาหารที่กินอย่างมีประสิทธิภาพ และกระตุ้นให้มีการ

หลั่งฮอร์โมนสำหรับการเจริญเติบโต ดังนั้นการส่งเสริมให้เด็กได้รับอาหารที่

เหมาะสมร่วมไปกับการออกกำลังกายอย่างเพียงพอจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อการ

เจริญเติบโตโดยเฉพาะความสูงและสุขภาพของเด็กทั้งในปัจจุบันและเมื่อเติบโต

เป็นผู้ใหญ่

เด็กที่ออกกำลังกายมากหรือเป็นนักกีฬา จะมีการใช้พลังงานมากกว่า

เด็กทั่วไป และมีการสูญเสียน้ำและแร่ธาตุมากขึ้น จึงควรกินอาหารที่ให้พลังงาน

อย่างเพียงพอสมดุลกับกิจกรรมที่ใช้ในแต่ละวัน โดยควรเพิ่ม ข้าวแป้ง ผลไม้

หรือน้ำผลไม้ เพื่อเพิ่มพลังงาน และดื่มน้ำให้เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องกินผลิตภัณฑ์

เสริมอาหาร หรือดื่มเครื่องดื่มประเภทเกลือแร่ และเครื่องดื่มชูกำลัง

โชติกา แจ้งกระจ่าง เลขที่5 วิทย์ออก

สำหรับคนชอบนอนดึกตื่นสายนะคะ

นอนดึกและตื่นสายช่วงวันหยุด ทำให้นาฬิกาในร่างกายถูกปรับให้สายขึ้น ส่งผลให้รู้สึกงัวเงียในช่วงเช้าวันจันทร์ ซึ่งทำให้ภาวการณ์เรียนรู้บกพร่องและขาดสมาธิ

อีกทั้งยังมีผลการวิจัยจากอีกหลายประเทศระบุชัดเจนว่า การที่เด็กหรือวัยรุ่นอดนอน นอนน้อย นอนดึก หรือนอนไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย มีผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของร่างกายด้วย อาทิ รูปร่างเตี้ย ไม่แข็งแรง ความสามารถในการเรียนรู้น้อยกว่าคนที่นอนหลับอย่างเพียงพอ

เนื่องจากในระหว่างการหลับสนิท โกรทฮอร์โมนจะหลั่ง ส่งผลให้คนที่เจริญเติบโตยังไม่เต็มที่ร่างกายสูง แข็งแรง ส่วนในคนที่ร่างกายเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว จะช่วยให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แจ่มใสร่าเริง

ซึ่งช่วงเวลาโดยเฉลี่ยที่ควรนอนในแต่ละวันควรอยู่ที่ 8 ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม แต่ละช่วงวัยต้องการการนอนที่แตกต่างกัน เด็กจะต้องการนอนมากกว่าผู้ใหญ่

โดยผู้เชี่ยวชาญโดยทั่วไปแนะนำให้วัยรุ่นนอนไม่ต่ำกว่าคืนละ 9 ชั่วโมง แต่ในความเป็นจริงแล้ววัยรุ่นส่วนใหญ่นอนหลับเพียงคืนละ 7 ชั่วโมงเท่านั้น ดังนั้นถ้าไม่อยาก โง่เตี้ย ขาดสมาธิ ก็จงอย่านอนดึกตื่นสายจนติดเป็นนิสัยเด็ดขาด

***ข้อมูลจากdek-d.com***

วาณิช กลิ่นบ้านหม้อ วิทย์ออก เลขที่15

วันนี้มีบทความมาฝากสาวๆที่อยากลดน้ำหนักแบบไม่เหนื่อย

สถาบันสุขภาพจิตสหรัฐฯ ออกมาแนะนำว่า หากอยากลดน้ำหนักแบบสบายๆ ให้ นอนตื่นสายขึ้นอีกวันละ 1-2 ชม. พร้อมกับยังเตือนว่า การอดนอนจะยิ่งทำให้อ้วนขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญของสถาบันอธิบายเป็นเชิงว่า เหตุที่นอนนานขึ้นจะทำให้น้ำหนักลดได้ เนื่องจากสารเลพติน สารเคมีที่ร่างกายปล่อยออกมาตอนหลับ เป็นตัวควบคุมไขมันในตัวอยู่ โดยจะคอยส่งสัญญาณเมื่อเราอิ่มให้รู้

นักวิจัยได้ศึกษาด้วยการคอยติดตามนิสัยการนอนของกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ใหญ่ วัยระหว่าง 27-40 ปี จำนวนเกือบ 500 ราย มาเป็นเวลานาน 13 ปีกว่า ระหว่างช่วงเวลาดังกล่าว พวกผู้หญิงนอน เฉลี่ยแล้วน้อยลง จาก 7.7 ชม. เป็น 7.3 ชม. ในขณะ ที่ฝ่ายชาย จาก 7.1 ชม. เหลือแค่ 6.9 ชม. และทั้งหมดพากันมีน้ำหนักเฉลี่ยเพิ่มขึ้นคนละ 5 ปอนด์

ในเวลาเดียวกัน ดร.สัญชัย ปาเตล ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการนอน โรงเรียนแพทย์มหาวิทยาลัย ฮาร์วาร์ด ให้ความเห็นว่า มีสารเคมีและฮอร์โมนหลายชนิด ทำหน้าที่คอยควบคุมความหิว และการเพิ่มของน้ำหนักตัวอยู่ "หากเรานอนนานขึ้นสักชั่วโมงหรือสองชั่วโมง จะไปกระทบสิ่งเหล่านี้ได้อย่างมาก" อย่างเช่น เคยพบในการศึกษาที่แล้วมาว่า อาสาสมัครที่ถูกทำให้อดนอน จะมีระดับของเลพตินลดต่ำลงอย่างชัดเจน "การทำให้มันมีระดับต่ำลง อาจจะทำให้ความหิวเพิ่มขึ้น"

(ที่มา teenee.com) (หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ)

*** เคล็ดลับการรักษาสุขภาพเบื้องต้น ***

ความลับของการมีสุขภาพดีและยืนยาวได้ ไม่ได้อยู่ที่การได้กินยาอายุวัฒนะจากท้องทะเลลึก หรือการใช้สารสกัดจากดอกไม้ล้านปีแห่งยอดเขาหิมาลัย หรือการดื่มโสมพันปีจากเทือกเขาลี้ลับ แต่ได้จากการดำรงชีวิตและการกินอยู่อย่างง่าย ๆ เพียงไม่กี่อย่างในชีวิตประจำวันเท่านั้นก็สามารถที่จะทำให้ความสุขอยู่กับสุขภาพดี มีพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย หรือเป็นโรคฮิตที่นำความพิการและความจำกัดมาสู่ชีวิต

เป็นเรื่องน่าสนใจที่การศึกษาเกี่ยวกับสุขภาพดีจำนวนมากมักจะแสดงผลที่บ่งชี้ ให้เห็นถึงการปฏิบัติง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างหนึ่งของการศึกษาที่โด่งดังมีผลการศึกษาเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในกลุ่มนักวิชาการสาธารณสุข คือ การศึกษาของ น.พ.เบลล็อค และ เบรสโล จากแคลิฟอร์เนีย ได้ศึกษาถึงปัจจัยที่ทำนายความยืนยาวของอายุและปัจจัยส่งเสริมให้มีสุขภาพดี 7 ประการ โดยพบว่า หากเราได้ปฏิบัติสิ่งเหล่านี้จริงจัง จะส่งผลดีต่อสุขภาพและมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น

*** ปัจจัยดังกล่าวประกอบด้วย ***

1) นอนหลับวันละ 7-8 ชั่วโมง

2) รับประทานอาหารเช้าเป็นประจำ

3) ไม่รับประทานอาหารจุกจิกระหว่างมื้อ

4) รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

5) ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

6) ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ งดดื่มแอลกอฮอล์

7) ไม่สูบบุหรี่

จะเห็นว่าพฤติกรรมสุขภาพเหล่านี้ ทุกคนสามารถทำได้ตลอดเวลาทุกสถานที่และทุกฐานะ สิ่งที่คุกคามสุขภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนเรา ปัจจุบันนี้จึงไม่ได้อยู่ที่การขาดวิตามิน หรือ สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ แต่เกิดจากการประเมินค่าความสำคัญของการปฏิบัติที่สุขภาพดีต่ำเกินไป จึงมีคนนำข้อควรปฏิบัติไปใช้ในชีวิตประจำวันน้อยจนถึงไม่สนใจเลย ในบางตัวอย่างหรือปัจจัยที่ได้จากการศึกษาที่กล่าวถึงประการหนึ่งในชีวิตประจำวัน หากเราสามารถทำได้จนเป็นนิสัยแล้ว จะก่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ จะทำให้เห็นความแตกต่างของพละกำลังกับความอ่อนเพลีย

ระหว่างความสดชื่นกับความหดหู่ ระหว่างสุขภาพและความเจ็บป่วย คือ การดื่มน้ำอุ่น 1-2 แก้วหลังตื่นนอนตอนเช้า เหตุผลคือ ในตอนกลางคืนขณะหลับอุณหภูมิของร่างกายลดลง เลือดจะถูกดึงจากแขน-ขา หรือเรียกว่าส่วนปลายของร่างกายเข้าสู่ส่วนกลางอันเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกายและผิวหนัง การดื่มน้ำอุ่น 1-2 แก้วหลังตื่นตอนจะส่งผลให้มีการแผ่กระจายตัวของอุณหภูมิ ทำให้เส้นเลือดส่วนปลายซึ่งหดเล็กลงในตอนกลางคืนขยายตัวออก ช่วยให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น และทำให้ผิวหนังอุ่นขึ้น เหตุผลอีกอย่างที่สำคัญคือ ช่วยลดภาวะท้องผูกโดยเฉพาะสตรีตั้งครรภ์และผู้สูงอายุ ที่มักจะประสบภาวะท้องผูก การดื่มน้ำอุ่นในตอนเช้า จะกระตุ้นการทำงานโดยเฉพาะ การเคลื่อนไหวของลำไส้ ช่วยให้การขับถ่ายได้สะดวก ผลระยะยาวจะทำให้เกิดความสดชื่น มีการทำงานที่ดีของร่างกาย กระเพาะอาหาร และลำไส้มีความพร้อมในการทำงาน คือการย่อยและดูดซึมเมื่อถึงมื้ออาหาร ผู้ที่ปฏิบัติอยู่เป็นประจำจะบอกได้ถึงความแตกต่างที่กล่าวถึง

การเริ่มต้นดื่มน้ำอุ่นในตอนเช้าของคนที่ไม่เคยปฏิบัติมาก่อน อาจจะเริ่มด้วยการดื่มน้ำอุ่นแก้วเล็ก ๆ แล้วค่อยเพิ่มปริมาณขึ้น จนได้ขนาดแก้วละ 250 ซีซี หรือมากกว่า ถ้ายังทำไม่ได้ตามแผน อาจจะต้องเขียนโน้ตติดไว้หน้ากระจกเตือนตัวเองว่าวันนี้คุณดื่มน้ำหรือยัง หรือจะให้น่าดื่มและเชิญชวนให้ดื่มได้มากขึ้น อาจจะบีบน้ำมะนาวลงไปเล็กน้อย หรือจะเป็นชาสมุนไพรก็ไม่มีข้อห้ามแต่อย่างใด

แค่นี้คุณก็มีสุขภาพดีได้ตั้งแต่ตอนเช้า ลองหันมาปฏิบัติอย่างจริงจังทุกวัน แล้วเพิ่มข้อปฏิบัติอื่น ๆ ที่กล่าวไว้ติดตามมาก็จะทำให้คุณมีสุขภาพดี อายุยืนยาว ไม่ต้องหันไปพึงยาหรือสารสกัดใดให้เสียเงินโดยไม่จำเป็น........

นางสาว เลปวรรณ จันต๊ะคาด (ม.ฟาร์อีสเทอร์น)

กลุ่มคนอ้วนหรือมีน้ำหนักเกิน

คำแนะนำ

-การควบคุมน้ำหนักจะต้องรับประทานอาหารให้พลังงานที่ได้รับและใช้ไปเกิดความสมดุล

-การลดน้ำหนักจะต้องค่อยลดพลังงานที่ได้รับจากอาหารโดยที่ไม่ขาดสารอาหาร และเพิ่มการออกกำลังกาย

-สำหรับเด็กที่มีน้ำหนักเกินจะต้องปรึกษาแพทย์ดูแล ก่อนการจำกัดอาหาร

-สำหรับคนท้องต้องควบคุมน้ำหนักอย่าให้เกิน

-สำหรับคนทั่วไปที่มีโรคจะต้องปรึกษาแพทย์ก่อนการควบคุมอาหาร

การจัดการเรื่องน้ำหนัก

ปัญหาเรื่องคนอ้วนหรือน้ำหนักเกินเป็นปัญหาทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย นอกจากนั้นยังว่าว่าเด็กและเด็กวัยรุ่นมีปัญหาเรื่องน้ำหนักเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคเรื้องรังต่างๆตามมา คนที่มีน้ำหนักเกินมักจะเกิดจากพฤติกรรมในการรับประทานอาหารที่มากเกินไป และพฤติกรรมในการออกกำลังกายน้อยเกินไป ลำพังการลดปริมาณวันละ 100 กิโลแคลอรีก็จะป้องกันน้ำหนักเพิ่ม หรือลดปริมาณลงวันละ 500 กิโลแคลอรีก็จะทำให้น้ำหนักลดลงได้ แต่การลดน้ำหนักโดยให้ลดอาหารเป็นเรื่องยากจึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใส่น้ำตาล หรือการรับประทานอาหารมัน หรือเครื่องดื่ม คำแนะนำสำหรับการลดน้ำหนัก

-การรักษาน้ำหนักให้ดีต้องปรับพลังงานที่ได้จากอาหารที่รับประทาน ให้สมดุลกับพลังงานที่เราใช้(น้ำหนักเท่าเดิม)

-การป้องกันน้ำหนักเกินทำได้โดยการลดปริมาณอาหาร ลดน้ำตาล และเพิ่มการออกกำลังกาย

วุ้นลูกตาเสื่อม (Vitreous degeneration) **ตอนแรกนึกว่าวุ้นในลูกตาลเชื่อมเหอะๆ**

เนื่องด้วยปัจจุบัน ได้มีร้านอินเตอร์เน็ตหรือร้านเกมส์เยอะและมีคนเล่นเกมส์และเน็ตเป็นเวลานาน รวมถึงคนที่ทำงานที่ต้องอยู่หน้าคอมเป็นเวลานาน ควรพึงระวังไว้เกี่ยวกับโรคภัยที่จะตามมากับการอยู่หน้าคอมเป็นระยะเวลานานๆ

เตือนคนที่ใช้คอมพิวเตอร์บ่อย ไม่ว่าจะใช้เล่นเกมส์ หรือใช้ว่าทำงานลองอ่านดูนะ แล้วก็ดูแลตัวเองด้วย ตอนนี้ในประเทศไทยมีคนเป็นโรค "วุ้นในลูกตาเสื่อม" ถึง 14 ล้านคนแล้วครับจากข้อมูลทางหนังสือพิมพ์?? นี่เฉพาะแค่ที่มีข้อมูลบันทึกไว้นะครับ คนที่ไม่รู้ตัวเองว่าตัวเองก็เป็นจะมากขนาดไหน

ผมคิดว่า ในขณะที่คุณอ่านข้อความของผมนี้จากทางเนตบางคนก็เป็นแต่ไม่รู้ตัวครับ

อาการก็คือ : คุณจะเห็นเป็นคราบดำๆ เหมือนยักใย่ ลอยไปลอยมา เหมือนคราบที่ติดกระจกน่ะครับ จะเห็นชัดก็ต่อเมื่อ คุณมองไปยังภาพแบล็คกราวนด์ที่มีสีสว่าง เช่น ท้องฟ้าขาวๆ ฝาห้องขาวๆ ฝาห้องน้ำขาวๆ จะเห็นเป็นคราบดำๆ ลอยไปลอยมา ถ้าอาการมากกว่านั้นก้อคือ ประสาทตาฉีกขาด คุณจะมองเห็นแสงแฟลชในที่มืด ไม่ว่าหลับตาหรือลืมตา (น่ากลัวมากๆ) และถึงขั้นนี้จะต้องผ่าตัด (ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันว่าจะดีเหมือนเดิม จะตาบอดหรือไม่ ?)

สาเหตุของโรคนี้คือ : การใช้สายตามากเกินไป (เล่นคอม)

แต่ ก่อนโรคนี้จะเกิดกับผู้สูงอายุ หรือ คนที่มีอาชีพใช้สายตามากๆ เช่น ช่างเจียรไนเพชรพลอย ที่ต้องใช้สายตาเพ่งมากๆ แต่เดี๋ยวนี้คนเป็นโรควุ้นในลูกตาเสื่อมกันมากเพราะ เล่นเนต หรือ เล่นคอม

คุณฟังไม่ผิดหรอกครับ เดี๋ยวนี้คนเป็นโรคนี้กันมากเพราะเล่นคอมนี่แหละ ถาม ว่าทำไม คนเล่นเนต เล่นคอม ถึงเป็นกันมาก? ไม่ว่าคุณจะเล่นเนต,เล่นเกมส์,อ่านไดอารี่,อ่านบทความ,อ่านหนังสือ หรืออะไรก็ตาม ที่อยู่บนจอคอมพิวเตอร์ ล้วนทำให้สายตาคุณเสียได้ทั้งสิ้น เพราะว่า ถ้าคุณอ่านหนังสือที่เป็นแผ่นกระดาษธรรมดาๆ ระยะห่างระหว่าง ลูกตา กับ ตัวหนังสือ จะคงที่แน่นอน เพราะขอบของตัวหนังสือจะคมชัด ทำให้สมองกะระยะโฟกัสได้ถูกต้องแน่นอน กล้ามเนื้อและประสาทตา จึงทำงานค่อนข้างคงที่

แต่ ! ตัวหนังสือบนจอคอมพิวเตอร์นั้น มีลักษณะเป็นจุดๆ ประกอบกัน เหมือนแขวนลอยบนจอ ขอบของตัวหนังสือไม่ชัด สมองจะสับสนในการปรับระยะโฟกัส (เพราะจอแก้ว จะมีความหนาของแก้ว แต่เรามองผ่านมันไป และจอ LCD เราก้อต้องมองผ่านเข้าไปเหมือนกัน ตัวหนังสือมันไม่ได้ติดอยู่ด้านบนเหมือนอยู่บนแผ่นกระดาษ การปรับระยะโฟกัสจึงไม่แน่นอน )

บวก กับลักษณะการอ่านหน้าหนังสือในคอมนั้น จะต้องใช้เม้าส์จิ้ม ลากแถบด้านข้างจอ เพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือขึ้นลง เพื่อจะอ่านบรรทัดด้านล่างได้ หรือไม่ก็ใช้ลูกหมุนที่อยู่บนเม้าส์ หมุนเพื่อเลื่อนบรรทัดหนังสือ แต่การเลื่อนบรรทัดนี้ มันไม่เหมือนกับการอ่านหนังสือจากแผ่นกระดาษที่แขนกับคอ จะปรับการมองขึ้นลงโดยอัตโนมัติ มีระยะที่แน่นอน สัมพันธ์กัน

แต่ ว่าการเลื่อนบรรทัดด้วยแถบด้านข้างหรือลูกกลิ้งบนเม้าส์นั้น มันจะมีลักษณะการเลื่อนแบบกระตุกๆ (คุณสังเกตุดู) มันจึงทำให้ปวดตามากๆ เพราะลูกตาจะต้องลากลูกตา เลื่อนตามบรรทัดที่กระตุกๆ นั้นไปตลอด บวกกับ การพิมพ์ตัวหนังสือนั้นบางที คุณต้องก้มเพื่อมองนิ้วว่ากดตำแหน่งบนแป้มพิมพ์ถูกตัวอักษรหรือไม่ ทำให้เดี๋ยวก้ม เดี๋ยวเงย ลูกตาปรับโฟกัสบ่อยเกิน ทำให้ลูกตาทำงานหนัก กว่าจะพิมพ์งานเสร็จคุณจะปวดตามากๆ

อย่างเด็กนักศึกษา เร่งพิมพ์รายงานส่งอาจารย์ ติดต่อกันข้ามคืน สองสามวัน ตาจะปวดมากๆ รวมทั้งเวลาการเปิดโปรแกรม word ในการพิมพ์ตัวหนังสือมักจะมีสีพื้นที่เป็นสีสว่าง (ที่นิยมก็คือ ตัวหนังสือดำ พื้นสีขาว ) สีพื้นที่สว่างขาวจ้า นี่เอง ทำให้ตาคุณจะเกิดอาการแพ้แสง ถ้ามีการพิมพ์ติดต่อกันนานๆ เพราะจ้องจอสีขาวนานเกินไป หรือไม่ก็ในคนที่ชอบเล่นเกมส์บ่อยๆ มักจะมีการปรับแสงสว่างให้จ้าที่สุด

เพราะ เวลาเล่นเกมส์ ภาพพื้นหลังของเกมส์มักจะมืดๆ เป็นสีกำแพง เป็นสีปราสาท มันจะให้สีสวยสดดี แต่การทำแบบนี้มีข้อเสียคือ บางทีคุณหรือพี่น้องของคุณมาใช้คอมเครื่องนั้นต่อ จะทำให้บางครั้งลืมปรับความสว่างกลับมาให้มืดเหมือนเดิม จากที่แค่สว่างพอที่จะพิมพ์รายงาน กลายเป็นจ้องจอสว่างจ้าตลอดคืนไม่รู้ตัว สรุปก็คือ

1. การมองตัวหนังสือที่แขวนลอยอยู่ในจอ โฟกัสไม่แน่นอน กล้ามเนื้อลูกตาทำงานหนัก "ทำให้สายตาเสีย"

2. การเลื่อนตัวหนังสือและแถบบรรทัด ในหน้าคอม หรือ หน้าเนต มันจะเลื่อนแบบเป็นกระตุกๆ ทำให้สายตาเสีย การกระตุกๆ ของแถบบรรทัดนี่เองที่ทำให้สายตาเสีย ถ้าคุณอ่านหนังสือจากเวปมากๆ คุณจะติดนิสัยเสียอย่างนึงติดตัวไปคือ คุณจะติดนิสัย มองอะไรก็ตาม ไม่ว่าใกล้ไกล จะปรับโฟกัสมองเพ่งอยู่เสมอ ผลก็คือ กล้ามเนื้อตาทำงานหนัก คุณจะเริ่มมองของที่อยู่ไกลๆ เบลอๆ คุณจะไม่สามารถปรับโฟกัส มองของใกล้ แล้วมองไกล ได้ทันทีเหมือนเคย (กล้ามเนื้อประสาทลูกตาจะล้า การปรับโฟกัสลูกตาเริ่มช้าลง)

3. การก้มๆ เงยๆ มองแป้นพิมพ์ และมองจอคอม กลับไปกลับมา "ทำให้สายตาเสีย"

4. การปรับจอภาพที่มีแสงสว่างจ้า มากเกินไปโดยไม่รู้ตัว "ทำให้สายตาเสีย" ข้อนี้คล้ายๆ กับการเปิดดูทีวีในห้องมืดๆ เป็นประจำ แล้วทำให้สายตาเสียน่ะเอง อย่างเดียวกัน

5. การใช้จอคอม ที่มีความกว้างมากเกิน จอคอมกว้างๆ นั้น เหมาะสำหรับการดูภาพดูหนัง แต่ไม่เหมาะกับการดูตัวหนังสือ เพราะว่า สายตาคนเรานั้นมีระยะการมองตัวอักษรที่ 1 ฟุต (12 นิ้ว) แต่จอคอมสมัยใหม่ กลับมีความกว้าง 17 นิ้ว 19 นิ้ว หรือมากกว่านั้น ซึ่งมันกว้างเกินระยะกวาดสายตามอง จากขอบหนึ่งไปสู่อีกขอบหนึ่ง (ทำให้ปวดทั้งคอ ทั้งลูกตา) แค่คุณนั่งอ่านหนังสือบนจอกว้างแบบนี้หนึ่งชั่วโมง ลูกตาคุณจะทำงานปรับโฟกัส กลับไปกลับมาเป็นพันๆ ครั้ง และถ้าเป็นปี หรือ หลายปี ติดต่อกัน สายตาคุณเสียแน่นอน เพราะฉะนั้น ถ้าคุณจะอ่านหนังสือจากจอคอมขนาดของจอคอมของคุณต้องไม่เกิน 15 นิ้ว

ถาม กลับไปว่า ทำไม กระดาษเอกสารที่ใช้ในการอ่าน การเขียนทั่วไป จึงมีขนาด A4 ? (คำตอบ ก็คือ ความกว้างของกระดาษ A4 ไม่กว้างเกินไป กำลังพอดี ในการกวาดสายตามอง ยังไงล่ะครับ)

และ เป็นคำตอบเดียวกับที่ว่า ทำไมขนาดของจอคอมคุณที่จะเอามาอ่านหนังสือ ไม่ควรเกิน 15 นิ้ว นั่นเอง ส่วนมากคนทั่วไป มักจะคิดไม่ถึงว่า การเล่นคอมทุกวัน ง่ายๆ นั้น จะเป็นสาเหตุ ที่สามารถทำให้ตาบอดได้ ถ้าเกิดรุนแรง เพราะกว่าจะรู้ตัวไปหาหมอ หมอก็อาจจะบอกว่าคุณไม่สามารถรักษาหายได้แล้ว และต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเท่านั้น!!!

ผม จึงอยากจะฝากประโยคเอาไว้ให้คนที่เล่นคอมทุกคนว่า คอมพิวเตอร์นั้น มีไว้สำหรับการค้นหาข้อมูล ไม่ได้มีไว้สำหรับการอ่านเป็นประจำ โดยเฉพาะการอ่าน อะไรก็ตามที่ยาวๆ เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นไดอารี่ หนังสือบนเนต คุณเสี่ยงทั้งนั้น เพราะฉะนั้น เราควรจะกลับมาอ่านหนังสือกระดาษกันเหมือนเดิม ลืมเรื่องเล่นเนต เล่นคอมซะ เพื่อสุขภาพตา

ปกติ ที่เห็นใยแมงมุมดำๆ (เรียกว่า Floaters) เป็นผลจากการเสื่อมสลายของวุ้นในลูกตาจนเกิดเป็นตะกอนข้างใน ไม่ได้เป็นอันตรายครับ เมื่อเวลาผ่านไปตะกอนจะค่อยๆ ลอยออกจากลานสายตาไปอยู่บริเวณขอบๆ มากขึ้นจนเราจะไม่สังเกตเห็นมันไปเอง แต่คนที่เริ่มมีอาการเห็นแสงกระพริบ (Flashing) นั้นน่าสงสัยว่าอาจมีจอประสาทตาลอก (Retinal detachment) หรือวุ้นลูกตาลอก (Posterior vitreous detachment)

คนที่เพิ่งจะเริ่มสังเกตเห็นอาการนี้เป็นครั้งแรก แนะนำให้ไปพบจักษุแพทย์ครับ เพื่อตรวจดูว่าเริ่มมีจอประสาทตาลอก/วุ้นลูกตาลอกแล้วหรือยัง ถ้าแพทย์บอกว่ายังไม่มี เป็นแค่วุ้นลูกตาเสื่อมธรรมดา ก็สบายใจได้ แต่ไม่ใช่สบายจนลืมระวังตัวนะครับ ต้องคอยสังเกตตัวเองด้วยว่าถ้าเห็น Flashing กับ Floater ปริมาณมากกว่าเดิมแบบเฉียบพลัน ควรกลับไปพบแพทย์อีกครั้งครับ

ในคนปกติจะมีการเสื่อมสลายของวุ้นลูกตาอย่างช้าๆ อยู่ตลอดเวลาครับ แต่จะมีอาการเร็วหรือช้าก็ขึ้นกับปัจจัยเสี่ยงของแต่ละคนอีก

คนที่มีสายตาสั้นมากๆ

เคยมีประวัติกระทบกระเทือนลูกตาอย่างรุนแรง

เคยมีการอักเสบหรือติดเชื้อภายในลูกตา

เคยได้รับการผ่าตัดต้อกระจก

คนที่มีวุ้นลูกตาลอกหรือจอประสาทตาลอกมาแล้วข้างหนึ่ง

คนที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรควุ้นลูกตาเสื่อมหรือจอประสาทตาลอก

คนเหล่านี้ก็จะมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดการเสื่อมสลายของวุ้นลูกตาได้เร็วกว่าคนทั่วไป

การป้องกัน

จาก ที่ได้อ่านที่ดอสโพสไว้ การใช้สายตาให้น้อยลงก็อาจเป็นหนทางหนึ่งที่ป้องกันการเกิดได้นะ แต่ว่าในบทความของต่างประเทศส่วนใหญ่จะไม่ได้กล่าวถึงส่วนนี้ การป้องกันที่ดีที่สุดคือ การรู้จักอาการของโรค และระวังตัวเองอยู่เสมอ เมื่อเริ่มสังเกตเห็น Flashing หรือ Floaters ก็ควรพบจักษุแพทย์ทันทีเพื่อตรวจให้แน่ใจว่าไม่มีจอประสาทตาหรือวุ้นลูก ตาลอกเกิดขึ้น เป็นการป้องกันไม่ให้โรคดำเนินไปถึงจุดที่อันตรายนั่นเอง

การ เห็น Floater ถือเป็นความผิดปกติ นะครับ แต่การที่เพิ่งมองเห็นเป็นครั้งแรก ปริมาณไม่มากนัก และได้พบจักษุแพทย์เพื่อยืนยันแล้วว่าไม่มีการเกิดจอประสาทตาหรือวุ้นลูกตาล อก เป็นเพียงแค่วุ้นลูกตาเสื่อม นี่คือไม่อันตรายครับ

แต่ ถ้าเห็นFloater หรือ Flashing ปริมาณมากขึ้นกว่าเดิม อันนี้ต้องเริ่มสงสัยครับว่าโรคได้ดำเนินต่อไปถึงขั้นที่มีการลอกแล้วหรือ เปล่า ถ้าปล่อยไว้นานโดยไม่ใส่ใจถึงปริมาณที่เพิ่มขึ้นอยู่ อาจเป็นอันตรายได้ ซึ่งต้องรีบพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจครับ

การป้องกันปัญหาสุขภาพจากการใช้คอมพิวเตอร์

จาก การที่เราๆ ท่านๆ ต้องทำงานเกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์เวลานานๆ แน่นอนย่อมมีผลเสียกับ สุขภาพ ซึ่งมักจะมีอาการปวดตาและเมื่อยล้าของนัยน์ตาก็คงจะเคยเกิดกับผู้ที่ทำงาน หรือใช้งานคอมพิวเตอร์ ซึ่งจักษุแพทย์ได้พบว่ามีหลายๆ สาเหตุที่ทำให้นัยน์ตาต้องเสี่ยงภัยจากเครื่องคอมพิวเตอร์ เป็นผลทำให้เกิดอาการปวดตา ฉะนั้นจึงขอแนะนำการป้องกันปัญหาสุขภาพจากการใช้ คอมพิวเตอร์ ดังนี้

1. นั่งในท่าที่เหมาะสม และห่างจากจอคอมพิวเตอร์ประมาณ 20-30 นิ้ว

2. จอคอมพิวเตอร์ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 20-26 องศา

3. จัดเอกสารที่ต้องใช้ดูประกอบไว้ใกล้กับจอเครื่องคอมพิวเตอร์จะได้ลดการส่าย ศีรษะไปมามาก และลดการเปลี่ยนระยะการดูของสายตาในระยะที่ต่างกันมาก

4. จัดแสง และแสงสะท้อนจากจอให้ลดลงในระดับที่ตาเรารู้สึกสบาย

5. อย่าให้มีฝุ่นเกาะจอคอมพิวเตอร์ ควรทำความสะอาดเสมอ

6. พักสายตา พักอิริยาบถทุกๆ 20 นาที เพื่อป้องกันตาเมื่อย

7. กะพริบตาบ้าง ถ้ารู้สึกแสบตา หรือใช้น้ำตาเทียมหยดเป็นครั้งคราว

8. จอภาพคอมพิวเตอร์ต้องโฟกัสชัดเจน ตัวหนังสือภาพในจอให้ปรับให้ชัดเสมอ

9. ผู้ ที่มีอายุเกิน 40 ปี และจำเป็นต้องใช้แว่นอ่านหนังสือ ควรใช้แว่นอ่านหนังสือที่เหมาะสม และไม่ควรใช้แว่น 2 ชั้น หรือแว่นไม่มีชั้น เพราะจะทำให้ต้องเงยหน้าอ่านข้อความในจอตลอด ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้ปวดต้นคอเพิ่มขึ้น

การทำงานกับเครื่องคอมพิวเตอร์ล้วนแล้วแต่ส่งผลเสียหายให้กับดวงตาของ เรา ฉะนั้นนัยน์ตาของคนเรานับว่ามีค่ายิ่งควรแก่การทนุถนอมไว้ โดยการหลีกเลี่ยงต้นเหตุ และป้องกันปัญหาสุขภาพไว้ ในระหว่างทำงานอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือวิธีการอื่นๆ เพื่อช่วยให้ดวงตาอยู่กับเราตราบนานเท่านานตลอดไป

ขอบคุณคห.ที่162. สิรพล 50 มากเลยค่ะ ช่วยเตือนสติดิฉันให้ระวังตัวมากขึ้นกว่าเก่า เพราะดิฉันเองก็ทำงานหน้าจอคอมเป็นเวลานานๆเหมือนกัน จนน้ำตาแห้งต้องหยอดน้ำตาเทียมค่ะ

การรักษารากฟัน คืออะไร???

ที่แผนกทันตกรรม โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง

“หมอๆ ผมปวดฟัน จะมาอุดฟัน”

หมอตรวจดูในปาก พบว่าฟันกรามที่คนไข้ชี้ให้ดูมีรอยผุใหญ่และลึก ทะลุโพรงประสาทฟันแล้ว ลุงให้ประวัติว่ามีอาการปวดมาหลายสัปดาห์แล้ว ปวดๆหายๆ เคี้ยวอะไรไม่ค่อยได้ พอหมอลองเคาะฟัน ลุงก็บอกว่าเจ็บ

“ลุงครับ ฟันของลุงผุลึกขนาดนี้ อุดเฉยๆไม่ได้แล้วครับ ถ้าจะให้หายปวดมี 2 วิธีคือรักษารากฟัน หรือไม่ก็ถอนฟันออก”

ลุงทำหน้างง

“โธ่ อุดไม่ได้เหรอหมอ ลุงไม่อยากถอน ไม่อยากฟันหลอ ว่าแต่รักษารากฟัน มันคืออะไรเหรอหมอ”

รักษารากฟัน ( Root canal treatment )

ปกติฟันของคนเรา ประกอบด้วยส่วนต่างๆ3ชั้น

ชั้นแรกคือชั้นเคลือบฟัน (Enamel) มีลักษณะแข็ง เงา เป็นชั้นที่อยู่นอกสุด ถ้าฟันชั้นนี้ผุมักไม่มีอาการใดๆ ถ้าแปรงฟันได้สะอาด ใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์อย่างสม่ำเสมอ รอยผุอาจหยุดอยู่เพียงชั้นนี้ได้

ชั้นที่สอง ชั้นเนื้อฟัน (Dentin) มีลักษณะนิ่มกว่าชั้นเคลือบฟัน เป็นชั้นที่ไวต่ออุณหภูมิและการสัมผัส ถ้าฟันผุถึงชั้นนี้มักมีอาการเสียว เช่นเสียวตอนดื่มน้ำเย็น เสียวตอนแปรงฟัน หรือเสียวตอนกินอาหารหวาน ถ้าฟันผุถึงชั้นนี้สามารถอุดเติมส่วนที่ผุได้

ชั้นที่สาม ชั้นโพรงประสาทฟัน (Dental pulp) เป็นชั้นที่อยู่ในสุด ลักษณะเป็นช่องว่าง มีเส้นเลือดเส้นประสาทมาเลี้ยงฟัน ถ้าฟันผุถึงชั้นนี้ จะมีอาการปวด และหากมีการติดเชื้อภายในฟัน สารพิษจากเชื้อโรคจะถูกกักภายในฟันจนเกิดหนอง และอาจทำให้ปวดมาก หรือมีอาการเหงือกบวม แก้มบวมได้

และอีกกรณีคือฟันที่ถูกกระแทกจากอุบัติเหตุ แรงกระแทกอาจทำให้เส้นเลือดที่มาเลี้ยงฟันขาด ฟันที่ไม่มีเลือดมาเลี้ยงจะเรียกว่าฟันตาย อาจเกิดอาการปวดได้เช่นกัน

วิธีรักษาฟันที่ผุถึงชั้นนี้จึงมี2วิธี คือ 1.ถอนฟันออก เพื่อกำจัดแหล่งเชื้อโรค หรือ 2. รักษารากฟัน เพื่อเก็บฟันไว้

เผยเคล็บลับสุขภาพดีด้วย7อ.

ปัจจุบัน ต้องยอมรับว่า คนไทยมีความตื่นตัวกับกระแสดูแลสุขภาพกันค่อนข้างมาก ด้วยความเชื่อผสมกับความหวังที่ว่า เมื่อใดที่ตัวเลข(อายุ)เพิ่มสูงขึ้นใบหน้ายังดูอ่อนกว่าวัย ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง รวมถึงสามารถป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้อีกด้วย ทว่า คำถามที่มักเกิดขึ้นอยู่เสมอๆ ก็คือ ทำอย่างไรถึงจะทำให้สุขภาพแข็งแรงและไม่เจ็บไข้ได้ป่วย

น.พ.อารีย์ วชิรมโน ผู้เชี่ยวชาญการแพทย์ทางเลือก ให้คำแนะนำว่า ปัจจุบันทางการแพทย์มีความเจริญก้าวหน้า ส่งผลให้คนไทยมีอายุยืนขึ้นจากเดิมเฉลี่ยที่ 60 ปีต้นๆ แต่ขณะนี้เฉลี่ยอยู่ที่ 70 ปี อย่างไรก็ดี การที่มีอายุยืนยาวเพิ่มขึ้นกลับต้องเผชิญปัญหาโรคภัยที่มากขึ้นตามไปด้วย

บางรายถูกคุกคามหนักจนรู้สึกท้อแท้แล้วไม่อยากมีชีวิตอีกต่อไป ซึ่งแน่นอนว่า ยิ่งท้อแท้มากเท่าไหร่มหัตภัยร้าย ยิ่งเข้ามากัดกร่อนบั่นทอนร่างกายและจิตใจเพิ่มมากขึ้น ดังนั้น ผู้ที่ป่วยต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ เพราะถ้าใจเข้มแข็งโรคจะค่อยๆ ถอยออกไปทีละน้อยๆ จนหายไปในที่สุด

ทั้งนี้ เคล็ดลับในการดูแลสุขภาพให้มีอายุยืนพร้อมกับความสุขนั้น น.พ.อารีย์บอกว่า ต้องประกอบไปด้วย 7 อ. ได้แก่ 1. อิทธิบาทสี่ 2 . อารมณ์ 3. อากาศ 4. อาหาร 5. ออกกำลังกาย 6. เอนกาย และ 6. เอาพิษออกจากร่างกาย

สำหรับ 2 อ คือ อิทธิบาทสี่ กับ อารมณ์ เกิดจากจิต เป็นความรู้สึกนึกคิดภายในจิตใจ ถ้าคิดในเชิงบวกจะไม่มีปัญหาต่อสุขภาพแต่อย่างใด แต่วันใดคิดในแง่ลบหรือมีอารมณ์โกรธขึ้นมาเมื่อไหร่จะมีผลต่อสุขภาพทันที เนื่องจากร่างกายมีการกลั่นโฮโมนบางชนิดขึ้นแล้วโฮโมนนี้กลับมาทำร้ายตัวเอง

ดังนั้น สิ่งที่ควรฝึกปฏิบัติคือ ปรับพฤติกรรมยิ้มแย้มแจ่มใส หัวเราะ ร่าเริง ละเว้นอารมณ์โกรธ เพราะอารมณ์โกรธนั้นกลับมีผลร้ายต่อสุขภาพตัวเอง " บางคนโมโหมากจนกระทั่งความดันขึ้น เบาหวานขึ้น หรือบางรายนอนต้องล้มหมอนนอนเสื่อ"

ส่วน อ อากาศ น.พ.อารีย์ กล่าวว่า คนเราไม่กินอาหารได้ 40-50 วัน อดน้ำได้ 3-5 วัน แต่ขาดอากาศเพียง 8-10 นาที หากสังเกตให้ดีๆ จะพบว่าอากาศมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต ดังนั้น ขอแนะเคล็ดลับการสูดอากาศอย่างถูกวิธี (ระหว่างที่อยู่ในสถานที่ที่อากาศบริสุทธิ์) ให้หายใจเข้าไปในปอดให้มาก เพื่อให้ปอดขยายแล้วกลั้นไว้สักครู่ ค่อยหายใจออกทั้งทางปากและจมูก ทำอย่างนี้วันละ 3-4 ครั้งทุกวัน สามารถแก้ปัญหาโรคภูมิแพ้ หอบหืดได้

สำหรับ อ อาหาร อยากให้รับประทานผัก ผลไม้สด และเว้นอาหาร Junk Food ขนมขบเคี้ยว ขณะที่ อ ออกกำลังกาย เป็นอีก อ หนึ่งที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน ควรมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ "คนส่วนใหญ่อ้างว่า ไม่มีเวลาไปออกกำลังกาย โดยให้เหตุผลว่างานเยอะ จริงแล้วคำว่าออกกำลังกายไม่จำเป็นต้องไปวิ่งที่สวนสาธารณะ ต้นแอโรบิก โยคะ อันที่จริงอยู่ที่ไหนก็ออกกำลังกายได้ ด้วยการเดิน โดยก้าวยาวๆ พร้อมแขว่งแขน เหมือนกับทหารเดินสวนสนาม"

น.พ.อารีย์ กล่าวถึง อ เอนกาย(นอน) ว่า การนอนเป็นการพักผ่อน หลังจากที่เราพาร่างกายไปตรากตำทำงานในเวลากลางวันวันละหลายชั่วโมง จึงควรนอนแต่หัวค่ำ พร้อมฝึกให้นอนหลับยาวครั้งเดียวอย่างน้อย 7 ชั่วโมง หากสังเกตว่าวันไหนหลับสนิทตื่นขึ้นมาจะอารมณ์แจ่มใส หน้าตาสดใส เป็นต้น

ส่วน อ เอาพิษออกจากร่างกาย หมายถึงการถ่ายอุจจาระ โดยปกติทุกวันเรารับประทานเข้าไป มีทั้งที่อาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย บางอย่างก็มีพิษต่อร่างกาย จึงจำเป็นต้องถ่ายออกมา เพื่อไม่ให้พิษตกค้างอยู่ที่ลำไส้ใหญ่ "เคยพบบางรายไม่ถ่าย 10 วัน แล้วบอกว่า ปกติ แต่ผู้ตอบไม่รู้ว่า การที่มีกากของเสียอยู่ในร่างกายเป็นเวลาหลายวัน มีผลเสียต่อร่างกาย เพราะร่างกายซึ่งเป็นกลไกอัตโนมัติจะดูดซับเอาของเสียเหล่านี้หล่อเลี้ยงร่างกาย เมื่อของเสียไปเลี้ยงร่างกายนานวันเข้า ส่งผลให้เกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ริดสีดวงทวาร และอื่นๆ"

น.พ.อารีย์ให้คำแนะนำทิ้งท้ายว่า 7 อ มีความจำเป็นต่อมนุษย์ทุกคน และคนใดสามารถปฏิบัติตามอย่างสม่ำเสมอ ในอนาคตจะมีอายุยืนแล้วสุขภาพแข็งแรง ไร้โรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนอย่างแน่นอน

การควบคุมอารมณ์โกรธ

คอลัมน์ สดจากจิตวิทยา

จุฑาธิป วัชรานนท์/กรมสุขภาพจิต

1. ก่อนอื่นต้องรู้ตัวก่อนว่าตนเองกำลังตกอยู่ในอารมณ์โกรธ สิ่งที่บ่งบอกว่าตนเองกำลังตกอยู่ในอารมณ์โกรธ เช่น หัวใจเต้นเร็ว ตัวสั่น มือสั่น เม้มปาก กัดฟัน หรือกำมือ ร้องกรี๊ด บางคนมีอารมณ์อยากตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามด้วยการกระทำที่รุนแรง ฯลฯ

2. เมื่อรู้ว่าตนเองมีอาการตามข้อที่ 1 จงหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้าม และบอกตัวท่านเองว่า ‘เรากำลังตกอยู่ในความโกรธ’ ฉะนั้น ท่านควรรีบสงบสติอารมณ์ของท่านโดยเร็ว อาจจะใช้วิธีนับเลขถอยหลังในใจ เช่น เดิมเคยนับ 1-20 ก็ให้นับยี่สิบ สิบเก้า สิบแปด จนถึงหนึ่ง วิธีนี้จะช่วยให้ลดความโมโหและพลุ่งพล่านในจิตใจได้

3. คิดอย่างใช้เหตุผล เช่น ขณะขับรถอยู่จู่ๆ ก็มีรถคันอื่นขับปาดหน้า บางคนโกรธไขกระจกลงและตะโกนด่า บางคนขับรถปาดหน้ากลับเพื่อแก้แค้น ซึ่งถ้าลองทบทวนดูก็จะมีเหตุผลที่สามารถเป็นไปได้หลายๆ อย่าง เช่น เขากำลังรีบมองไม่เห็นรถท่าน เขาขาดความระมัดระวังจึงขับรถปาดหน้าโดยไม่ได้ตั้งใจ เป็นต้น ถ้าลองฝึกคิดอย่างมีเหตุผลบ้างจะช่วยยับยั้งอารมณ์โกรธไม่ให้ปะทุขึ้นมามาก ช่วยลดการระบายความโกรธไปยังผู้อื่นได้

4. เมื่อความโกรธความพลุ่งพล่านในใจลดลง จึงค่อยเผชิญหน้ากับคู่กรณีและพูดคุยโดยใช้เหตุผล ถ้าหากยังไม่สามารถควบคุมความโกรธไว้ได้ อาจจะต้องเลื่อนการเจรจากับคู่กรณีออกไปก่อน หรือโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากตำรวจ ญาติหรือคนใกล้ชิด

5. หลังจากเหตุการณ์ต่างๆ ผ่านไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อมีเวลาว่างถ้าอยากจะระบายความโกรธ ก็ลองเล่นกีฬาที่ต้องออกแรงมากๆ โดยเล่นอย่างน้อยครั้ง 30 นาทีขึ้นไป เช่น ตีเทนนิส ชกกระสอบทราย เตะฟุตบอล ฯลฯ หรือบางคนใช้วิธีตะโกนดังๆ ในห้องน้ำไม่ให้ใครได้ยิน ทั้งสองวิธีนี้จะช่วยให้รู้สึกสบายขึ้น

ถ้าใครรู้ว่าตนเองถูกอารมณ์โกรธครอบงำบ่อยๆ ละก็ ลองฝึกฝนตนเองบ้างตามข้อที่ 1-5 ข้างต้น อย่าปล่อยให้อารมณ์โกรธมีอำนาจเหนือจิตใจตนเอง เพราะถ้าไม่รีบกำจัดหรือควบคุมไว้นับวันความโกรธก็จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น อย่าปล่อยให้อารมณ์โกรธแผดเผาตนเองจนไม่มีความสุขเสียละ

•• ยิ้มเข้าไว้ค่ะ..และทุกอย่างจะดีเองค่ะ เพราะอย่างน้อยในตอนที่เรายิ้มอยู่เราก็ทำหน้าโกรธไม่ได้อ่ะค่ะ จริงป่ะคะ แหะแหะ ^^

นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส จัดอันดับ 10 เครื่องดื่มที่มีประโยชน์ที่สุดในโลก โดยดูที่ระดับสารแอนติออกซิแดนต์ หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ปัจจุบันมีเครื่องดื่มหลายชนิดอ้างว่า ใส่สารอนุมูลอิสระไว้ แต่หลายคนไม่ทราบว่าสารนี้คืออะไรกันแน่ สำหรับสารต้านอนุมูลอิสระ มีประ โยชน์เนื่องมาจากในขบวนการปฏิกิริยาชีวเคมี ที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย จะมีการขับของเสียที่ร่างกายได้รับ ได้แก่ ควันบุหรี่ แอลกอฮอล์ รังสียูวี เอกซเรย์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นอนุมูลอิสระที่มีอันตรายต่อเซลล์ในร่างกาย ที่อาจส่งผลให้เกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ภาวะข้อต่ออักเสบ ต้อกระจก และการเสื่อมของอวัยวะต่างๆ อนุมูลอิสระจะทำลายเนื้อเยื่อเซลล์ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของดีเอ็นเอ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของการมีเซลล์มะเร็ง และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่นำไปสู่ขบวนการเกิดโรคมะเร็ง สำหรับ 10 อันดับเครื่องดื่มที่มีประโยชน์มากที่สุด คือ 1. น้ำทับทิม 2. ไวน์แดง 3. น้ำองุ่นคอนคอร์ด 4. น้ำบลูเบอร์รี่ 5. น้ำแบล็กเชอร์รี่ 6. น้ำอะซาอี 7. น้ำแครนเบอร์รี่ 8. น้ำส้ม 9. น้ำชา 10. น้ำแอปเปิ้ล - ปราฟดา

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)016

การออกกำลังกายในเด็กวันเรียน / วัยรุ่น

ข้อแนะนำการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพในอายุต่ำกว่า 10 ปี

การออกกำลังกายในวัยนี้ ควรมุ่งให้เด็กมีความเพลิดเพลินและให้เด็กได้ฝึกหรือ

เล่นด้วยความสมัครใจพร้อมอธิบายถึงประโยชน์ ที่เด็กได้รับจากการฝึก ไม่ควรใช้วิธี

บังคับ ควรจัดให้เท่าที่เด็กต้องการ โดยเน้นที่ความสนุกสนานของเด็กเป็นใหญ่ ไม่ควร

ทำเพื่อจุดประสงค์ของพ่อแม่หรือโค้ช การตั้งความหวังสูงมากหรือการมุ่ง ฝึกเพื่อ

เอาชนะเพียงอย่างเดียวล้วนเป็นผลเสียต่อสุขภาพเด็กทั้งสิ้น เพราะการทำงาน

ของระบบประสาท และการประสานงานของกล้ามเนื้อมีน้อย จึงควรให้เด็กได้ออกกำลัง

กายเบา ๆ ง่าย ๆ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์มากนัก เช่น การวิ่ง การเล่นเกมส์ ยิมนาสติก การบริหาร

ประกอบดนตรี การเล่นที่ฝึกความคล่องแคล่ว และความชำนาญแบบง่าย ๆ เช่น ปีน ไต่

ข้อแนะนำการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพในอายุ 11-14 ปี

การออกกำลังกายในวัยนี้ เพื่อเพิ่มความคล่องแคล่ว ปลูกฝังให้มีน้ำใจนักกีฬาและ

ให้มีการแสดงออกถึงความสามารถเฉพาะตัว ส่งเสริมให้เด็กเล่นกีฬาที่หลากหลาย เพื่อให้

มีการพัฒนาร่างกายทุกส่วนโดยใช้กิจกรรมหลายๆ อย่างสลับกันเช่น ฟุตบอล แชร์บอล วอลเลย์บอล ปิงปอง แบดมินตัน ยิมนาสติก ว่ายน้ำ ขี่จักรยานแต่ต้องหลีกเลี่ยงการปะทะ

ในกิจกรรมที่ต้องสัมผัสกับฝ่ายตรงข้าม และที่เป็นข้อห้ามคือ การชกมวย และการออกกำลัง

กายที่ต้องใช้ความอดทน เช่น วิ่งระยะไกล (ระยะทาง 10 กิโลเมตรขึ้นไป) การออก

กำลังกายในแต่ละวัน ควรได้จากการฝึกเล่นกีฬาวันละ 2 ชั่วโมง สลับกับการพักเป็นระยะ ๆ

ข้อแนะนำการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพในเด็กอายุ 15-17 ปี

การออกกำลังกายวัยนี้จะมีความแตกต่างระหว่างเพศ ผู้ชายจะออกกำลังกายเพื่อ

ให้เกิดกำลัง ความแข็งแรง รวดเร็ว และความอดทน เช่น การวิ่ง ว่ายน้ำ ถีบจักรยาน เล่น

บาสเกตบอล วอลเลย์บอล โปโลน้ำ ฟุตบอล กระโดดสูง กรรเชียง ส่วนผู้หญิงจะเน้นการออก

กำลังกายประเภทที่ไม่หนักแต่ทำให้ร่างกายแข็งแรงและเสริมสร้างรูปร่างทรวดทรง

เช่น ว่ายน้ำ ยิมนาสติก และวอลเลย์บอล เป็นต้น ให้ปฏิบัติเป็นกิจวัตรประจำวัน วันละ

1 ชั่วโมง โดยใช้การออกแรงแบบหนักสลับเบา

คนึงนิจ มีใจดี ( ฟาร์ ) 006

การดูแลสุขภาพตนเอง ให้มีสุขภาพสมบูรณ์ และแข็งแรงอยู่เสมอ จะต้องปฏิบัติกิจกรรม ในด้านการส่งเสริมสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ในชีวิตประจำวัน โดยยึดหลักสุขบัญญัติ 10 ประการ และสำรวจสุขภาพตนเอง ดังนี้

1. ดูแลรักษาร่างกาย และของใช้ให้สะอาด

อาบน้ำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2 ครั้งการอาบน้ำให้สะอาด จะต้องใช้สบู่ฟอกทุกส่วนของร่างกายให้ทั่ว และมีการขัดถูขี้ไคล บริเวณลำคอ รักแร้ แขนขา ง่ามนิ้วมือ ง่ามนิ้วเท้า ขาหนีบ โดยเฉพาะอวัยวะเพศ ต้องรักษาความสะอาดเป็นพิเศษ หลังจากนั้นล้างด้วยน้ำ และเช็ดตัวให้แห้ง ด้วยผ้าที่สะอาด จะช่วยให้ร่างกายสะอาด และสดชื่น สระผม อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้งการสระผมช่วยให้ผสม และหนังศีรษะสะอาด ไม่สกปรก หรือมีกลิ่นเหม็น โยใช้สบู่ หรือแชมพูสระผมจนสะอาด แล้วเช็ดผมให้แห้ง หร้อมทั้งหวีผมให้เรียบร้อย การหมั่นหวีผม จะช่วยนวดศีรษะให้เลือดมาเลี้ยงศีรษะมากขึ้น และต้องล้างหวี หรือแปรงให้สะอาดเสมอ การไม่สระผม หรือสระผมไม่สะอาด ทำให้เป็นชันนะตุ รังแค และเกิดอาการคัน เกิดโรคผิวหนัง และเชื้อราบนหนังศีรษะ ทำให้เกิดผมร่วง และเสียบุคลิกภาพ การรักษาอนามัยของดวงตาดวงตาเป็นอวัยวะสำคัญ เราควรหวงแหน และให้ความเอาใจใส่ ควรปฏิบัติดังนี้ อ่าน หรือเขียนหนังสือในระยะห่างประมาณ 1 ฟุต โดยมีแสงสว่างเพียงพอ แสงเข้าทางด้านซ้าย หรือตรงข้ามกับมือที่ถนัด หากรู้สึกเพลียสายตา ควรพักผ่อนสายตา โดยการหลับตา หรือมองไปไกลๆ ชั่วครู่ ดูโทรทัศน์ในระยะห่างอย่างน้อย 1 เมตรครึ่ง บำรุงสายตาด้วยการรับประทานอาหารที่มีคุณค่า เช่น มะละกอสุก ฟักทอง และผักบุ้ง เป็นต้น ใส่แว่นกันแดด ถ้าจำเป็นต้องมองในที่ๆ มีแสงสว่างมากเกินไป ตรวจสายตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยแผ่นทดสอบสายตา (E-Chart) ถ้าสายตาผิดปกติ ให้พบจักษุแพทย์ เพื่อตรวจสอบ และประกอบแว่นสายตา การรักษาอนามัยของหูหูเป็นอวัยวะที่สำคัญอย่างหนึ่งของร่างกาย ที่จะต้องเอาใจใส่ดูแลให้ถูกต้อง ดังนี้

เช็ด บริเวณใบหู และรูหู เท่าที่นิ้วจะเข้าไปได้ ห้ามใช้ของแข็งแคะเขี่ยใบหู รูหู คนที่มีประวัติว่า มีการอักเสบของหู ต้องระวังไม่ให้น้ำเข้าหูเด็ดขาด หากมีน้ำเข้าหู ให้เอียงหูข้างนั้นลง น้ำจะค่อยๆ ไหลออกมาได้เอง หรือใช้ไม้พันสำลีเช็ดบริเวณช่องหูด้านนอก

ถ้าเป็นหวัด ไม่ควรสั่งน้ำมูกแรงๆ เพราะจะทำให้เชื้อโรคจากจมูก หรือคอ ถูกดันเข้าไปในหูชั้นกลาง ทำให้เกิดการติดเชื้อ และเกิดเป็นโรคหูน้ำหนวก เมื่อมีแมลงเข้าหู อย่าพยายามแคะ ให้ใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันพืช หยอดหูทิ้งไว้ชั่วขณะ แมลงจะเคลื่อนไหวไม่ได้ และตายในที่สุด ควรพบแพทย์เพื่อเอาแมลงออก หลีกเลี่ยงจากการถูกกระทบกระแทกหูโดยแรง หรือการตบหู เพราะจะทำให้แก้วหู และกระดูกภายในหูหลุด เกิดการสูญเสียการได้ยินตามมา รวมทั้งการหลีเลี่ยงเสียงอึกทึก และเสียงดังมากๆ อาจทำให้หูพิการได้ ต้องรู้จักสังเกตอาการผิดปกติของหู และการได้ยินอยู่เสมอ หากมีอาการผิดปกติ เช่น รู้สึกปวดหู เจ็บหู คันหู หูอื้อ มีน้ำหรือหนองไหลจากหู เวียนศีรษะ มีเสียงดังรบกวนในหู การได้ยินเสียงน้อยลง หรือได้ยินไม่ชัด ต้องรีบไปพบแพทย์เฉพาะทาง หู คอ จมูก ทันที การรักษาอนามัยของจมูก ข้อควรปฏิบัติดังนี้

ไม่ถอนขนจมูก เพราะจะทำให้จมูกอักเสบได้

ถ้าเป็นหวัดเรื้อรัง หรือมีเลือดกำเดาออกบ่อยๆ ต้องพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา

ห้ามใส่เมล็ดผลไม้ หรือสิ่งแปลกปลอมอื่นเข้าไปในรูจมูก

การไอหรือจาม ต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปาก จมูก เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคในอาการ เป็นผลให้ผู้อื่นติดโรคได้

ต้องสั่งน้ำมูก ใส่ในผ้า หรือกระดาษเช็ดหน้าที่สะอาด

ตัดเล็บมือเล็บเท้าให้สั้นอยู่เสมอมือและเท้าเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่สำคัญ ต้องมีการดูแลรักษา ไม่ปล่อยให้เล็บมือเล็บเท้ายาว การปล่อยให้เล็บยาว โดยไม่ดูแลความสะอาด จะทำให้เชื้อโรคที่สะสมอยู่ตามซอกเล็บ ติดไปกับอาหาร เป็นการนำเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายทาปากโดยตรง ทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วง ก่อน และหลังรับประทานอาหาร และหลังจากเข้าส้วมแล้ว ต้องล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดทุกครั้ง และต้องสวมรองเท้าเมื่อออกจากบ้าน ถ่ายอุจจาระเป็นเวลาทุกวันควรฝึกขับถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลาทุกวัน ในตอนเช้า อย่าให้ท้องผูกบ่อยๆ เพราะจะทำให้เกิดโรคริดสีดวงทวาร และเป็นมะเร็งในลำไส้ใหญ่ได้ ใส่เสื้อผ้าที่สะอาด ไม่อับชื้น และให้ความอบอุ่นเพียงพอการรักษาความสะอาดของเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม และเครื่องนอนเป็นิส่งสำคัญ เสื้อผ้าที่ใช้แล้วทิ้ง ชั้นนอกและชั้นใน ต้องมีการทำความสะอาดด้วยสบู่ หรือผงซักฟอกทุกครั้ง นำไปผึ่งหรือตากแดดให้แห้ง ประการสำคัญ การสวมเสื้อผ้า ต้อใช้ให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ ไม่ใส่เสื้อผ้าซ้ำๆ หรือซักไม่สะอาด อับชื้น เพราะจะทำให้เกิดโรคผิวหนังได้

2. รักษาฟันให้แข็งแรง และแปรงฟันทุกวันอย่างถูกต้อง

แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หลีกเลี่ยงขนมหวาน เช่น ลูกอม แปรงฟัน หรือบ้วนปากหลังรับประทานอาหาร ไม่ใช้ฟันขบเคี้ยวของแข็ง

3. ล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหาร และหลังการขับถ่าย

ควรล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง ก่อนและหลังการปรุงอาหาร รวมทั้งก่อนรับประทานอาหาร และหลังการขับถ่าย เป็นการป้องกันการแพร่เชื้อ และติดเชื้อโรคได้ ควรล้างมือให้ถูกวิธี ดังนี้ ให้มือเปียกน้ำ ฟอกสบู่ ถูให้ทั่วฝ่ามือ ด้านหน้า และด้านหลังมือ ถูตามง่ามนิ้วมือ และซอกเล็บให้ทั่ว เพื่อให้สิ่งสกปรกหลุดออกไป พร้อมทั้งถูกข้อมือ ล้างน้ำให้สะอาด แล้วเฃ็ดมือให้แห้งด้วยผ้าที่สะอาด

4. รับประทานอาหารสุก สะอาด ปราศจากสารอันตราย และหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด สีฉูดฉาด เลือกซื้ออาหารสด สะอาด ปลอดสารพิษ โดยคำนึงถึงหลัก 3 ป. คือประโยชน์ ปลอดภัย ประหยัด ปรุงอาหารที่ถูกสุขลักษณะ และใช้เครื่องปรุงรสที่ถูกต้อง โดยคำนึงถึงหลัก 3 ส. คือ สงวนคุณค่า สุกเสมอ สะอาดปลอดภัย รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย รับประทานอาหารปรุงสักใหม่ และใช้ช้อนกลางในการรับประทานอาหารร่วมกัน หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ อาหารรสจัด อาหารใส่สีฉูดฉาด ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว

5. งดบุหรี่ สุรา สารเสพย์ติด การพนัน และการสำส่อนทางเพศ

ไม่เสพสารเสพย์ติดทุกชนิด เช่น บุหรี่ สุรา ยาบ้า กัญชา กาว ทินเนอร์ งดเล่นการพนันทุกชนิด ไม่มั่วสุมทางเพศ

6. สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวให้อบอุ่น

ทุกคนในครอบครัวช่วยกันทำงานบ้าน มีการปรึกษาหารือ และแสดงความคิดเห็นร่วมกัน

การเผื่อแผ่น้ำใจซึ่งกันและกัน การทำบุญ และได้ทำกิจกรรมสนุกสนานร่วมกัน

7. ป้องกันอุบัติเหตุด้วยความำม่ประมาท

ดูแล ตรวจสอบ และระมัดระวังอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้าน เช่น ไฟฟ้า เตาแก๊ส ของมีคม ธูปเทียนที่จุดบูชาพระ และไม้ขีดไฟ ระมัดระวังเพื่อป้องกันอุบัติภัยในที่สาธารณะ เช่น การใช้ถนน โรงฝึกงาน สถานที่ก่อสร้าง และชุมชนแออัด เป็นต้น

8. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และตรวจสุขภาพประจำปี

การออกกำลังกายช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เจริญเติบโตสมวัย กระตุ้นให้กระดูกยาวขึ้น และเข็งแรงขึ้น ทำให้สูงสง่า บุคลิกดี และยังช่วยผ่อนคลายความเครียด จากการทำงาน ตลอดจนเพิ่มภูมิต้านทานแก่ร่างกาย โดย ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน ครั้งละ 20-30 นาที ออกกำลังกาย และเล่นกีฬาให้เหมาะสมกับสภาพร่างกาย และวัย

ตรวจสอบสุขภาพประจำปีอย่างน้อยปีละครั้ง

9. ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอ

พักผ่อน และนอนหลับให้เพียงพอ จัดสิ่งแวดล้อมทั้งในบ้าน และนอกบ้านให้น่าอยู่

มองโลกในแง่ดี ให้อภัย และยอมรับข้อบกพร่องของคนอื่น มื่อมีปัญหาไม่สบายใจ ควรหาทางผ่อนคลาย ในทางที่ถูกต้องเหมาะสม

10. มีสำนึกต่อส่วนรวม ร่วมสร้างสรรค์สังคม

ใช้ทรัพยากร เช่น น้ำ ไฟ อย่างประหยัด หลีกเลี่ยงการใช้วัสดุ อุปกรณ์ที่ก่อให้เกิดพิษต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ถุงพลาสติก โฟม ตลอดจนการร่วมมือกัน รักษาความสะอาด และเป็นระเบียบของสถานที่ทำงาน และที่พัก เป็นต้น

คนึงนิจ มีใจดี ( ฟาร์ ) 006

น้ำผึ้งก็เป็นยาอายุวัฒนะ

สารอาหารสำคัญๆที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในน้ำผึ้งก็คือ โปรตีน วิตามินบี1 บี2 บี5 และบี12 ไบโอติน เหล็ก ทองแดง แมงกานีส ซิลิคอน แคลเซียม โซเดียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส กำมะถัน โบรมีน และคลอรีน น้ำผึ้งมีสรรพคุณทางยา ช่วยบำรุงร่างกายให้กระปรี้กระเปร่า แข็งแรง สดชื่น เพิ่มพลัง แก้เบื่ออาหาร บำรุงหัวใจ บำรุงข้อต่างๆ ช่วยให้นอนหลับสบาย น้ำผึ้งจัดเป็นอาหารเสริมที่ดีที่คุณควรสนใจ หมั่นรับประทานเป็นประจำทุกๆ สัปดาห์ก็จะช่วยบำรุงร่างกายให้มีสุขภาพดีอย่างที่คุณพิสูจน์ได้

กระเทียมดูแลหัวใจ

กระเทียมเป็นของคู่ครัวที่คนไทยเราคุ้นเคยกันดี แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าในกระเทียมนั้นมีสาร อาหารสำคัญมากมายมหาศาลที่ล้วนแล้วแต่มีสรรพคุณทางยาอย่างน่าอัศจรรย์ กระเทียมช่วยป้องกันอาการหัวใจล้มเหลว ช่วยควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ บำรุงประสาท กระตุ้นให้จิตใจสดใส ไม่หดหู่ ซึมเศร้า ไม่เป็นโรคเหน็บชา กล้ามเนื้อแข็งแรง มีกำลังวังชา กระตุ้นให้ร่างกายเกิดความอยากอาหาร เยียวยาอาการไอ รักษาโรคพยาธิ ขับปัสสาวะ ช่วยบำรุงระบบทางเดินหายใจ บรรเทาอาการที่เกี่ยวกับโรคลำไส้ บำรุงเลือด ป้องกันโรคตับ โรคเส้นโลหิตตีบตัน บำบัดอาการโรครูมาติซึม โรคข้ออักเสบ ต้านทานโรคภูมิแพ้ ช่วยลดคอเลสเตอรอล นอกจากนั้นกระเทียมยังรักษาโรคเกี่ยวกับผิวหนังได้อีกด้วย ถ้าคุณรับประทานกระเทียมสม่ำเสมอโรคภัยอันตรายต่างๆ จะไม่มากล้ำกรายร่างกายทำลายสุขภาพของคุณ ได้แน่นอน กระเทียมช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย คนที่มีไขมันอุดตันในเส้นเลือดมากอาจเกิดการหัวใจวายได้ การรับประทานกระเทียมเป็นประจำเท่ากับว่าคุณได้ดูแลหัวใจของคุณให้แข็งแรงไว้ก่อนที่จะมีอาการใดๆ เกิดขึ้นเมื่อไร้เรี่ยวแรง หน้ามือ วิงเวียน แก้ไขรวดเร็วได้อย่างไร

น.ส.กาญจนา จันทร์หล้า เลขที่70

บทความเรื่องนี้ดีมากๆเลยค่ะ อาจารย์ขา...หนูคำนวรดูปรากฏว่ารูปร่างของหนูมันสมส่วน แต่มาดูตัวจริง...โอ้โห...อ้วนค่ะ...แขน ขาใหญ่..หนูอยากให้อาจารย์เขียนตารางอาหารควบคุมน้ำหนักด้วยค่ะ.....ที่จริงเมื่อก่อนหนูน้ำหนักตัวก็มากเข้าขั้นม๊ากมากเลยแหละค่ะแต่หนูมาเริ่มดูแลสุขภาพเริ่มลดน้ำหนักเมื่ออยู่ม.ปลายจนมันก็ลดนะค่ะแต่.....หนูยังไม่พอใจกับน้ำหนักตอนนี้..หนูจะพยายามลดอีก.....เพราะฉะนั้นต้องไปเต้นแอโรบิคค่ะ.....ปะ ไปแอโรบิคแดนซ์กัน....สู้ๆ...น้ำหนักต้องลด..

อารมณ์ขัน... ช่วยคุณได้ในการทำงาน

เสียงหัวเราะและรอยยิ้มไม่เพียงแต่ทำให้คุณอารมณ์ดี มันยังทำให้การสื่อสารในที่ทำงานราบรื่นขึ้นและเพิ่มผลงานอีกด้วย แค่เพียงให้แน่ใจว่าคุณใช้อารมณ์ขันในแบบที่เหมาะกับบรรยากาศการทำงานก็พอ

จากการสำรวจกลุ่มผู้บริหารของ Robert Half International พบว่า 91 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริหารเห็นว่า อารมณ์ขันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความก้าวหน้าทางอาชีพการงาน มันช่วยคุณสร้างความปรองดองในกลุ่มคนที่อยู่รอบตัวคุณ ทำให้มีการสื่อสารกันอย่างเปิดเผย สร้างบรรยากาศการทำงานในแง่บวกและช่วยผ่อนคลายความเครียด แม้แต่ในวันที่เคร่งเครียดที่สุดก็ตาม แต่ใช่ว่าอารมณ์ขับทุกอย่างจะได้รับการยอมรับในที่ทำงานอารมณ์ขันควรเหมาะสมกับการทำงาน ไม่เป็นตลกร้ายหรือทำให้ใครสักคนต้องอับอาย ต่อไปนี้คือเคล็ดลับบางอย่างที่จะทำให้แน่ใจว่าคุณไม่ได้ทำเรื่องตลกแบบโง่ๆ

อย่าใช้ตลกเสียดสี บ่อยครั้งคนเราชอบใช้อารมณ์ขัน เพื่อเป็นวิธีเหยียดหยามคนอื่นแบบอ้อมๆ ตัวอย่าง เช่น "ไม่เชื่อเลยว่าคุณมาตรงเวลาได้ มีโอกาสพิเศษอะไรเหรอ" การเสียดสีไม่ใช่ไอเดียที่ดีเท่าไหร่นัก เพราะฉะนั้นเก็บคำพูดประเภทนี้เอาไว้กับตัวเองคนเดียวก็พอ

ใช้ตัวเองทำตลก เอาเลย พูดตลกถึงจุดอ่อนของตัวการทำเช่นนั้นทำให้คนอื่นสบายใจเวลาอยู่กับคุณ และคุณก็ไม่เสี่ยงกับการทำให้ใครเคือง ด้วยการใช้เขาหรือเธอมาเป็นประเด็นในการพูดตลก ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณสะดุดล้มในระหว่างการนำเสนองาน ลองพูดว่า "ฉันหวังว่าคุณคงจะชอบไอเดียฉันจนหัวปักหัวปำเหมือนฉันนะ" มันจะช่วยทำให้สถานการณ์น่าอืดอัดผ่อนคลายลง แค่ให้แน่ใจว่าคำพูดของคุณเป็นไปแบบสบายๆ เพื่อที่เพื่อนร่วมงานจะได้ไม่คิดว่าความพยายามจะทำตลกของคุณเป็นการร้องขอความช่วยเหลือ

หัวเราะไปกับคนอื่น คุณสามารถถูกมองว่าเป็นคนมีอารมณ์ขันได้ โดยไม่ต้องแม้แต่จะเล่าเรื่องตลก แต่ปรับตัวให้เข้ากับอารมณ์ขันของคนที่อยู่รอบตัวคุณ และสนุกไปกับเขาด้วย

เก็บเรื่องขำขัน คุณสร้างไฟล์เก็บโครงการหลายอย่างที่คุณต้องทำ แล้วทำไมไม่สร้างไฟล์สำหรับเก็บเรื่องตลกดูบ้างล่ะลองเก็บการ์ตูนสนุกๆ ที่เหมาะกับสถานที่ทำงาน บทความตลกๆ ในหนังสือ หรืออะไรก็ตามทำให้คุณหัวเราะเอาไว้ และเมื่อเพื่อนร่วมงานของคุณรู้สึกเหนื่อยและเครียดจากการทำงาน คุณก็สามารถทำให้เขาหรือเธอประหลาดใจได้ด้วยเรื่องต่างๆ ที่คุณเก็บเอาไว้ แต่อย่าเก็บเรื่องที่อาจทำให้คนอื่นขุ่นเคืองใจหรือไม่มีรสนิยมเอาไว้ก็พอ

ตั้งคณะกรรมการอารมณ์ขัน เชื้อเชิญเพื่อนร่วมงานมาร่วมกันเพิ่มความสนุกสนานให้แก่ที่ทำงาน เช่น จัดปาร์ตี้สนุกๆ ในตอนบ่าย แต่ต้องปรึกษาหัวหน้าแผนกหรือฝ่ายบริหาร เพื่อให้คุณได้รับอนุญาตก่อนลงมือทำ

ถ่ายรูปสนุกๆ หากล้องเอาไว้ใกล้มือ เพื่อเก็บภาพหลุดๆ ของคุณและเพื่อนร่วมงาน แล้วก็เอาไปติดบอร์ดของที่ทำงานภาพแอบถ่ายของแต่ละคนแบบไม่ตั้งใจ จะทำให้ทุกคนอารมณ์ดีขึ้นได้

วิธีขับถ่ายปัสสาวะ เพื่อสุขภาพที่ดี

1.อย่ากลั้นปัสสาวะ เมื่อรู้สึกปวดต้องไปปัสสาวะ

2.เวลาปัสสาวะไม่ควรรีบร้อนเบ่งมาก เพราะอาจทำให้หูรูดปัสสาวะชำรุดได้

3.ควรถ่ายปัสสาวะให้เหลือน้อยที่สุดในหนึ่งครั้ง นั่นคือเมื่อรู้สึกถ่ายหมดแล้วให้เบ่งต่ออีกนิดหน่อย ปัสสาวะที่เหลือจะไหลออกมา

4.ไม่ควรบังคับให้ตนเองถ่ายปัสสาวะบ่อย เพราะจะติดเป็นนิสัย เวลาที่เหมาะสมคือ 2-4 ชั่วโมงควรถ่ายปัสสาวะหนึ่งครั้ง

5.ให้สังเกตการถ่ายปัสสาวะ และน้ำปัสสาวะของตนเองทุกครั้งว่า ต้องเบ่งมากผิดปกติหรือไม่ น้ำปัสสาวะลำพุ่งดีหรือไม่ ลำน้ำปัสสาวะมีขนาดเล็กลงกว่าเดิมหรือไม่ น้ำปัสสาวะมีสีเหลืองใสหรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเป็นอาการผิดปกติที่สามารถบอกโรคได้

6.อาจจะล้างทำความสะอาดหลังปัสสาวะ แต่อย่าให้บริเวณนั้นเปียกชื้น เพราะอาจเกิดเชื้อราได้ ทางที่ดีหลังปัสสาวะทุกครั้ง ควรซับให้แห้ง

7.เมื่อปัสสาวะไม่ออก ต้องหาสาเหตุโดยการไปพบแพทย์ อย่าซื้อยาขับปัสสาวะรับประทานเพราะจะเกิดอันตรายได้

8.เมื่อเข้าสู่วัยกลางคน การบริหารอุ้งเชิงกรานโดยการขมิบ (ฝ่ายหญิงขมิบช่องคลอด ฝ่ายชายขมิบทวารหนัก) วันละ 100 ครั้ง จะช่วยป้องกันอาการปัสสาวะเล็ด

9.ดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 10 แก้ว หรือหนึ่งลิตร จะช่วยให้น้ำปัสสาวะใส มีจำนวนพอดีและป้องกันภาวะปัสสาวะอักเสบ

10.ก่อนมีเพศสัมพันธ์ และหลังมีเพศสัมพันธ์ คุณผู้หญิงควรถ่ายปัสสาวะทิ้ง จะช่วยป้องกันการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

11.น้ำปัสสาวะจะต้องเป็นน้ำเท่านั้น ถ้ามีมูก หนอง น้ำเหลือง เลือดปนออกมา ถือว่าผิดปกติต้องไปพบแพทย์

12.การขับถ่ายปัสสาวะ ต้องขับถ่ายคล่องไม่มีอาการเจ็บปวด ถ้าปัสสาวะแสบขัดลำบากนับว่าเป็นอาการผิดปกติ ต้องไปพบแพทย์อีกเช่นกัน

13.คนเราทุกคนต้องปัสสาวะทุกวัน วันละ 4-6 ครั้ง ถ้าไม่ปัสสาวะเลย 1 วัน ถือว่าตกอยู่ในภาวะอันตราย ต้องไปพบแพทย์โดยด่วน

14.ก่อนเดินทางไกล ก่อนยกของหนัก ควรปัสสาวะทิ้งก่อนทุกครั้ง

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์

วิธีที่จะเป้นตัวช่วยให้หุ่นคุณสวยได้ง่ายๆ จากการลดน้ำหนักที่แสนยากเย็น!!!

1. หากนึกอยากรับประทานของหวานๆ ขึ้นมาเมื่อใด ลอง หยิบผลไม้ แทนที่จะเป็นขนมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นขนมไทยหรือขนมฝรั่ง ลองนึกดูนะคะ ขนมปังปิสกิตช็อกโกแลต 1 แผ่นมีถึง 85 แคลอรี ในขณะที่แอปเปิ้ล 1 ผล มีเพียง 50 แคลอรี ชมพู่ 1 ขีดมีเพียง 23 แคลอรี

2. นมสดๆ ที่บอกว่าเป็นนมล้วนๆ หรือ whole milk 100 มิลลิลิตร มี 68 แคลอรี นมที่พร่องมันเนยครึ่งๆ หรือ semi-skimmed milk มี 49 แคลอรี และนมพร่องมันเนยแท้ๆ หรือ skimmed-milk มีเพียง 34 แคลอรี พิจารณาดูนะครับว่าคุณค่าอาหารอื่นที่ได้จากนมนั้นเท่ากัน แต่คุณไม่จำเป็นต้องดื่มเอาไขมันจากนมเข้าไปด้วยเพื่อไปเพิ่มไขมันในตัวคุณ ไอศกรีมทั่วไปขนาด 50 กรัม หรือ 1 3/4 ออนซ์ มี 110 แคลอรีถ้าเปลี่ยนเป็นโยเกิร์ต แบบ low fat หรือไขมันต่ำจะได้เพียง 50 แคลอรีเท่านั้น

3. ลดอาหารประเภทอุดมไขมัน เปลี่ยนไปหาอาหารประเภทโปรตีนที่มีไขมันต่ำ เช่น เนื้อไก่ เนื้อไก่งวง เนื้อลูกวัว เนื้อปลา และอาหารจำพวกถั่ว

4. หากคุณเป็นผู้ที่ชอบรับประทานมันฝรั่งทอด เลือกแบบเป็นแท่งหรือที่เรียกว่า French fries ดีกว่า เพราะมันฝรั่งทอดชนิดที่เป็นแผ่นกลมๆ บางๆ หรือที่เรียกว่า chips นั้น ดูดอมน้ำมันไว้มากกว่าแบบแท่ง หรือถ้าชอบ chips จริงๆ ก็พยายามหาชนิดที่เขียนว่า low-fat

5. เลือกซื้อปลากระป๋องที่แช่ในน้ำเกลือ แทนปลากระป๋องที่แช่ในน้ำมัน คุณจะได้แคลอรีน้อยลงถึง 100 แคลอรี ต่อน้ำหนักปลา 100 กรัม หรือ 3 1/2 ออนซ์

6. ผลไม้กระป๋องก็เช่นกัน เลือกซื้อชนิดที่แช่ในน้ำผลไม้ (juice) แทนชนิดที่แช่ในน้ำเชื่อม (syrup) คุณจะเลี่ยงได้ถึง 20 แคลอรี ต่อ 100 กรัม หรือ 3 1/2 ออนซ์ เลยทีเดียว

7. ลดน้ำตาลที่เติม เวลาชง กาแฟ ชา หรือเครื่องดื่มร้อยๆ เย็นๆ ถ้าเป็นไปได้งดเลยก็จะดี ยังไม่อยากแนะนำให้ใช้สารให้ความหวานแทนเพราะไม่แน่ใจถึงผลลัพธ์อื่นที่จะได้รับด้วย

8. เลือกซื้อเนยที่สกัดจากพืช หรือส่วนของพืชแทนเนยที่สกัดจากนมวัว

9. เปลี่ยนลักษณะการเลือกอาหาร ในแต่ละมื้อ โดยเพิ่มผัก ลดเนื้อสัตว์และครีม - มัน - เนยทั้งหลาย

10. ก่อนไปจ่ายของที่ตลาด เขียนรายการต่างๆ ไว้ก่อน เพื่อจะได้ผ่านตาว่าสิ่งใดควรเปลี่ยนแปลงหรือไม่ควรซื้อเลย และไม่ควรช้อปปิ้งสินค้าประเภทอาหารในยามที่คุณหิว เพราะคุณจะหยิบอาหารที่นำมารับประทาน ขนม หรือสิ่งอุดมด้วยไขมันโดยไม่รู้ตัว

เทคนิคนี้มีไว้เฉพาะสำหรับผู้ใหญ่นะคะ เพราะผู้ใหญ่ไม่มีความต้องการไขมันจำนวนมากมาย หากไม่ลดลงก็จะไปเพิ่มพูนเป็นส่วนเกินของร่างกาย และยังอาจทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ อาหารประเภทแคลอรีต่ำและนมพร่องมันเนยเหล่านี้ ไม่เหมาะสำหรับเด็ก เนื่องจากเด็กโดยเฉพาะที่อยู่ที่ในวันที่เจริญเติบโต ยังต้องการสารอาหารและวิตามินต่างๆ อีกมาก

เหมันต์ ( เลขที่ 87 ) วิทย์ออก

วิธีลดหุ่นแบบไฮโซ

โดยปกติแล้วคนเราจะมีส่วนที่เก็บสะสมไขัน แตกต่างกันครับ ผู้หญิงมักสะสมที่ สะโพก ก้น ท้องแขน หน้าอก หน้าท้อง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แตกต่างกันแล้วแต่บุค...

-หน้าท้อง เกิดจาก ไขมันที่สะสมอยู่ใต้ชั้นผิวหรือเรียกว่า sub cutaneous fat ยิ่งหนามาก ก็จะมีหน้าท้องโตมาก ย้วย เผละ และยังเกิดจากไขมันที่สะสมที่อวัยวะภายในช... ท้องก็จะป่องออกมา

การออกกำลังที่ช่วยลดไขมันได้นั้นคือ Aerobic exercise หรือ -การออกกำลังกายที่ร่างกายใช้ออกซิเจนในกา...

โดยการใช้กล้ามเนื้อมัดใญ่หลายๆ ส่วน 60 - 80 % Maximum heart rateเป็นเวลาต่อเนื่องกัน โดยไม่หยุดพัก หรือหัวใจเราต้องเต้นเร็วขึ้นกว่าปกติ อันได้แก่ การวิ่ง ปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิก การเดินเร็ว เป็นต้น

แต่กรณีของคุณมีปวดหลัง ร้าวลงขาด้วยหรือไม่ ผมไม่ทราบว่าเป็นอะไร อาจจะ HNPหรือเปล่าเพราะห้าม sit upหรือด้วยสาเหตุอื่น

แนะนำว่าการวิ่งหรือเดินนานๆก็ไม่ใช่อะไ... HNP การปั่นจักรยานเคลื่อนที่ก็ไม่เหมาะ เพราะไม่มีใครนั่งตัวตรงได้ตลอด 30 นาที (ถ้าเป็น HNP ห้ามก้มตัว นั่งหลังค่อมนานๆ ห้ามยกของหนักๆ ห้ามซิทอัพ จนกว่าจะหายดี เพราะอาการจะแย่ลง)แนะนำจักรยานแบบนั่งเอน... ตามฟิตเนสจะเหมาะสมกว่านะครับ

หลักการ

-ต้องออกกำลังกาย ต่อเนื่องด้วยความหนักหรือแรงต้านคงที่ อย่างน้อย 30 นาที ไม่รวมการ warm up และ cool down อาทิตย์ละ 3 ครั้ง

ทำไมต้อง 30 นาที

-เพื่อให้ร่างกายได้เข้าสู่กระบวนการสัน...

ในช่วงแรกที่เริ่มออกกำลังกายร่างกายจะใ...

ระบบ ATP - CP จากกล้ามเนื้อซึ่งให้พลังงานออกมาได้รวดเร... แต่น้อย แต่ร่างกายจะใช้หมดไปในเวลาเพียง 5 - 8 วินาทีเท่านั้น หลังจากนั้นร่างกายก็จะดึงกลูโคสในกระแสเล... ถ้าเรายังไม่หยุดวิ่งต่อมาเมื่อระดับน้ำตา... อินซูลินจะเริ่มทำงานสลายไกลโคเจน ( Glycogen ) ที่สะสมในกล้ามเนื้อ และตับ เพื่อให้ได้น้ำตาลออกมา ไม่ให้เกิดภาวะน้ำตาลในกระแสเลือดต่ำ จะวิงเวียน หน้ามืด ตัวเย็น เหงื่อออก ใจสั่น ในช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ยังไม่ต้องใช้ออกซิ... มีการ สะสมกรดแลกติกที่กล้ามเนื้อทำให้เกิดอาการ... ล้ากล้ามเนื้อ ซึ่งเมื่อกล้ามเนื้อได้พัก และมีออกซิเจนเพียงพอ กรดแลกติกจึงจะถูกกำจัดออกไป ดังนั้นจึงควรจะมีการ cool down เสมอ เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือด

เพื่อมาพัดพาเอากรดแลกติกออกไป

จากนั้นเมื่อออกกำลังกายต่อเนื่องมาถึง 15 - 20 นาที ีก็จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการใช้ออกซิเจนในก...

ร่างกายจะใช้ไกลโคเจน ไขมันและโปรตีน เป็นแหล่งพลังงาน ช่วงแรกมาจากคาร์โบไฮเดรทหลังจากนั้น

ร่างกายจะใช้พลังงานจากไขมันเป็นพลังงาน... ยิ่งนานสัดส่วนการใช้ไขมันก็จะสูงขึ้นครับ

คนที่จะลดไขมันในร่างกายจึงต้องออกกำลัง...

60 - 80 % Maximum heart rate คืออะไร?

-คืออัตราการเต้นของหัวใจต่อนาที 60 - 80 % ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุดเทียบตามช่วงอา...

Maximum Heart Rate (MHR) = 220 - อายุ(ปี)

Target Heart Rate (อัตราการเต้นหัวใจที่ต้องการ) ในที่นี้คือ 60 และ 80 %MHR ก็แค่เอา 0.6 หรือ 0.8มาคูณกับเลขที่ได้ออกมาจาก MHR ก๋็จะได้อัตราการเต้นของหัวใจต่อนาทีที่เห... เวลาออกกกำลังกายก็ควรให้หัวใจเราเต้นอยู่... ควรเริ่มที่ 60 ก่อนนะ

แล้วต่างกับ sit up ยังไง

ไม่เห็นจะได้ออกแรงกล้ามเนื้อท้องเลย แล้วจะลดหน้าท้องอย่างไร

- sit up เป็นการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้า... หรือ Strengthening Exercise หลักการคือใช้แรงต้านมาก แต่ช่วงเวลาสั้นๆ ร่างกายจำเป็นต้องใช้พลัง่นที่รวดเร็ว ดังนั้นแหล่งพลังงานที่ใช้คือระบบ ATP - CP ต่อมาก็เป็นกลูโคสและไกลโคเจนซึ่งจะไม่มีก...

ผลจากการออกกำลังกายแบบนี้คือกล้ามเนื้อ Six pack แต่ถ้ามีไขมันหน้าท้องหนาๆนอกจากจะเป็นอุป... มันก็ไม่เห็น six pack นะ

แต่ aerobic ex. นั้นจะมีการดึงไขมันมาใช้จากทั่วร่างกาย มันจะดึงออกมาใช้ทุกส่วน ทั้งหน้าท้อง สะโพก ก้น ต้นแขน เอามาหมด ไม่ได้เอามาจากแค่ที่ตรงขาเวลาวิ่งเท่านั้...

นอกจกนี้การออกกำลังกายแบบนี้ยังเป็นการ... และปอด ให้ดีขึ้น ถ้าทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ

ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเส้นเลือดด้วยครับ

* Il y a 5 mois

Sources :

งานกายภาพบำบัด

จาก Physiology Exercise

รักษาขอบตาดำ

สาว ๆ หลายคนคงมักเจอปัญหานี้ ทำไมขอบตาเราดำเหมือนหมีแพนด้าเลย...คงกลุ้มมากเลย แต่ปัญหานี้จะหมดไปเมื่อลองทำตามคำแนะนำนี้

สาเหตุของขอบตาดำ

กรรมพันธุ์ ถ้าคนไทยมีขอบตาดำ แล้วลองหันไปมองญาติพี่น้อง พ่อแม่ของคุณดูว่าเป็นแบบเดียวกับที่คุณเป็นหรือไม่ ถ้าเป็นละก็ การรักษาและป้องกันอาจจะยาก

ภูมิแพ้ คนที่เป็นภูมิแพ้ จะพบว่าเส้นเลือดดำที่อยู่รอบตาจะขยายใหญ่มากกว่าคนทั่วไป และเส้นเลือดดำเหล่านี้นี่เองที่เป็นสาเหตุให้ขอบตาของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ดูคล้ำกว่าคนทั่วไป

การระคายเคืองแถว ๆ รอบตา เช่น การขยี้ตาบ่อย ๆ เพราะการขยี้ตาจะกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีให้เพิ่มจำนวนขึ้นบริเวณนั้น

แพ้ครีมทารอบดวงตา บางคนอาจแพ้สารบางอย่างในครีม ซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่า ใครจะแพ้สารตัวใด ใครบ้างที่จะเป็น ถ้ารู้ว่าแพ้คงต้องหยุดการทาครีมดังกล่าว ถ้าไม่ทราบอาจต้องพึ่งการทดสอบว่าแพ้สารที่ต้องสงสัยหรือไม่

อดนอน สาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่พบบ่อยในสภาพสังคมปัจจุบัน ใครที่รู้ตัวว่าอดนอนบ่อยๆ หรือนอนดึก ก็ขอให้นอนเร็วขึ้น เพื่อที่ขอบตาจะได้ดูสดใสกว่าเดิม

เป็นปานโอตะ ปานโอตะ คือ เซลล์เม็ดสีที่อยู่ในชั้นหนังแท้ พบในบางคนที่มีความผิดปกติที่เซลล์สร้างเม็ดสีอยู่ผิดที่ ซึ่งมักพบบริเวณรอบ ๆ ตา โดยมากมักจะเป็นข้างเดียว แต่มีบางคนอาจเป็นได้ทั้ง 2 ข้าง ทำให้ขอบตาดูเขียวคล้ำ

การรักษาขอบตาดำ

ใช้ยาทาใต้ตาที่มีส่วนผสมของ Whitening เช่น วิตามินซี

รักษาด้วยเลเซอร์ หรือเครื่องแสงเข้มข้น เป็นวิธีที่ได้ผลดี เลเซอร์ที่ใช้รักษาขอบตาดำได้ ที่นิยมมากที่สุดคือ Nd-yag laser นอกจากนี้เลเซอร์ตัวนี้ยังสามารถรักษาภาวะปานโอตะได้ด้วย หลังยิงเลเซอร์ ผิวบริเวณนั้นจะเป็นสะเก็ด และสะเก็ดจะหลุดออกภายใน 1-2 อาทิตย์ และผิวของตาที่คล้ำก็จะดูขาวขึ้น เครื่องแสงเข้มข้น คล้ายกับเลเซอร์ แต่ต่างกันที่หลังจากยิงเสร็จแล้วจะไม่เป็นแผล แต่อาจจะเป็นสะเก็ดฝอย ๆ เล็กน้อย แต่เครื่องนี้ไม่สามารถรักษาภาวะปานโอตะได้

ขอบตาดำเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลารักษากันนาน และถ้าไม่รู้จักดูแลตัวเองให้ดี นอนหลับไม่เพียงพอ ไม่ช้าขอบตาก็กลับมาดำได้อีก ดังนั้น การดูแลเอาใจใส่รอบดวงตาเสียแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่จะเริ่มเป็นจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็ลองไปทำตามกันนะคะ หมีแพนด้าจะได้ไม่เรียกพี่................

กินผักผลไม้ให้ได้คุณประโยชน์สูงสุด

หลายคนชอบกินผักและผลไม้ แต่ทราบหรือไม่ว่ากินอย่างไรให้ได้คุณประโยชน์สูงสุด

แก้วมังกร – ผลไม้ชนิดนี้กินได้เพลิน ๆ แต่ถ้ากลืนโดยไม่ได้เคี้ยวเมล็ดเล็ก ๆ สีดำให้แตกซะก่อน อาจพลาดสิ่งดี ๆ ไป เพราะในเมล็ดของแก้วมังกรมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ รวมทั้งวิตามินอี การเคี้ยวให้แตกจะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารเหล่านี้ได้

ส้ม - ส้มเป็นผลไม้ที่มีไบโอฟลาโวนอยด์ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระสูง โดยจะมีมากในเยื่อบุผิวและเนื้อเยื่อส่วนใน ดังนั้น เวลากินส้มจึงไม่ควรลอกเยื่อบุผิวขาวๆ ออก และควรกินเนื้อส้มเข้าไปด้วย ช่วยเพิ่มกาก ใย อาหารอีกต่างหาก

ฝรั่ง - เวลากินฝรั่งหลายคนจะทิ้งเมล็ดแล้วกินแต่เนื้อเพราะมีความเชื่อว่าการกินเมล็ดฝรั่งจะทำให้เป็นโรคไส้ติ่ง ทั้ง ๆ ที่เมล็ดฝรั่งมีความหวานหอมและเป็นกากใยอาหารที่ดีเยี่ยม จริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นเมล็ดอะไรหรืออาหารอะไร หากสามารถเข้าไปในไส้ติ่งได้ก็ทำให้เป็นโรคไส้ติ่งอักเสบได้ทั้งสิ้น ไม่จำเป็นต้อง เป็น เมล็ดฝรั่งอย่างเดียว

แครอท - ผักสีส้มที่กินแล้วผิวสวยเพราะได้ชื่อว่ามีสารเบต้าแคโรทีนสูง แต่จะได้ประโยชน์มากขึ้นหากปรุงด้วยความร้อนก่อนนำมากิน ความร้อนจะช่วยทำให้ผนังเซลล์ของแครอทอ่อนตัวลงร่างกายสามารถย่อยได้ง่ายและดูดซึมสารอาหารต่างๆ ได้ดีขึ้น

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว ม.ฟาร์

ข้าวกล้อง วิตามิน...เพียบ

ข้าวกล้องคือข้าวที่สีเอาเปลือก (แกลบ) ออกโดยที่ยังมีจมูกข้าว และเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว (รำ) อยู่ ข้าวกล้องจะมีสีน้ำตาลอ่อน ซึ่งจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวนี้มีคุณค่าอาหารที่มีประโยชน์มาก

สำหรับข้าวขาวที่เรากินๆ กันอยู่นั้น เป็นข้าวที่เกิดจากการขัดสีหลายๆ ครั้ง จนเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวและจมูกข้าวหลุดออกไป จนเหลือแต่เนื้อในของข้าว

ข้าวกล้องบางคนเรียกกันติดปากว่า ข้าวซ้อมมือหรือข้าวแดง เนื่องจากในสมัยโบราณ ชาวบ้านใช้วิธีตำข้าวกินกันเอง จึงเรียกว่า ข้าวซ้อมมือ แต่ปัจจุบันเราใช้เครื่องจักรสีข้าวแทน จึงเรียกข้าวที่สีเอาเปลือกออกนี้ว่า ข้าวกล้อง

ข้าวกล้องมีโปรตีนประมาณ 7-12% (แล้วแต่พันธุ์ข้าว) นักค้นคว้าชื่อ โรสเดล ( Rosedale ) ได้วิเคราะห์ว่า การขัดสีข้าวกล้องจนมีสีขาว จะทำให้โปรตีนสูญหายไปประมาณ 30%

ประโยชน์มากมายของการกินข้าวกล้อง

• ได้วิตามินบีรวม ช่วยป้องกันและบรรเทาอาหารอ่อนเพลีย แขน ขาไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ โรคผิวหนังบางชนิด บำรุงสมอง ทำให้เจริญอาหาร

• ได้วิตามินบี 1 ซึ่งถ้ากินเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคเหน็บชาได้

• ได้วิตามินบี 2 ป้องกันโรคปากนกกระจอก

• ได้ฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน

• ได้แคลเซียม ทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว

• ได้ทองแดง สร้างเมล็ดโลหิต และเฮโมโกลบิน

• ได้ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง

• ได้โปรตีน ช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ

• ได้ไขมัน ให้พลังงานแก่ร่างกาย ไขมันในข้าวกล้องเป็นไขมันที่ดี ไม่มีโคเรสเตอรอล

• ได้ไนอะซิน ช่วยระบบผิวหนังและเส้นประสาท และป้องกันโรคเพลลากรา (โรคที่เกิดจากการขาดไนอะซิน จะมีอาการท้องเสีย ประสาทไหว โรคผิวหนัง)

• ได้คาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานแก่ร่างกาย

• ได้กากอาหาร ข้าวกล้องมีกากอาหารมาก ซึ่งจะทำให้ท้องไม่ผูก และช่วยป้องกันมะเร็งในลำไส้อีกด้วย

• วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ในข้าวกล้องจะช่วยให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

วิ่งอย่างไรไม่ให้ปวดเข่า

การวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่นิยมกันอย่างกว้างขวาง แต่บางครั้งการวิ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดเข่าได้ ซึ่งอาการที่พบบ่อยมักเกิดจากการบาดเจ็บ จากการใช้มากเกินไปของกระดูกอ่อน ผิวข้อหัวเข่า โดยจะมีอาการปวดด้านหน้าของข้อหัวเข่าและมักเป็นมากขึ้นเวลาขึ้นลงบันได หรือเวลานั่งยองๆ นานๆ

ดังนั้น การป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดเข่าขณะวิ่ง คือ การวอร์มอัพยืดกล้ามเนื้อขาและลำตัวก่อนออกวิ่ง ด้วยการเดินเร็วหรือวิ่งเหยาะๆ เพื่อให้มีการปรับตัวของกล้ามเนื้อ ส่วนรองเท้าสำหรับวิ่งควรมีพื้นกันแรงกระแทก กระชับพอดีเท้า และบริเวณที่วิ่งควรเป็นพื้นเสมอกันไม่เอียง และวิ่งโดยลงน้ำหนักที่ส้นเท้า ไม่วิ่งขึ้นลงเนิน เมื่อใกล้จะหยุดวิ่งค่อยลดความเร็วลงและควรเดินต่ออีกสักพักเป็นการ Cool-down และทำการยืดเหยียดกล้ามเนื้ออีกครั้ง ซึ่งจะช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อหลังวิ่งได้

อาหารเพื่อสุขภาพ สำหรับคุณผู้หญิงโดยเฉพาะ

อาหาร 3 หมู่หลัก ที่ช่วยให้พลังงาน

ในแต่ละวันปริมาณของพลังงานขั้นต่ำสุด ที่ถือว่าเพียงพอต่อร่างกายผู้หญิงจะอยู่ที่ 25 แคลอรีต่อหนักหนักตัว 1 กิโลกรัม เพราะฉะนั้น ถ้าหากคุณมีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม คุณควรจะได้รับพลังงานจากอาหาร 1,250 แคลอรี ซึ่งประเภทของอาหารที่ให้พลังงาน ได้แก่

อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว ข้าวโพด ขนมปัง เส้นก๋วยเตี๋ยวชนิดต่างๆ เผือก มันเทศ ฝรั่ง ผลไม้ที่มีแป้งและน้ำตาลสูง ฯลฯ โดยคาร์โบไฮเดรต 1 กรัมจะให้พลังงานแก่ร่างกาย 4 แคลอรี ตามปกติ คนเรามักจะรับประทานอาหารประเภทนี้เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ในแต่ละวันไม่ควรจะรับประทานคาร์โบเดรตมากเกินครึ่งของแคลอรี่ทั้งหมดที่ร่างกายต้องการ กล่าวคือ หากแบ่งอาหารที่ให้พลังงานทั้งหมดออกเป็น 6 ส่วนใน 3 ส่วน ควรจะเป็นคาร์โบไฮเดรต

อาหารประเภทโปรตีน ได้แก่ เนื้อสัตว์ต่างๆ ไข่ นม ถั่วชนิดต่างๆ ปริมาณของโปรตีน 1 กรัมจะให้พลังงาน 4 แคลอรี โปรตีนนับเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเสริมสร้างความเจริญเติบโตของร่างกาย และช่วยแซมเซลล์ส่วนที่สึกหรอ ฉะนั้นในแต่ละวันจึงควรรับประทานอาหารประเภทนี้อย่างน้อย 2 ใน 6 ส่วนของปริมาณแคลอรีทั้งหมดที่ร่างกายต้องการ

อาหารประเภทไขมัน อย่างเช่น เนย น้ำมันพืช กะทิ และไขมัน สัตว์ต่างๆ ซึ่งล้วนแต่ให้พลังงานสูง ไขมันเพียง 1 กรัม จะให้พลังงานได้ถึง 9 แคลอรี ด้วยเหตุนี้ หากยังต้องการรักษาหุ่นดีๆ ให้อยู่กับคุณนานๆ จึงไม่ควรรับประทานอาหารประเภทนี้ มากเกิน 1 ใน 6 ส่วนของปริมาณแคลอรีทั้งหมด ที่ร่างกายต้องการ

วิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญสำหรับผู้หญิง

นอกเหนือจากอาหาร 3 หมู่หลัก ที่ให้พลังงานแล้ว ร่างกายยังมีความต้องการวิตามิน และแร่ธาตุอื่นๆ อีกหลายชนิด ทั้งนี้วิตามิน และแร่ธาตุ ที่จำเป็นสำหรับสรีระร่างกายของผู้หญิงโดยเฉพาะ ได้แก่

โฟเลต ถ้าหากผู้หญิงได้รับวิตามินชนิดนี้น้อยเกินไป พวกเธอจะค่อยๆ เกิดอาการหงุดหงิด กระวนกระวาย และความจำไม่ดี หรือหลงลืมง่าย ยิ่งไปกว่านั้นโฟเลตยังมีความสำคัญต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์อีกด้วย ฉะนั้น หญิงมีครรภ์จึงควรบำรุงโฟเลตเยอะๆ ซึ่งแหล่งอาหารที่อุดมด้วยโฟเลตก็คือ ผักสดชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ผักกาดขาว ผักกาดแก้ว คะน้า กวางตุ้ง ใบโหระพา หรือพืชผักในตระกูลถั่ว เช่น ถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา ถั่วเขียว นอกจากนั้นเนื้อสัตว์ ตับ นม และเนยแข็งก็มีโฟเลตอยู่มากพอสมควร

อย่างไรก็ดีโมเลกุลของโฟเลตเป็นอะไรที่สูญสลายได้ง่าย แค่คุณประกอบอาหารดังกล่าวด้วยความร้อนสูงเพียง 45 องศา อาหารนั้นก็แทบจะไม่เหลือโฟเลตให้คุณอีกเลย ฉะนั้นหากต้องการให้ได้คุณค่าของโฟเลตอย่างเต็มที่ ก็ควรจะรับประทานแบบสดๆ หรือพยายามให้อาหารผ่านความร้อนน้อยที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกพืชผัก ซึ่งมีผักอยู่หลายชนิดที่เราสามารถนำมารับประทานทั้งที่ยังสดๆ ได้อย่างปลอดภัย แต่สำหรับเนื้อสัตว์ และตับนั้น ห้ามนำมารับประทานแบบดิบๆ อย่างเด็ดขาด

เหล็ก สารอาหารที่จำเป็นต่อการช่วยบำรุงเซลล์เม็ดเลือด ให้มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง สามารถลำเลียงออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญสำหรับความเป็นหญิง ผู้ซึ่งต้องสูญเสียเลือด และมีการผลิตเลือดใหม่ในทุกรอบเดือน ยิ่งทำให้ร่างกายไม่อาจขาดธาตุเหล็กได้ แหล่งอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่ เนื้อสัตว์ ตับ ไข่แดง ผักใบเขียว ถั่วเหลือง และพืชตระกูลถั่ว อย่างไรตามธาตุเหล็กจะสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น หากได้วิตามินซีเข้ามาช่วย

แคลเซียม แร่ธาตุที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับความแข็งแรงของกระดูก และฟัน เป็นสารอาหารสำคัญอีกตัวหนึ่ง ที่ผู้หญิงไม่ควรขาด เพราะร่างกายของเพศหญิงโดยเฉพาะในวัยที่หมดประจำเดือนไปแล้ว จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนได้สูงกว่าชาย ทั้งนี้เป็นผลมาจากการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำให้การดูดซึมแคลเซียมเป็นไปได้ยาก แหล่งอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียม ซึ่งหลายคนต่างก็รู้ดีว่ามีมากก็คือ นม นอกจากนี้ในพืชผักใบเขียวหลายชนิดอย่าง คะน้า ผักกระเฉด ยอดแค ผักขม ก็เพียบพร้อมไปด้วยแคลเซียมสูง ไม่แพ้นมเช่นกัน

แมกนีเซียม เป็นธาตุอาหารที่มีประโยชน์ต่อการช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่กระดูก และฟันอีกตัวหนึ่งโดยจะเข้าไปช่วยทำหน้าที่ควบคุมปริมาณแคลเซียมให้พอเพียงกับร่างกายอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งยังมีส่วนช่วยควบคุมระบบการทำงานของประสาท ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของร่างกายด้วย แหล่งของอาหารที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย ที่มีแมกนีเซียมอยู่มาก ได้แก่ ขนมปังโฮลวีต สาหร่าย กล้วย และผักใบเขียวต่างๆ

เครดิตโดย พญ. รัชวดี กาญจนรุจิวงศ์

8 วิธีสวยด้วยน้ำผึ้ง

เกร็ดความรู้วันนี้ขอเสนอ ความสวยที่ได้มาจากน้ำผึ้ง แต่ก่อนจะลงมือทำสวย เรามาทดสอบก่อนดีกว่าว่า น้ำผึ่ง ที่มีอยู่นั้น ของแท้หรือของเทียม

เริ่มจาก นำน้ำผึ้งจากธรรมชาติที่ยังไม่ผ่านความร้อนใส่ไว้ในขวด ตั้งทิ้งไว้สักพัก ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้จากธรรมชาติจะสังเกตเหตุเกสรดอกไม้ลอยอยู่ด้านบน

หลังจากรู้แล้ว ก็เริ่มปฏิบัติเสริมสวยกันเลย...

1. น้ำผึ้งช่วยปรับสมดุลของร่างกายและควบคุมน้ำหนัก ใครที่มีปัญหาปวดข้อ ปวดกระดูก เป็นตะคริวอยู่บ่อย ๆ หรือแม้กระทั่งโรคอ้วน ก็สามารถดื่มน้ำผึ้ง เพื่อช่วยบรรเทาโรคต่าง ๆ ได้

วิธีคือ นำน้ำผึ้ง 3 ช้อนผสมกับน้ำส้มสายชูหมักแอ๊ปเปิ้ล (หรือ Apple Vinegar) 3 ช้อนชา ผสมน้ำเปล่า 1 แก้ว ดื่มทุกเช้าหลังตื่นนอนและระหว่างมื้อเป็นประจำทุกวัน จะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงและสดชื่น

2. หน้าแห้งแตกเป็นขุย สาวที่มีผิวหน้าแห้งกร้านเหมือนอีสานแล้ง ควรทำเป็นอย่างยิ่ง นำไข่แดง 1 ฟอง และน้ำผึ้ง 1ช้อนผสมให้เข้ากัน พอกหน้าทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

3. น้ำผึ้งสยบสิ้วเสี้ยนบนใบหน้า หลังล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น เช็ดหน้าให้แห้ง จากนั้นนำกล้วยหอมครึ่งลูก บดผสมกับน้ำผึ้ง นำมาทาบนใบหน้าทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก น้ำผึ้งมีเอนโซม์ที่ทำให้หน้าคุณชุ่มชื่นนุ่มนวลขึ้น และยังบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ด้วย

4. ผมหยาบกระด้างเกินเยียวยา ต้องลองสูตรนี้ หลังสระผมเสร็จ นำน้ำผึ้งผสมกับน้ำมันมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ ชโลมผมแล้วทิ้งไว้ 3-5 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผมคุณจะนิ่มและเงางามดุจเส้นไหม

5. ใครที่นอนไม่หลับ ฟังทางนี้ด่วน ผสมน้ำผึ้งกับน้ำอุ่น หรือนมร้อนดื่มก่อนนอน จะช่วยให้คุณหลับสบายขึ้น

6. สครับหน้าแบบง่าย ๆ เพียงนำน้ำผึ้งผสมกับแอ๊ปเปิ้ลมาปั่นรวมกัน ทาให้ทั่วใบหน้า พร้อมกับนวดเบา ๆ ความหยาบของแอ๊ปเปิ้ลจะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าให้ออกไปให้ผิวหน้าสดใสเปล่งปลั่งขึ้น

7. สูตรไล่ตีนกาออกจากหน้า นำแครอท 1 หัวเล็กมาปอกเปลือกและปั่นให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้ง และนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 5-10 นาที ริ้วรอยตีนเป็ดตีนกาทั้งหลายจะค่อย ๆ โบยบินออกจากหน้าของคุณในเร็ววัน

8. เสียงใสเหมือนระฆังเงิน หากใครเกิดอาการเจ็บคอ รู้สึกคอแห้งเสียงแหบร้องราคาโอเกะไม่สนุกละก็ เพียงผสมน้ำมะนาว 1 ลูก + น้ำผึ้ง 2-3 ช้อนโต๊ะ + น้ำเดือด 2 ช้อนโต๊ะ จิบบ่อย ๆ แก้เจ็บคอ แต่หากกินไม่หมดก็นำมาทาหน้าได้ด้วย ทาทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผิวหน้าจะขาวใสและเต่งตึงขึ้นทันตาเห็น

รูขุมขนกว้าง สาเหตุและการป้องกันแก้ไข

รูขุมขนกว้าง เป็นลักษณะทางผิวหนังที่พบได้บ่อย จะถือว่าเป็นปัญหาหรือไม่ใช่ปัญหาก็ได้ เนื่องจากไม่ใช่โรคทางผิวหนังและก่อให้เกิดอันตรายแต่อย่างใด ยกเว้นเรื่องความสวยงาม เนื่องจากคนที่มีรูขุมขนกว้าง จะมีโอกาสมีสิวเสี้ยนได้ง่ายกว่าคนที่ไม่มีปัญหาดังกล่าว

ปกติท่อที่เปิดตามผิวพรรณทั่วไป จะมี 2 ประเภทใหญ่ๆ ก็คือ ท่อเปิดต่อมเหงื่อ และท่อเปิดรูขุมขน ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ขนงอกขึ้นมา และเป็นต่อมท่อที่ระบายของไขมันจากต่อม Sebaceous Gland (ดูภาพประกอบ) ซึ่งจะมีขนาดโตมากน้อยแตกต่างกันในแต่ละคน ขึ้นอยู่กับ

1. อายุ เมื่ออายุเกิน 20 ปีขึ้นไปรูขุมขนมีโอกาสจะโตมากขึ้นตามธรรมชาติ

2. ลักษณะผิว ในกรณีที่มีผิวหน้ามันมาก โอกาสจะมีรูขุมขนกว้างมากขึ้น จะเกิดขึ้นเร็วและโตกว่าคนที่มีผิวธรรมดาหรือผิวแห้ง

แนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหารูขุมขนกว้าง

1. พยายามลดความมันบนใบหน้า เพื่อเป็นการป้องกัน มีได้หลายๆ วิธีดังนี้

1.1 การล้างหน้าบ่อยๆ

1.2 เลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าสำหรับผิวมัน ซึ่งมักจะได้แก่ สบู่ล้างหน้า หรือโฟมล้างหน้า

1.3 การทาโลชั่นลดความมัน หรือเจลควบคุมความมัน

1.4 การรับประทานยากลุ่มเรตินอยด์ กรณีที่ผิวหน้ามันมากๆ และได้ปฏิบัติในข้อ 1.1-1.3 แล้วไม่ดีขึ้น ได้แก่ยา roaccutane,Isotretinoin

2. กระชับรูขุมขนให้เล็กลง ซึ่งมีได้หลายๆ วิธี ดังนี้

2.1 การทำ Chemical Peeling ด้วย AHA,BHA,TCA

2.2 การทำไอออนโต โดยใช้ยากลุ่มวิตามินเอ,hyaluronic acid,aloe vera

2.3 การทาครีมที่ผสมด้วยกรดผลไม้อ่อนๆ เช่น AHA,BHA เป็นประจำ

2.4 การกรอผิวหน้าด้วยเกร็ดอัญมณี (Microdermabrasion)

2.5 การกรอผิวหน้าด้วย Laser ( Laser Resufacement)

2.6 การทำ Photorejuvenation ด้วยเครื่อง IPL (Intense Pulse Light)

2.7 การทำ Skin Needling: จัดเป็นเทคนิคใหม่ล่าสุด ของ ค.ศ.2006 โดยพบได้ผลดีมากกว่าวิธีอื่นๆ

หลักการทำโดยการใช้ลูกกลิ้งที่มีเข็มเล็กๆ ติดที่ปลาย กลิ้งไปบนใบหน้า ทำให้เกิดรูเล็กๆ จำนวนมากในชั้นหนังแท้ แล้วให้ร่างกายทำการซ่อมแซมเนื้อเยื่อเอง ทั้งการสร้างคอลลาเจนใหม่ และการเรียงตัวของเซลล์ จึงทำให้ผิวหน้ากลับมาเรียบเนียนดีขึ้นได้เหมือนตอนเยาว์วัย

อนึ่งการแก้ไขปัญหารูขุมขนกว้างในข้อ 2 จะพบว่า ค่าใช้จ่ายและผลลัพธ์ที่ได้ก็แตกต่างกันไป การพิจารณาเลือกแบบใด ควรสอบถามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างรอบคอบ เพราะบางอย่างก็มีผลข้างเคียงได้ เช่น การทำการกรอหน้าด้วยเกร็ดอัญมณี หรือเลเซอร์

เตือนวัยรุ่นกินยาผิวขาว..ระวังเส้นเลือดอุดตัน

ใช้ยาเป็นประจำ เสี่ยงผิดปกติระบบสายตา

น.พ.ชาตรี บานชื่น เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า กรณีมีข่าวระบุว่าวัยรุ่นมีค่านิยมในการหันมารับประทานยาที่มีส่วนผสมของ "ทราเนซามิค แอซิด (Tranexamic acid)" ซึ่งมีการโฆษณาขายทางเว็บไซต์ โดยอวดอ้างสรรพคุณว่าสามารถสร้างเม็ดสีเมลานิน และลดสีผิวให้อ่อนลง ลดสีฝ้า กระ จุดด่างดำให้จางลง ทำให้ผิวขาว ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ไม่เคยอนุญาตให้แสดงสรรพคุณดังที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด ทั้งนี้ สรรพคุณที่ อย. อนุญาตในทะเบียนยาที่มีส่วนผสมของทราเนซามิค แอซิด คือใช้ในภาวะเลือดออกมากผิดปกติในโรคบางชนิด เช่น โรคลิวคิเมีย โรคอะพลาสติก แอนนิเมีย เป็นต้น และภาวะเลือดออกมาก ระหว่างหรือหลังการผ่าตัด รวมทั้งภาวะเลือดออกมากผิดปกติเฉพาะที่ เช่น ปอด ไต และอวัยวะสืบพันธุ์ เป็นต้น

สำหรับอาการข้างเคียงจากการรับประทานยาดังกล่าวคือ อาจทำให้ระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร

เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย เวียนศีรษะ ภาวะความดันต่ำ ภาวะที่มีลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือด เช่น ภาวะลิ่มเลือดอุดหลอดเลือดดำ หลอดเลือดแดง เป็นต้น อีกทั้งไม่ควรใช้ยานี้ระหว่างตั้งครรภ์และให้นมบุตร นอกจากนี้ ยังมีคำเตือน สำหรับผู้ใช้ยาชนิดนี้คือ ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีเลือดออกในสมอง ผู้ที่ใช้ยานี้เป็นประจำควรได้รับการตรวจวัดการมองเห็น และตรวจตาเป็นระยะๆ หากมีความผิดปกติให้หยุดยาและปรึกษาแพทย์ ระวังการใช้ยาในผู้ที่หลอดเลือดอุดตัน คนสูงอายุ และควรลดขนาดยาลงในผู้ป่วยที่ไตทำงานผิดปกติ ยานี้จัดเป็นยาอันตราย ต้องมีการสั่งจ่ายยา โดยแพทย์หรือเภสัชกรที่ร้านขายยาแผนปัจจุบันเท่านั้น

น.พ.ชาตรี กล่าวเตือนวัยรุ่นและประชาชนอย่าหลงเชื่อการโฆษณาสรรพคุณของยาดังกล่าวว่าสามารถทำให้ผิวขาว

เพราะอาจได้รับผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายจากการใช้ยาดังกล่าว โดยเฉพาะการเกิดภาวะเส้นเลือดอุดตัน สำหรับในกรณีที่มีการโฆษณาขายยาทางเว็บไซต์ต่างๆ นี้ อย.ได้ดำเนินการตรวจสอบเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายแล้ว โดยจะมีความผิดฐานโฆษณาขายยาโดยไม่ได้รับอนุญาตจาก อย. มีโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท ขายยาโดยไม่มีใบอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท

สาวิตรี ศรีธรรมราช_Far039

วิ่งอย่างไรไม่ให้ปวดเข่า

การวิ่งเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่ดีและทำได้ง่าย แต่บางครั้งเทคนิคการวิ่งที่ไม่ถูกต้อง รองเท้าหรือบริเวณที่วิ่งไม่เหมาะสม การที่มีภาวะหรือโรคเกี่ยวกับข้อ หรือสภาพร่างกายที่ไม่อำนวยก็อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ ไม่ว่าจะเป็นข้อเท้า ข้อเข่า หรือหลัง

อาการปวดเข่าที่พบได้บ่อยจากการวิ่ง เกิดจากการบาดเจ็บซ้ำๆ ของกระดูกอ่อนของกระดูกสะบ้าหัวเข่าและกระดูกหัวเข่าหรือที่เรียกว่า Patellofemoral pain syndrome โดยมักทำให้เกิดอาการปวดด้านหน้าของข้อเข่าแต่อยู่ด้านหลังของกระดูกสะบ้า อาการปวดมักเป็นมากขึ้นเวลาขึ้นลงบันได หรือเวลานั่งยองๆ นานๆ นอกจากนี้ในกีฬาที่ต้องมีการกระโดดร่วมด้วย ก็อาจเกิดการบาดเจ็บซ้ำๆ ของเอ็นที่อยู่ใต้ต่อกระดูกสะบ้าร่วมด้วย

การวิ่งขึ้นลงเนินบ่อยๆ หรือต้องมีการงอเข่ามากๆ อาจจะทำให้เกิดการเสียดสีของพังผืดที่อยู่ด้านข้างนอกของเข่า (Iliotibial band syndrome) ทำให้เกิดอาการปวดบริเวณด้านนอกของข้อเข่าได้

ผู้ที่มีข้อเข่าเสื่อมและใส่รองเท้าที่ไม่มียางหรือ air cushion กันกระแทกอย่างเพียงพอ อาจเกิดอาการปวดบริเวณด้านในของข้อเข่าได้

การป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดเข่าขณะวิ่งได้แก่

1. การยืดกล้ามเนื้อรอบเข่าและข้อเท้าให้เพียงพอ ควรยืดช้าๆ ค้างไว้ 10-15 วินาที ต่อครั้ง ทำประมาณ 5-10 ครั้งต่อมัด เน้นการยืดกล้ามเนื้อน่อง กล้ามเนื้อกางสะโพก กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้าและด้านหลังเป็นหลัก

2. การ warmup ให้เพียงพอ โดยเริ่มจากการเดินเร็วหรือวิ่งเหยาะๆ ก่อนที่จะวิ่งเต็มที่ เพื่อให้มีการปรับตัวของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการออกกำลังกาย ระบบไหลเวียนโลหิต และระบบการหายใจ

3. รองเท้าวิ่ง ควรมีพื้นกันแรงกระแทกที่เพียงพอและมีความกระชับพอดีกับเท้า เวลาเลือกซื้อที่ร้านควรบอกพนักงานว่าคุณต้องการวิ่งแบบไหน ในปัจจุบันถ้าคุณไปเดินในแผนกกีฬาของห้างสรรพสินค้า จะเห็นว่ามีการแยกประเภทรองเท้าสำหรับกีฬาประเภทต่างๆ ไว้แล้ว โดยทั่วไปถ้าต้องการวิ่งออกกำลังกายเพื่อสุภาพ ไม่ใช่การวิ่งสปรินท์ ให้เลือกรองเท้าแบบ Cross training

4. การตรวจดูลักษณะเท้าว่าผิดปกติหรือไม่ ส่วนใหญ่ที่พบคือ ภาวะเท้าแบน ถ้าคุณมีเท้าแบนหรือไม่มีอุ้งเท้าสูงเพียงพอ เวลาวิ่งนานๆ อาจทำให้มีแรงปฏิกิริยาจากพื้นกระทำต่อข้อเท้าและข้อเข่าอย่างผิดปกติ ทำให้เกิดอาการปวดเข่าหรือข้อเท้าเรื้อรังได้ ท่านควรไปพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาหรืออาจลองซื้อแผ่นยางเสริมอุ้งเท้าที่มีขายสำเร็จรูปมาติดภายในรองเท้า

5. บริเวณที่วิ่ง ควรเป็นพื้นที่เสมอกัน ไม่ควรวิ่งบริเวณที่เป็นพื้นเอียงหรือบริเวณที่มีการหักเลี้ยวอย่างเฉียบพลัน พื้นวิ่งที่ดีที่สุดคือ พื้นยางสังเคราะห์เพราะมีความนุ่มและเก็บพลังงานเพื่อเปลี่ยนเป็นแรงส่งตัวได้ดี คุณอาจวิ่งบนพื้นดินแทนก็ได้ และถ้าจะวิ่งบนพื้นคอนกรีตควรเลือกรองเท้าที่รับแรงกระแทกอย่างเพียงพอ

6. ไม่ควรวิ่งก้าวเท้ายาวเกินไป หรือยกเข่าสูงเกินไป เพราะทำให้ข้อเข่าต้องงอมากเกินความจำเป็น อาจทำให้เกิดปัญหาปวดเข่าได้ง่ายขึ้น ส่วนแขนก็ควรงอเพียงเล็กน้อยและแกว่งข้างลำตัว และไม่ควรแกว่งมือเลยแนวกลางของลำตัว ในกรณีที่คุณมีปัญหาปวดหลังหรือน้ำหนักตัวมากๆ ควรแกว่งแขนค่อนมาทางด้านหลังเพื่อไม่ให้ลำตัวตัวก้มไปข้างหน้ามากเกินไปด้วย

7. ควรวิ่งโดยลงน้ำหนักที่ส้นเท้า การวิ่งโดยลงน้ำหนักที่ปลายเท้านานๆ จะทำให้เกิดแรงกระชากพังผืดฝ่าเท้า ปวดกล้ามเนื้อน่อง และยังเกิดแนวแรงที่ผิดปกติที่ผ่านต่อข้อเข่า ทำให้ต้องงอเข่ามากขึ้นขณะวิ่ง อาจทำให้เกิดการปวดเข่าด้านหน้าได้ การวิ่งลงน้ำหนักที่ปลายเท้าจะทำได้ในกรณีวิ่งสปรินท์หรือสำหรับนักกีฬาที่มีความฟิตเพียงพอ

8. ไม่ควรวิ่งขึ้นลงเนิน ถ้าคุณมีปัญหาที่ข้อเข่าบ่อยๆ ถ้าจะวิ่งขึ้นเนิน ให้เอนลำตัวไปด้านหน้า ก้าวเท้าให้สั้นลง และมองตรงไปข้างหน้า ไม่ควรแหงนหน้าขึ้น ถ้าจะวิ่งลงเนิน พยายามให้ลำตัวตั้วตรง เพราะแรงโน้มถ่วงอาจทำให้คุณเสียหลักได้ และควรก้าวเท้าให้ยาวขึ้นและเร็วขึ้นกว่าปกติ

9. ถ้าคุณมีภาวะข้อเสื่อมอย่างชัดเจน ควรออกกำลังกายด้วยวิธีอื่นเช่น ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ หรือเดินเร็ว แทนการวิ่ง

10. ระยะทางที่วิ่งต้องเหมาะสม ถ้าจะเพิ่มระยะทางก็ควรเพื่มช้าๆ ในแต่ละสัปดาห์

11. เมื่อใกล้จะหยุดวิ่ง ค่อยลดความเร็วลง อย่ารีบวิ่งเต็มฝีเท้า และควรเดินต่ออีกสักพักเพื่อให้ร่างกายได้ชะเอากรดแลคติกออกไปจากกล้ามเนื้อบ้าง ทำให้ช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อหลังวิ่งในวันรุ่งขึ้น

12. หมั่นออกกำลังกายกล้ามเนื้อต้นขา โดยการเหยียดเข่าตรงและเกร็งค้างไว้ 5 วินาทีต่อครั้ง ทำประมาณ 10 -20 ครั้งต่อวัน หรือคุณอาจเข้ายิมเล่นเวทเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้าและด้านหลัง สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง โดยเฉพาะคุณสุภาพสตรีที่มีสะโพกกว้างซึ่งจะมีแนวโน้มที่เกิดปัญหา Patellofemoral pain ได้ การออกกำลังกายดังกล่าวจะช่วยพัฒนากล้ามเนื้อที่ช่วยรั้งกระดูกสะบ้าเข้าด้านใน ซึ่งจะช่วยลดปัญหา Patellofemoral pain ในระยะยาว

คำแนะนำที่กล่าวมานี้เป็นคำแนะนำสำหรับการวิ่งจ็อกกิ้งเพื่อสุขภาพทั่วๆ ไป รูปแบบการฝึกอาจแตกต่างออกไปถ้าท่านต้องการวิ่งเพื่อแข่งขัน หรือวิ่งสปรินท์ หวังว่าท่านจะสามารถวิ่งจ็อกกิ้งได้อย่างมีความสุขเมื่อได้ปฏิบัติตามข้อแนะนำเหล่านี้แล้ว อย่างไรก็ตามถ้ายังคงมีอาการปวดเข่าหรือข้ออื่นๆ อยู่ก็ควรพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงหรือเพื่อการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

ผิวมัน แนวทางการป้องกันและแก้ไข

ปัญหาผิวหน้ามันมีสาเหตุส่วนใหญ่ เกิดจากปัญหาฮอร์โมนเพศ โดยมักพบได้ในชาย มากกว่าหญิง พบในวัยรุ่น จนถึงวัยกลางคนได้ ปัญหาหน้ามันเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดสิวอักเสบ สิวอุดตัน และรูขุมขนกว้าง ในภายหลังได้

แนวทางการดูแลแก้ไขมีดังนี้

1. ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า ควรเลือก สบู่ล้างหน้า อาจเป็นก้อน หรือ สบู่เหลวก็ได้ เพราะในสบู่ จะมีสารที่ทำให้เกิดฟอง ซึ่งสามารถลดความมันบนใบหน้าได้ ผู้ที่มีผิวมัน สามารถล้างหน้าได้บ่อย 4-5 ครั้งต่อวันได้ ในกรณีที่ไม่สามารถพกพาสบู่ล้างหน้าไปได้ในทุกที่ การล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดบ่อยๆ หรือทุกครั้งที่หน้ามัน ก็เป็นสิ่งที่ดี การใช้เจลล้างหน้า หรือโฟม ควรเลือกเป็นพิเศษสำหรับผิวมัน แต่มักล้างความมันบนใบหน้าได้น้อยกว่าสบู่ล้างหน้า

2.การใช้โลชั่นหรือโทนเนอร์ เพื่อเช็ดหน้าลดความมัน เป็นสิ่งที่แนะนำให้ใช้ ถ้าล้างหน้าด้วยสบู่อย่างเดียวแล้วผิวหน้ายังมันอยู่

3. การใช้ Oil Conrol Products ซึ่งจะช่วยซับความมัน ควรเลือกที่มีอนุภาคเล็กๆ ที่สามารถแทรกซึมเข้าไปซับได้ในรูขุมขน ซึ่งต้องมีขนาดที่เล็กมากเป็น Micron

4. ควรเลือกครีมกันแดดที่มีลักษณะเป็นโลชั่น หรือ ครีมที่มี SPF = 15 ก็เพียงพอ เพราะถ้าเลือกครีมกันแดด ที่มี SPF สูงกว่านี้มักจะมีความมันสูง ก่อนใช้ครีมกันแดดยี่ห้อใด ควรลองทาครีมบริเวณท้องแขน เพื่อทดสอบอาการแพ้ หรือ ความมัน ก่อนการตัดสินใจในการซื้อครีมกันแดด

5. หลีกเลี่ยงของมัน ขนมหวาน ไอสครีม และอาหารที่มีแคลอรี่สูง หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด

6. ถ้าปฏิบัติข้อ 1-5 แล้วยังไม่ได้ผลดีนัก การทำให้ผิวหน้าแห้งลง ด้วย การรับประทานยา กลุ่ม Retinoids หรือ Isotretinoin เช่น Roaccutane หรือ Acnotin วันละ10-20 มก.ต่อวัน ก็เป็นการช่วยได้มาก เพราะยาในกลุ่มนี้ จะช่วยลดการสร้างไขมันที่ต่อมไขมันบนใบหน้า นอกจากนี้ยังช่วยรักษาปัญหาสิวอุดตัน รูขุมขนกว้าง และริ้วรอยแผลเป็นได้ดี แต่ก็ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์

7. ยาเม็ดคุมกำเนิด ซึ่งมักมีส่วนประกอบ ของฮอร์โมนProgesterone เฉพาะชนิดที่มีฤทธิ์ต้านฮอร์โมน Angrogen ได้ จึงสามารถทำให้ต่อมไขมันผลิตไขมันลดลงได้ แต่การทำงานดังกล่าวอาจรบกวน การมีประจำเดือนในผู้หญิงได้ จึงได้มีการเสริมฮฮร์โมนเพศหญิงคือ Estrogen ร่วมด้วย จึงอยู่ในลักษณะคล้ายยาคุมกำเนิด คือบรรจุเป็นแผง 21 เม็ด ที่นิยมใช้ในคลินิกผิวหนังก็คือ Dian-35

8. การกรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี ทีเรียกว่า การทำ MD ( Microdermabrasion) โดยจะทำให้ไขมันที่เคลือบผิวส่วนบนของผิวหน้าหลุดลอกออก และทำให้ท่อไขมันเล็กลง การผลิตไขมันในต่อมไขมันถูกระบายออกได้มากขึ้น

สมุนไพรพิชิตหน้าหนาว

เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ต้องดูแลสุขภาพนะคะ หลักง่ายๆ ของการดูแลสุขภาพโดยทั่วไปคือ ต้องดูแลร่างกายให้ ได้รับความอบอุ่น เริ่มกันตั้งแต่การรับประทานอาหาร เครื่องดื่ม การทำความสะอาดร่างกาย ตลอดจนการดูแลสุขภาพด้านอื่นๆ เพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วย ซึ่งมีคำแนะนำดีๆ มาฝากค่ะ

ฤดูหนาวรับประทานอะไรดี

สำหรับการรับประทานอาหารในช่วงฤดูหนาว สาวๆ อย่างเราควรเลือกรับประทานอาหารที่ร้อนและปรุงเสร็จใหม่ๆ ควรมีรสเปรี้ยวอมขมเล็กน้อย และรสเผ็ด เช่น แกงส้มดอกแค แกงขี้เหล็ก แกงป่า สะเดาน้ำปลาหวาน และน้ำพริก เพราะธรรมชาติจะปรับเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ผักพื้นบ้านและพืชสมุนไพรในฤดูต่างๆ ก็เปลี่ยนไปเช่นเดียวกัน ในฤดูหนาว มักจะมีสมุนไพรพื้นบ้าน เช่น สะเดา ซึ่งมีรสขม เมื่อกินแล้วจะช่วยแก้ไข้ ทำให้เจริญอาหาร ขี้เหล็กมีสรรพคุณช่วยระบาย ดอกแคแก้ไข้หัวลม ซึ่งสาว WP ควรเลือกรับประทานผักพื้นบ้านที่มีอยู่ตามฤดูกาล ส่วนการเลือกเครื่องดื่มในช่วงหน้าหนาวนี้ ควรจะเป็นเครื่องดื่มร้อนๆ เช่น น้ำขิง ชาสมุนไพร เพื่อช่วยให้ชุ่มคอ ลดอาการไอ แก้หวัด ซึ่งป้องกันการเป็นหวัดในช่วงนี้ได้อีกทางหนึ่งด้วย

หน้าหนาวควรดูแลร่างกายอย่างไร

ด้วยอากาศที่หนาวเย็น เราควรอาบน้ำด้วยน้ำอุ่นและเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่หนา แต่บางครั้งการอาบน้ำอุ่นจะทำให้ผิวแห้งง่ายกว่าอาบน้ำเย็น เพราะน้ำมันที่ผิวหนังจะถูกชะล้างออกไป รวมทั้งความชื้นของอากาศที่ลดลง ก็จะเพิ่มให้ผิวแห้งแตกและคันได้ง่าย ดังนั้น สาวๆ ควรจะดูแลร่างกายในช่วงหน้าหนาวนี้เป็นพิเศษ โดยสามารถนำเอาสมุนไพรพื้นบ้านมาประยุกต์ใช้ดูแลผิวพรรณ อย่าง น้ำมันงา ขมิ้นชัน ผิวมะนาว และผิวมะกรูด

สมุนไพรดูแลผิวพรรณ

- น้ำมันงา นำงาดิบประมาณ 1 ถ้วย โขลกให้ละเอียด บีบเอาน้ำมันจากงาเก็บไว้ในขวด ทาผิวตอนเช้าและก่อนนอน น้ำมันงาจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดอาการแห้งแตกและคัน

- ขมิ้นชัน มีสรรพคุณช่วยลดอาการคันและช่วยลดอาการผดผื่นตามผิวหนัง เพียงนำขมิ้นชันสดมาล้างให้สะอาด โขลกให้ละเอียด บีบน้ำที่ได้นำมาทาผิว หลังอาบน้ำเช้า-เย็น แต่อาจจะมีสีของขมิ้นติดตามเสื้อผ้าที่สวมใส่

- ผิวมะกรูด น้ำมันที่ผิวของมะนาวและมะกรูด จะช่วยเคลือบผิว ให้ชุ่มชื้น ลดอาการคัน ลดการอักเสบ โดยนำมะนาวที่ใช้แล้ว ส่วนบริเวณผิวด้านนอกของมะนาว มาทาผิวบริเวณที่แห้งคัน เช้า-เย็น ก็จะช่วยลดอาการคันได้

การดูแลสุขภาพด้วยการอาบสมุนไพร

การอาบน้ำอุ่นในฤดูหนาวจะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น เพราะในฤดูหนาว คนส่วนใหญ่มักจะเป็นหวัด คัดจมูก และคันตามผิวหนัง ซึ่งหากนำสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยลดอาการคัน มาต้มอาบแทนน้ำเปล่า ก็จะช่วยบรรเทาอาการคันได้ดี สมุนไพร ที่หาได้ง่าย ที่ควรนำมาต้มมีดังนี้

• ยอดผักบุ้ง จำนวน 5 ยอด ใช้รักษาอาการคัน

• ใบมะกรูด จำนวน 3-5 ใบ แก้วิงเวียน ช่วยให้หายใจสบาย

• ใบมะขาม/ใบส้มป่อย 1 กำมือ แก้อาการคันตามร่างกาย ช่วยให้ผิวหนังสะอาด

• ต้นตะไคร้ จำนวน 3 ต้น บำรุงธาตุไฟ

• หัวไพล จำนวน 2-3 หัว ลดอาการอักเสบ ปวด บวม

• ใบหนาด จำนวน 3-5 ใบ ช่วยบำรุง แก้โรคผิวหนัง น้ำเหลือง

• หัวขมิ้นชัน จำนวน 2-3 หัว ช่วยสมานแผล แก้คันตามผิวหนัง

• การบูร จำนวน 15 กรัม ช่วยบำรุงหัวใจ

• หัวหอมแดง จำนวน 3-5 หัว แก้หวัดคัดจมูก

เพียงนำสมุนไพรทั้งหมดมาต้มรวมกัน ผสมน้ำเย็นให้พออุ่น แล้วนำมาอาบ สรรพคุณของสมุนไพรก็จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ลดอาการคันตามผิวหนัง ช่วยให้หายใจโล่ง แค่นี้สาวๆ ก็จะรู้สึกสบายตัว ไม่ต้องกังวลกับฤดูหนาวแล้ว

วิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยลดการแพ้อากาศ ได้แก่

- วิตามินซี ช่วยป้องกันและเสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือด ป้องกันหวัดและการแพ้อากาศ แหล่งที่พบมากได้แก่ ฝรั่ง ส้ม และสับปะรด

- วิตามินอี ช่วยสร้างภูมิคุ้นกัน ต้านอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรง แหล่งที่พบมากได้แก่ ธัญพืช ข้างกล้อง และรำข้าว

- วิตามินเอ ช่วยต้านอนุมูลอิสระและเสริมสร้างการทำงานของเซลล์เม็ดเลือด แหล่งที่พบมากได้แก่ ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง แครอท มะเขือเทศ ฟักทอง มะละกอ และน้ำมันตับปลา

-สังกะสี (Zinc) ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย และป้องกันอนุมูลอิสระ แหล่งที่พบมากได้แก่ อาหารทะเล ธัญพืช และผลิตภัณฑ์นม

- ซิลิเนียม (Selenium) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน แหล่งที่พบมากได้แก่ เนื้อสัตว์ ธัญพืช จมูกข้าว รำข้าว เห็ด และกะหล่ำปลี

นายชัยวิชิต อิ่นแก้ว ฟาร์ 5001023035

ก่อนหน้านี้เรามักจะได้ยินคำแนะนำที่ว่า "การดื่มน้ำมาก ๆ นั้นดีต่อร่างกาย" แต่ดูเหมือนว่าคำแนะนำนี้จะค่อนข้างใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ดื่อน้ำเยอะไปก็ไม่ดี ทั้งนี้เนื่องจากว่าในระยะหลังมานี้มีข้อโต้แย้งคำแนะนำดังกล่าวนี้มากขึ้น โดยดร.สแตนลีย์ โกลด์ฟาร์บ และดร.แดน เนกัวนู จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียในฟิลาเดลเฟีย สหรัฐฯ ได้ตรวจสอบเอกสารทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับผลต่อสุขภาพจากการดื่มน้ำปริมาณมากในแต่ละวัน ทั้งคู่ พบว่า คนที่อยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งแล้ง รวมถึงนักกีฬาอาจต้องการน้ำมากกว่าคนอื่น ขณะที่คนที่ป่วยเป็นโรคบางโรคควรดื่มน้ำมากๆ แต่สำหรับคนปกติ การกระทำดังกล่าวไม่ได้ช่วยให้สุขภาพดีขึ้นแต่อย่างใด นอกจากนี้นักเคมีบำบัดของเยอรมันยังกล่าวว่า การดื่มน้ำที่มากเกินไปนั้นก็เป็นอันตรายเช่นกัน เช่นในหมู่นักกีฬาที่ดื่มน้ำมากเกินไปอาจจะทำให้โซเดียมในร่างกายลดลง แถมการดื่มน้ำมากเกินไปก็ยิ่งทำให้เกิดการกระหายน้ำมากขึ้นด้วย แต่ทั้งนี้การดื่มน้ำน้อยเกินไปก็ไม่เป็นผลดี เพราะอาจจะทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำได้ด้วย เพราะฉะนั้นการดื่มน้ำในปริมาณที่พอดี ๆ คือ 6 - 8 แก้ว (ประมาณ 1.2 ลิตร

นายชัยวิชิต อิ่นแก้ว ฟาร์ 5001023035

ใครที่ชอบดื่มนมเป็นประจำ รู้หรือไม่ว่า การดื่มนมอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวได้ วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาบอกกัน .....

มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในสหรัฐฯ กล่าวว่า เด็กหนุ่มสาวทั้งหลายที่มีสิวขึ้นบนใบหน้าว่า ให้ลดปริมาณการดื่มนมให้น้อยลง เพราะก่อนหน้านี้เคยมีการทดลองแล้ว พบว่า ถ้าอยากจะห่างสิวควรจะเลิกกินมันฝรั่งทอดกรอบและช็อกโกแลต แต่ในการทดลองใหม่นี้ได้แสดงว่า

วัยรุ่นที่ดื่มนมประจำวันละไม่น้อยกว่า 476 ซีซี ล้วนแต่เป็นสิวกันครึ่งหนึ่ง เมื่อเทียบกับคนที่ดื่มน้อยกว่าหรือไม่ดื่มเลย นมมีความเกี่ยวพันกับการเป็นสิวอย่างชัดเจน รายงานผลการทดลอง ซึ่งเสนอในวารสารวิชาการ "แพทย์โรคผิวหนัง" แห่งอเมริกัน ยังกล่าวอีกว่า ฮอร์โมนการเจริญเติบโต และฮอร์โมนเพศในน้ำนมวัว อาจจะเป็นเครื่องกระตุ้นทำให้เกิดสิวได้

นายชัยวิชิต อิ่นแก้ว ฟาร์ 5001023035

คนไหนที่รู้ตัวว่ากำลังเป็นโรคแพ้อากาศ วันนี้มีทางออกที่ช่วยลดการแพ้อากาศมาบอก...

ลดอาการแพ้อากาศได้โดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ พักผ่อนให้เพียงพอ และที่สำคัญควรกินผักผลไม้สด เพื่อให้ได้รับวิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยลดการแพ้อากาศ

วิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยลดการแพ้อากาศ ได้แก่

- วิตามินซี ช่วยป้องกันและเสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือด ป้องกันหวัดและการแพ้อากาศ แหล่งที่พบมากได้แก่ ฝรั่ง ส้ม และสับปะรด

- วิตามินอี ช่วยสร้างภูมิคุ้นกัน ต้านอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรง แหล่งที่พบมากได้แก่ ธัญพืช ข้างกล้อง และรำข้าว

- วิตามินเอ ช่วยต้านอนุมูลอิสระและเสริมสร้างการทำงานของเซลล์เม็ดเลือด แหล่งที่พบมากได้แก่ ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง แครอท มะเขือเทศ ฟักทอง มะละกอ และน้ำมันตับปลา

-สังกะสี (Zinc) ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย และป้องกันอนุมูลอิสระ แหล่งที่พบมากได้แก่ อาหารทะเล ธัญพืช และผลิตภัณฑ์นม

- ซิลิเนียม (Selenium) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน แหล่งที่พบมากได้แก่ เนื้อสัตว์ ธัญพืช จมูกข้าว รำข้าว เห็ด และกะหล่ำปลี

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากลดอาการแพ้อากาศ ลองหาวิตามินและเกลือแร่ที่แนะนำมาทานกันดีกว่า

เลปวรรณ จันต๊ะคาด(ม.ฟาร์อีส)

การป้องกันโรคมะเร็ง ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง

โรคมะเร็งเป็นโรคที่พบได้บ่อยโดยเฉพาะในปัจจุบันซึ่งมีมลภาวะจากการพัฒนาประเทศ และประชาชนขาดความเอาใจใส่ต่อสุขภาพตนเอง ขาดการออกกำลังกาย รับประทานอาหารไม่เลือก เหล่าเป็นสาเหตุให้มะเร็งเพิ่มขึ้น

โรคมะเร็งเป็นโรคที่ป้องกันได้ และสามารถรักษาให้หายขาดได้หากสามารถวินิจฉัยได้ตั้งแต่เริ่มเป็น เนื้อหาที่นำเสนอจะเป็นแนวทางการตรวจและวินิจฉัย พร้อมทั้งแผนการรักษา ท่านผู้อ่านควรทำความเข้าใจ และนำความรู้ที่ได้ปรึกษาแพทย์ของท่านเกี่ยวกับวิธีรักษาของมะเร็งแต่ละชนิด

โรคมะเร็งคืออะไร

ร่างกายเราประกอบไปด้วยอวัยวะต่างๆ อวัยวะจะประกอบด้วยเซลล์ กลุ่มของเซลล์ที่มีรูปร่างและทำหน้าที่เหมือนกันรวมตัวกันจะเป็นอวัยวะ หลายอวัยวะมาทำงานร่วมกันเป็นระบบ หลายๆระบบทำงานร่วมกันเป็นร่างกายของคนเรา เซลล์ต่างๆจะมีอายุเมื่อตายก็จะมีเซลล์ใหม่เจริญทดแทนเซลล์เก่า

เซลล์ที่สร้างใหม่ไม่หยุดเราเรียกเนื้องอกซึ่งแบ่งเป็น เนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงหรือทางการแพทย์เรียก Benign tumor ส่วนมะเร็งที่แพร่กระจายไปอวัยวะอื่นๆเรียกมะเร็ง

ชนิดของมะเร็ง

ชนิดของมะเร็งจะแบ่งตามชนิดของเซลล์ที่เป็นต้นกำเนิด เช่น

carcinomas เซลล์ต้นกำเนิดเกิดเซลล์บุผิว (epithelium)มะเร็งชนิดนี้เป็นมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดประมาณร้อยละ 85

Sarcomas เป็นมะเร็งที่เกิดจากเนื้อเยื่อผูกพัน(connective tissue) เช่นกล้ามเนื้อ กระดูก ไขมัน

leukemia/lymphoma เป็นมะเร็งที่เกิดจากเซลล์เม็ดเลือด

มะเร็งอื่นๆ เช่น มะเร็งสมอง

คนเราเป็นโรคมะเร็งชนิดไหนมาก

ผู้ชายเราพบมะเร็ง

มะเร็งปอด 19%

มะเร็งต่อมลูกหมาก 17 %

มะเร็งลำไส้ใหญ่ 14 %

มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ 7 %

ผู้หญิง

มะเร็งเต้านม 29%

มะเร็งลำไส้ใหญ่ 12%

มะเร็งปอด 11%

มะเร็งรังไข่ 5%

การรักษาโรคมะเร็ง

การเฝ้าติดตาม

เมื่อบอกว่าเป็นมะเร็งคนทั่วไปมักจะคิดว่าต้องผ่าตัด หรือให้เคมีบำบัด แต่มีมะเร็งบางประเภทที่ไม่แพร่กระจาย และเจริญเติบโตช้ามาก การรักาาจึงเฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงของมะเร็ง

การผ่าตัด

การผ่าตัดจะผ่าเอาเนื้องอกออกจากร่างกาย นอกจากนั้นบางรายอาจจะต้องผ่าตัดเอาต่อมน้ำเหลืองหรือมะเร็งที่แพร่กระจายออกให้หมด อ่านที่นี่

การฉายแสง

คือการใช้รังสีรักษาเพื่อทำลายเซลล์มะเร็งแต่มีผลกับเซลล์ปกติน้อย อาการข้างเคียงคืออาการอ่อนเพลียไม่มีแรง

เคมีบำบัด

คือการให้สารเคมีหรือยาที่ทำลายเซลล์มะเร็งมีทั้งยาเม็ด ยาน้ำ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นยาฉีด มะเร็งบางชนิดให้ยาเพียงชนิดเดียวแต่ว่วนใหญ่จะยาสองชนิดขึ้นไป

การให้ฮอร์โมน

มะเร็งบางชนิดจะแบ่งตัวเมื่อมีฮอร์โมน การให้ยาเพื่อเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนทำให้เซลล์หยุดการเจริญเติบโต ส่วนใหญ่จะใช้รักษามะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก

การรักษาอื่นๆ

เช่นการให้ภูมิเพื่อทำลายเซลล์เช่น interferon เป็นต้น

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์

ระบบย่อยอาหาร!!!

ระบบย่อยอาหารประกอบด้วย ปาก ลิ้น ฟัน หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก และลำไส้ใหญ่ อวัยวะต่างๆ มีหน้าที่ ดังนี้

1 ปาก เป็นอวัยวะส่วนแรงของระบบย่อยอาหาร ภายในประกอบด้วย ลิ้น ฟัน และต่อมน้ำลาย เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไป ริมฝีปากและลิ้นจะทำหน้าที่ส่งอาหารให้ฟันบดเคี้ยว และลิ้นยังทำหน้าที่รับรสชาติอาหาร และคลุกเคล้าอาหารกับน้ำลายเพื่อให้อาหารอ่อนนุ่ม กลืนสะดวก นอกจากนี้ในน้ำลายยังมีน้ำย่อยช่วยย่อยอาหารจำพวกแป้งให้เป็นน้ำตาลด้วย

2 หลอดอาหาร เป็นท่อกลวงขนาดสั้น มีความยาวประมาณ 25 เซนติเมตร ส่วนปลายของหลอดอาหารเป็นกล้าเนื้อหูรูด ซึ่งสามารถบีบตัวให้หลอดอาหารปิด เพื่อป้องกันไม่ให้อาหารที่อยู่ในกระเพาะอาหารไหลย้อยกลับสู่หลอดอาหารอีก หลอดอาหารไม่มีหน้าที่ในการย่อยอาหาร แต่ทำหน้าที่เป็นทางลำเลียงอาหารไปสู่กระเพาะอาหารเท่านั้น

3 ตับและตับอ่อน เป็นอวัยวะที่ผลิตน้ำดีและส่งไปเก็บไว้ที่ถุงน้ำดี เพื่อช่วยในการย่อยไขมัน

4 กระเพาะอาหาร เป็นอวัยวะที่อยู่ต่อจากหลอดอาหาร ตั้งบริเวณใต้ทรวงอกของคนเรา ส่วนบนของกระเพาะอาหารจะเชื่อมต่อกับหลอดอาหาร และส่วนปลายเชื่อมต่อกับลำไส้เล็ก มีลักษณะเป็นกล้ามเนื้อหูรูด เพื่อป้องกันไม่ให้อาหารที่อยู่ในลำไส้เล็กย้อยกลับสู่กระเพาะอาหารได้อีกกล้ามเนื้อขนาดใหญ่

กระเพาะอาหารทำหน้าที่ผลิตน้ำย่อยออกมา เพื่อย่อยอาหารพวกโปรตีนเท่านั้น โดยกระเพาะอาหารจะบีบรัดตัวให้อาหารคลุกเคล้ากับน้ำย่อย

5 ลำไส้เล็ก เป็นทางเดินอาหารที่สำคัญที่สุดและมีความยาวที่สุด ลำไส้เล็กจะทำหน้าที่ย่อยอาหารทุกประเภท และการย่อยแล้วจะถูกดูดซึมผ่านผนังลำไส้เล็กเข้าสู่หลอดเลือด

6 ลำไส้ใหญ่ เป็นส่วนที่ต่อจากลำไส้เล็ก มีลักษณะเป็นท่อกลวงขนาดใหญ่ ส่วนปลายเป็นกล้ามเนื้อหูรูด เรียกว่า ทวารหนัก ลำไส้ใหญ่ไม่ได้ทำหน้าที่ในการย่อยอาหาร แต่จะทำหน้าที่ดูดซึมน้ำและเกลือแร่บางส่วนที่เหลืออยู่ในกากอาหาร ทำให้กากอาหารเป็นก้อนอุจจาระ นอกจากนี้ลำไส้ใหญ่ยังขับเมือกออกมาหล่อลื่น ทำให้อุจจาระเคลื่อนตัวได้เมื่อเรากินอาหารเข้าไป ฟันของเราจะบดเคี้ยวอาหารให้เล็กลง และอาหารจะเคลื่อนผ่านหลอดอาหารไปยังกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารจะย่อยอาหารให้เล็กลง และส่งผ่านไปยังลำไส้เล็ก อาหารต่างๆ ถูกย่อยที่ลำไส้เล็กเป็นจุดสุดท้าย และถูกดูดซึมเข้าสู่หลอดเลือด เพื่อไปเลี้ยงร่างกายส่วนกากอาหารที่เหลือจะถูกขับอออกมาทางทวารหนัก

การตรวจสุขภาพ

การตรวจสุขภาพด้วยตัวเอง

ปัจจุบันสังคมไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงจากสังคมเกษตรกรรมไปสู่สังคมอุตสาหกรรม การใช้ชีวิตของคนเปลี่ยนไปทั้งในแง่การใช้แรงงานทำงานมาใช้สมองนั่งโต๊ะทำงาน การใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบทำให้เกิดความเครียด ขาดการออกกำลังกาย ขาดการรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ ขาดความสนใจต่อสุขภาพตัวทำให้เกิดโรคต่างๆซึ่งเกิดจากการไม่ดูแลตัวเองให้ดีเช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมอง ความดันโลหิตสูง โรคมะเร็งซึ่งโรคเหล่านี้สามารถป้องกันหรือลดอุบัติการณ์ได้โดยการที่เราใส่ใจดูแลตัวเอง เพียงใช้เวลาวันละประมาณ 1 ชั่วโมงก็สามารถทำให้สุขภาพดีขึ้น

คนไทยทุกวันนี้รักสุขภาพมากขึ้นจะเห็นได้จากกระแสการใช้สมุนไพร การนวด spa ชาเขียว อาหารเสริมต่างๆ การตรวจสุขภาพต่างๆ ทั้งที่อาจจะไม่มีรายงานว่าได้ผลจริงทำให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจและเสียงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน

ในความหมายของคนทั่วไปการตรวจสุขภาพคือไปพบแพทย์และตรวจตามโปรแกรมตามที่แพทย์หรือโรงพยาบาลเสนอ ในความเป็นจริงการตรวจสุขภาพตนเองควรจะเริ่มต้นโดยตัวเองสำรวจสุขภาพตนเอง

กินวิตามิน..เกลือแร่ แก้แพ้อากาศ

คนไหนที่รู้ตัวว่ากำลังเป็นโรคแพ้อากาศ วันนี้เดลินิวส์มีทางออกที่ช่วยลดการแพ้อากาศมาบอก...

การลดอาการแพ้อากาศทำได้โดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ดื่มน้ำเปล่ามากๆ พักผ่อนให้เพียงพอ และที่สำคัญควรกินผักผลไม้สด เพื่อให้ได้รับวิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยลดการแพ้อากาศ

วิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยลดการแพ้อากาศ ได้แก่

วิตามินซี ช่วยป้องกันและเสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือด ป้องกันหวัดและการแพ้อากาศ แหล่งที่พบมากได้แก่ ฝรั่ง ส้ม และสับปะรด

วิตามินอี ช่วยสร้างภูมิคุ้นกัน ต้านอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรง แหล่งที่พบมากได้แก่ ธัญพืช ข้างกล้อง และรำข้าว

วิตามินเอ ช่วยต้านอนุมูลอิสระและเสริมสร้างการทำงานของเซลล์เม็ดเลือด แหล่งที่พบมากได้แก่ ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง แครอท มะเขือเทศ ฟักทอง มะละกอ และน้ำมันตับปลา

สังกะสี (Zinc) ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย และป้องกันอนุมูลอิสระ แหล่งที่พบมากได้แก่ อาหารทะเล ธัญพืช และผลิตภัณฑ์นม

ซิลิเนียม (Selenium) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน แหล่งที่พบมากได้แก่ เนื้อสัตว์ ธัญพืช จมูกข้าว รำข้าว เห็ด และกะหล่ำปลี

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากลดอาการแพ้อากาศ ลองหาวิตามินและเกลือแร่ที่แนะนำมาทานกันดีกว่า

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว ม.ฟาร์

กินปลา เพื่อสุขภาพ

1. ปลาสามารถแยกประเภทและชนิดได้อย่างไร

จริง ๆ วิธีแยกประเภทของปลา คงจะมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่า จะแยกเพื่อประโยชน์ประเภทใด แต่ในทางวิชาการแพทย์ หรือที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ก็คงจะแยกเป็นปลาน้ำจืด กับปลาน้ำเค็ม

2. ในเนื้อปลามีสารอาหารชนิดใดบ้างที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

ด้านหลัก : จะเป็นโปรตีน ซึ่งในเนื้อปลา จะเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย และมีประโยชน์ต่อร่างกาย ไขมันจะมีอยู่บ้าง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับประเภทของปลา อย่างในปลาน้ำจืด จะมีไขมันไม่มากนัก ยกเว้นพวกปลาสวาย หรือปลาสลิดตากแห้ง ส่วนปลาทะเล ก็จะมีไขมันอีกประเภท ซึ่งจะแตกต่างจากปลาน้ำจืด พวกที่เป็นกรดไขมัน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เราพบว่า มันมีคุณค่าในแง่ ของการลดการจับตัวของเกล็ดเลือด และอาจจะช่วยในการป้องกันโรคต่างๆ อาทิ โรคหลอดเลือดหัวใจ หรือไขมันในเลือดสูง นอกจากนั้น เครื่องใน ตับปลา ก็จะมีน้ำมันและวิตามิน ในกลุ่มที่ละลายได้ดีในไขมัน เป็น วิตามิน A D E K และ แร่ธาตุ โดยเฉพาะในตัวปลาบางชนิด ที่เรารับประทานได้ ก็จะได้แคลเซียมด้วย

3. ปกติเราควรรับประทานอาหารประเภทปลามากน้อยเพียงใดต่อวัน

ปกติร่างกายของคนเรา จะต้องการโปรตีนแตกต่างกันไป แล้วแต่ช่วงวัย เช่น วัยเด็กจะต้องการโปรตีนสูง 1.2 - 1.5 ต่อ น้ำหนักต่อ 1 กิโลกรัม ในผู้ใหญ่ 0.8-1 กรัม ต่อ กิโลกรัมต่อวัน ซึ่งในแต่ละวัน ก็ควรบริโภคเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ ด้วย

4. ในด้านประโยชน์ต่อสุขภาพมีอะไรบ้าง

ด้านหลัก : ก็จะได้โปรตีน เพราะโปรตีน เพราะโปรตีนในเนื้อปลา จะย่อยง่าย มีคุณค่าในแง่ของการบำรุงสมอง การพัฒนาสมองในเด็ก โดยเฉพาะปลาทะเล นอกจากจะได้โปรตีนแล้ว ยังจะได้แร่ธาตุไอโอดีน จะมีบทบาทในการพัฒนาสมอง โดยเฉพาะที่ไกลจากทะเล ก็จะมีความเสี่ยงก็จะเกิดโรคคอพอก ในกลุ่มผู้สูงอายุก็เป็นแหล่งโปรตีน ที่รับประทานง่าย ย่อยง่าย ก็จะเป็นประโยชน์ของปลา

5. ในกรณีที่แพ้อาหารทะเล ไม่สามารถรับประทานได้ จะมีวิธีแก้ไขอย่างไร

ถ้าขาดอาหารทะเล ก็สามารถรับประทานปลาน้ำจืดแทนได้ แต่ถ้าไม่สามารถรับประทานปลาได้เลย เช่น เหม็นคาวปลา ก็ยังสามารถได้ในแหล่งโปรตีนอื่นๆ เช่น เนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ ไข่ดาว ถั่ว งา ร่างกายก็ยังจะได้โปรตีนเพียงพอ

6. การรับประทานปลาให้ได้ประโยชน์ต่อร่างกาย

1. รับประทานปลาที่ปรุงสุก

2. เปลี่ยนประเภทของปลาไปเรื่อยๆ ลดปัญหาการปนเปื้อน

3. บริโภคร่วมกับอาหารอื่นๆ ให้ครบทุกชนิด คือ อาหารหลัก 5 หมู่

7. ที่เรียกกันว่า น้ำมันตับปลา หรือ น้ำมันปลา ควรรับประทานหรือไม่

ปัจจุบันที่มีขายอยู่ตามท้องตลาด จะมี 2 ประเภท คือ น้ำมันตับปลา หรือ น้ำมันปลา

น้ำมันตับปลา มีจำหน่ายมานานแล้ว ซึ่งผู้ใหญ่จะนำมาให้เด็กๆ ทาน เพื่อเป็นยาบำรุง ซึ่งจะมีวัตถุประสงค์ ก็จะต้องการเสริมวิตามิน ซึ่งจะละลายในไขมัน A D E K ก็จะสกัดจากปลา มีทั้งชนิดเม็ดและชนิดน้ำ

แต่ในปัจจุบันนี้ ที่นิยมกันมากขึ้น คือ น้ำมันปลา (Fish oil) เป็นสารสกัดไขมันจากปลาทะเล มีการศึกษาจากการเปรียบเทียบ เกี่ยวกับการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ในคนชาวเอสกิโม เมื่อเปรียบเทียบ กับชาวเอสกิโม จึงทำให้ชาวเอสกิโม มีอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ น้อยกว่า นับว่าชาวเอสกิโม จะรับประทานปลามากกว่า จึงทำให้ได้รับสารอาหารกจากปลามากกว่า ซึ่งจะมีฤทธิลดกรดตัวของเกร็ดเลือด และลดไตรกีรเซอร์ไรด์ได้ดี ทำให้คนมีความสนใจมากขึ้น แต่จากการศึกษาทดลอง จากแพทย์สหรัฐอเมริกา พบว่า การบริโภคแต่น้ำมันปลาในรูปเม็ด ไม่สามารถป้องกันโรคหัวใจ และไม่ช่วยผู้ป่วย หายจากโรคหัวใจ

8. ข้อแนะนำช่วงท้ายรายการ : ข้อแนะนำเพื่อสุขภาพ

1. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่

2. รับประทานอาหารให้พอเหมาะ

3. รับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารมาก ช่วยควบคุมลำดับน้ำตาลและไขมันในเลือด

4. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหาร ที่มีไขมันในปริมาณมาก

5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

6. งดการสูบบุหรี่ และดื่มสุรา

สวยด้วยชาดำ

ทราบหรือไม่ว่า ชาดำทำให้สวยได้ มีเรื่องนี้มาบอก...

ชาดำ มีประโยชน์กับผิวพรรณ และสุขภาพ เพราะชาดำมีสารแอนติออกซิแด้นท์สูง มีวิตามินอี และซีที่ช่วยลดเลือนริ้วรอย ทำให้เป็นส่วนผสมสำคัญในเครื่องสำอางหลากหลายประเภท นอกจากนี้ยังช่วยลดการเผาไหม้ของแสงแดด ให้ความชุ่มชื่นกับริมฝีปาก ลดการอาการบวมของเปลือกตา ให้กลิ่นหอมต่อเรียวเท้า และยังให้ความเงางามกับเส้นผม

วิธีสวยด้วยชาดำ

สำหรับดวงตา นำถุงชาที่ใช้แล้วไปแช่ตู้เย็น เมื่อดวงตาเกิดการเหนื่อยล้า ให้นำมาประคบบนเปลือกทิ้งไว้ข้างละ 10-20 นาที จะช่วยลดการบวมช้ำได้ดี แต่ถ้าอยากได้คุณค่าชาดำ แบบเต็ม ๆ ให้นำน้ำชา (ที่เย็นแล้ว) มาล้างหน้าแทนน้ำเปล่า ส่วนถ้าอยากใช้แทนลิปโทนเนอร์ ให้เอาถุง ชาอุ่น ๆ มาถูบริเวณริมฝีปาก ประมาณ 5 นาที จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นได้มาก แต่ถ้าอยากให้เท้าหอม ให้ล้างเท้าด้วยน้ำชาแบบเข้มข้น ปิดท้ายด้วยการเพิ่มความเงางามให้เส้นผม ด้วยการนำน้ำชาแบบเข้มข้นมา ล้างแชมพูออกแทนน้ำเปล่า เพียงเท่านี้ ผมก็จะสวยเงางาม

หันมา สวยแบบประหยัด ด้วย "ชาดำ" กันเถอะ

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ 5001023016(ฟาร์)

นมเปรี้ยวแก้ท้องผูก และแก้ท้องเสีย

ประโยชน์ที่จะได้จากการดื่มนมเปรี้ยวก็คือการได้รับแบคทีเรียชนิดดีทั้ง 2 ชนิดเข้าไปในลำไส้ โดยมีการศึกษาที่พบว่า Lactobacilli จะช่วยกำจัดแบคทีเรียชนิดร้ายที่อาจจะเจริญเติบโตในลำไส้และทำให้เกิดท้องเสียได้ แต่ขณะนี้แบคทีเรียที่ทำให้เกิดท้องเสียชนิดเฉียบพลันหลายชนิดดื้อต่อ Lactobacilli จึงมักจะต้องได้ยาปฏิชีวนะในการรักษาท้องเสีย การดื่มนมเปรี้ยวเพื่อรักษาโรคท้องร่วงจากเชื้อแบคทีเรียจึงอาจจะไม่สามารถควบคุมเชื้อแบคทีเรียได้ อย่างไรก็ตามการดื่มนมเปรี้ยวเป็นประจำอาจจะช่วยป้องกันลำไส้ไม่ให้ท้องเสียได้ ในกรณีที่รับประทานอาหารที่อาจมีแบคทีเรียชนิดร้ายปะปนเข้าไปในอาหาร

สำหรับกลไกที่นมเปรี้ยวช่วยแก้ไขท้องผูกนั้นเชื่อว่า การมีแบคทีเรียชนิดนี้จำนวนมากจะช่วยทำให้ลำไส้ใหญ่แข็งแรง มีแรงบีบตัวที่มากขึ้น ช่วยในการผลักดันอุจจาระออกมาง่ายขึ้น นอกจากนั้นแบคทีเรียชนิดดีนี้จะช่วยย่อยกากใยในอาหาร ทำให้เกิดกรดแฟตตี้โมเลกุลสั้นจำนวนมากมาย ซึ่งเป็นอาหารของเซลล์ต่าง ๆ ในลำไส้ใหญ่ และเกิดน้ำและก๊าซทำให้อุจจาระนุ่ม ไม่เกาะตัวแน่นจนแข็งเป็นก้อนใหญ่ อุจจาระที่นุ่มนี้จึงทำให้ถ่ายได้ง่าย แต่คนที่มีอาการท้องผูกที่เป็นมานานและมีอุจจาระที่แข็งและก้อนใหญ่มาก หรือแข็งจนเป็นเม็ดกระสุนอาจจะตอบสนองไม่มีดีต่อนมเปรี้ยว จึงควรได้รับการรักษาด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย

สิ่งที่ได้จากการดื่มนมเปรี้ยวถัดมาก็คือ การได้แคลเซียมจากนมวัวที่นำมาทำนมเปรี้ยว แต่เนื่องจากนมเปรี้ยวนี้มีราคาแพงกว่านมวัวพร้อมดื่มทั่วไปเกือบ 3 เท่าตัว เมื่อเปรียบเทียบในปริมาณน้ำนมที่เท่ากัน จึงไม่แนะนำให้ดื่มนมเปรี้ยวเพื่อหวังจะได้รับแคลเซียมเพียงอย่างเดียว

น้ำตาลทรายในนมเปรี้ยวนี้มีส่วนที่ทำให้ฟันผุได้ง่าย ดังนั้นเมื่อดื่มนมเปรี้ยวทุกครั้งก็ควรจะบ้วนปาก เพื่อกำจัดคราบน้ำตาลในนมที่อาจเกาะติดที่ฟันได้ ในกรณีที่ดื่มนมเปรี้ยวแล้วเข้านอน ก็ควรได้รับการแปรงฟันทุกครั้ง

ยังมีนมเปรี้ยวที่ผสมผลไม้ชนิดต่าง ๆ และทำให้เป็นครีมเข้มข้น จึงควรอ่านฉลากข้างขวดว่า ให้พลังงานเท่าใดด้วย เพราะถ้ารับประทานมากเกินไปก็อาจทำให้เป็นโรคอ้วนได้ ถ้าแยกดื่มเป็นนมวัวธรรมดา และรับประทานผลไม้เป็นประจำก็จะประหยัดเงินกว่ามาก

และสุดท้าย มีนมเปรี้ยวที่บรรจุในกล่องยูเอชทีโดยไม่ได้แช่ตู้เย็น นมเปรี้ยวชนิดนี้จะไม่มีแบคทีเรียที่มีชีวิตทั้ง 2 ชนิดนี้ จึงมีแต่น้ำนมที่ไม่มีน้ำตาลแลคโตส แต่มีน้ำตาลทรายและกรดแฟตตี้ชนิดโมเลกุลดังที่ได้กล่าวมา จึงให้คุณค่าคล้ายน้ำนมวัวธรรมดาแต่จะแพงกว่าการดื่มนมวัว จึงควรพิจารณาความคุ้มค่าทางด้านโภชนาการกับจำนวนเงินที่ต้องจ่ายไป

สุดท้ายนี้ขอเตือนให้จำว่า การดื่มนมนั้นเมื่อให้ร่างกายได้รับแคลเซียมและแร่ธาตุอื่น ๆ เป็นหลัก แต่ที่ได้นอกเหนือจากนั้นก็คือ การได้รับโปรตีนและพลังงานที่มากพอสมควร โดยปกตินม 1 แก้ว จะให้พลังงานเกือบ 12% และ 10% ของความต้องการพลังงานใน 1 วัน ในหญิงและชายตามลำดับ ถ้าไม่อยากให้ได้รับพลังงานมากเกินไป ก็ควรดื่มนมขาดมันเนย และเมื่อจะดื่มนมเปรี้ยว เราก็คาดหวังจะได้รับแบคทีเรียชนิดดีทั้ง 2 ชนิดดังที่ได้กล่าวมา จึงควรดื่มเพียงชั่วคราว โดยเฉพาะควรดื่มหลังจากการได้กินยาปฏิชีวนะในการรักษาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ เมื่อดื่มนมเปรี้ยวได้สักระยะ ภายในลำไส้ใหญ่ก็จะมีแบคทีเรียชนิดดีนี้จำนวนมาก ก็ควรจะเลี้ยงแบคทีเรียนี้อย่างต่อเนื่องด้วยการรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำทุก ๆ วัน โดยไม่จำเป็นต้องดื่มนมเปรี้ยวอีกต่อไป.

การออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น เช่น

เดินให้เร็วขึ้นสลับกับเดินช้า

ขี่จักรยานนานขึ้น

ขึ้นบันไดหลายชั้นขึ้น

ขุดดิน ทำสวนนานขึ้น

ว่ายน้ำ

เต้น aerobic แต่ไม่ต้องมาก

เต้นรำ

เล่นกีฬา เช่น แบดมินตัน เทนนิส ปิงปอง

การออกกำลังกาย ส่งเสริมให้มีกิจกรรมให้มาก อย่านั่งๆนอนๆจะทำให้สุขภาพกาย สุขภาพใจ และการควบคุมน้ำหนักดีขึ้นสำหรับผู้ใหญ่ ส่งเสริมให้มีกิจกรรมที่ใช้พลังงานปานกลาง มากกว่าปกติวันละ 30 นาทีทุกวันไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน หรือที่บ้าน เช่นการถูบ้าน การเดินขึ้นบันได การเดินเร็วๆไปจ่ายตลาด ถ้าต้องการให้สุขภาพแข็งแรงให้ออกกำลังกายชนิดหนัก หรือออกกำลังกายนานขึ้น ถ้าต้องการควบคุมน้ำหนักหรือป้องกันน้ำหนักเพิ่มต้องออกกำลังกายชนิดปานกลางหรือชนิดหนักวันละ 60 นาทีทุกวัน โดยที่รับประทานอาหารที่มีพลังงานเท่าเดิม ถ้าต้องการลดน้ำหนักลดน้ำหนักต้องออกกำลังกายปานกลางถึงหนักวันละ 60-90 นาทีโดยที่รับประทานอาหารที่ให้พลังงานไม่เกิน

ส่งเสริมให้ร่างกายแข็งแรงโดยการ ออกกำลังเพื่อให้หัวใจแข็ง ออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ออกกำลังกายเพื่อให้ข้อเคลื่อนไหวได้ดี ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายมีความอดทน

20 วิธีรักษาสุขภาพใจ เมื่อชีวิตล่ม

คุณเคยประสบเหตุการณ์ "ชีวิตล่ม" หรือไม่ ช่วงเวลาที่คุณรู้สึกว่าไม่เหลืออะไรอีกแล้วในชีวิต หัวใจปวดชาและไม่ว่ามองไปทางไหนก็เหมือนมีหมอกซึมเศร้าครอบคลุมไปทั่ว คุณไม่จำเป็นต้องเป็นนักธุรกิจพันล้านจึงประสบเหตุการณ์เช่นนี้

การสูญเสียบุคคลที่รัก หรือการต้องผ่านเหตุการณ์อันเลวร้ายก็เพียงพอที่จะให้ทำคุณสงสัยว่าคุณจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกหรือ ?

ดอกเตอร์ซูซาน ซอกกลิโอ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา แนะนำ 20 วิธีต่อไปนี้ เพื่อให้คุณสามารถทำใจและก้าวไปข้างหน้ากับชีวิตได้

1. ยอมรับความรู้สึกของตัวเอง อย่าพยายามผลักอารมณ์หรือความรู้สึกออกไป ขั้นแรกของการรักษาสภาพจิตใจก็คือการที่คุณแยกแยะอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นความเศร้า ความโกรธ ความรู้สึกผิด หรือความรู้สึกอื่นๆ จงยอมรับเมื่อมันเกิดขึ้น

2. กำหนดเวลาสงบ ทำหน้าที่ในแต่ละวันของคุณให้เสร็จ และกำหนดเวลา 15 นาทีในแต่ละวันให้เป็นเวลาสงบ ควรจะเป็นเวลาเดียวกันทุกวันหากทำได้ ระหว่างวันควรให้เวลาตนเองได้อยู่เงียบๆเช่นไปเดินเล่นคนเดียว หรือเขียนบันทึก

3. แสดงความรู้สึกของคุณออกมา ให้สังเกตุและศึกษาอารมณ์ของตัวเอง แล้วถ่ายทอดออกมา ไม่ว่าจะเป็นการเขียนบันทึก บทกลอน จดหมาย หรือการวาดภาพ

4. สร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น ใช้เวลาอยู่กับครอบครัว เพื่อนฝูง หรือเข้ากลุ่มกับผู้ที่มีประสบการณ์เดียวกันเพื่อแชร์ความรู้สึกของคุณ เปิดกว้างต่อความรักและความห่วงใยที่มีอยู่รอบตัวคุณ อย่าคิดว่าคุณอยู่ตัวคนเดียว

5. สร้างเครื่องเตือนความทรงจำ หากคุณสูญเสียคนที่เป็นที่รักไป ให้ทำสิ่งเล็กๆน้อยที่ช่วยให้คุณระลึกถึงผู้ที่จากไป เช่น คุณอาจจะจัดทำสมุดบันทึกภาพหรือวิดีโอเกี่ยวกับผู้ซึ่งจากไป แล้วแจกจ่ายให้เพื่อนหรือญาติๆ

6. สร้างสิ่งอุทิศกับสิ่งที่คุณเสียไป ซึ่งอาจจะเป็นบ้านหรือตึกที่ทำงาน โดยการทำอัลบั้มภาพรวมเรื่องราวที่มีความหมายพิเศษ

7. หาวัตถุแทนค่าทางใจ อาจเป็นสิ่งของที่มีความหมายพิเศษและทำให้คุณรู้สึกว่าได้อยู่ใกล้กับสิ่งที่คุณสูญเสีย ซึ่งจะเป็นสิ่งที่คุณจะทนุถนอมไว้ในใจตลอดไป

8. ถ่ายทอดความรัก หนึ่งในการให้เกียรติชีวิตที่สูญเสียไปก็คือ การถ่ายทอดและเผือแผ่ความรักไปยังผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นการยิ้ม ให้กำลัง หรือเป็นที่ปรึกษาใหัผู้อื่นเพื่อสร้างความรู้สึกทางบวกให้ตนเอง

9. ทำกุศลกรรมในชื่อของคนรักของคุณที่จากไป คุณอาจจะก่อตั้งมูลนิธิหรือกองทุนเพื่อสิ่งที่ผู้ที่จากไปนั้นรัก หรือให้ความสำคัญ

10. แสดงความมีน้ำใจในที่ทำงาน หากคุณสูญเสียเพื่อนร่วมงาน คุณอาจจะทำโดยไม่ต้องออกชื่อก็ได้

11. บอกเล่าเรื่องราวของคุณ เพื่อว่าผู้อื่นที่ประสบเหตการณ์เดียวกันจะได้ไม่รู้สึกเดียวดาย

12. กอดและปลอบโยนผู้ซึ่งกำลังเศร้าโศกจากการสูญเสีย

13. ช่วยเหลือ เช่นการรับเอาสัตว์จรจัดมาเลี้ยง

14. สนุกสนานกับสิ่งเล็กๆน้อยๆ เช่นการแสดงดนตรี หรือเกมกีฬา

15. พูดคำขอบคุณให้มากขึ้นที่โต๊ะอาหาร

16. กอดลูกๆ ของคุณ ไม่ว่าพวกแกจะโตแค่ไหนแล้วก็ตาม

17. มีความอดทนกับทุกๆคนที่คุณพบให้มากขึ้น

18. แสดงความรักให้บ่อยขึ้น

19. กำหนดมุมมอง ว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต

20. ใช้ชีวิตให้เต็มที่ทุกวันอย่างมีค่าและมีความหมาย

มันเป็นเรื่องง่ายและ 'สะดวก' ที่จะปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งลงไปในความเศร้าโศกเมื่อชีวิตคุณผ่านประสบการณ์อันเลวร้าย การทำใจและมีชีวิตต่อไปนั้นเป็นเรื่องยากและต้องใช้ความพยายามอย่างสูง ทว่าเมื่อคุณสามารถก้าวผ่านพ้นช่วงเวลาอันมืดครึ้มไปได้สำเร็จ คุณจะพบว่าชีวิตนั้นยังมีสิ่งน่ารื่นรมย์ที่จะช่วยให้คุณก้าวต่อไปได้อย่างมีความสุข

สุดยอดอาหารเพื่อเส้นผม

ไข่: ไข่เป็นแหล่งอาหารที่อุดมด้วยกรดอะมิโนแอซิดที่มีกำมะถันเป็นองค์ประกอบ และช่วยในด้านความแข็งแรงของเส้นผม

ปลา: อุดมด้วยโปรตีนและกรดไขมันโอเมก้า-3 ช่วยให้เส้นผมแข็งแรง และมีประกายเงางาม

ถั่ว: มีกรดไขมันจำเป็นหลายชนิด ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เส้นผมแห้ง ขาดความชุ่มชื้น

ธัญพืช: ธัญพืชมีแร่ธาตุซิลิก้าสูง โดยเฉพาะในข้าวโอ๊ต หรือมูสลี่ จะช่วยให้ผมที่ดูหมองไม่สดใสกลับคืนความเงางามอีกครั้งหนึ่ง

ผลไม้: ผลไม้สีสันสดใสจะอุดมด้วยวิตามินนานาชนิด ช่วยคืนชีวิตชีวาและความแข็งแรงให้กับเส้นผม

ผัก: อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนซึ่งร่างกายจะทำการแปลงให้เป็นวิตามินเอ ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญต่อสุขภาพเส้นผม

น้ำ: น้ำไม่ได้ทำหน้าที่ให้ความชุ่มชื่นแก่ร่างกายและผิวหนังเท่านั้น แต่ยังช่วยรักษาความชุ่มชื่นให้แก่เส้นผมด้วย ซึ่งจะส่งผลให้เส้นผมมีความยืดหยุ่นและเป็นมันเงา

ในเวลาที่นอนไม่หลับ การจิบน้ำผึ้งอุ่นๆ จะช่วยให้คุณหลับ

>ได้ง่ายขึ้น หากช่วงไหนโหมงานหนักๆ ใบหน้าหมองคล้ำ อิดโรย ให้ใช้น้ำผึ้งบริสุทธิ์ทาผิวหน้า ทิ้งไว้ราว 3-4 นาทีแล้วจึงใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น เช็ดออก จะช่วยให้ผิวหน้าสดใส มีชีวิตชีวาขึ้น

น้ำผึ้งนั้น เราสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ในทุกขั้นตอนของการดูแลผิวหน้าตั้งแต่การทำความสะอาดผิว กระชับรูขุมขนและการบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น ป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย

เติมน้ำมะนาว 2-3 หยด ลงในน้ำผึ้ง แล้วนำมาพอกหน้าไว้สัก5 นาที แล้วล้างออก จะช่วยให้ผิวหน้าขาว สดใสขึ้น

กล้วยสุก 1 ผล นำมาบดแล้วเติมน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน

นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออก จะช่วยให้คนที่ผิวแห้งมากๆ ดูชุ่มชื้นขึ้น

**การศึกษาจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐ พบสิ่งที่น่าสนใจว่า การออกกำลังกาย อย่างเหมาะสมในหญิงวัยหมดประจำเดือน ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านม

การออกกำลังกาย ที่ระบุว่ามีประโยชน์ ต้องทำ "อย่างหนักและจริงจัง" โดยเฉพาะ "ในสตรีที่น้ำหนักไม่เกิน" โดยการวิจัยครั้งนี้ คณะแพทย์จาก ศูนย์มะเร็ง นพ. ไมเคิล ลีซแมน กล่าวว่า "การออกกำลังกายอย่างหนัก ช่วยป้องกันมะเร็ง นอกเหนือจากช่วยทำให้ไม่อ้วน ซึ่งการไม่อ้วน ก็ช่วยในเรื่องป้องกันมะเร็งอยู่แล้ว"

การวิจัย ทำได้ โดยศึกษาย้อนหลังรายงานผู้ป่วย 32000 คน ในระยะ 11 ปี และพบว่า ในสตรีที่ออกกำลังกายอย่างหนัก จะสามารถป้องกันมะเร็งได้

การออกกำลังอย่างหนัก (vigorous) ต่างจาก ออกกำลังกายธรรมดา (moderate) อย่างไร ลองเปรียบเทียบกัน

อย่างหนัก

ถูพื้น ขัดพืน เช็ดกระจก

พรวนดินในสวนอย่างหนัก

ตัดไม้ ถูไม้ขัดไม้

ออกกำลังกายแบบแข่งขัน

วิ่ง

จ๊อกกิ้งเร็วๆ

แข่งเทนนิส

แอโรบิก

ปั่นจักรยานขึ้นเขา

เต้นจังหวะเร็ว

ออกกำลังธรรมดา

งานบ้านหรือออฟฟิส

ซักผ้า

ทาสี

เดิน

เล่นกีฬาเบาๆ

จ๊อกกิ้งช้าๆ

แน่นอน การออกกำลังหนักอาจเป็นงานที่ยาก แต่การลดของมะเร็ง ก็น่าจะดึงดูดให้คุณ ออกไปเต้นแอโรบิกทุกวันดีกว่าไหม ?

**เทคนิคของการออกกำลังกายเป็นประจำ**

1.จะต้องตระหนักว่าการออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตซึ่งจะขาดไม่ได้เหมือนการนอนหลับ หรือการรับประทานอาหาร

2.เลือกการออกกำลังกายที่ชอบที่สุด และสะดวกที่สุด

3.ครอบครัวอาจจะมีส่วนร่วมด้วยก็จะดี

4.ช่วงแรกๆของการออกกำลังกายไม่ควรจะหยุด ให้ออกจนเป็นนิสัย

5.ากป็นไปได้ควรจะมีกลุ่มเพื่อออกกำลังกายร่วมกันเพราะกลุ่มจะช่วยกันประคับประคอง

6.ตั้งเป้าหมายการออกกำลังและการรับประทานทุกเดือนโดยอย่าตั้งเป้าหมายสูงเกินไป

7.ให้รังวัลเมื่อสามารถบรรลุเป้าหมาย(ห้ามการเลี้ยงอาหาร)

*ที่สำคัญการออกกำำลังแม้เพียงเล็กน้อยดีกว่าการไม่ออกกำลังกาย เลยนะคับพี่น้อง*

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์

10 วิธีในการคาดเครียด !!!

. ฟังเพลง หามุมสงบ

นั่งปล่อยใจให้ล่องลอยอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วฟังเพลง เบา ๆ โดยเฉพาะเพลงจำพวก Meditation ซึ่งเดี๋ยวนี้มีให้เลือกหลากหลายแบบตามความต้องการ ทั้งเสียงของดนตรี บรรเลงหรือเสียงธรรมชาติ จำพวกเสียงคลื่น..เสียงน้ำตก..เสียงนกร้อง รับรองว่าจะช่วยสร้างสมาธิให้กลับคื่นสู่สมองและจิตใจได้อย่างน่ามหัศจรรย์ ในช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ เชียวล่ะ

2. ฉายเดี่ยวดูภาพยนตร์

ขอแนะนำให้ฉายเดี่ยวแล้วตีตั๋วดูหนังดีๆ สักรอบ เพราะการไปดูหนังเนี่ยเป็นวิธีที่เวิร์คที่สุดที่จะปลดปล่อยความรู้สึกให้ ล่องลอยอย่างเป็นอิสระไม่จมอยู่กับปัญหา แถมระบายความอัดอั้นตันใจได้อย่างเห็นผล แต่ต้องถามตัวเองก่อนนะว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน เช่น ถ้าอยากร้องไห้ก็ไปดูหนังรักเศร้าเคล้าน้ำตาแล้วก็ร้องไห้ออกมาซะให้พอ หรือถ้าเครียดจัดก็จงไปดูหนังตลกแล้วหัวเราะให้หลุดโลกไปเลย

3. โทรหาเพื่อนรู้ใจ

อย่าคิดว่าตัวเองจะแก้ปัญหาทุกปัญหาได้ดีไปซะหมด หัวใจสาวมั่นแม้จะแกร่งเพียงใดก็ยังต้องการที่พึ่งพิงเสมอ ยกหูโทรศัพท์หาเพื่อนรู้ใจสันคนแล้วระบายความรู้สึกให้เพื่อนได้รับรู้ เพราะการมีคนรับฟังและให้คำปรึกษา จะทำให้ชีวิตที่เอียงกะเท่เร่เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น อย่างน้อยก็ยังรู้สึกว่า ไม่ได้แบกปัญหาอยู่คนเดียวในโลกไงล่ะ

4. เขียนไดอารี่

การเขียนไดอารี่เปรียบเสมือนการเปิดประตูอารมณ์ที่ปล่อยให้ความอัดอั้นตันใจต่างๆ ได้ไหลลงสู่หน้ากระดาษอย่างเป็นอิสระและเป็นส่วนตัวที่สุด เพราะการถ่ายเทความรู้สึกในใจออกมา จะทำให้จิตใจปรับสมดุลได้เร็วขื้น อีกทั้งระหว่างการเขียนไดอารี่นั้นยังถือเป็นการทบทวนความรู้สึกตัวเองที่ดี ที่สุดด้วย ส่วนข้อดีสุดเลิศอีกข้อก็คือ ไดอารี่เป็นเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้ที่สุด เพราะรับฟังเราเสมอและไม่เคยเอาความลับไปบอกต่อไงล่ะ

5. พลังแห่งการสัมผัส

ลองมองหาใครสักคนช่วยโอบกอดหรือสัมผัสเบา ๆ เวลารู้สึกเหนื่อยล้าดูสิ เพราะร่างกายคนเราเวลาถูกสัมผัสเนี่ย จะทำให้เกิดฮอร์โมนที่ชื่อ "อ๊อกซี่โทชิน" ซึ่งมีผลในการลดระดับความเหนื่อยและความเครียด ช่วยให้ร่างกายที่กำลังอ่อนล้ารู้สึกผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ

6. สร้างอารมณ์ขัน

พยายามมองหาเพื่อนที่มีอารมณ์ขันช่วยกระตุ้นจิตใจที่แสนห่อเหี่ยวให้หัวเราะได้อีกครั้ง เพราะคนที่หัวเราะง่ายจะมีสุขภาพจิตที่ดี เนื่องจากการหัวเราะจะช่วยลดความดันโลหิตและระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลลง (ฮอร์โมนคอร์ติซอล = ฮอร์โมนแสดงความเหนื่อยล้าในกระแสเลือด) แถมยังช่วยเสริมสร้างระดับของ "อิมโมโนโกลบูลินเอ" ซึ่งเป็นสารแอนตี้บอดี้ที่สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายอีกด้วยนะ เพราะฉะนั้นหัวเราะเข้าไว้ แล้วจะดีเอง

7. สูดกลิ่นหอม

รู้หรือเปล่าว่า...กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์มีผลในการช่วยปลุกประสาทสัมผัสให้สดชื่นตื่นตัว แถมยังกระตุ้นพลังงานในจิตใจได้เป็นอย่างดี เวลาเครียด ๆ ก็ลองสูดกลิ่นหอมของดอกไม้สิ อย่างกลิ่นกุหลาบ มะลิ ลาเวนเดอร์ หรือจะหยดน้ำมันหอมระเหยในน้ำอุ่นกำลังดี แล้วนอนแช่ตัวให้เพลินสักครึ่งชั่วโมงก็ได้ กลิ่นหอมจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้อย่างบอกไม่ถูกเชียวล่ะ

8. ไปตากอากาศ

หาเวลาหลบไปสูดอากาศบริสุทธิ์กับชีวิตท่ามกลางธรรมชาติสักพัก สิ หายใจเข้าลึก ๆ ช้า ๆ ปล่อยสมองให้ว่างที่สุด แล้วก็นอนให้มากที่สุดเท่าที่อยากจะนอน เพราะบางทีความรู้สึกเหนื่อยล้าและหดหู่แบบไม่ทราบสาเหตุเนี่ยมันมาจาก ชีวิตที่ยุ่งเหยิงจนเกินไป เพราะฉะนั้นหลบไปนอนตากน้ำค้างดูดาวเสียบ้าง หัวใจจะได้ชาร์จพลังได้ดีขึ้น

9. หาสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อน

ลองหาสัตว์เลี้ยงสักตัวมาเป็นเพื่อนเล่นก็ไม่ เลวนะ เพราะการให้เวลากับสัตว์เลี้ยงตัวโปรด คุยเล่น หยอกล้อกับมันเสียบ้าง จะช่วยให้จิตใจอันแสนจะฟุ้งซ่าน สงบลงได้ แถมรู้จักการให้และมองโลกในแง่ดีมากขึ้นอีกต่างหาก ที่สำคัญยังช่วยลดความดันโลหิตได้อีกด้วยนะ

10. จินตนาการแสนสุข

อีกทางเลือกสำหรับการบรรเทาความหดหู่ในส่วนลึก เป็นการดึงตัวเองออกจากโลกปัจจุบัน ทำได้โดยหลับตาแล้วหายใจลึก ๆ จากนั้นก็สร้างจินตนาการถึงความฝันที่วาดหวังเอาไว้ หรือแม้แต่ความหลังอันแสนสุขที่เคยมีการดึงความสุขจากจินตนาการมาใช้จะ ทำ ให้เกิดพลังสร้างสรรค์ในหัวใจ และยังช่วยสลายความเครียดข้างในได้เป็นอย่างดี ทำแบบนี้เงียบๆ สัก 5 นาที รับรองรู้สึกดีแบบทันตาเห็น

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์

ย่างอาหารนาน 2 ชั่วโมงเท่ากับสูบบุหรี่ 200,000 กว่ามวน!!!

คนที่ชอบทำอาหารปิ้งหรือย่าง เช่น บาร์บีคิวไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามคงต้องคิดสักนิด เพราะผลการวิจัยล่าสุดระบุว่า การทำอาหารดังกล่าวแบบดั้งเดิมจะก่อให้เกิดสารพิษซึ่งเป็นต้นตอของมะเร็ง แถมการปิ้งหรือย่างอาหารนาน 2 ชั่วโมงยังสร้างสารพิษดังกล่าวได้พอๆ กับบุหรี่ 220,000 มวนเลยทีเดียว

จากการศึกษาของกลุ่มโรแบง เดส์ บัวส์ ซึ่งเป็นกลุ่มรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมของฝรั่งเศส พบว่า การปิ้งหรือย่างอาหารแบบดั้งเดิมที่ใช้ไม้หรือถ่านเป็นเชื้อเพลิงเป็นเวลา 2 ชั่วโมงจะทำให้เกิดสารไดอ็อกซินในปริมาณเทียบเท่ากับบุหรี่ 220,000 มวน และสารไดอ็อกซินนี้ ก็เป็นสารเคมีในกลุ่มที่ก่อมะเร็ง

ในการศึกษาครั้งนี้ คณะวิจัยดูปริมาณสารพิษจากการย่างสเต็คเนื้อวัว 4 ชิ้นใหญ่ เนื้อไก่งวง 4 ชิ้น และไส้กรอกขนาดใหญ่อีก 8 อัน ซึ่งปริมาณไดอ็อกซินที่ได้จากการย่างอาหารเหล่านี้จะอยู่ที่ 12 ถึง 22 นาน์โนกรัม ทั้งนี้ นอกจากการศึกษาข้างต้นแล้ว หน่วยงานที่ดูแลด้านความปลอดภัยของอาหารในฝรั่งเศสยังได้วิจัยถึงความเป็นไปได้ที่อาหารประเภทปิ้งหรือย่าง เช่นบาร์บีคิวจะก่อให้เกิดมะเร็ง และพวกเขาก็พบว่า สารประกอบไฮโดรคาร์บอนบางตัวไปปะปนในอาหารระหว่างที่ปิ้งหรือย่าง

เดส์มองด์ อองแมร์ตอง อดีตผู้เชี่ยวชาญประจำศูนย์ชีววิทยาทางทะเลในฝรั่งเศส ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้รณรงค์เรื่องความปลอดภัยของอาหาร กล่าวว่า เขาอยากจะเตือนให้ทุกคนระวังภัยจากอาหารประเภทปิ้งและย่าง รวมทั้งขั้นตอนในการปรุงอาหารเหล่านี้ด้วย

ถึงแม้การทำบาร์บีคิว หรือปิ้งและย่างอาหารในบางวันของช่วงฤดูร้อนจะไม่ก่อให้เกิดอันตราย แต่ถ้าคุณทำอาหารประเภทนี้เป็นประจำก็ย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ และขั้นตอนในการทำอาหารประเภทนี้ยังทำให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพได้พอๆ กับการสูบบุหรี่เป็นเวลากว่า 10 หรือ 20 ปี เลยทีเดียว เขากล่าว

ผลการศึกษาชิ้นนี้ตีพิมพ์ในวารสารฟูด สแตนดาร์ดส์ เอเจนซี

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์

ยิ่งนอนดึก ยิ่งเร่งวันตาย !!!

การนอนดึกเป็นเหตุให้อายุสั้น เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การทำงานดึกทำให้ร่างกายล้า เหมือนกับ เครื่องยนต์ overload ไม่ช้าเครื่องก็พัง วิธีแก้ไขในกรณีต้องทำงานดึก (เพื่อไม่ให้ร่างกายโทรมเร็ว) ผู้ที่มีหน้าที่บริหารงาน มักจะพบปัญหานี้กันมาก เพราะต้องเร่งงาน ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนนอนดึก

1. ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการล้า

2. ระบบร่างกายจะรวน ดังนี้

ระบบการย่อยอาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ คืออาหารที่ทานเข้าไป ถ้าไม่นอนดึก อุจจาระจะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่ เหมือนกับแท่งทอง แต่ถ้าอดนอนแล้วอุจจาระจะหยาบ จะมีเศษ อะไรต่างๆ ติดอยู่ เหมือนกับรถที่มีเขม่าติด เกิดจากการที่ร่างกายย่อยไม่หมด เพราะล้า แนวทางแก้ไข ให้ลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาหารเหนียวๆ มิฉะนั้นลำไส้ทำงานหนัก ยิ่งนอนดึกแม้ เราหลับไปแล้ว แต่ลำไส้ไม่หลับ ยังคงย่อยอยู่ต่อไป พอตื่นขึ้นมาก็เพลีย ให้ทานไข่ นม แทนพวกเนื้อ สัตว์ ก็จะพอถูไถไปได้ มิฉะนั้นท้องจะผูกเป็นประจำ ริดสีดวงทวารจะถามหา (ถ้าหากอ้วนก็ให้ทานนม แทนไข่)

ท้องผูก มี 2 ลักษณะ

1. ผูกแข็ง คือ อุจจาระแข็ง

2. ผูกเหลว คือ อาการถ่ายอุจจาระไม่หมด ยังค้างอยู่ แต่ลำไส้ล้า กระเพาะอาหารล้า ทำให้ไม่มี แรงบีบให้ออกจนหมด

ดังนั้นในวันหนึ่งๆ จึงต้องถ่ายหลายครั้ง โรคที่จะตามมาก็คือ ผื่นคันบริเวณขาหนีบ (ไม่ใช่เพราะความ สกปรกหมักหมม) จะคันทั้งวัน ปกติอุจจาระจะกึ่งแข็งกึ่งเหลว ถ้าแข็งแสดงว่าส่วนที่เป็นน้ำได้ซึมกลับเข้ามาในลำไส้ ซึ่ง มันเป็นของเสีย ที่ต้องขับออก ผลก็คือทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะมาประทุบริเวณเนื้ออ่อนๆ เช่นที่ขาหนีบ สาเหตุก็มาจาก ท้องผูกนั่นเอง เพราะฉะนั้น อย่านอนดึก ถ้าต้องดึกก็ให้ออกกำลังหน้าท้อง ให้ท้องเกิดกำลัง จะได้รีดอุจจาระออกมา ได้เร็ว ทานเสร็จแล้วอย่านอน ให้เดินสักครึ่งชั่วโมง เพราะพอขาได้เดิน ลำไส้มันก็ต้องไปกับขาด้วย จะช่วย ทำให้ย่อยได้ดีขึ้น ท้องจะผูกน้อยลง ผื่นคันก็จะหาย ถ้ายังไม่หาย (เนื่องจากอายุมาก) ให้ทานน้ำขิงสด (ไม่ใช่ขิงผง เป็นซองๆ) พวกที่นอนดึกต้องให้ท้องอุ่นมากๆ ให้หาผ้ามาห่ม เดี๋ยวท้องจะอืด เฟ้อ บางทีต้องให้เท้าอุ่นด้วย ให้หา ถุงเท้ามาใส่ มิฉะนั้นเท้าจะชา

ระบบปัสสาวะ ถ้านอนไม่ดึก ประมาณ 3-4 ทุ่ม พอตื่นเช้าขึ้นมาจะปัสสาวะครั้งเดียวจบ แต่ถ้านอนดึก ยิ่งนอนตีหนึ่ง กลางดึกจะต้อง ลุกเข้าห้องน้ำถี่ เพราะร่างกาย overload ต้องการน้ำมาก กล้ามเนื้อข้างในจะบีบคั้นเอาพลังงานออ กมาใช้ จึงต้องใช้น้ำมาก ผลก็คือปัสสาวะบ่อย ทำให้พวกเกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะด้วย ยิ่งอายุ 35 ขึ้นไปจะยิ่งแย่ แนวทางแก้ไข ให้ทานแคลเซี่ยมเม็ดได้ แต่อย่ามาก แค่ 1 เม็ดก็พอ ถ้าทานมากจะทำให้แคลเซี่ยมพอก คืออาการที่กระดูกงอกทับเส้นประสาท (ถ้าเป็นแล้วต้องให้คนนวด และทานยาละลายแคลเซี่ยมช่วย) ถ้าไม่ทานแคลเซี่ยมชดเชย จะทำให้เลือดจาง เม็ดโลหิตจาง สรุปแล้วการอดนอน เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การนอนดึกต้องดื่มน้ำให้มาก และเติมเกลือในน้ำด้วย คือพอเราดื่มแล้วมันออกมาหมดทั้งทางปัสสาวะแล ะเหงื่อ เราทานเกลือมากๆ ยังออกทางเหงื่อได้ แต่ถ้าทานแคลเซี่ยมมากทำให้กระดูกงอก ส่วนโค้ก เป๊ปซี่ กระทิงแดง อย่าทาน พอเราอยู่ดึกและกลั้นปัสสาวะ มันจะซึมกลับเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะไปประทุที่ขาหนีบ หรือท้องแขนเป็นเม็ดแดงๆ เป็นจ้ำขึ้นทั่วเลย บางคนไม่กลั้น แต่ดื่มน้ำน้อย อาการก็จะเหมือนกับการโม่ แป้งฝืดๆ ลำไส้บีบตัวไม่ไหว ต้องเค้น ก็จะเพลีย แต่ถ้าดื่มน้ำมาก ทำให้ถ่ายสบาย ถ้าดื่มน้ำน้อยจะทำให้กรดยูเรียเข้มข้น พอเรากลั้นปัสสาวะมันก็จะซึมเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ถ้ากลั้นบ่อยๆ จะทำให้ปัสสาวะไม่หมด ระบบเหงื่อ คนที่ไม่มีเหงื่อออก จะแย่ ถ้าขับเหงื่อให้ออกได้ร่างกายสบาย ถ้าเหงื่อไม่ออกความร้อนภายในร่างกา ยจะระบายไม่ได้ ทำให้อึดอัด ของเสียในร่างกายก็ออกไม่ได้ โรคผิวหนังจะถามหา สิวฝ้าจะขึ้น เพราะฉะนั้น ดื่มน้ำให้มากพอและออกกำลังกาย เท่านั้นพอ เอาจนเหงื่อออกให้ได้ คนนอนดึกเหงื่อจะไม่ค่อยออก ของเสียตกใน สิวฝ้าขึ้น มันก็จะไปออกทางปัสสาวะแทน ไตเลยทำงาน หนัก

ระบบหายใจ ระบบหายใจจะเสียตามมา ร่างกายจะเอาออกซิเจนไปแลกเลือดดำให้เป็นเลือดแดงได้ต้องมีความชื้น ถ้าความชื้นน้อยมันจะไม่แลก ทำให้อึดอัด เหมือนอยู่ห้องแอร์แล้วอึดอัด เพราะความชื้นไม่พอ ไม่ใช่ อากาศไม่พอ อากาศมันแห้งเลยเอาความชื้นในตัวเราไป ทำให้ปอดทำงานไม่สะดวก และออกซิเจนไม่ ได้ แนวทางแก้ไข ให้เอาน้ำใส่กะละมังไว้ข้างตัว ยิ่งเป็นน้ำร้อนยิ่งดี ถ้าอึดอัดให้เอาผ้าหนุนเท้าให้สูง เลือดก็จะไหลลงมาได้ จะทำให้นอนสบาย การดื่มน้ำหวานๆ ตอนอยู่ดึกๆ ก็ช่วยได้ แต่อย่าหวานมากจะทำให้อ้วน ถ้าจะให้ดีที่สุดอย่าอยู่ดึก ดึกได้ เป็นครั้งคราวถ้าจำเป็น คนนอนดึกเสียงจะแห้ง เพราะไตมันล้า การใช้สบู่ ให้ใช้สบู่เด็ก เพราะเป็นสบู่อ่อน การกัดจะน้อย อย่าใช้สบู่แรงๆ ให้ฟอกสบู่วันละครั้งก็พอ ถ้าฟอกวันละหลายๆ ครั้งไขมันจะหมด จะทำให้ผิวแตก ถ้าคันมากๆ อันเนื่องมาจากการนอนดึก ถ้า เราไม่ทราบเราจะยิ่งฟอกสบู่หนักเข้าซึ่งไม่ดี ให้ฟอกวันเว้นวัน การดูแลรักษาร่างกายให้ดี จะทำให้นั่งสมาธิได้ดี นั่งได้นาน ไม่คัน ไม่เข้าห้องน้ำบ่อย

เคล็ดลับการดูแลสุขภาพตามศาสตร์แพทย์แผนจีน

เคล็ดลับการดูแลสุขภาพพื้นฐาน 12 ข้อ

1. ต้องหวีผมบ่อย ๆ

อาจใช้นิ้วทั้ง 10 หรือหวี ทำการหวีผมบ่อย ๆ จะช่วยให้ตาสว่าง ทำให้รากผมแข็งแรง

2. ต้องถูใบหน้าบ่อย ๆ

ใช้ฝ่ามือทั้งสองข้าง ถูหน้าบ่อย ๆ ให้เลือดมาเลี้ยงใบหน้า ทำให้ใบหน้าเปล่งปลั่ง ลบริ้วรอยเหี่ยวย่น

3. ต้องเคลื่อนไหวดวงตาบ่อย ๆ

บริเวณดวงตา เคลื่อนไหว มองไกล-มองใกล้ มองข้าง มองเข้าใน มองบน มองล่าง

4. ต้องดึงหู ดีดหู บีบหู ถูใบหูบ่อย ๆ

เป็นการกระตุ้นการไหลเวียนเลือดบริเวณใบหู ช่วยป้องกันการเกิดเสียงดังในหู หูตึง เวียนศีรษะ รวมทั้งเป็นการบำรุงตั๋นเถียน ตำแหน่งที่เก็บพลังของร่างกายใต้สะดือ สัมพันธ์กับไตซึ่งเปิดทวารที่หู

5. ต้องหมั่นขบฟันเสมอ

ขบเบาๆ วันละหลายสิบครั้ง ช่วยทำให้ฟันแข็งแรงกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย

6. ดันเพดานปากด้วยลิ้นบ่อย ๆ

การใช้ปลายลิ้นกระตุ้นเพดานบนด้านหน้า เป็นการกระตุ้นจุดฝังเข็ม เพื่อเชื่อมพลังเส้นลมปราณตู๋และเยิ่น (ซึ่งเป็นเส้นลมปราณควบคุมแนวกลางลำตัวส่วนหลัง และส่วนหน้าของร่างกาย) และเป็นการกระตุ้นการหลั่งสารน้ำ น้ำลาย

7. ต้องกลืนน้ำลายบ่อยๆ

ควรฝึกกลืนน้ำลายบ่อยๆ นอกจากเป็นการเคลื่อนไหวพลังบริเวณคอหอย แล้วยังช่วยกระตุ้นการย่อยอาหารด้วย

8. ของเสียต้องหมั่นขับทิ้ง

อุจจาระ และปัสสาวะ ต้องหมั่นขับทิ้ง ไม่ควรเก็บสะสมไว้ในร่างกายนานเกินไป เพราะจะทำให้เกิดโรคลำไส้ และโรคทางเดินปัสสาวะ (การตกค้างของเสียสัมพันธ์กับการดูดซึมสารพิษกลับสู่ร่างกาย อันเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหลายระบบรวมถึงมะเร็ง)

9. ต้องถูหรือนวดท้องบ่อย ๆ

ให้นวดท้องตามเข็มนาฬิกา ช่วยทำให้การขับถ่ายของเสียดีขึ้น ลดไขมันหน้าท้อง เสริมความแข็งแรงกล้ามเนื้อหน้าท้อง ป้องกันกระเพาะอาหารหย่อยยาน

10. ขมิบก้นบ่อย ๆ

แต่ละวันควรจะขมิบก้นวันละหลายๆครั้ง สามารถทำได้ทุกเวลา แม้ขณะทำงาน ยืน นั่ง นอน เป็นการป้องกันริดสีดวงทวารและป้องกันอาการท้องผูกได้

11. ต้องเคลื่อนไหวข้อทุกข้อ

ร่างกายคนอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานๆ โดยไม่เคลื่อนไหว หรืออยู่ในท่าที่ข้อใดข้อหนึ่งหยุดนิ่งนานๆ จะทำให้เกิดโรคได้ง่าย เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อผิดปกติ ขาดความยืดหยุ่น ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้ง่าย จึงต้องสร้างสมดุลของกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ตรงข้ามโดยการเคลื่อนไหวข้อต่างๆ (โบราณใช้วิชาชี่กง ฝึกไท่เก็กหรือฝึกโยคะ นั่นเอง)

12. ถูผิวหนังบ่อย ๆ

ใช้ฝ่ามือถูตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย (เหมือนกับถูตัวเวลาอาบน้ำ) ช่วยให้เลือดและพลังไหลเวียน กล้ามเนื้อ ผิวหนัง มีความยืดหยุ่น มีความเปล่งปลั่ง

โบราณกล่าวว่าการปฏิบัติเคล็ดลับดูแลสุขภาพพื้นฐาน 12 ข้อนี้เป็นประจำ นอกจากจะปฏิบัติได้ง่ายแล้ว ยงประหยัดเงิน และรับรองเกิดผลดีอย่างแน่นอน ไม่เชื่อก็ลองดู!!

เลปวรรณ จันต๊ะคาด(ม.ฟาร์อีส)

การออกกำลังกาย

การออกกำลังกายไม่ได้หมายถึงการที่ต้องไปแข่งขันกีฬากับผู้อื่น แต่การออกกำลังกายเป็นการแข่งขันกับตัวเอง หลายคนก่อนจะออกกำลังมักจะอ้างเหตุผลของการไม่ออกกำลังกาย เช่น ไม่มีเวลา ไม่มีสถานที่ ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ ปัญหาเกี่ยวอากาศ ทั้งหมดเป็นข้ออ้างที่จะไม่ออกกำลังกาย แต่ลืมไปว่าการออกกำลังกายอาจจะให้ผลดีมากกว่าสิ่งที่เขาเสียไปเป็นที่น่าดีใจว่าการออกกำลังให้สุขภาพดีไม่ต้องใช้เวลามากมาย เพียงแค่วันละครึ่งชั่วโมงก็พอ และก็ไม่ต้องใช้พื้นที่หรือเครื่องมืออะไร มีเพียงพื้นที่ในการเดินก็พอแล้ว การออกกำลังจะทำให้รูปร่างดูดี กล้ามเนื้อแข็งแรง ป้องกันโรคหัวใจ ป้องกันโรคกระดูกพรุน ป้องกันโรคอ้วน การออกกำลังกายทำให้ร่างกายสดชื่น มีพลังที่จะทำงานและต่อสู้กับชีวิต นอกจากนั้นยังสามารถลดความเครียด

โรคที่มากับคนที่ไม่ออกกำลังกาย

-กลุ่มโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจขาดเลือด

-โรคอ้วน

-โรคเบาหวานและไขมันในเลือดสูง

-โรคเครียด

-โรคภูมิแพ้

-โรคปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ

-โรคมะเร็ง

การเริ่มต้นออกกำลังกาย

หลายท่านไม่เคยออกกำลังมาก่อนเมื่อเริ่มออกกำลังอาจจะทำให้เหนื่อยง่ายวิธีดีที่สุดของการเริ่มต้นออกกำลังกาย คือให้เริ่มออกกำลังกายจากกิจวัตรประจำวันเช่น ใช้การเดินหรือขี่จักรยานเมื่อไปที่ไม่ไกล หยุดใช้รถหนึ่งวันแล้วใช้การเดินไปทำงานสำหรับผู้ที่บ้านและที่ทำงานไม่ไกล ใช้บันไดแทนการขึ้นลิฟต์หรือบันไดเลื่อน ขี่จักรยานรอบหมู่บ้าน ทำงานบ้าน เช่นทำสวน ล้างรถ ถูบ้าน ทำกิจวัตรเหล่านั้นทุกวันเป็นเวลา 2-3เดือน หลังจากเพิ่มกิจกรรมได้พักหนึ่งจึงเริ่มต้นเพิ่มการออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น เช่นเดินให้เร็วขึ้นสลับกับเดินช้า ขี่จักรยานนานขึ้น ขึ้นบันไดหลายชั้นขึ้น ขุดดิน ทำสวนนานขึ้น ว่ายน้ำ เต้น aerobic แต่ไม่ต้องมาก เต้นรำ เล่นกีฬา เช่น แบดมินตัน เทนนิส ปิงปอง

เทคนิคของการออกกำลังกายเป็นประจำ

-จะต้องตระหนักว่าการออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตซึ่งจะขาดไม่ได้เหมือนการนอนหลับ หรือการรับประทานอาหาร

-เลือกการออกกำลังกายที่ชอบที่สุด และสะดวกที่สุด

-ครอบครัวอาจจะมีส่วนร่วมด้วยก็จะดี

-ช่วงแรกๆของการออกกำลังกายไม่ควรจะหยุด ให้ออกจนเป็นนิสัย

-บันทึกการออกกกำลังกายไว้

-หาเป็นไปได้ควรจะมีกลุ่มเพื่อออกกำลังกายร่วมกันเพราะกลุ่มจะช่วยกันประคับประคอง

-ตั้งเป้าหมายการออกกำลังและการรับประทานทุกเดือนโดยอย่าตั้งเป้าหมายสูงเกินไป

-ติดตามความก้าวหน้าโดยดูจากสมุดบันทึก

-ให้รังวัลเมื่อสามารถบรรลุเป้าหมาย(ห้ามการเลี้ยงอาหาร)

-ที่สำคัญการออกกำำลังแม้เพียงเล็กน้อยดีกว่าการไม่ออกกำลังกาย

ออกกำลังกายอย่างปลอดภัย

ถ้าหากท่านได้เตรียมความพร้อมที่จะออกกำลังกายแล้วอยากจะฟิตร่างกายท่านสามารถทำได้ทันที แต่หากมีอาการหรือโรคต่อไปนี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฟิตร่างกาย

-ถ้าท่านอายุมากกว่า 45ปี

-หรือมีโรคประจำตัวเช่นโรคความดันโลหิตสูง

-โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง

-สูบบุหรี่

-หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ

-มีอาการเจ็บหน้าอก เหนื่อยมาก

-มีอาการหน้ามืด

จะรู้ได้อย่างไรว่าออกกำลังกายมากเกินไป

ท่านสามารถสังเกตขณะออกกำลังกายว่ามากไปหรือไม่โดยสังเกตจากอาการดังต่อไปนี้

-หัวใจเต้นเร็วมากจนรู้สึกเหนื่อย

-หายใจเหนื่อยจนพูดไม่เป็นประโยค

-เหนื่อยจนเป็นลม

-ไม่มีอาการปวดข้อหลังออกกำลังกาย

หากมีอาการดังกล่าวให้หยุดการออกกำลังสองวันและเวลาออกกำลังให้ลดระดับการออกกำลังกาย

ประโยชน์ของการออกกำลังกาย

-ผลต่อโรคความดันโลหิตสูง(140/90)

จะรู้ได้อย่างไรว่าออกกำลังกายมากเกินไป

ท่านสามารถสังเกตขณะออกกำลังกายว่ามากไปหรือไม่โดยสังเกตจากอาการดังต่อไปนี้

-หัวใจเต้นเร็วมากจนรู้สึกเหนื่อย

-หายใจเหนื่อยจนพูดไม่เป็นประโยค

-เหนื่อยจนเป็นลม

-ไม่มีอาการปวดข้อหลังออกกำลังกาย

หากมีอาการดังกล่าวให้หยุดการออกกำลังสองวันและเวลาออกกำลังให้ลดระดับการออกกำลังกาย

ประโยชน์ของการออกกำลังกาย

ผลต่อโรคความดันโลหิตสูง(140/90)

-ผู้ที่ไม่ออกกำลังกายจะมีโอกาศเป็นความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้น 35%

-การออกกกำลังอย่างสท่ำเสมอจะลดทั้งความดัน systole และ diastole อย่างชัดเจน

-คนไข้ที่มีความดันโลหิตสูงที่ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอจะมีอัตราการเสี่ียงชีวิตจากโรค-แทรกซ้อน น้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ออกกำลัง

-การออกกำลังจะช่วยเพิ่มอายุ 1-1.5ปี

ผลต่อโรคเส้นเลือดสมอง

-อัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมองลดลงเมื่ออกกำลังกายเพิ่มขึ้น

-เมื่อขึ้นบันไดวันละ 20 ขั้นจะลดอัตราการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดลงร้อยละ 20

-ผู้ที่ออกกกำลังกายโดยการเดินเร็วๆสัปดาห์ละ 3 ชั่วโมงจะมีอุบัติการของโรคหัวใจและหลอดเลือดลดลงร้อยละ 40

ผลต่อโรคเบาหวาน

-ผู้ที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะมีโอกาสการเกิดโรคเบาหวานลดลงร้อยละ 42

-ผู้ออกกกำลังมากจนกระทั่งเหงื่อออก 1 ครั้งต่อสัปดาห์จะมีอุบัติการของการเกิดโรคเบาหวานลดลงร้อยละ 22

ผลต่อหัวใจ

-ผู้ที่ไม่ออกกำำลังกายจะมีโอกาศเสียชีวิตเป็นสองเท่าของผู้ที่ออกกำลังกาย

-การออกกำลังกายจะทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจเพิ่มขึ้น

-การออกกำลังกายจะทำให้หัวใจสะสมพลังงานไว้ใช้เมื่อเวลาหัวใจต้องทำงานหนัก

-เพิ่มความแข็งแรงในการบีบตัวของหัวใจ

-ลดระดับไขมันในเลือด เพิ่มระดับ HDL (ซึ่งเป็นไขมันที่ดี)

-ลดระดับความดันโลหิต ลดการเต้นของหัวใจ ทำให้หัวใจทำงานน้อยลง

ผลต่อมะเร็ง

-การออกกำลังกายจะลดการเกิดโรคมะเร็งได้ร้อยละ 46

ผลต่อคุณภาพชีวิต

-การออกกำลังกาย 1500 กิโลแครอรีต่อสัปดาห์(ออกกำลังกายหนักปานกลาง)จะเพิ่มอายุ 1.57 ปีและลดอุบัติการการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรลงร้อยลง 67

-สำหรับผู้สูงอายุทุก 1 ไมล์ที่เดินจะลดอุบัติการเสียชีวิตลงร้อยละ 19

-การออกกกำลังอย่างสม่ำเสมอ(อายุ 45-84)จะลดการเสียชีวิตร้อยละ 18

เลปวรรณ จันต๊ะคาด(ม.ฟาร์อีส)

วัยทอง คืออะไร

วัยทอง เป็นช่วงต่อระหว่างวัยผู้ใหญ่ตอนต้นและวัยสูงอายุ ประชากรชายและหญิงในช่วงอายุ 40 หรือ 45 ปีขึ้นไป ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะมีการผลิตฮอร์โมนเพศลดลง ทำให้เกิดผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของบุคคลในวัยนี้ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่นในครอบครัวและสังคมได้ ในผู้ชายวัยทอง การเปลี่ยนแปลงของร่างกายจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากการลดลงของฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) ไม่ได้ลดลงอย่างเฉียบพลัน ผู้ชายบางคนก็อาจมี หรือหยุดทันทีเหมือนผู้หญิง ในทางตรงกันข้าม วัยทองหรือวัยหมดประจำเดือนของผู้หญิงเป็นช่วงเวลาที่สิ้นสุดการมีประจำเดือนแล้ว เนื่องจากรังไข่หยุดทำงาน ทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง เกิดอาการต่างๆ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว กลุ่มอาการหมดประจำเดือน (Menopausal Symptom) ได้แก่ มีอาการร้อนวูบวาบ เหงื่อออกในเวลากลางคืน นอนไม่หลับหรือหลับยาก อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย หลงลืมง่าย บางคนมีปัสสาวะบ่อย แสบ เวลาไอจามอาจมีปัสสาวะเล็ด ช่องคลอดแห้ง เจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์ สำหรับผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวที่พบ ได้แก่ โรคกระดูกพรุน โรคหัวใจและหลอดเลือดจากการมีระดับไขมันในเลือดสูงโดยเฉพาะระดับโคเลสเตอรอล บางรายอาจเกิดโรคอัลไซเมอร์เมื่ออายุมากขึ้น

เลปวรรณ จันต๊ะคาด(ม.ฟาร์อีส)

สาเหตุการเกิดโรคท้องผูก

1. กินอาหารไม่มีเส้นใย

เพราะปัจจุบันนี้กินแต่ข้าวขาว ขนมปังขาว ก๋วยเตี๋ยว ขนมเค้ก อาหารเหล่านี้ไม่มีเส้นใย ปกติร่างกายต้องการเส้นใยวันละ 20-25 กรัม

2. ความเครียด

เมื่อเกิดความเครียด จะมีอาการเบื่ออาหาร การขับถ่ายก็จะถูกผลกระทบไปด้วย คือ ร่างกายจะระงับการขับถ่ายชั่วคราว รอให้พ้นวิกฤตคลายเครียดแล้ว จึงจะกินง่ายถ่ายคล่อง

3. การกลั้นอุจจาระ

เป็นเพราะอาจไม่ชอบอุจจาระนอกบ้านโดยเฉพาะเด็กเล็ก ครั้งสองครั้งไม่เป็นไร ถ้าทำบ่อยๆนี่ซิแย่

4. ไม่ออกกำลังกาย

เพราะการออกกำลังกายเป็นการกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญอาหาร

5. ทานยาระบายเป็นประจำ

ถ้าทานบ่อย ๆ จะติดเป็นนิสัย ทำให้ถ้าต้องการจะอุจจาระต้องกินยาระบายทุกครั้ง

6. อื่น ๆ เช่น

ทานชา, กาแฟ, ยาเคลือบกระเพาะ, ทานแคลเซียมมากเกินไป, ทานอาหารเหลว หรืออาจมีโรคร้ายแรงซ่อนอยู่ เช่น โรคไม่มีปมประสาทตรงทวารหนัก โรคพยาธิไส้เดือนอุดตันลำไส้ เป็นต้น

นายฉันท์ชนก ดุมคำ วิทย์ออก Sec 02 เลขที่ 106

สุขภาพที่ดีต้องมาจากร่างกายที่สมบูรณ์ กระผมได้อ่านข้อความแล้วก็ได้รู้ว่าการหาค่าดัชนีมวลร่างกายนั้นสามารถบอกได้ว่าร่างกายของเราสมส่วนหรือไม่ แต่ก็ไม่สามารถใช้ได้กับคนบางกลุ่มเช่น นักเพาะกาย ผู้สูงอายุ เป็นต้น ผมลองคำนวณหาค่าดัชนีมวลร่างกายของผมแล้ว ผลปรากฎว่าอยู่ในเกณท์สมส่วน ก็รู้สึกพอใจในรูปร่างของตนเอง และต้องรักษาสูขภาพของตนเองให้ดี ทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส แค่นี้ก็มีสุขภาพที่ดีได้แล้วครับ

สวัสดีค่ะอาจารย์ วันนี้ได้อ่านบทความเรื่อง 10 พฤติกรรมที่ทำให้สมองฝ่อเร็ว จึงได้นำเกร็ดความรู้มาให้อาจารย์และเพื่อนได้อ่านกันค่ะ 10 พฤติกรรมที่ทำให้สมองฝ่อเร็ว 1. ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้าแล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ เป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม 2. กินอาหารมากเกินไป การกินอาหารมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น 3. การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคสมองฝ่อและโรคอัลไซเมอร์ 4. ทานของหวานมากเกินไป จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง 5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อย ส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง 6. การอดนอน การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน การอดนอนเป็นเวลานาน 7. นอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลง ส่งผลต่อปรสิทธิภาพการทำงานของสมอง 8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว 9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความคิด จะทำให้สมองฝ่อ 10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง

ทำอย่างไรจึงจะให้พ่อแม่ยอมรับเพื่อนต่างเพศของลูก

--------------------------------------------------------

ก่อนอื่น ต้องเข้าใจพ่อแม่ว่าที่ไม่ค่อยอยากให้ลูกมีเพื่อนต่างเพศ ก็เพราะกลัวว่าจะเสียการเรียน กลัวจะเสียอนาคต ถ้ามีลูกสาวก็กลัวจะเสียท่า เสียตัวให้เพื่อนชาย ยิ่งพลาดพลั้งท้องขึ้นมา จะเป็นปัญหาวิกฤติในชีวิตสาวทีเดียว ถ้ามีลูกชายก็กลัวจะได้ผู้หญิงที่ไม่ดี จ้องจับผู้ชายหรือผูกมัดโดยยอมเสียตัว เพื่อให้ผู้ชายรับผิดชอบ ทำให้ลูกชายต้องมีพันธะทั้งที่ยังเรียนไม่จบ

ดังนั้น ถ้าอยากให้พ่อแม่ยอมรับเพื่อนต่างเพศของลูก ลูกก็ต้องทำให้พ่อแม่วางใจว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น โดยการพาเพื่อนต่างเพศมาที่บ้านเพื่อให้พ่อแม่รู้จัก และพิจารณาว่าเป็นคนที่คบได้หรือไม่น่าไว้วางใจ นอกเวลาเรียน แทนที่จะไปเที่ยวกันสองต่อสอง ควรพาเพื่อนมาที่บ้าน เพื่อทำการบ้าน ทำรายงานด้วยกัน อาจช่วยพ่อแม่ทำงานบ้านบ้าง เช่น ให้เพื่อนหญิงช่วยแม่ทำกับข้าว เพื่อชายช่วยพ่อตัดหญ้า เป็นต้น

แรก ๆ พ่อแม่อาจแสดงท่าทีไม่ยอมรับ ไม่เป็นมิตรกับเพื่อนต่างเพศ อาจไม่ค่อยพูดจาด้วย แต่เมื่อเราสองคนพิสูจน์แล้วว่าเรารักดี ตั้งใจเรียน ไม่ชิงสุกก่อนห่าม ในที่สุดพ่อแม่ก็จะยอมรับ และรู้สึกเหมือนได้ลูกเพิ่มมาอีกคนหนึ่งค่ะ

เลปวรรณ จันต๊ะคาด(ม.ฟาร์อีส)

โรคกระดูกพรุน

กระดูกพรุน คือภาวะที่มีเนื้อกระดูกบางตัวลง เนื่องจากมีการสร้างกระดูกน้อยกว่า

การทำลายกระดูก ทำให้มีความเสี่ยงต่อการหัก หรือยุบตัวได้โดยง่าย จุดที่มีการหักบ่อย ได้แก่ กระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก และกระดูกข้อมือ ก่อให้เกิดปัญหาใน

ผู้สูงอายุ 50% ของสตรีที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป เป็นโรคกระดูกพรุน

ผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนจะมีปัญหาอะไรบ้าง

1.ปวดหลัง กระดูกสันหลังยุบตัวลง หลังค่อม ตัวเตี้ยลง

2.กระดูกแขนขาเปราะ และหัก ได้แก่ กระดูกข้อมือ กระดูกสะโพก กระดูกสันหลัง ทำให้เกิดการพิการเดิน

ไม่ได้

3.อาการแทรกซ้อนจากกระดูกหัก เช่น ปอดบวม แผลกดทับ ติดเชื้อ แขนขาใช้งานไม่ได้ ทำให้ผู้สูงอายุ

เสียชีวิตได้โดยง่าย

เราจะป้องกันโรคกระดูกพรุนได้อย่างไร

การป้องกันโรคกระดูกพรุนในวัยสูงอายุ และวัยหมดประจำเดือนทำได้โดยการเริ่มเสริมสร้างให้กระดูกหนาแน่น และแข็งแรง ตั้งแต่วัยหนุ่มสาว คือ ก่อนอายุ 30 ปี เพราะหลังอายุ 30 ปีแล้ว โอกาสในการเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกทำได้ยาก ทำได้เพียงแต่ชะลอการทำลายกระดูกเท่านั้น วิธีการป้องกัน คือ

1.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ สัปดาห์ละ 2-3 ครั้งๆ ละ 1 ชั่วโมง ผู้สูงอายุ สตรีวัยหมดประจำเดือนควร

2.ออกกำลังกายที่ลงน้ำหนัก เช่น เดินไกลๆ วิ่งเหยาะ รำมวยจีน เต้นรำ เพื่อป้องกันการสูญเสียกระดูก รับประทานเนื้อสัตว์ แป้ง ผัก ผลไม้ และอาหารที่มีแคลเซียม เช่น ดื่มนมทุกวัน วันละ 1 แก้ว หรือรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมแคลเซียม เพื่อให้ได้รับแคลเซียมเพียงพอกับความต้องการในแต่ละวัน

3.ลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ได้แก่ งดสูบบุหรี่ งดดื่มสุรา ไม่ซื้อยาชุดทานเอง ดื่มกาแฟไม่เกินวันละ 2 แก้ว

แหล่งอาหารที่ดีที่สุดของแคลเซียมคือ นม และผลิตภัณฑ์จากนมรองลงมาคือ ปลาเล็กที่กินทั้งกระดูก กะปิ แต่แคลเซียมจากผักจะดูดซึมไม่ดี เนื่องจากปริมาณไฟเตต และออกซาเลตจะรบกวนการดูดซึมแคลเซียม

เลปวรรณ จันต๊ะคาด(ม.ฟาร์อีส)

ปวดศีรษะ

อาการปวดศีรษะ (headache) เป็นอาการซึ่งพบบ่อย มีโอกาสเกิดได้กับคนส่วนใหญ่ บางครั้งก็เพียงเป็นอาการรบกวนให้รู้สึกไม่สบาย รำคาญ ไม่สดชื่น ซึ่งแก้ไขได้ง่ายโดยพักผ่อน หรือใช้ยาบรรเทาอาการซึ่งหาได้ไม่ยาก ในบางรายอาการดังกล่าวกลับไม่ธรรมดา รบกวนการทำงาน ลดประสิทธิภาพ บางครั้งต้องหยุดงาน บางรายต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจวินิจฉัย รักษา ค่ายา และเวลาในการไปรักษานั้นเป็นจำนวนมาก ผู้ป่วยมักเปลี่ยนที่รักษาไปก็หลายครั้งแต่กลับมีอาการมากขึ้นอาการปวดศีรษะ นอกจากจะเป็นอาการที่เกิดขึ้นร่วมกับโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นกันบ่อยๆ เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่แล้ว ปวดศีรษะยังจะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีความวิตกกังวล มีความเครียด หรือ ผู้ที่ต้องทำงานหนักแข่งกับเวลา และวิถีชีวิตที่ต้องเร่งรีบในปัจจุบันนอกจากนี้ปวดศีรษะยังมักจะเป็นอาการอย่างหนึ่งเสมอๆ ของโรคทางกายต่างๆ เพราะผู้ที่กำลังป่วยด้วยโรคทางกายต่างๆ ก็มักจะมีความวิตกกังวลและมีความเครียด ความกลัวว่าโรคที่เป็นอยู่จะทำให้เกิดความรุนแรงต่อตนเอง ซึ่งจะนำมาสู่ความปวดศีรษะด้วยเสมอๆ อาการปวดศีรษะอาจมีความรุนแรงเพียงเล็กน้อย ไม่ทำให้ผู้ที่มีอาการปวดเดือดร้อนแต่ประการใด จนถึงมีอาการปวดมากที่สุดจนทุรนทุราย แต่ในบางครั้งอาการปวดศีรษะไม่ว่าจะมีอาการปวดรุนแรงมากน้อยเพียงใดก็ตาม อาจเป็นสาเหตุที่รุนแรงและมีอันตรายได้

สาเหตุ

อาการปวดศีรษะอาจเกิดจากการขยายตัวของหลอดเลือด เกิดจากการอักเสบ หรือเกิดจากการดึงรั้งของเส้นเลือดในสมองหรือเยื่อหุ้มสมอง รวมทั้งความผิดปกติของอวัยวะที่อยู่รอบๆ สมองเช่น โพรงจมูก ฟัน หรือกระบอกตา ล้วนทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้เช่นกัน สาเหตุที่ทำให้เกิดการปวดศีรษะมีหลายอย่าง สาเหตุจากความผิดปกติในสมองได้แก่ การอักเสบของสมองและเยื่อหุ้มสมอง ฝีในสมอง เนื้องอกในสมอง และการมีเลือดคั่งในสมอง ส่วนสาเหตุที่เกิดจากความผิดปกตินอกสมอง ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โพรงจมูกอักเสบ ปวดศีรษะไมเกรน และความผิดปกติของสายตา เป็นต้น

24 ชั่วโมงในร่างกายมนุษย์

-ช่วงเวลาตี 1-ตี 3 นั้น เป็นช่วงเวลา ของ "ตับ" ซึ่งหน้าที่ของตับนั้นคือการ ขจัดสารพิษในร่างกาย ทั้งยังเป็นตัวช่วย ไตดูแลผม ขน เล็บ ทั้งยังช่วยกระเพาะย่อยอาหารอีกด้วย

ในช่วงเวลาดังกล่าวไม่ควรกินอาหาร เพราะจะทำให้ตับทำงานหนัก เสื่อมเร็ว จึงควรนอนหลับพักผ่อนเพื่อทำให้ตับ หลั่งสารมีราโทนินเพื่อฆ่าเชื้อ และสาร เอนโดรฟิน

-ช่วงเวลาตี 3-ตี 5 เป็นเวลาของ "ปอด" ทำงานหนัก จึงควรตื่นนอน ลุกขึ้นสูดอากาศในตอนเช้า ผู้ที่ทำได้เป็น ประจำ นอกจากปอดจะดีแล้ว ผิวพรรณจะ ดีขึ้นอีกด้วย

-ตี 5-7 โมงเช้า เป็นเวลาของ "ลำไส้ใหญ่" ที่มีหน้าที่ขับถ่ายอุจจาระ ช่วงนี้ควรขับถ่ายให้เป็นนิสัย หากไม่สามารถทำได้ลำไส้จะรวน ส่งผลให้เกิดอาการปวดไหล่ ดังนั้นจึงควรตื่นแต่เช้า รับประทานอาหารเช้า บางคนอาจเลือก ที่จะดื่มกาแฟแทนอาหารเช้า ร่างกายจะดูดกากอาหารที่ตกค้าง กลับเข้าไปใหม่

-7 โมงถึง 9 โมง เป็นเวลาที่ "กระเพาะอาหาร" ทำงานเต็มที่ จึงควรรับประทานอาหารในช่วงเวลานี้จะทำให้กระเพาะแข็งแรง

-9 โมง-11 โมง ตกเป็นเวลาของ "ม้าม" ที่มีหน้าที่ควบคุมเม็ดเลือด คุมไขมัน สร้างน้ำเหลือง ตามตำราบอกไว้ว่า ไม่ควรนอนในช่วงเวลานี้ เพราะจะทำให้ม้ามอ่อนแอ

-11 โมง-บ่ายโมง ช่วงเวลาที่ "หัวใจ" ทำงานหนัก ควรหลีกเลี่ยงความเครียด หรือใช้ความคิดมากๆ พยายามควบคุมอารมณ์ให้ดี

-บ่าย 3 โมง-ห้าโมงเย็น เป็นช่วงเวลาของ "กระเพาะปัสสาวะ" จะเกี่ยวข้องกับระบบความจำ ไทรอยด์ และระบบเพศทั้งหมด ข้อแนะนำ คือควรออกกำลังกายหรืออบตัวทำให้เหงื่อออกเพื่อทำให้กระเพาะปัสสาวะแข็งแรง แต่สังเกตน้ำเหงื่อด้วย หากพบว่ามีโซเดียมออกมากพึงระวังภาวะ ไตวาย หรือถ้ามีโพแทชเซียมออกมามีแนวโน้มที่จะหัวใจวายได้ อีกประการหนึ่งคือไม่ควรอั้นปัสสาวะ เพราะร่างกายจะดูดซึมปัสสาวะนั้นๆ กลับเข้าสู่กระแสเลือด

- 5 โมงเย็น-1 ทุ่ม ช่วงเวลาของ "ไต" ที่ทำหน้าที่ควบคุมกระดูก สมอง และเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ไตซ้ายจะคุมสมองด้านขวา เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์สุนทรีย์ หากไต ด้านนี้มีปัญหาจะกลายเป็นคนปล่อย เนื้อปล่อยตัว ขี้ร้อน ไตขวาจะคุมสมองด้านซ้าย ควบคุมด้านความจำ ถ้ามี ปัญหาความจำจะเสื่อม และเป็น คนขี้หนาว ดังนั้นช่วงเวลานดังกล่าวควรทำร่างกายให้สดชื่นแจ่มใส หากไตมีปัญหาอาจส่งผลทำให้ สมองเสื่อม ปวดหัว เป็นหวัดง่าย

-1 ทุ่ม-สามทุ่ม เป็นช่วงเวลาของ "เยื่อหุ้มหัวใจ" ในเวลานี้ควรทำใจให้สงบด้วย การสวดมนต์ ทำสมาธิ ป้องกันความพลุ่งพล่านที่ อาจเกิดขึ้นได้

-สามทุ่ม- 5 ทุ่ม เป็นช่วงที่ "ร่างกาย" ต้องการ ความอบอุ่น ควรหลีกเลี่ยงในการอาบน้ำเย็นเพราะอาจทำให้ เจ็บป่วยได้ง่าย

-5 ทุ่ม-ตี 1 ช่วงเวลาของ "ถุงน้ำดี" หรือถุงเก็บน้ำย่อยที่สำรอง ที่ออกมาจากตับ มีหน้าที่ชดเชยน้ำให้กับอวัยวะส่วนต่างๆ ที่ขาดน้ำ ซึ่งอาจมีผลทำให้น้ำดีข้น ส่งผลทำให้มีอารมณ์ฉุนเฉียว สายตาเสื่อม เหงือกบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ ตื่นตอนดึก ปวดหัวโดยไม่ทราบ สาเหตุ เป็นไมเกรน ปวดขา ปวดสะโพก ทางที่ดีจึงควรดื่มน้ำก่อน เข้านอนหรือก่อน 5 ทุ่ม

ดังนั้นหากรู้จักปรับพฤติกรรมและการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับภาวะเวลา สุขภาพดีๆ ก็จะไม่หนีหายไปไหนเสีย เข้าทำนองรู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งก็ชนะทั้งร้อยครั้ง

-

24 ชั่วโมงในร่างกายมนุษย์

-ช่วงเวลาตี 1-ตี 3 นั้น เป็นช่วงเวลา ของ "ตับ" ซึ่งหน้าที่ของตับนั้นคือการ ขจัดสารพิษในร่างกาย ทั้งยังเป็นตัวช่วย ไตดูแลผม ขน เล็บ ทั้งยังช่วยกระเพาะย่อยอาหารอีกด้วย

ในช่วงเวลาดังกล่าวไม่ควรกินอาหาร เพราะจะทำให้ตับทำงานหนัก เสื่อมเร็ว จึงควรนอนหลับพักผ่อนเพื่อทำให้ตับ หลั่งสารมีราโทนินเพื่อฆ่าเชื้อ และสาร เอนโดรฟิน

-ช่วงเวลาตี 3-ตี 5 เป็นเวลาของ "ปอด" ทำงานหนัก จึงควรตื่นนอน ลุกขึ้นสูดอากาศในตอนเช้า ผู้ที่ทำได้เป็น ประจำ นอกจากปอดจะดีแล้ว ผิวพรรณจะ ดีขึ้นอีกด้วย

-ตี 5-7 โมงเช้า เป็นเวลาของ "ลำไส้ใหญ่" ที่มีหน้าที่ขับถ่ายอุจจาระ ช่วงนี้ควรขับถ่ายให้เป็นนิสัย หากไม่สามารถทำได้ลำไส้จะรวน ส่งผลให้เกิดอาการปวดไหล่ ดังนั้นจึงควรตื่นแต่เช้า รับประทานอาหารเช้า บางคนอาจเลือก ที่จะดื่มกาแฟแทนอาหารเช้า ร่างกายจะดูดกากอาหารที่ตกค้าง กลับเข้าไปใหม่

-7 โมงถึง 9 โมง เป็นเวลาที่ "กระเพาะอาหาร" ทำงานเต็มที่ จึงควรรับประทานอาหารในช่วงเวลานี้จะทำให้กระเพาะแข็งแรง

-9 โมง-11 โมง ตกเป็นเวลาของ "ม้าม" ที่มีหน้าที่ควบคุมเม็ดเลือด คุมไขมัน สร้างน้ำเหลือง ตามตำราบอกไว้ว่า ไม่ควรนอนในช่วงเวลานี้ เพราะจะทำให้ม้ามอ่อนแอ

-11 โมง-บ่ายโมง ช่วงเวลาที่ "หัวใจ" ทำงานหนัก ควรหลีกเลี่ยงความเครียด หรือใช้ความคิดมากๆ พยายามควบคุมอารมณ์ให้ดี

-บ่าย 3 โมง-ห้าโมงเย็น เป็นช่วงเวลาของ "กระเพาะปัสสาวะ" จะเกี่ยวข้องกับระบบความจำ ไทรอยด์ และระบบเพศทั้งหมด ข้อแนะนำ คือควรออกกำลังกายหรืออบตัวทำให้เหงื่อออกเพื่อทำให้กระเพาะปัสสาวะแข็งแรง แต่สังเกตน้ำเหงื่อด้วย หากพบว่ามีโซเดียมออกมากพึงระวังภาวะ ไตวาย หรือถ้ามีโพแทชเซียมออกมามีแนวโน้มที่จะหัวใจวายได้ อีกประการหนึ่งคือไม่ควรอั้นปัสสาวะ เพราะร่างกายจะดูดซึมปัสสาวะนั้นๆ กลับเข้าสู่กระแสเลือด

- 5 โมงเย็น-1 ทุ่ม ช่วงเวลาของ "ไต" ที่ทำหน้าที่ควบคุมกระดูก สมอง และเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง ไตซ้ายจะคุมสมองด้านขวา เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์สุนทรีย์ หากไต ด้านนี้มีปัญหาจะกลายเป็นคนปล่อย เนื้อปล่อยตัว ขี้ร้อน ไตขวาจะคุมสมองด้านซ้าย ควบคุมด้านความจำ ถ้ามี ปัญหาความจำจะเสื่อม และเป็น คนขี้หนาว ดังนั้นช่วงเวลานดังกล่าวควรทำร่างกายให้สดชื่นแจ่มใส หากไตมีปัญหาอาจส่งผลทำให้ สมองเสื่อม ปวดหัว เป็นหวัดง่าย

-1 ทุ่ม-สามทุ่ม เป็นช่วงเวลาของ "เยื่อหุ้มหัวใจ" ในเวลานี้ควรทำใจให้สงบด้วย การสวดมนต์ ทำสมาธิ ป้องกันความพลุ่งพล่านที่ อาจเกิดขึ้นได้

-สามทุ่ม- 5 ทุ่ม เป็นช่วงที่ "ร่างกาย" ต้องการ ความอบอุ่น ควรหลีกเลี่ยงในการอาบน้ำเย็นเพราะอาจทำให้ เจ็บป่วยได้ง่าย

-5 ทุ่ม-ตี 1 ช่วงเวลาของ "ถุงน้ำดี" หรือถุงเก็บน้ำย่อยที่สำรอง ที่ออกมาจากตับ มีหน้าที่ชดเชยน้ำให้กับอวัยวะส่วนต่างๆ ที่ขาดน้ำ ซึ่งอาจมีผลทำให้น้ำดีข้น ส่งผลทำให้มีอารมณ์ฉุนเฉียว สายตาเสื่อม เหงือกบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ ตื่นตอนดึก ปวดหัวโดยไม่ทราบ สาเหตุ เป็นไมเกรน ปวดขา ปวดสะโพก ทางที่ดีจึงควรดื่มน้ำก่อน เข้านอนหรือก่อน 5 ทุ่ม

ดังนั้นหากรู้จักปรับพฤติกรรมและการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับภาวะเวลา สุขภาพดีๆ ก็จะไม่หนีหายไปไหนเสีย เข้าทำนองรู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งก็ชนะทั้งร้อยครั้ง

ภัทราภรณ์ (81)วิทย์ออก

จากการอ่านข้อความข้างบนนี้นะคะ ทำให้รู้ถึงเรื่องการดูแลสุขภาพมากขึ้น

รู้จักการดูแลตัวเอง และรักตัวเองมากขึ้น และทำให้ทราบถึงผลดีผลเสียของการลดน้ำหนัก ดั้งนั้นการออกกำลังกายนั่นแหละเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของคนเรา

ทำให้ทราบถึงรูปร่างของตัวเองมากขึ้น เพราะบางคนอาจจดูภายนอกว่าตัวเองอ้วนนะ

แต่ถ้าเขาได้รู้การคำนวณจากดัชนีมวลกาย BMI [body mass index] อาจทำให้เขาอยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่เหมือนกับการที่เขาคิดไว้ครั้งแรกว่าเขาอ้วน

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์

4 อาหารเลวที่ดีต่อสุขภาพ !!!

ถ้าคุณได้ชื่อว่าเป็นพวกที่ทานอาหารเพื่อสุขภาพอยู่ละก็ เชื่อว่าคุณคงกำลังหลีก เลี่ยงอาหารจำพวกเนย นม และชีสอยู่แน่ แต่รู้ไหมว่าอาหารที่ได้ชื่อว่าเลวร้าย นั้น อันที่จริงมันก็มีสารอาหารบางอย่างที่สำคัญอยู่ และคุณจะได้คุณจากมัน มากกว่าโทษ หากรู้จักกินแบบ "มีลิมิต" นั่นคือ

ชีส

แน่นอน ชีสอุดมด้วยไขมันและแคลอรี แต่ในขณะเดียวกันมันยังเป็นแหล่งสำคัญของ แคลเซียม รวมทั้งกรดไลโนเลอิกโมเลกุลคู่ ซึ่งเป็นไขมันประเภทดี ทำให้คุณลดความ เสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ เบาหวาน กรดชนิดนี้ยังช่วยในการลดน้ำหนัก ด้วยการไปสกัดกั้นการกักเก็บไขมันในร่างกาย

เลือกชีสชนิด Strong-flavored เช่น เฟต้าชีส บลูชีส และชีสพาร์เมซานสด (ไม่ขูด) ซึ่งคุณจะใช้ในปริมาณน้อยหากนำไปปรุงอาหาร

เลี่ยงชีสประเภทไขมันต่ำ เพราะชีสพวกนี้มีไขมันเพียง 6 กรัมต่อออนซ์ เมื่อนำไป ปรุงอาหาร แล้วจะไม่ได้รสชาติ เราจึงโน้มเอียงที่จะอนุญาตให้ตัวเองกินมันมากขึ้น เช่น เดียวกับชีสไม่มีไขมัน ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีรส

ช็อกโกแลต

ลืมไปเลยที่ว่าช็อกโกแลตเป็นสาเหตุของสิว และไมเกรน ที่จริงมันมีส่วนผสม บางอย่างที่ต่อต้านการเกิดมะเร็ง และโรคหัวใจเช่นเดียวกับในผักและผลไม้ เว้นแต่ ว่ามีไขมันสูงกว่าเท่านั้น แต่ถ้าหากคุณมองหาช็อกโกแลตในตอนที่หดหู่นั่นก็ถูก ต้อง เพราะมันจะเพิ่มสารชีโรโตนินในสมอง ทำให้อารมณ์ดีขึ้น

เลือกดาร์กช็อกโกแลต ช็อกโกแลตยิ่งเยอะก็หมายความว่าใส่โกโก้บัตเตอร์ซึ่งอุดม ด้วยไขมันน้อยลง

เลี่ยงช็อกโกแลตที่ผสมคาราเมล มาร์ชแมลโลว และไขมันที่ทำให้อ้วนอื่น ๆ

เนื้อวัว

พักการทานไก่ย่างชั่วคราวแล้วหันมากินสเต็กสักชิ้นเนื้อวัวเป็นแหล่งดีเลิศของ โปรตีน และสารอาหารที่ผู้หญิงมักได้รับจากอย่างอื่นไม่เพียงพอ เช่น เหล็ก สังกะสี และวิตามินบี 12

เลือกเนื้อท่อนโคนขา หรือเนื้อสะโพก ซึ่งเป็นส่วนของเนื้อที่มีเนื้อมากกว่ามัน เพราะจะมีไขมันอิ่มตัวเพียง 4.5 กรัมหรือน้อยกว่า ต่อเนื้อน้ำหนัก 3 ออนซ์ ปรุง แบบหมุนย่าง ซึ่งจะทำให้เราเหลือเนื้อที่ในจานสำหรับใส่ผักได้มากขึ้น

เลี่ยงเนื้อซี่โครงและทีโบนชั้นเลิศ เพราะมีไขมันและแคลอรีมากเป็นเท่าตัวของ ส่วนอื่น ๆ

กาแฟ

ไม่จำเป็นต้องงดดื่มกาแฟ การวิจัยเร็ว ๆ นี้ปฏิเสธว่า กาแฟไม่เกี่ยวข้องกับการ เกิดโรคหัวใจ เนื้อเยื่อในหน้าอกผิดปกติ หรือความดันโลหิตสูง หากแต่คาเฟอีนช่วย บรรเทาอาการแพ้ ทำให้คุณกระฉับกระเฉงและสมาธิดีขึ้น

เลือกกำหนดตัวเองให้ดื่มกาแฟไม่เกิน 2 - 3 แก้วต่อวัน และอย่าใส่ครีมกับน้ำตาล ให้มากนัก

เลี่ยงกาแฟแก้วใหญ่พิเศษ ที่อุดมไปด้วยครีม น้ำตาล น้ำแร่ และวิปครีม ซึ่งให้ แคลอรีมากถึง 300 แคลอรี

ถ้าทำได้ตามนี้ ก็รับประกันว่าจะได้ความอร่อยที่ไม่เป็นโทษแน่ ๆ

นาย ประเสริฐ แซ่วะ เลขที่108

สวัสดีครับ อาจารย์ กั้ม

ผมได้มาเปิดดู ข้อมูลของอาจารย์แล้วทำให้ผมรู้ว่า

ร่างกายของคนเรานั้นผอมเกินไปก็ไม่ดี และอ้วนเกินก็ไม่ดี

จากที่ทุกๆวันผมนั้นไม่เคยดูแลตัวเอง แต่พอได้มาอ่านข้อมูลที่

อาจารย์เอามาให้ ทำให้ผมรู้จักวิธีการดูแลสุขภาพของตัวเองได้มากขึ้น

จากเดิมครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆๆนะครับ

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว ม.ฟาร์

6 สหาย สุขภาพ

ถั่ว งา เผือก มัน ฟักทอง ข้าวโพด 6 สหาย สุขภาพ

1.ถั่วเมล็ดแห้ง พืชโปรตีนสูง

ถ้าพูดถึงถั่ว เราคงจะนึกถึง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วปากอ้า กันเป็นส่วนใหญ่ใช่ไหมคะ ทั้งที่ความจริงแล้ว ยังมีถั่วอีกมากมายหลายชนิด ที่เรายังไม่ค่อนคุ้นชื่อกันมากนัก เช่น ถั่วกันเนลลินิ ถั่วบอร์ลอตติ ถั่วปินโต ถั่วไลมา เป็นต้น ถั่ว เป็นพืชที่มนุษย์รู้จักปลูก มาแต่ดึกดำบรรพ์ ฟอสซิลถั่วถูกค้นพบ ในทะเลสาบของหมู่บ้านชาวสวิส สำหรับถั่วที่มีโปรตีนสูง คือ ถั่วเมล็ดแห้ง สามารถแบ่งเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ ชนิดที่มีโปรตีนสูงและไขมันสูง ซึ่งจะสะสมพลังงานในรูปไขมัน จึงจัดเป็นพืชน้ำมัน ได้แก่ ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ส่วนอีกชนิดมีโปรตีนสูงและไขมันต่ำ สะสมพลังงานในรูป ของคาร์โบไอเดรต ได้แก่ ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วแดงหลวง ถั่วพุ่ม ถั่วลาย ถั่วปากอ้า เป็นต้น

ถั่วเมล็ดแห้งทุกชนิด ใช้แทนเนื้อสัตว์ได้ เพราะมีโปรตีนสูง โดยเฉพาะถั่วเหลือง แม้คุณภาพของโปรตีน จะด้อยกว่าในเนื้อสัตว์ ปลา และไข่ เนื่องจากถั่วเมล็ดแห้ง ไม่มีกรดแอมิโนที่จำเป็นบางชนิด แต่เมื่อกินถั่วเหล่านี้ ร่วมกับธัญพืชโดยเฉพาะที่ขัดสีน้อย เช่นข้าวกล้องหรือกับเมล็ดพืชอื่น เช่น งา เมล็ดทานตะวัน และเมล็ดฟักทอง ซึ่งเป็นวิธีบริโภคของ ชาวมังสวิรัติทั่วไปอยู่แล้ว จะช่วยเสริมกรดแอมิโนให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ทำให้ได้อาหารที่มีคุณภาพ โปรตีนดีเท่าเทียมเนื้อสัตว์ นอกจากนั้น ถั่วยังมีวิตามินและเกลือแร่ต่างๆ เช่น เหล็ก แมงกานีส โพแทสเซียม อีกด้วย

2. งา เนื้อคู่ของถั่ว

สำหรับงา จัดเป็นเมล็ดพืชที่ให้โปรตีน ต่างจากถั่วเมล็ดแห้ง คือ มีกรดแอมิโนที่ถั่วเมล็ดแห้งขาด ดังนั้น การบริโภคงาร่วมกับถั่วเมล็ดแห้งชนิดต่างๆ จะทำให้ร่างกายได้รับโปรตีนที่มีคุณภาพสมบูรณ์ และนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ งามีไขมันประมาณ 50 – 60 กรัมต่อ 100 กรัม เรานิยมนำงามาสกัดเป็นน้ำมันปรุงอาหาร เพราะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เนื่องจากองค์ประกอบเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวอยู่มาก ช่วยลดระดับคอเลสเทอรอลในเลือดได้ นอกจากนั้น งายังมีวิตามินอีสูง ซึ่งวิตามินตัวนี้มีคุณสมบัติ เป็นสารต้านออกซิเดชัน ช่วยจับและทำลายอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นอันตรายต่อเซลล์

3. เผือก พลังงานผสานบำรุงสุขภาพ

เผือกนี่แหละ มีคุณค่ามหาศาล เพราะนอกจากจะมีคาร์โบไฮเดรต ซี่งให้พลังงานแก่ร่างกาย เป็นส่วนประกอบหลักแล้ว ยังมีโปรตีน แร่ธาตุ และวิตามินอยู่เกือบครบทุกชนิด (แม้จะมีในปริมาณไม่สูงมากนัก) เผือกจึงเป็นอาหารที่เพิ่มพลังงาน และบำรุงสุขภาพไปพร้อมกัน

4. มันเทศ ผู้อุดมด้วยเบต้าแคโรทีน

แม้ว่าพืชหัวจะมีอยู่หลากหลายชนิด แต่สำหรับคนไทยอย่างเราน่าจะคุ้นกับ มันเทศ มากที่สุด เพราะนิยมนำมาทำเป็นอาหารประจำบ้าน รับประทานกันอยู่บ่อยๆ มันเทศเป็นพืชหัว ที่ประกอบด้วยแป้งเป็นหลัก มันเทศ 100 กรัม ให้พลังงาน ประมาณ 93 กิโลแคลอรี่ (คนเราควรได้รับพลังงานเฉลี่ยวันละ 1,800 – 2,000 กิโลแคลอรี่) ถ้าเราสังเกตให้ดีจะเห็นว่า มันเทศมีอยู่สองชนิด คือ ชนิดเนื้อเหลืองส้มกับชนิดเนื้อครีม ทั้งสองชนิดเป็นแหล่งที่ดีของวิตามินซี โพแทสเซียม และแคลเซียม รวมทั้งใยอาหาร นอกจากนั้น มันเทศยังอุดมด้วยเบต้า แคโรทีน ซึ่งอาจจะช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิดได้

5. ฟักทอง ย่อยง่าย ให้วิตามินเอ

ฟักทอง เป็นพืชผลที่บริโภคกันอย่างแพร่หลาย ทั้งในเอเชีย ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา แอฟริกา และแถบแคริบเบียน ฟักทองอุดมด้วยเบต้าแคโรทีน ซึ่งร่างกายเปลี่ยนให้เป็นวิตามินเอได้ จึงเหมาะจะเป็นอาหารหลักอย่างหนึ่ง ของชาวมังสวิรัติที่มักขาดวิตามินเอ เพราะงดเว้นเนื้อสัตว์ อย่างที่ทราบกันว่าเบต้าแคโรทีน เป็นสารออกซิเดชัน ดังนั้นจึงช่วยปกป้องเซลล์ของร่างกายไม่ให้ถูกอนุมูลอิสระทำลายอันอาจก่อให้เกิดมะเร็งบางชนิดได้ นอกจากนั้นฟักทองยังมีวิตามินเอ ซึ่งจัดเป็นสารต้าน ออกซิเดชั่นอีกตัวหนึ่ง ฟักทองย่อยง่ายและไม่ค่อยทำให้เกิดอาการแพ้ จึงเหมาะเป็นอาหารเสริมสำหรับเด็ก และที่ไม่ควรมองข้าม คือ เมล็ดฟักทองเพราะอุดมด้วยธาตุเหล็ก และฟอสฟอรัสรวมทั้งมีโพแทสเซียม แมกนีเซียม และสังกะสีอีกด้วย เปี่ยมคุณค่าน่ากินจริงๆ เลยใช่ไหมคะ

6. ข้าวโพด อาหารให้เส้นใย

ข้าวโพด ไม่ใช่พืชของเอเชีย แต่เป็นพืชดั้งเดิมของชาวอินเดียนแดง ข้าวโพดโบราณค่อนข้างจะเหนียว ออกรสแป้งเป็นหลัก ไม่มีความหวาน จนปัจจุบันมีการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวโพด ให้มีความหวานมากขึ้น ข้าวโพดหวานมีมากกว่า 200 สายพันธุ์ ส่วนใหญ่จะมีเมล็ดเหลืองทอง ทุกสายพันธุ์จะมีวิตามินซี แต่วิตามินเอ จะมีเฉพาะพันธุ์สีเหลืองเท่านั้น ข้าวโพดอ่อนมีใยอาหารสูง ที่จะช่วยให้ระบบการขับถ่ายทำงานเป็นปกติ

เครื่องดื่มยามเช้าที่เหมาะกับตัวคุณ

ในตอนเช้า ๆ หลาย ๆ คนคงต้องการที่จะหาอะไรดื่มก่อนไปเรียนหรือไปทำงาน เพื่อจะให้ร่างกายมีพลังในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เราเลยหาเครื่องดื่มที่เหมาะกับเช้าวันใหม่มาแนะนำกันค่ะ..

น้ำมะนาว

ลองหาน้ำมะนาวมาดื่มตอนเช้า เพราะในน้ำมะนาวจะมีกรดซิตริก มีวิตามินซีที่นอกจากจะช่วยขับเสมหะ แก้อาการเจ็บคอแล้วยังช่วยให้ร่างกายสดชื่น แถมกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากเปลือกที่โดนคั้นยังช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายได้ดีอีกด้วย

น้ำขิง

สำหรับคนที่มีอาการเมาค้าง คลื่นไส้ อยากอาเจียน ก็ขอแนะนำน้ำขิงร้อน ๆ สักแก้ว เพราะในขิงมีสารเคมีชนิดหนึ่งที่เรียกว่า จินเจอรอล (Gigerol) ที่เป็นสารเคมีประเภทน้ำมันหอมระเหยที่ให้รสและกลิ่นพิเศษไม่เหมือนใคร จัดอยู่ในกลุ่มแอลกอฮอล์ที่ไม่ทำให้เรารู้สึกมึนเมา แถมยังแก้อาการเมาได้ดี การทำน้ำขิงให้อร่อยนั้น ควรบุบหัวขิงที่ไม่แก่จัดจนเกินไป ต้มด้วยน้ำร้อนพอเดือด อย่าต้มนานเกินไป เพราะขิงจะเสียรสและกลิ่นไปได้

น้ำผักหรือน้ำผลไม้

เป็นเครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยวิตามินหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินซี วิตามินเอ โฟลิคแอซิด และแร่ธาตุ เช่น โซเดียม โปแตสเซียม สังกะสี นอกจากนั้นในน้ำผักและน้ำผลไม้ยังมีส่วนผสมของน้ำตาลโดยธรรมชาติ ซึ่งสามารถให้พลังงานแก่ร่างกาย ช่วยให้เราหายเหนื่อย หายเพลีย ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น

น้ำหวาน

คนที่นอนดึกส่วนใหญ่ยามเช้าของคุณจะมีอาการปวดหัว มึนศีรษะ เกิดอาการเครียดทางประสาท ซึ่งอาจเป็นเพราะร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ควรรับประทานอาหารเช้าที่มีแป้งและน้ำตาลซึ่งจะสามารถช่วยได้ โดยเฉพาะน้ำตาลนั้นจะถูกดูดซึมได้ดีและง่าย ดังนั้นน้ำหวานจะทำให้จิตใจสงบ คลายอาการเครียดและมึนงงได้อย่างดี

นมถั่วเหลือง

ปัจจุบันนมถั่วเหลืองหาซื้อได้ง่าย และเหมาะสำหรับคนที่รักสุขภาพ เพราะนมถั่วเหลืองเป็นเครื่งดื่มที่ให้โปรตีนที่มีคุณสมบัติเหมือนโปรตีนจากเนื้อสัตว์

กาแฟ

กาแฟเป็นเครื่องดื่มยามเช้าของคนทำงาน เพราะกาแฟช่วยกระตุ้นความสดชื่นและความกระปี้กระเปร่าก่อนลงมือทำงาน นอกจากนี้ยังสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่ ลดอาการหอบในผู้ที่เป็นโรคหอบหืด และเป็นผลดีต่อนักกีฬาในการเพิ่มความทนทานและความอึดในกีฬาที่ต้องใช้เวลานาน

ผมได้อ่านบทความเรื่องสาระน่ารู้ของมวยไท๊เก๊ก น่าสนใจมากครับ โดยทั่วไปแล้วคนทั่วไปมักจะเห็นว่ามวยไท๊เก็กเป็นกีฬาสำหรับคนแก่แต่ไม่ใช่อย่างที่คิดนะครับ เป็นกีฬาที่สามารถจะเล่นได้ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยชราเลยครับ การรำมวยนี้จะใช้การออกกำลังกายทุกส่วนของร่างกาย อีกทั้งการรำมวยยังจะเป็นเหมือนการทำสมาธิไปด้วย อีกทั้งทำให้ร่างกายกลับมีความสมดุลช่วยให้โรคต่างๆที่เป็นทุเลาลง และหายไปได้ครับ http://www.siamaircare.com/taikek/mainframe.htm เข้าไปอ่านเพิ่มเติมก็ได้นะครับ หรือว่าจะหาทางgoogle ก็ได้นะครับ

งา ธัญพืชต้านโรค

งา เป็นธัญพืชที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อุดมไปด้วยวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 วิตามินบี 9 และวิตามินไบโอติน โคลีน ไอโนสิตอล กรดพาราอะมิโนแบนโซอิค สารเหล่านี้จะช่วยบำรุงประสาทให้เป็นไปอย่างปกติ นอกจากนี้ในงายังมีกรดไขมันไลโนลีอิกอยู่มากด้วยเช่นกัน ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเจริญเติบโตและสามารถเก็บความชุ่มชื้นของผิวหนังได้ดี

ประโยชน์ที่ได้จากงา

ทางการแพทย์ถือว่า งาเป็นอาหารที่สามารถบำรุงกำลังได้เป็นอย่างดีและยังให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า นอกจากนี้ยังป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันอาหารท้องผูก บำรุงกระดูก บำรุงรากผม รักษาอาการนอนไม่หลับ และยังช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลไม่ให้มีมากเกินไป ป้องกันไม่ให้หลอดเลือดแข็งตัว ป้องกันโรคหัวใจและโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดบางชนิด

กินวิตามิน – เกลือแร่ แก้แพ้อากาศ

ลดอาการแพ้อากาศได้โดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ดื่มน้ำเปล่ามากๆ พักผ่อนให้เพียงพอ และที่สำคัญควรกินผักผลไม้สด เพื่อให้ได้รับวิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยลดการแพ้อากาศ

วิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยลดการแพ้อากาศ ได้แก่

วิตามินซี ช่วยป้องกันและเสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือด ป้องกันหวัดและการแพ้อากาศ แหล่งที่พบมาก ได้แก่ ฝรั่ง ส้ม และสับปะรด

วิตามินอี ช่วยสร้างภูมิคุ้นกัน ต้านอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรง แหล่งที่พบมาก ได้แก่ ธัญพืช ข้างกล้อง และรำข้าว

วิตามินเอ ช่วยต้านอนุมูลอิสระและเสริมสร้างการทำงานของเซลล์เม็ดเลือด แหล่งที่พบมาก ได้แก่ ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง แครอท มะเขือเทศ ฟักทอง มะละกอ และน้ำมันตับปลา

สังกะสี (Zinc) ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย และป้องกันอนุมูลอิสระ แหล่งที่พบมาก ได้แก่ อาหารทะเล ธัญพืช และผลิตภัณฑ์นม

ซิลิเนียม (Selenium) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน แหล่งที่พบมาก ได้แก่ เนื้อสัตว์ ธัญพืช จมูกข้าว รำข้าว เห็ด และกะหล่ำปลี

ออกซิเจนบำบัด

ความสำคัญของออกซิเจน

ออกซิเจนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับสุขภาพ ความงาม และจิตใจที่ปลอดโปร่ง นอกจากนี้ยังทำให้ดูอ่อนกว่าวัย แต่สำหรับชีวิตในทุกวันนี้มีหลากหลายปัจจัยที่ทำให้คนเราได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอที่จะทำให้เรามีสุขภาพที่ดีได้ ปัจจัยเหล่านี้ ได้แก่ การขาดการออกกำลังกาย การรับประทานอาหารรสชาดอร่อยแต่ไม่มีคุณค่า การรับประทานมากเกินไป การอาศัยในตึกสูงหรือสภาพแวดล้อมที่อุดอู้เป็นเวลานานๆ มลภาวะอากาศเป็นพิษ สารกันบูด และสารพิษอื่นๆที่ปะปนอยู่ในอาหารที่เรารับประทาน ตลอดจนการบริโภคสารเคมี หรือยารักษาโรค

แม้ว่า อาหารจะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตทุกชีวิต เราจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากอาหารเป็นเวลาติดต่อกัน 2 ถึง 3 สัปดาห์ ในขณะที่ร่างกายจะตกอยู่ในภาวะอันตรายหากไม่ได้ดื่มน้ำติดต่อกันนาน 6 ถึง 7 วัน แต่ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆที่ทันสมัย ปัจจุบันคนเราอาจจะมีชีวิตอยู่โดยปราศจากการกินอาหารหรือดื่มน้ำเป็นเวลาต่อเนื่อง 1-2 เดือน โดยการให้อาหาร น้ำ หรือยารักษาโรค ผ่านทางสายยาง

แต่สำหรับอากาศแล้ว ชีวิตจะไม่สามารถดำรงคงอยู่ได้หากปราศจากอากาศเป็นเวลา 2-3 นาที เมื่อพูดถึงอากาศเราจะหมายถึง ออกซิเจนในอากาศ ที่ร่างกายได้รับเมื่อมีการหายใจเข้าไป

ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ดร.ชิซูโอะ อินนูเอะ ได้ลงทุนทำการคิดค้น และศึกษาแนวทางการรักษาโดยออกซิเจนขึ้นมา โดยใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า ชี่ แมชชีน (The Chi Machine) ในการกระตุ้นให้เกิดการไหลเวียนของพลังงานและเพิ่มออกซิเจนให้กับร่างกาย เช่นเดียวกับการออกกำลังกายแบบแอโรบิค

การมีสุขภาพดี คือ การทำให้ร่างกายสามารถที่จะใช้ออกซิเจนให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดนั่นเอง ในร่างกายของมนุษย์เม็ดเลือดแดงจะเป็นตัวนำพาออกซิเจนไปสู่เซลล์ และเนื้อเยื่อ เพื่อการเจริญเติบโต ในขณะเดียวกัน ออกซิเจนก็เป็นตัวช่วยในเรื่องการขจัดของเสียออกจากร่างกายผ่านกระบวนการ เผาผลาญอาหาร ดังนั้นหากเซลล์เม็ดเลือดแดงในร่างกายของเรามีออกซิเจนอยู่พอเพียง ก็จะทำให้อวัยวะต่างๆทำงานได้อย่างมีประสิทธิผล และ ยังช่วยเร่งการขจัดของเสียออกจากร่างกายอีกทางหนึ่งด้วย ในขณะที่หากร่างกายได้รับออกซิเจนไม่พอเพียง มักจะก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพตามมา หากคุณเคยมีอาการเหล่านี้ นั่นคือข้อสังเกตได้ว่าร่างกายคุณได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ

นอนไม่หลับ

ภูมิแพ้

เบื่ออาหาร

ปวดหลัง

นอนกรน

รู้สึกเครียด

รู้สึกกดดัน

เหนื่อย

ปวดคอ

เป็นหวัด/หวัดใหญ่ บ่อยๆ

ออกซิเจนไม่สามารถแยกออกได้จากสิ่งมีชีวิตทุกชนิด มันมีความสำคัญสำหรับเซลล์สมองมากเป็นพิเศษ เพราะสภาวะการขาดออกซิเจนจะนำไปสู่ความเสียหายของ เส้นประสาทในสมอง “Cerebral nerves” เนื่องจากร่างกายไม่สามารถจะกักเก็บออกซิเจนไว้ได้ ดังนั้นการได้รับออกซิเจนที่พอเพียงจะทำได้โดยการหายใจที่ไม่ติดขัด สภาวะการขาดออกซิเจนเป็นสาเหตุของโรคร้ายนาๆชนิด

สิ่งที่ก่อให้เกิดความเจ็บป่วย – สภาวะการขาดออกซิเจน

เราน่าจะสามารถสรุปได้จากการสังเกตการณ์ การทดสอบที่กระทำโดยหน่วยงานด้านการแพทย์หลายแห่งว่า สาเหตุของการเกิดโรคหลายโรคเกิดมาจากการขาดแคลนออกซิเจนนั่นเอง การค้นพบออกซิเจนเกิดขึ้นราวปี ค.ศ.1774 โดยก่อนหน้านั้นผู้คนพากันเข้าใจว่ามีบางสิ่งในอากาศ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการหายใจ ออกซิเจนทำให้ร่างกาย และจิตใจของคนเป็นปกติ สมองปลดโปร่ง และทำให้เราห่างไกลจากแพทย์

ออกซิเจน – มีความเกี่ยวข้องกับชีวิตมากกว่าเป็นเพียงลมหายใจเท่านั้น

ในจำนวนโรคร้ายหลายๆโรค เราพบว่าเกิดจากภาวะที่ร่างกาย หรือเนื้อเยื่อต่างๆได้รับออกซิเจนในระดับต่ำ Dr. Stephea Levine หมอผู้เป็นนักชีววิทยาผู้เชี่ยวชาญด้านโมเลกุลกล่าวไว้ว่าการที่เนื้อเยื้อได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอนั้น เป็นสาเหตุสำคัญของการเจ็บไข้ได้ป่วยในลักษณะที่มีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เนื้อเยื่อชนิดหนึ่งไปเป็นเนื้อเยื่อชนิดอื่น

Dr. Inoue, Dr. Warberg (Nobel Price Winner) และ Dr.Odeuall กล่าวไว้ว่า พวกเขาเชื่อว่าสภาวะการขาดออกซิเจน เป็นสาเหตุของโรคหลายโรค รวมถึงมะเร็ง

อินฟราเรดระยะไกลกับสุขภาพ

รังสีอินฟราเรดระยะไกลเป็นคลื่นที่ยาวที่สุดในแสงอาทิตย์และไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า แสงอาทิตย์ที่เราได้รับนำความมีชีวิตมาสู่เนื้อเยื่อต่างๆในร่างกายของเรา ผู้คนได้รู้เรื่องนี้มาตั้งแต่สมัยโบราณแล้วว่าแสงอาทิตย์ที่กำลังพอดีจะช่วยปรับปรุงและรักษาสุขภาพที่ดี

อย่างไรก็ตามเป็นความจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้ว่า การได้รับแสงสว่างในฤดูร้อนเป็นระยะเวลานาน จะทำให้ผลกระทบด้านลบกับผิวหนัง เราทราบกันโดยทั่วแล้วว่า การอาบแดดมากเกินไปอาจจะทำลายผิวหนังได้ ทำให้เกิดกระ และการเปลี่ยนแปลงต่างๆบนผิวหนัง

พลังงานจากแสงอินฟราเรดจะมีผลให้โมเลกุลของของเหลวเกิดการสั่นสะเทือน เมื่อมีการสั่นสะเทือนเพิ่มขึ้น แรงเสียดทานระหว่างการเคลื่อนไหวก่อให้เกิดความร้อน ทำให้เนื้อเยื่อและโครงสร้างภายใต้ผิวหนังมีอุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้หลอดเลือดฝอยขยายและเลือดจะไหลเวียนอย่างอิสระมากขึ้น การไหลเวียนที่ดีของเลือดจะกลับมาป้องกันความบกพร่องของกระบวนการสร้างและย่อยสลายเช่น ภาวะเลือดคั่ง กระตุ้นเซลล์เนื้อเยื่อและช่วยในการผลิตและคัดหลั่งของเอนไซม์ เมื่อการทำงานของกระบวนการสร้างและย่อยสลายเป็นปกติ น้ำ ของเสีย และสารพิษต่างๆจะสามารถถูกขับออกจากร่างกายโดยผ่านต่อมเหงื่อและวิถีทางอื่นๆ

อินฟราเรดกับความดันโลหิต

ช่วยเรื่องความดันโลหิต

เพศ อายุ และ ปัจจัยอื่นๆ เช่น อาหาร กิจกรรมประจำวัน อารมณ์ การออกกำลังกาย และ การนอนหลับ ล้วนแล้วแต่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงความดันเลือด ความดันเลือดที่แตกต่างกันในตอนเช้ากับตอนเย็น และอาจเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ผู้ป่วยความดันสูงโดยปกติจะแสดงความดันสูงในฤดูหนาว และต่ำลงในฤดูร้อน การตื่นเต้นและความเครียดทางจิตใจเป็นสาเหตุให้เกิดความดันเลือดสูงเพิ่มขึ้นชั่วคราว ผู้ป่วยความดันเลือดสูงต้องควบคุมการบริโภคเกลือ และให้ความสำคัญกับอาการท้องผูก อีกทั้งผู้ป่วยยังต้องให้การนอนหลับที่เพียงพอ และการออกกำลังกายที่เหมาะสม สำหรับความพิเศษเฉพาะทางสำหรับการป้องกันและการบำบัดรักษาอาการความดันเลือดสูงคือการมีจิตใจที่มั่นคง

ผู้ผู้ประสบปัญหาความดันเลือดสูง อาจมีอาการทางร่างกายดังนี้ ปวดหัว ไหล่ยึด วิงเวียนศีรษะ อาเจียน เมาคลื่น หายใจขัด หรือ มีอาการปวดบวม

ส่วนผู้ที่มีความดันเลือดต่ำ หรือ เมื่อความดันระยะหัวใจบีบตัวต่ำกว่า 100 มิลลิเมตรปรอท และ ความดันระยะหัวใจคลายตัวต่ำกว่า 60 มิลลิเมตรปรอท จะรู้สึกเหนื่อยง่าย และวิงเวียนศีรษะง่าย เป็นที่เชื่อกันว่าความดันโลหิตต่ำมาจากสุขภาพที่ไม่ดี

ความร้อนที่นุ่มนวลที่กำเนิดจากเครื่องทำความร้อนด้วยรังสีอินฟราเรดระยะไกลจะค่อยๆช่วยปรับปรุงการไหลเวียนของเลือด และนำออกซิเจนมาสู่เนื้อเยื่อในร่างกาย ด้วยเหตุนี้คนไข้ทั้งที่มีความดันเลือดสูงและต่ำจะได้ประโยชน์จากการใช้เครื่องในการปรับปรุงการไหลเวียนซึ่งจะไปปรับระดับความดันเลือดให้สมดุลและเป็นปกติ

เสาวลักษณ์ ทองอินทร์_Far31

ตามแบบแผนของการแพทย์ตะวันตก ผู้คนมักให้ความสำคัญ กับการักษาโรคภัยไข้เจ็บ โดยใช้ยา และ การผ่าตัด เป็นหลัก แต่ในเวลาไม่กี่ปีมานี้ คนส่วน มากพบว่าการรักษาด้วยยา และ การผ่าตัด อาจจะไม่เพียงพออีกต่อไปแล้วที่ จะรับมือกับโรคเรื้อรังต่างๆ โดยหากดูจากสถิติจะพบว่า ปัจจุบันมีคนเจ็บป่วย และ เสียชีวิตจากโรคต่างๆสูงสุด เป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับในอดีต นั่นอาจจะเป็นที่มาของการ เปลี่ยนแปลงแนวความคิด และมุมมองเกี่ยวกับสุขภาพ ก็เป็นได้

ในโลกยุคปัจจุบันผู้คนต่างให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น ผู้คนมากมายตระหนักแล้วว่า การมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์นั้น มาจากการดูแลจากภายใน มากกว่าที่จะมาจากการใช้ยา หรือ กระบวนการรักษาภายหลังจากที่มีอาการไม่สบายแล้ว

ความสามารถในการบำบัด จากภายในนั้น แท้จริงแล้วเป็นไป โดยกลไกของพลังงาน ภายในร่างกาย ของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า พลังชิ่ (Chi Energy) นั่นเอง

ตามความเชื่อของฝั่งตะวันออก เราเชื่อว่า คนทุกคน เกิดมา พร้อมกับพลังงาน พลังงานที่พูดถึงนี้เรียกว่า “ชิ่”(Chi) พลังชิ่ นี่เองเป็นเสมือน แรงขับเคลื่อน ของพลังงาน ในทุกกระบวนการ ของร่างกาย แม้แต่ในขณะที่ท่าน กำลังอ่านบทความนี้ พลังชิ่ ในร่างกายของคุณ เป็นแรงขับเคลื่อนให้คุณทำ ในสิ่งที่คุณทำอยู่ได้ มันทำให้หัวใจของคุณสามารถ ที่จะบีบตัว เพื่อส่งเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย มันช่วยให้ระบบ

แอปเปิ้ลวันละ 1 ลูก ช่วยลดมะเร็งปอดจากการสูบบุหรี่

คงทราบกันดีนะคะว่าในแอปเปิ้ลนั้นมีประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นไฟเบอร์ หรือวิตามิน แต่มีการวิจัยพบว่าในแอปเปิ้ลมีประโยชน์มากกว่านั้น ลองไปดูกันว่ามันมีประโยชน์อะไรอีกบ้าง

ได้มีการวิจัยพบว่า คนที่กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ลูกในทุก ๆ วัน จะช่วยให้ปอดทำงานดีกว่าคนที่ไม่ได้กิน ทั้งนี้การวิจัยยังได้อ้างถึงการทำงานของปอดของผู้ที่สูบบุหรี่ และผู้ที่อยู่ในสภาวะแวดล้อมที่จะต้อง สูดกลิ่นบุหรี่อยู่ตลอดเวลาด้วยว่า ผู้ที่กินแอปเบิ้ลเป็นประจำ ไฟโอฟลา โวนอยด์ที่อยู่ในแอปเปิ้ลหรือเควอร์วีตินจะป้องกันการทำลายที่เกิดจาก บุหรี่หรือมลภาวะทางอากาศได้เรียกว่าอาจจะทำให้เป็นมะเร็งปอดได้ช้า ลง แต่ถ้าไม่เลิกบุหรี่ก็ยังยืนยันว่าจะเป็นมะเร็งปอดแน่นอน

แต่ที่ญี่ปุ่น เขาได้มีการวิจัยว่าแอปเปิ้ลว่าเป็นผลไม้ที่สามารถดับกลิ่นได้อย่างดี แอปเปิ้ลมีประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นการนำไปวาง ไว้ในครัวหรือห้องรับแขกก็จะช่วยกำจัดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ต่าง ๆได้ แล้วเมื่อเวลาเรากินอาหารที่มีกลิ่นแรง ๆ อย่างเช่น กระเทียมหรือของหมักดองเข้าไป เขาให้รับประทานแอปเปิ้ลตามเข้าไปสักหนึ่งเสี้ยว เท่านี้กลิ่นเหม็นก็จะหายไป

แอปเปิ้ลดับกลิ่นได้ก็เพราในแอปเปิ้ลมีสารบางอย่างที่สามารถเข้าไปทำลายและฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในปากของเรา นอกจากนี้เยังช่วยทำลายและฆ่าแบคทีเรียที่อยู่ถึงในท้องของเราได้ดีด้วย

แอปเปิ้ลนี้มีประโยชน์มากมายเลยนะคะ แต่ถึงอย่างไรก็ควรที่จะเลิกสูบบุหรี่ดีกว่าจะได้ไม่ทำร้ายตัวเอง และคนที่รอบข้างคุณ.....

ปอดอักเสบ ภัยร้ายที่มากับหน้าฝน

โรคปอดอักเสบ (นิวโมเนีย – Pneumonia) หรือ “โรคปอดบวม” เป็นโรคที่อันตรายและพบว่าที่ป่วยเป็นโรคนี้มากในช่วงฤดูฝน โรคนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ไม่ค่อยแข็งแรงและมีภูมิต้านทานโรคต่ำ โดยมากจะพบกับผู้ป่วยที่เคยมีอาการไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ต่อมทอนซิลอักเสบ หัด อีสุกอีใส ไอกรน ฯลฯ อยู่แล้ว แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือ ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายอื่นๆ แทรกตามมา เช่น ฝีในปอด (lung abscess) มีหนองในช่องหุ้มปอด, ปอดแฟบ (atelectasis) หลอดลมพอง, เยื่อหุ้มสมองอักเสบ, เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (pericarditis) เยื่อบุช่องท้องอักเสบ, ข้ออักเสบเฉียบพลัน, โลหิตเป็นพิษ ที่สำคัญคือภาวะขาดออกซิเจนและภาวะขาดน้ำ ซึ่งถ้าพบในเด็กเล็กและคนแก่ อาจจะทำให้เสียชีวิตอย่างรวดเร็ว

สาเหตุของโรคนี้ส่วนใหญ่เกิดมาจากการติดเชื้อ เช่น เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส (ไข้หวัดใหญ่ หัด และอีสุกอีใส) เชื้อรา และสารเคมี ฯลฯ โดยเชื้อโรคจะแพร่กระจายโดยการไอ จาม หรือหายในรดกัน การสำลักเอาสารเคมีหรือเศษอาหารเข้าไปในปอด การแพร่กระจายของเชื้อไปตามกระแสเลือด เช่น การฉีดยา ให้น้ำเกลือ การอักเสบในอวัยวะส่วนอื่น เป็นต้น โดยอาการของผู้ป่วยที่มักจะเกิดขึ้นในทันทีคือ มีไข้ขึ้นสูงประมาณ 39-40 องศาเซลเซียส และอาจมีอาการจับไข้ตลอดเวลา หนาวสั่น (โดยเฉพาะในระยะที่เริ่มเป็น) หายในเร็วแต่ถี่ๆ (หอบ) หน้าแดง ริมฝีปากแดง ลิ้นเป็นฝ้า ในระยะแรกอาจมีอาการไอแห้งๆ ไม่มีเสมหะ แต่ต่อมาเสมหะจะมีสีขุ่นข้นออกเป็นสีเหลือง สีเขียว หรือมีเลือดปน ส่วนอาการที่พบในเด็กโตและผู้ใหญ่นั้นอาจมีอาการเจ็บแปล๊บในหน้าอกเวลาหายใจเข้า หรือเวลาไอแรงๆ บางครั้งอาจมีอาการปวดร้าวไปที่หัวไหล่ สีข้าง หรือท้องด้วย ในเด็กเล็กอาจมีอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเดิน อาเจียน กระสับกระส่าย หรือชัก ถ้าเป็นมากๆ อาจมีอาการตัวเขียว ริมฝีปากเขียว ลิ้นเขียว และเล็บจะเริ่มกลายเป็นสีเขียว

วิธีหลีกเลี่ยงอาการปอดบวมอักเสบ

ถึงแม้ว่าโรคนี้จะเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่เมื่อใดที่ร่างกายอ่อนแอก็สามารถกลับมาป่วยด้วยโรคนี้ได้ดังเดิม ดังนั้นการป้องกันและรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอย่างถูกวิธี จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราทุกคนไม่ควรละเลย และสิ่งที่จุช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ หรือการแพร่กระจายโรคปอดบวมคือ

1.) การรักษาสุขภาพให้แข็งแรง

2.) หมั่นดูแลความสะอาด และหลีกเลี่ยงสถานที่แออัด

3.) รับประทานอาหารตามหลักโภชนาการ และอาหารเสริมสุขภาพในปริมาณที่พอเหมาะ

4.) อย่าฉีดยาด้วยเข็มแชละกระบอกฉีดยาที่ไม่ได้ผ่านกรรมวิธีการฆ่าเชื้อ

5.) อย่าอมน้ำมันก๊าดเล่น ควรเก็บน้ำมันก๊าดให้พ้นมือเด็ก

6.) ป้องกันมิให้เป็นโรคปอดเรื้อรัง (หลอดลมอักเสบถุงลมพอง) ด้วยการไม่สูบบุหรี่

7.) ในกรณีที่ผู้ที่เสี่ยงต่อโรคเป็นเด็กที่อายุต่ำกว่า 4 ปี ควรดูแลอย่างใกล้ชิด และคอยระวังไม่ให้เด็กสำลัก ควรแยกของเล่นชิ้นเล็กๆ ออกห่างจากมือเด็ก เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กนำเข้าปาก

8.) เมื่อเป็นไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หัด อีสุกอีใส ฯลฯ ควรดูแลรักษาเสียแต่เนิ่นๆ หากมีอาการไม่ดีขึ้นให้รีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเร็วที่สุด

การรักษา

1.) สำหรับผู้ป่วยที่เริ่มเป็น ยังไม่มีอาการหอบ ให้ดื่มน้ำมากๆ ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเวลามีไข้สูง ให้ยาลดไข้และให้ยาปฏิชีวนะ ถ้าอาการดีขึ้นใน 3 วัน ควรให้ยาปฏิชีวนะต่อไปอีก 1 สัปดาห์ แต่ถ้าไม่ดีขึ้นหรือกลับมีอาการหอบควรแนะนำไปโรงพยาบาล

2.) ถ้ามีอาการหอบ หรือสงสัยว่ามีอาการแทรกซ้อนอื่นๆ รีบให้ยาปฏิชีวนะ แล้วส่งโรงพยาบาลโดยด่วน หากรักษาไม่ทัน อาจเสียชีวิตได้ ถ้าทีภาวะขาดน้ำ ควรให้น้ำเกลือระหว่างเดินทางไปด้วย การรักษามักจะต้องทำการตรวจโดยเอกซเรย์ปอด ตรวจเสมหะหาเชื้อที่เป็นสาเหตุ หรือเจาะเลือดไปเพาะเชื้อและให้การรักษาโดยให้ออกซิเจน น้ำเกลือ และยาปฏิชีวนะ ซึ่งอาจให้เพนิซิลินฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือเส้นเลือดในขนาดสูงๆ หรือยาปฏิชีวนะตัวอื่นๆ ตามแต่ชนิดของเชื้อที่พบ

อาหารหนึ่งคำที่กินเข้าไปในปาก เข้าสู่ร่างกาย คุณอาจคิดไม่ถึงว่า นั่นคือ ยาพิษ!!

ไม่ใช่เรื่องแปลกนักที่ ปัจจุบันโรคมะเร็ง จะกลายเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของ คนไทยเป็นอันดับ หนึ่ง แซงหน้าอุบัติเหตุ และโรคหัวที่เป็นแชมป์เก่า ซึ่งแต่ละปีมีผู้ป่วยถึงปีละ 90,000 ราย และเสียชีวิตถึงปีละเกือบ 40,000 ราย และที่น่าตกใจคือ จากการสำรวจล่าสุดพบว่าอายุของผู้ป่วยโรคมะเร็งมีอายุเฉลี่ยลดน้อยลง จากเดิมผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอายุประมาณ 50 ปีขึ้นไป แต่ปัจจุบันมีอายุเฉลี่ย 30-40 ปีเท่านั้น

สาเหตุที่คนไทยเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น และวงจรชีวิตสั้นลง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ระบุชัดเจนว่า จากการวิจัย สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งนั้น เกิดจากสารพิษในอาหาร มากถึง 50% ของผู้ป่วยทั้งหมด

แม้ ตามหลักทางการแพทย์ การเกิดโรคมะเร็งเป็นขบวนการหลายขั้นตอน เกิดขึ้นทั้งจากปัจจัยภายในร่างกาย เช่น คุณสมบัติทางพันธุกรรม ภาวะทางระบบภูมิต้านทานโรค

ทว่าสาเหตุที่สะพึงกลัวร้ายแรงที่สุดในขณะนี้ คือ ปัจจัยจากภายนอก คือ สารเคมีที่เกิดจากอาหาร ซึ่งกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โรคร้ายชนิดนี้ กำลังแพร่ขยายเพิ่มขึ้น พร้อมๆกับพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยที่นิยมบริโภคแบบตะวันตก สะดวกซื้อ อร่อยปาก

ศ.ดร.ภักดี โพธิศิริ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานแผนงานสร้างสุขภาพด้านอาหารและโภชนาการแห่งชาติ ยืนยันกับ “ผู้จัดการรายสัปดาห์” ว่า สถานการณ์พิษภัยถือเป็น ภัยร้ายแรงอย่างมาก ต้องยอมรับว่าปัจจุบันมีอาหารนับร้อยชนิด ที่มีการตรวจพบว่า มีสารอันตราย โดยเฉพาะสารอันตรายที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง

ปัญหาสารอันตรายที่แฝงตัวอยู่ในอาหาร นับเป็นนโยบายเร่งด่วนของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งพยายามหาแนวทางและมาตรการป้องกันพิษภัยที่เกิดขึ้น

ที่สำคัญ! ถึงวันนี้ต้องให้ประชาชนรับรู้ข้อมูล ถึงพิษภัย อันตรายจากสารอันตรายเหล่านี้ เพื่อให้รู้จักเลือกบริโภค ป้องกัน และสร้างพฤติกรรมการบริโภคให้ถูกสุขลักษณะ

ใครที่ชอบกินอาหารประเภททอด ปิ้ง ย่าง ทุกชนิด ถึงวันนี้ ควรต้องพึงระวัง และลดการบริโภคลงบ้าง ไม่ว่าจะเป็นไก่ย่างหาดใหญ่ หมูปิ้งเลิศรส ซึ่งขายอยู่ตามแผงตลาดสด ยังรวมถึงไก่ทอด เฟรนช์ฟรายส์ ขนมปังกรอบ ข้าวโพดแผ่นกรอบ จากร้านฟาสฟู๊ดชื่อดัง

ยิ่งเฉพาะอาหารฟาสต์ฟู้ด ซึ่งถือเป็นร้านสะดวกซื้อ สะดวกกิน หรือที่บางคนเรียกว่า ‘อาหารแดกด่วน’ ที่หลายคนคิดว่าปลอดภัย ถูกหลักโภชนาการแข็งแรง ขอให้คิดใหม่ได้ว่า ไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่คุณคิดอีกแล้ว!!

รวมทั้งอาหารประเภทขบเคี้ยวชนิดต่างๆ เช่น มันฝรั่งแผ่นทอดกรอบ ขนมปังแคร็คเกอร์ ซึ่งเด็กส่วนใหญ่โปรดปราน มีการยืนยันแล้วว่า พบสารอันตรายที่ผู้บริโภคควรต้องรีบหลีกเลี่ยง

ทั้งนี้จากรายงานของนักโภชนาการทั้งไทยและต่างประเทศ ตรวจพบว่า ของทอด ปิ้ง ย่างทุกชนิด ล้วนมีสารก่อมะเร็ง คือ เฮทเทอโรซัย คลิกเอมีน และสารอะคริลาไมด์ ซึ่งเป็นสารอันตรายที่แฝงตัวอยู่อาหารประเภทดังกล่าว

โดยเฉพาะสารอะคริลาไมด์ มีรายงานล่าสุดจากสวีเดนและอังกฤษ ตรวจพบว่า อาหารที่พบสารอะคริลาไมด์ในปริมาณสูง เป็นมักอาหารที่ได้รับความร้อนสูงเป็นเวลานาน ซึ่งหมายถึง อาหารที่ผ่านการทอดซ้ำหลายๆครั้ง ปิ้งจนไหม้เกรียม หากผู้บริโภคได้รับสารนี้เข้าสู่ร่างกายในระยะเวลาต่อเนื่องกัน จะก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ในอัตราที่สูงมาก

วงการแพทย์มีการพิสูจน์แล้วพบว่า ผู้บริโภคอาหารประเภทนี้เป็นประจำ จะก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ที่บริเวณลำไส้ใหญ่ เต้านม ตับ และต่อมลูกหมาก ซึ่งปัจจุบันมีผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งตามอวัยวะดังกล่าวนี้สูงมาก โดยสาเหตุสำคัญเกิดจากการบริโภคอาหารชนิดดังกล่าว

“ของทอดหลายชนิดนอกจากจะมีสารอันตราย ที่กล่าวมาแลเวนั้น ผู้ขายยังมักจะนำน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว มาประกอบอาหาร ซึ่งน้ำมันนี้มีสารอันตราย ซึ่งเข้าไปเปลี่ยนอนุมูลอิสระในร่างกายคน ทางวิจัยวิทยาศาสตร์พบว่า มีผลทำให้ทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ในอัตราสูงมาก”

ดร.พีรศักดิ์ วรสุนทโรสถ ผู้ว่าการสถาบันวิจัยและวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ให้ความเห็นอีกว่า นับเป็นเรื่องที่เป็นห่วงมาก เพราะขณะนี้ยังไม่มีกฎหมายเอาไปควบคุมโดยเฉพาะกับสถานประกอบการประเภทฟาสต์ฟู้ด ในเรื่องของความปลอดภัยในการปรุงอาหาร เพียงแต่ขอความร่วมมือกับผู้ประกอบการให้ช่วยกันประกอบอาหารให้ถูกสุขลักษณะ

อย่างไรก็ดี อยากเตือนภัยผู้บริโภคว่า อาหารประเภททอด ปิ้ง ย่าง ที่ขายตามตลาดสด หรือ จัดจำหน่ายอยู่ตามฟาสต์ฟู้ด ไม่ควรบริโภคบ่อยหรือทุกวัน เพราะถือเป็นอาหารกลุ่มเสี่ยงที่ก่อให้โรคร้ายได้

ขณะเดียวกัน อาหารประเภทเนื้อสัตว์ รวมทั้งอาหารทะเลสด เกือบทุกประเภท ถูกขึ้นบัญชีดำเช่นกันว่า มีสารพิษที่ก่อให้เกิดโรคร้ายอย่างน่ากลัว

โดยเฉพาะเนื้อหมู ซึ่งกระทรวงสาธาณสุข ประกาศเตือนว่า ขณะนี้เป็นภัยหมายเลขหนึ่งสำหรับผู้บริโภค ที่กำลังเร่งแก้ปัญหา เนื่องจาก ตรวจพบว่า เขียงหมูเกือบทุกเขียงทั่วประเทศ ขายเนื้อหมูที่มีสารอันตรายปนเปื้อนอยู่ในปริมาณสูงมาก ไม่ว่าจะเป็น เร่งเนื้อแดง เพื่อทำให้เนื้อหมูมีสีแดงน่ารับประทาน ซึ่งเกิดจากกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู

ทั้งนี้ปัญหาสารเร่งเนื้แดง เกิดขึ้นอย่างรุนแรงเพราะ เขียงหมูจะรับซื้อเฉพาะหมูที่ใช้สารเร่งเนื้อแดงเท่านั้น เนื่องจากผู้บริโภคชอบ เนื้อมีสีสวย และไม่ค่อยมีไขมัน แต่ความจริงแล้วสารเร่งเนื้อแดงนี้มีอันตรายมาก โดยเฉพาะอันตรายที่จะเกิดขึ้นต่อสุขภาพของคนที่แพ้ยา และคนที่เป็นโรคหัวใจ ที่จะถูกกระตุ้นด้วยสารตัวนี้ทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ

นอกจากนี้ในทางสากลยังเห็นว่าเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องในการเลี้ยงสัตว์ที่ไปเร่งสารเนื้อแดง ทำให้สัตว์หัวใจเต้นเร็ว หงุดหงิด มีพฤติกรรมทำร้ายซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะสุกรที่เลี้ยงกันแออัดที่จะมีการฆ่ากันเอง ดังนั้นเนื้อหมูที่มีสารดังกล่าวจะอันตรายมาก หากบริโภคเป็นประจำ

นอกจากนี้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งตรวจพบตกค้างอยู่ในเนื้อสัตว์ ประเภท คลอแรมแฟนิคอล (Chloramphenicon) และยากลุ่มไนโตรฟูแลม (Nitrofurans) ล้วนเป็นสาเหตุทำให้โรคมะเร็งทั้งสิ้น

สถาบันโภชนาการ ระบุว่าไตของคนกินเนื้อต้องทำงานมากกว่าคนกินผักถึง 3 เท่า เพื่อขับสิ่งสกปรก และสารพิษในเนื้อที่กินเข้าไป แม้ว่าขณะอยู่ในวัยหนุ่มสาวจะไม่แสดงอาการผิดปกติ แต่พออายุมากขึ้น จะเห็นผลชัด ก่อให้เกิดโรคร้าย โดยเฉพาะความเสี่ยงในเรื่องของมะเร็ง มีอัตาเสี่ยงสูงมาก หากนิยมกินเนื้อสัตว์เป็นประจำทุกวัน

ไม่ใช่แต่เฉพาะเนื้อหมูเท่านั้น เนื้อวัว ก็พบสารอันตรายนานาชนิด โดยเฉพาะสารฟอกขาว ซึ่งนิยมใช้กันมาก ในการฟอกเครื่องในวัว ที่เรียกว่า ผ้าขี้ริ้ว

เช่นเดียวกับอาหารทะเลสด เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา เนื้อวัว มีการตรวจพบว่า ที่ขายอยู่ตามท้องตลาด มักจะใช้ฟอร์มาลิน หรือ น้ำยาอาบศพ เป็นน้ำยาแช่ เพื่อช่วยให้คงความสด ไม่เน่าเสียง่าย ซึ่งถือเป็นสารต้องห้าม ที่ผู้บริโภคอาจไม่รู้เลยว่า แฝงมากับอาหารทะเลเหล่านี้ในปริมาณที่สูงมาก

ดังนั้นอาหารทะเลสดที่ปรุงแบบสุกๆดิบ ประเภท ปลาจ่อม ปลาร้า ก้อยปลา กุ้งแช่น้ำปลา จึงเป็นอาหารที่ไม่ปลอดภัย และจากการวิจัยพบว่า หากบริโภคเป็นประจำ นอกจากพิษภัยจากสารฟอร์มาลีนที่เข้าไปทำลายระบบทางเดินอาหาร ตับไต หัวใจ และสมองแล้ว ยังพบว่ามีพยาธิใบไม้ตับที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งบริเวณท่อน้ำดีในตับอีกด้วย

นอกจากนี้ อาหารประเภทหมัก เช่น แหนม ไส้กรอก แฮม กุนเชียง ซึ่งมักจะใส่ดินประสิวหรือเกลือไนไตรท์ ผสมอาหาร ยืนยันแล้วมีสารก่อมะเร็งชนิดไนโตรซามีน โดยจะมีผลก่อให้เกิดโรคมะเร็งบริเวณกระเพาะอาหาร และบริเวณตับ นับภัยที่ผู้บริโภคควรรับรู้และพยายามหลีกเลี่ยง

สารก่อมะเร็งชนิดร้ายแรงอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งมีผู้ผลิตอาหารนิยมนำมาใช้ คือ สารบอแรกซ์ โดยสารชนิดนี้มีคุณสมบัติให้สารประกอบเชิงซ้อน กับสารอินทรีย์ในอาหาร ทำให้อาหารมีลักษณะยืดหยุ่น กรอบ อร่อย และมีรสชาดยั่วยวนใจ

โดยผลการตรวจสอบประเภทอาหารที่สารดังกล่าวเจือปน พบว่า มีผู้ประกอบการนำมาใช้เป็นส่วนผสมอาหาร อยู่ 4 ประเภท

ประเภทแรกคือ เนื้อสัตว์บด หมูบด ไก่บด เนื้อปลาขุด ลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นหมู ลูกชิ้นเนื้อ

ประเภทที่สอง คือ เนื้อสัตว์ทั่วไป คือ เนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ และเนื้อปลา

ประเภทที่สามขนมจากแป้ง คือ ทับทิมกรอบ รวมมิตร ลอดช่อง แป้งกรุบ บัวลอยเผือก

ประเภทที่สี่ ของหวานและผลไม้ดอง เช่น เผือกกวน วุ้นกระทิ สาคูกระทิ ถั่วแดงในข้าวเหนียวตัด มะม่วงดอง มะดันดอง เป็นต้น

“สารชนิดนี้ถือเป็นสารต้องห้าม และเป็นอันตรายกับผู้บริโภคมาก แต่ปัจจุบันผู้ค้าขายนิยมนำมาผสมอาหาร และเพิ่มรสชาดให้อาหารอร่อย ยิ่งร้านขายอาหารดังๆทั้งในและต่างจังหวัด มีการตรวจพบเสมอว่ามีสารประเภทใช้กันอย่างเป็นเรื่องปกติ ”

น.พ.ศุภชัย คุณารัตนพฤกษ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ยืนยันอีกว่า ทุกวันนี้ภัยจากสารบอแรกซ์ นับสารชนิดร้ายแรงที่แฝงตัวอยู่อาหารนานาชนิด ผู้บริโภคที่โปรดปรานอาหารประเภทลูกชิ้นเด้ง ขนมหวาน อย่านึกแต่ชอบเพราะความอร่อยเพียงอย่างเดียว ควรพึงระวังถึงภัยอันตรายที่ก่อให้ผลร้ายกับร่างกายด้วย

อาหารสีสดๆ เช่นกันที่ผู้บริโภคควรสังเกตและเลือกรับประทานด้วย อาหารประเภท กุ้งแห้ง ขนมลูกกวาดหลากสี ล้วนอันตราย ซึ่งที่ขายท้องตลาด ตรวจพบว่า มีส่วนผสมของสีย้อมผ้า ซึ่งมีผลเสี่ยง ต่อการเป็นมะเร็งที่กระเพาะปัสสาวะ

อาหารเมนูเด็ดอีกประเภท ที่กระทรวงสาธารณสุข อยากเตือนให้ผู้บริโภคควรหลีกเลี่ยงคือ อาหารรมควัน เช่น ปลารมควัน ไส้กรอก รมควัน อาหารจำพวกนี้ พบว่ามีสารโพลีไซคลิก อโรมาติก และไฮโดรคาร์บอน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร

ดังนั้นผู้บริโภคควรพยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่มีความเสี่ยง และหากผู้บริโภคที่นิยมบริโภคอาหารที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ควรสังเกต

อาการเตือนของมะเร็ง หากมีอาการเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์

เริ่มต้นจาก มีการเปลี่ยนแปลงในการย่อยอาหารและการขับถ่ายอย่างเรื้อรัง เช่น ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ท้องผูกสลับท้องเสีย ปัสสาวะเป็นเลือด

จุดที่สอง หากมีเลือดออกผิดปกติ เช่นเลือดออกทางช่องคลอด เลือดกำเดาไหลบ่อย มีแผลเรื้อรังไม่หายใน 3 สัปดาห์ มีก้อนที่เต้านมหรือตามตัว มีไฝโตขึ้นหรือเปลี่ยนสี มีอาการไอเรื้อรังหรือเสียงแหบ

มีน้ำหนักตัวลด และมีหูอื้อเรื้อรัง ควรจะต้องรีบไปพบแพทย์

อย่างไรก็ดี หนทางที่ป้องกันการเกิดโรคมะเร็งที่สุด การเลือกบริโภคอาหารที่ถูกสุขลักษณะ ไม่เห่อตามกระแสอาหารทางตะวันตก ซึ่งอาหารฝรั่งมักมีปริมาณโปรตีน ไขมันสูง ซึ่งมีโอกาสเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็งสูงมาก ขณะที่อาหารไทย มักให้สารอาหารประเภท คาร์โบไฮเดรต และวิตามิน

HealthToday ฉบับนี้ว่าด้วยเรื่อง “การกิน” ไม่ใช่กินอย่างไรให้อร่อย แต่เน้นเรื่อง “กินดี” เพื่อต้านโรค เพราะเล็งเห็นว่าคนยุคนี้มีโรคภัยมากมายเกาะกุมรุมเร้าอันมีสาเหตุมาจากอาหารการกิน ผู้ใหญ่และวัยรุ่นยุคนี้คุ้นเคยกับอาหารจานด่วนมากกว่าน้ำพริกผักจิ้ม ส่วนเด็กยุคใหม่เรียกได้ว่าโตมาจากนมผงและอาหารจานด่วน แถมดูอ้วนท้วนสมบูรณ์แกล้มกลมแสนน่ารัก แต่อนาคตทำนายได้ยากว่าจะรอดพ้นจากภัยโรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดตีบ โรคมะเร็งได้แค่ไหน แล้วอาหารมีผลอย่างไรที่ทำให้เกิดโรคได้ ?

เมื่ออาหารเข้าสู่ร่างกายของเราแล้วจะถูกย่อยเป็นโครงสร้างเล็กๆ เพื่อเข้าสู่กระบวนการเผาผลาญ หรือ เมตาบอลิซึม ที่ทำให้เซลล์เล็กๆ ในร่างกายสามารถนำสารอาหารไปใช้ประโยชน์และเป็นพลังงาน แต่เมื่อร่างกายได้รับสารอาหารในสัดส่วนที่ไม่สมดุลเหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย ทำให้มีแนวโน้ม ของการได้รับสารอาหารบางประเภทมากเกิน โดยเฉพาะแป้ง น้ำตาล และไขมัน ยกตัวอย่างเช่นแป้ง น้ำตาล ที่มักพบในอาหารจานด่วนและขนมต่างๆ เมื่อได้รับมากเกินไปจะทำให้ร่างกายหลั่งอินซูลินเพิ่มมากขึ้น เพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด และเมื่อมีปริมาณไม่เพียงพอจะนำไปสู่การเป็นเบาหวานได้ นอกจากนี้แป้งและน้ำตาลที่เหลือใช้จะเปลี่ยนเป็นไขมันและสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกายทำให้เกิดโรคอ้วน ซึ่งเมื่อเกิดการสะสมมากขึ้นระบบการทำงานของร่างกายจะเริ่มแปรปรวนและทำงานบกพร่องจนนำไปสู่โรคต่างๆ เช่น ไขมันที่ไปเกาะอยู่ตามหลอดเลือดจะทำให้หลอดเลือดสูญเสียความยืดหยุ่น ปิดกั้นการไหลเวียนของ เลือด จนอาจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือดไปเลี้ยง

การป้องกันย่อมดีกว่าแก้ไข “การกินดี เพื่อต้านโรค” จึงต้องเริ่มจากการเลือกอาหารในแต่ละวันให้มี สัดส่วนและริมาณที่เหมาะสม ลดและเลี่ยงอาหารบางชนิดโดยมีหัวใจหลักดังนี้

เลือกกินอาหารที่หลากหลาย

เนื่องจากอาหารแต่ละชนิดจะมีองค์ประกอบของสารอาหารไม่เหมือนกัน โดยจะมีปริมาณที่ แตกต่างออกไปตามหมวดหมู่ของอาหาร เช่น ส้มจะเป็นแหล่งของวิตามินซี แต่มีวิตามินบี12 อยู่น้อย ในขณะที่ ชีส จะมีปริมาณของวิตามินบี12 อยู่มากกว่า การกินอาหารชนิดเดียวกันทุกๆ วัน จะทำให้ร่างกายได้สารอาหาร ที่ให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายไม่ครบถ้วน โดยเฉพาะผู้ที่กินมังสวิรัติมีแนวโน้มที่จะขาดโปรตีน วิตามินบี แคลเซียม และธาตุเหล็กได้ง่าย จึงอาจจำเป็นต้องรับประทานวิตามินหรืออาหารเสริม ในหนึ่งวันจึงควรเลือกอาหารให้ครบ 5 หมู่ ได้แก่ ธัญพืช ผัก ผลไม้ นม เนื้อสัตว์และถั่ว ตามปริมาณที่เหมาะสมกับแต่ละคน

คุมปริมาณพลังงานและสัดส่วนสารอาหารในแต่ละวัน

คุณควรเลือกกินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง แต่ให้พลังงานต่ำ การหมั่นสังเกตฉลาก แสดงปริมาณสารอาหารที่เป็นองค์ประกอบในอาหารนั้นๆ จะทำให้เข้าใจ และสามารถกำหนดสัดส่วน การกินในแต่ละมื้อได้ดีขึ้น โดยเฉลี่ยพลังงานที่ได้รับในแต่ละวัน 50% ควรมาจากกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ซึ่งควรเน้นอาหารที่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าว และธัญพืชต่างๆ อาหารกลุ่มโปรตีนได้แก่ เนื้อสัตว์ ไข่ และถั่วต่างๆ ควรได้รับ ประมาณ 15% ส่วนที่เหลือ 35% มาจากไขมันชนิดดี หรือไขมันที่ไม่อิ่มตัว

กินธัญพืช ผัก และผลไม้ เป็นหลัก

อาหารจำพวกธัญพืช ผัก และผลไม้ นอกจากจะเป็นแหล่งของวิตามิน แร่ธาตุ และคาร์โบไฮเดรต เชิงซ้อนที่มีคุณค่าแล้ว ยังเป็นกลุ่มของอาหารที่มีไขมันต่ำมาก ทำให้อิ่มนานเพราะมีใยอาหาร ปริมาณสูง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก นอกจากนี้ ใยอาหารซึ่งมีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ดีจะช่วย ในการขับถ่าย และดูดซึมสารพิษในลำไส้โดยขับออกมาพร้อมกับอุจจาระ จึงช่วยป้องกันการสะสมของสารพิษ และลดอาการท้องผูก ริดสีดวงทวารและอัตราเสี่ยงของมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่ได้

เลือกกินแต่ไขมันชั้นดี

ไขมันไม่ได้มีโทษไปเสียทุกชนิด ร่างกายยังต้องการไขมันเพื่อใช้เป็นพลังงาน สร้างความอบอุ่น ช่วยในการทำงานของสมอง และเป็นองค์ประกอบของฮอร์โมนต่างๆ รวมทั้งช่วยในการดูดซึมวิตามินเอ ดี อี เค ไขมันที่ดีคือไขมันที่ไม่อิ่มตัว มีมากในน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันข้าวโพด น้ำมันมะกอก และน้ำมัน ดอกคำฝอย และปลาทะเล ฯลฯ ส่วนไขมันชนิดเลวคือไขมันอิ่มตัวจะทำให้ระดับโคเลสเตอรอล ในร่างกาย เพิ่มขึ้น อาจสะสมอุดตันในเส้นเลือด น้ำมันชนิดนี้มักพบในกะทิ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม ไขมันจากสัตว์ และนม แต่ในเมื่อนมเป็นอาหารที่มีประโยชน์สูง คุณอาจเปลี่ยนมาดื่มนมไขมันต่ำแทนก็ได้

ลดน้ำตาลลง

อาหารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตซึ่งได้แก่ แป้งและน้ำตาล เมื่อเข้าสู่ร่างกายและผ่านกระบวนการ ย่อยจะได้ กลูโคส ซึ่งก็คือน้ำตาลชนิดหนึ่ง กลูโคสเป็นสารที่ให้พลังงานกับร่างกาย ในขณะเดียวกันหากมีมากเกินไป จะเปลี่ยนเป็นไขมันสะสม จึงไม่เป็นผลดีต่อผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักตัว นอกจากนี้การมีน้ำตาลอยู่ในร่างกาย ปริมาณสูงจะทำให้การสร้างอินซูลินที่ช่วยรักษาระดับ น้ำตาลในเลือดเสียสมดุลไป เป็นสาเหตุทำให้เกิด โรคเบาหวานได้ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงขนม หวานหรือเครื่องดื่มที่มีรสหวาน การเลือกกินข้าวกล้องที่เป็น คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจะทำให้ร่างกาย ค่อยๆ สลายกลูโคสออกมาอย่างช้าๆ จะช่วยรักษาระดับ น้ำตาลใน เลือดให้คงที่ได้

เบญจวรรณ หล้าแปง ม.ฟาร์40

6 พิษอันตรายของผงชูรส

เคยรับประทานอาหารนอกบ้าน แล้วมีอาการชาตามมือ และร้อนวูบวาบที่ปาก ลิ้น ใบหน้า และรู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก บางครั้งอาจมีผื่นแดงขึ้นตามตัวบ้างหรือไม่ อาการเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันดีในนาม โรคภัตตาคารจีน (Chinese Restaurant Syndrome) หรือโรคแพ้ผงชูรส

นอกจากจะมีอาการข้างต้นแล้ว หากคุณรับประทานอาหารที่มีปริมาณผงชูรสมากๆ เป็นประจำย่อมเกิดอันตรายต่อสุขภาพของตัวคุณได้ ดังนี้

ทำลายระบบประสาทตา สายตาเสียหรือเกิดตาบอดได้

ทำลายกระดูกและไขกระดูก ซึ่งผลิตเม็ดเลือดแดงในร่างกาย อาจทำให้เกิดโรคโลหิตจางได้

ทำให้วิตามินในร่างกายลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินบี6 ทำให้เป็นโรคผิวหนังได้ง่าย

ทำลายสมองส่วนหน้าหรือไฮโปทาลามัส ทำให้การเจริญเติบโตช้า ปัญญาอ่อน และเป็นหมัน

ทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เป็นโรคประสาทได้ง่ายขึ้น

สำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์ ถ้ากินผงชูรสมากๆ จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครโมโซมของทารกในครรภ์ ทำให้ร่างกายของเด็กเกิดความผิดปกติ ปากแหว่ง แขนขาพิการได้

ก่อนสั่งอาหารมื้อหน้าอย่าลืมระบุ อาหารที่ไม่ใส่ผงชูรส หรือทางที่ดีลองทำน้ำซุปแบบชีวจิตไว้ช่วยปรุงรสชาติแทนผงชูรสได้ค่ะ อย่างน้ำซุปแครอท ฟักเขียว เป็นต้น

เบญจวรรณ หล้าแปง ม.ฟาร์40

การดูแลผิวพรรณด้วยสมุนไพร

ความสวยความงาม นับเป็นเรื่องที่มนุษย์เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีอิทธิพลต่อจิตใจของผู้คน หรือเรียกว่าเป็นจิตวิทยาของโลกเลยทีเดียว การได้เห็นของสวยๆ งามๆ ย่อมทำให้จิตใจชุ่มชื่น แต่อย่างไรก็ตาม การดูแลร่างกายให้มีสุขภาพสมบูรณ์ด้วยทางอาหารที่ครบถ้วน ก็จะทำให้ผิวพรรณสดใสงดงามได้

แต่ในปัจจุบันนี้สังคมได้พัฒนาไปมากด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง ได้มีการสกัดสารสำคัญจากธรรมชาติ เพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมความงามต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโลชั่นบำรุงผิวพรรณ หรือเครื่องประทินความงามอื่นๆ มาวางตลาดให้เลือก แต่ย่อมมีราคาแพง จึงเป็นผลให้คนที่ยึดติดกับเรื่องความสวยความงามต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นอันมาก

สถาบันการแพทย์แผนไทย เล็งเห็นความต้องการของประชาชน จึงพยายามค้นหาทางเลือกให้สำหรับคนรักสวยรักงาม แต่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายก็อาจเลือกใช้สารจากธรรมชาติในการดูแลความงามด้วยตนเอง โดยไม่ต้องไปซื้อหาให้มากด้วยราคา

ฉะนั้นในฉบับนี้ สถาบันการแพทย์แผนไทย จึงคัดเลือกสมุนไพรที่มีผลต่อความงามของผิวพรรณ พร้อมวิธีใช้มาเสนอ อาทิ ว่านหางจระเข้ ซึ่งมีจารึกไว้ว่า แม้แต่พระนางคลีโอพัตราก็ยังใช้ว่านหางจระเข้ ในการบำรุงผิวพรรณ เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ความรู้สมัยใหม่ในการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมความงามนั้นก็ได้นำความรู้ดั้งเดิมมาประยุกต์ ไม่ว่าจะเป็นภูมิปัญญาไทย หรือภูมิปัญญาพื้นบ้านต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งมีส่วนเป็นอย่างมากในการพิจารณาผลิตภัณฑ์เสริมความงาม

สมุนไพรบำรุงผิวหน้าและผิวกาย

1. ว่านหางจระเข้ (Aloe indica Royle) คุณค่าของว่านหางจระเข้มีมากมาย นอกจากใช้รักษาโรคแล้ว ยังใช้บำรุงผิว บำรุงเส้นผมได้ด้วย ปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามีแชมพูสระผม และเครื่องสำอางค์หลายอย่างที่ใช้ว่านหางจระเข้เป็นส่วนประกอบ และกำลังเป็นที่นิยมของคนทั่วไป เนื่องจากว่านหางจระเข้มีคุณสมบัติ สามารถช่วยให้กระบวนการเมตะโบลิซึมทำงานได้เป็นปกติ ลดการติดเชื้อ สลายพิษของเชื้อโรค กระตุ้นการเกิดใหม่ของเนื้อเยื่อส่วนที่ชำรุด ฉะนั้นว่านหางจระเข้จึงถูกนำมาใช้เพื่อบำรุงผิวพรรณ ผู้ที่ใช้ว่านหางจระเข้บำรุงผิวพรรณอยู่เป็นประจำ จะรู้สึกได้ชัดว่าว่านหางจระเข้มีส่วนช่วยให้ผิวพรรณผุดผ่อง สดชื่น มีน้ำมีนวล และยังสามารถขจัดสิวและลบรอยจุดด่างดำได้ด้วย

การใช้ว่านหางจระเข้เพื่อบำรุงผิว โดยปอกเปลือกออกใช้แต่เมือกวุ้นสีขาวใสที่อยู่ภายใน ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการแพ้ ก่อนใช้ควรตรวจสอบว่าตนเองจะเกิดอาการแพ้หรือไม่ โดยใช้น้ำที่ได้จากวุ้นสีขาวของว่านหางจระเข้ทาตรงบริเวณโคนหูแล้วทิ้งไว้สักครู่ ถ้าเกิดการระคายเคืองเป็นผื่นแดงแสดงว่าแพ้ ไม่เหมาะที่จะใช้กับผิวหน้าอีกต่อไป ถ้าไม่มีอาการแพ้ก็สามารถใช้ได้ตลอด แต่บางคนก็จะเห็นผลได้เหมือนกัน เมื่อใช้ว่านหางจระเข้ทาบริเวณหัวสิว จะทำให้หัวสิวแห้งเร็ว

นอกจากนี้ว่านหางจระเข้ยังสามารถลดความแห้งกร้านและลดความมันของผิวหน้าได้ โดยคนที่มีผิวที่มันก็จะช่วยให้ลดความมัน คนที่มีผิวหน้าแห้งก็ยังรักษาความชุ่มชื่นของผิวไว้ได้

2. งา (Sesamum indicum Linn., S. orientle,L) เป็นพืชล้มลุกให้เมล็ดเป็นจำนวนมาก เมล็ดงามีทั้งสีดำและสีขาว ในเมล็ดงามีน้ำมันอยู่ประมาณ 45-54 % น้ำมันงามีกลิ่นหอมน่ารับประทาน วิธีใช้โดยการนำเอาเมล็ดงาสด มาบีบน้ำมันงาออกโดยไม่ผ่านความร้อน ใช้ทาผิวหนังเพื่อบำรุงผิวพรรณให้ผุดผ่อง ช่วยประทินผิวให้นุ่มนวลไม่หยาบกร้าน

3. แตงกวา (Cucumis sativas Linn.) จะมีวิตามินสูง ในผลแตงกว่ายังมีเอนไซม์ cryssin ซึ่งช่วยย่อยโปรตีนได้ เอนไซม์ชนิดนี้จะช่วยย่อยผิวหนังที่หยาบกร้าน ให้หลุดออกไป เพื่อให้ผิวใหม่ที่อ่อนนุ่มเกิดขึ้นมาแทนที่ บางคนใช้แตงกวาสดผ่าเป็นชิ้นบางๆ วางบนใบหน้าที่ล้างสะอาดแทนน้ำแตงกวา ปัจจุบันมีน้ำแตงกวาผสมในเครื่องสำอาง เช่น ครีมล้างหน้า ครีมทาตัว เพื่อช่วยให้ผิวไม่หยาบกร้าน และช่วยสมานผิว แตงกวาเป็นสมุนไพรที่หาง่ายมีประโยชน์ราคาถูก ใช้ติดต่อกันเป็นประจำจะทำให้สวยสดชื่นมีน้ำมีนวล

4. มะเขือเทศ (Lycopersicon esculentum Mill.) ในมะเขือเทศจะมีสาร Curotenoid และมีวิตามินหลายชนิด น้ำจากผลมะเขือเทศสุกจะมีสาร 1icopersioin ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อราและแบคทีเรียได้ และน้ำมะเขือเทศสด นำมาพอกหน้าจะรักษาสิวสมานผิวหน้าให้เต่งตึง หรืออาจจะฝานบางๆ แปะลงบนผิวหน้าก็ได้

5. ขมิ้นชัน (Curcuma Longa Linn.) ในขมิ้นจะมีสาร Curcumin และมีน้ำมันหอมระเหยซึ่งมีกลิ่นเฉพาะ ขมิ้นมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราหลายชนิด ใช้ทาผิวที่มีผดผื่นคัน ผงขมิ้นใช้ทาตัวเพื่อให้มีสีเหลืองทองใช้บำรุงผิว และช่วยฆ่าเชื้อ ที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังบางชนิดได้อีกด้วย

6. น้ำผึ้ง (Apis dorsata) ได้จากผึ้ง ในน้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำตาลกลูโคส, ฟรุกโตส, ขี้ผึ้ง, อัลบูมินอยด์, ละอองเกสรดอกไม้, และฮอร์โมนเอสโตรเจนจำนวนเล็กน้อย น้ำผึ้งใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอาง ใช้พอกหน้าทำให้ผิวหน้าชุ่มชื่น เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลขึ้น น้ำผึ้งยังมีคุณสมบัติช่วยสมานผิว น้ำผึ้งเป็นเครื่องสำอางจากธรรมชาติที่ให้ประโยชน์สูงและหาง่าย นอกจากนี้ยังใช้น้ำผึ้งบำรุงผม ฮอร์โมนเอสโตรเจนจะช่วยบำรุงหนังศรีษะ และกระตุ้นการงอกของเส้นผม

7. มะขามเปียก (Tamarindus indica Linn) มะขามเปียกมีประวัติการใช้มายาวนาน ช่วยชำระสิ่งสกปรกจากผิวหนัง เพราะฤทธิ์ที่เป็นกรดอ่อนๆ ในมะขามจะช่วยขจัดสิ่งสกปรกจากผิวหนังได้ดี ปัจจุบันได้มีหญิงไทยจำนวนมาก ใช้มะขามเปียกผสมน้ำอุ่นและนมสดผสมให้เข้ากันดี พอกบริเวณผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นรอยด้าน เช่น ตาตุ่ม ข้อศอก ฝ่ามือ ที่มีรอยกร้านดำ และบริเวณรักแร้ ขาหนีบ เพื่อให้ผิวหนังที่เป็นรอยดำจางลง ทำให้ผิวขาวนุ่มนวลขึ้น และนมสดจะช่วยบำรุงผิวให้นุ่มได้

จากที่กล่าวมาแล้ว เป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านที่มีการใช้สืบต่อกันมาเป็นเวลานาน และได้ถูกลืมไปชั่วระยะหนึ่ง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี และค่านิยมของคนไทยต่อค่านิยมด้านวัตถุ ทำให้คนรุ่นใหม่สนใจสินค้าจากต่างประเทศ แต่ปัจจุบันเป็นที่สังเกตว่าคนต่างประเทศสนใจภูมิปัญญาไทย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงาม ซึ่งจะเห็นบ่อยว่ามีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงามที่มีส่วนผสมของสมุนไพร

การที่เราหันไปใช้ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ใช้สะดวกราคามักจะสูง แต่ถ้าเรานำเอาวัตถุดิบที่มีอยู่ในบ้านเรามาใช้เอง ได้สารสำคัญที่สดใหม่ ราคาถูก ไม่มีสารเคมีเจือปน อะไรที่เราหาได้ง่าย และเป็นผลิตภัณฑ์ที่เราปลูกใช้ได้เราจะทำให้เราพึ่งตนเองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่เช่นปัจจุบัน

อาหารบำรุงผิว

อาหารผิวนับว่ามีส่วนสำคัญ ในการเป็นตัวบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งและสดใสเพื่อให้มีสุขภาพผิวที่ดีๆ โดยสำหรับอาหารที่ทำลายความสดใสของผิวพรรณอย่างแรกก็คือ ไขมันอิ่มตัวในอาหารจำพวกเบคอน ไส้กรอก ไอศกรีม เนยสด โดยในการเผาผลาญอาหารเหล่านี้ จะทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เซลล์ของร่างกายเหี่ยวย่น และเสื่อมโทรมลง

และหากเป็นอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาลมากเกิน ไป ก็ไม่ดีเช่นกัน เพราะจะไปขัดขวางกระบวนการสร้างคอลลาเจนซึ่ง เป็นสารที่ทำให้ผิวตึงกระชับ ดังนั้นหากกินมากไปส่งผลให้ผิวหนังหย่อนยานก่อนวัยได้นะ

กาแฟที่เรามักจะดื่มกันตอนเช้าๆ วันละแก้วสองแก้วนี่ก็ทำลา ยผิวเราได้เหมือนกัน เพราะคาเฟอีนจะเป็นตัวดึงความชุ่มชื้นจากผิวเราออกไป และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหลายก็เช่นกัน ดังนั้นหากดื่มสองสิ่งนี้เข้าไปเมื่อไร ก็อย่าลืมดื่มน้ำแก้วโตๆ ตามเข้าไป เพื่อป้องกันผิวไม่ให้ขาดความชุ่มชื้น

ส่วนใครที่อยากผิวดีจากอาหารการกินก็ไม่ยาก เพียงแต่กินอาหารจำพวกเนื้อปลา ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนชั้นเยี่ยมที่ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในร่างกาย และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย น้ำมันมะกอกซึ่งมีกรดไขมันชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และเต็มไปด้วยวิตามินเอและอีก็ช่วยให้ผิวสวยได้ ส่วนธัญพืชต่างๆ ก็ให้วิตามินอีซึ่งช่วยรักษาความแข็งแรงของเซลล์ ที่ขาดไม่ได้คือผักสดผลไม้สด รวมทั้งน้ำสะอาดวันละ 6-8 แก้วด้วย เท่านี้ผิวก็สวยได้แล้ว

การดูแลสุขภาพตนเอง

โดยธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น ในชีวิต ก็จะพยายามหาทางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เป็นอันดับแรก เมื่อรู้ว่า ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เอง ก็จะแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้อื่น

ในเรื่องความเจ็บป่วย หรือปัญหาสุขภาพก็เช่นเดียวกัน ทุกคนต้องการที่จะดูแลตนเอง ให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ ดังนั้น กล่าวได้ว่า "การดูแลสุขภาพตนเอง เป็นกิจกรรมที่บุคคลแต่ละคนปฏิบัติ และยึดเป็นแบบแผนในการปฏิบัติ เพื่อให้มีสุขภาพดี" อาจแบ่งขอบเขตการดูแลสุขภาพตนเอง เป็น 2 ลักษณะคือ

การดูแลสุขภาพตนเองในสภาวะปกติ

เป็นการดูแลสุขภาพตนเอง และสมาชิกในครอบครัว ให้มีสุขภาพแข็งแรง สมบูรณ์อยู่เสมอ ได้แก่

การดูแลส่งเสริมสุขภาพ เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข เช่น การออกกำลังกาย การสร้างสุขวิทยาส่วนบุคคลที่ดี ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงจากสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

การป้องกันโรค เพื่อไม่ให้เจ็บป่วยเป็นโรค เช่น การไปรับภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ การไปตรวจสุขภาพ การป้องกันตนเองไม่ให้ติดโรค

การดูแลสุขภาพตนเองเมื่อเจ็บป่วย

ได้แก่ การขอคำแนะนำ แสวงหาวามรู้จากผู้รู้ เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขต่างๆ ในชุมชน บุคลากรสาธารณสุข เพื่อให้ได้แนวทางปฏิบัติ หรือการรักษาเบื้องต้นให้หาย จากความเจ็บป่วย ประเมินตนเองได้ว่า เมื่อไรควรไปพบแพทย์ เพื่อรักษาก่อนที่จะเจ็บป่วยรุนแรง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หรือบุคลากรสาธารณสุข เพื่อบรรเทาความเจ็บป่วย และมีสุขภาพดีดังเดิม

การที่ประชาชนทั่วไปสามารถดูแลสุขภาพตนเองได้นั้น จำเป็นต้องมีความรู้ ึความเข้าใจในเรื่อง การดูแลสุขภาพ ตั้งแต่ยังไม่เจ็บป่วย เพื่อบำรุงรักษาตนเอง ให้สมบูรณ์แข็งแรง รู้จักที่จะป้องกันตัวเอง มิให้เกิดโรค และเมื่อเจ็บป่วยก็รู้วิธีที่จะรักษาตัวเอง เบื้องต้นจนหายเป็นปกติ หรือรู้ว่า เมื่อไรต้องไปพบแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข

จุฬารัตน์ วิทย์-ออกNo73.

อาหารบำรุงรอบเดือน

ประจำเดือนที่มาตามปกติแสดงถึงความสมบูรณ์ของสตรีวัยเจริญพันธุ์ และเป็นการถ่ายเทเลือดเสียซึ่งเกิดจากการสลายตัวของเยื่อบุมดลูกและสร้างเยื่อบุมดลูกใหม่หมุนเวียน ทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเป็นปกติ

แต่ละเดือนที่ผู้หญิงต้องเสียเลือดเป็นจำนวนมากจากการมีรอบเดือน ร่างกายจะสูญเสียวิตามินและเกลือแร่ อย่างแคลเซียม ธาตุเหล็ก และสังกะสีด้วย ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียกว่าปกติ หรือมีอาการปวดศีรษะ นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร อารมณ์เศร้าซึม โดยเฉพาะผู้หญิงที่สุขภาพไม่แข็งแรง ขาดการออกกำลังกาย หากมัวแต่อดอาหาร รักษาหุ่น อาจทำให้ขาดสารอาหารที่จำเป็น และเสี่ยงต่อภาวะโลหิตจาง ร่างกายจะซูบซีด ผิวพรรณไม่มีเลือดฝาด

ในช่วงมีรอบเดือน การรับประทานอาหารที่สมดุลต่อร่างกายจะช่วยป้องกันอาการต่าง ๆ ได้โดยเน้นที่อาหารบำรุงเลือด เช่น เครื่องในสัตว์ ไข่แดง ถั่วเมล็ดแห้ง และ ผักใบสีเขียวจัด เช่น คะน้า กวางตุ้ง สาหร่าย เป็นต้น ซึ่งให้ธาตุเหล็ก วิตามินบี 6, บี 12, บีรวม และกรดโฟลิก ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างเลือดสูง

สำหรับสตรีที่ประจำเดือนมาน้อยหรือมากผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจมี ความผิดปกติ ในร่างกาย เช่น ต่อมไทรอยด์ทำงานไม่สมบูรณ์ หรือมีเนื้อร้ายที่มดลูกก็ได้

รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าลืมหันมาดูแลรักษาสุขภาพกันด้วย.

วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็งชนิด ต่างๆ

อาการของ การเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย

1. มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณอาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศ สัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูด นื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ ได้

2. มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่อง ท้อ

3. มะเร็งรังไข่ อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมออนหรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศ สัมพันธ์>มีปัญหา เกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหล

4. มะเร็งในเม็ดเลือด (ลูคีเมีย) อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาหาร ปวด ตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของ ช่องท้อง

5. มะเร็ง ปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำหนักลดอย่าง ฮวบฮาบ เจ็บ หน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

6. มะเร็ง ตับ อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ ชัด

7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ

8. มะเร็ง สมอง อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ การเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็น อัมพาตชั่วคราวควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการ เหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย

9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือ เป็นเวลานาน

10. มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึก ได้

11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อย บ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ

12. มะเร็งทรวงอก อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนา ขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิด ขึ้น ที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่า ซีสต์ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกัน แน่

13. มะเร็งลำไส้ อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ

****ซึ่ง มีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใช้กระดาษทิช ชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคืออาการของริดสีดวงทวารแต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่น คือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้

14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้ เกิดอาการติดเชื้อในบาง ส่วนของร่างกายมะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝ หรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา (Melanoma)คือ เนื้อ งอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อนคุณจะ มี อัตราเสี่ยงสูงกว่าคนอื่นๆ

อนุสรา ทรงสวัสดิ์วงศ์

อาหารทุกชนิดก็มีประโยชน์ แตกต่างกันออกไป แต่ก็มีอาหารอีกบางชนิด ที่เป็นอาหารที่เมื่อทานในขณะที่ท้องไม่ว่างนั้น จะเกิดประโยชน์ แต่ถ้าเกิดทานขณะท้องว่างรับรองว่า เกิดโทษมากกว่าประโยชน์แน่นอน เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่า อาหารชนิดใดบ้างที่ห้ามรับประทานขณะท้องว่าง

นมและนมถั่วเหลือง

แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิด ประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหารมีสารประเภทแป้งอยู่

เหล้า

หากดื่มเหล้าในขณะท้องว่าง จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

น้ำตาลหรืออาหารหวาน

ไม่ควรรับประทานอาหารหวานหรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะหากรับประทานขณะท้องว่าง

จะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่ง ผลต่อการ ดูดซึมโปรตีนทุกชนิด และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต

ชาที่แก่เกินไป

ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงานของระบบย่อยอาหารลดลง และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ

มือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ

ลูกพลับ

ไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่ง กรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้ว จะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร

กล้วย

เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วยขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไป เป็น การยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ เป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

กระเทียม

เพราะจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารได้รับการกระตุ้น เกิดโรค กระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง ผัก การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปกติ

นอกจากนั้นยังไม่ควรอาบน้ำหลังออกกำลังกาย ด้วยเช่นกัน เพราะการอาบน้ำและ การออกกำลังกายภายในขณะที่ท้องว่าง จะทำให้เกิดอาการช็อก เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย

ดังนั้น เราก็ควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ และเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์กับร่างกายของเราดีกว่านะคะ...

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว เลขที่ 3

หวานได้ ไม่ทำร้ายสุขภาพ

จากการวิจัยและศึกษาเรื่องพฤติกรรม การรับประทานอาหารและน้ำของคนไทยล่าสุด จากมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) พบว่าคนไทยติดรับประทานหวานมากขึ้น เฉลี่ยรับประทานน้ำตาลกว่า 29 กิโลกรัม/ ปี หรือ 18 ช้อนชา/วัน ทำให้เกิดโรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูง มากขึ้นกว่า 30%! ทำให้น่าสังเกตว่า วันหนึ่งเราเติมน้ำตาลลงเครื่องดื่มหรืออาหารกี่ช้อนชา? ปกติคนทั่วไปควรได้รับน้ำตาลไม่เกินวันละ 4-8 ช้อนชา ยิ่งถ้าเป็นเด็กวัยเรียน ผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุไม่ควรเกินวันละ 3 ช้อนชา แต่จะให้งดก็คงทำยากอยู่... เมื่อเป็นแบบนี้สารพัดน้ำตาลที่รับประทานทุกวัน มีชนิดใดบ้างที่เลือกทานแล้ว ยังให้ประโยชน์ต่อร่างกายชนิดที่เรียกว่า “เติมหวานได้แต่ไม่ทำร้ายสุขภาพ” เราลองมาทำความรู้จักคุณค่าน้ำตาลและความหวานกัน

1.น้ำตาลทราย

แม้น้ำตาลทรายขาวและน้ำตาลทรายแดงให้รสชาติหวานเหมือนกัน คือ 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี หรือเทียบง่ายๆ 1 ช้อนชา ให้พลังงานประมาณ 19 กิโลแคลอรี แต่ให้คุณค่าทางอาหารต่างกัน

• น้ำตาลทรายขาว ได้มาจากอ้อยแล้วผ่านกรรมวิธีการผลิต ตกผลึกให้เป็นเกล็ดและผ่านการฟอกสี ดังนั้นวิตามินแทบจะไม่หลงเหลืออยู่เลย

• น้ำตาลทรายแดง ยังรักษาคุณค่าทางวิตามินได้ดีกว่าน้ำตาลทรายขาว เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก

แต่ดัชนีน้ำตาลของน้ำตาลทรายและน้ำตาลทรายแดงอยู่ที่ 73-75 ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์สูง ไม่เหมาะสำหรับคนที่ควบคุมน้ำหนักหรือเป็นโรคเบาหวาน

ถ้าเทียบพลังงานระหว่างน้ำตาลทรายและน้ำอ้อยในปริมาณที่เท่ากัน น้ำอ้อยมีฟอสฟอรัสและให้พลังงานน้อยกว่าน้ำตาลทรายถึง 5 เท่า เพราะน้ำอ้อยมีส่วนผสมของน้ำอยู่มาก แต่มีปริมาณแคลเซียมน้อยกว่าน้ำตาลทราย

2.น้ำตาลปี๊ปหรือน้ำตาลปึก

น้ำตาลปี๊บได้มาจากการเคี่ยวน้ำของยอดทลายอ่อนของมะพร้าวจนกระทั่งเหนียว ข้นและหวาน เป็นเครื่องปรุงติดบ้านคู่ใจแม่บ้านชาวไทยทุกครัวเรือน เพราะนอกจากความหวานแล้ว ยังได้ความหอมอร่อยอีกด้วย น้ำตาลปี๊ป 1 ช้อนชา ให้พลังงาน 18 กิโลแคลอรี ยังมีคุณค่าและวิตามินบ้าง เช่นแคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก

3.นมข้นหวาน

เป็นสารให้ความหวานที่ผลิตมาจากหางนม นำมาเติมน้ำตาลในปริมาณเข้มข้น และดึงไอระเหยจนข้นเหนียว นมข้นหวาน 1 ช้อนชา ให้พลังงาน 20 กิโลแคลอรี ถ้าเทียบในคุณค่าทางโภชนาการ นมข้นหวานให้พลังงานสูงมาก แต่ยังพอมีโปรตีน ไขมัน ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามินบี 1 บี 2 วิตามินซี และวิตามินเอ มากกว่าน้ำตาลชนิดอื่น แต่ก็ไม่เป็นอาหารหลักอยู่ดี ไม่มีคุณค่าทางอาหารเหมือน “นม” ปกติทั่วไป ไม่ควรให้เด็กรับประทานมากๆ เพราะจะทำให้อ้วนและมีผลต่อสุขภาพฟัน

4.น้ำตาลเทียม

เป็นสารให้ความหวานที่ได้จากการสังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ เป็นสารให้ความหวานที่เป็นทางเลือก ของคนที่ควบคุมน้ำหนักหรือเป็นเบาหวาน น้ำตาลเทียมที่ขายทั่วไปคือ แซคคาริน แอสปาเทม ซูคาโลส ซึ่งให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลปกติตั้งแต่ 200-600 เท่า แต่ให้พลังงานต่ำ การใช้น้ำตาลเทียมในอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ จะเป็นอาหารหรือเครื่องดื่มที่บอกว่า “ให้แคลอรี 0” หรือ “ไม่มี น้ำตาล” แต่ยังคงรสหวานได้เหมือนปกติ แต่ก่อนเลือกให้ดูที่ฉลากสักนิด เพราะอาจให้พลังงานหลากหลายตั้งแต่ 0 แคลอรีจนถึง15 แคลอรี/ซอง และสำหรับการปรุงอาหารและเครื่องดื่ม น้ำตาลเทียมบางชนิดสามารถปรุงอาหารขณะร้อนได้ แต่บางชนิดก็ไม่ได้ ต้องยกลงจากเตาก่อน หรือผสมลงในเครื่องดื่มที่ไม่ร้อนจัด มิฉะนั้นความหวานจะหายไป

5.น้ำผึ้ง

น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ให้พลังงานประมาณ 15 กิโลแคลอรี น้ำผึ้งเป็นสารให้ความหวานต่างจากชนิดอื่นๆ ตรงที่อุดมไปด้วยโปรตีน พลังงาน วิตามินและเกลือแร่ ดัชนีน้ำตาลของน้ำผึ้งอยู่ที่ 55 ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง ดีต่อสุขภาพมากกว่า น้ำตาลทรายขาวหรือน้ำตาลทรายแดง จึงเป็นทางเลือกที่ดีของการปรุงอาหาร หรือเครื่องดื่มของคนที่กำลังลดน้ำหนัก ทั้งนี้ก็ไม่แนะนำให้รับประทานเกินวันละ 6 ช้อนชา มิฉะนั้นอาจเป็นผลร้ายต่อสุขภาพแทน

6.น้ำเชื่อม

เป็นการใช้น้ำตาลมาเคี่ยวผสมกับน้ำจนกระทั่งใส ส่วนใหญ่คนไทยจะใช้ปรุงอาหารหวานหรือเครื่องดื่มต่างๆ น้ำเชื่อมแต่ละชนิดก็ให้รสหวานเข้มข้นต่างกัน ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ผสม (หวานมากก็ให้พลังงานมากตาม) ส่วนวัตถุดิบที่นำมาทำเป็นน้ำเชื่อมสำเร็จรูปจากต่างประเทศ คุณค่าทางอาหารจะขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่นำมาใช้ เช่น องุ่น เมเปิลหรือแอปเปิล มักจะมีการเติมสารอาหารบางชนิดลงไปเพื่อขยายผลทางการค้านั่นเอง

เมื่อทราบดังนี้แล้ว ต้องกะปริมาณน้ำตาลให้ดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคอ้วนหรือความดันโลหิตสูง ยิ่งต้องระวังและมีเป้าหมายในการรักษาจากการดูแลเรื่องโภชนาการ เพื่อรักษาระดับน้ำตาลให้ใกล้เคียงปกติเท่าที่จะทำได้ รักษาระดับไขมันในเลือดให้เหมาะสม รักษาน้ำหนักตัวและป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ พร้อมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อชีวิตที่มีความสุข

แหล่งน้ำตาลมีทั้งที่มาจากพืชและสัตว์ แหล่งน้ำตาลของพืชจะเป็นพืชที่มีหัว ซึ่งปริมาณน้ำตาลที่ได้จะแตกต่างกัน นอกจากนี้ยังมีสารอาหารอื่นปนอยู่ด้วยเช่น โปรตีน ไขมัน วิตามิน แร่ธาตุ พืชที่ให้น้ำตาล ได้แก่ ข้าวชนิดต่าง ๆ เผือก มัน ข้าวโพด อ้อย ตาล มะพร้าว ส่วนแหล่งน้ำตาลจากสัตว์ จะเป็นน้ำตาลในนมและไกลโคเจนที่เป็นพลังานสำรองในส่วนกล้ามเนื้อและตับ เทียบกันแล้วความหวานและปริมาณน้ำตาลจากสัตว์จะมีน้อยกว่าพืช

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่ 9

ข้าวโพดสุกต้านมะเร็ง !!!

ข้าวโพดสุกต้านมะเร็ง การแทะข้าวโพดหวานต้านโรคมะเร็งมีสารตัวล้างพิษมากกว่าผักผลไม้ นักวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์เนลล์แห่งสหรัฐฯ รายงานในวารสารสมาคมเคมีแห่งอเมริกาว่าข้าวโพดหวานที่ปรุงสุกแล้วจะออกฤทธิ์ล้างพิษในร่างกายสูงขึ้นได้อย่างเด่ นชัด เขาเผยว่าผิดกับที่เคยเชื่อกันมาก่อน ว่าผักและผลไม้หากต้มปรุงสุกแล้วจะเสียคุณค่าทางอาหารลงไป สู้กินดิบๆ ไม่ได้ แต่ข้าวโพดหวานยังคงสามารถเก็บพลังเป็นตัวล้างพิษคงไว้ได้ แม้ว่าจะเสียวิตามินซีไป เขาได้พบในการต้มข้าวโพดหวานด้วยอุณหภูมิสูง 115 องศาเซลเซียส ในเวลานานต่ างกัน 10, 25 และ 50 นาที พบว่ายิ่งต้มนานจะทำให้มันมีสารอันเป็นตัวล้างพิษ เพิ่มขึ้นเป็น 22, 44 และ 53 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสารที่ออกฤทธิ์เป็นตัวล้างพิษช่วยดับพิษของพวกอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นอันตรายกับเซลล์ของอวัยวะต่างๆ ทั้งยังมีส่วนเกี่ยวพันกับโรคอันเนื่องมาจากค วามแก่ชราต่างๆ อย่างเช่นต้อกระจก และโรคสมองเสื่อมอีกด้วย คณะนักวิจัยแจ้งว่าข้าวโพดหวานที่ต้มหรือปิ้งจะปล่อยสารประกอบที่เรียกว่า กรดเฟรุลิก อันเป็นคุณกับร่างกายยิ่งมากขึ้นเมื่อถูกความร้อนสูงขึ้นหรือเวลานานขึ้นกรดเฟรุลิกเป็นพวก พฤกษเคมีซึ่งในผักและผลไม้มีอยู่ไม่มากนัก แต่กลับพบมีอยู่อย่างอุดมในข้าวโพดผสมปนเปรวมอยู่กับอย่างอื่น การทำให้มันสุกจึงช่วยทำให้มันปล่อ! ยกรดเฟรุลิ กออกมาได้ม ากขึ้น หากท่านอ่านแล้วเห็นว่าเป็นประโยชน์ กรุณาส่งต่อให้กับคน!

เคล็ดลับอย่างหนึ่งที่คนหุ่นดีทั้งหลายบอกมาก็คือต้องออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ที่สำคัญต้องทำให้การออกกำลังกายกลายเป็นเรื่องน่าสนุกให้ได้ และนี่คือวิธีที่จะสามารถเปลี่ยนความคิด (เบื่อกับการออกกำลังกาย) ของคุณอย่างได้ผล

หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ซ้ำซากจำเจ จัดตารางการออกกำลังกาย ของคุณให้มีความหลากหลาย อาจปรับให้มีทั้งการออกกำลังแบบที่ได้เรื่องระบบ การหายใจและสมาธิ เช่น โยคะ สลับกับการออกกำลังที่ให้ผลดีกับหัวใจ อย่างการว่ายน้ำ วิ่ง ฯลฯ ร่วมกับการออกกำลังที่ต้องทำร่วมกับหมู่เพื่อน เช่น แบดมินตัน เทนนิส นอกจากจะไม่รู้สึกเบื่อแล้ว ยังจะได้ประโยชน์รอบด้านจากความหลากหลายด้วย

สำรวจตัวเองหลังออกกำลังกาย ด้วยการยืนนิ่ง ๆ สัก 2-3 นาที แล้วคิดว่าวันนี้เรารู้สึกดีแค่ไหน สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้แค่ไหนแล้ว รวมถึง ประโยชน์ที่ได้กับตัวเองในวันนี้ด้วย

ควรจัดให้มีวันพักบ้าง ไม่ต้องกลัวว่าจะสูญเสียความฟิตไป เพราะกล้ามเนื้อของคุณจะยังกระชับและแข็งแรงแม้ในวันที่งดออกกำลังกาย ดังนั้นควรจัดให้มีวันพักบ้างในแต่ละสัปดาห์

ดูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อตัวเอง อย่าเพิ่งตกใจถ้าพบว่าน้ำหนักตัวคุณเพิ่มขึ้น เมื่อคุณเริ่มต้นออกกำลังกายอย่างจริงจัง เพราะผลที่ได้ก็คือกล้ามเนื้อที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งโดยปกติจะมีน้ำหนักมากกว่าไขมันอยู่แล้ว ดังนั้นน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นก็คือน้ำหนักของกล้ามเนื้อที่คุณได้สร้างให้กับร่างกายนั่นเอง และสิ่งที่จะวัดได้ถึงความกระชับก็คือเสื้อผ้าซึ่งจะมีพื้นที่เหลือมากขึ้นกว่าเดิม

ทั้งสนุกและมีผลลัพธ์ที่ดีอย่างนี้จะไม่ให้สนุกกับการออกกำลังกายได้อย่างไร...

เอมวิกา วิญญาปา วิทย์-ออก เลขที่66

เรื่อง การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี และไม่อ้วน แหล่งที่มา : clinicneo

การควบคุมน้ำหนัก ไม่ให้อ้วน โดยการอดอาหารไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องมากนัก เพราะจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย อ่อนแอ ภูมิต้านทานต่อเชื้อโรคลดลง และไม่มีผลดีต่อร่างกายในระยะยาวคำแนะนำง่ายๆ ในการควบคุมน้ำหนัก มีหลักการดังนี้

รับประทานไขมันให้น้อยลง ประมาณน้อยกว่า 40-50 กรัมต่อวัน ซึ่งจะทำให้แคลอรี่ลดลง เป็นการลดน้ำหนักที่ดี และลดผลข้างเคียงต่อทางเดินอาหารที่เกี่ยวข้องกับการดูดซึมไขมัน

ลดปริมาณแคลอรี่ต่อวัน ให้เหลือ 600 แคลอรี่ ร่วมกับการเปลี่ยนพฤติกรรมทีละน้อยๆ และง่ายๆเป็นสิ่งสำคัญกว่า

รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ วันละ 3 มื้อ โดยรับประทานเป็นมื้อเล็กๆ พร้อมบันทึกน้ำหนักเป็นเวลา เปรียบเทียบไว้เตือนใจตนเอง

หลักการเรียนรู้การรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีนั้น ควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5

ออกกำลังกาย ลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม

ผลการศึกษาจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐ พบสิ่งที่น่าสนใจว่า การออกกำลังกาย อย่างเหมาะสมในหญิงวัยหมดประจำเดือน ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านม webmd-30-07-2008

การออกกำลังกาย ที่ระบุว่ามีประโยชน์ ต้องทำ "อย่างหนักและจริงจัง" โดยเฉพาะ "ในสตรีที่น้ำหนักไม่เกิน" โดยการวิจัยครั้งนี้ คณะแพทย์จาก ศูนย์มะเร็ง นพ. ไมเคิล ลีซแมน กล่าวว่า "การออกกำลังกายอย่างหนัก ช่วยป้องกันมะเร็ง นอกเหนือจากช่วยทำให้ไม่อ้วน ซึ่งการไม่อ้วน ก็ช่วยในเรื่องป้องกันมะเร็งอยู่แล้ว"

การวิจัย ทำได้ โดยศึกษาย้อนหลังรายงานผู้ป่วย 32000 คน ในระยะ 11 ปี และพบว่า ในสตรีที่ออกกำลังกายอย่างหนัก จะสามารถป้องกันมะเร็งได้

การออกกำลังอย่างหนัก (vigorous) ต่างจาก ออกกำลังกายธรรมดา (moderate) อย่างไร ลองเปรียบเทียบกัน

อย่างหนัก

ถูพื้น ขัดพืน เช็ดกระจก

พรวนดินในสวนอย่างหนัก

ตัดไม้ ถูไม้ขัดไม้

ออกกำลังกายแบบแข่งขัน

วิ่ง

จ๊อกกิ้งเร็วๆ

แข่งเทนนิส

แอโรบิก

ปั่นจักรยานขึ้นเขา

เต้นจังหวะเร็ว

ออกกำลังธรรมดา

งานบ้านหรือออฟฟิส

ซักผ้า

ทาสี

เดิน

เล่นกีฬาเบาๆ

จ๊อกกิ้งช้าๆ

แน่นอน การออกกำลังหนักอาจเป็นงานที่ยาก แต่การลดของมะเร็ง ก็น่าจะดึงดูดให้คุณ ออกไปเต้นแอโรบิกทุกวันดีกว่าไหม ?

ฉัตรชัย วิทย์-ออก เลขที่ 85

Virus MIRC เป็นไวรัสชั้นต่ำชนิดหนึ่งที่ไม่มีอันตรายต่อเครื่องมาก แต่ก็จะกินทรัพยากรเครื่องมากอยู่เหมือนกันครับ ซึ่งจะทำให้เครื่องของท่านช้าลง อยากเห็นได้ชัด

วิธีลบ Trojan mIRC ขึ้นตอนเปิดเครื่องนะครับ

1. ปิด Process โดยกด Ctrl+Alt+Del แล้วไปที่ Processes แล้วปิด Process ที่ชื่อ Internct.exe

2. เข้าไปลบไฟล์ที่ชื่อ Internct.exe และ mirc.ini ที่ Path c:\windows\inf\

3. เข้าไปลบ Registry โดย เข้าไปที่ Run แล้วพิมพ์ regedit

- ไปที่ Path "HKEY_CURRENT_USER\Software\Microsoft\Windows NT\CurrentVersion\Windows\AutorunsDisabled\

- ลบ Registry ที่ชื่อว่า Load ทิ้งไป

จากนั้นลอง Restart เครื่องอีกครั้งจะไม่พบ mIRC มารันตอน Startup แล้วครับ

** หมายเหตุ ต้องทำการปิด Process ก่อนนะครับถึงจะลบไฟล์ได้

ถ้าจะให้ชัวร์ละก็ตามนี้เลย

1. เปิด DriveC

2. ไปคลิ๊กที่ Folder windows

3. ไปคลิ๊กที่ Folder Fonts

4. หาไฟล์ mirc.** <เคยทำมานานแล้วจำนามสกุลไฟล์ไม่ได้ > ลบทิ้งไป

5. หาไฟล์ System.exe < ก่อนจะลบทิ้งดูให้ดีว่าเป็น System.exe ของ mirc >

หมายเหตุ: ข้อที่ 4-5 ลบทิ้ง

เปิดดูใน ADD and REMOVE ว่ายังมี mirc อยู่หรือเปล่า

มันเป็นโปรแกรม Chat เท่านั้น

Credit www.thaiware.com

จันทร์ชฎา วิทย์-ออก เลขที่ 72

http://th.upload.sanook.com/A0/4a33e456a14a1b46ea635e8d460e2b0c

E-Book การดูแลสุขภาพที่บ้าน โดย นายแพทย์สุหัท ฟุ้งเกียรติ เชิญโหลดได้เลยค่ะ++

จันทร์ชฎา วิทย์-ออก เลขที่ 72

9 นิสัยเสียที่ดีต่อสุขภาพ

บางครั้งการตัดสินว่าอะไรดี อะไรไม่ดี ก็ไม่อาจมองเพียงด้านเดียวได้ เช่นเดียวกับนิสัยและพฤติกรรมเหล่านี้ ที่หลายๆ คนมองว่าต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน แต่หากคุณลองหันมามองอีกด้าน คุณจะพบว่า นิสัยแย่ๆ เหล่านี้ ดีต่อสุขภาพอย่างไม่น่าเชื่อ

1. ติดซอสมะเขือเทศ

เด็กหลายคนติดอกติดใจในรสชาติของซอสมะเขือเทศ ไม่ว่าจะกินอะไรก็เรียกหาซอสมะเขือเทศตลอดเวลา จนบางครั้งคุณแม่อาจกังวลว่ามันจะมากเกินไปหรือเปล่า ตอบได้อย่างมั่นใจค่ะว่า ไม่มากไปหรอก เพราะที่จริงแล้วการกินซอสมะเขือเทศมากๆ กลับเป็นสิ่งที่ดี เพราะจากผลวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่าในซอสมะเขือเทศมีสาร Lycopene ซึ่งจัดเป็นแอนตี้ออกซิเดนต์ที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งอื่นๆ อีกหลายชนิด

นอกจากนั้นมะเขือเทศยังเป็นแหล่งวิตามิน C ที่สำคัญซึ่งส่งผลโดยตรงต่อระดับภูมิคุ้มกันในร่างกาย อย่างไรก็ตาม ในซอสมะเขือเทศบางชนิดอาจมีปริมาณเกลือมากเกินไปจนเกิดอันตรายต่อร่ายกายได้เช่นกัน ดังนั้น ก่อนซื้อคุณควรอ่านฉลากให้ดี เพื่อให้แน่ใจว่ามีปริมาณเกลือในระดับที่เหมาะสม

2. ชอบกินถั่วเป็นกับแกล้ม

แม้ว่าคุณจะเป็นแฟนพันธุ์แท้แอลกอฮอล์มากไปสักนิด หรือติดการกินถั่วเป็นกับแกล้มจนเป็นนิสัยมากไปสักหน่อย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ‘มันไม่ดี’ การกินถั่วแกล้มกับไวน์สักแก้ว จัดเป็นพฤติกรรมการกินที่ดีต่อสุขภาพ เพราะในถั่วลิสงและถั่วชนิดอื่นๆ ประกอบไปด้วยสารเคมีธรรมชาติที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและโรคมะเร็งได้อย่างไม่น่าเชื่อ

จากการศึกษาของ Harvard School of Public Health ยังพบอีกว่า ผู้หญิงที่กินเนยถั่วประมาณ 5 ครั้งต่อสัปดาห์จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานได้ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ แม้บางคนอาจจะค้อนว่าในถั่วมีไขมันอยู่ไม่น้อยทีเดียว แล้วมันจะดีต่อสุขภาพจริงหรือ สบายใจได้ค่ะ เพราะไขมันที่อยู่ในถั่วกว่า 50 เปอร์เซนต์เป็นไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ซึ่งดีต่อสุขภาพ แถมยังช่วยบรรเทาความหิวได้เป็นอย่างดี

นักวิจัยกล่าวเสริมว่า ถั่วลิสงเป็นแหล่งวิตามิน B ที่เยี่ยมยอดมาก ซึ่งช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานจากอาหารได้ดี แถมยังช่วยสร้างเซลล์ใหม่ให้แก่ร่างกายอีกด้วย

3. กินช็อกโกแลตบ่อยเกินไป

สาวๆ มักเกลียดกลัวช็อกโกเลตเพราะเชื่อว่าเป็นศัตรูของความงามและน้ำหนัก แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง ปีศาจช็อกโกแลตของสาวๆ ก็มีดีอยู่บ้างเหมือนกัน แต่มีข้อแม้ว่าต้องเป็น ช็อกโกแลตดำ (Dark Chocolate)เท่านั้นนะคะ เพราะในช็อกโกแลตดำนั้นประกอบไปด้วยสาร Flavonoids ในปริมาณสูง พ่วงด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนต์ชนิดเดียวกับที่พบใน ไวน์แดง ชา ผลไม้และผักบางชนิด จากผลวิจัยล่าสุดของมหาวิทยาลัย Glasgow สก็อตแลนด์ พบว่า flavonoids สามารถช่วยต่อต้านการก่อตัวของมะเร็งได้

แต่หากคุณเกลียดช็อกโกแลตดำเพราะรสชาติออกขมๆ ไม่อร่อยเอาเสียเลย ลองหันมากินช็อกโกแลตนมแทนก็ได้ แม้ในช็อกโกแลตนมจะมีสารแอนตี้ออกซิเดนต์น้อยกว่าช็อกโกแลตดำ แต่ก็มีปริมาณแคลเซียมสูงกว่าถึง 5 เท่า

ดังนั้น ช็อกโกแลตนมจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่ต้องการเสริมความแข็งแรงของกระดูก

และหากคุณรู้สึกดีมากๆ เวลากินช็อกโกแลตแล้วล่ะก็ ไม่ต้องแปลกใจ เพราะผลวิจัยหลายชิ้นพบว่า เวลาคนเรากินช็อกโกแลตนั้น สมองจะปล่อยสารเอนโดฟีน ซึ่งออกฤทธิ์เหมือนฝิ่นธรรมชาติ (ไม่เป็นอันตรายค่ะ) ซึ่งทำให้เราอารมณ์ดีและบรรเทาความเจ็บปวดได้

4. โกรธและวีนชาวบ้านบ่อยๆ

แม้ว่านิสัยเสียแบบนี้อาจทำให้คุณถูกเพื่อนๆ คว่ำบาตร แต่ถ้ามองในแง่ดี การโกรธกลับส่งผลดีต่อสุขภาพได้ เช่นกัน การโกรธเป็นอารมณ์ปกติของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าเราจะรู้สึกตัวหรือไม่ก็ตาม Harriet Lerner นักจิตวิทยา เจ้าของผลงานเขียน “The Dance of Anger” กล่าวไว้ว่า การโกรธเป็นสัญญาณของเราที่ชี้ให้เห็นว่าบางอย่างผิดปกติไป แต่การยอมรับและเข้าใจในอารมณ์โกรธของตัวเองเป็นสิ่งจำเป็น การหันไปเผชิญหน้ากับความโกรธอย่างเข้าใจ สามารถช่วยลดอาการบันดาลโทสะจนควบคุมสติไม่ได้ และป้องกันการเกิดภาวะที่เรียกว่า‘อกกลัดหนอง’(เจ็บปวดทางใจ) จนอาจนำไปสู่การเจ็บป่วยทางกายในภายหลังได้

แต่คุณไม่ถึงกับต้องปิดบ้านเงียบเพื่อจัดการกับความโกรธที่เกิดขึ้นหรอกค่ะ เพราะมันไม่เกิดประโยชน์อันใดแก่ร่างกายและจิตใจเลย ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่า ในทางตรงกันข้าม หากคุณแสดงความโกรธนั้นออกไปจะเป็นผลดีต่อสุขภาพอย่างมาก ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจได้ แถมนักวิจัยยังกล่าวเสริมอีกว่า ผู้ชายที่สามารถระบายความโกรธของตัวเองออกไปได้จะลดความเสี่ยงของโรคหัวใจได้มากกว่าครึ่ง เทียบกับผู้ชายวัยเดียวกันที่หาทางระบายความโกรธไม่ได้ และมักจะเก็บกดจนล้มป่วยในที่สุด

5. แอบงีบระหว่างวันทำงาน

การแอบงีบในที่ทำงานเป็นพฤติกรรมที่เจ้านายคุณเกลียดกลัวมากที่สุด และหากคุณแอบงีบไม่เนียนพอละก็ ตัวใครตัวมันค่ะ แม้ว่าการแอบงีบจะจัดเป็นพฤติกรรมของพนักงานขี้เกียจในสายตาเจ้านายไทย แต่การแอบงีบหลับระหว่างวันกลับเป็นพิธีกรรมที่น่ารักในเม็กซิโกและกรีซ ชาวโปรตุเกสก็ชอบงีบหลับเช่นกัน จนถึงกับมีการจัดตั้ง Association of Friends of the Siesta ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มคนเพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมการงีบหลับในช่วงบ่ายให้คงอยู่ต่อไป

มีผลวิจัยมากมายหลายชิ้นที่กล่าวถึงประโยชน์ของการงีบหลับ เช่น คนที่งีบหลับในช่วงบ่ายจะลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ เทียบกับคนที่ไม่งีบหลับระหว่างวัน นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญในการนอนแนะนำว่ามนุษย์ทุกคนควรจะงีบประมาณ 30 นาทีหลังจากอาหารกลางวัน แต่ไม่ควรงีบในช่วงบ่ายแก่ๆ เพราะอาจทำให้คุณกลายเป็นมนุษย์ค้างคาว ไม่ยอมหลับยอมนอนในเวลากลางคืนได้

6. เครียดและกดดัน

รู้ไหมว่า ความเครียดเป็นแรงผลักดันให้เราทำบางสิ่งบางอย่าง หากปราศจากความเครียด มนุษย์จะไม่ลุกจากเตียง หรือกระตือรือร้นหาอาหารใส่ท้อง ความเครียดเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนเราให้บรรลุเป้าหมายและภารกิจต่างๆ หลายๆคนยอมรับว่า มักจะทำงานได้ดีภายใต้ความกดดันและความเครียด แต่ความเครียดและความกดดันนี้จะเกิดปัญหาก็ต่อเมื่อมันมากเกินไปและคุณไม่สามารถจัดการกับมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หากมองในแง่ดี ความเครียดนั้นสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ ใช้มันเป็นแรงผลักดันเวลาคุณต้องการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆในชีวิตให้ดีขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคุณต้องมีแผนการเฉพาะกิจไว้จัดการกับความเครียดได้อย่างทันท่วงที ในเวลาที่รู้สึกว่ามันชักจะมากเกินไป เช่น มีเพื่อนสนิทไว้ปรึกษา การออกกำลังกาย การดูหนัง ฟังเพลง หรืออะไรก็ตามที่คุณคิดว่ามันช่วยคุณได้ ทำไปเถอะค่ะ!

7. เป็นสาวเจ้าน้ำตา

อย่าสนใจต่อเสียงล้อเลียนของเพื่อนร่วมงานว่าคุณเป็นสาวเจ้าน้ำตา เพราะการร้องไห้เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดความเครียดจากร่างกายได้อย่างดี จากผลวิจัยของ Ramsey Dry Eye and Tear Research Center พบว่า เมื่อเราร้องไห้ ร่างกายจะขจัดฮอร์โมนความเครียดส่วนเกิน อาทิ ฮอร์โมนprolactin (ฮอร์โมนที่ผลิตโดยต่อมพิทุอิตารีด้านหน้า มีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งน้ำนมหลังจากการคลอดบุตร) ได้

นอกจากนี้น้ำตายังอาจช่วยให้ร่างกายกำจัดสารเคมีในร่างกายชนิดอื่นได้อีกหลายชนิด เช่น แมงกานีส ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า และ lysozymes เอนไซม์ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดแผลพุพอง

แต่มันคงไม่ดีนักหากคุณจะระเบิดสงครามน้ำตาในที่ทำงานทุกวี่วัน เพราะนั่นอาจสร้างความรำคาญให้คนอื่นๆ และทำให้เจ้านายมองว่าคุณมีปัญหาทางจิตได้ ดังนั้น วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือการร้องไห้ที่บ้าน และถ้ามีเพื่อนสนิทที่รู้ใจคอยปลอบอยู่ข้างๆ ได้ก็ยิ่งดี

8. เป็นสาวช่างเม้าท์

ผู้หญิงกับการเม้าท์เป็นสองสิ่งที่เกิดมาเพื่อกันและกัน เวลาที่เธอเจอกัน ทุกอย่างจะพรั่งพรูออกมาอย่างเป็นธรรมชาติชนิดที่ไม่ต้องเตรียมการล่วงหน้าว่าจะคุยเรื่องอะไร ฟังดูอาจดูน่ารำคาญในสายตาผู้ชาย แต่ถ้าผู้ชายลอง เม้าท์ ได้สัก เศษหนึ่งส่วนสามของผู้หญิง จะส่งผลดีต่อสุขภาพชนิดที่คุณคาดไม่ถึง

จากการศึกษาของ Social Issues Research Centre in Oxford พบว่า การพูดคุยนั้นเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ช่วยให้เราสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ เรียนรู้ทักษะทางสังคม และแก้ปัญหาความขัดแย้ง ได้ บางองค์กรถึงกับมีการส่งเสริมการซุบซิบ พูดคุย ภายในองค์กรอย่างออกหน้าออกตา เพราะเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อธุรกิจเนื่องจากสามารถกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ได้ และถือเป็นวิธีระดมพลังสมองที่ดีมากเช่นกัน

‘การคุยโม้’เป็นปฏิกิริยาทางสังคมโดยธรรมชาติที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่กำเนิด การคุยโม้ เป็นหนทางที่เปิดโอกาสให้เรารู้จักคนอื่นๆ ก่อนที่จะพัฒนาไปสู่ความสัมพันธ์ในรูปแบบ เพื่อนหรือคนรัก ต่อไป นอกจากนี้ การคุยโม้ ยังเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารเอนโดฟิน ที่ช่วยทำให้อารมณ์ดีและจิตใจปลอดโปร่งอีกด้วย

9. ติดชาร์ทนักดื่มตัวยง

การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในบางครั้งก็เป็นสิ่งที่ดีสำหรับคุณ มีผลการศึกษามากมายที่ช่วยยืนยันเรื่องนี้ได้ อาทิ ผลการศึกษาโดย Joseph Fourier University of Grenoble ในฝรั่งเศส พบว่า ไวน์แดงสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดหัวใจวาย และช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก ลดโอกาสการเกิดเนื้องอกในลำไส้และ ป้องกันมะเร็งผิวหนังได้ และในปี 2003 ในวารสารทางการแพทย์ของอังกฤษ รายงานว่า นักดื่มที่ดื่มแอลกอฮอล์ในระดับปานกลางจะลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจได้ 30-35 เปอร์เซนต์ แต่การดื่มมากเกินไปก็อาจส่งผลเสียต่อบุคลิกและตับได้ แถมบางคนหากเผลอดื่มขณะท้องว่างก็เป็นการทำลายกระเพาะดีๆ นี่เอง

ฉัตรชัย วิทย์-ออก เลขที่ 85

โรคแบบไหน ไม่ควรกินไข่

ไข่….ถือเป็นอาหารหลักของทิราตั้งแต่จำความได้เลยค่ะ ทุกเช้าถ้าไม่กินไข่ลวกโรยพริกไทยใส่ซีอิ๊ว ก็ไข่ต้ม

หม่าม้าของทิราชอบนำไข่ต้มมาผ่าครึ่งแล้วเหยาะแม้กกี้โรยน้ำตาล (ตามด้วยนม 1 แก้วโตๆ และส้มอีก 1 ผล) ให้ทิรากินตอนเช้าก่อนไปโรงเรียน โตมาหน่อยก็จะเป็น ไข่ดาว(+กุนเชียง) เสาร์-อาทิตย์ ก็มักจะมีไข่ตุ๋นนมสดเป็นเมนูหลักเวลาคิดอะไรไม่ออก จนตอนนี้ (ปูนนี้แล้ว) ก็ต้องไปนั่งกินข้าวต้มไข่เจียว (และปลากรอบ) ที่บริษัททุกเช้า

ทิรากินไข่เป็นประจำโดยไม่รู้สึกเดือดร้อนเวลาใครๆทักว่า กินไข่มาก…ไม่กลัวเหรอ…ไม่กลัวค่ะ เพราะคิดว่าคอเลสเตอรอลในไข่มีไม่มากนักเมื่อเทียบกับอาหารที่มีความเสี่ยงอื่นๆ (เช่น หอยและอาหารทะเล) และเป็นคอเลสเตอรอลชนิดดี ในขณะที่คนส่วนใหญ่คิดว่ากินไข่มากจะทำให้คอเลสเตอรอลสูง แต่…ไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิคะ เมื่อทิราดั๊น…..ไปอ่านเจอบทความที่ว่า ผู้หญิงที่มีปัญหาเรื่องมดลูกและรังไข่ไม่ควรกินไข่ เพราะ มดลูกและรังไข่เป็นเรื่องเกี่ยวกับฮอร์โมนโดยเฉพาะ ซึ่งฮอร์โมนตัวสำคัญของมดลูกและรังไข่ก็คือโปรตีนนั่นเอง และในไข่ก็มีกรดอะมิโน (amino acid) ซึ่งเป็นองค์ประกอบของโปรตีน กรดอะมิโนบางตัวก็ดั๊น…ไปบำรุงเนื้องอก ยิ่งกินไข่มากเท่าไร เจ้ากรดที่ว่านี้ก็จะยิ่งบำรุงเนื้องอกในรังไข่มากเท่านั้น

อ่านอย่างนี้แล้ว..ทิราเริ่มกลัว..สงสัยต้องลดการกินไข่ให้น้อยลงเสียแล้ว :) กลัวเป็นเนื้องอก

เรียบเรียงจาก นิตยสารชีวจิต ฉบับวันที่ 16 กรกฎาคม 2548

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว เลขที่ 3

น้ำสลัดนานาชาติเพื่อสุขภาพคุณ

สลัดเป็นเมนูจานหนึ่งจากประเทศตะวันตกที่ได้รับความนิยมในบ้านเรา เพราะได้ชื่อ ว่าเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ โดยมีผักและผลไม้สดเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งอุดม ไปด้วยคาร์โบไฮเดรต วิตามิน เกลือแร่และไฟเบอร์ ให้ทั้งพลังงานและสารอาหาร ช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นไปอย่างปกติ แน่นอนว่าเมนูสลัดต้องรับประทานคู่กับน้ำสลัด แสนอร่อย อย่างไรก็ตามน้ำสลัดมีส่วนผสมและคุณค่าทางโภชนาการต่างกัน น้ำสลัด จึงอาจไม่เหมาะกับทุกคนที่เลือกรับประทาน บางชนิดเหมาะกับคนที่ต้องใช้พลังงานสูง แต่บางชนิดเหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง หรือไขมันในเลือดสูง ฯลฯ ดังนั้นการเลือกน้ำสลัดต้องเลือกให้เหมาะกับสภาพร่างกายและโรคของแต่ละคน

น้ำสลัดพลังงานสูงสำหรับคนที่ต้องใช้พลังงานสูง

เนื่องจากประกอบไปด้วยโปรตีนและไขมัน จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการพลังงานสูง เช่น นักกีฬาหรือผู้ที่ต้องการเพิ่มน้ำหนัก แต่ควรรับประทานในปริมาณที่ไม่มากจนเกินไป เพราะอาจทำให้โคเลสเตอรอลสูงเกินไป หรืออาจเลือกน้ำสลัดที่เลือกใช้วัตถุดิบดีต่อสุขภาพ เช่น ใช้น้ำมันรำข้าว น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันคาโนลา แทนน้ำมันพืชชนิดอื่นๆ ซึ่งให้คุณภาพใกล้เคียงน้ำมันมะกอก ช่วยควบคุมปริมาณโคเลสเตอรอลไม่ให้สูงเกินไป หรือมีการดัดแปลงสูตร เช่น ลดจำนวนไข่แดงลง หรือใช้ไข่ทั้งฟองแทน สลัดน้ำข้นที่ขอแนะนำ ได้แก่

• น้ำสลัดเทาส์ซันไอร์แลนด์ ทำมาจากน้ำ น้ำมันพืช น้ำส้มสายชู มะเขือเทศบด น้ำเชื่อม มัสตาร์ด เกลือและไข่แดง ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะให้พลังงานประมาณ 56 กิโล-แคลอรี เป็นน้ำสลัดที่มีสีสันน่ารับประทาน มีรสชาติเปรี้ยวและหวาน หลายคนจึงชื่นชอบเพราะรับประทานแล้วไม่เลี่ยนจนเกินไป น้ำสลัดนี้ให้คุณค่าสารอาหารมากมาย เช่น วิตามินอี วิตามินซี โปรตีน ไอโซฟลาโวน และโอเมกา- 3 แม้ว่าน้ำสลัดนี้จะคล้ายกับน้ำสลัดครีม แต่ส่วนผสมของน้ำมันและไข่แดงจะน้อยกว่า ไม่มีส่วนผสมของมายองเนสจึงทำให้พลังงานลดลง เพิ่มประโยชน์แก่ร่างกายด้วยไฟโตเคมีคอลจากมะเขือเทศ อย่างไรก็ตามหากรับประทานปริมาณมากก็จะได้สารอาหารไม่พึงประสงค์เหมือนๆ กับสูตรน้ำสลัดครีมเช่นกัน

• น้ำสลัดครีม ทำมาจากไข่ไก่ น้ำมันพืช มายองเนส และมัสตาร์ด สลัดครีมปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ให้พลังงาน 190 กิโลแคลอรี แม้ว่าจะมีไขมันมาก

แต่หลายคน ก็ยังชื่นชอบเพราะทั้งข้น หวานและมัน เนื่องจากมีส่วนผสมหลักจากไข่ไก่จึงเป็นแหล่งของโปรตีน ไบโอตินในวิตามินบี ช่วยบำรุงผิว เล็บและผมให้เงางามสุขภาพดี แต่ไม่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ เมื่อจะรับประทานปริมาณผักต้องเหมาะสมกับปริมาณไขมันหรือน้ำตาลในน้ำสลัดจึงจะเป็นการส่งเสริมสุขภาพ และเนื้อสัตว์ที่นำมารับประทานคู่กันก็ควรเลือกให้เหมาะสมกับวัยและสุขภาพของตนเองและครอบครัว เช่น เนื้อปลาทูน่าในน้ำเกลือหรือน้ำแร่ เนื้ออกไก่ลวกไม่ติดหนังและไขมัน ฯลฯ

• น้ำสลัดซีซาร์ มีส่วนผสมจากน้ำมันเมล็ดองุ่น น้ำส้มสายชู ไข่ เกลือ และ น้ำเชื่อม ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะให้พลังงานประมาณ 68 กิโลแคลอรี ลักษณะน้ำสลัดจะเป็นสีขาวข้น มักรับประทานคู่กับผักกาดแก้ว ผักกาดหอมคอส เห็ดฟาง โรยด้วยเบคอนและขนมปังกรูตอง เหมาะสำหรับเด็กๆ ที่ไม่ชอบรับประทานผักเพียงอย่างเดียว แต่ควรระวังไม่เน้นใส่เบคอนหรือกรูตองมากไปอาจได้รับพลังงานเกินได้ สามารถ รับประทานเป็นมื้อหลัก

น้ำสลัดเพื่อสุขภาพสำหรับคนมีปัญหาด้านสุขภาพ

น้ำสลัดใส เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพ เช่น คนเป็นเบาหวาน

โรคหัวใจ ความดัน-โลหิตสูง และโรคอ้วน เพราะมีส่วนผสมของเกลือและน้ำตาลที่น้อยกว่า แม้ว่าจะมีส่วนประกอบหลักเป็นไขมันพืช เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันเมล็ดองุ่น น้ำมันงา ซึ่งจัดเป็นไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อน หากรับประทานในปริมาณพอเหมาะจะช่วยลด การเกิดโคเลสเตอรอลในเส้นเลือดลงได้ สลัดน้ำใสที่ขอแนะนำ เช่น

• น้ำสลัดงาหรือญี่ปุ่น ส่วนผสมสำคัญ ได้แก่ โชยุ น้ำมันงา น้ำมันเมล็ดองุ่น น้ำเชื่อมและเกลือ น้ำสลัดญี่ปุ่นโดดเด่นในส่วนผสมที่มีความหอม ทำให้ช่วยเจริญอาหาร น้ำมันงามีกรดไพติก ช่วยในการยับยั้งการเกิดมะเร็งลำไส้ และเมื่อราดบนผักสลัดจะช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังมีน้ำมันเมล็ดองุ่นยังอุดมไปด้วยโอเมกา- 6 ช่วยในการควบคุมการแข็งตัวของเลือดและรักษาหลอดเลือดให้อยู่ในสภาวะสมบูรณ์ ผักสลัดที่นิยมรับประทานคู่กับน้ำสลัดงาหรือญี่ปุ่นได้แก่ ผักกาดแก้ว มะเขือเทศ แตงกวาญี่ปุ่น วอเตอร์เครส หากเพิ่มเต้าหู้ขาว หั่นสีเหลี่ยมลูกเต๋า รับประทานคู่กับสลัดผักจะให้พลังงานและโปรตีนทดแทนเนื้อสัตว์ได้เลย

• น้ำสลัดอิตาเลียน น้ำสลัดอิตาเลียนเดิมทีเป็นสลัดสำหรับคนสตางค์น้อย จะใช้ขนมปังเก่าแต่ยังไม่หมดคุณภาพมาอบให้กรอบผสมกับรสของน้ำสลัดเพื่อเพิ่มรสชาติ บางสูตรอาจเติมพริกไทยดำและใบโหระพาสับ เพิ่มความร้อนแรง แต่ส่วนประกอบหลักของน้ำสลัดอิตาเลียน ได้แก่ น้ำมันมะกอก น้ำส้มสายชู น้ำมะนาว กระเทียม หัวหอม ฯลฯ น้ำสลัดอิตาเลียน 1 ช้อนโต๊ะให้พลังงานประมาณ 60 กิโลแคลอรี จากการศึกษาการรับประทานน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ 2 ช้อนชาต่อวัน จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดตีบ ควบคุมระดับความดันโลหิต นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและช่วยเรื่องความจำของสมอง สำหรับส่วนผสมของ น้ำมะนาวช่วยกำจัดสารพิษ ลดระดับโคเลสเตอรอล และช่วยให้เซลล์ต่างๆ แข็งแรง ส่วนกระเทียมมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย เป็นอาหารของแบคทีเรียดีในลำไส้ใหญ่ ดังนั้นจึงช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วย ลดการเกิดหลอดเลือดแดงเข็งตัวและให้ใยอาหารที่ดีแก่ร่างกาย สุดท้ายส่วนประกอบของหัวหอมในน้ำสลัดสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ข้ออักเสบรูมาตอยด์ และลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร

• น้ำสลัดฝรั่งเศส ส่วนผสมหลัก ได้แก่ น้ำ น้ำส้มสายชู เกลือ น้ำเชื่อม และเกลือ ปริมาณน้ำสลัดฝรั่งเศส 1 ช้อนโต๊ะ ให้พลังงานประมาณ 22 แคลอรี เป็นน้ำสลัดที่ไม่มีส่วนประกอบของไขมัน จึงเหมาะกับคนที่กำลังควบคุมน้ำหนัก กินน้ำสลัดราดบนผักกาดแก้วสดๆ กรอบๆ คู่กับอาหารประเภทสัตว์ปีกไร้มันหรือ เนื้อปลา จะช่วยให้เจริญอาหาร ไม่ให้เลี่ยนจนเกินไป และถ้าอยากเพิ่มความหอมของน้ำสลัด ให้บีบน้ำมะนาวซึ่งช่วยเพิ่มวิตามินซีแก่ร่างกาย และโรยพริกไทยดำ เพิ่มความ-หอมเหมือนอาหารประเภทยำ อร่อยแบบบ้านเรานั่นเอง

• บาลเซมิค ส่วนผสมสำคัญ ได้แก่ น้ำ น้ำส้มสายชูบาลเซมิค น้ำมะเขือเทศบด เกลือและน้ำมันมะกอก ปริมาณบาลเซมิค 1 ช้อนโต๊ะให้พลังงานประมาณ 15 กิโลแคลอรี น้ำสลัดชนิดนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบรับประทานมะเขือเทศ เพราะส่วนผสมของน้ำส้มสายชูบาลเซมิคประกอบด้วยมะเขือเทศบดที่มีไลโคปีนมาก และเมื่อผสมกับน้ำมันสลัดจะยิ่งช่วยให้ร่างกายดูดซึมดีขึ้น ช่วยลดอัตราการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากและโรคหัวใจ เมื่อรับประทานกับผักสลัดสามารถเพิ่มมะเขือเทศผลใหญ่หรือมะเขือเทศเชอร์รี่ จะได้รสชาติเปรี้ยวหวาน เพิ่มความอร่อยมากขึ้น

นุชรินทร์ (ฟาร์) เลขที่6

ใครที่ชอบทานก๋วยเตี๋ยวฟังทางนี้

ทานกะหล่ำปลีดิบมีพิษนะ

ในกะหล่ำปลีดิบจะมีสารพิษที่เรียกว่า กอยโตรเจน (Goibrogen) ซึ่งเป็นสารที่จะไปกันไม่ให้ต่อมไทรอยด์จับไอโอดีน ไปสร้างเป็น ฮอร์โมนไทร๊อกซิน (Thyroscine) ได้ ซึ่งผลที่เกิดขึ้นคือ จะทำให้เกิดเป็นโรคคอหอยพอก แต่สารพิษเหล่านี้จะถูกทำลายได้ โดยการต้ม จึงควรรับประทานกะหล่ำปลีสุก จะดีกว่ากะหล่ำปลีดิบ

ถั่วงอกดิบมีโทษ

ในผักสดบางชนิดมีสารพิษที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น ในถั่วงอก มีสารพิษพวกที่เรียกว่าไฟเตต ซึ่งเมื่อกินเข้าไปจะ ไปจับแร่ธาตุบางชนิดที่อยู่ในอาหาร ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมแร่ธาตุเหล่านั้นเข้าร่างกาย ร่างกายจะเป็นโรคขาดแร่ธาตุ สารพิษเหล่านี้สามารถทำลายได้โดยการต้ม จึงควรรับประทานถั่วงอกสุขดีกว่าถั่วงอกดิบ

พิมพา ฟาร์อีสเทิร์น

กินปลาทะเลหรือปลาน้ำจืดดี

ขึ้นชื่อว่าปลาย่อมมีคุณค่ามากกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆแน่นอน เนื้อปลาเป็นอาหารโปรตีนที่มีคุณค่าเพราะมีคอเลสเตอรอยน้อย มีกรดแอมิโนที่จำเป็น และใขมันที่เรียกว่าโอเมก้า-3 หลายคนสงสัยว่าเราจะกินปลาทะเลหรือปลาน้ำจืดดีหนอ ระหว่างปลาทะเลและปลาน้ำจืดมีคุณค่าโปรตีนพอๆกัน แต่ปลาทะเลจะได้เปรียบในด้านแร่ธาตุ ปลาทะเลมีแร่ธาตุในกลุ่มโซเดียม คลอรีน ฟลูออรีน ไอโอดีน มากกว่าปลาน้ำจืดนั้นมีโพแทสเซี่ยมมาก เพราะฉะนั้นเราจึงควรกินปลาทะเลมากกว่าปลาน้ำจืด

แต่ไม่ได้หมายความว่าควรกินแต่ปลาทะเลนะ เราควรกินปลาทะเล3ส่วน ปลาน้ำจืด1ส่วน ถือเป็นสัดส่วนที่ดี และควรกินปลาเพียงอาทิตย์ลั1-2 ครั้งก็เพียงพอ หากกินทุกวันจะมากไป เพราะเรากินปลาเพื่อต้องการกรดแอมิโนที่จำเป็นให้ครบเท่านั้น

โดย DMH Staffs

ฝึกร่างกาย สั่งอวัยวะให้หัวเราะ

การหัวเราะแบ่งได้ 2 ประเภท คือ หัวเราะธรรมชาติ เกิดจากถูกกระตุ้นให้มีอารมณ์ขัน ซึ่งเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน และหัวเราะบำบัด เป็นการหัวเราะแบบรู้ตัว เพื่อใช้ประโยชน์จากการหัวเราะกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเอนดอร์ฟิน (Endorphin) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เราอารมณ์ดี มีความสุข จนมีนักวิชาการบางท่านนิยามสารชีวเคมีนี้ว่าเป็น "สารสุข"

คนเราเมื่ออารมณ์ดี จะทำให้มีความคิดสร้างสรรค์ ในรายงานการตีพิมพ์ของวารสาร The Proceedings of the National Academy of Sciences (PNAS) ตีพิมพ์งานวิจัยจากคณะจิตวิทยา มหาวิทยาลัยโตรอนโต คานาดา บอกว่าอารมณ์ของคนเราน่าจะมีผลต่อการประมวลผลข้อมูลของสมอง ถ้าอารมณ์ดีจะช่วยขยายความคิดสร้างสรรค์ให้กว้างขึ้น ในทางกลับกันถ้าอยู่ในอารมณ์หวาดวิตก เคร่งเครียด หรือแม้แต่ความมุ่งมั่นมากเกินไป จะมีผลต่อความคิดจะหดแคบเข้ามา อารมณ์ดีหรือไม่ดีมีผลต่อกระบวนการคิดและแก้ปัญหาในเชิงสร้างสรรค์ของคนเรา

ดังนั้นพวกเราทั้งหลายจงมาร่วมกันผลิตสารแห่งความสุขผ่านกระบวนการหัวเราะ ซึ่งไม่ว่าท่านจะหัวเราะแบบบำบัด หรือหัวเราะแบบธรรมชาติ ก็เชื่อว่าร่างกายก็จะหลั่งสารชีวเคมนี้ได้ด้วยเช่นกัน

การหัวเราะบำบัดมีหลายแบบ เช่น Lauther Yoga ของอินเดีย ซึ่งผสมผสานระหว่างการหัวเราะและควบคุมการหายใจของโยคะเข้าด้วยกัน และเป็นที่มาของการหัวเราะบำบัดในกว่า 40 ประเทศ หรือกลุ่มหัวเราะในประเทศออสเตรเลีย ที่เดินทางไปสถานที่ต่างๆ เพื่อสร้างเสียงหัวเราะให้คนทั่วไปด้วยพฤติกรรมตลก สำหรับประเทศไทย ศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้คิดค้นการหัวเราะบำบัด โดยผสมผสานการควบคุมการหายใจ การเปล่งเสียงหัวเราะ และการบริหารร่างกายไปพร้อมกัน ซึ่งเป็นการหัวเราะที่ให้ผลเชิงสุขภาพโดยไม่จำเป็นต้องมีอารมณ์ขัน ใช้เวลาในทำกิจกรรมประมาณ 2-3 ชั่วโมง

ข้อดีของการหัวเราะ

การหัวเราะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายใน 7 ระบบได้แก่

ระบบทำงานของสมอง การหัวเราะ ช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ประสาทสมองส่วนพรีฟรอนทอลคอร์เทกซ์ (prefrontal cortex) บริเวณสมองส่วนหน้า (ซึ่งสมองบริเวณนี้ทำหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมความคิดที่เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาของอารมณ์เชิงบวกและลบ) ที่ทำให้เกิดการหลั่งของสารชีวเคมีตัวหนึ่งที่ชื่อว่า endorphin ซึ่งเป็นสารชีวเคมีของสมองที่มีฤทธิ์ "เพชฆาตความเจ็บปวด" หรือสารที่มีฤทธิ์ทำให้เกิดความสุข นั้นก็คือในด้านที่ส่งผลทำให้อารมณ์ดี มีอารมณ์ขัน สมองก็จะมีการถูกกระตุ้นให้มีเพิ่มพื้นที่การประมวลผลความคิดในเชิงบวกและสร้างสรรค์ มีผลทำให้ร่างกายและจิตใจได้รับการบำบัดและฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว

ระบบหายใจ (Breathing) ในระหว่างที่หัวเราะร่างกายมีการหายใจเข้า กลั้นหายใจ และหัวเราะ (หายใจออกยาวๆ) ทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนถ่ายออกซิเจน ฟอกเลือดดำให้เป็นเลือดแดง จึงทำให้เซลล์ประสาทหัวใจ ปอด คอ แข็งแรงขึ้น นอกจากนี้การหัวเราะยังช่วยบริหารร่างกายให้เกิดความร้อนและการเผาผลาญพลังงานสูง ช่วยฆ่าเชื้อโรคและป้องกันโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ทั้งไข้หวัด ภูมิแพ้ หอบหืด ไซนัส กรน ความดันโลหิต โรคหัวใจ โรคปอด

ระบบย่อยอาหารและการขับถ่าย (Digestion and Gastrointestinal) การหัวเราะบำบัดช่วยให้อวัยวะส่วนท้อง อาทิ ลำไส้ใหญ่ เล็ก ตับ ไต ไส้ กระเพาะ มีการเคลื่อนไหว เกิดการบริหารกระเพาะและลำไส้ ทำให้ระบบย่อยอาหารและการขับถ่ายทำงานดีขึ้น ป้องกันโรคอ้วน โรคบูลิเมีย (Bulimia : โรคที่กินอาหารเข้าไปแล้วรู้สึกผิด จนบางครั้งต้องกินยาถ่าย หรืออาเจียนออก) หน้าท้องหย่อน ท้องป่อง โรคเบื่ออาหาร กินไม่ลง ท้องผูก ท้องเสีย โรคกระเพาะ โรคลำไส้ เป็นต้น

ระบบไหลเวียนโลหิต (Circulation and Cardio-vascular system) การหัวเราะบำบัดเป็นการออกกำลังทุกส่วนของร่างกายทำให้อวัยวะต่างๆ ได้เคลื่อนไหวเป็นจังหวะเร็วบ้าง ช้าบ้าง หัวใจสามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ มากขึ้น หัวใจทำงานเป็นระบบขึ้น ป้องกันอาการเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ อ่อนเปลี้ยเพลียแรง เหนื่อยง่าย เหนื่อยเร็ว เจ็บแน่นหน้าอก โรคขาดเลือด เส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคหัวใจ ตลอดจนอาการใจสั่น เสียงสั่น ตัวสั่น ตื่นตระหนกและประหม่าง่าย

ระบบพักผ่อนและผิวพรรณ (Rest and Skin system) การหัวเราะบำบัดช่วยผ่อนคลายความเครียด ทำให้เส้นประสาท กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า ยืดหยุ่น ไม่ตึงหรือเกร็ง ทำให้ร่างกายเกิดการพักผ่อน นอนหลับสนิท ผิวพรรณดี ไม่เหี่ยวย่น และไม่เป็นโรคทางผิวหนัง ช่วยให้ร่างกายและจิตใจเกิดความสงบ มีสมาธิมากขึ้น

ระบบเจริญพันธุ์ (Reproduction) การหัวเราะบำบัดทำให้ร่างกายทุกส่วนขยับขับเคลื่อน ส่งผลต่อการทำงานของสมองส่วนนอก ส่วนกลาง และส่วนใน ให้ทำงานดีขึ้น เป็นระบบขึ้น ทำให้สมองคิดแง่ดี มองโลกแง่บวก อารมณ์ดี พัฒนาอารมณ์รัก และการมีเพศสัมพันธ์ และช่วยป้องกันอาการไร้อารมณ์ หงอยเหงา โดดเดี่ยว ไม่อยากเข้าสังคม การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ และการเข้าสังคม

สัญชาติญาณการอยู่รอด (Survival instinct) การหัวเราะบำบัดทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว แข็งแรง ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน กระตุ้นการทำงานของเซลล์ประสาท กระดูก กล้ามเนื้อ ร่างกายทำงานเป็นระบบ มีประสิทธิภาพ ป้องกันโรคไขข้อ โรคกระดูกต่างๆ ทั้งกระดูกพรุน ปวดหลัง ปวดเอว อ่อนเปลี้ยเพลียแรง โรคซึมเศร้า นอกจากนี้ยังช่วยทำลายสารอนุมูลอิสระที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งอีกด้วย

แนวคิดของการหัวเราะบำบัด

อิงตามหลักของศาสตร์ตะวันออกที่มองทุกอย่างเป็นองค์รวม โดยเน้นฝึกด้วยท่าหัวเราะ หลายๆท่าต่อเนื่อง 2-3 ชั่วโมง เพราะในแต่ละท่าจะมีประโยชน์ต่างกัน โดยใช้เสียง โอ อา อู เอ นำมาประยุกต์ในกระบวนการหัวเราะบำบัด ซึ่งเป็นเสียงพื้นฐานสากลที่ใช้กันทั่วโลก

เสียงโอ/ท้องหัวเราะ เป็นการออกเสียงจากท้อง โดยยืนตัวตรง กางขาเล็กน้อย กางแขนออกไปด้านข้างของลำตัว งอแขนเล็กน้อย กำมือทั้งสองข้างโดยชูนิ้วหัวแม่มือขึ้น ตามองตรง สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ กักลมไว้ จากนั้นค่อยๆเปล่งเสียง “โอ โอะ ๆ ๆ…” เหมือนเสียงซานตาคลอสหัวเราะ ขณะเดียวกันให้ค่อยๆปล่อยลมหายใจออก พร้อมๆกับขยับแขนขึ้นลง

เสียงอา/อกหัวเราะ เป็นการเปล่งเสียงออกจากอก ให้ยืนตรงกางขาเล็กน้อย กางแขนออกไปข้างลำตัวเหมือนนกกระพือปีก หงายมือขึ้น และปล่อยมือตามสบาย ตามองตรง สูดลมหายใจลึกๆ กักลมไว้ ค่อยๆเปล่งเสียง “อา อะ ๆ ๆ…” ดังๆเหมือนเสียงเจ้าพ่อหัวเราะ ขณะเดียวกันให้ปล่อยลมหายใจออก พร้อมๆกับกระพือแขนขึ้นลง

ประโยชน์ของท่าอกหัวเราะ เมื่อเปล่งเสียงอา จะกระตุ้นให้กล้ามเนื้อบริเวณหน้าอก หัวใจ ปอดและไหล่ขยับเขยื้อนไปด้วย ท่านี้จะช่วยให้อวัยวะบริเวณหน้าอกทั้งหมดทำงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้การสูบฉีดและการไหลเวียนเลือดในร่างกายดีขึ้น

เสียงอู/คอหัวเราะ เป็นการเปล่งเสียงออกจากลำคอ เริ่มด้วยยืนตรง กางขาเล็กน้อย แขนแนบลำตัว ยกตั้งฉากชี้ไปข้างหน้า งอนิ้วนางและนิ้วก้อยเข้าหาตัวเอง ยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นและชี้นิ้วชี้และนิ้วกลางไปข้างหน้าในลักษณะชิดติดกัน เหมือนท่ายิงปืน ตามองตรง จากนั้นสูดลมหายใจลึกๆ กักลมไว้ แล้วค่อยๆเปล่งเสียง “อู อุ ๆ ๆ…” เหมือนเสียงหมาป่าหอน ขณะเดียวกันค่อยๆปล่อยลมหายใจออก พร้อมกับแทงมือไปข้างหน้า

เสียงเอ/ใบหน้าหัวเราะ ท่านี้จะทำแบบสบายๆ โดยยืนตามสบาย ค่อยๆยกมือขึ้นมาตามถนัด สูดลมหายใจลึกๆ แล้วขยับทุกนิ้วทั้งหัวแม่มือ ชี้ กลาง นาง และก้อย ตามองตรง ระหว่างนั้นให้เปล่งเสียง “เอ เอะ ๆ ๆ…” ออกมา เหมือนหยอกล้อเด็ก นอกจากจะได้ฝึกกล้ามเนื้อมัดเล็กที่นิ้วมือแล้วท่านี้ยังช่วยบริหารสมองด้วย

ประโยชน์ของท่าใบหน้าหัวเราะ คนสมัยนี้ชอบคิดมาก บึ้งตึง จึงทำให้เครียด ปวดศีรษะ ปวดสมอง เมื่อเปล่งเสียงเอ ใบหน้าจะมีลักษณะเหมือนกำลังฉีกยิ้มโดยอัตโนมัติ เหมือนเรากำลังเล่นจ๊ะเอ๋กับเด็กตัวเล็กๆ เสียงเอจะทำให้เรายิ้มง่ายขึ้น

ฝึกหัวเราะบำบัดด้วยตนเอง

การฝึกหัวเราะบำบัดด้วยตนเองไม่ใช่เรื่องยาก ขั้นแรก ฝึกหัวเราะโดยมีสิ่งกระตุ้น เช่น ดูภาพยนตร์ตลก และหัวเราะเสียงดัง จากนั้นฝึกหัวเราะโดยไม่มีสิ่งกระตุ้น โดยแยกอารมณ์ขันออกจากการหัวเราะ หรือเข้าใจว่าการหัวเราะไม่จำเป็นต้องมาจาก "ความรู้สึกตลก" เสมอไป การหัวเราะโดยไม่มีเหตุผลนี้ให้เริ่มจากหัวเราะคิกคักและหัวเราะเสียงดังด้วยการเปล่งเสียงออกมาจากท้องผ่านลำคอและริมฝีปาก

หากต้องการให้การหัวเราะได้ผลดียิ่งขึ้น ควรเปล่งเสียงหัวเราะ เพื่อเคลื่อนไหวอวัยวะภายใน 4 ส่วนด้วยการเปล่งเสียงต่างๆ กัน คือเสียง "โอ" ทำให้ภายในท้องขยับ เสียง "อา" ทำให้อกขยับขยาย เสียง "อู" เสียง "เอ" ทำให้ลำคอเปิดโล่ง และช่วยบริหารใบหน้า

ขั้นตอนเริ่มจากหายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้สักครู่ เปล่งเสียงเป็นจังหวะเช่น โอ โอ โอ โอ ยาวๆ จนกว่าจะหมดอากาศที่เก็บไว้ สูดหายใจเข้าใหม่ หัวเราะเสียงละ 3 ครั้ง เมื่อออกเสียงเป็นจังหวะแล้วให้บริหารร่างกายไปด้วย เริ่มจากเสียง "โอ" ให้ย่ำเท้าอยู่กับที่ เสียง "อา" ให้ยกแขนขึ้นสูงๆ แล้วโบกไปมา เสียง "อู" ให้ส่ายเอวท่าฮูลาฮูบ เสียง "เอ" ให้หมุนหัวไหล่ โดยทำท่าเหล่านี้ในระหว่างที่หัวเราะด้วย

นอกจากนี้ยังมีท่าหัวเราะบำบัดอีก ดังนี้

จมูกหัวเราะ ย่นจมูกขึ้นและทำเสียง “ฮึๆ…” ในจมูกเหมือนม้า ท่านี้จะช่วยไล่สิ่งสกปรกในจมูกออกมา บำบัดภูมิแพ้ ไซนัส หวัด โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาเรื่องระบบหายใจ ท่านี้จะช่วยให้จมูกโล่ง

ตาหัวเราะ กะพริบตาถี่ๆ กรอกตาขึ้นลงเป็นวงกลม แล้วเปล่งเสียง “อ่อย ๆ ๆ…” เล่นหูเล่นตา มองซ้ายที ขวาที เพื่อการบริหารดวงตาให้ผ่อนคลาย ใครที่มีปัญหาตาแห้งหรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ท่านี้จะทำให้มีน้ำหล่อเลี้ยงที่ตา ช่วยให้ตาชุ่มชื้นขึ้น

สมองหัวเราะ โดยธรรมชาติของมนุษย์เมื่อเครียดมักจะปิดปาก เป็นเหตุให้ความดันขึ้นสมอง ท่านี้จะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าว โดยปิดปากแล้วเปล่งเสียง “อึ ๆ ๆ…” ดันให้เกิดการสั่นสะเทือน ขึ้นไปนวดสมอง เมื่อทำเสร็จจะรู้สึกโล่ง โปร่งสบาย

ไหล่หัวเราะ เป็นการบริหารช่วงไหล่ ยืนตรงแล้วส่ายไหล่ไปมา เหมือนการว่ายน้ำฟรีสไตล์ พร้อมกับเปล่งเสียง “เอ เอะ ๆ ๆ…” ใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับไหล่ ท่านี้ช่วยได้

เอวหรือก้นหัวเราะ ช่วยบริหารบริเวณไขสันหลัง ก้นและสะโพก โดยช่วงกลางลำตัวต้องนิ่งอยู่กับที่ ขณะทำให้แขม่วท้องขมิบก้น พร้อมเปล่งเสียง “อู อุ ๆ ๆ…”

หากวันนี้คุณยังหาวิธีออกกำลังที่เหมาะกับตัวเองไม่ได้ลองชวนคนในครอบครัวมาหัวเราะพร้อมเคลื่อนไหวร่างกายด้วยกันสิคะ นอกจากได้ออกกำลังแล้ว ยังสร้างรอยยิ้มในครอบครัวคุณอีกด้วย

*******************************************

พิมพา ฟาร์อีสเทิร์น

4 เคล็ดลับหยุดสะอึก

สะอึก แม้จะเป็นอาการสร้างความรำคาญ แต่บางครั้งก็ทำให้เจ้าตัวและคนรอบข้างได้ขำขันกันอย่างอารมณ์ดี อาการมักเกิดขึ้นหลังจากกินหรือดื่มน้ำมากเกินไปหรือหลังจากหัวเราะแบบกลั้นไม่อยู่ชุดใหญ่

อาการนี้ไม่มีอ้นตรายร้ายแรงและสามารถแก้ได้หลายวิธี ลองทำกันดูนะค่ะ

1. ยืนตรง แล้วโน้มตัวลงมาด้านหน้ากินและกลืนน้ำตาลทรายไม่ขัดขาว1ช้อนชา มีการศึกษาพบว่า วิธีนี้ใช้ได้ผลในคนทีมีอาการ19คน ในจำนวล20คน

2. กลืนน้ำให้มากที่สุดลงคลในคราวเดียวโดยกลืนช้าๆ ทำบ่อยๆ เพราะการกลืนทำให้หลอดอาหารหดตัวเป็นจังหวะ แก้การเกร็งตัวซ้ำๆของกระบังลม

3. ฉีกขนมปังเป็นชิ้นเล็กๆแล้วค่อยๆเคี้ยวขนมปัง กลืนช้าๆ

4. กลั้งคอด้วยน้ำสะอาด

ถูกใจวิธีไหนเลือกทำได้อย่างปลอดภัยทุกวิธีค่ะ

กินผลไม้ให้ถูกเวลา...มากคุณค่า

บ้านเราโชคดีที่เป็น ประเทศที่มีผลไม้หลากหลายชนิดให้เลือกกินกันได้ไม่มีขาดตลอดทั้งปี แถมราคาก็ยังไม่แพง ได้ของสดๆ ตรงจากสวนจากไร่แทบไม่ต้องง้อผลไม้ แช่เย็นจากแดนไกล ( เว้นแต่ใครอยากกินผลไม้แปลกใหม่ไม่มีในเมืองไทยก็ไม่ว่ากัน) ซึ่งเรื่องนี้ทำเอาชาวต่างชาติมากมายติดใจไม่น้อย เพราะที่บ้านเมืองเขาอาจซื้อหาผลไม้ มากินในราคาถูกแบบนี้ได้ไม่ง่ายนักคนส่วนใหญ่ทราบว่าเราควรกินผลไม้เพราะ จะได้คุณค่าสารอาหารทั้งคาร์โบไฮเดรต วิตามิน เกลือแร่ กรดอะมิโน กรดไขมันต่างๆ ที่จำเป็น ซึ่งจะเป็นกำลังเสริมให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ผลไม้บางครั้งยังเป็นเหมือนยาบำบัดที่ธรรมชาติสร้างให้มนุษย์ เช่นในวันที่อากาศร้อนๆ หากได้ลิ้มรสแตงโมสักชิ้นก็ทำให้ฉ่ำชื่นใจคลายร้อนไปได้มาก หรือคุณอาจเคยได้ยินว่า กินกล้วยน้ำว้าแล้วจะทำให้คลายจากท้องผูก แถมยังทำให้อารมณ์ดี เพราะเชื่อว่าในกล้วยมีสาร Tryptophan เมื่อกินเข้าไปจะเปลี่ยนเป็น Serotonin ที่เป็นสารสร้างความสุขให้กับคนเรา แต่ก็เชื่อว่าหลายๆ คนยังมองการกินผลไม้เป็น เรื่องรอง มีก็กิน ไม่มีก็ไม่กิน หรือบางคนตั้งใจกินผลไม้แต่กินผิดเวลา คุณค่าที่ควรจะได้จากผลไม้ที่กินเข้าไปก็เลยลดลงอย่างน่าเสียดาย

ร่างกายคนเราเหมาะจะย่อยผลไม้มากกว่าเนื้อสัตว์

หนังสือขายดีไปทั่วโลกชื่อ Fit for Life ของนักบรรยายเรื่องโภชนาการชาวอเมริกัน ฮาร์วีย์ และมาริลีน ไดมอนด์ ได้เสนอแนวคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับการกินผลไม้จนเราอดไม่ได้ที่ต้องนำมาถ่ายทอดสู่กัน ฟังว่า ที่จริงแล้วเมื่อสืบค้นถึงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์มนุษย์ อย่างที่ ดร.อลัน วอล์คเกอร์ นักมานุษยวิทยาคนสำคัญ ได้เผยผลการศึกษาในหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2522 นั้น ดร.วอล์คเกอร์ได้ศึกษาอย่างละเอียดทั้งจากหลักฐาน โครงกระดูกและฟันของมนุษย์ ตลอดจนซากฟอสซิลต่างๆ เขายืนยันว่ามนุษย์นั้น แต่เดิมไม่ใช่เป็นพวกที่กินเนื้อ เมล็ดพืช หรือแม้แต่ผักหญ้าใดๆ หากแต่ดำรงชีวิตอยู่ด้วย การเก็บผลไม้มากิน ธรรมชาติได้สร้างร่างกายคนให้รองรับกับการกินผลไม้เป็น อาหารตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เพิ่งมามีช่วงศตวรรษที่ผ่านมานี้เองที่เราหันไปกินเนื้อสัตว์กันมาก ขึ้นกว่าเดิมมาก ซึ่งผลตามมาก็คือ ร่างกายต้องปรับตัวอย่างหนัก บางครั้งปรับตัว ไม่ไหวก็กลายเป็นพิษ เห็นจากอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นของโรคหลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน หรือมะเร็งนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งเม็ดเลือด เต้านม ตับ กระเพาะอาหาร ฯลฯ ขณะที่การกินผลไม้เป็นวิธีสำคัญที่ช่วยล้างพิษ เพราะผลไม้ส่วนใหญ่มีน้ำประกอบอยู่ ในปริมาณ 80-90% ทั้งมีกากใย จึงช่วยกวาดล้างพิษต่างๆ ซึ่งคั่งค้างในร่างกายให้ออก ไปโดยการขับถ่าย ดังนั้นเมื่อรวมกับสารอาหารที่เราได้จากผลไม้แล้ว จึงนับว่าเป็นอาหาร ที่ให้ประโยชน์กับร่างกายสูงกว่าอาหารอีกหลายชนิด ในข้อแม้ว่าต้องกินอย่างถูกต้องและเหมาะสมจริงๆ

นอกจากให้สารอาหารต่างๆ แล้ว ไดมอนด์ยังยืนยันว่า การกินผลไม้ แม้จะมีน้ำตาล คาร์โบไฮเดรต และแคลอรีสูง แต่ไม่ได้ทำให้เราอ้วนแบบการกินอาหารชนิดอื่นๆ โดยอ้างถึง ผลงานวิจัยของ ศ.จูดิท โรแดง จากมหาวิทยาลัยเยล ที่ได้แถลง ผลงานวิจัยของเธอในเดือน ต.ค.ปี 2526 เกี่ยวกับน้ำตาลในผลไม้มีผล ต่อการกินอาหารมื้อต่อไปได้ลดลง โดยทดลองให้คนดื่มน้ำหวานจากน้ำตาล ฟรุคโตสที่ได้จากผลไม้กลุ่มหนึ่ง เปรียบเทียบกับอีกกลุ่มที่ให้กินน้ำหวานจาก น้ำตาลซูโครส แล้วให้ทั้งสองกลุ่มกินอาหารมื้อต่อไป พบว่ากลุ่มที่กินน้ำตาล ผลไม้จะกินอาหารมื้อต่อไปได้น้อยกว่าอีกกลุ่มเฉลี่ยถึง 479 แคลอรี ขณะที่ ดร.วิลเลียม คาสเทลลี จากฮาร์วาร์ด และศูนย์ศึกษาโรคหัวใจฟรามิงแฮม (แมสซาชูเส็ท) พบว่าสารหลายชนิดที่พบในผลไม้มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของ การเกิดโรคหัวใจและหัวใจวายได้ โดยช่วยป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวหนาจนไป อุดตันในหลอดเลือด นอกจากนี้ร่างกายจะใช้เวลาในการย่อยและดูดซึมสารอาหาร จากผลไม้ไปใช้ในร่างกายเพียง 20-30 นาทีเท่านั้น แถมยังใช้พลังงานสำหรับการย่อยน้อยมาก (โดยเฉพาะผลไม้ที่มีน้ำมาก เช่น ส้ม องุ่น ในขณะที่หากเป็นกล้วย ทุเรียน อินทผลัม ซึ่งมีน้ำน้อย จะใช้เวลาย่อยนานขึ้น) ซึ่งต่างกับการกินอาหารชนิดอื่น เช่น ข้าว เนื้อสัตว์ ฯลฯ จะต้องใช้พลังงานในการย่อยอย่างสูง ใช้เวลานานตั้งแต่ชั่วโมงครึ่ง ถึง 4 ชั่วโมง หรือหากกินอาหาร หลายๆ อย่างพร้อมกัน เช่น เนื้อสัตว์ แป้ง ในปริมาณมากๆ อาจใช้เวลาย่อยนานถึง 8 ชั่วโมง ใช้พลังงานไปกับการย่อยเต็มที่ ผลก็คือ ทำให้เรารู้สึกเพลีย ง่วงเหงาหาวนอนหลังอาหารมื้อนั้น ซึ่งอาการนี้จะ ไม่เกิดเลยหลังจากที่เรากินผลไม้เข้าไป

กินผลไม้ตอนท้องว่าง...ได้ประโยชน์สูงสุด

ไดมอนด์เสนอแนว ความคิดว่าน้ำและกากใยในผลไม้ช่วยในการขับถ่าย ของเสียออกจากร่างกาย จึงช่วยลดน้ำหนักได้ และร่างกาย จะใช้ประโยชน์จากผลไม้สูงสุดต่อเมื่อคนนั้นต้องกินผลไม้ อย่างถูกวิธี คือการกินผลไม้ขณะที่ท้องว่าง ไม่ควรกินผลไม้ พร้อมกับหรือหลังอาหารอื่นๆ หรือหากกินผลไม้แล้วจะกินอาหาร อื่นตาม ก็ควรรอเวลาอย่างน้อย 20-30 นาทีเพื่อให้ผลไม้ที่กินเข้าไป ตกสู่ลำไส้เล็กและดูดซึมสารอาหารจากผลไม้เข้าสู่ร่างกายได้อย่างเต็มที่ การห้ามกินผลไม้หลังอาหารนั้นเพราะเมื่ออาหารตกถึงกระเพาะจะใช้เวลา ย่อยประมาณ 4 ชั่วโมง หากกินผลไม้ตามลงไปแทนที่จะผ่านไปยังลำไส้เล็ก ได้เลยก็จะต้องถูกขัดขวางจากอาหารที่รอการย่อยเหล่านั้น ระหว่างนี้ทั้งอาหาร และผลไม้ที่ผสมกันในกระเพาะจึงอาจทำให้เกิดการหมักบูด เกิดแก๊ส ซึ่งมีผลให้ เกิดอาการแน่น จุก หรือไม่สบายท้องได้ ทั้งนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ ดร.เฮอร์เบิร์ต เอ็ม. เชลตัน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโภชนาการของสหรัฐฯ ที่เน้นว่าคุณค่าของผลไม้ จะให้ประโยชน์กับเราเต็มที่เมื่อกินขณะท้องว่าง แต่หากใครที่กิน ผลไม้ไม่ถูกวิธี แต่ไม่รู้สึกแย่อะไร ก็แสดงว่าร่างกายคุณปรับตัวได้ดี แต่ก็น่าเสียดายที่จะไม่ได้รับคุณค่าของผลไม้เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น

ดังนั้นหากใครที่กินอาหาร แล้วต้องการกินผลไม้ตาม ควรรอเวลาให้อาหารที่กินเข้าไปก่อนหน้า นั้นย่อยหมดก่อน แล้วจึงค่อยกินผลไม้ หากเป็นอาหารเบาๆ เช่น สลัดผักสด ใช้เวลารอประมาณ 2 ชั่วโมง หรือหากคุณเพิ่งกินอาหารหนักอย่างเช่น ข้าว หรือเนื้อสัตว์ ที่ใช้เวลาย่อยนานขึ้น ก็อาจต้องรออย่างน้อย 4 ชั่วโมง หรือกินอาหารหลายๆ อย่างรวมกัน มีกากใยน้อย ย่อยยากขึ้น ก็อาจใช้เวลามากถึง 8 ชั่วโมงเลยทีเดียว ซึ่งไม่แนะนำให้กินผลไม้ตามไปในช่วงเวลานั้นเลย

ตามแนวคิดนี้ เวลาที่เหมาะสมที่สุด ที่ควรจะกินผลไม้หรือดื่มน้ำผลไม้ คือ ช่วงเช้าของทุกวัน ตั้งแต่ตอนตื่น จนถึงเที่ยง เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายสะสมพลังงานไว้เต็มเปี่ยมตลอดคืน ดังนั้นเวลาตื่นจะเป็นช่วงที่ร่างกายสดชื่นที่สุด จึงไม่ควรจะสูญเสียพลังงานที่มีค่า ของวันนี้ไปเปล่าๆ กับการย่อยอาหารนานๆ แต่การกินผลไม้ที่ใช้พลังงานในการย่อย ต่ำจะช่วยให้เรามีพลังงานเหลือเฟือไว้ใช้ประโยชน์กับกิจกรรมอื่นๆ ของชีวิต และดูดซึมสารอาหารที่ควรจะได้รับอย่างเต็มที่ รวมทั้งได้กากใยช่วยชับของเสียที่ สะสมมาจากวันก่อน ทั้งมีส่วนช่วยให้น้ำหนักลดลง โดยที่ในช่วงเวลาดังกล่าวเรา สามารถกินผลไม้ได้มากเท่าที่อยากกิน และเว้นระยะประมาณสักครึ่งชั่วโมงจึงค่อย กินอาหารมื้อกลางวัน หากทำแบบนี้ได้เป็นประจำ ร่างกายเราก็จะได้รับสารอาหาร สำคัญจากผลไม้เต็มที่ ช่วยให้เราคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวได้ดี มีอายุยืน สุขภาพดี กระชุ่มกระชวย อยู่เสมอ

มาตรฐานคือ ต้อง “ สด ” 100%

ผลไม้ที่เราจะกิน หรือน้ำผลไม้ จะเป็นชนิดไหนก็ได้ สำคัญที่สุดคือ ต้อง “ สด ” 100% ไม่ได้ผ่านความร้อน การหมักดอง หรือการปรุงรสใดๆ เพราะร่างกายเราจะนำไปใช้ประโยชน์ได้มากที่สุดเมื่อมันอยู่ใน สภาพธรรมชาติเท่านั้น แต่ผลไม้ที่ผ่านความร้อนปรุงเป็นอาหาร จะสูญเสียคุณค่าในตัวเองไปหมดแล้ว หากเป็นน้ำผลไม้ก็ควรเลือก ดื่มชนิดที่คั้นสด 100% จะดีกว่าชนิดที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน หรือน้ำผลไม้ที่ผสมจากหัวเชื้อเข้มข้น ซึ่งแบบนั้นจะไม่ได้คุณค่าอาหาร แบบที่น้ำผลไม้คั้นสดจะให้ได้ ดื่มน้ำผักหรือผลไม้คั้นสดแทนการดื่มชา กาแฟ ในยามเช้า ก็เป็นหนทางสู่การมีสุขภาพดี แถมยังช่วยให้แต่ละวันของคุณเป็น วันที่แจ่มใสได้อีกด้วยแนวคิดของไดมอนด์ที่ปรากฏในหนังสือนั้นเป็นอีกแนวทาง หนึ่งในการดูแลสุขภาพร่างกายให้สอดคล้องกับที่ธรรมชาติสร้างมา ให้ใครสนใจอาจลองนำไปปฏิบัติตามได้ไม่เสียหลายนะคะ

คำแนะนำสำหรับกลุ่มต่างๆ

อาหารที่รับประทานต้องมีพลังงานเพียงพอ และมีสารอาหารเพียงพอ

กลุ่มคนทั่วๆไป

รับประทานอาหารหลากหลายให้ครบห้าหมู่โดยหลีกเลี่ยงอาหารไขมันอิ่มตัว [Saturated fat],Tranfatty acid น้ำตาล เกลือ และสุรา

ปริมาณพลังงานที่ได้รับไม่ควรเกินค่าที่กำหนด

กลุ่มคนต่างๆ

ผู้ที่สูงอายุมากกว่า 50 ปีควรจะได้รับวิตามิน B12 เสริม

หญิงตั้งครรภ์หรือวางแผนตั้งครรภ์ควรจะเสริมอาหารที่มีธาตุเหล็ก และอาหารที่มีวิตามินซีสูงเพื่อเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก

หญิงตั้งครรภ์หรือวางแผนตั้งครรภ์ควรจะเสริมอาหารที่มีกรดโฟลิก

ผู้สูงอายุที่มีผิวคล้ำหรือไม่ถูกแดดควรจะได้วิตามินดีเสริม

รายละเีอียดอ่านที่นี่

กลุ่มคนอ้วนหรือมีน้ำหนักเกิน

คำแนะนำ

การควบคุมน้ำหนักจะต้องรับประทานอาหารให้พลังงานที่ได้รับและใช้ไปเกิดความสมดุล

การลดน้ำหนักจะต้องค่อยลดพลังงานที่ได้รับจากอาหารโดยที่ไม่ขาดสารอาหาร และเพิ่มการออกกำลังกาย

สำหรับเด็กที่มีน้ำหนักเกินจะต้องปรึกษาแพทย์ดูแล ก่อนการจำกัดอาหาร

สำหรับคนท้องต้องควบคุมน้ำหนักอย่าให้เกิน

สำหรับคนทั่วไปที่มีโรคจะต้องปรึกษาแพทย์ก่อนการควบคุมอาหาร

การจัดการเรื่องน้ำหนัก

ปัญหาเรื่องคนอ้วนหรือน้ำหนักเกินเป็นปัญหาทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย นอกจากนั้นยังว่าว่าเด็กและเด็กวัยรุ่นมีปัญหาเรื่องน้ำหนักเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคเรื้องรังต่างๆตามมา คนที่มีน้ำหนักเกินมักจะเกิดจากพฤติกรรมในการรับประทานอาหารที่มากเกินไป และพฤติกรรมในการออกกำลังกายน้อยเกินไป ลำพังการลดปริมาณวันละ 100 กิโลแคลอรีก็จะป้องกันน้ำหนักเพิ่ม หรือลดปริมาณลงวันละ 500 กิโลแคลอรีก็จะทำให้น้ำหนักลดลงได้ แต่การลดน้ำหนักโดยให้ลดอาหารเป็นเรื่องยากจึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใส่น้ำตาล หรือการรับประทานอาหารมัน หรือเครื่องดื่ม คำแนะนำสำหรับการลดน้ำหนัก

การรักษาน้ำหนักให้ดีต้องปรับพลังงานที่ได้จากอาหารที่รับประทาน ให้สมดุลกับพลังงานที่เราใช้(น้ำหนักเท่าเดิม)

การป้องกันน้ำหนักเกินทำได้โดยการลดปริมาณอาหาร ลดน้ำตาล และเพิ่มการออกกำลังกาย

คำแนะนำสำหรับคนอ้วนแต่ละกลุ่ม

สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักต้องลดอาารที่มีแคลรี่ต่ำ

สำหรับเรื่องพลังงานที่ใช้ในแต่ละกิจกรรมให้อ่านที่นี่

สำหรับดัชนีมวลการคำนวนได้จากที่นี่ หรือเปิดดูจากตารางที่นี่

เรื่องโรคอ้วนอ่านที่นี่

การออกกำลังกาย

ส่งเสริมให้มีกิจกรรมให้มาก อย่านั่งๆนอนๆจะทำให้สุขภาพกาย สุขภาพใจ และการควบคุมน้ำหนักดีขึ้น

สำหรับผู้ใหญ่ ส่งเสริมให้มีกิจกรรมที่ใช้พลังงานปานกลาง มากกว่าปกติวันละ 30 นาทีทุกวันไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน หรือที่บ้าน เช่นการถูบ้าน การเดินขึ้นบันได การเดินเร็วๆไปจ่ายตลาด

ถ้าต้องการให้สุขภาพแข็งแรงให้ออกกำลังกายชนิดหนัก หรือออกกำลังกายนานขึ้น

ถ้าต้องการควบคุมน้ำหนักหรือป้องกันน้ำหนักเพิ่มต้องออกกำลังกายชนิดปานกลางหรือชนิดหนักวันละ 60 นาทีทุกวัน โดยที่รับประทานอาหารที่มีพลังงานเท่าเดิม

ถ้าต้องการลดน้ำหนักลดน้ำหนักต้องออกกำลังกายปานกลางถึงหนักวันละ 60-90 นาทีโดยที่รับประทานอาหารที่ให้พลังงานไม่เกิน

ส่งเสริมให้ร่างกายแข็งแรงโดยการ ออกกำลังเพื่อให้หัวใจแข็ง ออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ออกกำลังกายเพื่อให้ข้อเคลื่อนไหวได้ดี ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายมีความอดทน

การออกกำลังสำหรับกลุ่มต่างๆ

เด็กและวัยรุ่นให้ออกกำลังกายวันละ 60 นาทีทุกวัน

ในคนท้องที่ไม่มีข้อห้ามในการออกกำลังกายให้ออกกำลังปานกลางวันละ 30นาทีทุกวัน แต่ต้องหลีกเลี่ยงการออกกำลังที่จะเกิดอันตรายต่อการตั้งครรภ์

ผู้สูงอายุต้องมีกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อลดอัตราการเสื่อมของอวัยวะ

ข้อเท็จจริงบางประการ

ปี 2002ร้อยละ 25 ของประกรของอเมริกาไม่ได้ออกกำลังกาย

ปี2003 ร้อยละ 38 ของประชากรวัยรุ่นใช้เวลาดูทีวีวันละ 3 ชั่วโมง

การออกกำลังกายชนิดหนักจะให้ผลดีต่อสุขถาพดีกว่าชนิดปานกลาง และใช้พลังงานมากว่า

การออกกำำลังกายจะทำให้การควบคุมอาหารทำได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราคนที่ออกกำลังกายสามารถรับประทานอาหารได้เพิ่มขึ้น

ต้องป้องกันร่างกายขาดน้ำโดยการดื่มอย่างเพียงพอ หรือดื่มขณะออกกำลังกาย หรือหลังการออกกำลังกาย

ให้มีการออกกำลังกายอย่างสมำ่เสมอ ลดการนอนหรือดูทีวีซึ่งจะทำให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตดี

เพื่อป้องกันหรือลดอุบัติการณ์ของการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ให้ออกกกำลังกายปานกลางวันละ 30 นาที หรือกิจกรรมประจำวัน

หากออกกกำลังกายหนักเพิ่มขึ้น(ชนิดหนัก)ก็จะส่งผลดีต่อสุขภาพ

หากต้องการควบคุมน้ำหนักไม่ให้เพิ่มต้องออกกำลังกายชนิดปานกลางวันละ 60 นาทีทุกวัน

หากต้องการลดน้ำหนักอย่างต่อเนื่องต้องออกกำลังกายชนิดปานกลาง-หนักวันละ 60-90 นาที

หากต้องการให้ร่างกายแข็งแรงต้อง ออกกำลังกายให้หัวใจแข็งแรง มีความยืดหยุ่น กล้ามเนื้อแข็งแรง กล้ามเนื้อมีความทนทาน

คำแนะนำ

เด็กและวันรุ่นต้องออกกำลังกายวันละ 60 นาทีทุกวัน

คนท้องหากไม่มีข้อห้ามในการออกกำลังกายให้ออกกำลังกายปานกลางวันละ 30 นาทีทุกวัน แต่ต้องหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการหกล้ม

คนให้นมบุตร ต้องตระหนักว่าการออกกำลังกายอาจจะทำให้น้ำนมลดลง

คนสูงอายุ การออกกำลังสำหรับผู้สูงอายุจะทำให้สุขภาพดี ลดการเสื่อมของอวัยวะ คลิกอ่านที่นี่ แต่ผู้สูงอายุบางท่านต้องปรึกษาแพทย์ก่อนออกกำลังกาย อ่านที่นี่

การออกกำลังกายอ่านที่นี่

คำแนะนำชนิดของอาหาร

รับประทานผักและผลไม้ให้มากโดยรับประทานน้ำผลไม้วันละ 2 แก้ว ผักวันละ 2 ถ้วย

ให้มีการรับประทานผักและผลไม้ที่หลากหลายสับเปลี่ยนกันอยู่ตลอดเวลา

ให้รับประทานธัญพืชวันละกำมือ เช่นถั่วต่าง เม็ดทานตะวัน เม็ดแตงโม

ให้รับประทานนมพร่องมันเนยหรือผลิตภัณฑ์นมพร่องมันเนยวันละ 3 ถ้วย

คำแนะนำอาหารสำหรับเด็ก

เด็กและวัยรุ่นต้องรับประทานธัญพืชบ่อยๆ เด็กอายุ 2-8ขวบควรจะดื่มนมพร่องมันเนยวันละ 2 แก้ว เด็กมากกว่า 9 ขวบควรดื่ม 3 แก้ว

กลุ่มอาหาร

เลือกรับประทานผักและผลไม้อย่างเพียงพอโดยพลังงานที่ได้รับต้องไม่เกินเกณฑ์ตัวอย่างคนที่ได้รับพลังงาน 2000 กิโลแคลรอรีจะรับผลไม้ได้ไม่เกิน ผัก 21/2ถ้วยหรือนำผลไม้ไม่เกิน 2 ถ้วย

ให้เลือกผักและผลไม้ทั้ง 5 กลุ่มสับไปมา

ให้รับประทานส่วนประกอบของธัญพืช หรือเมล็ดธัญพืช เช่น ข้าว อย่างน้อยวันละ 3 ส่วน

ดื่มนมพร่องมันเนยวันละ 3 ถ้วย

กลุ่มผักและผลไม้

ผลและผลไม้เป็นแหล่งให้สารอาหารแก่ร่างกายเป็นจำนวนมากตามตารางข้างล่าง

การรับประทานผักและผลไม้จะทำให้ร่างกายได้รับใยอาหารอย่างเพียงพอ

ผลและผลไม้แต่ละชนิดจะให้คุณค่าทางอาหารแตกต่างกันไป ดังนั้นต้องสับเปลี่ยนกันไปในแต่ละอาทิตย์ แบ่งผักออกเป็น 5 ชนิดและปริมาณที่ควรจะรับประทานในแต่ละสัปดาห์

ผักใบเขียว 3ถ้วยต่อสัปดาห์

ผักใบเหลือง 2 ถ้วยต่อสัปดาห์

ถั่ว 3 ถั่วต่อสัปดาห์

ผักพวกใหแป้ง(ผักพวกหัว) 3 ถั่วต่อสัปดาห์

ผักอื่นๆ 6 1/2 ต่อสัปดาห์

ธัญพืชครบส่วน Whole grain

ธัญพืชครบส่วนเป็นแหล่งที่ให้ใยอาหารและสารอาหาร ปกติเมล็ดพืช จะมีส่วนประกอบที่สำคัญคือ เปลือก รำ ส่วนแพร่พันธ์ และอาหารสำหรับเลี้ยงส่วนแพร่พันธ์ เมื่อเรากระเทาะเอาเปลือกออกก็จะเหลือธัญพืชครบส่วน(ซึ่งประกอบด้วย รำ ส่วนแพร่พันธ์ และอาหาร) หากเรานำไปขัดก็จะสูญเสียสารอาหารที่สำคัญ vitamins, minerals, lignans, phytoestrogens, phenolic compounds, and phytic acid. ธัญพืชที่ผ่านการขัดบางชนิดจะมีการเติมวิตามินบางชนิดก่อนขาย แนะนำว่าควรจะรับอาหารธัญพืขครบส่วนอย่างน้อยวันละ 3 ออนซ์ ตัวอย่างสำหรับแป้งที่ทำจากธัญพืช

ตารางแสดงธัญพืชครบส่วนที่ไม่ผ่านการขัดและที่ผ่านการขัด

100 Percent Whole-Grain Wheat Flour Enriched, Bleached, All-Purpose White Flour

Calories, kcal 339.0 364

Dietary fiber, g 12.2 2.7

Calcium, mg 34.0 15

Magnesium, mg 138 22

Potassium, mg 405 107

Folate, DFE, ?g 44 291

Thiamin, mg 0.5 0.8

Riboflavin, mg 0.2 0.5

Niacin, mg 6.4 5.9

Iron, mg 3.9 4.6

ตารางแสดงธัญพืชครบส่วน

Whole wheat

Whole oats/oatmeal

Whole-grain corn

Popcorn

Brown rice

Whole rye

Whole-grain barley

Wild rice

Buckwheat

Triticale

Bulgur (cracked wheat)

Millet

Quinoa

Sorghum

คำแนะนำสำหรับอาหารไขมัน

รับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว saturated fat ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของพลังงานที่ได้รับหรือไม่เกินวันละ 300 กรัมของคลอเลสสเตอรอลล์ และหลีกเลี่ยงไขมันชนิด trans fatty acid

ปริมาณพลังงานที่ได้จากไขมันต้องไม่เกิน 30%ของปริมาณทั้งหมด และควรจะเป็นพวกไขมันไม่อิ่มตัวpolyunsaturated

and monounsaturated fatty acids จากพืชและถั่ว

เมื่อจะรับประทานเนื้อสัตว์ต้องเลือกเนื้อที่มีไขมันต่ำ เช่นเนื้อสันใน หรือแกะเอาหนังและไขมันทิ้ง

ลดการรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมัน trans fatty

สำหรับเด็กเล็กอายุ 2-3 ขวบให้รับประทานไขมันได้ถึงร้อยละ 30-35 สำหรับเด็กอายุ 4-18 ปีให้รับประทานอาหารไขมันได้ถึงร้อยละ 25-35 และแหล่งไขมันควรจะเป็นไขมันไม่อิ่มตัว polyunsaturated and monounsaturated

fatty acids,เช่น ปลา ถั่ว และน้ำมันพืช

คำแนะนำสำหรับอาหารจำพวกแป้ง

รับประทานอาหารพวกแป้งที่มีใยอาหารสูง ได้แก่ผักและผลไม้

การปรุงอาหารไม่ไส่เกลือหรือน้ำตาลมากเกินไป

ป้องกันฟันผุโดยการลดน้ำตาลและเครื่องดื่ม

การรับประทานอาหารที่มีเกลือต่ำ

สำหรับคนทั่วไปให้รับประทานอาหารที่มีเกลือน้อยกว่า 2300 มิลิกรัม(ประมาณ 1 ช้อนชา)

เวลาปรุงอาหารให้ใส่เกลือให้น้อยที่สุด

สำหรับคนที่เสี่ยงต่อโรคความดํนโลหิตสูง(คนที่มีประวัติครอบครัวเป็นความดันโลหิตสูง อ้วน ผิวดำ โรคเบาหวาน)ต้องรับประทานเกลือเพียง 1500มิลิกรัม และรับประทานเกลือโปแตสเซียมวันละ 4700 มิลิกรัม

คำแนะนำเรื่องการดื่มสุรา

สำหรับผู้ที่ต้องการดื่มสุราใหดื่มได้ไม่เกิน 1และ 2 หน่วยสุราสำหรับหญิงและชาย

ผู้ที่มีโรคประจำตัวเช่นความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจไม่ควรดื่มสุรา

ผู้ที่ไม่สามารถจะจำกัดการดื่มสุรา หญิงตั้งท้อง หญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เด็ก วัยรุ่น หรือผู้ที่รับประทานยาเป็นประจำไม่ควรจะดื่มสุรา

รายละเอียดอ่านที่นี่

คำแนะนำเรืองการรับประทานอาหารอย่างปลอดภัย

ล้างมือ อาหาร ผลไม้ทุกครั้ง

เวลาไปวื้อาหาร ให้แยกอาหารที่พร้อมรับประทานออกจากอาหารสด

ปรุงอาหารให้สุก

อาหารที่แช่เย็นหรือแช่แข็งต้องทำละลายก่อนไปปรุงอาหาร

หลีกเลียงอาหารสุกๆดิบๆ นมที่ไม่ได้มีการฆ่าเชื้อโรค ไข่ดิบ

แนวทางการรับประทานอาหารร่วมกับการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะช่วยลดอุบัติการณ์ของโรคต่าง

หากใช้เกณฑ์การรับประทานอาหารใหม่จะต้องปรับอาหารอย่างไร ปริมาณวิตามินที่ควรจะรับประทานในแต่ละอายุ

เกณฑ์อาหารสุขภาพใหม่ของอเมริกาเพิ่งจะประกาศ การทำเกณฑ์ใหม่จะอาศัยของมูลทางวิชาการซึ่งมีหลักฐานสนับสนุน เกณฑ์ใหม่นี้จะมีการเปลี่ยนแปลงหลายประการ และจะลงรายละเอียดถึงปริมาณสารอาหารรวมทั้งเกลือแร่ มีการศึกษาพบว่าลำพังการรับประทานอาหารให้ถูกต้องจะลดอัตราการเสียชีวิตลงได้ร้อยละ 16 และ9สำหรับชายและหญิงที่มีอายุมากกว่า 45 ปีการเปลี่ยงแปลงมีดังนี้ี้

ปริมาณผลไม้จะต้องมีการเพิ่มปริมาณที่รับประทานอีกร้อละ 100-150 เพิ่ม .8-1.2 ถ้วยตวง

ต้องมีการเพิ่มปริมาณผักอีกร้อยละ 50 เพิ่ม0.9 ถ้วยตวง

ต้องดื่มนมเพิ่มอีกร้อยละ 50-100 เพิ่ม 1.2-1.6 ถ้วงตวง

เนื้อสัตว์ลดลงร้อยละ10 เนื้อสัตว์ลดลง 1.4 oz

ลดอาหารไขมันลงร้อยละ10 ลดลง 4.2 กรัม

เพิ่มผักใบเขียวประมาณ ครึ่งถ้วยตวง

เพิ่มส้ม 0.2 ถ้วงตวง

เพิ่มอาหารจำพวกถั่ว 0.3 ถั่วตวง

เพิ่มธัญพืช 2.2 oz

ลดไขมัน 18-27 กรัม

ลดน้ำตาล 14-18 ช้อนชา

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์อีส เลขที่ 2

ระบบวงจรเลือด

ระบบวงจรเลือด ทำหน้าที่ลำเลียงแก๊สออกซิเจนและสารอาหารต่างๆ ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย พร้อมทั้งนำแก๊ส คาร์บอนไดออกไซด์ และของเสียที่เกิดขึ้นกำจัดออกนอกร่างกาย ระบบวงจรเลือดประกอบด้วย หัวใจ หลอดเลือด และเลือด ซึ่งอวัยวะต่างๆ มีหน้าที่ ดังนี้

1. หัวใจ เป็นอวัยวะสำคัญที่สุดของระบบวงจรเลือด หัวใจประกอบด้วยกล้ามเนื้อพิเศษ ตั้งอยู่ในทรวงอกด้านซ้าย มีรูปร่างคล้ายดอกบัวตูมมีขนากเท่ากับกำปั้นของผู้เป็นเจ้าของ ภายในหัวใจเป็นโพรงแบ่งเป็น 4 ห้อง คือ ห้องบนซ้าย ห้องบนขวา ห้องล่างซ้ายและห้องล่างขวา โดยระหว่างหัวใจห้องบนและห้องล่างในด้านเดียวกัน จะมีลิ้นหัวใจทำหน้าที่ปิดเปิดไม่ให้เลือดหัวใจไหลย้อยกลับได้ หัวใจทำหน้าที่สูบฉีดเลือดแดงไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ขณะที่หัวใจคลายตัวก็จะสูบเลือดเข้า และขณะที่หัวใจบีบตัวก็เป็นการฉีดเลือดออกไป การเต้นของชีพจรมีความสัมพันธ์กับการออกกำลังกาย เพราะขณะที่ออกกำลังกาย ร่างกายของคนเราต้องการใช้พลังงานเพิ่มมากขึ้น การสูบฉีดเลือดภายในร่างกายจึงสูงขึ้น เมือหัวใจต้องสูบฉีดเลือดเร็วขึ้น ชีพจรจึงเต้นเร็วขึ้นด้วย

2 หลอดเลือด มีอยู่ทั่วร่างกาย ประกอบด้วยหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำ หลอดเลือดแดง ทำหน้าที่ลำเลียงเลือดที่ถูกสูบฉีด ออกจากหัวใจไปสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย ภายในหลอดเลือดแดงมีเลือดที่มีแก๊สออกซิเจนมาก

หลอดเลือดดำ ทำหน้าที่ลำเลียงเลือดกลับสู่หัวใจ ภายในหลอดเลือดคำมีเลือดที่มีแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์มาก

3 เลือด เป็นของเหลวอยู่ในหลอดเลือด ประกอบด้วยของเหลว ที่เรียกว่า น้ำเลือดและเม็ดเลือน ซึ่งมี 2 ชนิด ได้แก่ เม็ดเลือดแดง ทำหน้าที่ลำเลียงแก๊สออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย เม็ดเลือดขาว ทำหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอมที่เข่าสู่ร่างกาย และสร้างภูมิต้านทานโรคให้แก่ร่างกายของเรา

การเดิน คือหนึ่งในวิธีการออกกำลังกายที่ดีที่สุด และแทบจะเรียกได้ว่าประหยัดที่สุดด้วย แค่มีรองเท้าดีๆสักคู่ เราก็ออกเดินกันได้แล้ว แต่ทำไมเราถึงต้องเดิน ? เดินแล้วได้อะไร?

คุณจะมีอายุที่ยืนยาวขึ้น

จาก การศึกษาเป็นเวลายาวนานกว่า 12 ปี พบว่าคนที่เดินออกกำลังมากกว่า 2 ไมล์ ต่อวัน (1ไมล์=1.6 กม.) มีอายุยืนยาวกว่าคนที่เดินในระยะทางน้อยกว่า 1 ไมล์

คุณจะมีรูปร่างดีขึ้น

การ เดินออกกำลังอย่างน้อยอาทิตย์ละ 4 ชั่วโมง ช่วยให้ไขมันส่วนเกินรอบเอวลดลง 16 % นี่ไม่ได้ยกเมฆนะคะ แต่ได้มีการวิจัยแล้วจากผู้หญิงกว่า 44,000 คนในประเทศหรัฐอเมริกา โดยศึกษาต่อเนื่องกันมาถึง 10 ปี ฟังดูน่าเชื่อถือขึ้นไหม?

การเดินช่วยให้กระดูกแข็งแรง

ปกติ แล้วผู้หญิงเรามักมีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกเมื่อวัยย่างเข้าเลข 5 แต่การเดินเพียงวันละ 30 นาทีจะช่วยให้กระดูกแข็งแรงขึ้น และลดความเสี่ยง รวมทั้งผลกระทบอันเกิดจากโรคกระดูกพรุนได้ด้วย

สายตาดีขึ้น

การ เดินเกี่ยวอะไรกับสายตา? เกี่ยวสิ เพราะสาเหตุหนึ่งของการเกิดต้อหินในดวงตา ซึ่งทำให้ผู้หญิงจำนวนมากในสหรัฐอเมริกาสายตาพร่ามัวหรือตาบอด คือความดันที่เพิ่มขึ้นในดวงตา และการเดินครั้งละ 40 นาที อาทิตย์ละ 3 ครั้ง ช่วยลดความดันลงได้ถึง 20% ทีเดียว

มาเริ่มเดินกันเถอะ

อ่านสรรพคุณอันพึงได้จากการเดินกันแล้ว ก็ถึงเวลามาเริ่มต้นกันเสียที วิธีการนั้นไม่ยาก แค่ เริ่มเดินเสียแต่วันนี้ อย่าอิดออดรอเวลา รอฟ้ารอฝน อาจจะเริ่มจากระยะทางหรือเวลาสั้นๆ แค่ 5-10 นาที พอแค่มีเหงื่อ แล้วค่อยๆเพิ่มเวลาขึ้นไปเรื่อยเป็นวันละสักครึ่งชั่วโมง ทำสักอาทิตย์ละ 3-4 วัน

ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก

1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง

2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี

3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว

4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ

6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%

8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย

9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด

10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้

วิธีการออกกำลังเป็นอย่างไร

เรื่องเกี่ยวกับการออกกำลังกายที่น่าสนใจ

เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขณะออกกำลังกายควรจะเตรียมตัวก่อนออกกำลังกาย

Warm up คือการอบอุ่นร่างกายโดยการเดินหรือวิ่งเหยาะๆเพื่อเตรียมให้ร่างกายพร้อมที่จะออกกำลังกาย เลือดจะไหลเวียนสู่ร่างกายมากขึ้น กล้ามเนื้อก็มีเลือดไปเลี้ยงเพิ่ม

หลังจากนั้นจึงยืดเส้นเอ็น และกล้ามเนื้อ เพิ่มให้กล้ามเนื้อพร้อมที่จะออกกำลังกาย การยืดเส้นจะมีความสำคัญในการป้องกันกล้ามเนื้อหรือเอ็นได้รับอันตรายจากการออกกำลังกาย วิธีการทำง่ายๆได้ 3 วิธี

ยืนห่างกำแพง 1-1 1/2 ฟุต ส้นเท้าติดพื้นแล้วโน้มตัวมือยันกำแพงขับ1-20 ทำ 1-2 ครั้ง

ยืนแยกเท้า ย่อเข่าเล็กน้อยก้มลงเอาผ่ามือแตะพื้นนับ 1-20 ทำ 1-2 ครั้ง

เท้าขวาวางบนบันได เท้าซ้ายวางบนพื้น เท้าซ้ายงอเล็กน้อย ก้มลงเอามือขวาแตะนิ้วหัวแม่เท้าขวานับ 1-20 แล้วสลับเท้า

การออกกำลังกาย ท่านต้องค่อยเพิ่มการออกกำลังกายโดยให้การเต้นของหัวใจได้ 50-75%ของอัตราการเต้นหัวใจสูงสุด เป็นเวลา 30-60นาที วิธีการออกกำลังท่านสามารถดูได้จากตัวอย่างข้างล่าง

Cool down มีความสำคัญพอๆกับ warm up คุณต้องลดระดับการออกกำลังการเป็นเวลา 10 นาที อย่าCool downในห้องแอร์ขณะที่ผิวยังเปียกเหงื่อ

เลือกอุปกรณ์การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เช่นเสื้อผ้าให้เหมาะกับอุณหภูมิ ยกทรงสำหรับวิ่ง เลือกซื้อรองเท้าวิ่งควรเลือกซื้อตอนเย็น ใส่ถุงเท้าที่เหมาะสม

ให้ดื่มน้ำก่อนออกกำลังกาย 20นาที

การลดน้ำหนักที่ได้ผลนั้น นอกจากเราจะทำการควบคุมอาหารแล้ว การออกกำลังกายที่เหมาะสม ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ช่วยทำให้น้ำหนักลดลงได้ มากขึ้น เพราะร่างกายจะเผาผลาญไขมันทีสะสมให้เกิดเป็นพลังงาน ช่วยลดเนื้อเยื่อไขมัน และเพิ่มความแข็งแรงสำหรับกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะการออก กำลังกาย โดยการวิ่ง การเดินเร็ว จะเป็นการออกกำลังกายที่ใช้ออกซิเจน ซึ่งเป็นการออกกำลังกายที่ดีสำหรับทุกคน แต่ก็ควรทำอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 20-30 นาที และไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 3 ครั้ง สำหรับบางคนอาจจะคิดว่า ' ไม่มีเวลา ทำยังไงดี ! ' ดังนั้นจึงจะนำเสนอบทความเรื่อง การออกกำลังกายอย่างง่ายๆ ต่อการลดน้ำหนักให้ได้ผล ให้ทุกท่านปรับใช้ตามความเหมาะสมนะครับ

เหตุผลของการออกกำลังกายให้มากขึ้นกว่าปกติ ในช่วงที่ต้องการลดน้ำหนัก มีดังนี้

1. การออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานมากขึ้น และจะช่วยทำให้โลหิตหมุนเวียนดีขึ้น ซึ่งจะทำให้คุณรุ้สึกดีขึ้น

2. การออกกำลังกายจะช่วยควบคุมความอยากอาหาร และทำให้ความหิวน้อยลง

3. การออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยลดการชดเชยพลังงานที่เกิดขึ้น ในขณะที่น้ำหนักลดลง เพราะโดยทั่วไปอัตราการเผาผลาญจะลดลงเมื่อน้ำหนักลด ดังนั้นการออกกำลังกายจึงชดเชยผลการตอบสนองของร่างกายดังกล่าว น้ำหนักจึงได้ลดลงมากขึ้น

4. ถ้าลดน้ำหนัก โดยวิธีอื่นๆ เช่น ยา หรือ การควบคุมอาหาร จะทำให้กล้ามเนื้อลดลงด้วย จึงต้องออกกำลังกายเพือช่วยป้องกันมวลกล้ามเนื้อดังกล่าว

5. การออกกำลังกายทำให้คลายเครียด ซึ่งพบเสมอว่า ในบางคนที่มีอารมณ์เครียด โกรธ จะหาทางออกด้วยการกินๆๆๆๆๆๆ ซึ่งการออกกำลังกาย จะช่วยลดสถานการณ์ดังกล่าวได้

6. การออกกำลังกายทำให้คุณมีความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น ทำให้สามารถบรรลุความสำเร็จได้ในหลายสิ่งที่ต้องการ และรู้สึกดีต่อตนเอง

แนวทางการออกกำลังกายเพิ่มขึ้น ในชีวิตประจำวันง่ายๆ

- ใช้บันไดแทนการใช้ลิฟต์ ในการทำงานแต่ละวัน

- เมื่อเครียด หรือว่างจากการทำงาน ควรออกไปเดินเล่น หรือเลือกรับประทานอาหารกลางวันที่ต้องเดินไปกลับ อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 30 นาที

- ขี่จักรยานไปทำงาน ถ้าที่พักและที่ทำงานไม่ไกลนัก หรือเลือกเดินไกลๆ จากที่ทำงาน ไปยังลานจอดรถ หรือป้ายรถเมล์

- มีโอกาสไปท่องเที่ยวกับเพื่อนฝูง เพราะนอกจากจะสนุกแล้ว จะยังช่วยลดน้ำหนักได้ โดยเฉพาะโปรแกรมการท่องไพร เดินป่า เที่ยวน้ำตก

- เข้าร่วมทำกิจกรรมกับชมรมกีฬาต่างๆ เช่น ชมรมลีลาศ ชมรมเดินหรือวิ่งเพื่อสุขภาพ

- หาเวลาว่างก่อนรับประทานอาหารเย็น พาสมาชิกในครอบครัวเดินเล่น หรือพาสุนับวิ่งออกกำลังกาย ( สำหรับท่านที่รักสุนัข อาจจะเลือกสุนัขพันธุ์ใหญ่ ที่ต้องการการออกกำลังกาย ซึ่งจะได้ประโยชน์ทั้งตัวท่านและลูกสุนัขของท่านเอง)

- อย่าพยายามออกกำลังกายอย่างหักโหมในครั้งเดียว ควรจะค่อยๆ เพิ่มเวลาและเปลี่ยนชนิดของกีฬาที่เหมาะสมกับตนเอง ไม่ทำให้เกิดแรงตึงกับข้อ หรือทำให้กล้ามเนื้ออ่อนล้าเกินไป ซึ่งจะทำให้ท่านท้อใจในการออกกำลังกายครั้งต่อๆ ไปได้

ขอยกหัวข้อบรรยาย ของ พ.อ.หญิง รศ.พ.ญ.พรฑิตา ชัยอำนวย ผู้อำนวยการเวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ในการบรรยายครั้งหนึ่งว่า ' การลดน้ำหนักแค่ 1 กิโลกรัม ความดันโลหิตจะลดลงไป 2.5 กับ 1.7

ทำให้หัวใจบีบตัวด้วยแรงต่อต้านที่น้อยลง หัวใจทำงานเบาลง ถ้าลดน้ำหนักเป็นปกติ ในคนไข้ที่มีปัญหาโรคความดันโลหิตสูง อาจลดยาความดันหรือเลิกกินยาลดความดันซึ่งเป็นผลดีต่อการรักษาโรค

โดยพบว่า ลดน้ำหนัก 1 กิโลกรัม อายุยืน 3-4 เดือน ถ้าลด 10 กิโลกรัม อายุขัยจะยาวขึ้น ร้อยละ 35 คนที่เป็นเบาหวาน ลดน้ำหนักแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว การคุมน้ำตาลจะดีขึ้นมาก ถ้ามีไขมันในเลือดสูง ลด 1 กิโลกรัม คอเลสเตอรอลลด 2 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ไตรกลีเซอร์ไรด์ลด 1.7 คอเลสเตอรอลตัวร้ายลด 0.77 ก่อให้เกิดผลดีต่อร่างกายอย่างเห็นได้ชัด' ดังนั้นถ้าไม่อยากพึ่งยาลดน้ำหนัก

เคล็ดลับ การลดหน้าท้องอย่างถูกวิธี ( วิธีการออกกำลังกายกระชับสัดส่วน )

คนอ้วนส่วนใหญ่ มักมีหน้าท้องยื่นออกมา ทำให้ยุ่งยากในการแต่งตัว นุ่งกระโปรงก็ไม่สวย นุ่งกางเกงก็อึดอัด การลดน้ำหนักให้ได้ผล ต้องควบคุมอาหาร ควบคู่กับ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายใช้พลังงาน ที่สะสมไว้อย่างเต็มที่

การออกกำลังกายเฉพาะส่วนเพื่อเผาผลาญไขมันปรับเปลี่ยน เป็นกล้ามเนื้อให้ร่างกายฟิตและเฟิร์มยิ่งขึ้น จึงเป็นเรื่องสำคัญ ขอนำเสนอ ท่ากายบริหารเฉพาะบริหารหน้าท้อง ดังนี้

ท่าที่ 1 กล้ามเนื้อท้องรวม

ท่าเตรียมพร้อม นอนหงายกับพื้น มือประสานไว้ที่ท้ายทอย งอเข่าเล็กน้อย ยกศีรษะขึ้นในมุมประมาณ 40 องศากับพื้น โดยอาศัยแรงยกจากลำตัวบนและไหล่ทั้งสองข้าง โดยมือควรจะกางออกตึงไว้ แต่ไม่ใช่ห่อ และออกแรงดันศีรษะ เพราะจะทำให้เกิดอาการปวดคอ คอเคล็ดตามมาได้ง่าย

ท่าที่ 2 กล้ามเนื้อท้องด้านบน

นอนราบกับพื้น ขายกตั้งฉาก (ดังรูป) ใช้ช่วงน่องไขว้กัน เพื่อเพิ่มความหนักเวลายกตัวขึ้น มือประสานกันที่ท้าทอย ยกศีรษะขึ้นโดยอาศัยแรงยกจากลำตัวบนและไหล่ทั้งสองข้าง โดยมือคอยประคองศีรษะเอาไว้

ท่าที่ 3 กล้ามเนื้อท้องด้านข้าง

นอนราบกับพื้น โดยยกเข่าข้างซ้ายขึ้นและพับขาขวาแนวนอนขัดกัน มือประสานกันไว้ที่ท้ายทอย ยกศีรษะขึ้นโดยอาศัยแรงยกจากลำตัวบนและไหล่ทั้งสองข้าง โดยมือคอยประคองศีรษะเอาไว้ ซึ่งท่านี้จะเป็นการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องด้านซ้าย และทำท่าเดิม แต่ยกเข่าขวาขึ้นและพับขาซ้ายสลับข้างกันกับตอนแรก เพื่อบริหารกล้ามเนื้อด้านขวา

ท่าที่ 4 กล้ามเนื้อท้องน้อย

นอนราบกับพื้น พับขาให้ปลอดภัยบรรจบกัน มือประสานกันรองไว้ที่ท้ายทอย ยกศีรษะขึ้นโดยอาศัยแรงยกจากลำตัวบนและไหล่ทั้ง 2 ข้าง โดยมือคอยประคองศีรษะเอาไว้

ท่าที่ 5 กล้ามเนื้อท้องส่วนล่าง

นอนราบกับพื้น ขาเหยียดตรง มือสองข้างวางราบกับพื้น รองใต้สะโพกเพื่อรับน้ำหนักให้ส่วนหลัง เกร็งขาไว้และยกขึ้นตั้งฉาก (ดังรูป) ค้างไว้นับ 1-10 แล้วเหยียดกลับไปท่าเดิม

ท่าที่ 6 กล้ามเนื้อท้องด้านบนและล่าง

นอนราบกับพื้น มือขวารองไว้ที่ท้ายทอยเพื่อพยุงศีรษะ มืออีกข้างเหยียดตรงตั้งฉากกับลำตัว ยกเข่าด้านขวาให้ตั้งขึ้น และยกขาซ้ายพาดคล้ายท่าไขว่ห้าง ใช้กำลังที่หัวไหล่ขวาและหลังยกตัวเฉียงขึ้น ให้ข้อศอกแทบจรดเข่าซ้าย ทำท่าเดิม แต่เปลี่ยนจากใช้มือขวารองและเข่าขวาตั้ง เป็นมือและเข่าซ้ายแทนเพื่อบริหารกล้ามเนื้อด้านตรงข้าม

แต่ละท่าควรทำซ้ำท่าละ 20 ครั้ง หากเป็นท่าที่ต้องสลับข้าง ให้ทำข้างละ 20 ครั้ง ใช้เวลาในการทำประมาณครึ่งชั่วโมง นอกจากจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ลดหน้าท้องแล้ว ยังช่วยลดปัญหาอาการปวดหลัง ปวดตามตัวได้อีกด้วย

วิธีทำให้สดชื่นหลังตื่นนอน

เริ่มต้นด้วยการเดินไปหยิบน้ำมาดื่มสักแก้วใหญ่ ให้ชื่นใจ การดื่มน้ำนั้นเป็นการเติมน้ำให้กับร่างกาย หลังจากร่างกายของเราพักผ่อนมาทั้งคืน ซึ่งเป็นอีกวิธีที่ช่วยให้สมองปลอดโปร่งมากขึ้น

- ใช้เวลาสัก 5-10 นาที ออกกำลังกายยืดเส้นกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ภายในร่างกาย วิธีการนี้จะเหมือนกับการบิดขี้เกียจตอนเช้า เน้นการยืดในส่วนที่ต้องใช้บ่อย ๆ ในการทำงาน เช่น ถ้าต้องใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการทำงานทั้งวันนั้น เป็นไปได้ว่าต้องเน้นการออกกำลังที่ส่วน กล้ามเนื้อบริเวณคอ หัวไหล่ แขน และฝ่ามือ

- การรับประทานธัญพืช และอาหารที่มีโปรตีนบ้างในมื้อเช้า ลดอาหารจำพวกแป้ง การรับประทานอาหารในช่วงเช้านั้นมีประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นการเตรียมพร้อมให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดวัน

- การเปลี่ยนเครื่องดื่ม เลิกดื่มกาแฟแล้วหันมาดื่มชาขิง เพื่อช่วยการไหลเวียนของเลือด ทำให้ร่างกายอบอุ่น อีกทั้งช่วยให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น

สุทธิรา หาญยุทธ ม. ฟาร์ เลขที่9

หน้าเจ็ด หลังเจ็ด!!!

ความหมายที่แท้จริง

7 หน้าหมายความว่า 7 วันก่อนรอบเดือนจะมา

7 วัน หลังหมายความว่า 7 วันนับจากวันแรกที่รอบเดือนมา

สมมุติว่ารอบเดือนมาวันที่ 10 11 12 13

7 วันหน้า หรือ 7 วันก่อนคือวันที่ 3 4 5 6 7 8 9

7 วันหลัง คือวันที่ 10 11 12 13 14 15 16

กรณี 7 วันหลัง

ถ้าไม่มีการร่วมเพศในวันที่มีรอบเดือน ก็แปลว่าจะมีวันที่มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยแค่ไม่ก ี่วัน ถ้ามีรอบเดือน 3 วัน ก็มีวันปลอดภัยเหลือ 4วัน ถ้ารอบเดือนมา 5 วันก็จะมีวันปลอดภัยเหลือ 2 วัน ตรงไปตรงมา (ถ้าคุณจะฝ่าไฟแดงก็สามารถทำได้ แต่ก็ควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ไม่มีอันตรายอะไร)

กรณี 7 วันหน้า หรือ 7 วันก่อน

ก็แปลว่าคุณต้องรู้ว่าจะมีรอบเดือนคราวต่อไปเมื่อไหร ่ คุณจึงสามารถกะได้ว่า 7 วันนั้นคือวันที่เท่าไหร่ สมมุติว่าคุณสามารถกะได้ว่ารอบเดือนคุณจะมาเดือนหน้า วันที่ 13 คุณก็รู้ได้ว่าวันปลอดภัยคือวันที่ 6 7 8 9 10 11 12 ดังนั้นพอถึงวันที่ 6 คุณก็รู้ว่าถึงวันปลอดภัยแล้ว มีเพศสัมพันธ์กันได้โดยไม่ต้องกังวลใจว่าจะตั้งครรภ์

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเดือนหน้ารอบเดือนจะมาเมื่อไห ร่

การนับวันปลอดภัยนี้ใช้ได้เฉพาะคนที่มีรอบเดือนมา "สม่ำเสมอ" เท่านั้น เช่น คนหนึ่งมีระยะรอบเดือน28วัน ก็แปลว่าทุกๆ 28 วันก็จะมีรอบเดือนครั้งหนึ่ง เช่น รอบเดือนมาวันแรกวันที่ 20 กันยายน นับมาอีก 28 วัน ครบ28 วันตรงกับวันที่ 17 ตุลาคม พอวันที่18 ตุลาคมรอบเดือนก็จะมา เดือนหน้านับไปอีก 28วัน ก็จะครบ28วันตรงกับวันที่14 พฤศจิกายน รอบเดือนก็จะมาวันที่ 15 พฤศจิกายน อย่างนี้เรียกว่ารอบเดือน"มาสม่ำเสมอ" หรือ"มาตรงกำหนด" (แต่ไม่ตรงวันที่ของปฎิทิน]

หรืออีกคนมีระยะรอบเดือน 32 วัน ก็แปลว่าทุกๆ 32 วันจะมีรอบเดือนมาครั้งหนึ่ง เช่น รอบเดือนมา วันที่ 11 เมษายน นับมาอีก 32วัน จะครบวันที่ 12 พฤษภาคม ดังนั้นวันที่ 13 พฤษภาคมรอบเดือนก็จะมา คนๆนี้ก็สามารถคาดได้ว่าเดือนมิถุนายน รอบเดือนจะมาวันที่ 14 มิถุนายน ช่วงปลอดภัยของเธอคือ 7 8 9 10 11 12 13 มิถุนายน

กรณีที่รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ไม่สามารถใช้วิธีนับวันปลอดภัยได้

อย่างบางคน รอบเดือนมาสะเปะสะปะ เดือนก่อนโน้น มาวันที่ 15ของปฏิทิน เดือนต่อมามาวันที่ 12 แล้วเดือนต่อมามาวันที่ 19 หรือเอาแน่นอนไม่ได้ มาบ้างไม่มาบ้าง อย่างนี้จะใช้วิธีนับวันปลอดภัยไม่ได้

ถ้ามีเพศสัมพันธ์ในวันมีรอบเดือนจะปลอดภัยไหม

โดยปกติก็ปลอดภัย ถ้ารอบเดือนคุณไม่มามากกว่าคราวละ 7วัน

ถ้ามีเพศสัมพันธ์เลย 7วันหลังไปวันสองวันจะปลอดภัยไหม

กรณีนี้ต้องอธิบายยาวหน่อย สิ่งแรกที่คุณต้องทราบก็คือ เมื่อไหร่ก็ตามที่มีไข่สุกแล้วไม่มีการปฏิสนธิ อีก 14 วันรอบเดือนก็จะมา สมมุติว่าไข่ตกวันที่ 12 มิถุนายน แล้วไม่มีเพศสัมพันธ์กันเลย วันที่ 26 มิถุนายน รอบเดือนก็จะมา

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าไข่จะตกเมื่อไหร

คนที่รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือมาสะเปะสะปะ มาบ้างไม่มาบ้าง เอาแน่นอนไม่ได้ ก็ไม่มีทางคำนวนได้ แต่ถ้ารอบเดือนมาสม่ำเสมอ คุณกะวันที่รอบเดือนจะมาคราวหน้าได้ คุณก็สามารถกะวันไข่ตกได้ เช่น ระยะรอบเดือนของคุณมาทุก 26 วันแน่นอน ครบ 26 วันก็มา อย่างนี้คุณก็สามารถกะวันรอบเดือนจะมาคราวหน้าได้ เช่น เดือน มิถุนายน รอบเดือนมาวันที่ 11 นับไปอีก 26 วัน ก็ตรงกับวันที่ 6กรกฏาคม ดังนั้นเดือนกรกฏาคม รอบเดือนควรมาวันที่ 7

นับถอยหลังมา 14 วัน ก็จะตรงกับวันที่ 23 มิถุนายน ก็คือวันไข่สุก นั่นคือวันไม่ปลอดภัยสุดๆ แต่การสุกของไข่ก็ไม่ได้เป๊ะๆ อย่างนั้น อาจสุกก่อนหน้านั้นสองวัน หรือหลังนั้นวันสองวันก็ได้ จึงต้องเผื่อไว้อีก 4 วัน คือวันที่ 21 22 24 25 ดังนั้นวันไม่ปลอดภัยจึงมี 5 วัน คือวันที่ 21 22 23 24 25 มิถุนายน

แต่ไข่เมื่อสุกแล้วก็มีคุณสมบัติที่จะอยู่ผสมได้อีก 24 ชั่วโมง ดังนั้นวันไม่ปลอดภัยจึงมีเพิ่มมาอีก 1วัน คือวันที่ 26 (สมมุติว่ามีเพศสัมพันธ์วันที่ 26 ไข่สุกวันที่ 25 ก็ยังท้องได้) ดังนั้นวันไม่ปลอดภัยจึงเพิ่มมาอีก 1 วัน รวมเป็น 6 วันคือ 21 22 23 24 25 26

ยัง..ยังไม่หมดแค่นั้น เชื้ออสุจิเมื่อเข้ามาในตัวหญิงนั้น มีคุณสมบัติที่จะผสมกับไข่ได้อีก 48 ชั่วโมง ดังนั้นวันไม่ปลอดภัยจึงมีเพิ่มมาอีก 2 วัน คือวันที่ 19 20 (ถ้ามีเพศสัมพันธ์วันที่ 19 แล้วเกิดไข่สุกวันที่ 21 ก็ท้องได้ ) รวมแล้ววันไม่ปลอดภัยจึงมีเพิ่มมาเป็น 8 วัน คือวันที่ 19 20 21 22 23 24 25 26 จะเห็นได้ว่ากรณีนี้ถ้าคุณมีเพศสัมพันธ์เลย 7 วันหลังไป 2 วัน (รอบเดือนมาวันที่ 11 และ7 วันหลังคือ 11 12 13 14 15 16 17 ) คือวันที่19 ก็ไม่ปลอดภัยแล้ว

แต่ถ้าเกิดระยะรอบเดือนคุณยาว เช่น 33 วันมาครั้ง (ดูตามปฏิทิน รอบเดือนจะเลื่อนออกไปทุกเดือน) กรณีนี้สบายใจได้หน่อย

ยกตัวอย่างกรณีข้างต้น เป็นอีกคนที่มีระยะรอบเดือน 33 วัน รอบเดือนมาวันที่ 11 มิถุนายน คราวต่อไป(นับไปอีก 33 วัน) รอบเดือนก็จะมาวันที่ 14 กรกฏาคม ไข่คนนี้จะสุกวันที่30มิถุนายน (นับถอยหลังมา 14 วันจากวันที่ 14) วันไม่ปลอดภัย 8 วันนั้นคือ 26 27 28 29 30 มิถนายน 1 2 3 กรกฏาคม ดังนั้นถ้าคนนี้มีเพศสัมพันธ์วันที่ 19 (เลย 7วันหลังมา 2วัน) ก็ยังอุ่นใจว่า ยังห่างจากวันไม่ปลอดภัยแยะ ก็ไม่น่าตั้งท้อง จะเห็นได้ว่า คน สองคนมีเพศสัมพันธ์เลย 7 วันหลังไป 2 วันเหมือนกัน แต่โอกาสเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ต่างกัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าระยะรอบเดือนของคนนั้นสั้นหร ือยาว

สรุป

1. ถ้ารอบเดือนคุณมาไม่ส่ำเสมอ ก็อาจมีเพศสัมพันธ์ช่วงมีรอบเดือนได้ค่อนข้างปลอดภัย ถ้ามีรอบเดือนไม่เกิน 7 วัน

2. ถ้าระยะรอบเดือนของคุณสั้น การมีเพศสัมพันธ์ในช่วง 7 วันหลังโดยเฉพาะวันท้ายๆก็หมิ่นเหม่ทีเดียว

3. การจะใช้วิธีนับวันปลอดภัย 7 หน้า 7 หลัง ควรเป็นคนที่มีรอบเดือนมาส่ำเสมอ

4. หลังจาก "7 วันหลัง" (นับจากวันแรกที่รอบเดือนมา) แล้ว ความปลอดภัยจะลดลงเรื่อยๆ จนถึง 8 วันอันตรายที่ไม่ปลอดภัยคือช่วงเสี่ยงสุดๆ พอพ้น 8 วันอันตรายไปแล้ว ความปลอดภัยก็จะค่อยๆเพิ่มขึ้น จนถึง 7 วันก่อนรอบเดือนคราวหน้าจะมา ก็จะเป็นช่วงปลอดภัยหายห่วงอีกครั้ง

เห่อใส่รองเท้าส้นสูง ระวัง หัวใจหยุดเต้นไม่รู้ตัว

สาวๆจำนวนไม่น้อย จึงพลอยเข้าใจผิดว่า ยิ่ง สูงยิ่งสวย ยิ่งดูสง่างามและล้ำเทรนด์ แต่ คุณผู้อ่านเชื่อไหมคะว่า ภายใต้ความสวยเก๋ อาจทำให้เกิดปัญหา สุขภาพตามมามาก มายซ้ำร้ายถ้าใส่รองเท้าส้นสูงตลอดทั้งวัน ต่อเนื่องนานๆละก็ มี สิทธิ์หัวใจหยุดเต้นโดย ไม่รู้ตัว!!

เสียงเตือนจาก ดร.นพ.กิติพันธ์ วิสุทธารมณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ ย้ำชัดว่า สาวๆที่นิยมใส่รองเท้าส้นสูงเป็นประจำ และต้องยืนเป็นเวลานานควรระวังปัญหาด้านสุขภาพที่อาจตามมาไม่รู้จบ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเส้นเลือดขอด, อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ, โรคข้อนิ้วหัวแม่ เท้าเสื่อม, เป็นตาปลา และเล็บขบ นอกจากนี้ อาการเส้นเลือดขอดยังเป็นภัยเงียบ ที่อาจก่อให้เกิดปัญหาลิ่มเลือดหลุดไปที่หัวใจ

คุณหมอ อธิบายว่า “เส้นเลือดขอด”เป็นความผิดปกติ ที่เกิดขึ้นกับเส้นเลือดดำ ทำให้ผนังเส้นเลือดดำหย่อนตัว เกิดได้กับเส้นเลือดดำที่อยู่ตื้น ขนาด 4-5 มิลลิเมตร บริเวณปลายเท้าและขาหนีบ รวมถึงเส้น เลือดดำขนาด 10-15 มิลลิเมตร ที่อยู่ลึกจนมองไม่เห็น ซึ่งหน้าที่หลัก ของเส้นเลือดดำคือ รับเลือดจากเส้นเลือดแดงที่หล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อ ส่งกลับเข้าสู่หัวใจ หากเกิดความผิดปกติกับเส้นเลือดดำ ระบบไหลเวียนเลือดในร่างกายจะทำงานได้ไม่สมบูรณ์ และส่งผลต่อโรคหัวใจ โดยตรง

สำหรับความผิดปกติของเส้น เลือดดำบริเวณขา มักมีสาเหตุมาจากการ ยืนต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ ยิ่งสาวๆที่ชอบใส่รองเท้าส้นสูง และต้อง ยืนเป็นเวลานานๆด้วยแล้ว ทำให้ขาต้องรับ บทหนัก และเกิดการกดทับ น่าเสียดายที่คนไข้ส่วนใหญ่มักมาพบแพทย์ เนื่องจากกังวลในเรื่องความสวยงาม แทนที่จะรักษาเส้นเลือดขอด เพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือดหลุดไปอุดหัวใจ

“ดร.นพ.กิติพันธ์” ยังแนะนำว่า การจะรักษาให้หายขาดนั้นต้องรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โดยปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ช่วยให้การรักษาทำได้ง่ายขึ้น อาทิ การยิงเลเซอร์สลายเส้นเลือดขอด ซึ่งทำได้เร็วและไม่เจ็บ ด้วยเหตุนี้เพื่อเป็นการป้องกันระยะยาว สาวๆที่มีอาการปวดขา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวินิจฉัยโรคตั้งแต่เนิ่นๆ มิฉะนั้น อาจก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิต เพราะหากมีลิ่มเลือดไปอุดหัวใจเมื่อไหร่ จะส่งผลให้ไม่มีเลือดไหลเวียนกลับไปที่หัวใจและปอด ในที่สุดหัวใจก็จะหยุดเต้นกะทันหัน

อย่างไรก็ดี ใช่ว่าคุณผู้หญิงจะหมดสิทธิ์ใส่รองเท้าส้นสูงถาวร เพียงแต่ต้องถนอมเท้าด้วยการแช่น้ำอุ่นประมาณ 10-15 นาที หรือทำสปาเท้าด้วยตนเอง โดยใช้มะขามเปียกขัดเท้า ตามด้วยสบู่ จากนั้นจึงใช้ แปรงสีฟันถูบริเวณรอยดำ แล้วใช้สำลีชุบโทนเนอร์ขัดบริเวณที่ด้าน สุดท้าย ค่อยลงโลชั่นน้ำนมให้ ทั่ว เท่านี้ก็จะได้ เท้าที่สะอาดเอี่ยม และผ่อนคลายสุดๆ...อย่าลืมว่าสุขภาพเท้าที่ดีมาพร้อมหัวใจ ที่แข็งแรงนะครับ

Junk Food หรือ อาหารขยะ

วันนี้สังคมไทยเปลี่ยนไปมาก เต็มไปด้วยการแข่งขัน เร่งรีบประกอบกับการโฆษณา ยุคโลกาภิวัฒน์ในสหัสวรรษใหม่ ข้อมูลข่าวสารไหลมาตามช่องทางต่างๆ ถึงตัวผู้บริโภคได้รวดเร็ว จนบางครั้ง ไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำไป ที่สำคัญ เชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด ไม่มีใครพิสูจน์จนกว่าจะได้ลองเอง

วิถีชีวิตและพฤติกรรม ที่เปลี่ยนไปของคนเมือง ทำให้ต้องฝากปากท้อง กับอาหารสำเร็จรูป และอาหารจานด่วน ซึ่งส่วนมาก จะมาในรูปอาหารตะวันตก ประเภทสะดวก เร็ว อิ่ม (แต่แพง) เพราะซื้อหาได้ทั่วไป ถูกปากคนรุ่นใหม่ ใส่บรรจุภัณฑ์เก๋ไก๋ พกพาไปได้ทั่ว รับประทานได้ทุกที่

คำว่า Junk Food เป็นศัพท์แสลงของ อาหารที่มีสารอาหารจำกัด หรือที่เรียกกันว่า อาหารขยะ อาหารไร้ประโยชน์ อาหารที่นักโภชนาการ ไม่เคยแนะนำ อะไรทำนองนี้ แต่ขึ้นชื่อว่า Junk Food จะต้องประกอบด้วยสารอาหาร ที่ให้พลังงานเป็นส่วนใหญ่ เช่น น้ำตาล ไขมัน แป้ง และมีส่วนประกอบโปรตีน วิตามิน เกลือแร่ น้อยมาก ตัวอย่างเช่น ขนมขบเคี้ยวรสเค็ม รสหวาน ลูกอม หมากฝรั่ง ขนมหวานทุกชนิด อาหารทอด อาหารจานด่วนบางชนิด และน้ำอัดลม หรือมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Empty Calorie มีความหมายว่า ไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์เลย เทียบกับอาหารไทย โดยพื้นฐานแล้ว ในหนึ่งจานให้คุณค่าหลากหลาย ไขมันต่ำกว่า อุดมด้วยสมุนไพร ที่เป็นคุณต่อสุขภาพ แต่ด้วยความเร่งรัดของวิถีชีวิต ทำให้คนไม่มีเวลาเลือกหา และไม่ยอมเสียเวลา ปรุงอาหารรับประทานเอง อย่างน้อยหนึ่งมื้อ ในหนึ่งวันของใครหลายคน จึงเลือก Junk Food เป็นทางออก ขณะเดียวกัน ก็ยอมเสียสตางค์แพงๆ เลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร มาเติมเต็มทดแทน ส่วนที่ขาดหายไป …ถ้าคนไทยไม่รู้จักแฮมเบอร์เกอร์ เฟรนซ์ฟราย พิซซ่า แต่ยังคงกินน้ำพริกปลาทู ข้าวกล้อง ส้มตำ ข้าวเหนียว ไก่ย่าง แกงส้ม… โรคไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน เบาหวาน และอื่นๆ อีกมากมาย ก็ไม่น่าจะเจอในคนอายุน้อยๆ เหมือนที่พบมากในปัจจุบัน ที่สำคัญ เงินทองไม่รั่วไหล ออกนอกประเทศ จำนวนมหาศาลต่อปี

Junk Food ส่วนใหญ่ จะให้พลังงานที่ได้มาจาก ส่วนประกอบ 3 อันดับแรกคือ น้ำตาล ไขมัน และแป้ง ดังนั้น ต้องพิจารณาให้ดี อาหารสำเร็จรูปบางชนิด จะมีฉลากโภชนาการแจ้งให้ทราบ

อาหาร Junk Food ยอดนิยม ยังขาดสารอาหาร ที่มีความจำเป็นต่อการทำงาน ของร่างกายอยู่หลายชนิด และในทางตรงกันข้าม ก็มีพลังงานหรือสารอาหารบางตัว ที่ยังไม่สมดุลกับความต้องการ การดูแลสุขภาพร่างกาย ให้พร้อมสำหรับชีวิตประจำวัน เพื่อให้ร่างกายมีความสมบูรณ์ และแข็งแรงในรูปแบบง่ายๆ ซึ่งเราๆ ท่านๆ ท่องจำขึ้นใจ เป็นเสียงเดียวกันว่า หนึ่ง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สอง รับประทานอาหาร ให้ถูกหลักโภชนาการ และสาม พักผ่อนให้เพียงพอ แต่ถามว่ามีสักกี่คนที่ปฏิบัติทั้ง 3 ข้อนี้ได้อย่างแท้จริง

วิธีทำให้สดชื่นหลังตื่นนอน

- เริ่มต้นด้วยการเดินไปหยิบน้ำมาดื่มสักแก้วใหญ่ ให้ชื่นใจ การดื่มน้ำนั้นเป็นการเติมน้ำให้กับร่างกาย หลังจากร่างกายของเราพักผ่อนมาทั้งคืน ซึ่งเป็นอีกวิธีที่ช่วยให้สมองปลอดโปร่งมากขึ้น

- ใช้เวลาสัก 5-10 นาที ออกกำลังกายยืดเส้นกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ภายในร่างกาย วิธีการนี้จะเหมือนกับการบิดขี้เกียจตอนเช้า เน้นการยืดในส่วนที่ต้องใช้บ่อย ๆ ในการทำงาน เช่น ถ้าต้องใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการทำงานทั้งวันนั้น เป็นไปได้ว่าต้องเน้นการออกกำลังที่ส่วน กล้ามเนื้อบริเวณคอ หัวไหล่ แขน และฝ่ามือ

- การรับประทานธัญพืช และอาหารที่มีโปรตีนบ้างในมื้อเช้า ลดอาหารจำพวกแป้ง การรับประทานอาหารในช่วงเช้านั้นมีประโยชน์ต่อร่างกาย เป็นการเตรียมพร้อมให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดวัน

- การเปลี่ยนเครื่องดื่ม เลิกดื่มกาแฟแล้วหันมาดื่มชาขิง เพื่อช่วยการไหลเวียนของเลือด ทำให้ร่างกายอบอุ่น อีกทั้งช่วยให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น

ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้

เอกณัฐ พีรวุฒิธำรง 02 เลขที่ 43 51124987

จากการที่ได้คำนวณแล้วน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติครับ

แต่อย่างไรก็ต้องออกกำลังกายบ้างละครับ

เพื่อนสุขภาพที่แข็งแรง

อยากได้ตารางควบคุมน้ำหนักครับพอจะมีให้ไหมครับ

ความเครียดมีผลต่อน้ำหนักตัวอย่างไร?

สาว ๆ คงทราบกันดีนะคะว่าเมื่อเราเครียดแล้ว ร่างกายของเราจะทำงานไม่เป็นปกติ อารมณ์แปรปรวน และยังมีอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความเครียดนั้นมีผลต่อน้ำหนัก

การที่คนเราสามารถควบคุมตนเอง หรือเอาชนะความเครียด ตลอดจนความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันได้ จะมีผลทำให้คน ๆ นั้น มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีได้ โรคที่มีการพิสูจน์กันแล้วว่ามีความเกี่ยวข้องกับ ความวิตกกังวลหรือความเครียดได้แก่ โรคหัวใจ และโรคความดันโลหิตสูง แต่ท่านเชื่อหรือไม่ว่า ความเครียดหรือความวิตกกังวล ก็มีอิทธิพลต่อน้ำหนักตัวของท่านด้วย เวลาที่คนเรามีปัญหาไม่ว่าจะเรื่องการงาน เรื่องครอบครัวที่ยังไม่สามารถหาทางออกได้ บางท่านมักจะรับประทานอาหาร หรือของจุกจิกเพิ่มขึ้นในขณะที่มีความเครียด แต่บางท่านก็หมดอาลัย เบื่ออาหารเอาดื้อ ๆ เมื่ออยู่ในภาวะเศร้าโศกเสียใจ ดังนั้นความเครียด ความไม่สบายใจ ย่อมมีผลต่อคนเราแตากต่างกันออกไป มีรายงานการศึกษาจากต่างประเทศเกี่ยวกับ ความเครียดมีผลทำให้มีการสะสมไขมันไว้ตามร่างกาย และได้แนะนำวิธีเอาชนะความเครียดด้วยการออกกำลังกาย ซึ่งท่านคงจะทราบดีอยู่แล้วว่า การออกกำลังกายนอกจากจะช่วยคลายเครียดแล้ว ยังช่วยในการลดน้ำหนักเป็นอย่างดีอีกด้วย

ดังนั้น วงจรที่คนเราไม่อยากให้เกิดขึ้นคือ เมื่อคนเรายิ่งอ้วนก็จะยิ่งมีความเครียดหรือวิตกกังวลเพิ่มขึ้น และเมื่อเครียดมากขึ้น ก็จะยิ่งรับประทานอาหารมากขึ้น ซึ่งพบได้ในกลุ่มคนอ้วนจำนวนไม่น้อยทีเดียว ที่เป็นลักษณะนี้ เราคงจะต้องพยายามทำให้วงจรนี้กลับทิศทาง โดยการเอาชนะความเครียดและความวิตกกังวลให้ได้ แล้วเราจะมีน้ำหนักลดลงด้วย

เมื่อทราบอย่างนี้แล้ว สาว ๆ ก็ไม่ควรที่จะปล่อยตัวเองให้เครียดจนเกินไป ควรที่จะหาวิธีผ่อนคลาย ไม่ว่าจะเป็น ไปทะเล น้ำตก หรือหางานอดิเรกทำก็ได้ค่ะ...

อันตรายจากการดื่มเครื่องดื่มเย็น ๆ หลังอาหาร

-มีผู้คนมากมายมีความเคยชินดื่มเครื่องดื่มเย็นหลังจากรับประทานอาหาร

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของชา เพราะเชื่อกันว่า

สามารถขจัดไขมันและแก้เลี่ยน ดื่มลงไปแล้ว ย่อมชุ่มฉ่ำใจแน่นอน

แต่คุณเคยคิดบ้างหรือไม่ว่า

หลังจากนั้นในท้องของคุณจะเกิดอะไรขึ้น? !

ลองนึกภาพตามดูนะค่ะ! !

ซี่โครงเนื้อในท้องของคุณ (หรืออาจจะเป็นไก่ทอด ฯลฯ) ล้วนเป็นอาหารมันย่อง

กระเพาะและลำไส้จะทำการย่อยพวกมัน ก็ต้องเปลืองแรงหน่อย

ตอนนี้เทน้ำเย็นลงไปอีกถ้วยหนึ่ง...

เคยเห็นน้ำมันหมูในตู้เย็นมั้ยค่ะ? ! คุณจินตนาการว่า

กลุ่นไขมันที่จับตัวเป็นก้อนสีขาวเหล่านั้นลงไปในอยู่ในกระเพาะออกมั้ย? !

เมื่อกระเพาะลำไส้ของคุณเต็มไปด้วยน้ำมันที่จับตัวเป็นก้อนราวน้ำตาเทียนไข ยังจะแก้เลี่ยนได้อีกมั้ย!

ถ้าหากแค่เพียงทำให้รู้สึกอยากจะอาเจียนเท่านั้นก็แล้วไปเถอะ

แต่ที่สำคัญคือ มันสามารถทำให้คุณเป็นมะเร็งลำไส้ได้ด้วย! !

ไขมันที่จับตัวเหล่านี้เมื่อเจอกับกรดในกระเพาะอาหาร

จะอ่อนตัวกลายเป็นสภาพกึ่งของเหลวที่เหนียวข้น

จากนั้นจะไหลเข้าสู่ลำไส้ก่อนอาหารที่มีสภาพเป็นของแข็งชนิดอื่น

ดังนั้นวัตถุที่มีสภาพเป็นน้ำก็ไม่ใช่ ไขมันก็ไม่เชิง

เหนียวๆข้นๆนี้

ก็จะถูกลำไส้ดูดซึมไปเป็นอันดับแรก

แต่ว่า! ลำไส้ไม่อาจดูดซึมกำจัดวัตถุประหลาดนี้ได้ทั้งหมด

ผนังลำไส้จะเต็มไปด้วยคราบไขมัน

ก็เหมือนกับการล้างหม้อใส่น้ำแกงเนื้อในหน้าหนาว

ไม่ว่าจะล้างยังงัยก็ยังรู้สึกมันลื่น และเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า

วัตถุที่ชวนอาเจียนนี้ก็จะฝังเข้าไปในผนังลำไส้

สะสมนานเข้าทำให้เกิดปฏิกิริยาที่อาจนำมาซึ่งโรคมะเร็งลำไส้ในที่สุด!!

ดังนั้นรีบเปลี่ยนพฤติกรรมความเคยชินที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

นี้โดยเร็วเถอะ!

รับประทานอาหารแล้วอย่ารีบกรอกน้ำเย็นลงไป ดีที่สุดคือ

ควรดื่มน้ำแกงร้อนๆ หรือน้ำอุ่นๆก็โอเคแล้ว

ขอบอกเรื่องชวนอาเจียนกับคุณอีกอย่างหนึ่ง

ถ้าเป็นมะเร็งลำไส้แล้ว

จะต้องต่อท่อเข้าไปกระเพาะถึงจะอุจจาระได้นะ

คุณคงไม่อยากเจอเรื่องแบบนี้ใช่มั้ย

รีบบอกต่อคนที่คุณรักและห่วงใย

อย่าให้พวกเขาต้องต่อสายท่อเลย! !

การดื่มเครื่องดื่มเย็น ๆ หลังรับประทานอาหาร อาจทำให้เป็นมะเร็งลำไส้ได้

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว เลขที่ 3

น้ำแอปเปิล...เสริมความจำ

บรรดาผู้ที่ติดตามข่าวคราวทางสุขภาพคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า An apple a day keeps the doctor away ซึ่งเปรียบสรรพคุณของแอปเปิลว่า การรับประทานแอปเปิลเพียงวันละผลสามารถทำให้ห่างไกลจากหมอหรือไม่ต้องไปหาหมอ ทั้งนี้เนื่องมาจากมีงานวิจัยหลายชิ้นกล่าวถึงประโยชน์มากมายของแอปเปิล ทั้งบำรุงหัวใจ ลดโคเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหารและต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจช่วยลดการถูกโรคร้ายทั้งหลายคุกคาม และล่าสุดพบว่าการดื่มน้ำแอปเปิลยังอาจช่วยเสริมความจำและป้องกันภาวะสมองเสื่อม หรือโรคอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุได้

จากการศึกษาวิจัยในสัตว์ทดลองของ University of Massachusettse Lowell (UML) เผยว่าการดื่มน้ำแอปเปิลอาจช่วยเพิ่มการสร้างของสารสื่อประสาทในสมองที่มีชื่อว่า อะซีทิลโคลีน (Acetylcholine) ซึ่งเป็นตัวกำหนดความสามารถในการเรียนรู้และความทรงจำ จึงช่วยชะลอภาวะสมองเสื่อมได้ ปกติแล้วสารสื่อประสาททั้งหลาย รวมทั้งสารอะซีทิลโคลีน เป็นสารเคมีที่ถูกสร้างและหลั่งมาจากเซลล์ประสาทเพื่อส่งต่อไปยังเซลล์ประสาทข้างเคียง เหมือนเป็นการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทด้วยกัน ในการควบคุมการทำงานของทุกส่วนในร่างกาย ตั้งแต่การนั่ง นอน ยืน เดิน รับประทาน รู้สึกและสัมผัส รวมถึงการนึกคิด

ก่อนหน้านี้มีงานวิจัยเผยว่า โรคอัลไซเมอร์เป็นโรคที่เกิดจากการเสื่อมของเซลล์สมองจนก่อให้เกิดความบกพร่องทางความทรงจำ การตัดสินใจหรือการใช้เหตุผล โดยมักมีอาการหลงลืม สับสนหรืออารมณ์แปรปรวน ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดกับผู้สูงอายุนั้น จะมีปริมาณของสารอะซีทิลโคลีนในสมองน้อยกว่าปกติมาก อย่างไรก็ตามหากมีการเพิ่มปริมาณของสารอะซีทิลโคลีน ก็สามารถช่วยเพิ่มความทรงจำ ลดการหลงลืมและสามารถชะลอภาวะเสื่อมของสมองในผู้ที่เป็นอัลไซเมอร์ได้ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอีกหลายชิ้นที่เผยว่า ผักผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างพวกบลูเบอร์รี แอปเปิลนั้น ก็มีส่วนช่วยชะลอภาวะความจำเสื่อมในผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ และยังให้ผลดีกว่าพวกอาหารเสริมหรือวิตามินที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระทั้งหลาย

โดยงานวิจัยนี้ได้ศึกษาในหนูทดลองปกติวัยผู้ใหญ่ วัยชรา และหนูทดลองสายพันธุ์พิเศษที่มีการตัดต่อพันธุกรรมจนสามารถเกิดอาการของโรคอัลไซเมอร์แบบเดียวกับที่เกิดในคน โดยแบ่งให้รับประทานอาหารปกติ อาหารที่ขาดสารอาหารจำเป็น หรืออาหารที่ขาดสารอาหารที่จำเป็นแต่รวมกับการดื่มน้ำแอปเปิลเข้มข้นแทนน้ำ เป็นเวลา 1 เดือน พบว่าหนูปกติ วัยชรา และหนูที่เป็นอัลไซเมอร์ ซึ่งรับประทานอาหารที่ขาดสารอาหารที่จำเป็นจะมีปริมาณของสารอะซีทิลโคลีนในเนื้อสมองลดลง แต่ปริมาณของสารนี้กลับเพิ่มสูงขึ้นในหนูที่ดื่มน้ำแอปเปิลเข้มข้นร่วมด้วย อีกทั้งเมื่อนำหนูเหล่านี้ไปทดสอบเกี่ยวกับการเรียนรู้และความจำ พบว่าหนูที่ดื่มน้ำแอปเปิลเข้มข้นจะมีพฤติกรรมการเรียนรู้และความจำที่ดีกว่าหนูที่ไม่ดื่มน้ำแอปเปิล

จึงเป็นไปได้ว่าการดื่มน้ำแอปเปิลเข้มข้นอาจช่วยเสริมความจำ โดยมีผลการเพิ่มปริมาณของสารสื่อประสาทอะซีทิลโคลีน ที่ช่วยกระตุ้นความทรงจำ เพิ่มสมาธิและประสิทธิภาพการเรียนรู้ อีกทั้งช่วยชะลอความเสื่อมของสมองอันเนื่องมาจากอายุที่มากขึ้นและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งน้ำแอปเปิลเข้มข้นที่ให้หนูกินในแต่ละวัน สามารถเทียบได้กับการดื่มน้ำแอปเปิลเข้มข้นแก้วละ 8 ออนซ์ วันละ 2 แก้ว หรือเท่ากับการรับประทานแอปเปิลวันละ 2-3 ลูก

บดินทร์ ศิษย์อาจารย์คะนอง

ทีมจอมขว้างสาวไทยชุดใหญ่สร้างประวัติศาสตร์ได้สำเร็จ ผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศศึกแฮนด์บอลหญิงชิงแชมป์เอเชีย 2008 พร้อมได้สิทธิ์ไปชิงแชมป์โลกที่จีนในปีหน้าเรียบร้อยแล้ว โดยในการเล่นนัดที่ 3 สามารถพิชิตอินเดียมาได้ ส่วนนัดสุดท้ายพบจีน แค่ชิงเป็นที่ 1 และ 2 ของสายเท่านั้น สมบัติ คุรุพันธ์ นายกสมาคมฯ เป็นปลื้ม ไม่เสียแรงที่มุ่งมั่น ซูฮกนักกีฬาทุกคนทำผลงานเยี่ยม ถือเป็นความสำเร็จของสมาคมฯอีกครั้ง หลังจากเมื่อ 2 ปีก่อนชุดเยาวชน 19 ปี เคยทำได้มาแล้ว

ปิยะธิดา งามประจบ วิทย์ออก 2 เลขที่ 79

10 วิธี ที่ทำให้สุขภาพดี

เชื่อว่าทุกคนๆก็อยากจะมีสุขภาพที่ดี ซึ่งก็มีวิธีง่ายๆ เพียง 10 ข้อ ที่สามารถทำให้เรามีสุขภาพดีได้ ถ้าไม่เชื่อก็ลองทำดูสิค่ะ แล้วรับรองว่าได้ผลค่ะ

1. เราควรสำรองผลไม้ในตู้เย็น

ผักผลไม้ที่ควรสำรองในตู้เย็นอย่าให้ขาด ได้แก่ กะหล่ำปลี แครอท ส้ม แอปเปิ้ล ซึ่งนอกจาก จะมีประโยชน์มากสำหรับสาว ๆที่กำลังไดเอตแล้ว การรับประทานผักผลไม้เป็นประจำ ยังช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วยนะ

2. เหงือกดีด้วยน้ำชายามเช้า

องค์การอาหารและยาของสหรัฐและสวีเดน บอกว่าการบ้วนปากในช่วงเช้าด้วยน้ำชา จะช่วยลด แบคทีเรียในช่องปากได้เนื่องจากสารโพลีฟีนอล จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุ ของฟันผุ ส่วนการดื่มชาหลังมื้ออาหารก็ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเหงือกได้

3. ดื่มน้ำมากขึ้น

การดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 5 แก้วจะช่วยลดความเสี่ยงในการ เกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้เกือบ 50 % เชียวล่ะ

4. เปลือยเท้าคลายเครียด

การย่ำเท้าเปล่า ไปบนทรายนุ่ม ๆ จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายเนื่องจากการเดินเท้าเปล่า จะช่วย กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด

5. รับแสงแดดอ่อน ๆ

มีข้อมูลจากการวิจัยระบุว่าผู้หญิงที่ไม่ค่อยโดนแดดเอาเสียเลยมีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งเต้านมมากกว่าผู้หญิงที่อยู่ในเมืองที่มีแดด

เนื่องจากแสงแดดช่วยสังเคราะห์วิตามินดีในร่างกายแต่การโดนแดดจัดในช่วงบ่าย ๆ ก็เป็นอันตรายเช่นกันควรรับแดดอ่อน ๆ ในช่วงเย็นจะดีกว่า

6. หันมารับประทานขนมปังโฮลวีทกันเถอะ

สำหรับมื้อว่างยามบ่ายแทนที่จะไปคว้าคุ๊กกี้หรือเค็กช็อกโกแลตซึ่งเพียบด้วยแคลอรี่ เปลี่ยนมาทาน ขนมปังโฮลวีทสัก 2 แผ่น

รับรองว่า จะช่วยให้คุณรู้สึกมีกำลังวังชาแล้วยังไม่อ้วนอีกด้วยล่ะ

7. สลัดปลาทูน่าเพิ่มความจำ

ใครที่รู้ตัวว่า เริ่มจะหลง ๆ ลืม ๆ ลองหันมาทานสลัดปลาทูน่าหรืออาหารเมนูปลา รวมทั้ง เพิ่มอาหารที่มีวิตามินบี2 เช่น ไข่ นม ถั่วเหลือง นอกจากจะช่วยให้อารมณ์ดีแล้ว ยังช่วยเพิ่มพลังความจำให้กับสมองได้

8. เดินไวไว ช่วยทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง

คนที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกายแต่ยังห่วงใยสุขภาพของตัวเองอยู่ลองใช้วิธีเดินให้ไวขี้นอีกนิด อาจใช้เวลาเดินในช่วงเช้าหรือหลังเลิกงาน เดินไปที่ป้ายรถเมล์สักสามสี่ป้ายหรือเดินขึ้นลงบันไดให้ได้วันละ 20 นาทีจะช่วยบริหารหลอดเลือดหัวใจให้แข็งแรงและยังทำให้หุ่นสลิมสมส่วนเป็นของแถม

9. เติมไขมันดี ๆ ให้ร่างกาย

ไขมันนั้น ไม่ได้เป็นผู้ร้ายซะทีเดียวเพระไขมันมีอยู่หลายชนิด ไขมันที่เป็นมหามิตรกับร่างกายน่ะกายขาดแคลน อาจมีผลต่อการดูดซึมวิตามินเอ ดี อี เคและทำให้รู้สึกอ่อนเพลียได้เลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันชนิดไม่อิ่มตัว จากน้ำมันมะกอก น้ำมันถั่ว และไขมัน โอเมก้า 3 จากปลา ซึ่งเป็นไขมันดี ๆที่ไม่เพียงให้พลังงาน ทำให้มีเรี่ยวแรงแล้วยังช่วยป้องกันโรคมะเร็งและหัวใจอีกด้วย

10. Just Do Nothing

ลองหยุดภารกิจวุ่น ๆ สักสัปดาห์ละวัน หรือวันละ 1 ชั่วโมงให้ปลอดจากเรื่องงาน และคนรอบข้าง ใช้เวลาอยู่คนเดียวตามลำพังจะช่วยทำให้คุณรู้สึกสงบเป็นเวลาที่จะได้เรียนรู้วิธีหยุดพักใจออาจจะฟังเพลง เงียบ ๆคนเดียว หรืออาบน้ำอุ่น ๆ แล้วอ่านหนังสือเล่มโปรด ค่อย ๆจิบน้ำชา ชมดอกไม้ เป็นการเติมความรื่นรมย์ด้านจิตใจทำให้คุณสดชื่น และมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ และยังห่างไกลจากโรคความรีบร้อน อันหมายถึง โรคที่ทำให้คุณตื่นตัวและเร่งรีบ จนแทบไม่มีเวลาสำหรับตัวเอง

ยังไงก็ลองทำดูน่ะค่ะ รับรองว่าเพื่อนๆจะมีสุขภาพที่ดีมากๆค่ะ

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

ฝึกสมองไบรท์ด้วย 9 เทคนิค !!!

ผู้หญิงสมัยนี้อยากสวย ฉลาด และสุขภาพดี ทุกคนจึงพากันดูแลรูปร่างด้วยการออกกำลังกาย เคร่งครัดเรื่อง

อาหารการกิน แต่ไม่เคยมีใครสนใจว่าจะดูแลสมองอย่างไรให้มีสุขภาพดี ทั้งที่สมองเป็นอวัยวะที่ตัดสินใจทุกเรื่องของชีวิต

เราจึงควรเอกเซอร์ไซส์สมองให้ไบรท์ด้วยเทคนิคง่ายๆ ดังต่อไปนี้

1. จิบน้ำบ่อยๆ สมองประกอบด้วยน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์ เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มี

น้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่

ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ

2. กินไขมันดี คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้

กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่ว

เหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดีที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่

ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถ

จินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน)

4. ใส่ความตั้งใจ การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะ

ปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่ง

ที่ทำจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอนเดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมา

เท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ

รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา ฯลฯ เพราะการ

เรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอนเดอร์ฟินและโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยาก

เรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การ

ให้อภัยตัวเองเป็นการลดภาระของสมอง

8. เขียนบันทึก Graceful Journal ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น

ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข ฯลฯ เพราะการเขียน

เรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มี

ความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึกๆ สมองใช้ออกซิเจน 20-25 เปอร์เซ็นต์ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึง

เป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงาน

นานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้

เพิ่มขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์

การมีสมองที่ดีก็เหมือนกับทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแล

และฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์อีส เลขที่ 2

อาหารบำรุงสมอง

อาหารมีความสำคัญต่อการพัฒนาสมอง ไม่แพ้การพัฒนาทางร่างกายเป็นความจริง

ที่ยอมรับกันโดยทั่วไป ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลาย จึงปรนเปรออาหารการกินให้กับลูกๆ ด้วยหวังว่าอาหารเหล่านี้ จะทำให้ความคิดแล่นความจำดีสมองโปร่งใสทำให้ลูกเฉลียวฉลาดได้ อาหารที่เชื่อกันว่าช่วยบำรุงสมองมีอยู่หลายอย่าง เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ น้ำซุปไก่เป็นต้น แต่ที่ขึ้นชื่อที่สุดเห็นจะเป็นปลา ผู้ใหญ่มักให้เด็กกินปลา โดยอ้างว่าปลาบำรุงสมอง กินปลาแล้วจะฉลาดขึ้น และถ้ากินหัวปลาได้จะยิ่งฉลาดเข้าไปใหญ่ หากอาหารสามารถบำรุงสมองได้จริงเช่นนั้น เชื่อว่าเด็กส่วนใหญ่ในประเทศไทยคงไม่สอบตก ฉะนั้นจะหวังให้อาหารช่วยให้ฉลาดขึ้นคงจะเป็นไปไม่ได้เพราะอาหารช่วยบำรุงสมองได้ในระยะที่สมองเติบโต หรือในระยะเริ่มแรกของชีวิตเท่านั้น เมื่อเด็กเข้าโรงเรียนสมองเติบโตเต็มที่เสียแล้ว ไม่ว่าจะทำนุบำรุงเรื่องอาหารเพียงใดก็ย่อมไม่ทำให้เฉลียวฉลาดขึ้น ความเฉลียวฉลาดของแต่ละคน ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์ ถึงกรรมพันธุ์จะเป็นตัวกำหนดขีดขั้นตอนสติปัญญา แต่เด็กมักจะมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเต็มขั้นตามกรรมพันธุ์ กำหนด หรือไม่ ยังขึ้นอยู่กับอาหารที่คุณแม่รับประทานในช่วงตั้งครรภ์และอาหารที่ลูกกินในช่วงแรกของชีวิต

ถ้าหากในช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์ คุณแม่รับประทานอาหารครบห้าหมู่และมีปริมาณเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เซลล์สมองของลูกจะสามารถเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่

เป็นรากฐานที่มั่นคง เมื่อได้รับการศึกษาได้เล่าเรียนฝึกฝนก็ย่อมมีโอกาสที่จะมีสติปัญญา เฉลียวฉลาดได้เต็มขั้นตามที่กรรมพันธุ์กำหนด ตรงกันข้าม เมื่อขาดแคลนอาหารทั้งในปริมาณ และคุณภาพเซลล์สมองไม่อาจเจริญเติบโตอย่างเต็มที่เมื่อสมองหยุดเจริญเติบโตแล้วจำนวนเซลล์สมองของเด็กเหล่านี้ อาจน้อยกว่าเด็กที่ได้รับอาหารอย่างเพียงพอถึงร้อยละ 15 ถึง 20 อาการซึมเศร้า และเชื่องช้าที่ปรากฏภายนอกเป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นผลของจำนวนเซลล์ที่น้อยกว่าปกติ แม้จะได้รับการศึกษาเล่าเรียน มีโอกาสได้รับการฝึกฝนเท่าเทียมกับเด็กคนอื่น ก็ไม่อาจมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเต็มขีดขั้นที่กรรมพันธุ์กำหนดได้ หรืออีกนัยหนึ่งถึงพ่อแม่จะฉลาดหลักแหลมเพียงใดลูกก็ไม่มีโอกาสฉลาดเท่าเทียมพ่อแม่ได้

ฉะนั้นจึงสรุปได้ว่า อาหารมีอิทธิพลต่อการพัฒนาของสมองตั้งแต่ก่อนเด็กเกิดนับตั้งแต่ปฏิสนธิขึ้นในครรภ์ของแม่เลยทีเดียว อาหารบำรุงสมองของเด็กจึงเป็นอาหารในระยะตั้งครรภ์ของแม่ และอาหารของเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 1-2 ปี ในขณะคุณแม่ตั้งครรภ์ จึงควรเอาใจใส่อาหารการกิน อย่างน้อยที่สุดต้องกินให้ครบห้าหมู่ เพิ่มอาหารที่ให้โปรตีนสูง ได้แก่ ไข่ เนื้อสัตว์ และนม ถ้าหากมีรายได้น้อยอาจพึ่งโปรตีนจากถั่วเมล็ดแห้ง เช่น ถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเหลือง เป็นต้น ถ้าคุณแม่บางรายกินนมวัวไม่ได้ ก็ควรเลี่ยงไปกินนมถั่วเหลืองแทนอาหารบำรุงสมองที่ดีที่สุดของทารกแรกเกิด คือนมแม่ เมื่อเด็กอายุครบ 4 เดือนแล้ว คุณพ่อคุณแม่ ควรให้อาหารอื่นเพิ่มเติมไม่ใช่เฉพาะข้าวกับกล้วยเท่านั้น ควรหัดให้เด็กกินไข่ เนื้อปลา ผัก และผลไม้ต่าง ๆ และถือโอกาสปลูกฝังนิสัยการกินอาหารที่ดีเสียแต่เนิ่น

บดิทร์ศิษย์อาจารย์คะนอง

ผักผลไม้ค้างคืน มีสารต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้นกว่าตอนสด ๆ ซะอีก

ผักผลไม้ค้าคืนที่สาว ๆ จะทิ้ง แต่ต้องไม่เน่า มันมีประโยชน์อยู่ เพราะนักวิทยาศาสตร์ชาวเบลเยียมได้รายงานมาว่า ผักและผลไม้เหล่านี้ยังคงมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่อีกหลายวันหลังจากที่เราซื้อมา บางชนิดแม้เราจะเห็นว่าใกล้เสียแล้ว ก็ยังมีคุณค่าอยู่ แถมบางชนิดยิ่งเก่าเท่าไร ยิ่งมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระมากเท่านั้นคะ

อายุของผักและผลไม้นั้นเราอาจสังเกตได้จากรูปร่างลักษณะภายนอก แต่ผักผลไม้อายุมาก ที่เราพยายามจะทิ้งกลับมีประโยชน์อย่างไม่น่าเชื่อเลยคะ คำว่ามีประโยชน์ในที่นี้ ไม่ได้หมายความว่ามีรสชาติอร่อย หรือมีคุณค่าทางโภชนาการสูงนะคะแต่หมายความว่า มันมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางพันธุกรรม เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม นักวิจัยกล่าวว่า ยังไม่มีการศึกษาใด ที่ให้ความสำคัญกับรูปแบบการเก็บต่อระดับสารต้านอนุมูลอิสระ

Claire Kevers และคณะ ได้สรรหาผักผลไม้หลายชนิดจากตลาดเบลเยียม มาทดสอบระดับสารต้านอนุมูลอิสระ ในช่วงเวลาที่แตกต่างกันไป หลังจากเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง หรืออุณหภูมิ 37 องศาฟาเรนไฮต์ในตู้เย็น

จนกระทั่งผักผลไม้นั้น ๆ จะเริ่มเน่า ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า หลังจากทิ้งผักผลไม้ที่ซื้อจากตลาดไว้หลายวัน ผักผลไม้เหล่านั้น ยังคงมีสารประกอบจำพวกฟีนอล กรดแอสคอร์บิกและเฟลโวนอล สารเคมีทั้งสามที่ว่านี้เกี่ยวข้องกับระดับสารต้านอนุมูลอิสระ นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ระดับสารต้านอนุมูลอิสระที่เพิ่มขึ้นหลังจากวันที่ซื้อมานั้นเกิดจากการเพิ่มขึ้นของสารประกอบเหล่านี้คะ

สรุปว่าผักและผลไม้ที่ค้างคืน แม้จะดูไม่น่าทาน แต่ก็มีประโยชน์อยู่นะคะ ไม่จำเป็นต้องรีบทิ้งหรอกคะ

การศึกษาชิ้นนี้มีชื่อว่า "Evolution of Antioxidant Capacity during Storage of Selected Fruits and Vegetables" ตีพิมพ์ในวารสาร Agricultural and Food Chemistry ฉบับวันที่ 17 ต.ค. ค่ะ

ไม่ว่าผักผลไม้ที่จะสดหรือไม่สด(ไม่ถึงกับเน่า) ก็มีประโยชน์ทั้งนั้น สาว ๆ ควรที่จะรับประทานกันทุก ๆ วันนะคะ

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์อีส เลขที่ 2

โรคกระเพาะอาหาร

โรคกระเพาะอาหารเป็นคำที่ใช้เรียกภาวะผิดปกติที่ก่อให้เกิดอาการปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ อืดแน่น เกิดขึ้นได้ทั้งก่อนและหลังรับประทานอาหาร บางรายรู้สึกเหมือนอาหารไม่ย่อย อาจมีอาการจุก เสียด คลื่นไส้อาเจียน ซึ่งอาการมักจะดีขึ้นถ้าได้รับประทานยาลดกรดในกระเพาะอาหาร อาการที่เกิดขึ้นมักจะเป็นเรื้อรัง มีระยะที่โรคสงบไปได้เองเป็นช่วง ๆ

อาการเหล่านี้อาจเกิดในผู้ป่วยที่มีแผลในกระเพาะอาหาร , ลำไส้เล็กส่วนต้น หรืออาจในคนที่ไม่มี แผลก็ได้ ซึ่งปัญหาที่ทำให้เกิดแผลอยู่ที่ความผิดปกติของ กรดในกระเพาะอาหารที่เพิ่มขึ้น และ กลไกธรรมชาติในการป้องกันการเกิดแผลเสียไป

ในปัจจุบัน พบว่าแบคทีเรีย Helicobacter pylori ที่อาศัยอยู่ในชั้นเมือกที่ปกคลุมผิวกระเพาะอาหาร มีส่วนสำคัญอย่างมากในการทำให้เกิดแผลขึ้น นอกจากนี้ยังมียาแอสไพริน ยาลดการอักเสบ (Non-steroidal antiinflammatory drugs:NSAIDs) ที่เป็นสาเหตุของการเกิดแผลได้บ่อย

อาการโรคกระเพาะในบางรายอาจเกี่ยวข้องกับมะเร็ง กระเพาะอาหาร ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ที่มี อาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลดลงมาก ซีด คลำได้ก้อนผิดปกติบริเวณลิ้นปี่ กลืนลำบาก มีประวัติมะเร็งทางเดินอาหารในครอบครัว หรือ เริ่มเกิดอาการเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไป

ปัจจุบันมีการตรวจวินิจฉัยที่ได้ผลดีหลายวิธี นอกเหนือจากการซักประวัติและตรวจร่างกายทั่วไปแล้ว การตรวจ X-ray กลืนสารทึบรังสี และการส่องกล้องตรวจในกระเพาะอาหาร สามารถตรวจพบแผล เก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อในกระเพาะอาหารตรวจหาเซลมะเร็ง และตรวจหาเชื้อ H. pylori ได้

การรักษา

การรักษาทำได้โดย

1.การรับประทานอาหารให้ตรงเวลา ไม่ปล่อยให้หิว ไม่รับประทานอิ่มเกินไป

2.พยายาม เลี่ยงสิ่งที่ทำให้เกิดอาการ เช่น อาหารรสเผ็ด กาแฟ งดเหล้า งดบุหรี่

3.หลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพริน NSAIDs สเตียรอยด์โดยไม่จำเป็น และ

4.ลดความเครียด ร่วมกับ

5.การใช้ยารักษาโรคกระเพาะอาหารอย่างเหมาะสม

ไพลิน จันทร์ทะวงศ์ ( ภาคค่ำ cmru ) เลขที่ 25

สวัสดีค่ะอาจารย์ กั้ม

ในประเทศไทยมีผลไม้มากมายหลายชนิดซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย วันนี้มีบทความเรื่อง

ผลไม้ใช้ล้างพิษมาให้อ่าน ลองอ่านดูนะค่ะ

ผลไม้ใช้ล้างพิษ (เอาประเภทที่มีขายทุกฤดูก็แล้วกันนะค่ะ)

แอ๊ปเปิ้ล เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดสำหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกายเพราะสารเปกตินในแอ๊ปเปิ้ล จะช่วยนำสารพิษไปกำจัดทิ้ง ทั้งยังป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้เกิดการบูดเน่า

เพราะแอ๊ปเปิ้ลมีเส้นใยมาก ซึ่งมันจะทำหน้าที่เป็นไม้กวาดทำความสะอาดลำไส้ ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น กระตุ้นน้ำย่อย นอกจากนี้ยังมีวิตามินและเกลือแร่ด้วยค่ะ

ปาริชาติ กันทะวงค์ ม.ฟาร์ เลขที่ 10

มี 7 ข้อที่ดิฉันอยากเตือนให้ดูแล ใส่ใจ และนำไปเป็นองค์ประกอบของการสร้างสรรค์หรือตกแต่งบุคลิกภาพให้ไฉไลยิ่งกว่าเดิม คือ

1. การมอง

ทราบไหมคะว่า สายตาสามารถบอกถึงความรัก ความเกลียดชัง ความเมตตาปรานี ความโกรธแค้น ความเคารพนับถือ หรือความเหยียดหยาม ดูหมิ่นดูแคลนได้ ฉะนั้น เมื่อเราจะมองใคร เราจะต้องพยายามใช้สายตาด้วยความสุภาพเรียบร้อย ระวังในการใช้สายตาอย่าให้คนอื่นเกิดความเข้าใจผิดหรือรู้สึกติดลบได้

2. การแต่งกาย

การแต่งกายบ่งบอกความพิถีพิถันและเอาใจใส่ตัวเอง ช่วยทำให้คนคนหนึ่งดูดีหรือดูแย่ได้ ทุกครั้งที่เลือกเครื่องแต่งกายหรือกำลังจะแต่งกาย ให้ต้องคำนึงถึงความสะอาดเรียบร้อย ถูกต้องและเหมาะสมกับกาลเทศะ แต่งกายให้พอดี อย่าให้มากเกินไปหรือน้อยเกินไปจนกลายเป็นน่าเกลียด

3. การพูด

ต้องมีศิลปะในการพูด พูดให้ชนะใจผู้ฟัง โดยจะต้องใช้คำพูดที่มีเหตุผล สุภาพ ไพเราะ มีน้ำเสียงชวนฟัง เสียงดังฟังชัด ฉะฉาน และใช้คำพูดที่เหมาะสมกับผู้ฟัง โดยคำนึงถึงวัย เพศ ระดับการศึกษา อาชีพ และความสนใจพิเศษของผู้ฟัง ทั้งยังต้องคำนึงถึงสถานที่ เวลา และโอกาสด้วย

4. การเดิน

ให้เดินตัวตรง อกผายไหล่ผึ่งเพื่อให้ดูสง่า แต่ไม่ต้องถึงกับหลังตรงตัวแข็งเหมือนนักเรียนนายร้อย เดินให้มีท่าทางสง่าและเรียบร้อย เวลาเดินให้ก้าวเท้ายาวพอประมาณ และสอดคล้องกับเสื้อผ้าหรือรองเท้าที่สวมใส่ ว่าก้าแค่ไหนจึงดูคล่องแคล่วและปลอดภัย ต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดเสียงดังจนเกินไป เพราะเสียงฝีเท้าจะไปรบกวนผู้อื่น ไม่เดินผ่ากลางผู้อื่นที่ยืนสนทนากันอยู่

5. การแสดงท่าทาง

ต้องระวังท่าทางที่ไม่สวยงาม เวลาพูดหรือทำอะไรก็ตาม อย่ามีการแสดงท่าประกอบมากเกินไปจนน่าเกลียด หรือแสดงท่าที่ไม่สุภาพ ท่าทางที่ดีจะต้องมาจากพื้นฐานของความสงบ สำรวม ให้เกียรติทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ควรมีท่าทางประกอบเพื่อให้ดูผ่อนคลาย เป็นธรรมชาติ สง่า และเสริมในสิ่งที่พูดหรือเล่า นอกเหนือจากนั้นอาจไม่จำเป็นต้องมีท่าทางประกอบแต่อย่างใด

6. ทักษะในการทำงาน

ในการทำงานใดๆ ก็ตามจะต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะดีได้ ต้องทำด้วยท่าทางคล่องแคล่ว ด้วยความชำนาญ และให้ได้ผลงานดีเด่น ทำด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ อย่าให้น้อยไปกว่าความสามารถที่เรามีหรือทำได้ ความน่าชื่นใจของผู้ร่วมงานหรือหัวหน้างานทุกคนก็คือ การมีเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้องที่ทำงาน ‘เต็มความสามารถ’ อยู่ตลอดเวลา นั่นคือบุคลิกแห่งความสำเร็จด้วยค่ะ

7. สุขภาพ

ต้องระวังสุขภาพให้ดี อย่าให้มีโรค ระวังรักษาสุขภาพร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอ ผู้ที่ป่วยออดๆ แอดๆ จะดูเป็นคนขี้โรค ซึ่งน่าเป็นห่วงมากกว่าน่าชื่นชม ดูอ่อนแอ ไม่คล่องแคล่ว โรคบางรคส่งผลถึงความซีดเซียว ห่อเหี่ยว หม่นหมอง จึงขาดสง่าราศี การดูแลสุขภาพให้ดีคือต้นทุนของการพัฒนาบุคลิกภาพที่สำคัญที่สุด

ปาริชาติ กันทะวงค์ ม.ฟาร์ เลขที่ 10

การป้องกันโรคมะเร็ง

ก่อนอื่นก็ขอแสดงความยินดีกับท่านที่รักษามะเร็งหายเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้ต่อไปท่านต้องดูแลตัวเองให้แข็งแรงเพื่อให้ท่านฟื้นฟูสภาพร่างกาย และที่สำคัญท่านจะต้องหาทางป้องกันมิให้มะเร็งกลับเป็นซ้ำ สำหรับท่านที่ยังไม่เป็นมะเร็งก็ควรจะป้องกันมิให้เกิดโรคนี้

หลังจากการรักษาท่านอาจจะได้รับคำแนะนำจากผู้ที่ประสงค์ดีหลายๆท่านว่าไปรักษาที่นั้นดี ไปรับประทานยาพระ ยาหม้อ หมอพระ รวมทั้งชีวจิต ท่านต้องตั้งสติว่าข้อมูลที่ท่านได้รับมีความน่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์หรือไม่ มีการพิสูจญ์ทางวิทยาศาสตร์หรือไม่ อย่าไปเชื่อเพราะเขาบอกหรือตามคำเล่าลือเท่านั้นเพราะอาจจะทำให้ท่านเสียเงินและเสียเวลา

เนื้อหาที่จะเกล่าเป็นแนวทางในการดูแลตัวเองให้แข็งแรงและลดปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็ง แนวทางการป้องกันมะเร็งได้มาจากสมาคมการวิจัยเพื่อป้องกันโรคมะเร็ง American Institute for Cancer Research ดังนี้

เลือกอาหารที่มาจากพืช

ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์ได้ทราบแล้วว่าอาหารเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง การรับประทานอาหารที่มาจากพืชรวมทั้งการรักษาน้ำหนักที่เหมาะสม และการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายสามารถต่อต้านโรคมะเร็ง เนื่องจากสารอาหาร วิตามินในพืชสามารถทำให้ร่างกายซ่อมแซมเซลล์ได้ดี ยับยังการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง และยังทำลายสารที่จะก่อให้เกิดมะเร็ง นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการรับประทานผักและผลไม้เพิ่ม 2 หน่วยร่วมกับการออกกำลังกายเพิ่มจะสามารถป้องกันมะเร็งได้ร้อยละ 60-70 เช่นการเปลี่ยนขนมปังธรรมดาเป็นขนมปังธัญพืช

ให้รับประทานอาหารพวกผักชนิดใหม่ๆซึ่งจะเพิ่มความอยากรับประทานอาหารพวกผัก

ให้มีอาหารพร้อมปรุงที่ทำจากพืชไว้ในตู้เย็นเช่นพวกถั่วต่างๆ อาหารแช่แข็ง ผลไม้กระป๋อง

ให้ใช้ถั่วในการปรุงอาหารเช่นผสมในสลัด ใส่ถั่วในส้มตำ ใส่ถั่วในแกง อาจจะใช้ถั่วได้หลายชนิดเช่น ถั่วลิสง ถั่วเขียว ถั่วแขก เม็ดมะม่วงหิมะพาน

ให้รับประทานอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์สัปดาห์ละครั้ง

หัดปรุงอาหารที่ทำจากพืช

รับประทานผักและผลไม้เพิ่ม

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าอาหารที่เรารับประทานควรจะมาจากพืชเสีย 2/3 เช่นผัก ผลไม้ ธัญพืช ถั่ว ส่วนที่เหลือ 1/3 มาจากเนื้อสัตว์และนม วิธีการที่จะรับประทานเนื้อสัตว์ให้ลดลงทำได้ดังนี้

ใช้เนื้อเพียงแค่ปรุงรสเท่านั้น ไม่ใช่อาหารหลักอย่างบ้านเราทำกันคือผัดผักใส่หมูหรือกุ้งเพื่อปรุงรสและกลิ่น

รับประทานอาหรโปรตีนที่ทำจากพืชเช่น เนื้อปลอมที่ทำจากถั่วเหลืองหรือจากเห็ด

เลือกอาหารว่างที่ทำจากพืช เช่น น้ำผลไม้ ผลไม้ต่างๆ

เลือกผลไม้กระป๋องไว้ประจำบ้าน ควรเลือกผลไม้ที่บรรจุในน้ำผลไม้หรือน้ำไม่ควรใส่น้ำหวานหรือเกลือ

รับประทานผักใบเขียวให้มาก

มื้อกลางวันให้รับประทานสลัด

ใช้รับผลไม้หลังจากรับประทานอาหาร

หากท่านรับประทานผักและผลไม้มากเท่าใดท่านจะได้รับสารอาหาร วิตามิน สารต้านอนุมูลอิสระมากขึ้นเท่านั้นซึ่งจะต่อสู้กับมะเร็ง

รักษานำหนักที่เหมาะสมและออกกำลังกายเป็นประจำ

น้ำหนักที่เหมาะสมสำหรับท่านควรอยู่ระหว่างดัชนีมวลกาย 18.5-23 สำหรับท่านที่น้ำหนักน้อยก็ต้องรับประทานอาหารเพิ่ม หากรับประทานไม่พอก็ต้องรับประทานอาหารเสริมเพิ่มขึ้น โรคอ้วนทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพมากมายสำหรับท่านที่มีน้ำหนักเกินท่านต้องรับประทานอาหารน้อยลง วิธีการรับประทานอย่างฉลาดมีดังนี้

อ่านฉลากอาหารทุกครั้ง หากปริมาณสารอาหารที่ท่านซื้อมากเกินไปท่านต้องแบ่งอาหารออกมา เพื่อมิให้ได้รับพลังงานเกินไป

อย่าอดอาหารเป็นมือเพราะท่านจะรับประทานมากขึ้นในมื้อต่อไป

เลือกอาหารว่างอย่างฉลาดควรจะเลือกพวกผักและผลไม้

ให้รับประทานเมื่อท่านหิวเท่านั้น อย่ารับประทานเพราะว่าอร่อย หรือว่ากำลังเหงา ควรหางานอดิเรกทำเพื่อจะได้ไม่รับประทานมากเกินไป

อาหารพวกผักและผลไม้จะมีไขมันต่ำ หากอาหารหลักของท่านเป็นอาหารเหล่านี้โอกาสที่จะอ้วนก็มีน้อย

การออกกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะทำให้ท่านแข็งแรง ลดความเครียดได้ ทำให้เจริญอาหารและการขับถ่ายดีขึ้นวิธีการที่จะเริ่มออกกำลังกายอย่างง่ายๆ

เริ่มทีละเล็กน้อยค่อยๆเพิ่ม อย่าหักโหมเพราะจะทำให้ได้รับบาดเจ็บ

การเดินเป็นวิธีที่ดีและง่าย

ให้กระฉับกระเฉงเช่น การขึ้นบัดได การเดินไปทำงาน การล้างรถหรือถูบ้าน

ท่านที่สุดอายุหรือมีโรคเข่าเสื่อมอาจจะเริ่มออกกำลังในน้ำเพราะจะใช้แรงไม่มากและไม่เป็นอันตรายต่อข้อ

ลดการดื่มสุราและสูบบุหรี่

จากการวิจัยพบว่าการดื่มสุราก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพแต่การดื่มไวน์แดงก็อาจจะให้ประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนกับการรับประทานองุ่นเพราะมีสาร resveratrol

หากไม่เคยดื่มสุราก็ไม่มีความจำเป็นต้องเริ่มดื่ม

หากจะดื่มสุราก็ให้ดื่มไม่เกิน 1 หน่วยสุรา

หากไปงานเลี้ยงก็ไม่ควรใช้เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอร์ผสม

การสูบบุหรี่จะทำให้เกิดมะเร็งได้หลายระบบ การเลิกสูบบุหรี่จะทำให้ลดการเกิดมะเร็งได้ร้อยละ 30

เลือกรับประทานอาหารที่มีปริมาณไขมันต่ำ

เชื่อว่าอาหารมันและเกลือจะเพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งโดยเฉพาะไขมันอิ่มตัวและไขมัน trans-fats ('partially hydrogenated' oils). ซึ่งไขมันทั้งสองเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อมะเร็งและโรคหัวใจ แต่มิได้ห้ามรับประทานอาหารมันเพราะอาหารมันก็มีประโยชน์ต่อร่างกายแต่ไม่ควรรับมากเกินไป

ปรุงอาหารอย่างถูกต้อง

การปรุงอาหารพวกเนื้อสัตว์โดยเฉพาะการย่างด้วยไฟอุณหภูมิที่สูงจะทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง เนื่องจากน้ำมันที่ถูกไฟไหม้จะก่อให้เกิดสาร polycyclic aromatic hydrocarbons ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ควรจะเลี่ยงไปใช้วิธีอื่นเช่น การอบ การใช้microwave การต้ม การทอดในน้ำ วิธีการที่จะลดการเกิดสารก่อมะเร็งมีดังนี้

อย่าย่างเนื้อสัตว์หลายชนิดในไม้เดียวกัน เพราะเนื้อทุกชนิดสามารถทำให้เกิดมะเร็งได้ ให้เลี่ยงไปย่างผักหรือผลไม้แทนเนื้อสัตว์

เลือกเนื้อสัตว์ที่ไม่มีไขมัน และให้ตัดไขมันออกจากเนื้อสัตว์ให้หมด

ให้หมักเนื้อนั้นก่อนปรุงอาหารโดยเฉพาะการหมักด้วยมะนาวจะช่วยลดสารก่อมะเร็งให้หมักก่อนปรุง 15-20 นาที ไม่ควรหมักด้วยน้ำมัน

ไม่ควรเผาเนื้อสัตว์ ให้หุ้มเนื้อสัตว์ด้วย foil อาจจะทำให้เนื้อสัตว์สุขด้วยการต้ม อบหรือmicrowave > แล้วจึงนำมาเผาภายหลัง

อย่ารับประทานเนื้อสัตว์ที่ไหม้ ให้ตัดส่วนที่ไหม้ออก

การย่างหรือเผาอาหารพวกผักไม่ก่อให้เกิดสารก่อมะเร็ง

การถนอมอาหาร

ผู้ป่วยที่พื้นจากโรคมะเร็งจะมีภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอโอกาสจะเกิดโรคจากอาหารจะมีสูง ดังนั้นการเก็บและถนอมอาหารจะช่วยป้องกันการโรค

ล้างมือ ถ้วยชาม โต๊ะ ให้สะอาดและเปลี่ยนฟองน้ำบ่อยๆ

ให้ล้างผักและผลไม้โดยการรินน้ำ

ระวังการปนเปื้อนอาการจากการใช้มีด เขียง ชาม

ละลายอาหารแช่แข็งในตู้เย็นหรือ microwave ไม่ควรละลายในห้องครัว

ใช้ปรอทวัดอุณหภูมิของอาหารเพื่อให้แน่ใจว่าอาหารสุขจริงๆ

อ่านฉลากอาหารให้ทราบวันหมดอายุ

การใช้ครีมป้องกันแสงแดดโดยเฉพาะตอน 10.00-15.00 น โดยใช้ครีมที่มี SF อย่างน้อย 15 อ่านที่นี่

การไม่สำส่อนทางเพศเพราะการมีเพศสัมพันธ์จะทำให้เกิดการติดเชื้อ เริ่ม (อ่านที่นี่) และเชื้อไวรัสโรคเอดส์ ซึ่งทั้งสองโรคดังกล่าวจะทำให้เกิดมะเร็ง

นุชรินทร์ (ม.ฟาร์) เลขที่6

อาหารบำรุงกระดูก ..

อาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นมและผลิตภัณฑ์จากนม อาหารที่มีวิตามินดี ได้แก่ปลาที่มีไขมันมาก และไข่แดง ควรงดอาหารที่มีไฟเทตสูง ได้แก่ รำข้าว ข้าวกล่อง และถั่วเปลือกแข็ง เพราะมีกรดที่ขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมในร่างกาย

นุชรินทร์ (ม.ฟาร์) เลขที่6

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดกระดูกโปร่งบาง

1. การออกกำลังกาย

ช่วยป้องกันโรคกระดูกโปร่งบาง โดยช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกสันหลัง ควรออกกำลังกายให้มีการลดน้ำหนักอย่างน้อย 15-20 นาทีเป็นประจำ

การเดิน เดินเป็นจังหวะสม่ำเสมอ

การเดินในน้ำ (สำหรับผู้มีปัญหาปวดเข่า)

การถีบจักรยาน

การรำมวยจีน

การเต้นแอโรบิก

การว่ายน้ำ

(ถ้ามีอาการเหนื่อยผิดปกติ เวียนศีรษะ หน้ามืด คล้ายเป็นลมขณะออกกำลังกาย ควรงดออกกำลังกายทันที)

2. ทานอาหารบำรุงกระดูก

โปรตีน

ช่วยเสริมสร้างส่วนของเนื้อเยื่อพื้นฐานของกระดูกให้แข็งแรง และแคลเซียมในส่วนของกระดูกจะยึดเนื้อเยื่อพื้นฐานของกระดูก

อาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ทุกชนิด ถั่วต่าง ๆ น้ำเต้าหู้ เป็นต้น

แคลเซียม

เป็นสารอาหารที่จำเป็น ที่ทำให้กระดูกแข็งแรง พบว่าความต้องการแคลเซียมในแต่ละคนจะแตกต่างกันไปดังนี้

ช่วยอายุที่ต้องการ มิลลิกรัมต่อวัน

อายุ 11-24 ปี

ตั้งครรภ์ หรือ หลังคลอด

หญิงวัยกลางคน

ชาย 25-65 ปี

ชายและหญิงอายุมากกว่า 65 ปี

1,200 - 1,500

1,200 - 1,500

1,000

1,500

1,500

อาหารที่มีแคลเซียมสูง ได้แก่ งาดำ กุ้งตัวเล็ก กะปิ นม เนย ปลาตัวเล็ก ๆ รับประทานทั้งกระดูก แครอท

วิตามินดี

เป็นตัวสำคัญที่ช่วยให้แคลเซียมดูดซึมเข้าร่างกาย และช่วยในการสร้างเนื้อกระดูก ในคนสูงอายุมีโอกาสขาดวิตามินดีค่อนข้างมาก เนื่องจากรับประทานอาหารที่มีวิตามินดีน้อย และได้รับแสงแดดน้อยเกินไป

อาหารที่มีวิตามินดีค่อนข้างสูง ได้แก่ ไข่ นม ตับ

3. ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเหล้า ชา กาแฟ

ทำให้รับประทานอาหารได้น้อย ระบบย่อยอาหารทำงานไม่ดี ดูดซึมแคลเซียมได้น้อยลง

4. ทำให้ร่างกายได้รับแสงแดดทุกวัน

อย่างน้อยวันละ 10-15 นาที โดยเฉพาะแสงแดดอ่อนในช่วงเช้า ๆ ไม่เกิน 09.00 น. หรือ ในช่วงเย็นหลัง 16.00 น.

อาหารปลอดภัย

การเลือกอาหารนอกจากจะคำนึงถึงคุณค่าอาหาร ปริมาณอาหารและยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัยอาหารที่เรารับประทานเข้าไป อาหารที่ไม่สอาดอาจจะมีการปนเปลื้อนของ สารเคมี เชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส ทำให้เกิดโรคต่างๆมากมายซึ่งหากเป็นมากอาจจะทำให้เสียชีวิตได้

คำแนะนำ

-ท่านสามารถอ่านเรื่องวิธีการทำอาหารอย่างปลอดภัยได้ที่นี่ครับ

-การทำอาหารให้สอาดมีกระบวนการใหญ่ๆดังนี้ครับ

-การล้างเป็นวิธีการที่ได้ผลดี ควรล้างมือ ล้างผักและผลไม้ ไม่ควรล้างพวกเนื้อสัตว์

-การแยกควรแยกอาหรสดออกจากอาหารที่ปรุงเสร็จ หรืออาหารที่พร้อมรับประทาน

-การปรุง ควรใช้อุณหภูมิให้สูงพอ และเวลานานพอที่จะทำให้อาหารสุกและฆ่าเชื้อโรค

-การแช่ อาหารที่อาจจะเกิดการบูดเน่าควรจะแช่ในตู้เย็น การละลายควรจะละลายในตู้เย็น

-ควรหลีกเลี่ยงอาหารสุกๆดิบๆ นมที่ไม่ได้ผ่าการฆ่าเชื้อโรค

-เด็ก คนท้อง คนสูงอายุ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องควรรับประทานอาหารที่สุกแล้วเท่านั้น

การล้างมือ

-ล้างมือด้วยน้ำสอาดจะเปียก ใส่สบู่

-ฟอกมือให้สอาดประมาณ 20 วินาที

-ล้างมือด้วยน้ำสอาดโดยการเปิดก๊อกให้น้ำไหลผ่านมือ

-ใช้ผ้าสอาดเช็ดให้แห้ง

-การล้างผักและผลไม้

-ปลอกเปลือกผักและผลไม้ให้หมด

-การล้างจะล้างก่อนรับประทานหรือก่อนการปรุงอาหารเท่านั้น

-การล้างจะล้างผ่านน้ำก๊อกที่มีน้ำไหล

-ใช้แปรงที่สอาดหรือใช้มือล้าง

-หลังจากนั้นใช้ผ้าที่สะอาดซับให้แห้ง การที่มีน้ำหลงเหลืออยู่จะทำให้เชื้อโรคเจริญ

การล้างเนื้อสัตว์

-ควรจะมีการแยกอาหารสดออกจากอาหารที่ปรุงเสร็จ

-ไม่ควรล้างเนื้อสัตว์เพราะจะทำให้เชื้อที่อยู่ผิวกระจายไปยังโต๊ะปรุงอาหาร อ่างล้าง และอาหารที่อยู่ใกล้เคียง

-เชื้อโรคจะเจริญได้ดีที่อุณหภูมิ 40-140 องศาฟาร์เรนไฮต์ เพราะฉนั้นในตู้เย็นต้องมี

-อุณหภูมิต่ำกว่า 40 องศาฟาร์เรนไฮตส่วนการปรุงอาหารต้องมีอุณหภูมิสูงกว่า 140 องศาฟาร์เรนไฮต

การป้องกันอาหารเป็นพิษ

หลายคนมีอาการอาหารเป็นพิษ ซึ่งมีอาการปวดท้องคลื่นไส้อาเจียนและถ่ายเหลว และทบทวนว่าได้รับเชื้อจากที่ไหนเพราะอาหารก็ปรุงเองไม่ได้รับประทานนอกบ้าน ลองอ่านเรื่องนี้ท่านอาจจะค้นพบสาเหตุของอาหารเป็นพิษโดยเฉพาะกลุ่มที่เสี่ยงต่ออาหารเป็นพิษคือ คนท้อง คนแก่ คนป่วยและเด็ก

ท้องร่วงอาจจะหายเองได้โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาแต่สำหรับคนแก่หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวอาจจะทำให้ไตวาย การเกิดท้องร่วงอาจจะเกิดจากได้รับเชื้อเข้าไปหรืออาจจะเกิดจากได้รับสารที่เชื้อผลิตออกมา วิธีป้องกันมีดังนี้

การเลือกซื้ออาหาร

เมื่อซื้อนมให้ซื้อนมที่ผ่านการ pasteurized

อาหารแช่แข็งต้องมีลักษณะเป็นของแข็งและต้องเย็น

อย่าซื้ออาหารที่ภาชนะบรรจุภัณฑ์ชำรุจ

นำอาหารเข้าตู้เย็นทันทีเมื่อถึงบ้าน

เมื่อซื้ออาหารที่แช่แข็งต้องรีบนำเข้าช่องแช่แข็งทันที

อย่าทิ้งอาหารไว้ในรถ

หากต้องใช้เวลาเดินทางมากกว่าครึ่งชั่วโมงให้แช่ในน้ำแข็ง

การเตรียมอาหาร

ล้างมือด้วยสบู่ทุกครั้งก่อนทำอาหาร

ล้างมีด เขียง อุปกรณ์เครื่องครัวทุกครั้ง และให้ล้างทันทีหลังจากใช้กับอาหารสดเช่นเนื้อ อาหารทะเล ไข่

ให้ปรุงอาหารให้สุก

อาหารแช่แข็งหากจะให้น้ำแข็งละลายให้ละลายด้วยตู้ microwavwหรือในตู้เย็น อย่าทิ้งไว้ในอากาศ

อย่าทิ้งอาหารไว้นอกตู้เย็นเกิน 2-3 ชั่วโมง เมื่อไม่รับประทานให้เก็บไว้ในตู้เย็น

เมื่อไม่แน่ใจว่าอาหารเสียหรือไม่ให้ทิ้ง

การเตรียมอาหารควรแยกอาหารสดออกจากอาหารที่ปรุงเสร็จแล้ว

ปรับอุณหภูมิของช่องแช่แข็งที่ประมาณ 0-5 องศา

ตรวจวันหมดอายุก่อนใช้ทุกครั้ง

ล้างมือก่อนปรุงอาหาร หลังจากจับของสด และหลังเข้าห้องน้ำ

ให้เลี้ยงสัตว์ห่างจากห้องครัว

การเตรียมอาหารด้วยไมโครเวฟให้คนอาหารหรือกลับอาหารเมื่อเวลาผ่านไปครึ่งหนึ่ง

หลักการง่ายๆก็ทำให้ท่านปลอดจากท้องร่วง สำหรับท่านที่รับประทานอาหารนอกบ้านท่านต้องเลือกร้านที่ให้ความสำคัญกับความสะอาด พนักงานสะอาด อาหารร้อนต้องรับประทานร้อนๆ อาหารเย็นต้องเย็น ไม่รับประทานอาหารสุกๆดิบๆ และให้สั่งอาหารที่ต้องปรุงใหม่

สาธิยา พงษ์ไพรวัน วิทย์ออก2 เลขที่82

วิธีดูแลผมแบบง่าย ๆ

เรื่องการดูแลผม สิ่งที่สำคัญที่สุดควรพิจารณาเรือนผมของตัวเองว่า 'คุณ' เป็นสาวที่มีลักษณะผมแบบใด จะได้สามารถแก้ปัญหาได้ตรงจุดมากกว่าการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สะเปะสะปะ ที่ไม่เหมาะกับสภาพเส้นผมของตัวเองเลย และแทนที่จะเป็นเรื่องดีกลับทำให้ผมมีสภาพแย่ไปกว่าเดิมซะอีก สำหรับคุณสาวๆ แล้ว "ผม" ถือเป็นสุดยอดแห่งความงามที่ต้องดูแลเอาใจใส่ มิเช่นนั้นผลิตภัณฑ์เสริมความงามให้กับผมคงไม่เกลื่อนตลาด ลายตาเลือกไม่ถูก จริงไหม

สาวผมมัน

ให้นำว่านหางจระเข้มาฝานเปลือกออก แล้วนำเนื้อเจลไปปั่น จากนั้นตักมา 1 ช้อนชา ผสมกับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา และแชมพูที่ใช้อยู่อีก 1 ถ้วยตวง แล้วนำไปสระผมตามปกติ จะช่วยให้เส้นผมมีสมดุลดีขึ้น ไม่แห้งและไม่มันเช่นเดิม

สาวผมแห้ง

ให้นำว่านหางจระเข้มาฝานเปลือกออก แล้วนำเนื้อเจลไปปั่น จากนั้นตักมา 1 ช้อนชา ผสมกับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา และแชมพูที่ใช้อยู่อีก 1 ถ้วยตวง แล้วนำไปสระผมตามปกติ จะช่วยให้เส้นผมมีสมดุลดีขึ้น ไม่แห้งและไม่มันเช่นเดิม

สาวผมแห้ง

นำอโวคาโด 1 ผล มาปอกเปลือกและบดให้ละเอียด ผสมกับกะทิจนเป็นเนื้อเดียวกัน ใช้หมักผมหลังจากสระผมเรียบร้อยแล้ว โดยนวดให้ทั่วศีรษะ ใช้หวีซี่ห่างๆ แปรงผมให้เป็นระเบียบแล้วทิ้งไว้ 15 นาที จึงล้างออก

สาวผมไม่มีน้ำหนัก

ใช้น้ำส้มสายชู 1/2 ถ้วยตวง ผสมน้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง และน้ำมันอัลมอนด์ 1 ช้อนโต๊ะเข้าด้วยกัน จากนั้นนำส่วนผสมที่ได้มานวดเส้นผมและหนังศีรษะขณะที่เปียกให้ทั่ว ทิ้งไว้นาน 20 นาที แล้วจึงล้างออก

สาวมีปัญหารังแค

หลังจากสระผมด้วยแชมพูขจัดรังแคตามปกติแล้ว ให้ใช้ชาโรสแมรี่ที่ทิ้งไว้จนเย็นแล้วมาล้างผมในน้ำสุดท้าย หรือใช้ชาโรสแมรี่ผสมกับแชมพูในอัตราส่วน 70 ต่อ 30 ก็ได้ หรืออาจจะใช้ Manuka scalp Care Shompoo ซึ่งมีส่วนผสมจากน้ำมันมานูก้า ทีทรี ไรม์ และน้ำมันก็ได้ โดยในการสระผมทุกครั้งต้องแน่ใจว่าได้ล้างแชมพูออกจนหมด เพราะสารตกค้างจะเร่งให้หนังศีรษะผลิตน้ำมากเกินไปและทำให้รากผมมันได้ เท่านี้เส้นผมก็จะสลวยเงางามมีสุขภาพดี ให้ได้เฉิดฉายอย่างไม่อายใคร

ณัฐนี ซ้งคำ วิทย์ออก 2 เลขที่ 88

เรามาลองวิธีที่ทำให้ สวย เด้ง ตึง ได้ทุกสัดส่วนง่ายๆ ดังนี้

1. ลอก

การลอกผิวจะกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว และยังช่วยสลายไขมัน คุณสามารถจะลอกผิวได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง โดยนำเกลือทะเลผสมน้ำมันมะกอกมานวดขัดผิว โดยเฉพาะบริเวณผิวที่มีเซลลูไลต์ จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด

2. ขัด

การขัดผิวเบาๆ โดยใช้แปรงนุ่มๆ หรือใยบวบที่แช่น้ำให้นิ่ม จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตให้ทำงานอย่างสม่ำเสมอทั่วถึง และยังช่วยขัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกได้หมดจด เวลาที่เหมาะที่สุดในการขัด คือขณะฟอกสบู่ อาบน้ำ

3. ห่อ

หมั่นนำพลาสติกใสๆ บางๆ มาพันต้นขาให้กระชับเพรียวสวย โดยเริ่มจากลงไปแช่น้ำอุ่น จากนั้นเช็ดตัวให้แห้ง นำผ้าขนหนูจุ่มน้ำร้อนที่ผสมน้ำมันหอม (กลิ่นมะนาวหรือโรสแมรี่) บิดให้แห้งพอหมาดแล้วนำมาพันต้นขา จากนั้นจึงพันด้วยแผ่นฟิล์มแล้วทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง

4. ดัน

เป็นการบริหารที่ควรทำทุกวันเพื่อให้ช่วงอกสวย ประกบฝ่ามือทั้งสองไว้กลางหว่างอก (เหมือนการไหว้) เกร็งและดันฝ่ามือทั้งสองซึ่งกันและกัน ค้างไว้ 10 นาที แล้วทำซ้ำ 5 ครั้ง

5. กลิ้ง

การนวดโดยใช้ลูกกลิ้ง กลิ้งไปบนผิว จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตมาเลี้ยงผิวได้ดีขึ้น ทั้งนี้ควรจะนวดหมุนเป็นวงกลม เริ่มจากขา แขน แล้วปิดท้ายด้วยบริเวณ ช่วงลำตัว

6. ดึง

ใครที่มีไขมันสะสมใต้ผิวหนังตรงสะโพก หรือแก้มก้นมากเกินไป อาจลดได้ด้วยวิธีใช้นิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือดึงผิวหนังให้ทั่วทั้งบริเวณสะโพก หมั่นทำเป็นประจำ วันละ 10 นาที ผิวแตกลายจะจางลง

มีการดูแลตัวเองตามกรุ๊ปเลือดมาบอกกันจ้า...

- คนที่มีกรุ๊ปเลือด A

จะ มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดเนื่องจากร่างกายจะผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือฮอร์โมนเครียดมาก ดังนั้นควรจะออกกำลังกายด้วยการจดจ่อต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาทิ โยคะ ไทชิ หรือนั่งสมาธิ เพื่อลดความเครียด หากออกกำลังกายก็อย่าหักโหม

จึงไม่ ควรบริโภคเนื้อสัตว์มากเกินไป เพราะผู้ที่มีหมู่เลือดนี้จะไม่ค่อยมีเอนไซม์และกรดที่ย่อยโปรตีนจากเนื้อ สัตว์ ควรงดการดื่มนมสดและผลิตภัณฑ์จากนม เพราะจะทำให้เกิดท้องอืด ท้องเฟ้อ ทางที่ดีควรรับประทานผัก อย่างฟักทอง แคร์รอต ผักโขม บร็อกโคลี่ และพืชตระกูลถั่ว โดยเฉพาะถั่วเหลือง ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่มีโปรตีนสูงและช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และควรดื่มชาเขียวเป็นประจำเพื่อช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ควรจำกัดน้ำตาล กาเฟอีน และแอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้จะไปเพิ่มความเครียด และทำให้กระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกายทำงานช้าลง

- คนที่มีกรุ๊ปเลือด B

เมื่อ ร่างกายไม่สมดุลระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจะเพิ่มสูงขึ้นทำให้มีโอกาสที่จะติด เชื้อ เกิดอาการเหนื่อยล้า จิตใจมัวหมอง ควรสร้างความสมดุลด้วยการออกกำลังกายในรูปแบบที่ท้าทายแต่ต้องใช้สมาธิควบ คู่ไปดวย อาทิ เทนนิส ศิลปะการต่อสู้ ปั่นจักรยาน เดินทางไกล กอล์ฟ หรือไทชิเป็นการลดความเครียด ลดความดัน ทำให้ผ่อนคลาย สร้างสมดุลให้กับร่างกาย

คนเลือดกรุ๊ปนี้เหมาะกับการดื่มนมหรือ ผลิตภัณฑ์จากนม และเนื้อสัตว แม้คนหมู่เลือดนี้จะสามารถเผาผลาญโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ดีก็ตามแต่ก็ไม่ควร กินเนื้อสัตว์ที่ติดมัน ไม่ควรกินคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป และหลีกเลี่ยงเนื้อไก่

- คนที่มีกรุ๊ปเลือด AB

เป็น กลุ่มคนที่รักความเคลื่อนไหว ดังนั้นควรออกกำลังกายในรูปแบบที่ใช้แรงมากและต้องสร้างสมาธิได้ด้วย อย่างเช่นโยคะ หรือแอโรบิก คนเลือดกรุ๊ปนี้มีกรดไฮโดรคลอริกน้อยทำให้ย่อยอาหารได้ยาก จึงต้องจำกัดปริมาณเนื้อสัตว์ไม่ควรรับประทานเนื้อไก่ ควรหันมาบริโภคถั่วเหลือง ปลา ไข่ไก่ และผักแทนไม่ควรดื่มกาเฟอีนและแอลกอฮอล์มากเกินไปและไม่ควรอดอาหารเพราะจะทำ ให้เกิดความเครียด

- คนที่มีเลือดกรุ๊ป O

ควร จะออกกำลังกายโดยสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเต้นแอโรบิก วิ่ง หรือปั่นจักรยานจะช่วยปรับสภาวะสมดุลของอารมณ์ได้ คนเลือดกรุ๊ปนี้โปรตีนเป็นสิ่งสำคัญ แต่ควรจำกัดการบริโภคถั่วและหมู ส่วนนมและผลิตภัณฑ์จากนมให้บริโภคแต่น้อยเพราะร่างกายย่อยได้ยาก ควรจะหันมารับประทานผักผลไม้ให้มาก

"เสน่ห์จากดวงตา"

ดวงตา ถือได้ว่าเป็นอวัยวะที่สำคัญ ต่อการมองเห็น การรับรู้สิ่งต่างๆ บนโลก นอกจากนี้ยังเสริมสร้างเสน่ห์บนใบหน้าให้ชวนมองอีกด้วย แต่ดวงตานั้นก็มีความอ่อนโยน และบอบบาง เราจึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญในการดูแลรักษาเป็นพิเศษ

อาการแพ้ระคายเคือง บวมแดง หมองคล้ำและมีริ้วรอยบริเวณรอบดวงตา เกิดขึ้นจากอากาศและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเรา รวมทั้งความเครียดและความเหนื่อยล้าจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ เพราะรอบดวงตานั้นมีความละเอียดอ่อนและบอบบาง มีเส้นประสาทและเซลล์ต่างๆ อยู่เป็นจำนวนมาก ที่ไวต่อการร่วงโรยและถูกทำร้ายได้ง่าย การทำความสะอาดผิวหรือเมกอัพรอบดวงตาก็เป็นอีกสาเหตุหลักที่ทำร้ายผิวที่แสนบอบบางนี้

"เคล็ดลับความอ่อนเยาว์"

ออริจินส์ ร่วมกับ ดร.แอนดรูว์ ไวล์ มุ่งเน้นในเรื่องดูแลผิวบอบบางรอบดวงตา นำเคล็ดลับคงความอ่อนเยาว์ของดวงตามาบอกต่อ โดยเริ่มจากการไปตรวจดวงตาเป็นประจำทุกๆ 2-4 ปี และทุกๆ 1-2 ปี สำหรับคนที่อายุ 65 ปีขึ้นไป ส่วนคนที่ต้องนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเจอร์เป็นประจำ ก็ควรเริ่มฝึกนิสัยในการพักสายตาโดยมองออกไปไกลๆ ทุก 10-15 นาที และทุกครั้งที่ต้องออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้ง ก็ควรสวมแว่นตาดำ เพราะสามารถปกป้องและกรองแสงยูวีได้ และควรระวังไม่ให้ดวงตาสัมผัสควัน และฝุ่นละอองต่างๆ โดยตรง

เมื่อดูแลภายนอกแล้วก็ต้องดูแลภายในด้วย โดยการบริโภคผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง เช่น ผลบลูเบอร์รี่ ผักใบเขียว และแครอท ที่ช่วยลดอันตรายจากอนุมูลอิสระในแสงแดดที่ทำลายจอตา ลดปัญหาตาบอดจากจอประสาทตาเสื่อมได้ ช่วยให้สายตาทำงานดีขึ้นในที่มืดและที่มีแสงน้อย ต้องบริโภคผัก ผลไม้ ที่มีสารลูทีนและซีแซนทีน

ในพืชผักสีเหลืองและสีเขียวเข้ม เช่น ผลอโวคาโด บรอคโคลี ข้าวโพด ฟักทอง ผักโขม และผักกวางตุ้ง สารธรรมชาติที่พบมากในตาบริเวณจุดรับภาพและจอประสาทตา ที่ทำหน้าที่ช่วยกรองหรือป้องกันรังสีจากแสงแดด ปกป้องเซลล์ของจอประสาทตาไม่ให้ถูกทำลายโดยอนุมูลอิสระ และกรองแสงสีน้ำเงินที่จะทำลายดวงตา และบริโภคสารสกัดของโอเมกา 3 หรือรับประทานปลาชนิดต่างๆ ด้วย

สาวิตรี ศรีธรรมราช เลขที่46 far

มาทำความรู้จักกับ "เยื่อหุ้มปอดอักเสบ" กันเถอะ

เมื่อเร็ว ๆ นี้คนใกล้ตัวของเราเกิดอาการแน่นอหน้าอกขึ้นมา โดยเวลาเปล่งเสียงตะโกนก็รู้สึกเจ็บ ๆ ที่หน้าอก แม้แต่เวลาหายใจเข้าก็ยังรู้สึกเจ็บเลยทีเดียว เมื่อไปพบคุณหมอ ถึงได้ทราบว่า น่าจะเป็นอาการของโรค "เยื่อหุ้มปอดอักเสบ"

วันนี้ก็เลยว่าจะพา "เยื่อหุ้มปอดอักเสบ" มาแนะนำให้เพื่อน ๆ ที่นี่ได้รู้จักกันค่ะ ซึ่งเยื่อหุ้มปอดอักเสบ (Pleurisy) นี้คือ การอักเสบของเนื้อเยื่อที่หุ้มอยู่รอบ ๆ เนื้อปอด อาการที่เด่นชัดของโรคนี้ก็คือ เจ็บแปลบที่บริเวณหน้าอก คล้ายโดนเข็มแทง โดยเฉพาะเวลาหายใจเข้าลึก ๆ ไอหรือจาม ทั้งนี้เนื่องจากมีการยืดตัวของเยื่อหุ้มปอดที่กำลังอักเสบนั่นเอง

สาเหตุของการเกิด "เยื่อหุ้มปอดอักเสบ" นั้นอาจจะมีหลาย ๆ สาเหตุดังต่อไปนี้

เกิดจากการติดเชื้อ ทั้งจากเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส เชื้อรา หรือเชื้อปรสิตต่าง ๆ ในกรณีที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส เช่น กลุ่มเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคติดเชื้อของทางเดินหายใจ มักพบในคนหนุ่มสาวที่สุขภาพทั่วไปแข็งแรงดี อาการมักไม่รุนแรงและหายได้เองภายใน 3 - 5 วัน

เกิดจากเกิดจากต่อมน้ำเหลืองอุดตัน หรืออาจจะเกิดจากอุบัติเหตุที่ทรวงอก ทำให้เกิดการกระแทกที่บริเวณทรวงอกเข้าอย่างจัง

โรคก้อนเลือดอุดตันเส้นเลือดไปปอด ซึ่งมักเกิดในผู้สูงอายุ คนอ้วน หญิงตั้งครรภ์ หรือหลังคลอดบุตร หญิงที่กินยาคุมกำเนิด ผู้ป่วยหลังผ่าตัด ผู้ป่วยกระดูกสะโพกหรือต้นขาหัก ผู้ป่วยที่นอนบนเตียงนานๆ และไม่ค่อยได้เคลื่อนไหว

หรืออาจจะเกิดจากการการสูดดมสารเคมีที่เป็นพิษ หรืออาจจะเกิดจากเพราะเป็นโรคอื่นที่เกี่ยวข้องกันอย่างเช่น โรคลูปัส โรครูมาตอยด์ โรคมะเร็งปอด หรือมะเร็งเต้านม ภาวะหัวใจล้มเหลว

นอกจากนี้สาเหตุอื่น ๆ อย่างการรับประทานยาบางชนิด หรือการเกิดโรคในช่องท้องก็ล้วนแต่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคเยื่อหุ้มปอดอักเสบได้ทั้งสิ้น

ซึ่งอาการของโรนี้โดยทั่ว ๆ ไปผู้ป่วยมักจะมีอาการเจ็บแปลบเพียงชั่วไม่กี่วินาทีตรงหน้าอกซีกใดซีกหนึ่ง เป็นบางครั้งบางคราวเฉพาะเวลาหายใจเข้าลึก ๆ เวลาไอหรือจาม ถ้ากลั้นลมหายใจหรือหายใจค่อย ๆ จะไม่มีอาการแต่อย่างใด

ซึ่งถ้าเกิดจากไวรัสที่มีอาการไม่รุนแรง ผู้ป่วยมักมีอาการทั่วไปเป็นปกติดี สามารถทำงานได้ และมักมีอาการเพียง 2 - 3วันก็หายได้เอง แต่ในบางรายอาจจะมีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง (มักเจ็บแปลบแบบเยื่อหุ้มปอดอักเสบ) หายใจหอบ ไอเป็นเลือด เป็นลม อาจมีไข้ ซึ่งถือว่าอันตรายมากเนื่องจาก อาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตอย่างกะทันหัน แบบเดียวกับภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายได้เลยทีเดียว

หากเพื่อน ๆ ที่นี่คนไหนมีอาการดังกล่าว หรือมีใกล้ชิดมีอาการดังกล่าว แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาต่อไป และหากใครที่มีอาการดังกล่าวก็ไม่ต้องตกใจไปเนื่องจาก สามารถรักษาให้หายขาดได้ เพียงแต่คุณต้องเข้ารับการตรวจรักษาที่ค่อนข้างจะละเอียด เพราะ "เยื่อหุ้มปอดอักเสบ" นั้นมีสาเหตุที่ต่างกัน ดังนั้นอาการและวิธีการรักษาจึงแตกต่างกันในแต่ละคนด้วย

และถึงแม้ว่าโรคนี้จะสามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่เราก็ต้องหมั่นดูแลสุขภาพตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เพราะบางครั้ง "เยื่อหุ้มปอดอักเสบ" ก็อาจจะรุนแรงมากจนทำให้ถึงแก่ชีวิตก็ได้ค่ะ

"อยากหน้าสวยเด้ง ต้องรักษาความสะอาด"

อยากหน้าสวยเด้ง ต้องรักษาความสะอาด ขั้นตอนสำคัญในการดูแลใบหน้าอันดับแรกนั้น คือ การทำความสะอาด เพราะหากไม่สะอาดแล้ว สิ่งสกปรกต่างๆ ย่อมตกค้างและทำร้ายผิวหน้าได้อย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่ง วีรมน ปุรผาติ ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ ชู อูเอมูระ บอกในงาน project purify by shu uemura ฉลองครบรอบ 50 ปี เคล็นซิ่ง ออยล์ ว่า ผิวพรรณที่สวย ต้องเริ่มจากการทำความสะอาดที่ถูกวิธี ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ดี อาทิ ออยล์ที่เหมาะสมกับทุกสภาพผิว ซึมซาบเข้าสู่ผิวอย่างรวดเร็ว ช่วยขจัดคราบเครื่องสำอาง และสิ่งสกปรกได้อย่างหมดจด ช่วยบำรุงและคงความชุ่มชื่นให้กับผิว โดยไม่ทิ้งสารตกค้างในงานยังมีเซเลบริตี้มาร่วมพูดคุยถึงเคล็ดลับการทำความสะอาดผิวให้สวยใส สุขภาพดี โดยเริ่มที่ จตุรดา ธนะโสภณ ที่บอกว่า แม้ว่าจะถ่ายละคร หรือมีงานดึกแค่ไหน ก็ไม่ลืมที่จะล้างเมกอัพออกให้หมด ส่วนณัฏฐ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ที่ต้องเผชิญแสงแดดและแสงไฟในกองถ่าย ต้องแต่งหน้าบ่อย คนใกล้ชิดแนะนำให้ใช้ออยล์ ทำความสะอาดก่อนล้างหน้าสุดท้าย ภัทรา เทพหัสดิน ณ อยุธยา เล่าว่า ยิ่งงานที่จำเป็นต้องแต่งหน้า ยิ่งต้องใส่ใจเป็นพิเศษ ด้วยการเช็ดทำความสะอาดก่อนล้างหน้าทุกครั้ง เพราะนอกจากช่วยล้างเมกอัพ ยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื่น ป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัยหากใบหน้าสะอาดปราศจากสิ่งอุดตันแล้ว การบำรุงก็มีประสิทธิภาพมากขึ้น

การกินเพื่อสุขภาพ

เราเป็นคนหนึ่งที่ชอบเรื่องกิน และอีกหลายๆคนที่เป็นเหมือนอย่างเรา...จริงไหม เพราะเป็นมษุยษ์ไม่มีใครสนใจเรื่องก็กินนับว่าแปลก เราได้ไปอ่านบทความหนึ่งมาซึ่งเป็นบทความที่เกี่ยวข้องการกินเพื่อสุขภาพ ซึ่งมีดังนี้

1. อย่าละเลยอาหารเช้า ถือเป็นมื้อที่จะละเลยไม่ได้ เพราะช่วงเวลาจากอาหารเย็น (เมื่อวาน) ถึงเช้านี้ค่อนข้างจะไกล แม้จะเป็นช่วงที่ร่างกายได้หลับนอนพักผ่อน แต่ไม่ได้หมายความว่าระบบต่าง ๆ ของร่างกายจะหยุดทำงานตามไปด้วย เพราะฉะนั้น อาหารเช้าจึงจำเป็นอย่างยิ่ง และควรเป็นมื้อที่มีคุณค่าครบ 5 หมู่ อาหารเช้ายังช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยให้การเผาผลาญพลังงานดีขึ้นอีกด้วย

2. ปรุงอาหารให้แตกต่างหลากหลาย แม้ข้าวเป็นอาหารหลัก แต่ถ้าสามารถเลือกทานข้าวซ้อมมือได้จะยิ่งดี เพราะอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ โปรตีน และใยอาหาร แต่ละมื้อควรปรุงอาหารให้แตกต่างกันบ้าง เพื่อเพิ่มรสชาติให้อร่อยถูกปาก และร่างกายยังจะได้รับคุณค่าทางอาหารเพิ่มขึ้นด้วย หรือเพียงเปลี่ยนเครื่องปรุงประเภทน้ำมันพืช ก็จะช่วยให้ได้สารอาหารอีกหลายชนิดคือ วิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหาร และยังให้ประโยชน์ทางด้านสมุนไพรที่ช่วยรักษาสุขภาพ

3. การดื่มน้ำให้มาก นับเป็นผลดีต่อร่างกาย ในแต่ละวันจึงควรดื่มน้ำให้ได้ประมาณวันละ 8 แก้ว เพื่อให้มีน้ำมากพอที่จะหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น

4. เสริมแคลเซียมให้ร่างกาย ด้วยอาหารที่ปรุงจากปลาตัวเล็ก เต้าหู้ หรือผักใบเขียว อาหารประเภทนี้ให้คุณค่าแคลเซียมสูง ซึ่งจำเป็นต่อร่างกายในการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก

5. งดขนมขบเคี้ยวที่ไร้สารอาหาร แต่เต็มไปด้วยไขมันและน้ำตาล ซึ่งจะไปทำลายสุขภาพ ลองเปลี่ยนพฤติกรรมการกินจุกจิกจากขนม หรือลูกอมมาเป็นผลไม้ จะให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายได้อย่างดี เพราะมีวิตามินและไฟเบอร์ ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย

6. ทานข้าวกล้องและธัญพืชเพื่อสร้างพลังแก่ร่างกาย ข้าวกล้องได้ชื่อว่าเป็นแหล่งรวมของวิตามิน แร่ธาตุ โปรตีน และใยอาหาร หรือจะเป็นธัญพืช เช่น เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่าง ลูกเดือย ข้าวกล้อง ฯลฯ จะช่วยลดคลอเลสเตอรอลและควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

7. เพิ่มผักและผลไม้ในแต่ละมื้อ เพราะนอกจากจะเต็มไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ โปรตีน และใยอาหารแล้ว ยังมีสารช่วยชอลอการเสื่อมของเซลล์ ทำให้มีผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส อ่อนกว่าวัย และยังมีคุณค่าด้านสมุนไพรรักษาสุขภาพ

8. เลือกปลาตัวเล็กและเนื้อไม่ติดมันมาปรุงอาหาร เพื่อจะได้กินอาหารที่ให้โปรตีนสูง ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และยังช่วยบำรุงเซลล์สมอง ที่สำคัญยังมีไขมันน้อยอีกด้วย

9. ระวังสารปนเปื้อนในอาหาร สารปนเปื้อนต่าง ๆ ทำให้เราไม่ปลอดภัยจากเชื้อโรคพยาธิ สารพิษและสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ดังนั้นจึงควรเลือกกินอาหารที่สะอาด การผลิตถูกต้อง และยังไม่หมดอายุ

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์อีส เลขที่ 2

10 ข้อผิดพลาดในการออกกำลังกาย

1. ไม่ยืดกล้ามเนื้อให้เพียงพอ

ทุกครั้งเมื่อเรา warm up ก่อนเริ่มต้นเล่น weight เราก็ควรยืดกล้ามเนื้อก่อนนะคะ เพื่อว่าเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อจะได้ยืดหยุ่นพร้อมรับการออกแรงมากๆ และในระหว่างการออกแรงนั้นกล้ามเนื้อและเอ็นจะขยายตัวคะ หากเราไม่ยืดกล้ามเนื้อ อาจทำให้กล้ามเนื้อบาดเจ็บได้ขณะเล่น weight คะ และเมื่อจบการเล่น หรือการ burn แต่ละครั้งก็ควรยืดกล้ามเนื้ออีก เพื่อให้เลือดไหลเวียนได้ทั่วถึงคะ อีกทั้งเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ออกแรงติดต่อกันเป็นเวลานาน ปกติ trainer จะยืดกล้ามเนื้อให้ทุกครั้งเมื่อเล่นจบ 1 set คะ และ trainer บางคนถึงขนาดยอมนวดหรือยืดกล้ามเนื้อแบบการนวดแผนไทยให้กับ memberเลยนะคะ (แต่ trainer เราเค้าไม่ทำ เพราะเค้าบอกว่าดูไม่ใช่ trainer ไงไม่รู้) ถ้าหากไม่มีคนยืดให้ ให้ใช้ท่าโยคะยืดกล้ามเนื้อที่เคยนำเสนอไปแล้ว รวมกับเครื่องยืดกล้ามเนื้อที่ทาง Fitness จัดให้คะ

2. ใช้น้ำหนักมากเกินไป

โดยมากมักเกิดในพวกหนุ่มๆที่อยากมีกล้ามโตไวๆ สาวๆเรามักอิดออดเวลาเห็นแป้นน้ำหนักมากๆหรือลูกน้ำหนักขนาดใหญ่ๆโตๆ อันที่จริงการออกกำลังกายแบบ Anarobic โดยการใช้วิธีแบบ resistance (การออกแรงต้าน) นั้น จะให้ผลดีต่อกล้ามเนื้อเมื่อผู้เล่นรู้ว่าตัวเองสามารถรับแรงต้านได้มากแค่ไหน การเล่นโดยใส่แผ่นน้ำหนักมากเกินกำลังอาจเกิดผลเสียดังต่อไปนี้คะ

- กล้ามเนื้อบาดเจ็บ เพราะรับน้ำหนักมากเกินไป แต่ยังฝืนเล่นต่อไป

- กล้ามเนื้อฝ่อหรือโตผิดที่ กล้ามเนื้อฝ่อ เกิดจากการที่ร่างกายผลิตออกซิเจนมากเกินไปขณะเล่น weight ทำให้ร่างกายสันดาปเอา ไกลโคเจน มาใช้มากเกินไป (คาร์โบไฮเดรตและโปรตีนที่เรานำเข้าไปแต่ละวัน) ซ่งส่วนนี้เองที่ร่างกายนำมาสร้างกล้ามเนื้อแต่เมื่อเราใช้ไปขณะเล่น ร่างกายก็ไม่มีอะไรไว้สร้างกล้ามเนื้อคะ กล้ามเนื้อโตผิดที่ เกิดจากเมื่อเราใส่น้ำหนักมากไป เมื่อเราเล่น เราอาจวางท่าทางที่ไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดการออกแรงจากกล้ามเนื้อมัดที่ไม่ต้องการออกแรง ในขณะที่กล้ามเนื้อที่ต้องการออกแรง ไม่ได้ออกแรงอย่างเต็มที่ นี่เองที่ทำให้กล้ามเนื้อโตผิดที่ ซ่งมักเกิดขึ้นบ่อยๆ โดยเฉพาะกล้ามแขน (บางคนเล่นอกแต่ดันเอาแขนยก )

3. ไม่ Warm Up ก่อนออกกำลังกาย

เรื่องนี้เราย้ำบ่อยมากในบทความเก่าๆที่เคยเขียนมาทุกครั้ง การ warm up นอกจากเป็นการทำให้ร่างกายเราอุ่นขึ้นแล้ว ยังเป็นการเตรียมกล้ามเนื้ออีกด้วยคะ สังเกตุดูว่าการ warm up ไม่มีท่าทางตายตัว แต่มุ่งเน้นว่าร่างกายทุกส่วนต้องเคลื่อนไหวในขณะ warm up เพื่อให้เกิดการเตรียมพร้อมก่อนการออกกำลังกายจริง ทั้งนี้เพื่อป้องกันการบาดเจ็บนั่นเองคะ

4. ไม่ Cool Down

ข้อนี้สืบเนื่องมาจากข้อ 1. คะ การ cool down จะตรงข้ามกับการ warm up เมื่อเราออกกำลังกายเสร็จแล้ว เราควร cool down เพื่อเตรียมร่างกายให้เข้าสู่ภาวะปกติก่อนการไปทำธุระอื่นๆคะ เหตุผลก็ง่ายๆเลย อย่างที่เราทราบว่าหากเราอาบน้ำทั้งที่ร่างกายเรายังร้อนอยู่อาจเป็นไข้ได้ นั่นล่ะคะ เมื่อเราออกกำลังกายเสร็จ อุณหภูมิในร่างกายยังสูงอยู่ เราก็ต้องปรับให้กลับมาที่จุดปกติเพื่อทำกิจกรรมปกตินั่นเองคะ

5. ออกกำลังกายหนักเกินไป

การออกกำลังกายหนักเกินไปมีผลให้เกิดอาการต่อไปนี้

- Over Trained หรือกล้ามเนื้อล้าจากการออกแรงมากเกินไป จะเกิดอาการตึงๆหรือล้าๆกล้ามเนื้อ

- กล้ามเนื้อฝ่อ อย่างที่อธิบายไปแล้ว คือ ร่างกายจะดึงเอาคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนที่ร่างกายสะสมไว้ไปใช้นั่นเองคะ

6. ดื่มน้ำน้อยไป

เรื่องนี้สำคัญมากๆ เคยเตือนไปหลายต่อหล่ยครั้งมากๆ โดยเฉพาะผู้ที่ชอบเล่น Bikram หรือโยคะร้อน ข้อนี้จำเป็นมากๆเลยคะ ร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำถึง 70% เซลล์กล้ามเนื้อทุกๆเซลล์ต้องการน้ำ ดังนั้น หากเราออกกำลังกายจนเหนื่อยหนัก โดยไม่จิบน้ำเลย ร่างกายจะเกิดอาการ Dehydrate หรือขาดน้ำ ซึ่งส่งผลให้ช็อคได้คะ เนื่องจากขาดน้ำไปหล่อเลี้ยงในระดับเซลล์นั่นเองคะ เรื่องเล็กๆที่สำคัญมากนะคะ

7. ทิ้งน้ำหนักตัวบน Stair Stepper มากเกินไป

Stair Stepper ก็คือเครื่อง Cardio ชนิดหนึ่ง หน้าตาเหมือนในภาพนี้น่ะคะ

ถ้าหากเราทิ้งน้ำหนักตัวลงไปที่เท้าทั้งสองมากเกินไปจะทำให้บาดเจ็บที่หน้าแข้งและข้อเท้าได้นะคะ ระวังด้วยคะ

8. ออกกำลังกายเบาเกินไป

อย่างที่เคยบอกไปนะคะว่าการเล่น Cardio หรือการออกกำลังกายให้ถึง 60-85% ของ Max Heart Rate จะทำให้ร่างกายเราเผาผลาญไขมันไปใช้ในการออกกำลังกายคะ

9. ใช้แรงสะบัดเพื่อยกน้ำหนัก

การใช้แรงสะบัดก็เป็นการออกแรงที่ผิดคะ การสะบัดนอกจากทำให้กล้ามเนื้อไม่ได้ออกแรงอย่างเต็มที่แล้วยังอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ด้วยนะคะ ออกแรงให้ทุกต้องและพอดีจะได้เสริมสร้างกล้ามเนื้อมัดที่ต้องการให้ออกแรงนะคะ

10. ทาน Energy Bar หรือเครื่องดื่มเกลือแร่เมื่อออกแรงระดับปานกลาง

ข้อนี้ไม่จำเป็นมากนักสำหรับทุกๆคนนะคะ บางคนทานเพราะต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อ เช่น เครื่องดื่มเวย์โปรตีน อะมิโนแอซิด ฯลฯ มันไม่จำเป็นและสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุคะโดยปกติคนไทยเรา หากออกกำลังกายแล้ว เราสามารถเสริมโปรตีนโดยการบริโภคไข่ไก่ เนื้อไก่ เนื้อปลา หรือนมได้โดยตรงคะ ซึ่งมีประโยชน์เท่ากันหรือมากกว่าและราคาถูกกว่าด้วยคะ ไม่ต้องไปเห่อตามฝรั่งคะ ต้องเข้าใจว่าบ้านเรากะบ้านเค้าอาหารการกิน และอากาศมันต่างกันคะ เราโชคดีที่มีของสด ราคาไม่แพงให้บริโภคก็เลือกของสดที่มีคุณภาพดีมาบริโภคดีกว่าพึ่งอาหารเสริมนะคะ

เคล็ดลับการถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์

สำหรับคนที่วันๆ ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ คงต้องเกิดอาการปวดตา ตามัว ตาแห้ง สายตาล้า หรืออาการทางสายตาอื่นๆ กันบ้าง ปัจจุบันอาการทางสายตาที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์มีเพิ่มขึ้น จากสถิติพบว่า ผู้ใช้คอมพิวเตอร์จำนวนมากกว่า 50% มีอาการปวดตา ตามัว ตาแห้ง สายตาล้า และปวดศรีษะ รวมทั้งมีอาการอื่นๆ เช่น ปวดเหมื่อยคอและหลัง ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นกับผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์มากกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน และยังมีตัวแปรอีกหลายประการที่ทำร้ายสายตาของเรา เช่น ชนิดของจอคอมพิวเตอร์ แสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์ ความสว่างของห้อง ท่านั่ง ฯลฯ

เคล็ดลับเพื่อถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์

1. กระพริบตาให้ถี่ขึ้น อาการตาแห้ง เกิดจากการที่เรากระพริบตาน้อยลง เนื่องจากมีสมาธิขณะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ อัตราการกระพริบตาจะลดลงจาก 20 - 22 ครั้งต่อนาที เหลือเพียง 6 - 8 ครั้งต่อนาที ถ้าไม่อยากตาแห้ง ควรจะกระพริบตาให้ถี่ขึ้น หรืออาจใช้น้ำตาเทียมหยอดตา เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น

2. จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม

ให้บริเวณหน้าต่างอยู่ทางด้านข้างของจอคอมพิวเตอร์ เพื่อลดแสงตกสะท้อนบนหน้าจอ ควรจัดให้มีระยะห่างระหว่างจอภาพกับตัวเราประมาณ 50 - 70 ซ.ม. จัดระดับจอภาพจากจุดศูนย์กลางของจอคอมพิวเตอร์ ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 4 - 9 นิ้ว ไม่ควรให้จอภาพอยู่สูงหรือต่ำเกินไป

3. ปรับความสว่างของห้อง ควรปิดไฟบางดวงที่ทำการรบกวนการทำงาน เพราะปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากความสว่างที่มากเกินไป ถ้ามีแสงจ้าจากหน้าต่าง ควรใช้มูลี่เพื่อปรับแสงให้ผ่านได้เพียงบางส่วน และไม่เข้าตาโดยตรง หลีกเลี่ยงการใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีผิวสะท้อน เช่น โต๊ะสีขาว ควรใช้วัสดุที่มีผิวด้าน ที่สะท้อนแสงไม่มากจะดีกว่า

4. เลือกใช้ตัวอักษรขนาดใหญ่ เวลาพิมพ์งาน ควรเลือกใช้ขนาดของตัวอักษรที่ใหญ่พอ และปรับความเข้มของตัวอักษรให้มากขึ้น ซึ่งขนาดตัวอักษรและความเข้มที่เหมาะสมจะสังเกตได้จากการที่เราอ่านตัวอักษรได้ในระยะห่างเป็น 3 เท่าของระยะที่นั่งทำงาน หรือเลือกใช้จอคอมพวิเตอร์ชนิด LCD (จอแบน) ซึ่งจะช่วยถนอนสายตาได้ดีกว่าจอแบบเก่า (CRT)

5. เลือกใช้แว่นที่เหมาะสมกับการใช้คอมพิวเตอร์ ควรเลือกใช้เลนส์สีเขียวอ่อน ที่ช่วยให้สบายตาภายใต้แสงจากหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ และเพื่อลดแสงสะท้อนจากจอภาพ โดยเลือกแว่นตาที่มีกำลังขยายสำหรับระยะ 50 - 70 ซ.ม. (ระยะกลาง) ซึ่งค่ากำลังของเลนส์ดังกล่าวจะแตกต่างจากเลนส์อ่านหนังสือ หรือเลนส์มองใกล้ทั่วไป

6. พักสายตา ทุกๆ ชั่วโมง ควรเปลี่ยนอริยาบถ หรือลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายบ้าง เพื่อพักสายตาและป้องกันอาการปวดเมื่อยจากการใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเป็นเวลานาน

เรื่องน่ารู้เรื่องเหล้า

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นเครื่องดื่มที่อยู่คู่กับวัฒนธรรมของมนุษย์มาช้านาน มีการใช้แอลกอฮอล์เพื่อการสันทนาการต่างๆมากมาย มีปัญหาเกี่ยวกับการแอลกอฮอล์ที่คนหลายคนตั้งคำถามกันแต่อาจจะไม่มีคนตอบ ดังนั้นวันนี้เราจะมาดูเรื่องราวข้อสงสัยเกี่ยวกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์กัน

1. ทำไมบางคนดื่มแล้วตัวแดงหน้าแดง

ปกติแล้วเวลาเราดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปในร่างกายแล้ว ร่างกายจะเปลี่ยนแอลกอฮอล์ให้ไปเป็นสารที่ใช้ในวงจรสร้างพลังงาน ในขั้นตอนของการเปลี่ยนแปลงนั้นจะมีช่วงหนึ่งซึ่งสร้างสารที่ชื่อว่าแอลดีไฮด์ ซึ่งมีพิษต่อร่างกายได้ ... ในคนปกติ ร่างกายจะมีเอนไซม์ที่ชื่อว่า aldehyde dehydrogenase ทำหน้าที่เปลี่ยนสารแอลดีไฮด์ให้กลายเป็นสารอื่นต่อไป ... ซึ่งในคนเชื้อชาติทางด้านเอเชีย จะมีบางส่วน(50%)ซึ่งมีพันธุกรรมที่กำหนดการสร้างเอนไซม์ตัวนี้น้อยกว่าปกติ ดังนั้นเมื่อกินเหล้าเข้าไป เหล้าจะเปลี่ยนไปเป็นพลังงานได้ช้ากว่าโดยไปเกิดการคั่งของสารกลุ่มแอลดีไฮด์นี้

สารแอลดีไฮด์จะทำให้เกิดอาการต่างๆคือ คลื่นไส้อาเจียน เวียนหัว ปวดหัว อาการบวมและคันตามตัว หลอดเลือดขยายตัว หน้าแดงมือแดงได้

ถ้าเข้าใจผิดจะคิดว่าเมาง่าย จริงๆคนที่เกิดอาการนี้ไม่จำเป็นต้องเมาครับ และกลไกนี้เป็นหนึ่งในเรื่องอาการแฮงค์ครับ

2. อาการแฮงค์คืออะไร

อาการแฮงค์ คืออาการมึนงงปวดหัวคลื่นไส้อาเจียนหลังจากที่ฤทธิ์ของเหล้าที่ดื่มหมดไปแล้ว ... อาการที่ว่านี้เชื่อว่าเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกันได้แก่ การขาดน้ำ + การคั่งของสารแอลดีไฮด์ + น้ำตาลต่ำ ไปทำให้เกิดกลุ่มอาการดังกล่าวครับ

เพื่อให้ง่ายเข้า ผมทำเป็นแผนภาพให้ดูกัน

3. กินแค่ไหนจึงจะไม่โดนตำรวจจับ

ในประเทศไทย กฎหมายตั้งเกณฑ์ไว้ที่50mg% ดังนั้นเป้าคือกินอย่างไรไม่ให้เกิด50mg% ... มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์เมื่อปี 2550 ในวารสารจดหมายเหตุทางการแพทย์ เกี่ยวกับการทดลองโดยให้อาสาสมัครดื่มเหล้า(+กับแกล้มหรืออาหาร)และตรวจเลือด ซึ่งพบว่าการดื่มเหล้าเกิน1ดริงค์ต่อชั่วโมง ก็เสี่ยงต่อการมีระดับแอลกอฮอล์เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดแล้ว (1ดริงค์ = เหล้า40ดีกรี 40ซีซี /หรือเบียร์ 275 ซีซี)

ถ้าพูดเป็นภาษาเข้าใจง่ายขึ้นก็คือ ถ้าคุณไปเที่ยวแล้วกินเหล้าสัก6-7 ฝา หรือ กินเบียร์1กระป๋อง จากนั้นก็ขับรถมาเจอด่านตรวจ คุณก็มีโอกาสที่จะโดนจับครับ

ทั้งนี้ในงานวิจัยพบว่า การกินกับแกล้มก็ไม่ได้ช่วยอะไร ถ้าจะให้ช่วยจริงๆต้องกินเป็นอาหารมื้อหนักๆไปเลยจึงจะพอช่วยลดการดูดซึมได้บ้าง

(ถามจริงๆครับ ไปเที่ยวข้างนอกมีใครกินน้อยขนาดนั้นรึเปล่า)

4. กินยังไงไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ

หลายคนที่เจอจับอาจจะงงว่าตนเองยังไม่เมาเลย ทำไมโดนจับ เรื่องของเรื่องคือกลไกการเกิดอุบัติเหตุของคนที่ดื่มเหล้าเกิดจากการตัดสินใจช้าไปเพียงเสี้ยววินาทีครับ เกิดได้ตั้งแต่ปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดน้อยที่ระดับ 10mg% ขึ้นไป ... ปริมาณระดับนี้ไม่สามารถตรวจด้วยวิธีปกติได้ แต่สามารถตรวจได้จากการวัดความเร็วการตอบสนองของร่างกายครับ

นั่นหมายความว่า คุณเสียความสามารถในการตอบสนองไปแล้ว โดยที่ยังไม่รู้สึกมึนด้วยซ้ำ

5. มียาแก้เมาค้างหรือไม่

การแก้อาการเมาค้างในปัจจุบันยังใช้วิธีแบบตรงไปตรงมาคือ อย่าดื่มมากเกิน อย่าดื่มเร็วเกิน ดื่มน้ำบ่อยๆ เลือกชนิดเหล้า(เหล้าบางชนิดจะมีสารเคมีที่ทำให้เมาค้างได้ง่าย ต้องหาเอา ขึ้นกับแต่ละคน)ส่วนถ้าไปดูตามวงเหล้า หรือตามโฆษณาต่างๆ จะมีการพูดถึงยา, สมุนไพร, อาหารเสริม ที่ช่วงแก้อาการเมาค้าง ... แต่ถ้าว่ากันจริงๆตามงานวิจัย ยังไม่มียาที่ใช้แก้อาการเมาค้างที่ได้ผลชัดเจนทางวิทยาศาสตร์ครับ

ดังนั้นถ้าจะหาซื้อยาหรือผลิตภัณฑ์ใดๆมา ก็ไม่ต้องซีเรียสครับ ซื้อตามกำลังทรัพย์และความพึงพอใจเอา

6. การดื่มเพื่อสุขภาพ

มีงานวิจัยที่ออกมาบอกว่าการดื่มแอลกฮอล์อาจจะมีส่วนช่วยเรื่องสุขภาพได้ ทั้งนี้ต้องดื่มแต่พอดีครับ คำว่าดื่มแต่พอดีก็คือ การดื่มประมาณวันละ 1 ดริงค์

เทียบเท่าเบียร์ค่อนกระป๋อง / ไวน์ปริมาณ1ขวดกระทิงแดง / หรือเหล้าหนึ่งเป๊ก ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการดื่มในระดับที่ไม่รู้สึกอะไร หรืออย่างมากก็กรึ่มเพียงเล็กน้อยครับ ...

ดังนั้นการดื่มเพื่อสันทนาการ ดื่มแบบเฮฮา หรือดื่มแบบสนุกครื้นเครง ล้วนเกินพอดีครับ โทษมากกว่าประโยชน์ชัดเจน

อนึ่ง ฝรั่งเค้าก็ใช้คำว่า Moderation หรือ Moderate drinking ซึ่งแปลตรงตัวว่า “ดื่มแต่พอดี” เช่นกัน

ไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือโทษอย่างไรก็ตามเราสามารถเลือกในการบริโภคได้ ทุกอย่างอยู่ที่ตัวคุณจะเลือกครับ

วีระยุทธ หอมนวล ม.ฟาร์ เลขที่ 44

ปวดแข้ง

สมัยเรียนมัธยมปลายผมมีโอกาสได้ไปร่วมติวเตรียมเอนทรานส์ที่จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยและเมื่อเรียนเสร็จแล้วก็ต้องกลับบ้านที่อยู่บริเวณเซนต์หลุยส์ ซอย3 สมัยนั้นย่านดังกล่าวถือว่าเป็นบริเวณที่รถติดมากติดอันดับหนึ่งในห้า ของกรุงเทพฯ ติดจริงๆจังๆมากกว่าสมัยนี้เยอะ ... เนื่องจากสมัยนั้นยังไม่มีการสร้างรถไฟฟ้า ผมก็เลยต้องเลือกเอาว่าจะกลับบ้านยังไง เพราะเลิกเรียนก็1ทุ่มแล้ว ถ้านั่งรถเมล์แล้วโดยเฉลี่ยก็จะกลับถึงบ้านราวๆ3ทุ่มจากระยะทาง 5 กิโลเมตร ผมก็เลยเลือกใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงในการวิ่งกลับบ้านทุกวันกับกระเป๋าหนัก 3 กิโล แรกๆก็ไม่มีอะไร จนกระทั่งผ่านไปประมาณ 3 เดือน ผมเกิดอาการปวดที่หน้าแข้งทั้งสองข้างมากตลอดเวลา โดยจะปวดมากตอนเช้าๆและอาจจะเบาลงสักหน่อยในเวลาเย็น จนตอนหลังจากที่วิ่งก็ต้องเปลี่ยนไปเป็นการเดินกลับแทน ... อาการปวดนี้แม้ว่าหลังจากนั้นการติวจะสิ้นสุดลง แต่ผมก็ยังปวดหน้าแข้งไปจนกระทั่งถึงช่วงที่สอบเอนทรานส์เลยทีเดียว หน้าแข้ง อาการที่ว่านี้ที่จริงเป็นอาการที่พบได้บ่อยพอสมควรในวัยรุ่นครับ โดยมากมักจะพบในวัยรุ่นที่เล่นกีฬา บริเวณหน้าแข้งของเรา จะมีกระดูกที่เรียกว่ากระดูกหน้าแข้ง ขอบทั้งสองข้างของกระดูกชิ้นนี้จะมีกล้ามเนื้อวางตัวอยู่ครับ ... โดยตำแหน่งที่พบว่าเกิดอาการเจ็บปวดได้บ่อยก็คือ ขอบที่ติดกับกระดูกทางด้านในของขา

เกิดจากอะไร อาการปวดแข้งตรงบริเวณนี้ เป็นอาการบาดเจ็บชนิดหนึ่งครับ ... ซึ่งการบาดเจ็บนี้ไม่ได้หมายถึงแค่การกระทบกระแทกอะไรตรงๆที่บริเวณดังกล่าว

จากภาพที่ให้มาตรงบริเวณที่เป็นสีแดงนั้นจุดที่ปกติแล้วจะมีกล้ามเนื้อมา เกาะที่กระดูกหน้าแข้ง ... ในคนที่ใช้งานขาเกินกำลังติดต่อกันเป็นเวลานาน กล้ามเนื้อขาจะทำงานหนักในการขยับเท้าและรับน้ำหนัก ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อส่วนที่ติดกระดูกต้องรับน้ำหนักและแรงกระแทกมากและ เกิดการอักเสบตึงยืดตามมาได้ หากเป็นกรณีปกติ ร่างกายจะแสดงอาการออกมาด้วยอาการเมื่อยล้า แต่ในบางกรณีที่คนเราใช้ใจในการทำงานมากกว่าเหตุผล ... ไม่ว่าจะเพื่อการฝึกฝนตนเอง หรือจะด้วยความรู้สึกว่าตนสามารถเอาชนะร่างกายได้ ก็จะเกิดการฝืนใช้งานต่อไป อาการเจ็บเบื้องต้นจะเป็นเพียงเล็กน้อย อาจจะเริ่มต้นเพียงเจ็บๆเมื่อยๆในตอนเช้า ซึ่งคนปกติต้องพัก ... แต่หากไม่ได้พัก ฝืนทำงานต่อกล้ามเนื้อก็จะดึงกระดูกหน้าแข้งจนเกิดอาการอักเสบมากขึ้นทีละ น้อยทีละน้อย ในที่สุดเมื่อถึงจุดหนึ่งที่กล้ามเนื้อและกระดูกทนไม่ไหว อาการเจ็บปวดก็จะมากจนแทบเดินไม่ไหว

สำคัญอย่างไร ที่ผ่านมาผมอ่านการ์ตูนกีฬาหลายเรื่อง ลักษณะตัวเอกจะเหมือนกันอยู่อย่างนึงก็คือ หมั่นฝึกฝนตนเองตลอดเวลาประดุจกำลังเล่นเกมส์อยู่ ทำเหมือนว่าการฝึกหนักทุกๆวันจะทำให้เก่งขึ้นมาได้แบบในเกมส์ที่มีค่า Exp หรือ Level ปัญหาคือ การ์ตูนมุ่งแต่เรื่องพลังใจ ไม่ค่อยบอกว่าการทำแบบไหนจะเกิดอันตรายได้ อีกอย่างก็คือการแข่งขันกีฬาหลายชนิดที่แข่งกันตั้งแต่อายุน้อยๆ ทำให้มีการฝึกฝนเด็กให้เล่นกีฬาอย่างเอาเป็นเอาตาย ต้องมีการซ้อมทุกวัน การใช้งานซ้ำๆกันเป็นเวลานาน (ภาษาอังกฤษเรียกว่า Repetitive stress syndrome) จึงเป็นเหตุที่ทำให้เกิดโรคๆนี้ขึ้นมา ปัญหาที่น่ากลัวที่สุดของกลุ่มนี้ก็คือ อาการพวกนี้ปรากฎก็ต่อเมื่อมีการบาดเจ็บอย่างเรื้อรัง และใช้เวลารักษานาน ทำให้หลายๆคนไม่ใส่ใจที่จะรักษา ซึ่งโรคนี้หากยิ่งปล่อยไว้ก็จะรักษายากขึ้นเรื่อยๆ ... หนักที่สุดก็คืออาจจะทำให้กระดูกหน้าแข้งหักทีเดียวครับ

อาการดูอย่างไร อาการที่จะเป็นนั้นคนที่เป็นคงต้องสังเกตดูเอาครับ อาการปวดของกลุ่มการใช้งานเกินกำลังนั้นมักเป็นการปวดที่ยาวนาน อาการปวดเมื่อเริ่มแล้วก็จะปวดไปเรื่อยๆไม่หายง่ายๆ - ปวดที่บริเวณขอบที่ติดกับกระดูกหน้าแข้งโดยเป็นมากเวลาใช้กำลังของขา - กดบริเวณดังกล่าวแล้วเจ็บ - เมื่อเป็นขึ้นมาแล้ว กินยาหรือพักแล้วก็มักไม่ค่อยหายในทันที จริงๆอาจจะไปให้หมอตามโรงพยาบาลตรวจก็ได้ครับ แต่ว่าส่วนมากก็มักตรวจไม่เจออะไรมากไปกว่านั้น การเอกซ์เรย์ก็มักจะปกติ การรักษาคือส่วนที่ยากที่สุดของโรคนี้ครับ ... ไม่ใช่เพราะว่าโรคนี้ต้องใช้ยาราคาแพงหรือว่าวินิจฉัยลำบาก หากแต่เป็นเพราะโรคนี้ใช้เวลารักษานาน โดยทั่วไปอาการปวดกล้ามเนื้อแบบธรรมดา กินยาและพักผ่อนสัก3-4 วันก็จะทุเลาลงแล้ว แต่ว่าสำหรับอาการ'ปวดหน้าแข้งอันเกิดจากการใช้งานเกินขนาด'นี้ ตามปกติจะใช้เวลาในการรักษาประมาณ 2-3 เดือนครับ สาเหตุที่ใช้เวลารักษานานเพราะว่า การบาดเจ็บที่เกิดขึ้นมักเป็นอาการบาดเจ็บที่เป็นที่เอ็นและกระดูก ซึ่งเป็นส่วนที่ใช้เวลาในการฟื้นตัวช้า ... อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ คนที่จะป่วยเป็นโรคนี้ มักจะเป็นคนที่ฝืนใช้งานขาต่อทั้งๆที่ตนเองก็เจ็บขา ... ดังนั้นก็จะพบว่าผู้ที่เป็นมักจะไม่ยอมหยุดพักกิจกรรมและกลับไปฝืนใช้งานต่อ อีก

การรักษาสำหรับผู้ที่สงสัยว่าตนเองจะมีอาการนี้

- งดการทำกิจกรรมถ้าหากมีอาการเจ็บกล้ามเนื้อ : การเจ็บกล้ามเนื้อเป็นสัญญาณบอกว่าคุณต้องพัก

- ออกกำลังกายให้หลากหลายรูปแบบ : เพราะกีฬาแต่ละชนิดมีการใช้กล้ามเนื้อแตกต่างกันไป การสลับชนิดกีฬาจะช่วยให้กล้ามเนื้อได้พัก

- ใช้รองเท้าให้เหมาะสม : การลงน้ำหนักที่ผิดปกติ เป็นสาเหตุหนึ่งของอาการเจ็บที่หน้าแข้ง

- ยาไม่ได้เป็นสิ่งเลวร้าย : หลายคนกลัวที่จะกินยาจนเกินไป ที่จริงการใช้ยาในระดับที่พอดีก็ช่วยให้อาการบาดเจ็บหายได้เร็วขึ้นอย่างปลอดภัย

- พักต้องเป็นพัก : เมื่อมีอาการปวดที่หน้าแข้งก็แปลว่าคุณจำเป็นต้องพัก ซึ่งการพักคือการใช้งานในระดับปกติคือการเดิน ... อะไรที่เกินไปจากการเดิน ไม่ว่าจะเป็นวิ่งเร็ว วิ่งเหยาะๆ เดินเร็ว ยกของน้ำหนักมาก คือสิ่งที่ไม่ควรทำ

- เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย : การเริ่มพักแต่เนิ่นๆเมื่อมีอาการปวดใหม่ๆ ใช้เวลาพักฟื้นเพียงแค่หนึ่งถึงสองวัน ... ในขณะที่หากคุณฝืนใช้งานต่อไปอีก3-4วัน อาจจะได้พักฟื้นเป็นเดือน

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

อาหารสุขภาพที่คุณควรระวัง !!!

* น้ำสลัดไขมันต่ำ : ดูเหมือนว่าน้ำสลัดไขมันต่ำจะช่วยลดไขมันและลดแคลอรี แต่ที่จริงแล้ว คุณรู้ไหมว่าน้ำตาลถูกเพิ่มเข้าไปแทนที่เพื่อให้ได้รสชาติที่ดี และที่แย่กว่านั้นก็คือความจริงที่ว่าไขมันที่ซึมซับวิตามินได้ถูกแยกออกไป เนื่องจากนักวิจัยมหาวิทยาลัยโอไฮโอค้นพบว่า ร่างกายของคนที่กินผักกับน้ำสลัดธรรมดาดูดซึมเบตาแคโรทีนซึ่งมีคุณสมบัติของแอนตี้ออกซิแดนท์ช่วยป้องกันการก่อมะเร็งได้มากกว่าถึง 15 เท่า และดูดซึมลูเทียน (Lutein) สารสีเหลืองซึ่งมีส่วนช่วยในการสกัดกั้นการอุดตันของเส้นเลือดในปริมาณที่มากกว่า

น้ำสลัดไขมันต่ำจึงอาจไม่ใช่ทางออกของอาหารสุขภาพที่คุณกำลังมองหา ในเวลาเดียวกันคุณสามารถกินน้ำสลัดทั่วไปได้แต่ในปริมาณน้อย หรือเลือกกินน้ำสลัดที่ทำจากน้ำมันมะกอกและน้ำมันดอกคาโนลา (Canola Oil ) ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ได้

ปาริชาติ กันทะวงค์ ม.ฟาร์ เลขที่ 10

โรคคางทูม (Mumps)

โรคคางทูม เป็นการติดเชื้อและมีการอักเสบของต่อมน้ำลาย (Parotid gland) ที่อยู่บริเวณกกหูทำให้ที่บริเวณคางบวม จึงได้ชื่อว่าคางทูม พบในเด็กเป็นส่วนใหญ่

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งอยู่ในกลุ่ม Paramyxovirus

ระบาดวิทยา

ติดต่อกันได้โดยตรงทางการหายใจ (Droplet spread) และสัมผัสกับน้ำลายของผู้ป่วย เช่น การกินน้ำและอาหารโดยใช้ภาชนะร่วมกัน เป็นกับเด็กได้ทุกอายุ ถ้าเป็นในผู้ใหญ่จะมีอาการรุนแรง และมีโรคแทรกซ้อนได้บ่อยกว่าในเด็ก หลังจากมีวัคซีนป้องกันในประเทศที่พัฒนาแล้วอุบัติการณ์ของโรคนี้ได้ลดลงมาก ระยะที่ติดต่อกันได้ง่าย คือจาก 1-2 วัน (หรือถึง 7 วัน) ก่อนมีอาการบวมของต่อมน้ำลาย ไปจนถึง 5-9 วันหลังจากมีอาการบวมของต่อมน้ำลาย

ระยะฟักตัวของโรคคือ 16-18 วัน แต่อาจสั้นเพียง 12 วัน และนานถึง 25 วันหลังสัมผัสโรค

อาการ

ประมาณร้อยละ 30 ของผู้ที่ติดเชื้อจะไม่มีอาการ ในผู้มีอาการจะเริ่มมีอาการไข้ต่ำ เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมา 1-2 วัน จะมีอาการปวดหู เจ็บบริเวณขากรรไกร จากนั้นต่อมน้ำลายหน้าหูจะโตขึ้นจนคลำได้ โดยค่อยๆ โตขึ้นจนถึงบริเวณหน้าหูและขากรรไกร บางรายโตขึ้นจนถึงระดับตา ประมาณ 1 สัปดาห์ จะค่อยๆ ลดขนาดลง

โรคแทรกซ้อน

1) เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง

2) โรคแทรกซ้อนที่นับว่ารุนแรงคือ สมองอักเสบ พบได้ประมาณ 1 ใน 6,000 ราย ซึ่งอาจทำให้ถึงเสียชีวิตได้

3) ถ้าเป็นในเด็กชายวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่อาจมีการอักเสบของอัณฑะ ซึ่งในบางรายอาจทำให้เป็นหมันได้

4) โรคแทรกซ้อนอื่นๆ ที่อาจพบได้น้อยมาก คือ ข้ออักเสบ ตับอ่อนอักเสบ และหูหนวก

การวินิจฉัยโรค

จากการแยกเชื้อไวรัสจาก throat washing จากปัสสาวะและน้ำไขสันหลัง และหรือตรวจหาระดับ antibody โดยวิธี Hemagglutination Inhibition (HAI) หรือ Neutralization test (NT)

การรักษา

ตามอาการ ให้ยาแก้ปวดเป็นครั้งคราว

การแยกผู้ป่วย

แยกเกี่ยวกับระบบการหายใจ โดยแยกผู้ป่วยจนถึง 9 วัน หลังเริ่มมีอาการบวมของต่อมน้ำลาย

การป้องกัน

หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย วิธีที่ดีที่สุดคือ ให้วัคซีนป้องกันด้วยการให้วัคซีนป้องกันคางทูม ซึ่งมาในรูปแบบของวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน (MMR) ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขให้วัคซีนรวมป้องกันหัด คางทูม และหัดเยอรมัน 1 ครั้ง ในเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1

กินวิตามิน..เกลือแร่แก้แพ้อากาศ

ลดอาการแพ้อากาศได้โดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ พักผ่อนให้เพียงพอ และที่สำคัญควรกินผักผลไม้สด เพื่อให้ได้รับวิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยลดการแพ้อากาศ

วิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยลดการแพ้อากาศ ได้แก่

- วิตามินซี ช่วยป้องกันและเสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือด ป้องกันหวัดและการแพ้อากาศ แหล่งที่พบมากได้แก่ ฝรั่ง ส้ม และสับปะรด

- วิตามินอี ช่วยสร้างภูมิคุ้นกัน ต้านอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรง แหล่งที่พบมากได้แก่ ธัญพืช ข้างกล้อง และรำข้าว

- วิตามินเอ ช่วยต้านอนุมูลอิสระและเสริมสร้างการทำงานของเซลล์เม็ดเลือด แหล่งที่พบมากได้แก่ ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง แครอท มะเขือเทศ ฟักทอง มะละกอ และน้ำมันตับปลา

- สังกะสี (Zinc) ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย และป้องกันอนุมูลอิสระ แหล่งที่พบมากได้แก่ อาหารทะเล ธัญพืช และผลิตภัณฑ์นม

- ซิลิเนียม (Selenium) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน แหล่งที่พบมากได้แก่ เนื้อสัตว์ ธัญพืช จมูกข้าว รำข้าว เห็ด และกะหล่ำปลี

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากลดอาการแพ้อากาศ ลองหาวิตามินและเกลือแร่ที่แนะนำมาทานกันดีกว่า.

นุชรินทร์ (ม.ฟาร์) เลขที่6

การรักษาเบาหวานมีวัตถุประสงค์ ดังนี้

1. ลดอาการที่เกิดจากน้ำตาลสูง (ดังที่กล่าวมาแล้ว)

2. ลดภาวะแทรกซ้อนทั้งแบบเฉียบพลัน เช่น ช็อกจากน้ำตาลสูง, ติดเชื้อ, ภาวะเลือดเป็นกรด หรืออาการแทรกซ้อนระยะยาว เช่น ไตวาย, ตาบอด, ปลายประสาทเสื่อม, แผลที่เท้า ซึ่งต้องสูญเสียเท้าหรือขาไป

3. เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี และมีความสุขในเด็ก ต้องให้เด็กสามารถเจริญเติบโต และพัฒนาการได้อย่างปรกติ

4. ในคนท้อง ต้องไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์ ให้ปลอดภัยทั้งลูกและแม่

เมื่อวินิจฉัยได้แน่นอน และอธิบายให้ผู้ป่วยทราบ, ตั้งตัวและทำใจได้แล้ว (อันนี้สำคัญมาก เพราะถ้าผู้ป่วยหรือญาติไม่เข้าใจ จะทำให้การักษาไม่ได้ผลดี และล้มเหลวในที่สุด) แพทย์ก็จะแนะนำการรักษาดังต่อไปนี้ ซึ่งสำคัญพอๆ กันในการควบคุมเบาหวาน ทำอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ผลดี

1. เปลี่ยนพฤติกรรมการกิน คือควบคุมอาหาร (อย่าเห็นแก่กิน)

2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

3. การใช้ยา ยาเม็ดลดน้ำตาล หรือฉีดอินซูลิน

4. รักษาโรคที่เกิดร่วม หรือโรคแทรกซ้อน (ดังที่กล่าวมาแล้ว)

1. เปลี่ยนพฤติกรรมการกิน คือควบคุมอาหาร (อย่าเห็นแก่กิน)

เปลี่ยนพฤติกรรมการกิน, ควบคุมอาหาร โดยเฉพาะอาหารประเภท น้ำตาลและแป้ง เนื่องจากน้ำตาลที่สังเคราะห์แล้ว เช่น น้ำตาลทราย หรือขนมที่ผสม หรือเป็นผลิตภัณฑ์จากน้ำตาลทราย เช่น น้ำหวาน, นม, กาแฟ, ใส่น้ำตาล, น้ำผึ้ง, น้ำอัดลม, ทองหยิบ, ทองหยอด, ฝอยทอง ขนมหวานอื่นๆ ที่กล่าวมาแล้ว ควรหลีกเลี่ยง หรือกินน้อยที่สุด เท่าที่จำเป็น (ไม่ให้ลงแดง) ส่วนอาหารประเภทแป้งธรรมชาติ เช่น ข้าว ควรกินข้าวจ้าวมากกว่าข้าวเหนียว ถ้าเป็นข้างกล้องจะดีมาก กินพออิ่ม แป้งอื่นๆ ที่เหมือนข้าว เช่น ขนมปังจืด, เส้นก๋วยเตี๋ยว, วุ้นเส้น อันนี้ก็กินพออิ่มๆ อย่ากินจุก ถ้าน้ำหนักมากก็ควรลดลง (ไม่ให้งดเป็นมื้อ) เรื่องน้ำหนักเอาง่ายๆ คือ น้ำหนักมาตรฐาน ผู้ชายส่วนสูงเป็นเซนติเมตร – 100 ส่วนผู้หญิง ลบด้วยร้อยแล้ว x 0.9 ถ้าน้ำหนักเกินก็ควรลดอาหาร, ถ้าขาดก็เพิ่มปริมาณอาหาร ส่วนผลไม้ประเภทเส้นใยสูงไม่หวาน กินได้ไม่จำกัด เช่น ชมพู่, ฝรั่งดิบ, แอปเปิ้ล, เมล็ดพืชผัก, ถั่ว ผลไม้หวานๆ ให้กินพออร่อย หอมปากหอมคอ เช่น แตงโม, ส้มเขียวหวาน, มะม่วงสุก, กล้วย ฯลฯ ผลไม้ที่ไม่ควรกินเลย คือ ลำไย, สับปะรด, ทุเรียน อาหารไขมันควรลดด้วย อาหารโปรตีนกินปกติ ยกเว้นมีปัญหาไตวายร่วมด้วยให้ลดลง

ถ้าขาดความหวานไม่ได้ เช่น นม, กาแฟและชา ให้ใช้สารให้ความหวาน หรือน้ำตาลเทียมมาใช้แทน

แอลกอฮอล์ (เหล้า, เบียร์, อื่นๆ) ทำให้การควบคุมเบาหวานลำบาก และอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน เช่น น้ำตาลต่ำเกินไป และหลีกเลี่ยงไม่ได้ ให้ดื่มวิสกี้บางๆ ได้ 1 แก้ว แต่ต้องกินหลังอาหาร

2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

การออกกำลังกาย จะช่วยทำให้การควบคุมน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น นิ่มนวลขึ้น ในผู้ป่วยที่น้ำตาลในเลือดสูงมาก อาหารไม่มาก บางทีออกกำลังกายและควบคุมอาหาร สามารถทำให้น้ำตาลใกล้เคียงปกติ โดยไม่ต้องกินยาก็ได้, การออกกำลังกาย ยังช่วยควบคุมน้ำหนัก (ในคนที่เกิน) ไม่ให้มากเกินไป เพราะน้ำหนักยังมีผลทางอ้อม ทำให้น้ำตาลในเลือกสูงขึ้นได้ นอกจากนั้น ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน เช่น เส้นเลือดหัวใจตีบ, เส้นเลือดสมองตีบ, ทำให้หัวใจแข็งแรง เมื่อเกิดปัญหาขึ้น ทำให้ผ่อนหนักเป็นเบาได้

การออกกำลังหายไม่ควรหักโหม โดยเฉพาะผู้ที่ไม่เคยออก, ผู้สูงอายุ ผู้ที่น้ำหนักเกินมากๆ (อ้วน) ควรค่อยๆ เริ่ม ตามศาสตร์ของการออกกำลังกายที่ดีที่สุดคือ การออกกำลังกายที่ร่างกายใช้ออกซิเจน (aerobic exercise) เช่น เดินเร็วๆ, วิ่งเหยาะๆ, ปันจักรยานอยู่กับที่ หรือเคลื่อนที่ (ถ้าแน่ใจว่าจะไม่โดนชน) เต้นรำ, เต้น aerobic, ตีกอล์ฟ ประมาณ 4 วันต่อสัปดาห์ ครั้งละไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมง พอนานๆ เข้า ถ้ายังมีแรงจะเอามากกว่านี้ก็ได้ แต่ขอให้ค่อยเป็นค่อยไป (อย่าใจร้อน) การออกกำลังกาย เป็นการทำให้สุขภาพใจ และกายดี แข็งแรง ซึ่งท่านต้องลงทุนลงแรงเอง เพราะท่านไม่สามารถซื้อหา การมีสุขภาพที่ดีได้ตามร้าน หรือห้างสรรพสินค้า ยิ่งถ้าออกเป็นประจำแล้ว จะรู้สึกเสพติด พอ 4 – 5 ทุ่มแล้วก็จะง่วง หลับสบายไม่ฟุ้งซ่าน เมื่อออกกำลังกายแล้ว ก็ต้องพักผ่อนให้พอด้วย ถ้านอนได้วันละ 8 ชม. ล่ะก็สมบูรณ์แบบ (ถ้ากลางคืนนอนไม่พอ ต้องหาเวลาแอบงีบระหว่างวันเอง)

3. การใช้ยา ยาเม็ดลดน้ำตาล หรือฉีดอินซูลิน

ก่อนจะพูดถึงการรักษาเบาหวานด้วย ยา ขอเน้นและขอย้ำอีกครั้งว่า การรักษาโรคเบาหวานจะได้ผลดีนั้น ตัวผู้ป่วยรวมถึงผู้ใกล้ชิด เช่น ญาติ พี่ น้อง คนดูแล จะต้องเข้าใจธรรมชาติของโรค และแนวทางการรักษาพอสมควร เนื่องจากเป็นโรคเรื้อรัง รักษาไม่หายขาด จำเป็นต้องรักษาต่อเนื่อง เพื่อให้คุณภาพชีวิตที่ดี และยืนยาวเท่าคนปกติ และการรักษาต้องประกอบไปด้วย 3 อย่าง ซึ่งสำคัญพอๆ กัน จะเอาทางหนึ่งทางใด ทางเดียวหรือกึ่งๆ ครึ่งๆ กลางๆ ก็จะไม่ได้ผลดีนัก ออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร และยา

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์อีส เลขที่ 2

โรคกระดูกพรุน คือ ภาวะพร่องของแร่ธาตุในกระดูก ทั้งด้านความหนาแน่น ปริมาณ และความแข็งแรง ภาวะดังกล่าวนี้จะทำให้กระดูกบางลงเพิ่มความสี่ยงที่กระดูกจะหัก

ประมาณกันว่ามีชาวอเมริกันถึง 20 ล้านคน โดยเฉพาะผู้หญิงวัยทองเป็นโรคนี้หรือเสี่ยงต่อโรคนี้ แม้ว่ากระบวนการเสริมสร้างกระดูกที่แข็งแรงอาจต้องใช้เวลาตลอดทั้งชีวิต แต่ช่วงที่เสี่ยงต่อโรคนี้ส่วนใหญ่คือวัยผู้ใหญ่ตอนปลาย อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ในระยะแรกอาการของโรคแทบจะไม่ปรากฏ แต่กระนั้นโรคนี้ก็ร้ายแรงถึงขนาดที่ว่าสามารถทำให้กระดูกสันหลังหรือสะโพกแตกร้าว ซึ่งน้อยคนนักที่รอดชีวิตมาได้หากอาการลุกลามไปถึงขั้นนั้น

การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ สามารถช่วยให้เราป้องกันหรือชะลอการบุกรุกของโรคนี้ได้ โดยบริโภคอาหารเหล่านี้เป็นประจำ

• ผลไม้และผักใบเขียวที่ปลูกแบบปลอดสารพิษ

• ผลิตภัณฑ์นม (ถ้าคุณแพ้นม หรือรับประทานนมไม่ได้ ให้ดื่มนมถั่วเหลืองเสริมวิตามิน D แทน)

• กุ้ง, ปลาคอด

• เต้าหู้ หรือผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองอื่นๆ

• ปลาทะเล

• แอปเปิ้ล

• หลีกเลี่ยง กาแฟ น้ำอัดลม น้ำตาลฟอกขาว เนื้อสัตว์ และเกลือ

โรคหอบหืด คือ ภาวะที่ช่องทางสำหรับลำเลียงอากาศเข้าสู่ปอดไม่ปกติ อาการจะเกิดขึ้นเมื่อเซลล์กล้ามเนื้อที่อ่อนนุ่มล้มเหลวในการขนถ่ายอากาศ จนเส้นทางดังกล่าวปิดในที่สุด จึงยากที่อากาศจะเข้าหรือออกจากปอด นำไปสู่อาการหายใจขัดหรือหายใจลำบาก ถ้าอาการเหล่านี้ดำเนินต่อไปเป็นเวลาชั่วระยะหนึ่ง อาจทำให้ผู้ป่วยหมดสติหรือเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายในได้

แม้ว่าผู้ป่วยด้วยโรคนี้จะมีช่วงเวลาที่ไม่ปรากฏอาการ แต่พวกเขาก็ต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวว่า อาการอาจจะกำเริบขึ้นมาในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง โชคดีที่อย่างน้อยก็ยังมีอาหารจำพวกหนึ่งที่ช่วยลดการปะทุของโรค และบรรเทาอาการที่เกิดจากสภาวะอ่อนเพลียนี้ สิ่งที่ควรรับประทานได้แก่

• ผักและผลไม้ปลอดสารพิษ

• ปลาทะเล เช่น ปลาคอด แซลมอน แมคเคอเรล แฮริ่ง

• น้ำมันมะกอก

• โรสแมรี่ ขิง

• ลดการบริโภคนมและผลิตภัณฑ์จากนม ซึ่งเป็นตัวเพิ่มความรุนแรงของอาการหอบหืด

โรคมะเร็งลำไส้ สามารถเกิดขึ้นที่ส่วนใดก็ได้ของลำไส้ ไม่ว่าจะเป็นลำไส้เล็กหรือลำไส้ใหญ่ มะเร็งลำไส้ก่อตัวขึ้นเมื่อเซลล์ของลำไส้สัมผัสกับสารเคมีหรือสารก่อมะเร็งจน DNA ของเซลล์ถูกทำลาย ซึ่งนำไปสู่การผ่าเหล่า (mutation) ในเซลล์ และเซลล์เหล่านี้จะแบ่งตัวอย่างปราศจากการควบคุมและกระจายไปทั่วร่างกาย จนอวัยวะเสียหายและถึงแก่ชีวิตในที่สุด แม้ว่าพันธุกรรมจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคนี้ แต่นักวิจัยเชื่อว่า 90% มีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหารของแต่ละคน ดังนั้น วิธีป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ที่ดีที่สุด คือ รับประทานอาหารให้เหมาะสม ซึ่งมีดังต่อไปนี้

• ผักและผลไม้ที่ปลูกแบบออร์แกนิค โดยเฉพาะ แอปเปิ้ล แครนเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่

• น้ำมันมะกอก

• แป้งไม่ขัดขาวเพื่อเพิ่มเส้นใย

• ปลาทะเล เช่น แซลมอน ทูน่า แฮริ่ง แมคเคอเรล เพื่อเพิ่มกรดไขมัน โอเม้า-3

• หัวหอม กระเทียม ต้นหอม ขมิ้น ขิง

• โยเกิร์ต

• บร็อคโคลี่ กะหล่ำปลี

• ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง

• ส้ม มะนาว หรือผลไม้รสเปรี้ยว

• หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ กรดไขมันโอเมก้า-6 ไขมันอิ่มตัว น้ำตาลฟอกขาว และแอลกอฮอล์

อาการเมารถเกิดจากอะไร

อาการเมารถหรือเมาเรือเกิดจากประสาทการทรงตัวทำงานได้ไม่สมดุล อาจเป็นเพราะได้รับแรงกระตุ้นมากเกินไป เช่น นั่งรถที่เหวี่ยงหรือสะเทือนนานเกินไป หรือนั่งในเรือที่โยนไปมาตามลูกคลื่นนานๆ จนกระทั่งไปกระตุ้นประสาทการทรงตัวของเรา ถ้าประสาทการทรงตัวของเราไม่มีความไวผิดปกติ ก็อาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่สำหรับบางคน ประสาทการทรงตัวจะไวมากเป็นพิเศษ จึงรู้สึกว่าเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน

หลายคนที่เคยมีประสบการณ์เมารถเมาเรือมาแล้ว อาจจะเข้าใจผิด ด้วยความที่ไม่อยากอาเจียน ซึ่งนอกจากจะทรมานแล้ว ยังอายคนอื่นอีกต่างหาก ก่อนออกจากบ้านจึงไม่รับประทานอาหาร เพราะกลัวจะไปอาเจียนกลางทาง แต่แท้ที่จริงแล้ว ยิ่งท้องว่าง ก็จะทำให้เมาเร็วยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นก่อนออกเดินทาง ควรจะรับประทานอาหารตามปกติ แต่อย่าให้มากนัก รับประทานช้าๆ และเว้นระยะประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วค่อยออกเดินทาง

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหู คอ จมูก แนะนำวิธีป้องกันหรือบรรเทาอาการเมารถเมาเรือ ด้วยข้อปฏิบัติง่ายๆ ว่า ให้เลือกนั่งในยานพาหนะ ตรงตำแหน่งที่สายตามองเห็นความเคลื่อนไหวอย่างเดียวกับที่ร่างกายและประสาทสัมผัสภายในช่องหูรู้สึก เพื่อไม่ให้มีการส่งสัญญาณความรู้สึกที่สับสนไปยังสมอง

หากนั่งในรถ ไม่ควรนั่งข้างหลัง แต่ให้เลือกนั่งข้างหน้า และมองไปไกลๆ นอกจากนั่งข้างหน้าจะสะเทือนน้อยกว่านั่งข้างหลังแล้ว การที่สายตาเรามองตรงไปข้างหน้า เห็นถนนตรงหน้า เห็นต้นไม้ เห็นวิวที่ไม่ได้มีการเคลื่อนไหว จะทำให้เราเมาช้าลง แต่หากเรานั่งข้างหลัง หันข้างมองกระจกตลอดเวลา จะเห็นภาพของต้นไม้ ถนน หรือรถที่วิ่งผ่าน เคลื่อนไหวผ่านไปอย่างรวดเร็ว จะทำให้เมารถเร็วขึ้น

หากนั่งเรือ ให้เลือกเรือใหญ่ๆ ยิ่งเรือกว้างเท่าไร การโคลงไปมาก็ยิ่งช้ากว่าเรือเล็ก ทำให้เมายากขึ้น และต้องเลือกที่นั่งให้ดีเช่นเดียวกับการนั่งรถ โดยควรนั่งกลางลำเรือ ไม่ควรนั่งเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง และให้มองตรงไปข้างหน้าไกลๆ ไปที่ขอบฟ้า

อย่าอ่านหนังสือหรือเพ่งสายตานิ่งๆ อยู่ที่จุดใกล้ๆ เพราะจะทำให้เมาได้ง่ายขึ้น ถ้าจำเป็นต้องอยู่ในที่แคบๆ หรือในห้อง ก็ควรหลับตาเสีย หูส่วนกลางจะรับรู้ว่าเรือกำลังโคลงเพราะตัวเรามีการเคลื่อนไหวไปมา ถ้าอยู่ในห้องหรือใต้ท้องเรือ ตาของเราจะบอกว่าเราอยู่นิ่งๆ ไม่มีการเคลื่อนไหว สาเหตุของอาการคลื่นไส้ วิงเวียน ก็เนื่องมาจากการที่ประสาทตากับหูไม่สัมพันธ์กันนั่นเอง

สำหรับคนที่มีอาการเมามาก อาจรับประทานยาป้องกันเมารถเมาเรือสัก 1 เม็ด โดยรับประทานยาครึ่งชั่วโมงก่อนออกเดินทาง เพื่อรอให้ยาดูดซึมเข้าไปควบคุมให้ประสาทการทรงตัวมีความไวน้อย เพราะฉะนั้น แรงกระตุ้น เช่น การสั่นสะเทือนของรถ หรือการโคลงไปโคลงมาของเรือ ก็อาจจะไม่เพียงพอที่จะทำให้ประสาทการทรงตัวเสียสมดุล

คนที่เป็นโรคเวียนศีรษะบ้านหมุน ประสาทการทรงตัวที่อยู่ในหูทั้ง 2 ข้างก็จะทำงานผิดปกติเช่นกัน ดังนั้นคนที่เป็นโรคนี้ หากไปเล่นเรือ อาจจะสามารถว่ายน้ำได้ แต่ไม่ควรดำน้ำ เพราะเวลาดำน้ำ เราจะเห็นแต่น้ำอยู่รอบๆ ตัวเรา ความรู้สึกสัมผัสรอบๆ ตัวเราจะไม่มี เพราะน้ำอยู่ล้อมรอบตัวเราทั้งหมด เพราะฉะนั้นจึงต้องใช้ประสาทการทรงตัวจริงๆ ถ้าประสาทการทรงตัวผิดปกติ ก็จะไม่สามารถรู้ทิศทาง และอาจจมน้ำ เป็นอันตรายถึงชีวิตได้

โดยทั่วไปยังไม่มีวิธีบรรเทาหรือป้องกันอาการเมารถเมาเรือที่ได้ผลชะงัด นอกจากการรับประทานยา แต่ก็มีหลายคนที่ไม่ชอบรับประทานยา ดังนั้นอาจจะเลือกเป็นยาหอมแบบไทยๆ หรือน้ำขิงแทน

เหง้าขิงใช้เป็นยาบรรเทาอาการคลื่นไส้ อาเจียน เนื่องจากเมารถเมาเรือได้ โดยใช้เหง้าแก่สดขนาดเท่าหัวแม่มือ หรือประมาณ 5 กรัม ทุบให้แตก แล้วนำไปต้มเอาน้ำดื่ม ซึ่งออกจะยุ่งยาก อาจต้องเตรียมมาจากบ้าน

นอกจากนี้ ยังมีข้อแนะนำอื่นๆ ให้นำไปลองใช้กันดู ซึ่งอาจจะไม่ได้ผลสำหรับทุกคน

Dr. Max E. Levine และคณะ จากมหาวิทยาลัย Penn State รัฐ Pennsylvania ได้ทำการศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหาร จนทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน

เขาพบว่า หากประคบผ้าเย็นบริเวณหน้าผากของผู้ที่มีอาการเมารถ จะสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหารให้น้อยลง ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการเมารถลงได้

จากการศึกษายังพบด้วยว่า อาหารก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาการเมารถ ผู้ที่รับประทานอาหารประเภทโปรตีน จะส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหารน้อยลง และควรจะรับประทานอาหารในปริมาณน้อยๆ ด้วย จึงจะทำให้อาการเมารถทุเลาลงได้ อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ก็ทำให้การเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหารน้อยลงด้วยเช่นกัน รองมาจากอาหารโปรตีน ควรหลีกเลี่ยงอาหารมันๆ เช่น อาหารทอด ผัด

อีกวิธีหนึ่งที่หลายคนใช้แล้วได้ผล คือการกดจุด โดยใช้นิ้วมือนวดวนๆ ที่ข้อมือด้านใน บริเวณใกล้เคียงกับที่ใช้จับชีพจร หรือจะใช้เป็นผ้าพันข้อมือที่มีขายสำเร็จรูป ซึ่งจะมีปุ่มที่จะไปกดจุดบนข้อมือ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีผลพิสูจน์ทางการแพทย์ว่าวิธีนี้ได้ผลจริงเพียงใด

นอกเหนือไปจากนี้ก็คือ ทำตัวตามสบาย ยิ่งวิตกกังวลหรือเครียด ก็จะยิ่งเมาง่ายขึ้น หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั้งก่อนและระหว่างการเดินทาง สังเกตอาการของตัวเองให้ดี ถ้าเริ่มมีอาการ เช่น ตัวเย็นๆ เวียนศีรษะ เรอบ่อยๆ ก็ให้เตรียมตัวไว้ให้ดี ถ้ารู้สึกว่าต้องอาเจียน ก็ให้อาเจียนออกมา โดยปกติเมื่ออาเจียนแล้ว อาการจะดีขึ้น

บดินทร์ ศิษย์อาจารย์คะนอง....นะจ๊ะ....นะจ๊ะ

สังสรรค์ยังไงก็ไม่อ้วน

ชีวิตจะอับเฉาขนาดไหน ถ้ามัวแต่เก็บเนื้อเก็บตัว อุทิศวันเวลาให้กับการไดเอ็ตและออกกำลัง เมื่อมีโอกาสดีๆ ก็น่าจะเพิ่มสีสันให้ชีวิตด้วยการออกไปเฉิดฉาย โชว์หุ่นสวย เฮฮาปาร์ตี้กับเพื่อนๆ เสียบ้าง

ไม่ว่าจะไปงานปาร์ตี้ที่เลี้ยงแบบค็อกเทล งานเลี้ยงโต๊ะจีน ดินเนอร์แบบฟูลคอร์ส หรือแม้กระทั่งปาร์ตี้วันเกิดแบบเป็นกันเองกับเพื่อนๆ คุณสามารถสังสรรค์อย่างสนุกได้โดยที่หุ่นไม่เสีย

1. เตรียมแผนที่ดี

เตรียมการและซักซ้อมมาตรการรับมือกับบรรดาอาหารหน้าตาน่าลิ้มลองก่อนไปงาน เพื่อให้พร้อมแม้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เช่น เตรียมไว้ว่าจะเลือกนั่งตรงไหน จำเป็นต้องให้ไกลโต๊ะบุฟเฟต์ที่สุดหรือไม่ เตรียมวิธีจัดการกับบรรดาชีสเค้กแสนเย้ายวนในปาร์ตี้เปิดตัวร้านเบเกอรี่ของเพื่อน เตรียมอกเตรียมใจว่า “จานเดียวเท่านั้น” คิดไว้เลยว่าเมนูไหนบ้างที่ไม่ขอแตะต้อง จะดื่มอะไรดี แค่น้ำแร่หรือยอมจิบไวน์สักแก้ว แพลนไว้คร่าวๆ ว่าใช้เวลากับการออกไปแดนซ์กับหนุ่มๆ หรือเดินทักเพื่อนให้ทั่วงานมากกว่าจะมานั่งจ่อมอยู่ตรงหน้าจานของอร่อย

2. รองท้องไปก่อน

อย่าได้มีความคิดว่าจะเก็บท้องไปกินที่งาน ก็เลยปล่อยให้ท้องว่างก่อนไปเพื่อจะไปเติมอาหารอร่อยๆ กลับมาอย่างเต็มคราบ ในวันที่ต้องไปงานปาร์ตี้ตอนค่ำ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตารางการกินมากนัก เริ่มต้นด้วยมื้อเช้าคุณภาพที่จะทำให้วันทั้งวันอยู่ได้อย่างไม่หิวโซ รับมื้อเที่ยงตามปกติ แล้วรองท้องด้วยของว่างแคลอรี่ต่ำในยามเย็นก่อนออกไปงาน ดีกว่าปล่อยท้องให้ว่างหิวโซจนขาดความยับยั้งชั่งใจในการกิน แล้วก็ต้องมารู้สึกผิดกับตัวเองในภายหลัง

3. เลือกที่ควรเลือก สีสันหนึ่งของปาร์ตี้คือการมีของอร่อยมากมายให้เลือกลิ้มลอง แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง ของกินเหล่านั้นคือกับดักให้เราก้าวตกหลุมแห่งการสวาปาม ถ้าไม่อยากพลาดก็อย่าตาลาย ตั้งสติเลือกกินเมนูแคลอรี่ต่ำไว้ก่อน อย่างพวกยำวุ้นเส้น ซุปใส สลัดกุ้งต้ม สำหรับประเภทของการปรุงก็ให้มองเลยๆ ของทอดไป แล้วสร้างจินตนาการความอร่อยกับการปรุงประเภทกริลล์ อบ นึ่ง สำหรับของหวานก็เลือกอร่อยชุ่มฉ่ำกับผลไม้สด ดีกว่าจะเพลินลิ้นกับช็อกโกแลต ไอศกรีม หรือเค้ก ถ้างานที่ไปมีบริกรมาตักเสิร์ฟ ต้องกำชับเขาว่านิดเดียวพอและไม่เรียกมาเติม อย่างไรก็ตามถ้าอาหารในงานรสชาติอร่อยและหน้าตาน่ากินจริงๆ อาจจะยืดหยุ่นกับตัวเองสักนิด เช่น อนุญาตให้กินขาหมูทอดได้สัก 2 คำเล็กๆ เป็นต้น

4. ตั้งสปีดให้ช้าที่สุด

บังคับตัวเองให้ละเลียดกินช้าๆ เคี้ยวแต่ละคำอย่างประณีต และอย่าก้มหน้าก้มตากินอย่างเดียว แต่สลับด้วยการพูดคุยกับเพื่อนฝูง ทักทายคนโน้นคนนี้ กระบวนการย่อยอาหารเริ่มต้นตั้งแต่การเคี้ยว ไม่ว่าคุณจะทำเวลาในการกินเร็วแค่ไหนก็ตาม สมองจะสั่งให้อิ่มในราวนาทีที่ 20 นับจากเริ่มกิน ดังนั้นการกินช้าๆ จะทำให้รู้สึกอิ่มทั้งๆ ที่กินเข้าไปไม่มาก ตรงข้ามกับคนที่กินเร็ว กว่าจะรู้ตัวว่าอิ่มก็กินเข้าไปแล้วไม่รู้เท่าไหร่

5.ดนตรีคือศัตรูตัวจริง

มหาวิทยาลัย จอห์น ฮอปกิ้นส์เคยทำการศึกษาถึงอิทธิพลที่เสียงดนตรีมีต่อการกิน พบว่า ดนตรีสนุกๆ จะกระตุ้นให้กินเร็วขึ้น ขณะที่ดนตรีช้าๆ ในจังหวะผ่อนคลายทำให้อาสาสมัครกินคำเล็กลง เคี้ยวอาหารนานและช้าลง ทั้งยังรู้สึกพอใจมากกว่าการกินอาหารคลอกับเพลงเร็วๆ รู้อย่างนี้แล้วอย่าปล่อยให้ดนตรีมีชีวิตชีวาของงานสังสรรค์กระตุ้นให้กินมากเกินความต้องการล่ะ

6. สัญญากับตัวเองว่าจะออกไปตักรอบเดียว

จะกินแค่ครึ่งจาน จิบแค่แก้วเดียว ขอชิมเค้กครึ่งชิ้น แล้วก็ “พอ” ให้ได้จริงๆ แต่ถ้ายังมีใครคะยั้นคะยอ ให้เตรียมประโยคเก๋ๆ ตอนที่จะหยุดกินไปก่อนเลย เช่น

* อ้าว นั่นอิ่มแล้วหรือครับ- อาหารอร่อยเลยกินเยอะจนตอนนี้อิ่มจะแย่แล้วค่ะ

* ลองชิมข้าวผัดหนำเลี๊ยบนี่หน่อยสิ-ขอบคุณค่ะ แต่ดิฉันกำลังจำกัดคาร์โบไฮเดรตอยู่

* ไปตักของหวานกัน เค้กช้อกโกแลตนั่นน่ากินมากเลย-เดี๋ยวฉันขอแย่งเธอนิดนึงแล้วกัน

* ฯลฯ

7.โกง ลองใช้ทริกเหล่านี้โกงตัวเองดู

* ไปงานในชุดสวยที่ฟิตเข้ารูป อย่างชุดคอร์เซ็ทดัดแปลง ซึ่งจะช่วยเก็บส่วนหน้าท้อง และจำกัดการขยายตัวของกระเพาะอาหารไปในตัว

* ทาปากสีสวยๆ จะได้กินอย่างระมัดระวัง

* เลือกจานเล็กเข้าไว้ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคอ้วนสรุปไว้ว่า จานใบเล็กจะช่วยลดปริมาณอาหารที่ตักได้ถึง 20% เพราะคุณจะเห็นโต้งๆ เลยว่าที่ตักมานั้นเต็มจานแล้ว

* กินด้วยมือข้างที่ไม่ถนัด

* ฯลฯ

8.ดื่มอย่างฉลาด

คุณอาจยังไม่ทราบว่า ไม่ใช่แค่น้ำหวานและน้ำอัดลมที่เป็นตัวการสำคัญในการเปลี่ยนคุณเป็นสาวอ้วนบวม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์นี่แหละตัวดี เพราะให้พลังงานสูงถึง 7 แคลอรี่ต่อกรัมทีเดียว(โอ!แม่เจ้า) ถ้าไม่อยากให้ความอดทนและอุตสาหะในการงดดื่มน้ำหวาน-น้ำอัดลมมาทั้งอาทิตย์ ต้องสูญสิ้นไปในคืนเดียว จงเลือกเครื่องดื่มที่ให้พลังงานต่ำเข้าไว้ น้ำเปล่าดีที่สุด แต่ถ้ามันจืดเกินไป ลองเลือกน้ำแร่อัดก๊าซ หรือน้ำผลไม้ที่ไม่เติมน้ำตาล หรือพันซ์ดีกว่าไวน์หรือเบียร์

9.ทำใจให้สบาย สนุกกับการสังสรรค์ มองโลกในแง่ดี

เจ้าภาพอุตส่าห์เตรียมอาหารอร่อยๆ ไว้รับรอง แขกอย่างเรา ไม่ควรให้เจ้าภาพเสียน้ำใจ ถ้าอาหารรสชาติดีจริงๆ ก็จงอร่อยกับมัน แค่อย่าเพลินจนเกินขนาด วันพระไม่ได้มีหนเดียว วันนี้ถึงจะกินมาก แต่พรุ่งนี้และมะรืนถ้าไม่ยอมกินขนาดนี้อีกก็คงไม่อ้วนหรอก จริงไหม

10.กำกับเวลาอย่าสนุกเพลินจนกลับบ้านดึกเกินไป

เพราะถ้าคืนนี้นอนไม่พอ วันรุ่งขึ้นคุณอาจจะกินมากเป็นสองเท่าโดยไม่รู้ตัว ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเพราะมีการวิจัยพบว่า ในคนพักผ่อนน้อย ร่างกายจะเร่งการเผาผลาญมากขึ้น จึงทำให้คุณรู้สึกหิวมากกว่าปกติจนต้องหาอะไรใส่ท้องบ่อยขึ้นนั่นเอง

11.ชดเชย

เช้ารุ่งขึ้นห้ามโอ้เอ้ โยเยว่าเพลีย ให้ลุกขึ้นมาออกกำลังกายเร็วกว่าเดิม เพื่อชดเชยที่ได้กินเข้าไปมากเมื่อคืนนี้ แต่ไม่จำเป็นต้องกดดันตัวเองหนักขนาดวิ่งเพิ่มอีกครึ่งชั่วโมงอะไรทำนองนั้น แต่น่าจะลองอะไรแบบว่า อาทิตย์นี้จะเดินไป-กลับระหว่างสถานีรถใต้ดินไปที่ตึกออฟฟิศ อาทิตย์นี้จะกินกาแฟดำ หรือจะหยุดกินขนมหวาน 1 อาทิตย์ ถ้าทำได้ให้ลองทำต่อไปอีก 1 อาทิตย์ มีหรือจะอ้วนกว่าเดิม

ไม่อยากให้คุณกังวลหรือเครียดจนหมดสนุกกับการสังสรรค์นะคะ 10 ข้อที่ว่ามานี้ ถ้าทำไม่ได้ไม่ครบก็ไม่เป็นไร แค่เอ็นจอยอีตติ้งได้อย่างมีสติก็นับว่าประสบความสำเร็จแล้วค่ะ

7วิธีกินยาที่ได้ผล

1. จดโน้ตเล็ก ๆ เตือนเอาไว้ว่าคุณต้องทานยาอะไรบ้าง เพื่อป้องกันการลืม หรือหากคุณเป็นอะไรไปคนที่เข้ามาช่วยเหลือจะได้ทราบเบื้องต้นว่าคุณทานยาอะไรบ้าง ทั้งยังสะดวกด้วยเผื่อว่าคุณเปลี่ยนหมอคุณจะได้บอกหมอได้ถูกว่าคุณเคยทานยาตัวไหนมาแล้วบ้าง

2. กินยาจนกระทั่งยาหมด หรือตามที่แพทย์สั่ง อย่าหยุดกินเพราะคุณรู้สึกอาการดีขึ้นแล้ว เพราะถ้าคุณรู้ดีขนาดนั้นจะไปหาหมอทำไมกันล่ะ ตรวจเองจะง่ายกว่า

3. จำเวลาทานยาตามกิจกรรมสำคัญ ๆ ในแต่ละวัน เคยเจอใช่มั้ยยาจำพวก ควรกินทุก 4 - 6 ชั่วโมง พอกินไปครั้งหนึ่งแล้วคุณก็ต้องมานั่งนับ นั่งดูเวลาว่านี่ครบกำหนดหรือยังนะ ให้เปลี่ยนใหม่เป็นทานยาก่อนอาหารเที่ยง ทานหลังแปรงฟัน ทานก่อนเลิกงาน หรือทานก่อนนอน เป็นต้น คุณจะได้จำง่ายขึ้น และไม่เผลอลืมทานยา

4. ถามรายละเอียดของการทานยาให้เข้าใจ เช่นเมื่อคุณลืมทานยาแล้วให้ข้ามไปเลย หรือว่า ครั้งต่อไปทานควบไปเลยสองเม็ด ยาแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน ออกฤทธิ์ก็ต่างกันดังนั้นอย่าลืมถามให้ชัวร์

5. อย่าใส่ยารวมกันในกล่องหรือขวดเดียวกัน เพราะแรก ๆ คุณอาจจะจำได้ แต่พอนาน ๆ ไปคุณอาจจะลืมไปว่ายาตัวไหนต้องทานก่อน ทานหลังยาอะไร เป็นต้น

6. เตรียมพร้อมเสมอเมื่อเดินทาง หากล่องใส่ยาเตรียมไว้ให้พร้อม อย่าเลือกที่เทอะทะเอาที่พอดี ๆ สามารถพกติดตัวได้ไม่อึดอัด และอย่าใส่ไว้ในกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่ ๆ เพราะคุณอาจจะหยิบออกมาใช้ไม่สะดวก

7. บันทึกการกินยาทุกครั้ง ว่าคุณเป็นอะไร กินยาชื่ออะไร ทานนานแค่ไหน มีอาการแพ้หรือเปล่า และถ้าเป็นไปได้ ให้นำเอายาที่กินอยู่ไปให้หมอดูด้วยทุกครั้ง

เพียงแค่นี้คุณก็จะได้หายเร็วขึ้น แต่ถ้าทำตามนี้แล้วยังไม่หาย แนะนำว่าให้ปรึกษาแพทย์ที่เชี่ยวชาญ เพราะคุณอาจจะไม่ถูกกับยาตัวนั้น หรืออาจมีอะไรผิดปกติได้

สาธิยา พงษ์ไพรวัน วิทยออก02 เลขที่ 82

ขิงกับหน้าหนาวนี้

เข้าหน้าหนาวมาสักระยะหนึ่งแล้ว เป็นอย่างไรกันบ้าง หนาวนี้เรียมตัวดูแลสุขภาพกันดีหรือเปล่า เพราะว่าปีนี้ดูท่าว่าจะเป็นปีที่หนาวกว่าปีที่ผ่านมามากทีเดียว ซึ่งถ้าไม่ดูแลสุขภาพอย่างใกล้ชิดแล้วล่ะก็ อาจจะทำให้ร่างกายเสียสมดุล และเกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นก็ได้ วันนี้เรามีคำแนะนำดี ๆ เกี่ยวกับการรักษาสมดุลของร่างกายในหน้าหนาวนี้มาบอกกันค่ะ แต่จะเป็นวิธีการรักษาสุขภาพแบบการแพทย์แผนไทยนะคะ

ซึ่งในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงนี้ ตามทฤษฏีของไทยบอกว่า "จะทำให้ธาตุลมของร่างกายอ่อนแอ และ อาจะเป็นเหตุให้ร่างกายคุณป่วย เป็นโรคไข้หวัด การย่อยอาหารไม่ดี มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ" ดังนั้น การเสริมอาหารโดยใช้สมุนไพรที่มีรสเผ็ดร้อน เพื่อช่วยปรับธาตุลมให้กลับคืนเข้ามาสู่สมดุล และมีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น เพื่อเป็นแนวทางการป้องกันก่อนที่จะเกิดโรคภัยไข้เจ็บ

สมุนไพรที่มีรสเผ็ดร้อนหลายชนิด โดยเฉพาะ "ขิง" จัดเป็นสมุนไพรรสเผ็ดร้อน ที่หลายคนรู้จัก และรับประทานกันมาเป็นเวลานาน สามารถประกอบอาหารได้หลายอย่าง ในประเทศอินเดียใช้ขิง ในการบำบัดรักษาสุขภาพมานานกว่า 2,000 ปีแล้ว

ในสรรพคุณของขิงจะมีสารออกฤทธิ์สำคัญคือ "จิงเจอรอล" "โชกอร" ใช้ช่วยบรรเทาอาการ ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ บางตำรา มารดาที่ให้นมบุตร ให้รับประทานขิงมาก ๆ สารสำคัญ จากขิงสามารถผ่านไปยังน้ำนม ช่วยทำให้ทารกไม่มีอาการปวดท้อง

นอกจากนั้น ในกรณีที่ท้องเสีย ให้ลดอาหารที่มีกาก อาหารแข็ง และการดื่มน้ำขิงจะช่วยทำให้การ อักเสบ ที่เกิดจากพิษของเชื้อโรคลดลงช่วยขับเชื้อโรค ดังนั้น หากว่าอาการท้องเสียมีความรุนแรง ควรรีบ ไปพบแพทย์จะดีกว่า ส่วนผู้ที่เจ็บป่วย เป็นหวัด หรือ ปวดศรีษะ การรับประทาน ขิงสด ๆ จะช่วย ได้ดีมาก

สรรพคุณของขิง ยังมีอีกมากมาย เช่น ขิงยังช่วยแก้อาการคลื่นไส้ อาเจียน เวลาที่อาหารเป็นพิษ มีอาการ คลื่นไส้ ให้คุณหยุดอาหาร และ พยายามขับของเสียให้หมด แล้วดื่มน้ำขิง ซึ่งจะช่วยลดอาการ คลื่นไส้ อาเจียน โดยอาจนำขิงสดมาคั้นน้ำ ด้วยเครื่องปั่นที่แยกกาก แล้วนำน้ำขิงสด 1 - 2 ช้อนชา มาผสมน้ำผึ้งเจือน้ำอุ่น และเติมเกลือเล็กน้อย จะทำให้รสดีขึ้น ช่วยแก้อาการอาเจียนได้เป็นอย่างดี

ส่วนเมนูอาหารสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับขิงนั้น อาหารราคาไม่แพงและไม่ควรปฏิเสธ เช่น ไก่ผัดขิง ไก่ต้มขิง ปลาเก๋าทอดต้มขิง วิธีทำก็ง่าย คือแค่คุณทอดปลาเก๋า ให้เหลืองสุก ใส่น้ำต้มแล้ว ใส่ขิงซอย ลงไป ปรุงรสเค็มใส่มะนาวหรือบ๊วยดอง จะออกรสเปรี้ยวแกมเผ็ด เหมาะที่จะซดน้ำแกงร้อน ๆ หรือทำปลา ต้มส้มใส่ขิงปรุงด้วยน้ำมะขามก็ได้

สำหรับเมนูตอนเช้า โดยเฉพาะโจ๊กให้ใส่ขิงเยอะ ๆ จะยิ่งช่วยให้คุณสบายท้อง หรือทำปลาต้มส้ม ใส่ขิงปรุงรสด้วยน้ำมะขาม ก็ได้

สำหรับเมนูตอนเช้า โดยเฉพาะโจ๊กให้ใส่ขิงเยอะ ๆ จะยิ่งช่วยคุณสบายท้องได้ตลอดวัน อาหารว่าง เลือกรับประทาน (อย่าง) เมี่ยงคำ ที่นอกจากจะมีส่วนประกอบสมุนไพรหลายชนิด เช่นใบพลู หอมแดง มะพร้าวคั่ว และขิงได้ทั้งประโยชน์และความอร่อย ที่สำคัญทานเท่าไรก็ไม่อ้วนแน่นอน

นอกจากนี้ การเลือกดื่มน้ำขิงร้อน ๆ โดยนำขิงแก่มาต้มใส่น้ำตาลเล็กน้อยดื่มจะทำให้คุณรู้สึกอบอุ่น ป้องกันอาการหวัดได้ดี

ลองนำไปใช้ดูนะคะ เพื่อหน้าหนาวนี้ จะได้เที่ยวกันอย่างมีความสุข ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเข้ามาเป็นอุปสรรคของความสุขค่ะ.

ณัฐนี ซ้งคำ วิทย์ออก 02 เลขที่ 88

หนาวนี้กินผักสีอะไรผิวถึงจะสวยบาดใจ

สง่า ดามาพงษ์ นักวิชาการสาธารณสุข 9 กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ว่าร่างกายต้องการอาหารครบถ้วน 5 หมู่ทุกฤดูกาล ในฐานะนักโภชนาการต้องการให้ประชาชนรับประทานอาหารครบ 5 หมู่อย่างหลากหลายทุกวัน ไม่ใช่เลือกรับประทานอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นพิเศษ

อย่างไรก็ตาม ช่วงหน้าหนาวภูมิปัญญาที่สืบต่อกันมาคือ แนะนำให้รับประทานแกงส้มดอกแคแก้ไข้หัวลมซึ่งก็คือไข้หวัด เนื่องจากช่วงอากาศเปลี่ยนจากปลายฝนสู่หน้าหนาวร่างกายปรับตัวไม่ทันมักเป็นหวัดได้ง่าย ดอกแคทั้งแคขาว แคแดง มีวิตามินซีสูงมาก หากไม่มีดอกแค ใช้ยอดอ่อนแคลวกจิ้มน้ำพริกก็ได้

สำหรับอาหารอื่น ๆ ที่อาจรับประทานเพิ่มเติมได้คือ อาหารให้พลังงานงานสูง โดยข้าวเหนียวให้พลังงานสูงกว่าข้าวเจ้า อาจกินแกงกะทิบ้าง ส่วนการดูแลผิวช่วงหน้าหนาว หากผิวแห้ง แตกมากควรใช้โลชั่นทาให้ความชุ่มชื้น แต่การมีสุขภาพผิวดีต้องมาจากภายในคือร่างกายแข็งแรง การกินผักผลไม้มีเขียวเข้ม เหลือง ส้ม แดง ม่วง จะทำให้ผิวพรรณดี มีความชุ่มชื้น ทนต่อสภาวะอากาศหนาวเย็นได้ โดยผักผลไม้ที่กล่าวมาแล้วมีเกลือแร่และวิตามินชนิดต่าง ๆ สูง ผักเขียวเข้มให้วิตามินซี ผักผลไม้สีส้ม แดง ม่วงมีเบต้าแคโรทีน ซึ่งนอกเหนือจากบำรุงผิวแล้วยังป้องกันมะเร็งได้ด้วย

ในส่วนของการดูแลนั้นก็ไม่ยากโบร่ำโบราณท่านพร่ำสอนมาว่าให้หมั่นดูแลจากภายในอันประกอบด้วยการกินบำรุงกายและการสงบจิตบำรุงใจ

สง่า ดามาพงษ์ นักวิชาการสาธารณสุข 9 กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ว่าร่างกายต้องการอาหารครบถ้วน 5 หมู่ทุกฤดูกาล ในฐานะนักโภชนาการต้องการให้ประชาชนรับประทานอาหารครบ 5 หมู่อย่างหลากหลายทุกวัน ไม่ใช่เลือกรับประทานอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นพิเศษ

อย่างไรก็ตาม ช่วงหน้าหนาวภูมิปัญญาที่สืบต่อกันมาคือ แนะนำให้รับประทานแกงส้มดอกแคแก้ไข้หัวลมซึ่งก็คือไข้หวัด เนื่องจากช่วงอากาศเปลี่ยนจากปลายฝนสู่หน้าหนาวร่างกายปรับตัวไม่ทันมักเป็นหวัดได้ง่าย ดอกแคทั้งแคขาว แคแดง มีวิตามินซีสูงมาก หากไม่มีดอกแค ใช้ยอดอ่อนแคลวกจิ้มน้ำพริกก็ได้

สำหรับอาหารอื่น ๆ ที่อาจรับประทานเพิ่มเติมได้คือ อาหารให้พลังงานงานสูง โดยข้าวเหนียวให้พลังงานสูงกว่าข้าวเจ้า อาจกินแกงกะทิบ้าง ส่วนการดูแลผิวช่วงหน้าหนาว หากผิวแห้ง แตกมากควรใช้โลชั่นทาให้ความชุ่มชื้น แต่การมีสุขภาพผิวดีต้องมาจากภายในคือร่างกายแข็งแรง การกินผักผลไม้มีเขียวเข้ม เหลือง ส้ม แดง ม่วง จะทำให้ผิวพรรณดี มีความชุ่มชื้น ทนต่อสภาวะอากาศหนาวเย็นได้ โดยผักผลไม้ที่กล่าวมาแล้วมีเกลือแร่และวิตามินชนิดต่าง ๆ สูง ผักเขียวเข้มให้วิตามินซี ผักผลไม้สีส้ม แดง ม่วงมีเบต้าแคโรทีน ซึ่งนอกเหนือจากบำรุงผิวแล้วยังป้องกันมะเร็งได้ด้วย

นงนุช คาแปง วิทย์ฯออก 02 เลขที่ 77

อาหารเช้าคือมื้อที่สำคัญที่สุด

ในสังคมปัจจุบันนี้เกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ที่คนส่วนใหญ่มิได้ให้ความสำคัญกับอาหารเช้า เนื่อง จากต้องเร่งรีบแข่งกับเวลาเพื่อไปเรียนหรือไปทำงาน คนไทยเราจะให้ความสำคัญกับอาหารเย็น เน้นว่าเป็นมื้อที่ต้องรับประทานอาหารหนักๆ มากกว่ามื้อกลางวัน ส่วนมื้อเช้านั้นบางคนข้ามไปเลย บางคนก็ดื่มกาแฟเพียง 1 ถ้วยเท่านั้น สังเกตให้ดีจะพบว่าคุณจะรู้สึกไม่สดชื่นกระปรี้กระเปร่าถ้ามื้อเช้าคุณไม่ได้ให้สารอาหารที่ร่างกายต้องการ คืออาหารโปรตีนสูงและไขมันอย่างพอเพียง อาหารเช้าที่หนักเกินไปก็เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ร่างกายต้องการเพียงสารอาหารที่ครบถ้วนในปริมาณไม่มากนัก เพื่อที่คุณจะได้มีกำลังวังชา สมองปลอดโปร่ง กระปรี้กระเปร่า พลังงานจะอยู่ในร่างกายคุณเป็นเวลานานและทำให้คุณไม่หิวบ่อยถ้าได้รับประทานอาหารเช้าที่ดี อาหารเย็นไม่ควรเป็นมื้อหนักสำหรับคุณ เพราะคุณอาจยังไม่รู้สึกหิวในมื้อเช้า

แก้อาการแสบกระเพาะอย่างไร

โรคกระเพาะอาหารนั้นมีอาการปวดท้องและแสบกระเพาะซึ่งเป็นเรื่องแสนทุกข์ทรมานอย่าง ยิ่งสำหรับผู้ป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหาร วิธีง่ายๆ ที่คุณสามารถบำบัดเยียวยาอาการปวดแสบนั้นให้หายไปได้ก็คือ รับประทานอาหารแต่ละมื้อแต่ละวันเพียงเล็กน้อยพออิ่ม อย่ารับประทานมากๆ เพียงเพื่อความอร่อยเท่านั้น โดยเฉพาะอาหารเปรี้ยวจัด เค็มจัด เผ็ดจัด ควรงดเด็ดขาด การรับประทานกล้วยกับน้ำผึ้งหรือรับประทานเนยถั่วก็เป็นเมนูพิเศษที่ดีสำหรับป้องกันอาการปวดแสบหรือแสบเกี่ยวกับแผลในกระเพาะ แต่ไม่จำเป็นต้องรับประทานมากๆ เพียงครั้งคราวก็พอแล้ว หัวใจสำคัญอยู่ที่การรับประทานอาหารน้อยๆ เท่านั้นเอง และมีอีกประการหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการแสบกระเพาะได้ด้วยเช่นกัน นั่นก็คือการสูบบุหรี่ ซึ่งคุณควรเลิกทันทีตั้งแต่เริ่มเป็นโรคกระเพาะ

คุณแม่คนใหม่ไม่ควรแตะต้องบุหรี่และแอลกอฮอล

เมื่อคุณผู้หญิงตั้งครรภ์แล้ว การเตรียมตัวเป็นคุณแม่คนใหม่ที่ควรกระทำเป็นอันดับแรกก็คือ เลิกสูบบุหรี่ และเลิกดื่มเหล้า เบียร์ ไวน์ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด คุณรู้ไหมว่าลูกน้องที่เกิดมาจากคุณแม่ผู้สูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์นั้นจะมีน้ำหนักตัวที่น้อยกว่าปกติ นอก จากนั้นยังมีผลกระทบถึงพฤติกรรมในเวลาต่อมา เช่น จะเป็นเด็กที่ตื่นตกใจง่าย เวลาร้องไห้ก็จะมีเสียงสั่นและแหลม การขยับแขนขาค่อนข้างรุนแรงกว่าในระดับปกติ

กินวิตามินซี ห่างไกลอาการเลือดออกตามไรฟัน

ถ้าช่วงใดที่คุณพบว่ามีเลือดออกตามไรฟันในขณะแปรงฟัน ตอนเช้าหรือก่อนนอน หรือบาง ครั้งก็มีเลือดออกมาตามไรฟันทั้งๆ ที่ยังไม่ได้อยู่ในช่วงแปรงฟัน คุณจะต้องตระหนักทันทีว่าร่างกายขาดวิตามินซีแล้วในช่วงนั้น การเติมวิตามินซีให้ร่างกายอย่างพอเพียงนั้นก่อนอื่นคุณต้องรู้ว่าคนเราต้องการวิตามินซีมากน้อยเท่าใดในแต่ ละวัน สำหรับวัยผู้ใหญ่ควรได้วิตามินซีวันละ 40 มิลลิกรัม เด็กๆ ต้องการวิตามินซีประมาณ 30 มิลลิกรัม คนเราจะต้องกินอาหารที่มีวิตามินซีให้พอเพียงทุกๆ วัน เพราะวิตามินซีจะไม่ได้ถูกร่างกายเก็บสะสมไว้ แต่จะขับถ่ายออกมาทางปัสสาวะ ถ้าคนเรากินวิตามินซีมากเกินกว่าที่ร่างกายจะนำไปใช้ ดังนั้นคุณต้องกินวิตามินซีทุกๆ วัน ไม่ใช่กินวันนี้มากๆ เผื่อวันอื่นๆด้วย เพราะไม่ว่าจะกินมากอย่างไรร่างกายก็ดูดซึมไปไม่หมดแน่ แต่การกินวิตามินซีมากๆ นั้นไม่มีอันตรายใดๆ ต่อร่างกาย ยิ่งจะมีประโยชน์ด้วยสำหรับการขับถ่าย โดยเฉพาะถ้าคุณกินวิตามินซีจากแหล่งอาหารอย่างผักและผลไม้ ถ้าคุณรับประทานมะม่วงดิบ 100 กรัม ก็จะได้วิตามินซีประมาณ 60 มิลลิกรัมอย่างสบายๆ

กระเทียมดูแลหัวใจ

กระเทียมเป็นของคู่ครัวที่คนไทยเราคุ้นเคยกันดี แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าในกระเทียมนั้นมีสาร อาหารสำคัญมากมายมหาศาลที่ล้วนแล้วแต่มีสรรพคุณทางยาอย่างน่าอัศจรรย์ กระเทียมช่วยป้องกันอาการหัวใจล้มเหลว ช่วยควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ บำรุงประสาท กระตุ้นให้จิตใจสดใส ไม่หดหู่ ซึมเศร้า ไม่เป็นโรคเหน็บชา กล้ามเนื้อแข็งแรง มีกำลังวังชา กระตุ้นให้ร่างกายเกิดความอยากอาหาร เยียวยาอาการไอ รักษาโรคพยาธิ ขับปัสสาวะ ช่วยบำรุงระบบทางเดินหายใจ บรรเทาอาการที่เกี่ยวกับโรคลำไส้ บำรุงเลือด ป้องกันโรคตับ โรคเส้นโลหิตตีบตัน บำบัดอาการโรครูมาติซึม โรคข้ออักเสบ ต้านทานโรคภูมิแพ้ ช่วยลดคอเลสเตอรอล นอกจากนั้นกระเทียมยังรักษาโรคเกี่ยวกับผิวหนังได้อีกด้วย ถ้าคุณรับประทานกระเทียมสม่ำเสมอโรคภัยอันตรายต่างๆ จะไม่มากล้ำกรายร่างกายทำลายสุขภาพของคุณ ได้แน่นอน กระเทียมช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย คนที่มีไขมันอุดตันในเส้นเลือดมากอาจเกิดการหัวใจวายได้ การรับประทานกระเทียมเป็นประจำเท่ากับว่าคุณได้ดูแลหัวใจของคุณให้แข็งแรงไว้ก่อนที่จะมีอาการใดๆ เกิดขึ้น

นงนุช คาแปง วิทย์ฯออก 02 เลขที่ 77

ป้องกันตัวท่านจากสารตะกั่ว

สารตะกั่วเป็นโลหะหนักสีน้ำเงิน มันมีคุณสมบัติที่อ่อนตัวสามารถดัดเป็นรูปร่างต่างๆได้ทำให้มันถูกใช้ประโยชน์มากมาย เนื่องจากอันตรายของตะกั่วจึงมีการลดการใช้สารชนิดนี้ลงที่เห็นได้ชัดคือสีทาบ้านและน้ำมัน แต่อย่างไรก็ตามยังพบว่ายังมีวัสดุที่มีสารตะกั่วเป็นส่วนประกอบอีกมากมาย เช่นเครื่องปั่นดินเผา แบตเตอร์รี่ หมึก สี ตัวเชื่อม ท่อน้ำ สารตะกั่วนี้สามารถอยู่ในอากาศ น้ำ ดิน

แม้ว่ารัฐบาลได้มีความพยายามที่จะลดสารตะกั่วออกจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา เช่นการใช้น้ำมันที่ปราศจากสารตะกั่ว การใช้ท่อประปาที่ทำจาก pvc แต่ก็ยังพบสารตะกั่วได้ในสิ่งแวดล้อม นอกจากนั้นจากการตรวจเลือดเด็กในเมืองก็ยังพบสารตะกั่วในเลือดมากกว่าเด็กในชนบท จากเหตุผลดังกล่าวข้องต้นท่านผู้อ่านโดยเฉพาะผู้ปกครองควรจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับสารตะกั่ว เพื่อป้องกันบุตรหลานของท่านมิให้รับสารตะกั่วจากสิ่งแวดล้อม

การดูดซึมของสารตะกั่ว

สารตะกั่วสามรถเข้าสู่ร่างกายได้หลายวิธีทั้งทางเดินอาหารและทางเดินหายใจ ร่างกายจะสามารถดูดซึมสารตะกั่วจากทางเดินอาหารได้ร้อยละ 11 ในผู้ใหญ่แต่สำหรับเด็กจะดูดซึมได้ร้อยละ 30-75 จะเห็นได้ว่าหากมีสารตะกั่วในอาหารทางเดินอาหารของเด็กจะดูดซึมได้ดีมาก เด็กที่ขาดอาหาร ขาดธาตุเหล็ก ขาดธาตุแคลเซียม หรืออาหารมันๆจะเพิ่มการดูดซึมสารตะกั่ว ส่วนทางเดินหายใจร่างกายจะสามารถดูดซึมได้ร้อยละ 50 ทางผิวหนังจะดูดซึมสารตะกั่วได้น้อย

ผลเสียของสารตะกั่วต่อสุขภาพ

สารตะกั่วเป็นพิษจะพบได้บ่อยที่สุดในบรรดาโรคที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมมักจะเกิดในเด็กอายุตั้งแต่ 6 เดือน-6 ปีโดยมากมักเกิดในเด็กที่พ่อแม่มีฐานะไม่ดีโดยได้สารนี้จากเศษสีที่หล่น หรือจากอากาศ น้ำ หรืออาหาร อาการเป็นพิษจะเกิดเมื่อมีการสะสมของตะกั่วในร่างกายสูงพอ

สารตะกั่วจะมีผลเสียต่อสมองและการติดต่อของเซลล์ประสาท โดยสารตะกั่วจะไปจับกับเซลล์แทนที่แคลเซียม พบว่าหากมีสารตะกั่วในเลือดเพิ่มขึ้นทุก 10 mcg/dLจะทำให้ IQ ลดลง 1-3 จุด

ผลต่อเม็ดเลือดแดงจะทำให้เม็ดเลือดแดงแตกง่ายเป็นโรคโลหิตจาง และมีผลต่อการทำงานของไต

ผลต่อการตั้งครรภ์และทารก สารตะกั่วสามารถก่อปัญหาให้แก่ทารกในครรภ์หากมีสารตะกั่วเป็นปริมาณมากอาจจะทำให้เกิดแท้ง คลอดก่อนกำหนด เด็กที่เกิดมาจะมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติ การทำงานของสมองจะพัฒนาช้า ปัญญาอ่อน ชัก

อาการของสารตะกั่วเป็นพิษ

อาการของสารตะกั่วเป็นไม่มีลักษณะเฉพาะอาการจะเป็นมากหรือน้อยขึ้นกับ อายุ ปริมาณของสารตะกั่วที่ได้รับ และระยะเวลาที่ได้รับสารตะกั่ว เด็กบางคนไม่มีอาการ บางคนก็มาด้วยมีปัญหาเกี่ยวกับการเรียนรู้ ปวดท้อง ปวดศีรษะ สำหรับเด็กที่ได้รับสารตะกั่วเป็นเวลานานและมีสารตะกั่วในเลือดสูงจะมีชัก โคม่าและเสียชีวิต

สำหรับผู้ใหญ่อาจจะทำให้เกิดความดันโลหิตสูงและทำลายระบบอวัยวะสืบพันธ์ ทักษะในการทำงานลดลง ไม่กระตือรือร้น พฤติกรรมแปลกๆ อาเจียน และชักได้ ผู้ป่วยบางรายอาจจะมีอาการเบื่ออาหาร ปวดท้องท้องผูก และอาเจียนเป็นพักๆ

ใครที่เสี่ยงต่อพิษของสารตะกั่ว

เด็กตั้งแต่อายุ 6 เดือน- 6 ปี จะเสี่ยงต่อการเกิดพิษต่อสารตะกั่วเนื่องจากเด็กต้องการแร่ธาตุมากว่าผู้ใหญ่ และเด็กมักจะหยิบของจากพื้นรับประทาน นอกจากนั้นสารตะกั่วยังสามารถผ่านจะรกแม่สู่ทารกตัวน้อยในครรภ์ เด็กที่อาศัยในกลางเมืองที่มีจราจรแออัดจะเสี่ยงต่อการเกิดพิษมากกว่าเด็กชนบท

ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับสรตะกั่วเช่น โรงงานแบตเตอร์รี่ ช่างซ่อมรถ ช่างบัดกรี ช่างสี กรรมกร คนเหล่านี้จะเสี่ยงการเป็นพิษต่อสารตะกั่ว

สารตะกั่วมาจากไหนบ้าง

แหล่งใหญ่ของสารตะกั่วในสิ่งแวดล้อมคือจากสีโดยเฉพาะอาคารที่ทาสีที่มีสารตะกั่วผสมอยู่ เนื่องจากอาคารเก่ามักจะมีสะเก็ดสีหลุดออกมาเด็กเอามือหรือเอาของที่ปนสีเข้าปาก นอกจากนั้นการลอกสีที่ไม่ถูกวิธีก็จะทำให้มีสารตะกั่วในสิ่งแวดล้อมเพิ่ม เช่นการพ่นทราย การแคะสี การใช้ความร้อนลอกซึ่งทำให้ตะกั่วกลายเป็นฝุ่นลอยไปในอากาศ

ฝุ่นผงตะกั่วเกาะติดกับเสื้อผ้าของผู้ที่ทำอาชีพสัมผัสกับสารตะกั่ว เช่น ช่างสี ช่างถลุงแร่ ช่างเครื่องยนต์ ช่างเชื่อม กรมมกรก่อสร้างท่อ สะพาน

การป้องกันสารตะกั่ว

พบว่าเด็กอเมริกาทุก 1 คนใน 11 คนจะมีระดับสารตะกั่วในเลือดสูง ท่านผู้อ่านจะต้องเรียนรู้วิธีป้องกันสารตะกั่วเนื่องจากสารตะกั่วสามารถมาสู่ตัวท่านโดยที่ไม่รู้ตัวเพราะสารตะกั่วมาโดยไม่มีรูรส กลิ่นหรือเสียง

ทำความสะอาดบ้าน ฝุ่นในบ้านอาจจะมีสารตะกั่วผสมอยู่ เด็กอาจจะกลืนโดยการดูดนิ้ว เลียของเล่นหรือรับประทานอาหารโดยที่ไม่ล้างมือ หรือสูดเอาสารตะกั่วเข้าไป

ให้ทำความสะอาดบริเวณที่เด็กเล่นให้สะอาดเท่าที่จะทำได้

ล้างแก้วหรือขวดนมให้สะอาดด้วยมือโดยเฉพาะหากอุปกรณ์นั้นตกใส่พื้น

เช็ดพื้น ขอบหน้าต่าง ขอบเตียงที่เด็กอาจจะเลียด้วยน้ำยาล้างจานอุ่นๆ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง(เนื่องจากน้ำยาล้างจานจะมีสารฟอสเฟตสูง)

ล้างของเล่นหรือตุ๊กตาเป็นประจำ

ให้เด็กล้างมือก่อนรับประทานอาหารและก่อนนอน

หลีกเลี่ยงสารตะกั่ว

บ้านสมัยเก่าที่ทาสีมีสารตะกั่วผสม เมื่อเก่าจะทำให้เกิดสะเก็ดสีตามผาผนัง ขอบหน้าต่าง และจะพบมากบริเวณที่มีการเสียดสี เช่นหน้าต่างซึ่งจะทำให้เกิดสะเก็ดสี หากเด็กรับประทานเข้าไปจะเกิดอันตรายต่อเด็กได้

เช็ดพื้นให้สะอาดเพื่อป้องกันเด็กรับประทานสะเก็ดสี

อย่าเผาไม้ที่ทาสีเพราะอาจจะทำให้เกิดฝุ่นสารตะกั่ว

อย่าทำการลอกสีหรือขูดสีด้วยตัวเองเพราะจะทำให้เกิดสารตะกั่ว และสารตะกั่วก็จะอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้อีกนาน

ให้ใช้ผู้เชี่ยวชาญในการลอกสีหรือทาสีใหม่

เด็กและคนท้องไม่ควรอยู่บ้านขณะลอกสีหรือทาสีใหม่ ให้ทำความสะอาดให้เรียบร้อยจึงกลับเข้ามาอยู่

อย่านำสารตะกั่วเข้าบ้าน

สำหรับท่านที่ทำงานก่อสร้าง การรื้อทำลาย ทาสี แบตเตอร์รี่ ร้านซ่อมเครื่องยนต์ ท่านอาจจะนำฝุ่นตะกั่วเข้าบ้านและอยู่ในสิ่งแวดล้อมอีกนาน

ให้เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนกลับบ้าน

ให้เด็กเล่นในพื้นที่สะอาดและให้เด็กล้างมือก่อนรับประทานอาหาร

ทำน้ำดื่มให้ปราศจากสารตะกั่ว

น้ำประปาทั่วๆไปจะไม่มีสารตะกั่ว แต่สารตะกั่วที่มีในน้ำประปามาจากอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้าน การต้มน้ำไม่ทำให้สารตะกั่วลดลง หากท่านสงสัยว่าจะมีสารตะกั่วในน้ำ ท่านอาจจะนำน้ำไปตรวจวิเคราะห์เพื่อหาสารตะกั่ว ระดับตะกั่วในน้ำจะสูงถ้าน้ำนั้นอยู่ในท่อนาน น้ำนั้นร้อน หรือมีความเป็นกรดสูงวิธีป้องกันสารตะกั่วในน้ำคือ

อย่าดื่ม หรือผสมนมจากเครื่องทำน้ำร้อนจากท่อประปา

หากท่านไม่ได้ใช้ก๊อกน้ำเป็นเวลามากกว่า 2 ชั่วโมงให้ปล่อยน้ำทิ้ง 30-60 วินาทีก่อนจะนำน้ำนั้นไปดื่ม

ใช้เครื่องกรองน้ำที่สามารถกรองสารตะกั่วได้

ป้องกันสารตะกั่วจากการกิน อย่าเก็บอาหารไว้ในถ้วยที่มีสารตะกั่ว หากใช้ถุงที่มีสีก็ให้สีอยู่นอกถุง

เลือกใช้ถ้วยชามเซรามิค ถ้วยชามเซรามิคจะเป็นแหล่งของสารตะกั่ว ท่านสามารถป้องกันได้โดย

ท่านสามารถทดสอบถ้วยชามเซรามิคว่ามีสารตะกั่วหรือไม่โดยซื้อชุดทดสอบ(ยังไม่ทราบว่าในประเทศไทยจะมีหรือไม่)

หากถ้วยชามนั้นมีสารตะกั่ว ท่านก็ใช้เป็นเครื่องประดับบ้าน

อย่าใช้ถ้วยชามที่มีสารตะกั่วเก็บอาหาร

การป้องกันสารตะกั่วจากสีภายนอกบ้าน

บ้านที่ทาด้วยสีที่ผสมตะกั่วซึ่งอาจจะอยู่บนผนัง ผ้า พื้น หน้าต่าง เด็กมักจะได้รับสารตะกั่วจากสะเก็ดสีที่หลุดออกมา หากว่าบ้านของท่านทาด้วยสีที่มีสารตะกั่วผสมและต้องการเปลี่ยนสีท่านต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะมาทำการลอกสีและเปลี่ยนสี ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำในการป้องกันสารตะกั่ว

หากต้องการเปลี่ยนสี ควรจะเปลี่ยนทั้งหลัง

ควรจะหาดินที่อื่นมาถมทับดินเก่าและปลูกหญ้าทับ

ไม่ควรปลูกพืชสวนครัวไว้รอบบ้าน

ไม่ควรให้เด็กเล่นรอบตัวบ้านเพราะอาจจะมีสะเก็ดสี และเด็กอาจจะรับประทานโดยที่ไม่รู้ตัว ควรจะหาที่เล่นที่ห่างจากตัวบ้าน

เมื่อจะขุดดินรอบบ้าน ให้พรมน้ำให้ชุ่มชื้นเพื่อป้องกันฝุ่น

ไม่ควรกวาดหรือใช้เครื่องดูดฝุ่นเพราะจะทำให้ฝุ่นสารตะกั่วแพร่กระจาย

ใช้ผ้าชุมน้ำยาเช็ดบริเวณที่มีสะเก็ดสี

ป้องกันบ้านท่านจากสารตะกั่ว

สีแดงคือบริเวณที่พบสารตะกั่วบ่อยมาก สีเหลืองคือบริเวณที่พบสารตะกั่วบ่อย สีเขียวพบสารตะกั่วไม่บ่อย

พื้นที่ในบริเวณบ้านหลายแห่งจะเป็นบริเวณซึ่งมีสารตะกั่วมาก การดูแลบริเวณดังกล่าวจะช่วยลดการเกิดพิษต่อสารตะกั่วบริเวณดังกล่าวได้แก่

บัวบริเวณพื้น สะเก็ดสีอาจจะเกิดจากสีเก่าของผนัง หรือสีจากบัว หรืออาจจะเกิดจากการกระแทกของเฟอร์นิเจอร์ ไม่ควรให้เด็กเล่นใกล้บัว และเช็ดบริเวณดังกล่าวด้วยน้ำยา

พื้น ปกติบริเวณพื้นมักจะไม่ค่อยพบสารตะกั่วแต่ก็อาจจะเกิดสะเก็ดสีหล่นมายังพื้น วิธีป้องกันอย่าใช้เครื่องดูดฝุ่น ให้ใช้น้ำชุบน้ำยาเช็ดพื้น ควรทำความสะอาดพรมด้วยน้ำยา และหากสกปรกมากให้เปลี่ยนเป็นสาร vinyl

ฝาผนังบ้าน บ้านทั้งหลังไม่ควรใช้สีที่มีส่วนผสมของสารตะกั่ว หากเป็นสีที่มีสารตะกั่ว ท่านต้องหมั่นตรวจสอบว่าสียังคงสภาพดีอยู่หรือไม่ หากเริ่มมีสีแตกสะเก็ดต้องใช้ผ้าชุมน้ำยาเช็ดสะเก็ดสี และห้ามเด็กเล่นบริเวณดังกล่าว

บอบหน้าต่างเป็นบริเวณที่สะสมสารตะกั่วจากสะเก็ดสีที่หลุดออกมาเนื่องจากสีที่ทาไม้ หรือการเสื่อมของสีที่ทาผนัง วิธีป้องกันคืออย่าใช้สีที่ผสมสารตะกั่ว หากพบว่าสีเริ่มเสื่อมให้รีบแจ้งช่างแก้ไขโดยด่วนและระหว่างแก้ไขไม่ควรให้คนท้องและเด็กอยู่ใกล้เคียง

สำหรับท่านที่มีบ้านติดถนน หรืออยู่ในบริเวณที่มีสารตะกั่วไม่ควรปลูกผักหรือผลไม้เนื่องจากสารตะกั่วในน้ำมันจะกลายเป็นฝุ่นเกาะตามผิวดินอาจจะไปสะสมในพืช นอกจากนั้นก็ควรจะล้างผักให้สะอาด

สำหรับท่านที่มีบ้านอยู่ใกล้ถนนที่มีจราจรแออัด ที่ดินรอบๆบ้านท่านจะมีสารตะกั่วมากวิธีที่ดีคือตรวจดินว่ามีสารตะกั่วหรือไม่หากพบสารตะกั่วมากแนะนำให้เปลี่ยนดิน เวลาจะกวาดฝุ่นก็ฉีดน้ำให้ชื้นเพื่อป้องกันฝุ่นกระจาย

การเจาะเลือดตรวจหาสารตะกั่ว

เด็กที่มีสุขภาพแข็งแรงอาจจะมีสารตะกั่วในเลือดสูงก็ได้ The Centers for Disease Control ของประเทศอเมริกาแนะนำว่าเด็กเมื่ออายุ 1 ขวบหรือ 6เดือนในกรณีที่คิดว่ามีสารตะกั่วในบ้าน ควรได้รับการเจาะเลือดหาสารตะกั่ว

เด็กอายุมากกว่า 1 ขวบควรจะได้รับการเจาะเลือดหาสารตะกั่วทุก 1-2 ปีหากคิดว่าอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีสารตะกั่วเช่นบ้านที่ทาด้วยสีที่มีสารตะกั่วผสม หรือทำงานเกี่ยวกับสารตะกั่ว

ค่าปกติของสารตะกั่วในสิ่งแวดล้อม

ค่าสารตะกั่วในน้ำดื่มไม่ควรเกิน 15 ppb [parts per billion ]

ค่าสารตะกั่วในดินไม่ควรเกิน 5 ppm [parts per million ]

ค่าสารตะกั่วในอากาศไม่เกิน 1.5 ug/cubic meter (micrograms per cubic meter) per quarter

หลัก 6 ประการที่ทำให้คุณฟิต และหลีกโรคอ้วนในที่ทำงาน

เป็นที่น่าตกใจว่า ปัจจุบัน โรคอ้วน และโรคที่เกี่ยวกับการกิน ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของภาวะสุขภาพหลักของคนไทย อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วัฒนธรรมการกิน การอยู่ และการทำงานที่เปลี่ยน ทำให้คุณอ้วน แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรคที่คุณจะเอาชนะมันได้เสมอ ลองมาดูเคล็ดเล็กๆ 6 ประการ

คุณไม่จำเป็นต้องหาแรงจูงใจขนาดต้องไปซื้อคอร์สฟิตเนสหรอก แค่อยู่ในที่ทำงาน ก็สามารถฟิตได้แล้ว

1. บันใด คือเพื่อนแท้ของคุณ นึกถึงตลอด เมื่อคุณมีทางเลือกขึ้นบันใดดีกว่า ยิ่งเดินมาก ยิ่งฟิต ยิ่งใช้พลังงาน ยิ่งผอม

2. ออกไปข้างนอก เดินช๊อปกับเพื่อน เดินกับแฟน เดินกับลูกเวลาว่างที่มี เดินเข้าไป

3. จอดรถให้ไกลกว่าเดิม หรือคนละชั้นกับที่ทำงาน นึกเสียว่า เป็นแรงจูงใจให้เดิน หรือไม่งั้นก็คือ ขึ้นรถไฟฟ้า หรือแท็กซี่ และเดินให้ไกลกว่าปกติ

4. มีรองเท้าวิ่ง หรืออย่างน้อยรองเท้ารัดที่ใส่สบาย เผื่อเวลาจำเป็นงัดมันออกมาเดินหรือวิ่ง

5. เครื่องออกกำลังกายเล็กๆเช่น step หรือ เชือกกระโดด อาจช่วยให้คุณฟิตเสมอในช่วงเลิกงานรอกลับบ้าน

6. จำไว้ ออกกำลังกายทีละนิด ดีกว่าไม่ออกเลย กล้ามเนื้อคุณต้องการการฝึกทุกวัน ไม่ต้องออกหนักมาก คุณก็ฟิตได้

มหันตภัยของการนอนดึก

การอดหลับอดนอนคงเป็นเรื่องธรรมดาของเหล่ามนุษย์เงินเดือนไปเสียแล้ว! ไม่ว่าจะเกิดมาจากสาเหตุใดก็ตามเถอะ แต่จงอย่าให้มันกลายเป็นความเคยชิน เพราะผลกระทบของการนอนดึกนั้นมันร้ายแรงกว่าที่คิดจริงๆ ถ้าคุณสาวๆ ยังไม่เชื่อลองมาดูความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อร่างกายของเหล่านักนอนเช้าตัวยงกัน

ระบบการย่อยอาหาร

การอดหลับอดนอน ส่งผลให้ท้องอืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ ต่างจากการนอนตรงตามเวลา นอนแต่หัวค่ำ อุจจาระที่ถ่ายออกมาก็จะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่ และไม่เหนียว หรือแข็งหยาบจนเกินไป

ทั้งนี้เกิดจากการที่ร่างกายของเรานั้นย่อยอาหารได้ไม่ดีและไม่หมด เพราะระบบการย่อยมันอ่อนล้าจากการที่นอนไม่เป็นเวลา

แนวทางแก้ไข

จำเป็นต้องนอนดึกจริงๆ ให้หลีกเลี่ยงหรือลดอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ หรืออาหารเหนียวๆ เพื่อมิให้ลำไส้ทำงานหนัก เพราะหลังจากที่เราหลับไปแล้ว ถ้าคุณยัดอาหารหนักลงกระเพาะ ลำไส้ก็ยังคงต้องทำงานอยู่ มิได้พักผ่อน และทำให้เกิดปัญหา

แล้วถ้าหากตื่นนอนขึ้นมาแล้ว มีความรู้สึกอ่อนเพลีย ก็ควรที่จะรับประทานไข่ นม หรือน้ำผลไม้แทนอาหารหนักจำพวกเนื้อสัตว์ ก็จะสามารถรอดจากอาการท้องผูกเป็นประจำได้ แต่ทางที่ดีอย่านอนดึกเลย หรือจำเป็นจริงๆ ก็ควรออกกำลังหน้าท้องเข้าไว้ เพื่อสร้างกำลังให้ท้องสามารถรีดอุจจาระออกมาได้เร็ว

ระบบปัสสาวะ

ลองสังเกตกันไหมว่า ถ้าเรานอนแต่หัวค่ำ (ประมาณ 3-4 ทุ่ม) พอรุ่งเช้าเราตื่นขึ้นมาก็จะปัสสาวะเพียงครั้งเดียวจบ แต่ถ้านอนดึก กลางดึกก็จะต้องลุกเข้าห้องน้ำอยู่บ่อยๆ

เพราะร่างกายใช้งานเกินลิมิตไปแล้ว กล้ามเนื้อข้างในเลยพยายามบีบคั้นเอาพลังงานออกมาใช้ จึงต้องใช้น้ำมาก ผลก็คือจะปัสสาวะบ่อย และนั่นเองที่ทำให้เกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะด้วย

แนวทางแก้ไข

ให้รับประทานแคลเซียมเม็ดเพื่อป้องกันเลือดจาง แต่ควรทานวันละ 1 เม็ดเท่านั้น เพราะทานมากไปจะเกิดภาวะแคลเซียมพอก หรืออาการที่กระดูกงอกทับเส้นประสาท

แล้วต่อไปหากจำเป็นต้องนอนดึก ควรจะดื่มน้ำมากๆ และควรเติมเกลือลงไปในน้ำ เพื่อช่วยระบบเลือดและความดันโลหิตด้วย ส่วนคนที่ใช้เครื่องดื่มชูกำลังต่างๆ ควรเลิกซะ เพราะพอเราอยู่ดึกมากๆ และกลั้นปัสสาวะ มันก็จะซึมเข้าไปในเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย และจะไปประทุที่ขาหนีบ

ระบบเหงื่อ

สำหรับคนที่มีความเข้าใจว่า ถ้าไม่มีเหงื่ออกเสียเลยจะมีสุขภาพที่ดีนั้น เป็นความเข้าใจที่ผิดถนัด เพราะถ้าเหงื่อไม่ออก ความร้อนภายในร่างกายจะระบายไม่ได้ รวมไปถึงของเสียต่างๆ ที่จะถูกระบายพร้อมเหงื่อ ก็จะไม่ถูกระบาย ก็จะทำให้อึดอัด รวมไปถึงโรคผิวหนัง อาทิ สิว ฝ้า ก็จะถามหาเอาง่ายๆ

คนที่นอนดึกดังที่ทราบกันว่าจะไม่ค่อยมีเหงื่อออก จึงมักจะเผชิญกับปัญหาของเสียตกในอยู่เสมอ และแน่นอนว่าสิว ฝ้า ก็จะตามมาเป็นปัญหาต่อไป อีกทั้งถ้าเหงื่อไม่ออก การระบายน้ำก็จะตกไปเป็นภาระของไต เพื่อขับออกมาเป็นปัสสาวะ ไตเลยต้องทำงานหนัก แถมยังทำให้ปัสสาวะถี่อีกต่างหาก

แนวทางแก้ไข

ก็คงไม่ต่างจากระบบอื่นๆ คือการดื่มน้ำเข้าไปเยอะๆ และที่สำคัญควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเพื่อเรียกเหงื่อให้ออกมา

วิธีการถนอมผิวมือ

อุปกรณ์ 1 นำตาล 2 มะนาว

ง่ายๆคะ เพียงแค่เพื่อนๆ เอานำตาลมาใส่ในฝ่ามือ พอประมาณ จากนั้นก็

บีบนำมะบาวลงบนนำตาล แล้วก็เริ่มถูที่หลังมือ และหน้ามือ จนกว่านำตาลละลายหมดไป จากนั้นก็ล้างด้วยนำเปล่า เช็ดมือให้เเห้ง แล้วชโลมด้วยโลชั่น หรือ วาสลีน เเค่

นี้เพื่อนๆ ก็สามารถมีมือที่นุ่มไม่กร้านเเล้วคะ ควรทำอาทิตย์ ละ 2-3 ครั้ง

เคล็ดลับการเป็น สาวสวยใสสุขภาพดี

เคล็ดลับที่ 1 หยุดตามใจปากเสียที

เพราะการที่คุณกิน แล้วกินตามใจปากโดยไม่นึกถึงคุณค่า ทางอาหารแบบนี้ มีความเสี่ยงสูงมากที่เมื่อรู้ตัวเข้าอีกที ก็อาจจะ มีปริมาณโคเลสเตอรอลสะสมอยู่ในร่างกายเป็นจำนวนมากแล้วก็ได้

ลองสังเกตง่ายๆ แค่หลับตาแล้วนึกดูสิว่า

วันนี้เรารับประทานอะไรเข้าไปบ้าง. ไข่แดง..เครื่องใน..ปลาหมึก..หนังไก่.. อาหารจำพวกฟาสต์ฟู้ดถ้าคุณตอบตัวเองว่าใช่! ก็รู้ไว้ได้เลยว่านั่นแหละคืออาหารที่เต็มไปด้วยปริมาณโคเลสเตอรอลสูง

เคล็ดลับที่ 2 มีนัดกับหมอบ้างก็ดีเหมือนกัน

ถึงตารางนัดจะเต็มถึงปีหน้า ก็พยายามหาเวลาว่างโทรไปนัดกับหมอเพื่อขอตรวจสุขภาพบ้างก็ดี และ ที่สำคัญยิ่งควบคุณระดับโคเลสเตอรอลในร่างกาย ให้อยู่ที่ 120-200 มิลลิกรัมต่อวันได้มากเท่าไร ก็จะยิ่งอยู่ไกลจากโรคร้ายต่างๆ

ไม่ว่าจะเป็นโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด ความดัน มะเร็ง รวมถึงโรค หัวใจที่เป็นสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิต

เคล็ดลับที่ 3 บุคลิกภาพก็สำคัญนะ

ใครจะคิดว่าการนั่ง ยืน เดิน อย่างไม่ถูกวิธี มีผลต่อบุคลิกภาพแล้วก็ยังส่งผลต่อสุขภาพ จะอะไรอีก ล่ะ... ก็พวกอาการปวดหลังที่เป็นกันนั่นแหละ

และยิ่งกว่านั้นจากผลการสำรวจยังพบว่าคนไทยส่วนใหญ่

รับประทานแคลเซียมในแต่ละวันน้อยกว่า 800 มิลลิกรัม ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุน ต้นเหตุ ใหญ่ของอาการปวดหลังเข้าไปอีก

ฉะนั้นรู้อย่างนี้แล้วก็ช่วยให้ความสำคัญกับบุคลิกภาพทั้งการนั่ง ยืน เดิน และอย่าลืมเลือกกินพวก นม หรือนมเปรี้ยว ถั่ว ธัญพืช ปลาเล็กปลาน้อยกันบ้างนะคะ

เคล็ดลับที่ 4 ทำตัวเป็นคนเลือกกินหน่อย

แต่ต้องเลือกแบบที่มีประโยชน์นะ ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือแม้กระทั่งเครื่องดื่ม เพราะเครื่องดื่มประ เภทที่มีประโยชน์ต่อร่างกายก็อาจเป็นตัวการที่ทำให้เกิดปริมาณโคเลสเตอรอลสูงด้วย อย่างพวกนม ไม่เว้นแม้กระทั่งนมพร่องมันเนยหรือนมเปรี้ยวพร้อมดื่มชนิดต่างๆ อย่างที่เห็นหรอกนะ

ฉะนั้นทางที่ดีควร เลือกดื่มนมหรือนมที่ไม่โคเลสเตอรอล

แต่ในขณะเดียวกันต้องให้มีแคลเซียมสูง วิธีง่ายๆ ก็เหมือนที่คณะ กรรมการอาหารและยา พยายามบอกเราอยู่เรื่อยนั่นแหละ แค่สังเกตุที่ฉลากข้างๆ กล่องก่อนซื้อทุกครั้ง

นมหรือนมเปรี้ยวชนิดนั้นไม่มีโคเลสเตอรอลและมีแคลเซียมสูงหรือเปล่า ที่สำคัญอย่าลืมหาเวลาออกกำ กายซะบ้างไม่ใช่ว่ากินแล้วนอนนะ

เคล็ดลับที่ 5 สุขภาพจิตดี มีชัยไปกว่าครึ่ง

ไม่มีหนุ่มๆ ที่ไหน เค้าชอบสาวที่หน้าตาเหมือนโกรธใครอยู่ตลอดเวลาหรอกนะ มันจะยากอะไรนัก แค่พยายามมองโลกให้มันสดใสแล้วก็หัดยิ้มให้สวยเข้าไว้

ผลที่ได้นอกจากทำให้สุขภาพดีแล้วยังจะทำ ให้คนอยากเข้าใกล้อีกด้วย

การทดสอบผิวหน้า

ในเวลาเช้าเมื่อคุณตื่นนอน ก่อนที่คุณจะล้างหน้าหรือใช้เมคอั้พ ควรใช้กระดาษซับมันนั้นซับลงไปบนดวงหน้าของคุณ

ในที่ต่างๆกันเช่น หน้าผาก จมูก คาง การซับแต่ละแห่งนั้นให้ใช้กระดาษคนละแผ่นกันแล้วจำให้แม่น จำแผ่นไหนซับตรงไหน

แล้วนำมาเปรียบเทียบกันก็จะเห็นว่า

1. ถ้าหากผิวหน้าของคุณเป็นมัน กระดาษแผ่นนั้นจะมีลักษณะเป็นรอยโปร่งแสงกว้าง(เพราะถูกมันมาก)ใหญ่เฉพาะแห่ง

2. ถ้าหากว่าผิวของคุณเป็นครั้งน้ำมันครั้งแห้งเป็นบางส่วนไม่เท่ากัน กระดาษที่ซับแก้มทั้งสองข้างจะทับแสงดังสภาพเดิมเพราะไม่

ถูกน้ำมันจากผิวแก้มที่แห้งของคุณแต่กระดาษที่ซับตรงซอกจมูกทั้งสองข้าง หรือตรงกลางหน้าผากและปลายคางนั้นจะแสดงให้เห็น

ลักษณะโปร่งแสงเพราะถูกน้ำมันเหล่านี้ย่อมแสดงให้เห็นว่าผิวหน้าบางส่วนของคุณในบางส่วนนั้นมีลักษณะไม่เหมือนกัน คือบางส่วนไม่

มีน้ำมันเลยแม้แต่น้อย และบางส่วนมีน้ำมันมาก

จากการทดสอบดังกล่าวนี้ เมื่อคุณพิจารณากระดาษแผ่นที่ซับปลายคางจะเห็นว่ามีลักษณะโปร่งแสงมากกว่าแผ่นที่ซับตรงหน้า

ผากซึ่งแห้งกว่าแต่ก็ยังน้อยกว่ากระดาษแผ่นที่ซับข้างจมูก เพราะตรงนั้นมีน้ำมันมากที่สุด

3. ถ้าหากว่าผิวหน้าของคุณแห้ง แผ่นกระดาษที่ใช้ซับทุกแผ่นในจุดต่างๆกันจะไม่ปรากฎลักษณะโปร่งแสงเลยมันจะคงสภาพเดิม

เหมือนยังไม่เคยใช้มาก่อน

4. แต่ถ้าหากว่าผิวของคุณเป็นปกติ คือมีน้ำมันไม่มาก ไม่แห้งหรือมีลักษณะบางแห่งแห้งยางแห่งมีน้ำมีนแล้ว กระดาษทุกแผ่นที่

ใช้ในการทดลองซับผิวหน้าต่างๆกันนั้นจะมีลักษณะโปร่งแสงเล็กน้อยเท่ากันหมดค่ะเมื่อรู้ลักษณะผิวพรรณของตัวเองแล้วก็จะดูแลรักษา

ได้ง่ายและถูกวิธีมากขึ้นค่ะ

เมื่อรู้ลักษณะผิวพรรณของตัวเองแล้ว ก็จะดูแลรักษาได้ง่ายและถูกวิธีมากขึ้นค่ะ

แนะกินอาหารว่างให้มีประโยชน์

จากการสำรวจพฤติกรรม ผู้บริโภคไทย โดยผลิตภัณฑ์อาหารโวโน ซุปครีมกึ่งสำเร็จรูป เมื่อต้นปี 2551 พบว่า สาวส่วนใหญ่มักโทษว่า อายุที่เพิ่มขึ้นทำให้ความสามารถในการเผาผลาญพลังงานลดลง

บางคนบอกว่างานยุ่งมากจนไม่มีเวลาออกกำลังกาย และมีหญิงสาวจำนวนมากไม่ยอมกินอาหารเช้า จึงไปหิวจนตาลายเอาเมื่อสาย และมักคว้าขนม ของขบเคี้ยวกรุบกรอบกิน พอตกบ่ายก็เริ่มง่วงและหิวอีกรอบ ก็ต้องพึ่งขนมช่วยให้ตาสว่างกันอีกยก ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายคนก็ยิ่งสนุก ยิ่งอร่อย กว่าจะรู้ตัวอีกทีถุงขนมก็กองเต็มโต๊ะ และส่วนเกินก็มากองอยู่ตามพุงเสียแล้ว

อาจารย์กฤษฎี โพธิทัต ที่ปรึกษาด้านโภชนาการ กล่าวว่า ที่จริงแล้วอาหารว่างหรือของขบเคี้ยวระหว่างมื้อเป็นเรื่องดีต่อสุขภาพ ถ้ารู้จักเลือกกินชนิดที่มีประโยชน์และมีคุณค่าทางสารอาหาร

เช่น ผลไม้ที่แป้งน้อย อย่าง สับปะรด ชมพู่ ฝรั่ง แซนด์วิชที่ทำจากขนมปังโฮลสวีต นมหรือนมถั่วเหลืองยูเอชที โยเกิร์ตรสธรรมชาติ โดยคุณสามารถทานร่วมกับผลไม้ หรือโรยซีเรียลลงไปด้วยก็ได้ ถั่วเปลือกแข็ง เช่น ถั่วลิสง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ อัลมอนด์ ถั่วเมล็ดแห้งต้ม เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง ซุปครีมในปริมาณที่อิ่มกำลังเหมาะ ที่มีขนมปังกรอบ เพื่อให้ได้รสชาติของการเคี้ยว ผักสด ผักต้มสุก จิ้มกับน้ำสลัดหรือเครื่องจิ้มอื่นๆ

"การวิจัยพบว่าผู้ที่รับประทานอาหารวันละ 4 มื้อเล็กๆ ขึ้นไป คือ อาหาร 3 มื้อ และอาหารว่าง 1 มื้อ มีโอกาสลดความอ้วนได้ ถึงร้อยละ 45 เพราะการกินอาหารระหว่างมื้อที่มี คุณภาพ จะช่วยทำให้เราไม่หิวมากเกินไป จึงควบคุมปริมาณการกินอาหารในมื้อถัดไปได้ดีขึ้น ช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า พร้อมเริ่มต้นใหม่ได้อย่างสดใส"

คำอธิบายก็คือ คนเราจะรู้สึกหิว เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงถึงระดับหนึ่ง

สมองจึงจะสั่งการว่าหิว ซึ่งโดยธรรมชาติ เราก็จะคว้าของกินใส่ปากเมื่อหิว และหยุดกินเมื่อรู้สึกว่าอิ่ม แต่ระบบการทำงานของร่างกายนั้น สมองจะรับรู้ได้ช้ากว่าที่เป็นจริง เช่น ระดับน้ำตาลในเลือดจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น แต่สมองต้องใช้เวลาประมาณ 15 นาทีจึงจะรับรู้ได้ว่า ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นมาแล้ว ดังนั้น เมื่อสมองบอกว่าอิ่ม และเรารู้สึกอิ่ม จึงเป็นเวลาที่ร่างกายของเราได้รับอาหารเกินความต้องการไปแล้ว

การจะป้องกันคือ ต้องเคี้ยวให้ละเอียด เคี้ยวนานๆ เคี้ยวคำละอย่างน้อย 15 ครั้งก่อนที่จะกลืน หรือพวกชีวจิตแนะนำว่าถ้าเคี้ยวได้ถึง 30 ครั้งจะเยี่ยมมาก เพราะทำให้เราใช้เวลานานขึ้นในการรับประทานอาหารแต่ละคำ และในแต่ละมื้อก็จะทำให้เรากินอาหารได้น้อยลง แต่อิ่มทน

กินอะไร..อาจทำให้ง่วงได้

รู้ไหม ว่าอาหารที่พวกเราทานเข้าไป อาจจะทำให้ร่างกายเกิดอาการง่วงนอนได้ แถมอาหารเหล่านี้ยังเป็นอาหารจานโปรดของใครต่อใครหลายๆ คนเลย

กาแฟ เคยได้ยินแต่กาแฟช่วยให้ไม่ง่วง แต่..ถ้าเราดื่มกาแฟในขณะที่กระเพาะอาหารยังว่างอยู่จะทำให้เกิดอาการง่วงนอนได้ เพราะหลังจากดื่มกาแฟไป 30 นาที คาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟจะเข้าไปในกระแสเลือดและถูกส่งต่อไปที่สมอง โดยขณะนั้นเองออกซิเจนที่ถูกลำเลียงไปเลี้ยงสมองก็จะถูกสกัดกั้นเอาไว้ ทำให้ร่างกายของเราเกิดอาการง่วงนอนตามมา

กล้วย ภายในกล้วยจะมีฮอร์โมนเซโรโทนินและนอร์เอพิเนฟริน ที่จะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขออกมา ดังนั้นถ้าเราทานกล้วยมากจนเกินไปก็จะทำให้ร่างกายของเราเกิดอาการไม่อยากขยับเขยื้อนร่างกายได้

ช็อกโกแลต สาร Phenylethylamine ในช็อกโกแลตจะทำให้ร่างกายของเราเกิดอาการง่วงนอนได้

ครัวซองต์ จะมีปริมาณแป้งขัดขาวและไขมันมากซึ่งจะต้องใช้พลังงานในการย่อย ดังนั้นถ้าเราทานครัวซองต์ 2-3 ชิ้น ร่างกายก็ต้องดึงเลือดจากสมองมาที่กระเพาะอาหารเป็นจำนวนมาก ทำให้เลือดที่สมองมีไม่เพียงพอจึงทำให้เกิดอาการง่วงนอน

ขนมปังขาวและข้าวขาว เพราะมีสารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตชนิดเร่งด่วน ซึ่งทำให้ตับอ่อนหลั่งสารอินซูลินออกมามาก ทำให้น้ำตาลในเลือดขึ้นสูงและทำให้ง่วงนอน

ของหวาน เช่น เค้ก คุ้กกี้ จะทำให้วิตามินบีออกจากร่างกายเราเร็วขึ้นส่งผลให้ร่างกายเกิดอาการง่วงนอน

ผลิตภัณฑ์นม เนื่องจากในนมจะมีทั้งแคลเซียมและโปรตีน ซึ่งในโปรตีนนั่นก็จะมีการแยกกรดอะมิโนออกมา ดังนั้นถ้าร่างกายของเรามีกรดมากเกินไปก็จะทำให้เกิดอาการง่วงนอนได้

วีระยุทธ หอมนวล ม.ฟาร์เลขที่ 44

วิธีการถนอมดวงตา

วันหนึ่งนายแพทย์เบตส์กลับจากทำงานด้วยดวงตาอันอ่อนล้า เขานั่งลงที่โต๊ะทำงานในห้องที่ยังไม่ได้เปิดไฟวางข้อศอกทั้งสองข้างลงบนโต๊ะโค้งอุ้งมือทั้งสองวางครอบดวงตาของตนหลับตาพักผ่อนในท่านั้นอยู่สิบนาทีพอลืมตาขึ้นอีกครั้งหนึ่งเขารู้สึกว่าอาการปวดเมื่อยดวงตาหายไปแถมมองเห็นสิ่งต่างๆ ในห้องชัดเจนขึ้นกว่าเก่าอีกด้วย จากจุดเริ่มต้นดังกล่าวนายแพทย์เบตส์ได้ค้นคิดวิธีการฝึกสายตาอย่างธรรมชาติ เพื่อพักผ่อนกล้ามเนื้อตาและช่วยรักษาสายตาให้ดีขึ้น นายแพทย์เบตส์เขียนหนังสือชื่อ Perfect Sight without Glasses เป็นที่นิยมแพร่หลาย แม้ภายหลังเขาเสียชีวิต แต่วิธีการของนายแพทย์เบตส์ยังได้รับการเผยแพร่โดยแพทย์ทั้งหลายทั่วยุโรปและอเมริกา "วิธีของเบตส์" มี 7 ท่าด้วยกัน ท่าที่ 1 ครอบดวงตา โค้งอุ้งมือทั้งสองครอบดวงตาไว้เฉย ๆ ระวังอย่าให้อุ้งมือกดทับดวงตา นึกถึงบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เช่น วันพักผ่อนสุดสัปดาห์ตามป่าเขาหรือชายทะเลอยู่ในท่านี้สัก 10 นาที ท่าที่ 2 สร้างจินตภาพ ต่อจากท่าที่ 1 ยังคงครอบดวงตาอยู่ สร้างจินตภาพว่าตนเองกำลังมองวัตถุบางอย่างที่มีสีสันสดใสมีรายละเอียดต่างๆ ที่ชัดเจน เช่น มองเห็นดอกเบญจมาศสีเหลืองสวยเห็นกลีบดอกแต่ละกลีบละเอียดชัดเจนสายตาที่คมชัดจากจินตนาการของเราเองจะช่วยเยียวยาสายตาจริง ๆ ของเราได้เป็นอย่างดี ท่าที่ 3 กวาดสายตา มองแบบไม่ต้องจ้อง (คนสายตาสั้นมักจ้องและเขม้นตา) กวาดสายตาไปตามวัตถุที่อยู่ไกล ๆ ทางโน้นบ้างทางนี้บ้างทำให้ตาของเราได้ผ่อนคลาย ท่าที่ 4 กะพริบตา ฝึกนิสัยให้กะพริบตา 1-2 ครั้ง ทุก ๆ 10 วินาที ช่วยให้แก้วตาสะอาดและมีน้ำหล่อเลี้ยง โดยเฉพาะคนที่สวมแว่นหรือคอนแทคเลนส์ยิ่งจำเป็น ท่าที่ 5 โฟกัสภาพใกล้และไกล เหยียดแขนซ้ายไปให้ไกลที่สุด ตั้งนิ้วชี้มือซ้ายขึ้นเพื่อเป็นจุดโฟกัส ขณะเดียวกัน ตั้งนิ้วชี้มือขวาให้ห่างจากใบหน้าสัก 3 นิ้ว (7.5 ซม.) โฟกัสภาพที่แต่ละนิ้วสลับกันไปมา ทำบ่อย ๆ เมื่อโอกาสอำนวย ท่าที่ 6 ชโลมดวงตา ตื่นนอนทุกเช้าใช้มือวักน้ำชโลมดวงตาด้วยน้ำอุ่น สัก 20 ครั้ง สลับกับการวักน้ำเย็นชโลมดวงตาอีก 20 ครั้ง ทั้งนี้เพื่อช่วยให้เลือดหมุนเวียนมาเลี้ยงดวงตาดีขึ้น การจบด้วยน้ำเย็นทำให้กล้ามเนื้อตาและหนังตากระชับไม่หย่อนยาน ก่อนเข้านอนให้วักน้ำชโลมดวงตาอีกครั้งหนึ่งแต่คราวนี้ชโลมด้วยน้ำเย็นก่อนแล้วตามด้วยน้ำอุ่นจะทำให้กล้ามเนื้อตาและหนังตาได้ผ่อนคลายก่อนเข้านอน ท่าที่ 7 แกว่งตัว ยืนแยกเท้าเท่ากับช่วงไหล่ แกว่งตัวไปมาจากซ้ายไปขวาถ่ายน้ำหนักตัวบนขาแต่ละข้างสลับไปมา สายตามองไปไกล ๆ แต่ไม่ต้องจ้องปล่อยให้จุดที่เรามองแกว่งไปมาซ้ายขวาตามการแกว่งตัวท่านี้จะทำให้ดวงตาได้พักและมีการปรับตัวดีขึ้น ทำ บ่อย ๆ เมื่อมีโอกาส เปิดเพลงคลอไปด้วยก็ได้ "วิธีของเบตส์" ได้รับการยืนยันจากจักษุแพทย์จำนวนมากว่าเป็นการฝึกดวงตา ที่เป็นระบบช่วยรักษาสายตาคนไข้ได้เป็นจำนวนมาก ด้วยความปราถนาดีจากศูนย์แอ็ดวานส์เลสิค

นายสุชิน คำดวงดาว ม.ฟาร์เลขที่ 49

การบริหารดวงตา

ท่าที่ 1 ครอบดวงตา

โค้งอุ้งมือทั้งสองครอบดวงตาไว้เฉย ๆ ระวังอย่าให้อุ้งมือกดทับดวงตา นึกถึงบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เช่น

วันพักผ่อนสุดสัปดาห์ตามป่าเขาหรือชายทะเลอยู่ในท่านี้สัก 10 นาที

ท่าที่ 2 สร้างจินตภาพ

ต่อจากท่าที่ 1 ยังคงครอบดวงตาอยู่ สร้างจินตภาพว่าตนเองกำลังมองวัตถุบางอย่างที่มีสีสันสดใสมีรายละเอียดต่างๆ ที่ชัดเจน เช่น มองเห็นดอกเบญจมาศสีเหลืองสวยเห็นกลีบดอกแต่ละกลีบละเอียดชัดเจนสายตาที่คมชัดจากจินตนาการของเราเองจะช่วยเยียวยาสายตาจริง ๆ ของเราได้เป็นอย่างดี

ท่าที่ 3 กวาดสายตา

มองแบบไม่ต้องจ้อง (คนสายตาสั้นมักจ้องและเขม้นตา) กวาดสายตาไปตามวัตถุที่อยู่ไกล ๆ ทางโน้นบ้างทางนี้บ้างทำให้ตาของเราได้ผ่อนคลาย

ท่าที่ 4 กะพริบตา

ฝึกนิสัยให้กะพริบตา 1-2 ครั้ง ทุก ๆ 10 วินาที ช่วยให้แก้วตาสะอาดและมีน้ำหล่อเลี้ยง โดยเฉพาะคนที่สวมแว่นหรือคอนแทคเลนส์ยิ่งจำเป็น

ท่าที่ 5 โฟกัสภาพใกล้และไกล

เหยียดแขนซ้ายไปให้ไกลที่สุด ตั้งนิ้วชี้มือซ้ายขึ้นเพื่อเป็นจุดโฟกัส ขณะเดียวกัน ตั้งนิ้วชี้มือขวาให้ห่างจากใบหน้าสัก 3 นิ้ว (7.5 ซม.) โฟกัสภาพที่แต่ละนิ้วสลับกันไปมา ทำบ่อย ๆ เมื่อโอกาสอำนวย

ท่าที่ 6 ชโลมดวงตา

ตื่นนอนทุกเช้าใช้มือวักน้ำชโลมดวงตาด้วยน้ำอุ่น สัก 20 ครั้ง สลับกับการวักน้ำเย็นชโลมดวงตาอีก 20 ครั้ง

ทั้งนี้เพื่อช่วยให้เลือดหมุนเวียนมาเลี้ยงดวงตาดีขึ้น การจบด้วยน้ำเย็นทำให้กล้ามเนื้อตาและหนังตากระชับไม่หย่อนยาน ก่อนเข้านอนให้วักน้ำชโลมดวงตาอีกครั้งหนึ่งแต่คราวนี้ชโลมด้วยน้ำเย็นก่อนแล้วตามด้วยน้ำอุ่นจะทำให้กล้ามเนื้อตาและหนังตาได้ผ่อนคลายก่อนเข้านอน

ท่าที่ 7 แกว่งตัว

ยืนแยกเท้าเท่ากับช่วงไหล่ แกว่งตัวไปมาจากซ้ายไปขวาถ่ายน้ำหนักตัวบนขาแต่ละข้างสลับไปมา สายตามองไปไกล ๆ แต่ไม่ต้องจ้องปล่อยให้จุดที่เรามองแกว่งไปมาซ้ายขวาตามการแกว่งตัวท่านี้จะทำให้ดวงตาได้พักและมีการปรับตัวดีขึ้น ทำ บ่อย ๆ เมื่อมีโอกาส เปิดเพลงคลอไปด้วยก็ได้"วิธีของเบตส์" ได้รับการยืนยันจากจักษุแพทย์จำนวนมากว่าเป็นการฝึกดวงตา ที่เป็นระบบช่วยรักษาสายตาคนไข้ได้เป็นจำนวนมาก

วราภรณ์ ฟาร์อีสเทิร์น

แนะกินอาหารว่างให้มีประโยชน์

จากการสำรวจพฤติกรรม ผู้บริโภคไทย โดยผลิตภัณฑ์อาหารโวโน ซุปครีมกึ่งสำเร็จรูป เมื่อต้นปี 2551 พบว่า สาวส่วนใหญ่มักโทษว่า อายุที่เพิ่มขึ้นทำให้ความสามารถในการเผาผลาญพลังงานลดลง

บางคนบอกว่างานยุ่งมากจนไม่มีเวลาออกกำลังกาย และมีหญิงสาวจำนวนมากไม่ยอมกินอาหารเช้า จึงไปหิวจนตาลายเอาเมื่อสาย และมักคว้าขนม ของขบเคี้ยวกรุบกรอบกิน พอตกบ่ายก็เริ่มง่วงและหิวอีกรอบ ก็ต้องพึ่งขนมช่วยให้ตาสว่างกันอีกยก ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายคนก็ยิ่งสนุก ยิ่งอร่อย กว่าจะรู้ตัวอีกทีถุงขนมก็กองเต็มโต๊ะ และส่วนเกินก็มากองอยู่ตามพุงเสียแล้ว

อาจารย์กฤษฎี โพธิทัต ที่ปรึกษาด้านโภชนาการ กล่าวว่า ที่จริงแล้วอาหารว่างหรือของขบเคี้ยวระหว่างมื้อเป็นเรื่องดีต่อสุขภาพ ถ้ารู้จักเลือกกินชนิดที่มีประโยชน์และมีคุณค่าทางสารอาหาร

เช่น ผลไม้ที่แป้งน้อย อย่าง สับปะรด ชมพู่ ฝรั่ง แซนด์วิชที่ทำจากขนมปังโฮลสวีต นมหรือนมถั่วเหลืองยูเอชที โยเกิร์ตรสธรรมชาติ โดยคุณสามารถทานร่วมกับผลไม้ หรือโรยซีเรียลลงไปด้วยก็ได้ ถั่วเปลือกแข็ง เช่น ถั่วลิสง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ อัลมอนด์ ถั่วเมล็ดแห้งต้ม เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง ซุปครีมในปริมาณที่อิ่มกำลังเหมาะ ที่มีขนมปังกรอบ เพื่อให้ได้รสชาติของการเคี้ยว ผักสด ผักต้มสุก จิ้มกับน้ำสลัดหรือเครื่องจิ้มอื่นๆ

"การวิจัยพบว่าผู้ที่รับประทานอาหารวันละ 4 มื้อเล็กๆ ขึ้นไป คือ อาหาร 3 มื้อ และอาหารว่าง 1 มื้อ มีโอกาสลดความอ้วนได้ ถึงร้อยละ 45 เพราะการกินอาหารระหว่างมื้อที่มี คุณภาพ จะช่วยทำให้เราไม่หิวมากเกินไป จึงควบคุมปริมาณการกินอาหารในมื้อถัดไปได้ดีขึ้น ช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า พร้อมเริ่มต้นใหม่ได้อย่างสดใส"

คำอธิบายก็คือ คนเราจะรู้สึกหิว เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงถึงระดับหนึ่ง

สมองจึงจะสั่งการว่าหิว ซึ่งโดยธรรมชาติ เราก็จะคว้าของกินใส่ปากเมื่อหิว และหยุดกินเมื่อรู้สึกว่าอิ่ม แต่ระบบการทำงานของร่างกายนั้น สมองจะรับรู้ได้ช้ากว่าที่เป็นจริง เช่น ระดับน้ำตาลในเลือดจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น แต่สมองต้องใช้เวลาประมาณ 15 นาทีจึงจะรับรู้ได้ว่า ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นมาแล้ว ดังนั้น เมื่อสมองบอกว่าอิ่ม และเรารู้สึกอิ่ม จึงเป็นเวลาที่ร่างกายของเราได้รับอาหารเกินความต้องการไปแล้ว

การจะป้องกันคือ ต้องเคี้ยวให้ละเอียด เคี้ยวนานๆ เคี้ยวคำละอย่างน้อย 15 ครั้งก่อนที่จะกลืน หรือพวกชีวจิตแนะนำว่าถ้าเคี้ยวได้ถึง 30 ครั้งจะเยี่ยมมาก เพราะทำให้เราใช้เวลานานขึ้นในการรับประทานอาหารแต่ละคำ และในแต่ละมื้อก็จะทำให้เรากินอาหารได้น้อยลง แต่อิ่มทน

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์อีส เลขที่ 2

คุณค่าจากปลา ... ราชาของโปรตีน

โปรตีนมีดีที่ย่อยง่าย โดยทั่วไปในเนื้อปลามีโปรตีนประมาณร้อยละ 17-23 ซึ่งเป็นโปรตีนที่ย่อยง่ายกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ ทำให้ระบบการย่อยอาหารของเราไม่ต้องทำงานหนัก อีกทั้งโปรตีนยังมีประโยชน์ ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อหรือส่วนต่างๆ ที่สึกหรอ และเสริมสร้างร่างกายให้เจริญเติบโตตามวัยอันควร นอกจากนี้ปลายังมีกรดอะมิโน ที่จำเป็นต่อร่างกายหลายชนิด โดยเฉพาะไลซีนและทรีโอนิน ซึ่งมีผลต่อพัฒนาการสมอง และการเจริญเติบโตในวัยเด็ก ทั้งยังเป็นส่วนประกอบของสารสร้างภูมิคุ้มกันโรค ทำให้นอนหลับสนิท สมองทำงานได้ดี ไม่แก่เกินวัย และลดความหิวชนิดรับประทานไม่หยุดได้ โดยถ้าคิดเป็นหน่วยร้อยละ จะมีสูงถึงร้อยละ 92 เมื่อเทียบกับ น้ำนมวัวซึ่งมีร้อยละ 91 เนื้อวัวมีร้อยละ 80 และถั่วเหลืองมีร้อยละ 63

ไขมันต่ำและเป็นไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย ปลายังมีไขมันต่ำ มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวหรือที่เรียกว่า โอเมก้า3 ซึ่งเป็นไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่เราไม่สามารถสร้างเองได้ นอกจากกรดไขมันโอเมก้า3 ที่มีอยู่ในปลาช่วยป้องกันการสะสมตัวของไขมันอิ่มตัว หรือคลอเลสเตอรอล อันเป็นสาเหตุ ให้เส้นเลือดอุดตัน ซึ่งนำไปสู่โรคหัวใจ และเส้นเลือดในสมองแตกได้ กรดไขมันโอเมก้า3 ยังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ อีกมากมาย เช่น • ช่วยในการลดน้ำหนัก ในปี 1999 นักวิจัยออสเตรเลียพบว่า การบริโภคปลาที่มีโอเมก้า3 สูง เช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอล จะช่วยให้การลดน้ำหนักได้ผลดียิ่งขึ้น

• บำรุงสมอง ผลวิจัยจากสหรัฐอเมริกาพบว่า กรดไขมันดีเอชเอ (DHA) ในโอเมก้า3 มีส่วนสำคัญในการพัฒนาสมอง โดยเฉพาะในส่วนของความจำและการเรียนรู้

• ช่วยลดความเครียด Archives of General Psychiatry ได้รายงานการวิจัย เกี่ยวกับน้ำมันปลา ว่าสามารถลดความเครียดในผู้ป่วยโรคประสาท ที่มักจะอาละวาด ทำให้มีอารมณ์ที่เยือกเย็นลงได้

• บรรเทาอาการซึมเศร้า การศึกษาของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดพบว่า การขาดโอเมก้า3 ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อสมอง อาจเป็นสาเหตุทำให้คนมีอาการซึมเศร้า สมาธิสั้น และขาดความสามารถในการอ่านหนังสือได้

• บรรเทาอาการของโรคไขข้ออักเสบ จากการวิจัยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า น้ำมันปลาช่วยบรรเทาอาการ ของผู้ป่วยโรคไขข้ออักเสบ จนสามารถลดการใช้ยาบางส่วนลงได้

• ลดการอักเสบของโรคผิวหนัง การศึกษาวิจัยระบุว่า การกินปลาที่มีไขมันมาก จะช่วยบรรเทาอาการของโรคผิวหนัง อย่างสะเก็ดเงิน (เรื้อนกวาง) เพราะปลามีวิตามินดีจากกรดไขมันโอเมก้า 3 ในปริมาณที่มากนั่นเอง

• ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ จากการวิจัยในปี 1998 พบว่า การบริโภคปลาอย่างน้อย สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง จะช่วยลดความดันโลหิต ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคหัวใจลงได้ นอกจากนั้น จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยโอเรกอนยังระบุว่า ในไขมันปลามีกรดไขมันอีพีเอ (EPA) ซึ่งเป็นกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า3 ยังช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือด และลดระดับไตรกลีเซอไรด์ลงได้ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญ ของโรคหลอดเลือดหัวใจด้วยเช่นกัน

ถึงแม้ปลาทุกชนิด จะจัดว่ามีค่าไขมัน และพลังงานต่ำกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่นแล้ว อย่างไรก็ตาม ชนิดของปลายังมีผลต่อปริมาณไขมันของปลาที่มีอยู่ในเนื้อปลาสด ซึ่งผู้บริโภคควรเลือกทานตามความ เหมาะสม เราสามารถจัดแบ่งชนิดของเนื้อปลาสด ออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1. ปลาที่มีไขมันต่ำมาก (น้อยกว่าหรือเท่ากับ 2 กรัมต่อ 100 กรัม) ได้แก่ ปลาไหล ปลากราย ปลานิล ปลากะพงแดง และปลาเก๋า

2. ปลาที่มีไขมันต่ำ (มากกว่า 2-4 กรัมต่อ 100 กรัม) ได้แก่ ปลาทูนึ่ง ปลากะพงขาว ปลาจะละเม็ดดำ และปลาอินทรี

3. ปลาที่มีไขมันปานกลาง (มากกว่า 4-8 กรัมต่อ 100 กรัม) ได้แก่ ปลาสลิด ปลาตะเพียน และปลาจะระเม็ดขาว

4. ปลาที่มีไขมันสูง (มากกว่า 8-20กรัมต่อ 100 กรัม) ส่วนมากมีเนื้อสีเหลือง ชมพูหรือเทาอ่อน ได้แก่ ปลาช่อน ปลาสวาย ปลาดุก และปลาสำลี

นอกจากนั้นแล้ว วิธีการปรุงอาหารให้สุกตามที่นิยม อย่างการต้ม นึ่ง ทอด ย่าง และเผา ยังมีผลต่อปริมาณไขมันของปลาด้วยเช่นกัน จากการวิจัยพบว่าปลาดิบและปลา ที่ทำให้สุกโดยการต้มและนึ่งทุกชนิด จัดว่าให้ค่าไขมันและพลังงานต่ำ แต่ถ้านำปลาเหล่านี้ไปย่างหรือทอด จะให้ไขมันและพลังงานสูงขึ้น เนื่องจากน้ำที่ระเหยหายไประหว่างการย่างและน้ำมัน ที่ถูกดูดซับเข้าไปในเนื้อปลาระหว่างการทอด ดังนั้น หากเราจะเลือกเมนูปลาครั้งหน้า โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักด้วยแล้ว อย่าลืมสังเกตทั้งชนิดของปลา และวิธีการปรุงกันก่อนรับประทาน

แร่ธาตุไอโอดีน ป้องกันเอ๋อ เมื่อรับประทานปลาทะเล ร่างกายจะได้รับแร่ธาตุไอโอดีน ซึ่งมีคุณสมบัติป้องกันโรคคอหอยพอก ชนิดที่เกิดจากการขาดธาตุไอโอดีน เด็กที่กำลังเจริญเติบโตหากขาดแร่ธาตุชนิดนี้ โอกาสที่จะเป็นโรคเอ๋อ หรือภาวะปัญญาอ่อนก็มีมากขึ้น และยังทำให้ร่างกายเจริญเติบโตช้า

แร่ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส เกราะป้องกันกระดูก การรับประทานปลาตัวเล็กตัวน้อย เช่น ปลาข้าวสาร ปลาฉิ้งฉั้ง รวมทั้งปลากระป๋อง อย่างปลาซาร์ดีนที่รับประทานได้ทั้งเนื้อและก้าง จะช่วยเพิ่มธาตุแคลเซียมที่ได้จากกระดูกปลา ช่วยทำให้กระดูกและฟันของเราแข็งแรง อีกทั้งป้องกันโรคกระดูกพรุนและกระดูกหักง่ายได้ นอกจากนี้ การรับประทานปลายังได้วิตามินที่หลากหลาย ทั้งวิตามินเอและวิตามินดี (ซึ่งมีมากในน้ำมันตับปลา) รวมทั้งวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และไนอาซีน ถึงแม้จะมีในปริมาณเล็กน้อย แต่วิตามินเหล่านี้ ล้วนมีความจำเป็นต่อร่างกาย โดยเฉพาะสมองของเรา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการควบคุม การทำงานของอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย ให้มีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ ถึงแม้ปลาจะมีคุณค่าและสารอาหารดีๆ มากมาย แต่สำหรับชาวชีวจิต ก็เลือกรับประทานปลาในปริมาณที่พอเหมาะ เพียงสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หรือประมาณ 200 กรัมเท่านั้น เพื่อให้ร่างกายของเราได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์อีสเทอร์น)

แนะกินอาหารว่างให้มีประโยชน์

จากการสำรวจพฤติกรรม ผู้บริโภคไทย โดยผลิตภัณฑ์อาหารโวโน ซุปครีมกึ่งสำเร็จรูป เมื่อต้นปี 2551 พบว่า สาวส่วนใหญ่มักโทษว่า อายุที่เพิ่มขึ้นทำให้ความสามารถในการเผาผลาญพลังงานลดลง

บางคนบอกว่างานยุ่งมากจนไม่มีเวลาออกกำลังกาย และมีหญิงสาวจำนวนมากไม่ยอมกินอาหารเช้า จึงไปหิวจนตาลายเอาเมื่อสาย และมักคว้าขนม ของขบเคี้ยวกรุบกรอบกิน พอตกบ่ายก็เริ่มง่วงและหิวอีกรอบ ก็ต้องพึ่งขนมช่วยให้ตาสว่างกันอีกยก ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายคนก็ยิ่งสนุก ยิ่งอร่อย กว่าจะรู้ตัวอีกทีถุงขนมก็กองเต็มโต๊ะ และส่วนเกินก็มากองอยู่ตามพุงเสียแล้ว

อาจารย์กฤษฎี โพธิทัต ที่ปรึกษาด้านโภชนาการ กล่าวว่า ที่จริงแล้วอาหารว่างหรือของขบเคี้ยวระหว่างมื้อเป็นเรื่องดีต่อสุขภาพ ถ้ารู้จักเลือกกินชนิดที่มีประโยชน์และมีคุณค่าทางสารอาหาร

เช่น ผลไม้ที่แป้งน้อย อย่าง สับปะรด ชมพู่ ฝรั่ง แซนด์วิชที่ทำจากขนมปังโฮลสวีต นมหรือนมถั่วเหลืองยูเอชที โยเกิร์ตรสธรรมชาติ โดยคุณสามารถทานร่วมกับผลไม้ หรือโรยซีเรียลลงไปด้วยก็ได้ ถั่วเปลือกแข็ง เช่น ถั่วลิสง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ อัลมอนด์ ถั่วเมล็ดแห้งต้ม เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง ซุปครีมในปริมาณที่อิ่มกำลังเหมาะ ที่มีขนมปังกรอบ เพื่อให้ได้รสชาติของการเคี้ยว ผักสด ผักต้มสุก จิ้มกับน้ำสลัดหรือเครื่องจิ้มอื่นๆ

"การวิจัยพบว่าผู้ที่รับประทานอาหารวันละ 4 มื้อเล็กๆ ขึ้นไป คือ อาหาร 3 มื้อ และอาหารว่าง 1 มื้อ มีโอกาสลดความอ้วนได้ ถึงร้อยละ 45 เพราะการกินอาหารระหว่างมื้อที่มี คุณภาพ จะช่วยทำให้เราไม่หิวมากเกินไป จึงควบคุมปริมาณการกินอาหารในมื้อถัดไปได้ดีขึ้น ช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า พร้อมเริ่มต้นใหม่ได้อย่างสดใส"

คำอธิบายก็คือ คนเราจะรู้สึกหิว เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงถึงระดับหนึ่ง

สมองจึงจะสั่งการว่าหิว ซึ่งโดยธรรมชาติ เราก็จะคว้าของกินใส่ปากเมื่อหิว และหยุดกินเมื่อรู้สึกว่าอิ่ม แต่ระบบการทำงานของร่างกายนั้น สมองจะรับรู้ได้ช้ากว่าที่เป็นจริง เช่น ระดับน้ำตาลในเลือดจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น แต่สมองต้องใช้เวลาประมาณ 15 นาทีจึงจะรับรู้ได้ว่า ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นมาแล้ว ดังนั้น เมื่อสมองบอกว่าอิ่ม และเรารู้สึกอิ่ม จึงเป็นเวลาที่ร่างกายของเราได้รับอาหารเกินความต้องการไปแล้ว

การจะป้องกันคือ ต้องเคี้ยวให้ละเอียด เคี้ยวนานๆ เคี้ยวคำละอย่างน้อย 15 ครั้งก่อนที่จะกลืน หรือพวกชีวจิตแนะนำว่าถ้าเคี้ยวได้ถึง 30 ครั้งจะเยี่ยมมาก เพราะทำให้เราใช้เวลานานขึ้นในการรับประทานอาหารแต่ละคำ และในแต่ละมื้อก็จะทำให้เรากินอาหารได้น้อยลง แต่อิ่มทน

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

สารอาหารเพื่อผิวสวย!!!

วิตามินเอ

วิตามินเอ มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ เรตินอยด์ (retinoids) และแคโรทีนอยด์ (carotenoids) ตัวเรตินอยด์นั้นมีอยู่ในอาหารและร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ ส่วนแคโรทีนอยด์ นั้นร่างกายจะต้องเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของวิตามินเอเสียก่อน แคโรทีนอยด์ที่เรารู้จักกันดีคือ เบตาแคโรทีน (beta-carotene)

• ประโยชน์ต่อผิวหนัง : วิตามินเอเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะช่วยในเรื่องการป้องกันการเสื่อมอายุ ของผิวหนัง การซ่อมแซมผิวหนังที่เสียไป นอกจากนี้วิตามินเอยังมีความสำคัญต่อขบวน การเติบโตของผิวหนัง ( differentiation) และเป็นสารสำคัญที่ช่วยทำให้ผิวหนังมีการทำงานอย่างปกติ

• ประโยชน์ต่อร่างกายอื่นๆ : เนื่องจากวิตามินเอเป็นสารต้านอนุมุลอิสระก็จะช่วยในเรื่องของการป้องกันมะเร็งและทำให้มีสุขภาพตาที่ดีด้วย

• ความต้องการของร่างกายต่อวัน : ประมาณ 5,000 international units (IU) หรือเบตาแคโรทีน ประมาณ 3 มิลลิกรัม การได้รับวิตามินเอปริมาณมากไปอาจจะทำลายตับและเกิดเป็นพิษได้

• แหล่งอาหาร :

วิตามินเอ : ไข่ นม เนย ปลาแซลมอน ปลา halibut

แคโรทีนอยด์ : ผักใบเขียว เช่น บร็อคโคลี ผักโขม แอสพารากัส มะละกอ แคนตาลูป มะเขือเทศฟักทอง

วิตามินบี-คอมเพล็กซ์

• ประโยชน์ต่อผิวหนัง : วิตามินในกลุ่มนี้มีความสำคัญต่อสุขภาพผิวหนังเป็นอย่างมาก เป็นตัวช่วยในขบวนการผลิตพลังงานภายในเซลล์ วิตามินบี 2 จะช่วยในเรื่องการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ วิตามินบี 3 ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและทำให้ผิวหนังไม่ซีด วิตามินบี 12 ช่วยในการแบ่งเซลล์ วิตามินบี 9 (หรือกรดโฟลิค) ช่วยในเรื่องการแบ่งและเจริญเติบโตของเซลล์ นอกจากนี้กรดโฟลิคยังช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงด้วย

• ประโยชน์ต่อร่างกายอื่นๆ : กลุ่มวิตามินบีมีความสำคัญมากในขบวนการสร้างพลังงานของเซลล์ และช่วยทำให้เอนไซม์ต่างๆ ทำงานตามปกติ วิตามินบีช่วยในการเปลี่ยนแปลงน้ำตาลกลูโคส ใช้เป็นพลังงาน การขาดวิตามินตัวนี้จะมีผลต่อระดับความรู้สึก หัวใจ การหายใจ วิตามินบี 6 ช่วยลดการอักเสบ ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว การสร้างอินซูลิน สร้างภูมิต้านทานโรค และช่วยเกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์ความรู้สึก ส่วนวิตามินบี 12 ช่วยเกี่ยวกับเรื่องของระบบสมองและประสาท

• ความต้องการของร่างกายต่อวัน :

บี 1 = 1.1-1.2 มิลลิกรัม

บี 2 = 1.1-1.3 มิลลิกรัม

บี 3 = 14-16 มิลลิกรัม

บี 6 = 2 มิลลิกรัม

บี 9 ( กรดโฟลิค) = 180-200 ไมโครกรัม (400 ไมโครกรัม สำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์)

บี 12 = 2 ไมโครกรัม

ในคนที่อายุมากกว่า 40 ปี การดูดซึมวิตามินบีหลายตัวจะลดลงโดยเฉพาะวิตามินบี 6 และบี 12

• แหล่งอาหาร :

ผัก : บร็อคโคลี มันฝรั่ง เห็ด แครอท มะเขือเทศ กะหล่ำปลี ผักโขม

ผลไม้ : กล้วย แอปเปิล มะเขือ ผลไม้ในกลุ่มส้ม

สัตว์ : ไข่ ไก่ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า

อื่นๆ : ข้าว เมล็ดธัญพืช ถั่ว ถั่วลิสง ถั่ววอลนัท ถั่วอัลมอนด์

วิตามินซี

• ประโยชน์ต่อผิวหนัง : วิตามินซีเป็นตัวสำคัญในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย รวมทั้งผิวหนังของเรา นอกจากนี้ยังเป็นตัวสำคัญในการสร้างคอลลาเจนด้วย

• ประโยชน์ต่อร่างกายอื่นๆ : วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญมากตัวหนึ่ง และยังสามารถลดไขมันที่ไม่ดีในเลือด (LDL) และเพิ่มไขมันที่ดี (HDL) ด้วย ช่วยลดความดันโลหิตสูง ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย และโรคเกี่ยวกับระบบตาด้วย

• ความต้องการของร่างกายต่อวัน : ประมาณวันละ 60 มิลลิกรัม แต่ส่วนมากนักวิทยาศาสตร์ทางด้านอาหารจะแนะนำประมาณ 500-1000 มิลลิกรัม ต่อวันเพื่อให้เกิดประโยชน์ในแง่ Anti-aging ด้วย

• แหล่งอาหาร :

ผัก : ผักใบเขียว บร็อคโคลี กะหล่ำปลี มะเขือเทศ มันฝรั่ง หน่อไม้ฝรั่ง (แอสพารากัส)

ผลไม้ : ผลไม้แทบทุกชนิดมีวิตามินซี โดยเฉพาะในกลุ่มของส้ม มะละกอ ฝรั่ง แตงโม แตงเทศ

วิตามินอี

วิตามินอี มีอยู่ 2 กลุ่มคือ โทโคฟีรอล (tocopherol) และโทโคไตรอีนอล (tocotrienols) ซึ่งตัวหลังนี้เป็นตัวใหม่ซึ่งเพิ่งมีการค้นพบเมื่อไม่นานนี้และเชื่อกันว่าสามารถช่วยเรื่องการชะลอความแก่ชราได้ด้วย

• ประโยชน์ต่อผิวหนัง : ช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื้น ลดการอักเสบ และช่วยซ่อมแซมผิวหนัง

• ประโยชน์ต่อร่างกายอื่นๆ : วิตามินอี เป็นตัวต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ เพราะมีส่วนช่วยลดไขมัน ป้องกันการเกิดการแข็งตัวของเลือด ป้องกันโรคมะเร็งและหัวใจ

• ความต้องการของร่างกายต่อวัน : ประมาณ 40 IU แต่นักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์มักแนะนำประมาณ 200-400 IU ซึ่งปริมาณขนาดนี้ไม่สามารถรับประทานได้จากอาหารทั่วไปจำเป็นต้องใช้ในรูปอาหารเสริม

• แหล่งอาหาร :

ผัก : ผักใบเขียว บรอคโคลี มันฝรั่ง

ผลไม้ : มะม่วง

อื่นๆ : จมูกข้าวสาลี เมล็ดธัญพืช ถั่วอัลมอนด์ ถั่วเหลีอง น้ำมันพืช ปลาแซลมอนน้ำมันปลา

แร่ธาตุพวกทองแดง สังกะสี และซีลีเนียม

• ประโยชน์ต่อผิวหนัง : แร่ธาตุเหล่านี้จะทำงานกับวิตามินที่ต้านอนุมูลอิสระเพื่อที่จะทำให้ การกำจัดอนุมูลอิสระทำงานดีขึ้น นอกจากนี้ทองแดงยังช่วยในการสร้างคอลลาเจน สังกะสีช่วยในการซ่อมแซมคอลลาเจนที่สึกหรอ ส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลล์ และช่วยรักษาสิวด้วย

• ประโยชน์ต่อร่างกายอื่นๆ : การที่แร่ธาตุเหล่านี้ทำให้วิตามินที่ต้านอนุมูลอิสระทำงานดีขึ้นก็จะช่วยในการ ชะลอความแก่ชราและป้องกันโรคเรื้อรังบางชนิดด้วย นอกจากนี้ยังเป็นส่วนประกอบ ที่สำคัญของเอนไซม์และฮอร์โมนหลายชนิด

• ความต้องการของร่างกายต่อวัน : ทองแดง = 2 มิลลิกรัม , สังกะสี = 15 มิลลิกรัม , ซีลีเนียม = 70 ไมโครกรัม , ถ้าร่างกายได้รับแร่ธาตุเหล่านี้ในปริมาณมากเกินไปอาจเกิดพิษได้

• แหล่งอาหาร :

ผัก : บร็อคโคลี เห็ด

สัตว์ : เนื้อไก่ ปลา ไข่

อื่นๆ : โยเกิร์ต นม จมูกข้าวสาลี เมล็ดธัญพืช เต้าหู้ ถั่ว

Q 10

Q 10 นี้ถือว่าเป็น co-enzyme ที่สำคัญตัวหนึ่งในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระสำหรับขบวนการเสื่อม ของเซลล์ในร่างกายของคนเรา การที่มีระดับ Q10 ต่ำจะพบร่วมกับโรคที่เกี่ยวกับความชรา โดยปกติแล้วร่างกายเราสามารถสร้าง Q10 ได้เอง แต่เมื่ออายุมากขึ้นหรือเวลามีความเครียด ร่างกายก็จะสร้าง Q10 ได้น้อยลง

• ประโยชน์ต่อผิวหนัง : ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระที่เกิดจากรังสี UV

• ประโยชน์ต่อร่างกายอื่นๆ : ช่วยสร้างอนุมูลอิสระที่เกิดภายในร่างกาย และเสริมสร้างขบวนการสร้างพลังงานระดับเซลล์ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันหัวใจและป้องกันการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง

• ความต้องการของร่างกายต่อวัน : โดยทั่วไปนักวิทยาศาสตร์ทางอาหารจะแนะนำให้รับประทาน 30-60 มิลลิกรัมต่อวัน

• แหล่งอาหาร : ถั่วลิสง น้ำมันถั่วเหลือง ปลาแซลมอน ไข่ เนื้อวัว ตับไต หัวใจ จมูกข้าวสาลี

กรดอัลฟาไลโปอิก (Alpha lipoic acid)

สารตัวนี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ร่างกายสามารถสร้างเองได้

• ประโยชน์ต่อผิวหนัง : นอกจากจะช่วยในแง่ของการต้านอนุมูลอิสระแล้ว สารนี้ยังช่วยในการสร้าง และซ่อมแซมคอลลาเจนของผิวหนังด้วย

• ประโยชน์ต่อร่างกายอื่นๆ : ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ ทำให้การทำงานของวิตามินซี และอี มีประสิทธิภาพมากขึ้น ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และอาจมีส่วนเกี่ยวกับเรื่องของระบบประสาท

• ความต้องการของร่างกายต่อวัน : ประมาณ 50-100 มิลลิกรัม ผู้ที่เป็นเบาหวานหรือมีปัญหาเรื่องระบบเส้นประสาท ควรปรึกษาแพทย์ก่อนจะรับประทานสารตัวนี้

จะเห็นได้ว่าวันนี้ผมได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวหนังในรูปแบบรับประทาน คราวนี้ทางแพทย์ผิวหนังก็พยายามนำสารเหล่านี้มาทำในรูปของครีมต่างๆ เพื่อให้ได้ประโยชน์ต่อผิวหนังโดยตรง แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ความคงตัวของสาร ความสามารถของสารในการซึมผ่านผิวหนัง และประสิทธิภาพของสารเหล่านั้น ปัจจุบันเท่าที่ได้ผลดี คือ วิตามินเอ ส่วนสารอื่นๆ อาจใช้ได้ผลไม่มาก แต่ในอนาคตผมว่าเราคงเห็นสารต่างๆ ในรูปแบบของครีมที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยอาศัยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เช่น เรื่องของนาโนเทคโนโลยีต่างๆ กันครับ

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

แคลเชี่ยม!!!

การรับประทานแคลเซียมและวิตามินดีได้รับการแนะนำมาเป็นเวลานานจากทางการแพทย์ นักวิจัยพบว่าขณะที่หญิงในวัยหมดประจำเดือนได้ประโยชน์จากการรับประทานแคลเซียมและวิตามินดีทุกวัน ประโยชน์ที่ได้โดยเฉพาะอุบัติการณ์ การเกิดกระดูกหักไม่ได้มากเท่ากับที่เราคาดหวังเอาไว้

จากการศึกษาไม่ได้แสดงให้เห็นประโยชน์ที่ได้อย่างชัดเจนจากการรับประทานแคลเซียมเป็นอาหารเสริม ทำให้ หนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ถึงกับจั่วหัวเรื่องในฉบับหนึ่งว่า “Big Study Finds No Clear Benefit of Calcium Pills” ถอดความได้ว่า “ การศึกษาโครงการใหญ่ ไม่พบประโยชน์ที่ชัดเจนจากการรับประทานแคลเซียมเสริม ”

อย่างไรก็ตามจากงานวิจัยนี้ยังมีข้อดีของการรับประทานแคลเซียมในบางแง่มุม เช่น ผู้หญิงที่รับประทานแคลเซียมตามที่กำหนดอย่างน้อยที่สุด 80% จะสามารถลดการหักของกระดูกสะโพกลงได้ 29% ในผู้หญิงที่อายุมากกว่า 60 ปี ที่ได้รับแคลเซียม (รวมทั้งคนที่ได้รับแคลเซียมไม่ครบถ้วนตามที่กำหนด) มีการหักของกระดูกสะโพกลดลง 21% และในทั้งกลุ่มที่ทำการศึกษา พบมีความหนาแน่นของกระดูก (bone density) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเพียงเล็กน้อย (1%)

จุดอ่อนของการศึกษานี้ คือ เนื่องจากทำการศึกษายาวนานถึง 7 ปี ทำให้การรับประทานแคลเซียมเป็นไปอย่างไม่สม่ำเสมอในกลุ่มผู้เข้าร่วมวิจัยจำนวนหนึ่ง บางคนก็ลืมเลือนไม่ให้ความสนใจ เมื่อครบ 7 ปีพบว่ามีเพียง 76% เท่านั้นที่ยังรับประทานอยู่บ้าง และพบว่ามีเพียง 59% ที่ยังรับประทานแคลเซียมมากกว่า 80% ของที่กำหนด ผู้หญิงที่แม้ว่าจะไม่ได้รับแคลเซียมตามกำหนดยังคงอยู่ในการ-ประเมินผลโดยภาพรวม ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ได้รับประโยชน์จากการได้รับประทานแคลเซียม ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่ส่งผลทำให้การศึกษาในภาพรวมมีผลดีขึ้นเพียงเล็กน้อยในกลุ่มที่ได้รับยาแคลเซียม ทำให้มีหลายคนให้ความเห็นว่าการให้แคลเซียมในการศึกษานี้ไม่ค่อยได้ผลประโยชน์ชัดเจนเท่าไร น่าจะเป็นเพราะคนที่เข้าร่วมวิจัยไม่ได้ รับประทานแคลเซียมอย่างเพียงพอ

ผู้หญิงทั้ง 2 กลุ่ม (กลุ่มที่ได้รับแคลเซียมและกลุ่มที่ได้รับ ยาหลอก) สามารถได้รับแคลเซียมเสริมของตัวเองได้ ทั้งจากการรับ-ประทานเสริมและจากอาหาร ทำให้กลุ่มที่ได้รับยาหลอก ได้รับปริมาณแคลเซียมสูงถึง 1,150 มิลลิกรัมต่อวัน ในขณะที่แคลเซียมที่ให้ในการทดลองนี้คือ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน และนอกจากนี้บางคนจากทั้ง 2 กลุ่มยังได้รับการจ่ายยารักษากระดูกพรุน ทำให้ชะลอความเสื่อมของกระดูกลงได้ ทั้งหมดนี้น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ลดความแตกต่างของกลุ่มที่ได้รับแคลเซียมกับกลุ่มควบคุมที่ได้รับยาหลอก

ข้อพึงตระหนักสำหรับการรับประทานแคลเซียมเสริม คือ ทำให้เพิ่มโอกาสการเกิดนิ่วในไตสูงขึ้น 17% เหมือนดังคำกล่าวที่ว่า ไม่มีอะไรดีเลิศไม่มีที่ติ ทุกอย่างมีข้อดีและข้อเสียในตัวเอง ขอให้เลือกใช้อย่างเหมาะสมก็จะเกิดประโยชน์ได้ครับ อาจเกิดคำถามว่าแล้วจะต้องปฏิบัติอย่างไรดี ? คำแนะนำก็คือ ยังควรจะรับประทานแคลเซียม-เสริม จาก WHI (Women's Health Initiative) ได้แนะให้รับประทานแคลเซียมอย่างน้อยวันละ 1,000-1,500 มิลลิกรัม ร่วมกับวิตามินดี 400-800 IU (เพื่อช่วยในการดูดซึมแคลเซียม) เป็นการป้องกันกระดูกผุและกระดูกหัก แต่อย่างไรก็ตามต้องรู้ว่าปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ต่อกระดูกพรุนก็ยังมีอยู่ ยกตัวอย่าง เช่น การที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือน เป็นชาวเอเชีย มีโครงร่างกระดูกเล็ก (น้ำหนักน้อยกว่า 127 ปอนด์) มีประวัติโรคกระดูกพรุน (osteoporosis) หรือกระดูกคด (scoliosis) ในครอบครัว หรือมีประวัติเคยกระดูกหักมาก่อน

การเสริมแคลเซียมไม่เพียงพอแต่ต้องมีการเพิ่มการออกกำลังกาย โดยให้กระดูกได้รับน้ำหนักหรือแรงกระแทกจะทำให้การป้องกันกระดูกผุมี ประสิทธิภาพมากขึ้น การออกกำลังกายเพียงการเดินหรือการว่ายน้ำจะไม่ค่อยช่วยเรื่องกระดูกมากนัก แต่ถ้าเดินโดยยกน้ำหนักไปด้วยจะเป็นการช่วยที่ดีกว่า

นอกจากนั้นยังควรรับประทานอาหารที่มีปริมาณแคลเซียมสูง เช่น โยเกิร์ต (ไขมันต่ำ) 1 ถ้วยมีปริมาณแคลเซียม 415 มิลลิกรัม ปลาซาร์ดีน 3 ออนซ์ มี 324 มิลลิกรัม นมพร่องมันเนย 1 ถ้วย มี 302 มิลลิกรัม ผักขม 1 ถ้วยมี 240 กรัม ปลาแซลมอน 3 ออนด์ มี 181 มิลลิกรัม เต้าหู้ 4 ออนซ์ มี 138 มิลลิกรัม ถั่วอัลมอนด์ 1 ออนซ์ มี 71 กรัม ผักบร็อคโคลี 1 ถ้วย มี 42 กรัม เป็นต้น

ควรมีความเข้าใจเกี่ยวกับอาหารที่รับประทานในแต่ละมื้อในภาพรวมด้วย เช่น เมื่อคนเราอายุมากขึ้นก็จะเริ่มมีการสูญเสียและมีความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย รวมทั้งเซลล์ของกระดูกด้วย วิถีการใช้ชีวิตก็ย่อมต้องมีผลสัมพันธ์กันแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการรับประทานอาหาร สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ การออกกำลังกาย ล้วนมีผลต่อการทำลายเซลล์กระดูกให้เร็วขึ้น อาหารประเภทเนื้อสัตว์ เกลือ และไขมัน ทำให้มีการสูญเสียแคลเซียม ไปกับปัสสาวะมากขึ้น ซึ่งมีผลต่อการเกิดนิ่วในไตด้วยเช่นกัน ในขณะที่อาหารที่มีไขมันสูง เช่น เนื้อสัตว์ เนย ชีส ไอศกรีม ทำให้ระดับโคเลสเตรอลในเลือดสูงขึ้น ซึ่งระดับโคเลสเตอรอลที่สูงจะกระตุ้นการสลายตัวของกระดูกได้

หลายคนอาจอยากทราบว่า แล้วกาแฟมีผลต่อภาวะแคลเซียมในร่างกายหรือไม่ ? มีน่ะมีแน่ครับ แต่มากแค่ไหนลองฟังดู กาแฟมีผลต่อการดูดซึมแคลเซียม แต่ในปริมาณที่ไม่มากนัก หากจะคิดออกมาให้เห็นภาพก็คือ กาแฟ 1 ถ้วยจะมีผลต่อการสูญเสียแคลเซียมไปประมาณ 2-3 มิลลิกรัม ซึ่งสามารถจะทดแทนได้ด้วยการดื่มนมเพียง 1 ช้อนโต๊ะเท่านั้น บรรดาคอกาแฟคงจะสบายใจ ขึ้นนะค่ะ

เกร็ดน่ารู้เกี่ยวกับแคลเซียม

• ส่วนใหญ่ของแคลเซียมในร่างกายมนุษย์อยู่ในกระดูกและฟัน (ร้อยละ 99)

• วิตามินดี จะเป็นตัวสำคัญในการรักษาระดับแคลเซียมและฟอสฟอรัสในเลือด เนื่องจากเป็นตัวสำคัญในการช่วยการดูดซึม

• ผู้หญิงจะมีแคลเซียมสูงถึง 90% เมื่ออายุ 18 ปี ในขณะที่ผู้ชายอายุ 20 ปี โดยที่ทั้งสองเพศจะมีระดับแคลเซียมในร่างกายสูงสุดเมื่ออายุ 30 ปี

• หลังจากหมดประจำเดือนแล้ว 5-7 ปี ผู้หญิงจะมีการสูญเสียความหนาแน่นของกระดูกประมาณ 3-5% ต่อปี ซึ่งอาจสูงถึง 20% ของมวลกระดูกทั้งหมด

• ผู้หญิงและผู้ชายที่มีอายุระหว่าง 19-50 ปี ต้องการแคลเซียมวันละ 1,000 มิลลิกรัม เมื่ออายุมากกว่า 50 ปี ต้องการ 1,200 มิลลิกรัม คำแนะนำคือต้อง รับประทานเสริมวันละ 1,300-1,500 มิลลิกรัม

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์อีสเทอร์น)

4 อาหารต้านไมเกรน

คุณเคยมีอาการปวดหัวแบบไมเกรนไหมค่ะ

อาจจะมีอาการปวดตุ๊บๆ แถวขมับ หรืออาจปวดบริเวณเบ้าตาเหมือนหัวใจเต้นตุ๊บๆ และมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย ซึ่งเป็นอาการปวดที่สร้างความรำคาญและทรมานให้กับผู้ป่วย

ไมเกรน มักจะพบมากในช่วงวัยรุ่นอายุ 10-25 ปี แต่ก็พบในเด็กอายุ 7-8 ขวบได้ ยิ่งอายุมากขึ้น อาการก็จะลดน้อยลง

การกินอาหารที่จำเป็นบางอย่างช่วยป้องกันไมเกรนได้ ทั้งวิตามินและเร่ธาตุที่สำคัญได้แก่

กรดไขมันโอเมก้า-3 จากปลาทะเล จำพวกปลาทู แซลมอน ทูน่า และซาร์ดีนช่วยให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ช่วยบำรุงระบบประสาท และป้องกันไมเกรนได้

แมกนีเซียม การวิจัยพบว่ากินแมกนีเซียม 200 มิลลิกรัมเสริมทุกวัน ช่วยลดความถี่ของอาการไมเกรนลง หรืออาจจะกินจากอาหารก็ได้ โดยแมกนีเซียมมีมากในเมล็ดธัญญพืชเต็มรูป เช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต และผักใบเขียว เช่น ปวยเล้ง ผักโขม บรอกโคลี คะน้า

แคลเซียมและวิตามินดี ช่วยป้องกันไมเกรนได้เช่นกัน พบมากในผักใบเขียว และถั่ว ส่วนในนมถึงแม้มีแคลเซียมสูง แต่เป็นตัวนำไมเกรนชั้นยอด จึงควรหลีกเลี่ยง

นอกจากนี้จากงานวิจัยยังพบว่า การกิน ไรโบฟลาวิน หรือ วิตามินบี 2 ทุกวัน จะช่วยลดจำนวนครั้งการเป็นไมเกรนลง 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งพบมากในธัญพืช ข้าวซ้อมมือ และมันฝรั่ง

ส่วนหนุ่มสาวที่ยังถูกไมเกรนรบกวน หากได้นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายอย่างเต็มที่ก็จะช่วยลดโอกาสการเกิดอาการนี้ได้เช่นกันค่ะ

10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี

ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก

1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง

2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี

3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว

4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ

6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%

8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย

9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด

10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้

ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !!

10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี

ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก

1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง

2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี

3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว

4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ

6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%

8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย

9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด

10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้

ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !!

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์อีส เลขที่ 2

กินดี...ต้านโรคได้

การกิน ไม่ใช่กินอย่างไรให้อร่อย แต่เน้นเรื่อง “ กินดี ” เพื่อต้านโรค เพราะเล็งเห็นว่าคนยุคนี้มีโรคภัยมากมายเกาะกุมรุมเร้าอันมีสาเหตุมาจากอาหารการกิน ผู้ใหญ่และวัยรุ่นยุคนี้คุ้นเคยกับอาหารจานด่วนมากกว่าน้ำพริกผักจิ้ม ส่วนเด็กยุคใหม่เรียกได้ว่าโตมาจากนมผงและอาหารจานด่วน แถมดูอ้วนท้วนสมบูรณ์แก้มกลมแสนน่ารัก แต่อนาคตทำนายได้ยากว่าจะรอดพ้นจากภัย โรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดตีบ โรคมะเร็งได้แค่ไหน

แล้วอาหารมีผลอย่างไรที่ทำให้เกิดโรคได้ ?

เมื่ออาหารเข้าสู่ร่างกายของเราแล้วจะถูกย่อยเป็นโครงสร้างเล็กๆ เพื่อเข้าสู่กระบวนการเผาผลาญ หรือเมตาบอลิซึม ที่ทำให้เซลล์เล็กๆ ในร่างกายสามารถนำสารอาหารไปใช้ประโยชน์และเป็นพลังงาน แต่เมื่อร่างกายได้รับสารอาหารในสัดส่วนที่ไม่สมดุลเหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย ทำให้มีแนวโน้มของการได้รับสารอาหารบางประเภทมากเกิน โดยเฉพาะแป้ง น้ำตาล และไขมัน ยกตัวอย่างเช่น แป้ง น้ำตาล ที่มักพบในอาหารจานด่วนและขนมต่างๆ เมื่อได้รับมากเกินไปจะทำให้ร่างกายหลั่งอินซูลินเพิ่มมากขึ้น เพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด และเมื่อมีปริมาณไม่เพียงพอ จะนำไปสู่การเป็นเบาหวานได้ นอกจากนี้แป้งและน้ำตาลที่เหลือใช้จะเปลี่ยนเป็นไขมันและสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกายทำให้เกิดโรคอ้วน ซึ่งเมื่อเกิดการสะสมมากขึ้น ระบบการทำงานของร่างกายจะเริ่มแปรปรวนและทำงานบกพร่องจนนำไปสู่โรคต่างๆ เช่น ไขมันที่ไปเกาะอยู่ตามหลอดเลือดจะทำให้หลอดเลือดสูญเสียความยืดหยุ่น ปิดกั้นการไหลเวียนของเลือด จนอาจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือดไปเลี้ยง การป้องกันย่อมดีกว่าแก้ไข “ การกินดี เพื่อต้านโรค ” จึงต้องเริ่มจากการเลือกอาหารในแต่ละวันให้มีสัดส่วนและปริมาณที่เหมาะสม ลดและเลี่ยงอาหารบางชนิด โดยมีหัวใจหลักดังนี้

เลือกกินอาหารที่หลากหลาย

เนื่องจากอาหารแต่ละชนิดจะมีองค์ประกอบของสารอาหารไม่เหมือนกัน โดยจะมีปริมาณที่แตกต่างออกไปตามหมวดหมู่ของอาหาร เช่น ส้มจะเป็นแหล่งของวิตามินซี แต่มีวิตามินบี 12 อยู่น้อย ในขณะที่ชีสจะมีปริมาณของวิตามินบี 12 อยู่มากกว่า การกินอาหารชนิดเดียวกันทุกๆ วันจะทำให้ร่างกายได้สารอาหารที่ให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายไม่ครบถ้วน โดยเฉพาะผู้ที่กินมังสวิรัติมีแนวโน้มที่จะขาดโปรตีน วิตามินบี แคลเซียม และธาตุเหล็กได้ง่าย จึงอาจจำเป็นต้องรับประทาน วิตามิน หรืออาหารเสริม ในหนึ่งวันจึงควรเลือกอาหารให้ครบ 5 หมู่ ได้แก่ ธัญพืช ผัก ผลไม้ นม เนื้อสัตว์ และถั่วตามปริมาณที่เหมาะสมกับแต่ละคน

คุมปริมาณพลังงานและสัดส่วนสารอาหารในแต่ละวัน

คุณควรเลือกกินอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง แต่ให้พลังงานต่ำ การหมั่นสังเกตฉลากแสดงปริมาณสารอาหารที่เป็นองค์ประกอบ ในอาหารนั้นๆ จะทำให้เข้าใจและสามารถกำหนดสัดส่วนการกินใน แต่ละมื้อได้ดีขึ้น โดยเฉลี่ยพลังงานที่ได้รับในแต่ละวัน 50% ควรมาจาก กลุ่มคาร์โบไฮเดรต ซึ่งควรเน้นอาหารที่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าว และธัญพืชต่างๆ อาหารกลุ่มโปรตีน ได้แก่ เนื้อสัตว์ ไข่ และถั่วต่างๆ ควรได้รับประมาณ 15% ส่วนที่เหลือ 35% มาจากไขมันชนิดดี หรือไขมันที่ไม่อิ่มตัว

กินธัญพืช ผัก และผลไม้ เป็นหลัก

อาหารจำพวกธัญพืช ผัก และผลไม้ นอกจากจะเป็นแหล่งของวิตามิน แร่ธาตุ และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่มีคุณค่าแล้ว ยังเป็นกลุ่มของอาหารที่มีไขมันต่ำมาก ทำให้อิ่มนานเพราะมีใยอาหารปริมาณสูง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก นอกจากนี้ใยอาหารซึ่งมีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ดีจะช่วยในการขับถ่ายและดูดซึมสารพิษในลำไส้ โดยขับออกมาพร้อมกับอุจจาระ จึงช่วยป้องกันการสะสมของสารพิษ และลดอาการท้องผูก ริดสีดวงทวาร และลดอัตราเสี่ยงของมะเร็งที่

ลำไส้ใหญ่ได้

เลือกกินแต่ไขมันชั้นดี

ไขมันไม่ได้มีโทษไปเสียทุกชนิด ร่างกายยังต้องการไขมันเพื่อใช้เป็นพลังงาน สร้างความอบอุ่น ช่วยในการทำงานของสมอง และเป็นองค์ประกอบของฮอร์โมนต่างๆ รวมทั้งช่วยในการดูดซึมวิตามินเอ ดี อี เค ไขมันที่ดีคือไขมันที่ไม่อิ่มตัว มีมากในน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมัน-ข้าวโพด น้ำมันมะกอก น้ำมันดอกคำฝอย และปลาทะเล ฯลฯ ส่วนไขมันชนิดเลวคือไขมันอิ่มตัวจะทำให้ระดับโคเลสเตอรอลในร่างกาย เพิ่มขึ้น อาจสะสมอุดตันในเส้นเลือด น้ำมันชนิดนี้มักพบในกะทิ น้ำมัน-มะพร้าว น้ำมันปาล์ม ไขมันจากสัตว์ และนม แต่ในเมื่อนมเป็นอาหารที่มีประโยชน์สูง คุณอาจเปลี่ยนมาดื่มนมไขมันต่ำแทนก็ได้

ลดน้ำตาลลง

อาหารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตซึ่งได้แก่แป้งและน้ำตาล เมื่อเข้าสู่ร่างกายและผ่านกระบวนการย่อยจะได้กลูโคส ซึ่งก็คือน้ำตาลชนิดหนึ่ง กลูโคสเป็นสารที่ให้พลังงานกับร่างกาย ในขณะเดียวกันหากมีมาก เกินไปจะเปลี่ยนเป็นไขมันสะสม จึงไม่เป็นผลดีต่อผู้ที่ต้องการ ควบคุมน้ำหนักตัว นอกจากนี้การมีน้ำตาลอยู่ในร่างกายปริมาณสูงจะ ทำให้การสร้างอินซูลินที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดเสียสมดุลไป เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคเบาหวานได้ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงขนมหวานหรือเครื่องดื่มที่มีรสหวาน การเลือกกินข้าวกล้องที่เป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนจะทำให้ร่างกายค่อยๆ สลายกลูโคสออกมาอย่างช้าๆ จะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ได้

เลี่ยงรสเค็ม

อาหารส่วนใหญ่มีเกลือโซเดียมเป็นองค์ประกอบในปริมาณสูง มีอยู่ในอาหารทั่วไปเกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นซอสปรุงรส น้ำปลา ขนมกรุบกรอบ อาหารหมักดอง อาหารสำเร็จรูป และอาหารที่มีรสเค็มทุกชนิด จึงเป็นไปได้ว่าเรามักจะได้รับโซเดียมเกินความต้องการของ ร่างกาย แม้ว่าโซเดียมจะมีประโยชน์ช่วยควบคุมปริมาณน้ำและความดัน-เลือดในร่างกาย แต่การได้รับโซเดียมมากเกินไปจะก่อให้เกิดโรคความดัน-โลหิตสูงได้ โดยในผู้ใหญ่แนะนำว่าควรได้รับประมาณวันละไม่เกิน 1,100-3,300 มิลลิกรัม

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์อีส เลขที่ 2

ระวังภัย 7 โรคร้าย ...ด้วยการกินให้ถูกวิธี

ถ้าคุณเป็นคนกินไม่เลือก ตามใจลิ้นอยู่ร่ำไป เมื่อร่างกายที่อยู่ในภาวะโภชนาการไม่ดีไปนานๆ ก็อาจก่อให้เกิดปัญหาโรคเรื้อรังต่างๆ ขึ้นตามมาได้ ซึ่งโรคหลักๆ จากอาหารมีอยู่ไม่มากตามที่เกริ่นไว้แต่ต้น ดังนั้นถ้าสายเสียแล้วที่จะแก้ไข การเลือกวิธีโภชนบำบัด (diet therapy) ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลาย เพื่อให้การรักษาได้ผลอย่างเต็มประสิทธิภาพ ร่วมไปกับการรักษาทางการแพทย์

เป็นเบาหวานต้องคุมน้ำตาล

โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ทำให้เซลล์ต่างๆ ทำงานได้น้อยลง รวมทั้งเกิดความผิดปกติในการเผาผลาญสารอาหารด้วย ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก เบาหวานสามารถควบคุมได้ด้วยการควบคุมอาหาร ซึ่งสำคัญมากกว่าการรักษาด้วยยา ควรงดเว้นอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำตาล ทุกชนิด จำกัดปริมาณผลไม้ และธัญพืชต่างๆ รวมทั้งข้าว เพราะจะมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด รับประทานผักประเภทใบที่มีใยอาหารสูงให้มากขึ้นในปริมาณไม่จำกัด เช่น ผักบุ้ง ผักกาดขาว ส่วนอาหารจำพวกโปรตีนยังสามารถกินได้ปกติ แต่ควรระมัดระวังเรื่องน้ำหนักตัว เพราะจะส่งผลโดยตรงกับอาการของเบาหวาน การคุมอาหารควรทำไปพร้อมไปกับการควบคุมน้ำหนักและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

อาหารกับโรคหลอดเลือดแข็งและโคเลสเตอรอล

ภาวะไขมันในเลือดสูงจะมีผลให้ไขมันไปเกาะตามผนังหลอดเลือดจนขาดความยืดหยุ่นและ อุดตันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ ถ้าเกิดการอุดตันจะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย (myocardial infarction) และเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว ไขมันที่พบว่าเกิดการสะสม คือ โคเลสเตอรอล เพื่อความปลอดภัยองค์การอนามัยโลกได้เสนอให้ควบคุมปริมาณโคเลสเตอรอลในเลือดให้ต่ำกว่า 200 มิลลิกรัมต่อเลือด 100 มิลลิลิตร เมื่อโคเลสเตอรอลได้จากอาหาร การควบคุมโดยลดการกินไขมันอิ่มตัว เช่น ไขมันจากสัตว์ ไข่แดง นม น้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม เพิ่มปริมาณอาหารที่มีใยอาหารให้มากขึ้น เช่น ผัก ผลไม้ ข้าวโอ๊ต เพราะใยอาหารจะจับกับ โคเลสเตอรอลในลำไส้เล็กทำให้ถูกดูดซึมได้น้อย และจะถูกขับออกมาทางอุจจาระ นอกจากนี้ แหล่งไขมันที่ควรได้รับในแต่ละวันควรมาจากไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันรำข้าว อย่างน้อย 10-12% ของพลังงานทั้งหมด

ควบคุมสัดส่วนอาหารต้านโรคอ้วน

น้ำหนักตัวเกินมาตรฐานเกิดจากร่างกายได้รับพลังงานมากเกินความต้องการ จึงเกิดการสะสมในรูปของไขมัน จนอาจทำให้การทำงานของร่างกายผิดปกติและเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ตามมา เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน ข้ออักเสบ และระบบทางเดินหายใจ การรักษาจะต้องเริ่มจากสาเหตุ คือควบคุมปริมาณการกินอาหารให้ได้สัดส่วนที่เหมาะสม และออกกำลังกายให้มากขึ้น ในส่วนของอาหารนั้นจำเป็นต้องกินอาหารให้ครบทุกมื้อ แต่ลดพลังงานลงวันละ 500 แคลอรี จะสามารถ ลดน้ำหนักลงได้สัปดาห์ละ 1/2 กิโลกรัม เช่น เปลี่ยนจากกินข้าวมาเป็นผักที่มีใยอาหารสูงเพื่อให้อิ่มนานขึ้น งดอาหารที่มีไขมันมาก เช่น เนื้อติดมัน อาหารทอด และงดอาหารที่มีน้ำตาลสูง อาหารทุกมื้อควรมีปริมาณโปรตีนที่มีคุณภาพอย่างเพียงพอ เช่น ถั่วชนิดต่างๆ แทนที่จะเป็นเนื้อสัตว์ที่มักจะมีไขมันสูง

โปรตีนต่ำเพื่อพยุงโรคไต

ไต ทำหน้าที่ขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย แต่ส่วนใหญ่จากการเผาผลาญของโปรตีน ดังนั้นอาหารที่ทำให้ไตต้องทำงานหนักมากขึ้นในการขับถ่ายของเสีย คือ โปรตีน โรคเกี่ยวกับไตมีอยู่มากมายหลายชนิด แต่โดยสรุปก็คือทำให้ไตไม่สามารถทำหน้าที่อย่างปกติได้ หลักสำคัญในการรักษาด้วยอาหารคือช่วยให้ไตทำงานน้อยลง เพื่อให้ไตได้มีโอกาสพักหรือฟื้นตัว และลดการคั่งของของเสีย อาหารที่รับประทานควรจะมีปริมาณโปรตีนน้อย แต่เป็นโปรตีนที่มีคุณภาพสูง เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ เพื่อนำไปช่วยเสริมสร้างทดแทนเนื้อเยื่อต่างๆ ที่สูญเสียไป แต่สำหรับผู้ที่เป็นไตวายเรื้อรังจะมีระดับฟอสเฟตในเลือดสูง จำเป็นต้องงดโปรตีนที่มาจากนม ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ และไข่ เพราะเป็นอาหารที่มีปริมาณฟอสเฟตสูง เมื่อจำกัดปริมาณโปรตีนในอาหารแล้ว พลังงานส่วนใหญ่ที่ได้รับจึงมาจากน้ำตาล ไขมัน และแป้งที่มีโปรตีนน้อย เช่น วุ้นเส้น แป้งมัน ข้าวโพด มันสำปะหลัง วุ้น ลูกชิด สาคู เป็นต้น รวมทั้งจำกัดการได้รับโซเดียม โดยหลีกเลี่ยงสารปรุงรสที่มีเกลือโซเดียมเป็นองค์ประกอบทั้งสิ้น

โรคความดันโลหิตสูงต้องระวังเกลือ

ความดันโลหิตสูง เป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากแรงดันภายในหลอดเลือดแดงสูงตลอดเวลา โดยแรงดันค่าสูงสุด (systolic blood pressure) และแรงดันค่าต่ำสุด (diastolic blood pressure) มีค่าสูงกว่า 160/95 โรคความดันโลหิตสูงจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ตามมามากมาย คือหลอดเลือดแดง ไม่แข็งแรง เลือดไปเลี้ยงไม่สะดวก โดยเฉพาะถ้าเกิดขึ้นในบริเวณอวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ สมอง ไต หรือจอตา ก็จะส่งผลให้เกิดอันตรายหรือถึงแก่ชีวิตได้ หลักการรักษาโรคความดันโลหิตสูงคือการควบคุมอาหาร การลดน้ำหนักลงให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน และออกกำลังกายสม่ำเสมอ รวมทั้งหลีกเลี่ยงความเครียด การดื่มเหล้า และสูบบุหรี่ อาหารที่ควรจำกัดคืออาหารที่มีเกลือหรือโซเดียมอยู่มาก เพราะโซเดียมที่อยู่ในเกลือจะทำหน้าที่ในการควบคุมสมดุลแรงดันของผนังเซลล์ และปริมาณน้ำในร่างกาย อาหารที่มีเกลือโซเดียมมาก ได้แก่ น้ำปลา ซอสปรุงรสต่างๆ อาหารทะเล และยาบางชนิด นอกจากนี้ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันมาก เพราะจะทำให้การควบคุมน้ำหนักเป็นไปได้ยาก โดยน้ำหนักที่เกินมาตรฐานจะทำให้หัวใจ ทำงานหนักมากขึ้นด้วย

โรคเกาต์กับกรดยูริค

โรคเกาต์เกิดจากการที่ร่างกายมีระดับกรดยูริค (uric acid) ในเลือดสูง ร่างกายได้รับกรดยูริคจากอาหาร และจากการสังเคราะห์ขึ้นในร่างกายโดยการสลายตัวของเซลล์ต่างๆ โดยจะมีอาการปวดที่เกิดจากการอักเสบของบริเวณที่มีการสะสมของกรดยูริค โดยเฉพาะบริเวณเนื้อเยื่อข้อต่อของกระดูก ทำให้ข้อกระดูกเสื่อม และกระดูกบริเวณนั้นผิดรูปได้ อาหารที่เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นโรคเกาต์จะต้องมีสัดส่วนของสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่ โดยหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นแหล่งของกรดยูริค เช่น เครื่องในสัตว์ ถั่วต่างๆ ไข่ปลา ชะอม กะปิ ปลาซาร์ดีนกระป๋อง สัตว์ปีก กุ้งชีแฮ้ หอย น้ำต้มกระดูก ซุปก้อน ปลาขนาดเล็ก เห็ด กระถิน ยีสต์ ปลาอินทรีย์ เป็นต้น ผู้ที่เป็นโรคเกาต์ควรกินอาหารที่มีไขมันน้อยลงเพื่อให้น้ำหนักลดลง ถ้ากินไขมันมากเกินไปจะทำให้ขับถ่ายกรดยูริคได้ไม่ดี แต่อย่างไรก็ดีไม่ควรได้รับอาหารที่มีพลังงานต่ำจนเกินไป เพราะร่างกายจะมีการสลายไขมันจากเนื้อเยื่อ ออกมาใช้ ทำให้มีปริมาณกรดยูริคสะสมเพิ่มขึ้นและขับถ่ายออกจากร่างกายลดลง น้ำตาลและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ควรงดเพราะมีผลต่อการขับถ่ายกรดยูริคด้วยเช่นกัน

ระวังอาหารห่างไกลโรคมะเร็ง

มะเร็ง (cancer) เป็นเนื้อเยื่อที่เจริญเติบโตผิดปกติ โดยจะขยายเซลล์ไปทำลายเนื้อเยื่อที่อยู่ใกล้เคียง รวมทั้งกระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ด้วย พบว่าอัตราการเสียชีวิตของประชากรโลกจากมะเร็งเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากปัจจัยภายนอกที่เป็นตัวกระตุ้น ได้แก่ มลพิษจากสภาพแวดล้อมและอาหาร ข้อมูลต่างๆ จากการศึกษาพบว่าพฤติกรรมการกินอาหารมีผลกับการเกิดโรคมะเร็งมาก เพื่อป้องกันการเกิดโรคมะเร็งจึงควรปฏิบัติดังนี้

• จำกัดอาหารที่มีปริมาณโคเลสเตอรอลสูง เนื่องจากพบว่ามะเร็งในลำไส้ใหญ่มักเกิดในกลุ่มผู้ที่กินอาหารที่มีไขมันและโคเลสเตอรอลสูงเป็นเวลานานๆ

• หลีกเลี่ยงอาหารหมักดองหรือรมควันที่จะก่อให้เกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร

• กินผักและผลไม้ให้มากขึ้น โดยเฉพาะผักที่มีสารซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งมะเร็ง ได้แก่ อินดอล (indole) อะโรมาติกไอโซไทโอไซยาเนต (aromatic isothiocyanate) ในดอกกะหล่ำม่วง บร็อคโคลี รวมทั้งผักและผลไม้ที่เป็นแหล่งของวิตามินซีและอี เช่น มะเขือเทศ ส้ม มะนาว จมูกข้าวสาลี ดอกคำฝอย ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidants) ที่จะช่วยลดการทำลายของเนื้อเยื่อที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง

สำหรับแนวทางการจัดอาหารสำหรับผู้ที่เป็นมะเร็ง คือ ให้มีสารอาหารครบสัดส่วนตามที่ร่างกายต้องการ โดยอาจจำเป็นต้องแบ่งอาหารออกเป็นหลายมื้อ ดัดแปลงอาหารให้น่ากิน รสชาติดี เนื่องจากความบกพร่องของระบบย่อยอาหารและปัญหาด้านจิตใจ ที่สำคัญควรเป็นอาหารที่ปรุงสุก

จะเห็นได้ว่าอาหารที่ดีนอกจากปรุงแต่งรสชาติได้อร่อยถูกใจแล้ว การเลือกสรรสารอาหารให้ได้สัดส่วนและเหมาะสมกับแต่ละคนยังเป็นการป้องกันโรคได้ หรืออย่างน้อยการระวังในการกินสักหน่อยก็ทำให้คนเราอยู่กับโรคต่างๆ ได้อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ลำบากมากนัก ดังนั้นจึงควรให้ความสำคัญกับอาหารที่คุณกินในแต่ละมื้อเพื่อการมีสุขภาพที่ดี เพราะ You Are What You Eat... ก็ยังคงเป็นจริงเสมอ

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

น้ิาพริก Hi-Calcium

น้ำพริก เป็นอาหารไทยดั้งเดิมที่คนไทยทุกภาค ทุกครัวเรือนรู้จักและนิยมรับประทาน ในประเทศไทยมีเมนูน้ำพริกมากกว่า

100 ชนิด โดยแต่ละชนิดก็แตกต่างกันตามภูมิปัญญา วัฒนธรรมการรับประทานและวัตถุดิบท้องถิ่นที่เลือกใช้ ซึ่งในบรรดาเมนูน้ำพริก น้ำพริกกะปิจัดว่าเป็นน้ำพริกหนึ่งเมนู ที่ได้รับความนิยมอันดับต้นๆ เพราะทำง่าย รสชาติอร่อยและประหยัด และที่สำคัญส่วนประกอบในน้ำพริกกะปิ 1 ถ้วย อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร ที่มีสรรพคุณป้องกันโรคได้อย่างที่คาดไม่ถึง

กะปิ เป็นส่วนผสมที่ขาดเสียไม่ได้ ทำมาจากกุ้งเคยที่ผ่านการตากแห้งและหมักอย่างดี ก่อนปรุงก็ผ่านความร้อนอ่อนๆ บนเตาย่าง

คุณค่าอาหารจึงไม่เสียไปมาก โดยกะปิ 100 กรัม ให้แคลเซียมสูงถึง 1,554 มิลลิกรัม เพียงพอต่อความต้องการแคลเซียมในแต่ละวัน ซึ่งจะช่วยเสริมกระดูกและฟันให้แข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกพรุน จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่คนรุ่นก่อน แม้จะไม่มีโอกาสดื่มนมมากเหมือนเด็กสมัยนี้ แต่ก็ยังมีสุขภาพกระดูกและฟันที่แข็งแรง

กระเทียม มีวิตามินบี 1 และ2 วิตามินซี และสารอาหารอัลลิอิน (allin) ที่ช่วยไม่ให้โลหิตจับตัวเป็นลิ่ม และอัลลิซิน (allcin) มีสรรพคุณต้านมะเร็ง การปรุงกระเทียมด้วยการบด หรือสับโดยไม่ผ่านผ่านร้อน จะทำให้สารอัลลิซินทำงานได้ดีมากขึ้น ดังนั้นการตำกระเทียมในน้ำพริกกะปิ จึงรักษาคุณค่าทางอาหารได้อย่างเต็มที่ ในแต่ละวัน เราควรกินกระเทียม 3-5 กลีบต่อวัน หรือ 2 ช้อนชา

พริกขี้หนู อาหารที่ปรุงด้วยพริก เมื่อรับประทานจะทำให้น้ำลายออกมามาก ทำให้เอนไซม์ในน้ำลายย่อยแป้งได้มากขึ้น จึงทำให้รู้สึกรสชาติอาหารดีขึ้น ไม่เลี่ยนและทำให้เจริญอาหาร พริกมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น แคโรทีน (carotene) แคปไซซิน (capsaicin) อันเป็นต้นกำเนิดรสชาติเผ็ดร้อน ช่วยบรรเทาอาการคัดจมูก นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาท้องอืด และทำให้เลือดไหลเวียนสะดวก แต่สำหรับคนมีปัญหาเรื่องกระเพราะอาหารไม่ควรรับประทานพริกมากเกินไป เพราะจะทำให้เกิดอาการระคายเคืองมากยิ่งขึ้น

มะเขือพวง อุดมไปด้วยแคลเซียมและวิตามินเอ

มะนาว อุดมไปด้วยวิตามินซี กรดซิตริค กรดมาลิค แคลเซียมและฟอสฟอรัส ช่วยให้ชุ่มคอ บรรเทาอาการไอ ขับเสมหะ

น้ำต้มสุกหรือน้ำซุป จะใส่เมื่อตำน้ำพริกเริ่มเหนียว ถ้าใช้น้ำซุปที่ทำต้มจากการเคี่ยวกระดูกหมูหรือกระดูกไก่ ก็ยิ่งเติมแคลเซียมให้น้ำพริกกะปิมากขึ้น

นอกจากนี้น้ำพริกกะปิ ยังเป็นน้ำพริกสูตรพื้นฐานในการประยุกต์สู่การทำน้ำพริกเมนูอื่นๆ อีก ยกตัวอย่างเช่น น้ำพริกกุ้งเสียบ

ใช้กุ้งแห้งเป็นส่วนผสมหลัก ซึ่งกุ้งแห้ง 100 กรัม ให้แคลเซียมถึง 2,305 มิลลิกรัม หรือถ้าใครกำลังควบคุมปริมาณโคเลสตอรอล ไม่อยากรับประทานกุ้งแห้ง ก็ปรับเปลี่ยนใส่มะม่วงเปรี้ยว กลายเป็นน้ำพริกมะม่วง ที่เพิ่มวิตามินซีและกากใยอาหารให้น้ำพริกถ้วยนี้อีกโข และที่ลืมไม่ได้คือ เครื่องเคียงและผักจิ้ม ที่จัดวางรับประทานคู่กับน้ำพริก ช่วยเพิ่มคุณค่าทางอาหารให้ครบถ้วน ยกตัวอย่างเช่น

ปลาทู อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 และ 3 แคลเซียม ไอโอดีน ซีลีเนียม โอเมก้า 3 และ 6 ดีเอชเอ ซึ่งช่วยบำรุง

จอประสาทตา ใยประสาทในสมอง บำรุงกระดูกและข้อ ควบคุมโคเลสตอรอล เพิ่มระดับไขมันดีให้แก่ร่างกาย ผู้ที่กำลังหลีกเลี่ยงไขมัน อาจนำปลาทูไปทอดในน้ำมันมะกอกพอให้ผิวเหลืองกรอบและนำไปย่างอีกที

ไข่ทอดชะอม มีคุณค่าทางพลังงานสูง อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามินเอ บี 1 และ12 วิตามินดี วิตามินอี ไขมันและกากใยอาหาร ดังนั้นคนที่ควบคุมปริมาณโคเลสตอรอล โรคอ้วน ไม่ควรรับประทานมาก โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคเกาต์ เพราะชะอมมีพิวริน (purine) ค่อนข้างสูง อาจทำให้อาการกำเริบได้

ดอกขจร มีโปรตีน แคลเซียม เหล็ก วิตามินเอและซี

แครอท มีเบต้าแคโรทีนสูง 6,944 ไมโครกรัม ต่อ 100 กรัม แครอทลวกหรือต้ม 1 ถ้วย มีแคโรทีนอยด์ 18 มิลลิกรัม หรือร้อยละ 30 ของปริมาณที่ควรทานในแต่ละวัน มีวิตามินเอสูง และช่วยเพิ่มกากใยอาหาร เหมาะสำหรับคนลดน้ำหนัก

ผักบุ้ง อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก แคลเซียม แคโรทีนอยด์ เบต้าแคโรทีน และวิตามินเอ บำรุงสายตาให้สวย สดใส

ฟักทอง มีโปรตีน ไขมัน วิตามินเอ วิตามินซี เบต้าแคโรทีน แคลเซียม เหล็กและฟอสฟอรัสสูงรับประทานแล้วช่วยบำรุงสายตา ป้องกันและลดการเกิดนิ่วในกระเพาะปัสสาวะได้

แตงกวา เป็นผักที่สะสมน้ำไว้มาก จึงเหมาะสำหรับคนควบคุมน้ำหนัก ช่วยขับปัสสาวะ มีเอนไซม์ช่วยย่อยโปรตีน ช่วยลดความเผ็ดร้อนได้ดี เหมาะกับการจิ้มทานกับน้ำพริก

ผักกาดขาว มีแคลเซียมสูง 121 มิลลิกรัม ต่อ 100 กรัม มีวิตามินและโฟเลต ดีต่อการสร้างกระดูกและฟัน

ถั่วฝักยาว มีโปรตีนและใยอาหารสูง แต่ไม่ควรรับประทานมาก เพราะอาจทำให้ท้องอืด

น้ำพริกกะปิ จึงเป็นเมนูสุขภาพ ที่คุณค่าสารอาหารครบถ้วน ทั้งโปรตีน แคลเซียมและใยอาหารสูง ช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ ลดความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคหัวใจและโคเลสตอรอลสูง เป็นต้น ทั้งนี้ น้ำพริกกะปิอาจไม่เหมาะสำหรับคนเป็นความดันโลหิตสูง ซึ่งต้องงดรับประทานเค็ม ขอแนะนำให้รับประทานน้ำพริกอื่นๆ เช่น น้ำพริกกุ้งสด น้ำพริกมะขาม เป็นต้น ซึ่งมีส่วนผสมของเกลือน้อยกว่า พูดสั้นๆ ว่ารับประทานน้ำพริกแต่น้อย แต่เน้นผักเคียง เพื่อสุขภาพรวมที่ดี

วราภรณ์ ฟาร์อีสเทิร์น

เมื่อหยุดสูบบุหรี่ ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งปอดและโรคหัวใจจะลดลงอย่างหน้าทึ่ง จากหลักฐานชี้ว่า หลังจากงดสูบบุหรี่เป็นเวลานานกว่าสิบปีแล้ว เนื้อเยื่อของปอดและหัวใจของผู้ที่เคยสูบบุหรี่จะฟื้นฟูกลับสู่สภาพเดิมได้ ลดความเสี่ยงจากการตายด้วยโรคหัวใจและโรคมะเร็งปอดได้มาก

ผักกาดหอม เป็นผักสุขภาพแนวหน้า เพราะมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก และวิตามินซีสูง ยังให้ฮีโมโกลบิน จึงมีประโยชน์สำหรับผู้ที่มีปัญหาโลหิตจาง โดยเฉพาะในสตรีมีครรภ์จะช่วยป้องกันโรคโลหิตจางได้อย่างดี ผักกาดหอมมีแคลอรี่ต่ำมาก ขณะเดียวกันก็มีเลซิทินสูงซึ่งช่วยบรรเทาอาการท้องผูกได้ด้วย

ผักกวางตุ้ง อุดมด้วยเบต้าแคโรทีนสูง มีวิตามินซี ใช้บำรุงดวงตา เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน แก้ปวดข้อ และช่วยลดอาการอักเสบ อาการบวมต่าง ๆ ได้

กลืนน้ำลายบ่อย ๆ มีพลังอย่างหน้าอัศจรรย์ในการสร้างความเป็นหนุ่มเป็นสาว น้ำลายบำรุงสมอง ช่วยย่อยอาหาร ขจัดพิษจากร่างกาย เพิ่มความยืดหยุ่น ช่วยให้ผิวหนังและผิวหน้าเนียนเรียบเป็นเงางาม เพิ่มพลังทางเพศ และสร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยเสริมทุกระบบที่มีหน้าที่ต่อต้านความแก่

คนึงนิจ (ฟาร์อีสเทอร์น)

กะหล่ำดอก มีสรรพคุณยับยั้งการก่อตัวของเซลล์มะเร็งในปอดและลำไส้ใหญ่ นอกจากนั้นยังอุดมไปด้วยวิตามินซี โฟเลท แคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม และธาตุทองแดง มีไขมันและแคลอรีต่ำ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการนำไปประกอบอาหารเพื่อสุขภาพ

กะหล่ำปลี มีวิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 กะหล่ำปลีคั้นสดช่วยรักษาโรคกระเพาะ เพราะมีสารกลูตามีนช่วยเคลือบกระเพาะ กระตุ้นการทำงานของลำไส้ให้ขับถ่ายได้ดี ต้านสารก่อมะเร็งและช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ระงับประสาท ทำให้นอนหลับ

มะนาวอุดมไปด้วยวิตามินซี ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ตลอดจนมีไบโอฟลาโวนอยด์สูง สารอาหารนี้มีคุณสมบัติเป็นสารต้านออกซิเดชั่น ช่วยป้องกันร่างกายมิให้ได้รับอันตรายจากอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุของโรคหัวใจและมะเร็งได้ และยังช่วยป้องกันการเป็นหวัด ขับเสมหะ แก้ไอและเจ็บ

หน่อไม้ฝรั่ง มีฤทธิ์กระตุ้นปัสสาวะ รักษาอาการธาตุพิการอาหารไม่ย่อย โรครูมาติก และลดกรดในลำไส้ แต่คนเป็นโรคเกาต์ไม่ควรกิน เพราะหน่อไม้ฝรั่งไปเพิ่มกรดยูริกในกระแสเลือด หน่อไม้ฝรั่งมีฟอสฟอรัสและวิตามินเอสูง ยังมีวิตามินซี แคลเซียม ธาตุเหล็ก และวิตามินบีคอมเพล็กซ์

กินโหระพาทำให้ห่างไกลจากโรคหัวใจขาดเลือดและมะเร็งที่มากับไขมันอิ่มตัว เพราะโหระพามีเบต้าแคโรทีนสูงถึง452.16 ไมโครกรัม มีน้ำมันหอมระเหยที่ช่วยแก้จุกเสียดแน่นท้อง เจริญอาหาร ช่วยให้กินผักอื่นได้มากขึ้น และข้อสำคัญยังช่วยย่อยอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ที่ทำให้ท้องอืดได้ดีอีก

คนึงนิจ (ฟาร์อีสเทอร์น)

ขึ้นฉ่าย มีโปแตสเซียมสูงมาก ทำให้หลอดเลือดขยายตัว ช่วยลดความดันโลหิตสูง ช่วยขับปัสสาวะ รักษาโรคปวดข้อ เช่น รูมาติกและโรคเกาต์ มีโซเดียมอินทรีย์ช่วยปรับกรดและด่างในเลือดให้สมดุล เกิดผลดีต่อระบบประสาท น้ำขึ้นฉ่ายคั้นมีสรรพคุณเป็นยากล่อมประสาท ทำให้รู้สึกสบาย นอนหลับ

องุ่นใช้รักษาโรคหวัด ไข้หวัดใหญ่ ท้องผูก ข้อต่ออักเสบ กระเพาะอาหารอักเสบ ระบบย่อยอาหารผิดปกติ นอนไม่หลับ โลหิตจาง หมดแรง โรคตับ การดื่มไวน์แดงซึ่งอุดมไปด้วยสารโพลิฟีนอล วันละ 1 แก้ว ช่วยบำรุงหัวใจ ลดการสะสมของคอเลสเตอรอลและยับยั้งการจับตัวเป็นลิ่ม

กินเห็ดเป็นประจำ ช่วยลดความดันโลหิตสูงและระดับคอเลสเตอรอล ในขณะเดียวกันก็ช่วยป้องกันเลือดเกาะตัวเป็นก้อน และปัญหาทางด้านหัวใจ เสริมสร้างระบบย่อยอาหาร เพิ่มความแข็งแรงให้กับระบบภูมิคุ้มกัน บำบัดโรคผิวหนัง ป้องกันและทำลายเซลมะเร็งหลายช

หอมใหญ่ช่วยลดความดันโลหิตสูงและระดับคอเลสเตอรอล บรรเทาอาการหวัดและไข้หวัดใหญ่ ทำลายแบคทีเรียในร่างกาย ช่วยเจริญอาหาร ลดภาวะอาหารไม่ย่อย อีกทั้งยังสามารถใช้เป็นยาทาภายนอก บรรเทาอาการปวดแสบ ระคายเคือง ยุงกัด และแผลไฟไหม้

กิตติยา จำปาคำ ม.ฟาร์อีส เลขที่ 5

อาหาร DASH อาหารสำหรับโรคความดันโลหิตสูง

เป็นที่ทราบกันดีว่าระดับความดันโลหิตที่สูงกว่า 120/80 มมปรอทจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้มาก ยิ่งความดันโลหิตยิ่งสูงยิ่งเกิดโรคแทรกได้มาก ก่อนหน้านี้ก็มีความสนใจในเรื่องของสารอาหารต่อระดับความดันโลหิต แต่จะสนใจสารอาหารเป็นชนิดๆ เช่น แคลเซี่ยม โปแทสเซียม เป็นต้นการทดลองจะทำโดยการให้วิตามินเสริม สมาคมโรคหัวใจ และหลอดเลือดของประเทศอเมริกาได้มีการทดลองที่เรียกว่า DASH พบว่าหากรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว{saturated fat} ต่ำ อาหารไขมันต่ำ และมีผักผลไม้มาก โดยเน้นอาหารพวกธัญพืช ปลา นมไขมันต่ำ ถั่ว โดยหลีกเลี่ยงเนื้อแดง น้ำตาล เครื่องดื่มที่มีรสหวานจะทำให้ระดับความดันโลหิตลดลง

10 health tips

1. สำรองผลไม้ในตู้เย็นผักผลไม้ที่ควรสำรองในตู้เย็นอย่าให้ขาด ได้แก่ กะหล่ำปลี แครอท ส้มแอปเปิ้ล ซึ่งนอกจาก จะมีประโยชน์มากสำหรับสาว ๆ ที่กำลังไดเอตแล้วการรับประทานผักผลไม้เป็นประจำยังช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วยนะ

2. เหงือกดีด้วยน้ำชายามเช้าองค์การอาหารและยาของสหรัฐและสวีเดน บอกว่า การบ้วนปากในช่วงเช้าด้วยน้ำชา จะช่วยลด แบคทีเรียในช่องปากได้เนื่องจากสารโพลีฟีนอลจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ที่เป็นต้นเหตุ ของ ฟันผุส่วนการดื่มชาหลังมื้ออาหาร ก็ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเหงือกได้

3. ดื่มน้ำมากขึ้นดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 5 แก้ว จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้ เกือบ 50 %เชียวล่ะ

4. เปลือยเท้าคลายเครียดการย่ำเท้าเปล่า ไปบนทรายนุ่ม ๆ จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายเนื่องจากการเดินเท้าเปล่า จะช่วย กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด

5. รับแสงแดดอ่อน ๆมีข้อมูลจากการวิจัยระบุว่าผู้หญิงที่ไม่ค่อยโดนแดดเอาเสียเลยมีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งเต้านมมากกว่าผู้หญิงที่อยู่ในเมืองที่มีแดดเนื่องจากแสงแดดช่วยสังเคราะห์วิตามินดีในร่างกายแต่การโดนแดดจัดในช่วงบ่าย ๆ ก็เป็นอันตรายเช่นกัน ควรรับแดดอ่อน ๆในช่วงเย็นจะดีกว่า

6. หันมารับประทานขนมปังโฮลวีทกันเถอะสำหรับมื้อว่างยามบ่าย แทนที่จะไปคว้าคุ๊กกี้หรือเค็กช็อกโกแลตซึ่งเพียบด้วยแคลอรี่ เปลี่ยนมาทาน ขนมปังโฮลวีทสัก 2 แผ่นรับรองว่า จะช่วยให้คุณรู้สึกมีกำลังวังชาแล้วยังไม่อ้วนอีกด้วยล่ะ

7.สลัดปลาทูน่าเพิ่มความจำใครที่รู้ตัวว่า เริ่มจะหลง ๆ ลืม ๆ ลองหันมาทานสลัดปลาทูน่าหรืออาหารเมนูปลา รวมทั้ง เพิ่มอาหารที่มีวิตามินบี2 เช่น ไข่ นมถั่วเหลือง นอกจากจะช่วยให้อารมณ์ดีแล้ว ยังช่วยเพิ่มพลังความจำให้กับสมองได้

8. เดินไวไว ช่วยทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงคนที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกาย แต่ยังห่วงใยสุขภาพของตัวเองอยู่ลองใช้วิธีเดินให้ไวขี้นอีกนิด อาจใช้เวลาเดินในช่วงเช้า หรือหลังเลิกงาน เดินไปที่ป้ายรถเมล์สักสามสี่ป้ายหรือเดินขึ้นลงบันไดให้ได้ วันละ 20 นาทีจะช่วยบริหารหลอดเลือดหัวใจให้แข็งแรงและยังทำให้หุ่นสลิมสมส่วนเป็นของแถม

9. เติมไขมันดี ๆ ให้ร่างกายไขมันนั้น ไม่ได้เป็นผู้ร้ายซะทีเดียว เพระไขมันมีอยู่หลายชนิดไขมันที่เป็นมหามิตรกับร่างกายน่ะ หากร่างกายขาดแคลนอาจมีผลต่อการดูดซึมวิตามินเอ ดี อี เค และทำให้รู้สึกอ่อนเพลียได้เลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันชนิดไม่อิ่มตัว จากน้ำมันมะกอก น้ำมันถั่ว และไขมัน โอเมก้า 3 จากปลา ซึ่งเป็นไขมันดี ๆ ที่ไม่เพียงให้ พลังงานทำให้มีเรี่ยวแรงแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคมะเร็งและหัวใจอีกด้วย

10. Just Do Nothingลองหยุดภารกิจวุ่น ๆ สักสัปดาห์ละวัน หรือวันละ 1 ชั่วโมงให้ปลอดจากเรื่องงาน และคนรอบข้าง ใช้เวลาอยู่คนเดียวตามลำพังจะช่วยทำให้คุณรู้สึกสงบ เป็นเวลาที่จะได้เรียนรู้วิธีหยุดพักใจอาจจะฟังเพลง เงียบ ๆ คนเดียว หรืออาบน้ำอุ่น ๆแล้วอ่านหนังสือเล่มโปรด ค่อย ๆ จิบน้ำชา ชมดอกไม้เป็นการเติมความรื่นรมย์ด้านจิตใจ ทำให้คุณสดชื่นและมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ และยังห่างไกล จากโรคความรีบร้อนอันหมายถึง โรคที่ทำให้คุณตื่นตัว และเร่งรีบจนแทบไม่มีเวลาสำหรับตัวเอง

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

บันได 5 ขั้น สู่ชีวิตใหม่ ที่มีค่าและเป็นสุข

บันไดขั้นที่ 1 มองตัวเองว่าดีและมีค่าทุกวัน

ในแต่ละวันให้นึกถึงความดี และความโชคดีของตนเอง เริ่มต้นด้วยการตื่นนอนตอนเช้า ให้ยิ้มกับตัวเอง และนึกว่าโชคดีที่ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว ให้นึกถึงความดีของตนเอง ที่เคยทำมาแล้วในอดีต (ที่สามารถนึกได้ง่ายๆ) เช่น เคยทำบุญ เคยช่วยคนที่อ่อนแอกว่า เคยสงเคราะห์สัตว์ ฯลฯ คิดว่าตัวเองดี และมีคุณค่าที่ได้เคยทำสิ่งดีๆ และให้นึกซ้ำๆ จะได้เกิดความเชื่อตามที่นึกนั้น คุณก็จะเกิดความอิ่มเอิบใจ และเชื่อว่าตัวเองมีความดี ความเก่ง ตามความเป็นจริงในขณะนั้นด้วย คุณจะเกิดความอยากมีชีวิตอยู่ และสร้างสิ่งที่ดีๆ ให้กับชีวิตต่อไป และต้องอวยพรตัวเองเสมอๆ อย่าแช่ง หรือตำหนิตัวเอง และอย่ารอให้คนอื่นมาชื่นชมคุณ ซึ่งมักจะไม่ได้ดั่งใจ หรือได้มาก็ไม่สมใจ

บันไดขั้นที่ 2 มองคนอื่นดี มองโลกในแง่ดี

ขั้นนี้คุณจะต้องมองว่า ทุกๆ คน มีขีดจำกัดของความสามารถ ความดี ความเก่งกันทุกคน ตามความเป็นจริงของเขา ซึ่งไม่เท่ากัน และไม่เหมือนกันเลย ส่วนความไม่ดี หรือไม่เก่งของเขา (ซึ่งมีกันทุกคน) ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขาไป ให้มองเฉพาะส่วนที่ดีของเขาเท่านั้น ถ้าคุณทำได้เช่นนี้ คุณก็จะเป็นคนที่มองอนาคน และชีวิตดี มีความหวังที่ดีในชีวิตตลอดเวลา สองสิ่งนี้ ถ้าคุณทำเป็นนิสัย คุณจะพบว่า โลกนี้มีสิ่งที่ดีๆ และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่างๆ และท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นสุขนิยมทั้งชีวิต

บันไดขั้นที่ 3 ทำวันนี้ให้ดีที่สุด

คือการอยู่กับปัจจุบัน ทำกิจกรรมในวันนี้และเวลานี้ให้ดีที่สุด ทำได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ไม่ทุกข์ร้อน หรือคาดหวังกับผลลัพธ์ของมัน ไม่ว่าจะสมใจ หรือไม่สมใจก็ตาม จงชื่นชมในความตั้งใจ ทำเต็มความสามารถของตนเอง และคิดต่อว่า ในอนาคตจะต้องทำให้ดีกว่านี้ นอกจากนั้น คุณต้องเลิกจดจำ หรือนึกถึงเรื่องที่ไม่ดีที่เกิดกับคุณในอดีต เพราะการจดจำเรื่องราวที่ไม่ดีในอดีต เท่ากับคุณไปสะกิดแผลในใจ และจะทำให้คุณเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น จนส่งผลให้ปัจจุบันคุณไม่มีความสุข และกลัวว่าอนาคตจะเกิดสิ่งที่ไม่ดีซ้ำๆ อีก

บันไดขั้นที่ 4 มีความหวังและเชื่อว่าอนาคตจะดีเสมอ

ความหวัง ความเชื่อ เกิดจากความคิดถึงบ่อยๆ หรือได้ยินบ่อยๆ จงนึกและบอกกับตัวเองเสมอว่า อนาคตจะดีขึ้นอีกเรื่อยๆ จะส่งผลให้เกิดกำลังใจมากขึ้น อยากพบเห็นสิ่งต่างๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตโดยไม่กลัว มีอารมณ์ขัน และไม่จริงจังกับชีวิตมากนัก แต่จะมีความหวังที่ดีๆ (Good Hope) อยู่เสมอ แต่อย่ามีความคาดหวัง (Expectation) กับชีวิต เพราะถ้าคาดหวังกับชีวิต เรามักจะกลัว หรือกังวลว่าจะไม่ได้ผลลัพธ์ดังความคาดหวัง หรือเมื่อได้มาแล้วก็มักไม่พอใจ จึงอาจทำให้เกิดทุกข์ได้

บันได้ขั้นที่ 5 ปรับปรุงตัวเองเสมอ

โดยปรับปรุง 4 ส่วนที่มีความสำคัญต่อชีวิต คือ

1. การงาน ให้มีความขยัน อดทน หมั่นหาความรู้ใส่ตัว และกล้าลงมือปฏิบัติในสิ่งที่ควรทำ จะทำให้มีการลงมือทำสิ่งใหม่ๆ ในชีวิตได้เรื่อยๆ และปรากฏเป็นผลงานที่ชัดเจน

2. ครอบครัว จะต้องยึดหลักที่เป็นมงคลต่อกันคือ ไม่อิจฉา ไม่ระแวง ไม่แข่งขัน ไม่นอกใจ รู้จักการให้และการอภัย มีน้ำใจ และรู้จักเกรงใจกัน

3. สังคม หมั่นสร้างมิตรเสมอ มีการให้ความสำคัญกัน ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และพูดจากันแบบปิยะวาจา

4. ตนเอง ต้องมีการพัฒนาตนเองเสมอ มีความภูมิใจตนเองตามความเป็นจริง สามารถให้กำลังใจตัวเองได้ และมีกำลังใจที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดีขึ้น

เรื่อง 30 วิธี เผาผลาญแคลอรี่ใน 30 วัน สำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลา ออกกำลังกาย

การเผาผลาญแคลอรีสำหรับบางคนแล้วอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่สำหรับคนทั่วไป โดยเฉพาะคนที่ระบบเผาผลาญอาหารต่ำ และไม่มีเวลาออกกำลังกาย ต่อไปนี้คือ 30 วิธีที่จะทำให้คุณเผาผลาญแคลอรีได้ง่ายๆ (ไม่มากก็น้อย) ภายใน 30 วัน

1. ตื่นขึ้นมายืดเส้นยืดสาย โน้มตัวลงใช้มือแตะสลับเท้า รวมทั้งจัดเตียงและพับผ้าปูที่นอนให้เข้าที่เข้าทางและดูเรียบร้อยทุกวัน แค่ 20 นาที ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่สวย

2. ยืดเวลา "ยืน" แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันให้นานขึ้น

3. จัดห้องด้วยตัวเอง ถึงเวลาเสียทีสำหรับการตกแต่งห้องใหม่ เริ่มด้วยการย้ายรูปภาพ เลื่อนตำแหน่งโต๊ะ เก้าอี้ โซฟา โคมไฟ และอะไรก็ตามที่จะทำให้คุณเสียเหงื่อมากกว่าการนอนนิ่งอยู่บนโซฟา

4. ดูดฝุ่นด้วยตัวเอง เปลืองเวลาแค่ 20 นาทีครับ ทำตอนดึกๆ หรือหลังกลับจากที่ทำงานก็ได้

5. ตัดใจและจัดการทิ้งข้าวของที่ไม่ใช้ เช่น กระดาษ และแมกกาซีนกองโตที่ตั้งเรียงสูงเกือบถึงเพดาน

6. รักษาโลกสีเขียวของทุกคนด้วยการแยกขยะออกเป็นประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกระป๋อง แก้ว ขยะมีพิษ และขวดพลาสติก

7. เมิน "Car Care" หรือร้านล้างรถชั่วคราว แล้วหันมาล้างรถด้วยตัวเองที่บ้านของคุณ

8. ตกแต่งกิ่งก้าน ดึงวัชพืช รดน้ำต้นไม้ รวมถึงซ่อมรั้วที่คุณจดๆ จ้องๆ จะซ่อมมานาน

9. ถ้ามีสัตว์เลี้ยงอย่างสุนัข อย่าลืมพามันออกวิ่งและเที่ยวใกล้ๆ บ้าน ส่วนใครที่ไม่รักสัตว์ คุณยังมีเครื่องเล่น MP3 และเพลงเพราะๆ จากหูฟังดีๆ ที่จะช่วยให้คุณวิ่งหรือเดินได้นานขึ้นกว่าเดิม

10. ใช้รถเข็นซื้อข้าวของในซูเปอร์มาร์เก็ต ถ้าไม่เคยทำ เราอยากให้คุณลองซื้อของใช้เข้าบ้านสัปดาห์ละครั้ง ใช้เวลาเดินให้นานขึ้น ลองดูครับ เข็นแล้วเดินไปรอบๆ อย่างน้อย 20-30 นาที

11. จอดรถของคุณไว้ที่บ้าน แล้วเดินหรือใช้รถสาธารณะแทน

12. หนังสือที่ซื้อมาแล้วยังไม่ได้อ่าน แกะออกจากถุงดีกว่าครับ ใช้เวลานิดหน่อยจัดเรียง และถ้าชั้นวางของไม่พอก็วางแผนต่อชั้นวางใหม่ด้วยตัวเองเสียเลย

13. ถ้าเล่นดนตรีเป็น ลองเล่นดนตรีชิ้นโปรด โดยเฉพาะแซ็กโซโฟน เปียโน และกลอง แต่ถ้าไม่สะดวก ลองเปิดเพลงโปรดแล้วเต้นดูก็ได้ครับ หรือจะโค้งเชิญคนรู้ใจที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ให้ลุกขึ้นมาขยับด้วยก็ได้...ไม่ว่ากัน

14. หลังจากกดปุ่ม "Start" พยายามปลีกตัวออกมาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ของคุณ เดินไปไหนมาไหนในบ้านบ้าง บางครั้ง คุณก็ควรปล่อยวาง และใช้เวลา 25 นาทีก็เพียงพอแล้วสำหรับการเช็กอี-เมล์

15. อาสาล้างจานแทนสาวๆ หลังจบงานปาร์ตี้ที่บ้านของเธอ

16. ลุกขึ้นเลื่อนเก้าอี้ให้สุภาพสตรี

17. เดินทักทายเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้องในแผนกในบางโอกาส

18. กินอาหารกลางวันนอกที่ทำงาน แทนการซื้อเข้ามา โดยไม่ได้ลุกออกไหนเลย

19. เดินดูสินค้าในแผนกเครื่องเสียงหรือแผนกไอที

20. ถ้าคุณมีความสามารถในด้านการทำอาหาร หรืออย่างน้อย ก็อุ่นอาหาร ใช้เวลาในการทำกิจกรรมนี้สักประมาณ 20 นาที

21. ในการขึ้น-ลงไม่กี่ชั้นในสำนักงาน คุณควรเลือกใช้บันได แม้แต่ในบ้านก็ใช้บันไดในการออกกำลังกายได้ด้วยการเดินขึ้น-ลงเป็นเวลาประมาณ 5 นาที

22. ในงานเลี้ยง การนั่งอยู่ที่โต๊ะโดยไม่ลุกไปไหน นอกจากจะทำให้คุณเป็นคนไม่น่าสนใจแล้ว ไขมันของคานาเป้ แซนด์วิชแฮมชีสและเบียร์ที่คุณดื่มยังทำให้ไขมันสะสมในร่างกายได้ง่าย ทางที่ดีคุณควรลุกขึ้นมาขยับและเริ่มบทสนทนาเดินคุยกับผู้คนหน้าใหม่ๆ หรือไม่ก็หันมาโชว์สเต็ปทันทีที่ได้ยินเพลงโปรดของตัวเอง

23. ถึงจะเป็นงานของผู้หญิง แต่คุณก็สามารถพับหรือรีดเสื้อผ้าที่คุณใช้อยู่เป็นประจำได้

24. ถ้าคุณเป็นคนชอบดูรายการโทรทัศน์ อย่าลืมลุกไปทำโน่นทำนี่ทุกครั้งที่มีโฆษณา

25. หาซื้ออุปกรณ์ง่ายๆ อย่างดัมเบลล์ หรือเสื่อโยคะติดบ้านไว้ อาจรวมถึงเครื่องชั่งน้ำหนัก สำหรับคนที่ต้องการกำจัดไขมันส่วนเกินอย่างจริงจัง

26. การบิด สะบัด และตากเสื้อผ้าเป็นวิธีการออกกำลังกายที่ดี แม้ว่าคุณจะซักด้วยเครื่องตามปกติ

27. เป็นสุภาพบุรุษเต็มตัว ด้วยการอาสาทำงานออกแรงที่สุภาพสตรีไม่ถนัด

28. เดาะบอลที่สนามหลังบ้าน หรือไม่ก็วิ่งบนลู่วิ่งเก่าเก็บที่ซื้อแล้วไม่ได้ใช้งาน

29. "ยืน" คุยโทรศัพท์กับเพื่อนเรื่องพรรคการเมือง "พรรคนั้น" เรื่องฟุตบอลแมตช์ที่ผ่านมา หรืออ่านบทความสำคัญใน Forbes ไปจนจบ ใช้เวลา 22 นาทีก็น่าจะลงตัว

30. และสำหรับข้อสุดท้ายที่หลายคนสนใจมีวิธีการง่ายๆ ต่อไปนี้ คือ คุณสามารถงีบหลับไปได้ 45 นาที ซึ่งจะช่วยเผาผลาญได้ถึง 50 แคลอรี จากการสูดอากาศหายใจ ก็อย่างที่คุณรู้น่ะครับ แค่ขยับ..ก็เท่ากับออกกำลังกาย

นงนุช คำแปง วิทย์ออก เลขที่ 77

อาหารบำรุงสมอง

อาหารมีความสำคัญต่อการพัฒนาสมอง ไม่แพ้การพัฒนาทางร่างกายเป็นความจริง

ที่ยอมรับกันโดยทั่วไป ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลาย จึงปรนเปรออาหารการกินให้กับลูกๆ

ด้วยหวังว่าอาหารเหล่านี้ จะทำให้ความคิดแล่นความจำดีสมองโปร่งใสทำให้ลูกเฉลียวฉลาด

ได้

อาหารที่เชื่อกันว่าช่วยบำรุงสมองมีอยู่หลายอย่าง เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ น้ำซุปไก่เป็นต้น

แต่ที่ขึ้นชื่อที่สุดเห็นจะเป็นปลา ผู้ใหญ่มักให้เด็กกินปลา โดยอ้างว่าปลาบำรุงสมอง กินปลาแล้วจะฉลาดขึ้น และถ้ากินหัวปลาได้ จะยิ่งฉลาดเข้าไปใหญ่

หากอาหารสามารถบำรุงสมองได้จริงเช่นนั้น เชื่อว่าเด็กส่วนใหญ่ในประเทศไทยคงไม่สอบตก

ฉะนั้นจะหวังให้อาหารช่วยให้ฉลาดขึ้นคงจะเป็นไปไม่ได้เพราะอาหารช่วยบำรุงสมองได้

ในระยะที่สมองเติบโต หรือในระยะเริ่มแรกของชีวิตเท่านั้น เมื่อเด็กเข้าโรงเรียนสมองเติบโต

เต็มที่เสียแล้ว ไม่ว่าจะทำนุบำรุงเรื่องอาหารเพียงใดก็ย่อมไม่ทำให้เฉลียวฉลาดขึ้น

ความเฉลียวฉลาดของแต่ละคน ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์ ถึงกรรมพันธุ์จะเป็นตัวกำหนด

ขีดขั้นตอนสติปัญญา แต่เด็กมักจะมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเต็มขั้นตามกรรมพันธุ์ กำหนด

หรือไม่ ยังขึ้นอยู่กับอาหารที่คุณแม่รับประทานในช่วงตั้งครรภ์และอาหารที่ลูกกิน

ในช่วงแรกของชีวิต

ถ้าหากในช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์ คุณแม่รับประทานอาหารครบห้าหมู่และมีปริมาณเพียงพอ

ต่อความต้องการของร่างกาย เซลล์สมองของลูกจะสามารถเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่

เป็นรากฐานที่มั่นคง เมื่อได้รับการศึกษาได้เล่าเรียนฝึกฝนก็ย่อมมีโอกาสที่จะมีสติปัญญา

เฉลียวฉลาดได้เต็มขั้นตามที่กรรมพันธุ์กำหนด

ตรงกันข้าม เมื่อขาดแคลนอาหารทั้งในปริมาณ และคุณภาพเซลล์สมองไม่อาจเจริญเติบโต

อย่างเต็มที่ เมื่อสมองหยุดเจริญเติบโตแล้วจำนวนเซลล์สมองของเด็กเหล่านี้

อาจน้อยกว่าเด็กที่ได้รับอาหารอย่างเพียงพอถึงร้อยละ 15 ถึง 20

อาการซึมเศร้า และเชื่องช้าที่ปรากฏภายนอกเป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นผล

ของจำนวนเซลล์ที่น้อยกว่าปกติ แม้จะได้รับการศึกษาเล่าเรียน มีโอกาสได้รับการฝึกฝน

เท่าเทียมกับเด็กคนอื่น ก็ไม่อาจมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเต็มขีดขั้นที่กรรมพันธุ์

กำหนดได้ หรืออีกนัยหนึ่งถึงพ่อแม่จะฉลาดหลักแหลมเพียงใดลูกก็ไม่มีโอกาส

ฉลาดเท่าเทียมพ่อแม่ได้

ฉะนั้นจึงสรุปได้ว่า อาหารมีอิทธิพลต่อการพัฒนาของสมองตั้งแต่ก่อนเด็กเกิด

นับตั้งแต่ปฏิสนธิขึ้นในครรภ์ของแม่เลยทีเดียว อาหารบำรุงสมองของเด็ก

จึงเป็นอาหารในระยะตั้งครรภ์ของแม่ และอาหารของเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 1-2 ปี

ในขณะคุณแม่ตั้งครรภ์ จึงควรเอาใจใส่อาหารการกิน อย่างน้อยที่สุดต้องกินให้ครบห้าหมู่

เพิ่มอาหารที่ให้โปรตีนสูง ได้แก่ ไข่ เนื้อสัตว์ และนม ถ้าหากมีรายได้น้อยอาจพึ่งโปรตีน

จากถั่วเมล็ดแห้ง เช่น ถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วเหลือง เป็นต้น

ถ้าคุณแม่บางรายกินนมวัวไม่ได้ ก็ควรเลี่ยงไปกินนมถั่วเหลืองแทน

อาหารบำรุงสมองที่ดีที่สุดของทารกแรกเกิด คือนมแม่

เมื่อเด็กอายุครบ 4 เดือนแล้ว คุณพ่อคุณแม่ ควรให้อาหารอื่นเพิ่มเติม

ไม่ใช่เฉพาะข้าวกับกล้วยเท่านั้น ควรหัดให้เด็กกินไข่ เนื้อปลา ผัก และผลไม้ต่าง ๆ

และถือโอกาสปลูกฝังนิสัยการกินอาหารที่ดีเสียแต่เนิ่น ๆ

(Cover จาก โภชนาการดี ชีวีมีสุข กองโภชนาการ กรมอนามัย

นงนุช คำแปง วิทย์ออก เลขที่ 77

รู้จักมะเร็งผิวหนัง(skin cancer)

คุณภาพชีวิต

ชี้รักษาหายได้ หากรักษาตั้งแต่แรก

ปัจจุบัน มีค่านิยมว่าผิวขาว หน้าใสจึงจะสวยงาม มีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับผิวหนังออกมามากมาย ที่โฆษณาว่าจะทำให้ผิวขาวขึ้น หลายคนนิยมไปทำเลเซอร์รักษากระ ไฝ ขี้แมลงวันบนใบหน้า เพราะต้องการให้ใบหน้าเกลี้ยงเกลา การทาครีมให้หน้าขาว หรือการรักษาใดๆ ย่อมมีทั้งผลด้านบวกและด้านลบ จึงควรมีความรู้เท่าทัน เพื่อที่จะได้สวยอย่างไม่เสี่ยง

การที่คนเรามีสีผิวต่างๆกัน เป็นผลจากการทำงานของเซลล์เม็ดสี (melanocyte) ซึ่งจะผลิตเม็ดสี เพื่อป้องกันเซลล์ผิวหนังของเรา จากอันตรายจากแสงแดด ดังนั้น การทาผลิตภัณฑ์เพื่อให้ผิวขาวขึ้น ก็เท่ากับไปลดการทำงานของเซลล์เม็ดสี และทำให้เซลล์ผิวหนัง มีโอกาสรับแสงอัลตราไวโอเลตมากขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนัง

การกำจัดไฝหรือขี้แมลงวันก็เช่นกัน ปัจจุบันนิยมรักษาด้วยเลเซอร์ เนื่องจากทำได้เร็ว ไม่มีเลือดออก ไม่ต้องมีรอยเย็บ ไม่ต้องตัดไหม แต่มีข้อควรคำนึงว่า มะเร็งผิวหนังบางชนิด ระยะเริ่มแรกอาจแยกยากจากไฝธรรมดา บางคนกำจัดไฝกันเอง โดยใช้ธูปจี้บ้าง ใช้ปูนกัดบ้าง ซึ่งไม่ควรทำอย่างยิ่ง นอกจากจะเป็นแผลเป็นง่ายแล้ว ถ้าหากรอยโรคที่เข้าใจเอาเองว่าเป็นไฝนั้น แท้ที่จริงเป็นมะเร็งระยะเริ่มแรก การจี้นอกจากจะทำลายเซลล์มะเร็งไม่หมด มีโอกาสแพร่กระจายได้แล้ว ยังทำให้การส่งตรวจทางพยาธิวิทยาในภายหลัง อ่านผลได้ลำบาก ดังนั้น การจะทำอะไรกับไฝหรือก้อนต่างๆ บนผิวหนัง จึงควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อน

มะเร็งผิวหนังมีหลายชนิด ที่พบบ่อย ได้แก่ Squamous cell carcinoma, Basal cell carcinoma อีกชนิดที่พบไม่บ่อย แต่มีความร้ายแรง เพราะสามารถกระจายเข้าสู่กระแสเลือดได้รวดเร็วคือ มะเร็งของเซลล์เม็ดสี ที่เรียก malignant melanoma มะเร็งผิวหนังอาจจะมีขนาดใหญ่ขึ้นช้าๆ และลุกลามเฉพาะที่ หรืออาจแพร่กระจายไปอวัยวะอื่นได้ด้วย เช่นไปต่อมน้ำเหลือง เป็นต้น

ปัจจัยที่เป็นสาเหตุของมะเร็งผิวหนัง

แสงอัลตราไวโอเลต (UVA,UVB) พวกที่ต้องทำงานกลางแดด เล่นกีฬากลางแจ้ง ชอบอาบแดด จะมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนัง

เชื้อชาติ คนผิวขาว ผมสีบลอนด์ ผิวไหม้แดดง่าย มีโอกาสเสี่ยงสูง เพราะมีเม็ดสีที่ผิวหนังน้อย ความสามารถในการป้องกันเซลล์ผิวหนังจากแสงอัลตราไวโอเลตจึงน้อยกว่าคนผิวคล้ำ คนที่เป็นโรคผิวหนัง Albinism ซึ่งมีความผิดปกติของการสร้างเม็ดสี จะพบมะเร็งผิวหนังได้บ่อย

- การได้รับสารเคมีก่อมะเร็ง เช่น สารหนูที่ปนอยู่ในน้ำ ยาหม้อ ยาไทย ยาจีน ยาลูกกลอน

- แผลเป็นจากไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลจากผื่นผิวหนังบางโรค เช่น DLE

- มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งผิวหนัง

- เชื้อไวรัสบางชนิด เช่น HPV ที่ทำให้เกิดหูดที่อวัยวะเพศ

- ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ได้รับยากดภูมิคุ้มกันหลังการปลูกถ่ายไต

- ผิวหนังในบริเวณที่เคยได้รังสีรักษา

- คนที่สูบบุหรี่นานๆ จะเกิดมะเร็งในช่องปากได้

การป้องกันและรักษา

มะเร็งทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นที่อวัยวะใด ถ้าสามารถตรวจพบตั้งแต่แรก และกำจัดเซลล์ที่ผิดปกติออกได้หมด ก็สามารถหายขาดได้ มะเร็งผิวหนังมีข้อเด่นคือ ผิวหนังเป็นอวัยวะที่ห่อหุ้มอยู่ภายนอก เราสามารถมองเห็นได้ จึงทำให้สามารถตรวจพบความผิดปกติในระยะเริ่มแรกได้รวดเร็ว และยังติดตามการรักษาได้ง่าย

คนปกติทั่วไป จะมีเม็ดไฝ ขี้แมลงวัน เกิดขึ้นตามผิวหนังได้ทุกช่วงอายุ พออายุมากขึ้นก็มีพวกกระ หูด ติ่งเนื้อต่างๆ เราจะทราบได้อย่างไรว่า รอยโรคใดอาจเป็นมะเร็งผิวหนัง

มีวิธีสังเกตคือ

อาการที่บอกว่าอาจเป็นมะเร็งผิวหนัง

- ไฝที่เป็นอยู่เดิม มีรูปร่างเปลี่ยนไป อาจใช้หลักง่ายๆ คือ ABCD ดังนี้

A= ASYMMETRY ลักษณะของไฝทั้งสองข้างไม่เหมือนกัน

B=BORDER IRREGULARITY ขอบของไฝไม่เรียบ

C=COLOR สีของไฝไม่สม่ำเสมอ

D=DIAMETER ขนาดของไฝใหญ่กว่า 6 มม.

- มีผื่นหรือก้อนที่เกิดขึ้นใหม่ และไม่หายใน4-6 สัปดาห์

- ไฝหรือปานที่โตเร็ว และรูปร่างเปลี่ยนไปจากเดิม มีอาการคัน แตกเป็นแผล และมีเลือดออก

- แผลเรื้อรังไม่หายใน 4 สัปดาห์

ถ้ามีข้อสงสัย ให้ปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อการวินิจฉัย ซึ่งทำได้โดยการตัดชิ้นเนื้อบริเวณที่สงสัย ส่งตรวจทางพยาธิวิทยา

การรักษามีหลายวิธี ขึ้นกับชนิด ตำแหน่ง และการลุกลามของโรค โดยทั่วไปมักใช้วิธีผ่าตัดเอามะเร็งผิวหนังออกให้หมด หลายครั้งที่มะเร็งเกิดบนใบหน้า ในบริเวณที่อาจมีการผิดรูปจากการผ่าตัดได้ ปัจจุบันมีวิธีผ่าตัดโดยวิธีที่เรียก Mohs micrographic surgery แพทย์จะทำการตัดชิ้นเนื้อและส่งตรวจทางพยาธิวิทยา ในคราวเดียวกัน เพื่อตรวจดูว่าได้ตัดมะเร็งออกได้หมด หากยังมีหลงเหลือ ก็จะกลับมาผ่าตัดซ้ำจนหมด จึงจะเย็บปิดแผล วิธีนี้จะทำให้สามารถตัดมะเร็งออกได้หมดในคราวเดียว โดยไม่ตัดเนื้อดีออกมากเกินจำเป็น แต่ในบางครั้ง มะเร็งถูกทิ้งไว้จนมีขนาดใหญ่เกินที่จะตัดออกได้หมด อาจรักษาโดยการใช้รังสีรักษา หรือถ้ามีการแพร่กระจาย จะต้องให้เคมีบำบัดร่วมด้วย

โดยสรุป มะเร็งผิวหนังสามารถรักษาให้หายขาดได้ ถ้าได้รับการวินิจฉัย และรักษาตั้งแต่เริ่มแรก ถ้ามีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งผิวหนัง ควรพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อตรวจหามะเร็งตั้งแต่ระยะแรก ในคนทั่วๆ ไปก็ไม่ควรประมาท ระวังอย่าถูกแสงแดดจัด ใช้ครีมกันแดดให้ถูกต้องและเหมาะสม สังเกตการเปลี่ยนแปลงของหูด,ไฝ, ปาน หากมีแผลเรื้อรังหรือแผลที่ไม่หายใน 2 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์

นงนุช คำแปง วิทย์ออก เลขที่ 77

มะเร็งปากมดลูก พบมากสุดในสตรีไทย

คุณภาพชีวิต

ช่วงอายุ 35-60 ปี เสี่ยงสุด

มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในสตรีไทย และพบมากในช่วง35-60 ปี แต่มะเร็งปากมดลูกสามารถตรวจพบได้ตั้งแต่ระยะก่อนมะเร็งด้วยการทำแปสเมียร์ โดยการเก็บเอาเซลล์ เยื่อบุบริเวณปากมดลูก ไปตรวจหาเซลล์มะเร็ง โดยการตรวจภายใน ซึ่งการรักษาจะได้ผลดีมากหากเป็นมะเร็งที่พบในระยะแรก

สาเหตุ คือ การติดเชื้อไวรัสฮิวแมนแพปพิลโลมาหรือเชื้อเอชพีวี (HPV) บริเวณอวัยวะเพศ โดยเฉพาะที่บริเวณปากมดลูก

ปัจจัยเสี่ยง ของมะเร็งปากมดลูก ได้แ่ก่

1. ปัจจัยเสี่ยงทางฝ่ายหญิง ได้แก่ การมีคู่นอนหลายคน ความเสี่ยงสูงขึ้นตามจำนวนคู่นอนที่

เพิ่มขึ้น การมีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุน้อย การสูบบุหรี่ มีประวัติการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น

เอดส์ เริม ซิฟิลิส และหนองใน เป็นต้น

2. ปัจจัยเสี่ยงทางฝ่ายชาย เนื่องจากการติดเชื้อเอชพีวี(HPV) ส่วนใหญ่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ จึงกล่าวได้ว่ามะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับการมีเพศสัมพันธ์ การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย ที่มีเชื้อเอชพีวี (ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ชายจะไม่มีอาการหรือตรวจไม่พบเชื้อ) แม้เพียง ครั้งเดียวก็มีโอกาสติด เชื้อเอชพีวีและเป็นมะเร็งปากมดลูกได้ ปัจจัยเสี่ยงทางฝ่ายชาย ได้แก่ สตรี ที่มีคู่นอนเป็นมะเร็งองคชาติ เคยมีภรรยาเป็นมะเร็งปากมดลูก เคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ผ่านประสบการณ์ ทางเพศตั้งแต่อายุน้อยหรือมีคู่นอนหลายคน

อาการแสดง ของมะเร็งปากมดลูก

อาการของผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกจะมากหรือน้อยขึ้นกับระยะของมะเร็ง ในระยะแรกอาจ

ไม่มีอาการ ผิดปกติ แต่สามารถตรวจพบได้จากการตรวจคัดกรองมะเร็งด้วยวิธีแปปสเมียร์

อาการที่อาจพบในผู้ป่วย มะเร็งปากมดลูก ได้แก่

อาการตกเลืิอดทางช่องคลอด เป็นอาการที่พบได้มากที่สุดประมาณร้อยละ 80 – 90

ของผู้ป่วย ลักษณะเลือดที่ออกอาจจะเป็นเลือดออกกะปริบกะปรอยระหว่างรอบเดือน เลือดออกหลัง

มีเพศสัมพันธ์ มีน้ำปนเลือด ตกขาวปนเลือด เลือดออกหลังวัยหมดประจำเดือน

อาการในระยะหลังเมื่อมะเร็งลุกลามหรือไปสู่อวัยวะอื่นๆ ได้แก่ ขาบวม ปวดหลัง

ปวดก้นกบ ปัสสาวะเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด เป็นต้น

วินิจฉัยโรค

1. การตรวจภายใน หากหากพบก้อนผิดปกติที่ปากมดลูก

แพทย์จะตรวจยืนยันโดยการ ตัดชิ้นเนื้อบางส่วนไป ส่งตรวจทาง

พยาธิวิทยา

2. การตรวจทางเซลล์วิทยา หรือ “แปปสเมียร์” เป็นการตรวจ

ภายในร่วมกับการเก็บเอาเซลล์บริเวณปาก มดลูกไปตรวจทางเซลวิทยา

3. การตรวจด้วยกล้องขยาย หรือ คอลโปสโคป ร่วมกับการตัด

ชิ้นเนื้อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา

4. การตรวจอื่นๆ ที่อาจช่วยในการวินิจฉัยมะเร็งปากมดลูก ได้แก่ การขูดภายในปากมดลูก

การตัดปากมดลูกด้วยห่วงไฟฟ้า การตัดปากมดลูกออกเป็นรูปกรวยด้วยมีด

การรักษา: มะเร็งปากมดลูก

วิธีการรักษามะเร็งปากมดลูกขึ้นกับระยะของมะเร็ง ความต้องการมีบุตรของผู้ป่วย

และโรคทางนรีเวช อื่น ๆ ที่เป็นร่วมด้วย

- การรักษาในระยะก่อนเป็นมะเร็งหรือระยะ ก่อนลุกลาม มีวิธีการติดตามและรักษาได้หลายวิธี ได้แก่ การตัดปากมดลูกด้วยห่วงไฟฟ้า การจี้ปากมดลูกด้วยความเย็น การจี้ด้วยเลเซอร์ การตัดปากมดลูกออกเป็นรูปกรวยด้วยมีด หลังจากนั้นควรตรวจติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิด โดย การตรวจภายในและทำแปปสเมียร์ หรือตรวจด้วยกล้องขยาย ทุก 4 – 6 เดือน โดยรอยโรคขั้นต่ำบางชนิดสามารถหายไปได้ เองภายใน 1 – 2 ปี

- มะเร็งปากมดลูกระยะลุกลาม การเลือกวิธีรักษาขึ้น ขึ้นกับโรคประจำตัวของผู้ป่วย ระยะของมะเร็ง และความพร้อม ของโรงพยาบาลหรือแพทย์ผู้ดูแลรักษา

- มะเร็งในระยะแรก รักษาโดยการตัดมดลูกออกร่วม กับการเลาะต่อมน้ำเหลืองบริเวณอุ้งเชิงกรานออก และจะให้การรักษาต่อด้วยรังสีรักษาในกรณีที่ผู้ป่วยมีโอกาส กลับเป็นซ้ำของโรคสูง

- มะเร็งในระยะหลัง รักษาด้วยรังสีรักษา หรือร่วมกับ

การให้ยาเคมีบำบัด

พยากรณ์โรค

ผลการรักษามะเร็งปากมดลูกในปัจจุบันได้ผลดีมากขึ้นกว่าในอดีต โดยเฉพาะในระยะก่อน ลุกลาม และระยะลุกลามเริ่มแรก โดยในระยะก่อนลุกลามการรักษาได้ผลดีเกือบ100 % ดังนั้นการตรวจค้นหา มะเร็งในระยะแรกเริ่มด้วยการตรวจแปปสเมียร์จึงมีความสำคัญมาก โดยสตรีที่เคยมีเพศสัมพันธ์มาแล้วควรรับการตรวจภายในทุกคน

การเตรียมตัวก่อนรับการตรวจค้นหามะเร็งในระยะแรกด้วยการตรวจแปปสเมียร์

- ไม่ควรมีการตรวจภายในมาก่อน 24 ชั่วโมง

- ห้ามสวนล้างภายในช่องคลอดมาก่อน 24 ชั่วโมง

- งดการมีเพศสัมพันธ์คืนวันก่อนมารับการตรวจภายใน

- ไม่ควรเหน็บยาใด ๆ ในช่องคลอดมาก่อน 48 ชั่วโมง

- ควรมารับการตรวจมะเร็งหลังประจำเดือนหมดแล้วประมาณ 2 สัปดาห์ สำหรับผู้ที่ไม่มี

ประจำเดือนแล้วให้มาได้ตามสะดวก

นงนุช คำแปง วิทย์ออก เลขที่ 77

“มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ” พบมาก 1 ใน 10 อันดับแรกของมะเร็งในชาย

คุณภาพชีวิต

เหตุเยื่อบุภายในกระเพาะ ปัสสาวะมีการแบ่งตัวเพิ่มขึ้น

กะเพาะปัสสาวะมีลักษณะเป็นถุงไว้สำหรับเก็บน้ำปัสสาวะ อยู่ที่ช่องท้องบริเวณหัวเหน่า กระเพาะปัสสาวะมีหน้าที่รับน้ำปัสสาวะที่ไตกรองออกมาจากกระแสเลือด แล้วส่งผ่านมาทางท่อไตลงมาเก็บในกระเพาะปัสสาวะ เมื่อมีปริมาณมาก กระเพาะก็จะขับออกมาทางท่อปํสาวะ

ในประเทศไทย มะเร็งกระเพาะปัสสาวะเป็นมะเร็งที่พบมาก 1 ใน 10 อันดับแรกของมะเร็ง

ที่พบมากในเพศชาย โดยพบมากในช่วงอายุ 50-70 ปี ส่วนใหญ่เกิดขึ้นมาจากเยื่อบุภายในกระเพาะ

ปัสสาวะมีการแบ่งตัวเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติจนกลายเป็นก้อนเนื้องอกขึ้นมา ก้อนเนื้อที่งอกขึ้นมานี้จะ

เจริญเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จนอาจโตเต็มกระเพาะปัสสาวะ และแผ่ขยายลุกลามออกไปยังอวัยวะและ

ต่อมน้ำเหลืองข้างเคียงได้หากไม่ได้รับการรักษาให้ถูกต้อง

สาเหตุ

พบอุบัติการณ์สูงในคนที่สูบบุหรี่ ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับสีย้อมผ้า สีย้อมไม้ สีย้อมหนังที่มีสาร

เคมีบางชนิด เช่น สีอะนีลีน (aniline) หรือสารพวกไฮโดรคาร์บอน และผู้บริโภคขัณทสกร นอกจาก

นี้การระคายเคืองและการอักเสบเนื่องจากก้อนนิ่วในกระเพาะปัสสาวะก็เป็นสาเหตุชักนำให้เกิดโรคนี้ได้

อาการแสดง

75 % ของผู้ป่วย มีอาการปัสสาวะเป็นเลือดโดยไม่มีอาการเจ็บปวด ผู้ป่วยบางรายอาจมีเพียง

เลือดหยดออกมาเมื่อปัสสาวะสุด บางครั้งจะมีอาการคล้ายกระเพาะปัสสาวะอักเสบ คือ ถ่ายปัสสาวะ

บ่อย แสบ หรือ ขัดเนื่องจากเลือดที่ออกจับตัวเป็นลิ่ม มีปัสสาวะมีเลือดปนเป็นครั้งเป็นคราวอยู่เป็น

ระยะเวลานาน ส่วนในระยะลุกลามจะมีอาการปวดและบางรายมีการอุดตันของท่อไตทำให้มีอาการ

ของภาวะไตวายและปวดหลังได้ด้วย

การวินิจฉัยโรค

การตรวจวินิจฉัยมะเร็งของกระเพาะปัสสาวะ ทำได้หลายวิธี เช่น การซักประวัติและการตรวจ

ร่างกายคลำได้ก้อนเนื้อบริเวณหัวเหน่า การใช้นิ้วตรวจทางทวารหนักและการตรวจปัสสาวะพบมีเม็ด

เลือดหรือพบเซลล์มะเร็งปะปนอยู่ และเมื่อสงสัยควรได้รับการตรวจโดยการส่องกล้องขนาดเล็ก

สอดผ่านท่อปัสสาวะเข้าไปสำรวจภายในกระเพาะปัสสาวะ และขลิบเอาเนื้อที่สงสัยมาทำการพิสูจน์

ทางพยาธิวิทยาว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ ในผู้ป่วยบางรายอาจมีความจำเป็นต้องตรวจด้วยการถ่ายภาพ

ทางรังสีกระเพาะปัสสาวะ หรือเครื่องตรวจอย่างอื่น เช่น เครื่องตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็ก หรือ ตรวจ

ด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง เป็นต้น

การรักษา

วิธีการรักษามะเร็งกระเพาะปัสสาวะทำได้หลายวิธี ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของชิ้นเนื้อ

ทางพยาธิวิทยา และการแพร่กระจายของโรครวมทั้งการอุดตันของท่อไต

• กรณีโรคมะเร็งเป็นอยู่ที่เยื่อบุกระเพาะปัสสาวะ การรักษาอาจทำได้โดยการสอด

เครื่องมือเล็ก ๆ เข้าไปทางท่อปัสสาวะแล้วปล่อยกระแสไฟฟ้าจี้ที่ก้อนมะเร็งซึ่งทำลายก้อนมะเร็ง

ให้หมดไปได้ ผู้ป่วยบางรายแพทย์อาจป้องกันไม่ให้โรคกลับเป็นใหม่ ด้วยการใช้ยาเคมีบำบัดใส่

เข้าไปในกระเพาะปัสสาวะ แล้วกักเก็บไว้เป็นระยะเวลาประมาณ 1 - 2 ชั่วโมง แล้วจึงถ่ายทิ้ง

• กรณีมีการลุกลามไปถึงผนังของกระเพาะปัสสาวะ การรักษาทำได้โดยการผ่าตัด

เอาก้อนเนื้อที่เป็นออกไปจากกระเพาะปัสสาวะแล้วเย็บผนังของกระเพาะปัสสาวะ ผู้ป่วยจะยังคง

ปัสสาวะได้เป็นปกติ

• กรณีที่โรคลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียงแล้ว จะรักษาโดยการผ่าตัดเอากระ้เพาะ

ปัสสาวะพร้อมกับอวัยวะข้างเคียงส่วนที่มีโรคลุกลามไปออกจนหมด และตัดเอาบางส่วนของลำไส้

มาดัดแปลงเป็นกระเพาะปัสสาวะให้ใหม่ ผู้ป่วยจะยังคงถ่ายปัสสาวะได้ทางปลายลำไส้ที่นำมาเปิด

ออกทางหน้าท้อง

• กรณีที่ไม่อาจให้การรักษาได้ด้วยการผ่าตัด สามารถทำการรักษาได้ด้วยการฉาย

รังสีรักษา ส่วนในกรณีที่โรคได้แพร่กระจายเข้าไปในกระแสเลือดแล้ว สามารถให้การรักษาได้

ด้วยการฉีดยาเคมีบำบัด

วิธีการป้องกัน

1. หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ โดยเฉพาะการสูบบุหรี่ก่อนนอน เพราะจะมีการคั่งค้างของสาร

ก่อมะเร็งอยู่ในกระเพาะปัสสาวะเป็นเวลานาน

2. ควรตรวจปัสสาวะเมื่อมีอาการผิดปกติของปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะบ่อย ขัด ขุ่น โดย

เฉพาะเมื่อมีเลือดปนออกมาในปัสสาวะ

นงนุช คำแปง วิทย์ออก เลขที่ 77

พิษบุหรี่ก่อ "มะเร็งกล่องเสียง"

บุหรี่

ยอดพุ่งปีละ 1.5 พันราย

นายการุญ ตระกูลเผด็จไกร นายกสมาคมผู้ไร้กล่องเสียงประเทศไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันในประเทศไทยมีผู้ไร้กล่องเสียงที่ขึ้นทะเบียนเป็นสมาชิกแล้วจำนวนทั้งสิ้น 2,400 คน นอกจากนี้ยังพบว่า ในแต่ละปีจะมีผู้ป่วยที่ผ่าตัดมะเร็งกล่องเสียงใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเป็นสมาชิกเฉลี่ยปีละ 100 คน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผลมาจากสูบบุหรี่ทั้งสิ้น และมีผู้ที่เสียชีวิต 10-20 คนต่อปี ประมาณร้อยละ 5 ของผู้ป่วยมะเร็งกล่องเสียงในแต่ละปี ทั้งนี้สาเหตุหนึ่งเนื่องมาจากการที่ผู้ป่วยได้รับควันบุหรี่มือสอง ซึ่งเป็นผู้หญิงและมีสามีสูบบุหรี่ โดยในแต่ละปีมีผู้ไร้กล่องเสียงที่สามารถฝึกการออกเสียงจนสามารถพูด และสามารถสื่อสารได้เพียงแค่ปีละ 20 คน

ด้าน ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ เปิดเผยถึงสถิติผู้ป่วยและเสียชีวิตจากการสูบบุหรี่ว่า จากสถิติทั่วโลกมีผู้ป่วยมะเร็งกล่องเสียงรายใหม่ 161,400 ราย เป็นเพศชาย 142,200 ราย เป็นหญิง 19,200 ราย และยังพบว่ามีผู้ที่เสียชีวิต 89,100 รายต่อปีทั่วโลก ผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในประเทศกำลังพัฒนาทั้งสิ้น และประมาณ 67% ของมะเร็งกล่องเสียงในเพศชาย และ 28% ของมะเร็งกล่องเสียงในเพศหญิงเป็นผลมาจากการสูบบุหรี่ และที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง คือ การได้รับควันบุหรี่มือสอง ซึ่งพบว่าเพิ่มความเสี่ยงการเกิดมะเร็งกล่องเสียง 2.2 ถึง 4.3 เท่าตามระยะเวลาและปริมาณควันบุหรี่มือสองที่ได้รับอย่างไรก็ตาม การป้องกันมะเร็งกล่องเสียงที่ดีที่สุดคือการไม่สูบบุหรี่และการหลีกเลี่ยงการได้รับควันบุหรี่มือสอง ทั้งนี้ ประมาณว่าประเทศไทยมีผู้ป่วยมะเร็งกล่องเสียงเพิ่มขึ้นปีละ 1,500 ราย

นงนุช คำแปง วิทย์ออก เลขที่ 77

'เมลามีน'อย่าให้เป็นแค่กระต่ายตื่นตูม

คุณภาพชีวิต

คอยติดตามข่าวสารให้ทันท่วงที

สตรอเบอรี่สติ๊กตราฮาจูกุ ขนมปังกรอบรูปหมีโคอาล่า สอดไส้ครีมรสช็อกโกแลต หรือจูลี่ส์ พีนัทแครกเกอร์ไส้ครีม เป็นขนม 3 รายการล่าสุด ที่คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ตรวจพบเมลามีนผสมอยู่

การตรวจพบสารเมลามีนที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในประเทศไทยแม้จะไม่รุนแรงมากนัก แต่ก็ทำให้ผู้บริโภคเริ่มหวั่นวิตกถึงอาหารที่ต้องรับประทานเข้าไปในแต่ละวัน เพราะแม้แต่เนื้อสัตว์ชนิดต่าง ๆ ก็เริ่มอยู่ในภาวะเสี่ยงด้วย โดยมีสาเหตุมาจากอาหารสัตว์จากจีนที่เคยมีปัญหาเรื่องการมีเมลามีนผสมอยู่ !!??

เพราะไม่มีใครรู้ว่าอาหารหมูที่เลี้ยงเพื่อนำมาบริโภคกินอาหารชนิดใด และหากมีเมลามีนผสมอยู่จะมีการตกค้างอยู่ในเนื้อจนส่งผลต่อเนื่องมาถึงผู้บริโภคหรือไม่

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ อย. ต้องปรับเปลี่ยนมาตรการในการตรวจสอบอาหารที่นำเข้ามาจำหน่ายตั้งแต่ ต้นทาง ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบหรืออาหารสำเร็จรูปซึ่งเข้าข่ายมี แหล่งผลิตหรืออาจใช้วัตถุดิบที่มาจากประเทศจีน

“หลังเกิดเหตุตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา อย. ได้มีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด มีการระดมสมองของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเลือกที่จะให้ฝ่ายด่านตรวจสอบอาหารอายัดไว้ก่อน เพื่อ ตัดปัญหาตั้งแต่ต้นทาง โดยเฉพาะนมผง ก่อนจะมาสุ่มตรวจอาหารที่วางจำหน่ายอยู่ชนิดอื่น ๆ” ดารณี หมู่ขจรพันธ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยของอาหาร อย. ระบุระหว่างการเสวนาวิชาการ “บทเรียนเมลามีนกับกลไกเฝ้าระวังความปลอดภัยทางอาหาร”

แม้จะมีการเฝ้าระวังตั้งแต่ก่อนที่จะนำวัตถุดิบและอาหารสำเร็จรูปจะกระจายออกสู่ตลาด แต่ผู้ร่วมเสวนาคนอื่นก็ยังกังวลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารที่มีวางจำหน่ายอยู่ เพราะไม่มีใครรับรองได้ว่าอาหารที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบซึ่งวางจำหน่ายอยู่จะปลอดเมลามีน

“การมีเมลามีนอยู่ในนมผงนั้นเป็นความตั้งใจในการปลอมปนของผู้ผลิตอย่างไร้จรรยาบรรณ เพราะในโปรตีนมีไนโตรเจนเพียงแค่ 1-2 ตัว ขณะที่เมลามีนจะมีถึง 6-7 ตัว เมื่อนำเมลามีนมาผสมจึงทำให้การตรวจค่าไนโตรเจนในอาหารมีค่าสูงขึ้น ทำให้สินค้าเพิ่มมูลค่ามากขึ้นตามไปด้วย” รศ.ดร.วิสิฐ จะวะสิต ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยโภชนาการมหาวิทยาลัยมหิดล ระบุ

อย. ระบุว่ามีการเก็บตัวอย่างอาหารที่มีนมเป็นส่วนประกอบมากว่า 900 ตัวอย่าง โดยพบว่ามีเมลามีนผสมอยู่เกินเกณฑ์ที่กำหนดไว้แล้ว 7-8 รายการ และยังเหลืออีก 200 รายการที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบ

ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศห้ามนำเข้า ผลิต และจำหน่ายอาหารที่มีเมลามีนปนเปื้อน โดยนมและอาหารสำหรับทารกจะต้องมีปริมาณไม่เกิน 1 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ขณะที่อาหารประเภทอื่น ๆ ต้องมีไม่เกิน 2.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

ขณะที่กลุ่มประเทศในแถวยุโรปมีการกำหนดกฎเกณฑ์ในการนำเข้าที่เข้มงวดกว่า โดยจะต้องมีปริมาณเมลามีนไม่เกิน 0.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ส่วนสหรัฐอเมริกาจะต้องไม่เกิน 0.63 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม

แม้สัดส่วนในการปนเปื้อนของไทยจะไม่เข้มงวดเท่าเพราะข้อจำกัดในเรื่องเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการตรวจสอบ แต่ สารี อ๋องสมหวัง บรรณาธิการบริหาร วารสารฉลาดซื้อ ก็เห็นว่า การสร้างเครือข่ายโดยเฉพาะสำนักงานสาธารณสุขที่มีกระจายอยู่ทั่วประเทศทำหน้าที่แจ้งข่าวการตรวจสอบ เพื่อความรวดเร็วในการเก็บผลิตภัณฑ์อันตรายออกจากตลาดได้ทันท่วงทีน่าจะเป็นสิ่งที่ทำได้ก่อนเป็นอันดับแรก

“อย่างในยุโรปจะมีเครือข่ายด้านการตรวจสอบอาหารและผลิตภัณฑ์ ที่นำมาจำหน่ายอยู่เสมอ หากมีการตรวจพบในประเทศใดประเทศหนึ่ง ข่าวจะถูกแพร่กระจายไปยังประเทศสมาชิกทันทีภายในเวลา 24 ชั่วโมง และอาหารหรือผลิตภัณฑ์นั้น ๆ จะถูกเก็บทันที เพราะความปลอดภัยของประชาชนต้องมาก่อนเศรษฐกิจ”

วันนี้ไม่ใช่มีเพียงผลิตภัณฑ์ที่มีนมเป็นส่วนประกอบจากจีนเท่านั้นที่กลายเป็นอาหารอันตราย อาหารจากประเทศอื่น ๆ เองก็อยู่ในข่ายที่ต้องตรวจสอบเช่นกัน เพราะราคาที่ต่างกันหลายเท่าตัวของผลิตภัณฑ์นมจากจีนกับประเทศอื่น ๆ ทั้งยุโรปหรือแม้แต่ไทยเอง

“อะไรก็ตามที่มีโปรตีนเป็นส่วนประกอบจะเป็นตัวกำหนดราคา จึงทำให้มีเรื่องของเมลามีนเข้ามาเกี่ยวข้องหมด ทั้งครีมเทียม มะพร้าวผง ฯลฯ ดังนั้นการแก้ปัญหาจึงไม่ใช่แค่การตรวจสอบสินค้าที่จะผ่านไปยังผู้บริโภค เท่านั้น แต่ควรจะขึ้นบัญชีดำประเทศนั้น ๆ ไปเลย” ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยโภชนาการมหาวิทยาลัยมหิดล ระบุ

สิ่งที่ผู้บริโภคทำได้ในวันนี้ก็คือคอยติดตามข่าวสารให้ทันท่วงที และไม่ควรตื่นตูมอยู่แค่เพียงชั่วครั้งชั่วคราว เพราะเมื่อคุณเผลอเมื่อไหร่อาจจะกลายเป็นผู้ป่วยจากการสะสมของเมลามีนไปโดยไม่รู้ตัว. อธิชา ชื่นใจ

นงนุช คำแปง วิทย์ออก เลขที่ 77

หวัด-ท้องร่วง เกิดจากเชื้อไวรัส

คุณภาพชีวิต

สามารถหายได้โดยไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ

โรคหวัด คืออาการเจ็บคอ น้ำมูกไหล จาม แน่นจมูก ไอ เสียงแหบ เคืองตา ปวดศีรษะ ตัวร้อน โรคหวัดเป็นโรคที่หายได้เองโดยไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ เพราะมีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัส ในขณะที่ยาปฏิชีวนะเป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียจึงเป็นการใช้ยาไม่ตรงกับสาเหตุการเกิดโรค การรักษาจึงไม่เกิดผล

มีไวรัสมากกว่า 200 สายพันธุ์ที่เป็นสาเหตุของโรคหวัด หวัดจึงเป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุดในคนทุกคน ภายในเวลา 1 ปี คนอเมริกัน 9 ใน 10 คนจะเป็นหวัดอย่างน้อย 1 ครั้ง ผู้ใหญ่อาจเป็นหวัดได้ 2-4 ครั้งต่อปี

เด็กอาจเป็นหวัดได้บ่อยถึง 6-10 ครั้งต่อปี ซึ่งครึ่งหนึ่งของเด็กที่ป่วยไปโรงเรียนไม่ได้มีสาเหตุจากโรคหวัด เด็กอายุ 2-6 ปี เป็นหวัดบ่อยเป็น 2 เท่าของเด็กอายุ 9 ปี และเด็กอายุ 9 ปี เป็นหวัดบ่อยเป็น 2 เท่าของเด็กอายุ 12 ปี

จากข้อมูลข้างต้นจึงประมาณได้ว่า ผู้คนอาจเป็นหวัดได้มากถึง 200 ครั้งตลอดช่วงอายุขัยของตน โดยมีระยะเวลาการเป็นโรคเฉลี่ยประมาณ 7 วัน

แพทย์จะสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะต่อเมื่ออาการหวัดไม่ดีขึ้นใน 1-2 สัปดาห์หรือมีอาการเพิ่มเติมที่แสดงถึงการติดเชื้อแบคทีเรีย

โรคท้องร่วง และอาหารเป็นพิษ เป็นอีกโรคที่พบได้บ่อยในคนไทยทุกคน การเพาะเชื้อจากอุจจาระของผู้ป่วยโรคท้องร่วงส่วนใหญ่จะไม่พบเชื้อแบคทีเรียได้แก่ซัลโมเนลลา ชิกเกลลา แคมไพโรคแบคเตอร์ หรือเชื้ออีเทค แสดงว่าโรคท้องร่วงส่วนใหญ่ไม่ได้มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรีย โดยอาจเกิดจากเชื้อไวรัส หรือเกิดจากพิษที่ปนเปื้อนในอาหาร หรือยาบางชนิด การใช้ยาปฏิชีวนะจึงไม่ใช่สิ่งจำเป็น ยกเว้นผู้ป่วยมีไข้ ถ่ายอุจจาระเป็นมูกเลือด หรือตรวจพบเม็ดเลือดขาวในอุจจาระ เป็นต้น

บาดแผลเลือดออกต่างๆ จากอุบัติเหตุทั้งที่ต้องเย็บแผลหรือไม่ต้องเย็บแผล เกือบทั้งหมดหายได้เองโดยไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะ

การงดเว้นการใช้ยาปฏิชีวนะในโรคทั้ง 3 ได้แก่ หวัด-เจ็บคอ ท้องร่วง และแผลเลือดออก เป็นเป้าหมายสำคัญในการรณรงค์ของโครงการ Antiobiotics Smart Use เพื่อให้คนไทยมีสุขภาพดี โดยไม่ต้องใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไร้เหตุผล

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์อีส เลขที่ 2

อาหารกำหนดชะตา

อาหารนี่แหละเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิต หลักการง่ายๆ ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ รับประทานผักผลไม้ให้มากๆ หลายคนต่างรู้ดี แต่กลับบริโภคตามใจปาก ถ้าไม่ป่วยก็ไม่รู้ซึ้ง ดังนั้น มารู้จักการบริโภคอาหาร เพื่อป้องกันการเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้ากินน้อยจะตายยาก กินมากจะตายง่าย คุณจะเลือกแบบไหนชีวิตของคุณ ถูกกำหนดโดยอาหารที่คุณกิน ถังขยะหน้าบ้านบอกได้ว่า คุณทิ้งอะไรลงไป กินอะไรเข้าไป ชีวิตคุณจะเป็นอย่างไรต่อไป เราเอง คนที่ประสบปัญหาการรับประทานอาหารดีเกินไป แพงเกินไป มากเกินไป สุดท้ายผลลัพธ์ที่ได้ ก็คือ น้ำหนักตัวที่เกินมา โรคภัยไข้เจ็บที่ไม่ต้องการ ทุกอย่างน่าจะแก้ไขได้ทัน หากวันนี้ เราหันมาใส่ใจสุขภาพ เพราะอาหารนั้น สามารถกำหนดชะตาชีวิตของเราได้ อย่างน้อย ถ้าอยากมีสุขภาพกาย-ใจ ดี ผิวพรรณผ่องใสจากข้างใน เลือดลมเดินดี ไม่มีโรค โดยไม่ต้องอาศัยครีมหน้าเด้ง หรือยาลดความอ้วน หรือทำมาหาเลี้ยงหมอทุกเดือน ขั้นแรกต้องเป็นหมอดูแลเรื่อง อาหารการกินของตัวเราเองก่อน

1. ลองเช็คตัวเองซิว่า ตอนนี้สุขภาพเป็นอย่างไร

ถ้าเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นในตอนเช้า เราลุกจากเตียงเหมือนติดสปริงหรือเปล่า? ลุกขึ้นมาพร้อมกับความสดชื่นมีชีวิีตชีวาหรือไม่ ถ้าเสียงนาฬิกาปลุกดัง เรายังไม่ลืมตา เอามือไปกดแล้วนอนต่อ เพราะลุกไม่ไหว จนนาฬิกาปลุกตัวที่สองดังขึ้น นั่นเป็นสัญญาณแล้วว่า ต้องกลับมาดูแลตัวเอง เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดำรงชีวิตเสียใหม่ เริ่มต้นจากการกินจำไว้ว่า ถ้าเรากินน้อย จะตายยาก กินมากตายง่าย และอาหารที่เรากินทุกวันนี้ อาหารที่เสียหรือบูดเน่าง่าย กินแล้วตายยาก อาหารที่บูดเน่ายากๆ ใส่สารกันบูด กินแล้วตายง่าย คนจีนโบราณเขาบอกว่า ตอนเช้าให้กินอย่างราชา กลางวันกินอย่างคนธรรมดา ตอนเย็นให้กินอย่างยาจก เพราะใกล้จะนอนแล้ว เป็นหลักดำรงชีวิตเพื่อสุขภาพ แต่คนเราใสปัจจุบันปฏิบัติกลับกัน ตอนเช้าไม่กินเลย กาแฟถ้วยเดียวแล้วรีบออกจากบ้าน พักกลางวัน 1 ชั่วโมงต้งรีบกิน มื้อเย็นไว้นัดเพื่อนฝูง กินมื้อใหญ่ เพราะเก็บกดมาทั้งวัน แล้วกลับบ้านไปนอนอืด ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมจึงมีสถาบันเสริมความงามลดน้ำหนัก ฟิตเนส ฯลฯ เกิดขึ้นมากมายราวกับดอกเห็ด

2. เริ่มต้นจากการทำใจ

ไม่จำเป็นต้องไปถือศีลกินเจ เคร่งจนวันหนึ่งตบะแตก เพียงแค่เริ่มต้นจากการค่อยๆ ลดสัตว์ใหญ่ ที่เราโปรดปราณ เช่น เนื้อวัว-ควาย ถ้าทำได้แล้ว ก็ลดเนื้อไก่-เป็ด ลดเนื้อปลาลงไปตามลำดับ หากทำใจไม่ได้ ก็อนุญาตให้หม่ำปลาต่อไป ตามด้วยผักผลไม้มากๆ เริ่มจากกินสัตว์ที่ตัวเล็กลงไปเรื่อยๆ ขอให้คิดว่า กินหมูดีกว่ากินวัว กินไก่ดีกว่ากินหมู กินปลาดีกว่ากินไก่ ทำได้ดังนี้ สุขภาพเรา ก็จะดีขึ้นไปเรื่อยๆ

3. คลอโรฟิลล์ในร่างกายมนุษย์

ผักผลไม้สังเคราะห์แสงจากดวงอาทิตย์ สีเขียวคือคลอโรฟิลล์ มนุษย์เองก็มีคลอโรฟิลล์ หากร่างกายสมบูรณ์สะอาดจากข้างใน หากมีสิ่งแปลกปลอม สารพิษต่างๆ ในร่างกายจะเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน และขับออกมาโดยอัตโนมัติ ไม่มีการเก็บสะสมแล้วทำอย่างไรให้ร่างกายของเรามีคลอโรฟิลล์ถ้าเราไม่กินสีเขียวๆ ของพืชผักผลไม้เลย ชีวิตคุณสั้นแน่ เพราะในนั้นมีคลอโรฟิลล์ มีคุณสมบัติในการฟอกเลือด สังเกตเลือดของคนที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ สีของเลือดจะสวย ใส ไม้ข้น เหมือนคนที่กินเนื้อสัตว์ เพราะเลือดมีสภาวะเป็นด่าง พืชผักผลไม้มีสารอาหาร ที่มีสภาวะเป็นด่าง แต่เนื้อสัตว์กับเลือดของสัตว์เป็นกรด ถ้ากินมาก เลือดเราจะไม่สมบูรณ์ หากเลือดข้นก็จะวิ่งตามเส้นเลือดไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ไม่สะดวก เป็นบ่อเกิดของโรคต่างๆ ได้การวัดค่าของเลือด เรียกว่า คาโลทีนอย ว่าสูงสุด 20,000 - 49,000 มาตรฐานคนทั่วไปอยู่ที่ 20,000 - 40,000 คาโลทีนอยมาก มะเร็งจะไม่มีวันถามหา เพราะมีสารอาหารที่สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระ การที่เรากินผักและผลไม้มากเท่าไหร่ เราก็จะมีคาโลทีนอยมากขึ้นเท่านั้น ผักผลไม้จะมีสีสันต่างๆ มากมาย อย่างสีส้มในแครอท สีส้มในมะละกอ สีเหลืองในมะม่วงสุก พวกนี้จะมีเบต้าแคโรทีน สารสีเหล่านี้จะมีแอนตี้ออกซิแดนซ์ ถั่ว 5 สี จะทำให้อวัยวะหลักในร่างกาย เขาเรียกว่าเบญจธาตุมีความสมบูรณ์มากขึ้น ชีวิตจริง เราอาจจะกินถั่วไม่ครบ 5 สี แต่เรากินพืช ผัก ผลไม้ ครบ 5 สี แทนก็ได้เหมือนกันถ้าจะเปรียบร่างกายเป็นประเทศชาติ ควรรับประทานข้าวกล้อง เพราะข้าวกล้องเป็น ราชาแห่งข้าว มีจมูกข้าวอุดมไปด้วยวิตามิน กล้วยน้ำว้า เป็นราชินี มีความหวานเป็นแป้งบริสุทธิ์ งาดำ-งาขาว เป็นขุนพล และดื่ม น้ำเต้าหู้ อย่างน้อยวันละแก้ว เพื่อล้างพิษต่างๆ ในร่างกาย ดื่มน้ำบริสุทธิ์มากๆ ตั้งแต่ตื่นนอน

4. ผัก 5 ชนิด ถั่ว 5 สี

ถั่ว 5 สี ช่วยบำรุงร่างกาย เช่น ถั่วแดง บำรุงหัวใจ รวมทั้งแตงโม, บีทรูต ฯลฯ จะช่วยบำรุงเลือด การไหลเ่ีวียนของโลหิต ถั่วดำ รวมไปถึง งาดำ ฯลฯ จะบำรุงเส้นผม ผิวหนัง ชุ่มชื้น มันวาว ผมดกดำมัน ผมร่วง เชื้อราบนหนังศีรษะ รากผมแข็งแรง ผิวพรรณไม่แห้งกร้าน ถั่วซีด หรือ ถั่วขาว เช่น ถั่วลิสง, ลูกเดือย, แมกคาเดเมีย บำรุงกระดูก ให้แคลเซียม บำรุงกระดูกข้อมือ บำรุงฟัน ถั่วเหลือง ให้โปรตีน ถั่วเขียว บำรุงอวัยวะภายในร่างกายถั่ว 5 สีนี้ รวมทั้งผัก 5 สี ควรจะรับประทานให้ครบถ้วน มนุษย์รับประทานครบ ก็จะมีคลอโรฟิลล์อยู่ในร่างกาย และนมถั่วเหลือง มีประโยชน์ต่อร่างกาย นักวิทยาศาสตร์จีนเปิดเผยว่า ดื่มน้ำเต้าหู้สดๆ ที่ทำใหม่ๆ วันละ 1 แก้ว สามารถช่วยฟอกพิษในร่างกายได้ แต่ต้องไม่ใช่น้ำเต้าหู้พาสเจอร์ไรซ์ที่ใส่สารกันบูด ที่มีขายเป็นกล่องๆ โดยทั่วไปอยากอายุยืน ผิวพรรณสดใส อ่อนวัยไปนานๆ คงต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการรับประทาน และสิ่งสำคัญคือ การออกกำลังกาย ตามแบบที่เราถนัด ไม่ว่าจะเป็นวิ่งเหยาะๆ เล่นโยคะ ว่ายน้ำ หรือแม้แต่การทำงานบ้านเพื่อให้เหงื่อออก โลหิตไหลเวียนสะดวก เพื่อขับของเสียออกจากร่างกาย แค่นี้ก็ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ที่ไม่จำเป็นในชีวิตอีกหลายอย่าง

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์อีสเทอร์น)

อาการของมือชา - การกดทับเส้นประสาทที่ฝ่ามือจะทำให้มีอาการปวดมือและปวดร้าวขึ้นไปที่แขนมักจะมีอาการชาที่นิ้วมือ โดยเฉพาะที่นิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ นิ้วกลางและบางส่วนของนิ้วนางตามแนวของเส้นประสาท

อาการปวดจะมีมากขึ้นเมื่อมีการใช้งานในลักษณะการเกร็งอยู่นานๆ เช่น การจับมีด กรรไกร การทำงานช่างที่ใช้ค้อนหรือใช้เครื่องมือที่มีแรงสั่นสะเทือนตั้งแต่เครื่องเป่าผมจนถึงเครื่องกระแทกเจาะคอนกรีต มักจะมีอาการปวดในเวลากลางคืนหรือเวลาตื่นนอนตอนเช้าบางรายที่ถูกกดทับอยู่นานๆ จะเริ่มมีอาการอ่อนแรงของมือ เช่น จะรู้สึกว่าไม่ค่อยมีแรงเวลากำมือ โดยเฉพาะการใช้มือหยิบของเล็กๆ จะทำได้ลำบากและมีกล้ามเนื้อลีบที่ฝ่า

การรักษา

ให้หลีกเลี่ยงการใช้งานมือในลักษณะเกร็งนานๆ

ควบคุมหรือรักษาโรคประจำตัว โดยเฉพาะเบาหวานให้ดี

การใช้ยาลดอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ชนิดรับประทานมักจะได้ผลดี โดยอยู่ในดุลพินิจของแพทย์

บางรายอาจต้องใช้อุปกรณ์ช่วยดามข้อมือชั่วคราว

การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าในช่องอุโมงค์จะช่วยอักเสบและบางรายจะหายได้

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

อาหารเพื่อสุขภาพตา !!!

เราจำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่ช่วยรักษาสุขภาพตา คือ สารแอนติออกซิแดนท์ (วิตามินซี อี เบตาแคโรทีน ลูทีน ซีแซนทิน สังกะสี และไบโอเฟลโวนอยด์)

เบตาแคโรทีน เป็นสารอาหารที่ร่างกายเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ซึ่งช่วยในการมองเห็นในที่มืด และยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพตา ช่วยบำรุงรักษาดวงตาและป้องกันโรคตาหลายชนิด เช่น ต้อกระจก โรคตาบอดกลางคืน และยังช่วยให้ผิวเยื่อเมือกต่าง ๆ ในร่างกายชุ่มชื้นด้วย ลูทีน (Luteine)และซีแซนทิน(Zeaxanthin) เป็นสารแคโรทีนอยด์ ชนิดหนึ่งมีสีเหลือง พบมากในพืชผักที่มีสีเหลืองและสีเขียวเข้ม เช่น ผักกาด คะน้า ปวยเล้ง ลูทีนและซีแซนทิน เป็นสารธรรมชาติที่พบมากในตาบริเวณจุดรับภาพและจอประสาทตา ทำหน้าที่ช่วยกรองหรือป้องกันรังสีจากแสงแดด ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตาไม่ให้ถูกทำลายโดยการลดอนุมูลอิสระที่ทำลายดวงตา และกรองแสงสีน้ำเงินที่จะทำลายดวงตา ร่างกายจำเป็นต้องได้รับสารลูทีนจากอาหาร ส่วนสารซีแซนทิน นอกจากจะได้จากอาหารส่วนหนึ่งแล้ว ร่างกายสามารถเปลี่ยนสารลูทีนในตาไปเป็นสารซีแซนทินได้ ปริมาณลูทิน 6 มก./วัน ช่วยลดความเสี่ยงจอประสาทตาเสื่อมถึงร้อยละ 50

ดังนั้นผู้ที่บริโภคผักผลไม้หลายๆ สีเป็นประจำสามารถลดความเสี่ยงโรคจอประสาทตาเสื่อม เนื่องจากผลไม้จะเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระดังกล่าว

ไบโอเฟลโวนอยด์ พบได้ในบลูเบอร์รี่หรือบิลเบอร์รี่ องุ่นแดง ส้ม และเครนเบอร์รี่ ไบโอเฟลโวนอยด์ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ คือ สารแอนโธไซยานิติน ช่วยป้องกันเลนส์ตาและสร้างความแข็งแรงให้กับสารคอลลาเจน สารสกัดจากบิลเบอร์รี่ ได้รับความนิยมสูงมากรองจากลูทีน นอกจากจะช่วยป้องกันเลนส์ตาแล้ว ยังช่วยให้มองเห็นในที่มืดหรือที่มีแสงสลัว ๆ ได้ชัดเจนขึ้น บิลเบอร์รี่ เป็นพืชสมุนไพรที่ใช้กันมานานตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากนักบินทหารอากาศของอังกฤษสังเกตเห็นว่าการบริโภคแยมบิลเบอร์รี่ก่อนที่จะออกบินในเวลากลางคืน ช่วยให้สายตาทำงานในที่มืดดีขึ้น

บิลเบอร์รี่ เป็นผลไม้สมุนไพรที่มีความปลอดภัยและไม่พบพิษโดยผลจากการวิจัยต่างๆ ไม่พบผลข้างเคียง ดังนั้น นักวิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการมีสุขภาพดีของมนุษย์ด้วยการบำรุงรักษาอย่างถูกวิธี

ปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมที่จะทำลายเลนส์ตาและทำให้จอประสาทตาเสื่อมนั้น เป็นสิ่งที่สามารถปรับเปลี่ยนได้โดยการใช้แว่นกันแดดที่สกัดกั้นสารยูวี เลิกสูบบุหรี่ และบริโภคผักผลไม้ที่มีสารแอนติออกซิแดนท์และสารแอนโธไซยานิดินสูง การบริโภคผักและผลไม้วันละ 9 ส่วน ช่วยลดความเสี่ยงต้อกระจกและจอประสาทเสื่อม และเสริมสุขภาพด้านอื่นด้วยนะคะ

พงษ์ศิริ รวมสุข ม.ฟาร์อีส

5 อาหารสุขภาพที่คุณควรระวัง

 

อาหาร สุขภาพ การกิน ผู้หญิง ความงาม      ถึง ฉลากจะบอกว่าดีสำหรับคุณ แต่ข้อความที่ติดอยู่ข้างบรรจุภัณฑ์ก็ไม่จำเป็นต้องหมายความอย่างนั้นเสมอไป อย่าลืมว่าแผนการตลาด ‘ไขมันต่ำ’ และ ‘คุณค่าทางอาหารสูง’ อาจจะทำให้คุณเขวเหมือนกับหลายคนที่หลงกลกับเรื่องง่ายๆ เพราะฉะนั้น สิ่งที่คุณควรทำทุกครั้งก่อนเลือกซื้ออาหารสุขภาพคือ คำนวณคุณประโยชน์จริงๆ มากกว่าเชื่อในหน้าตาอาหารที่เห็นหรือเฉพาะข้อความโฆษณา และต่อไปนี้คือ 5 รายการอาหารสุขภาพที่คุณควรจะหันมาพิจารณา

     ทุกครั้งก่อนที่จะเลือกซื้อหรือรับประทาน
     * โยเกิร์ตผสมเนื้อผลไม้ : ใน ด้านหนึ่ง ดูยังไงโยเกิร์ตและผลไม้ก็เป็นอาหารที่มuประโยชน์ ในมุมมอง ของผู้ชายที่เข้าฟิตเนสและรักสุขภาพร่างกาย แต่ในอีกด้านหนึ่ง น้ำเชื่อมที่อยู่ในโยเกิร์ต ผสมเนื้อผลไม้นั้นไม่ใช่

     ทั้ง โยเกิร์ตและผลไม้ล้วนมีความหวานในตัวอยู่แล้ว น้ำเชื่อมเป็นความหวานเกินพอดีจากน้ำตาลที่เพิ่มเข้าไป คุณจึงควรเลือกที่จะหลีกเลี่ยงความหวานเกินจำเป็นที่ว่า ด้วยการกินโยเกิร์ตควบคุมน้ำตาล หรือมีน้ำตาลต่ำกว่าโยเกิร์ตที่กินเป็นประจำ
        
 * แคลิฟอร์เนีย โรล : ภาพ ที่เห็นคือสาหร่ายที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสารอาหารห่อข้าว มีไอโอดีน เซเลเนียม แคลเซียม และโอเมก้าที่ช่วยบำรุงสมองเป็นส่วนประกอบ แน่นอน, คุณรู้ว่ามันให้ประโยชน์มากแค่ไหน

     แล้วภายใต้ชั้นสาหร่ายนั้น ล่ะ ลองมาดูกันหน่อยว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ในนั้นประกอบด้วยอะไร ถ้าไม่ใช่น้ำตาลที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในการหุงข้าวญี่ปุ่น (หุงด้วยน้ำตาลและน้ำส้มสายชู) และเนื้อปูอัดอีกนิดหน่อย รวมๆ แล้วแคลิฟอร์เนีย โรลคำใหญ่จึงมีแต่แป้ง น้ำตาล และเกือบจะไม่มีโปรตีนเลย ทางออก ก็คือ การกินซูชิ  ที่ทำจากทูน่าหรือแซลมอน ความหลากหลายของโปรตีนในซูชิจะให้ปริมาณโปรตีนแบบเต็มๆ เยอะกว่ามาก และมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตน้อย ถ้ายังไม่พอใจคุณจะสั่งเมนูซาชิมิ เลี่ยงข้าว รับโปรตีนไปเต็มๆ เลยก็ยังไหว รับรองได้ว่าอร่อยและปลอดภัยจากน้ำตาลแน่นอน
อาหาร สุขภาพ การกิน ผู้หญิง ความงาม
    
อาหาร สุขภาพ การกิน ผู้หญิง ความงาม
     * น้ำสลัดไขมันต่ำ : ดู เหมือนว่าน้ำสลัดไขมันต่ำจะช่วยลดไขมันและลดแคลอรี แต่ที่จริงแล้ว คุณรู้ไหมว่าน้ำตาลถูกเพิ่มเข้าไปแทนที่เพื่อให้ได้รสชาติที่ดี และที่แย่กว่านั้นก็คือความจริงที่ว่าไขมันที่ซึมซับวิตามินได้ถูกแยกออกไป เนื่องจากนักวิจัยมหาวิทยาลัยโอไฮโอค้นพบว่า ร่างกายของคนที่กินผักกับน้ำสลัดธรรมดาดูดซึมเบตาแคโรทีนซึ่งมีคุณสมบัติของ แอนตี้ออกซิแดนท์ช่วยป้องกันการก่อมะเร็งได้มากกว่าถึง 15 เท่า และดูดซึมลูเทียน (Lutein) สารสีเหลืองซึ่งมีส่วนช่วยในการสกัดกั้นการอุดตันของเส้นเลือดในปริมาณที่ มากกว่า

     น้ำสลัดไขมันต่ำจึงอาจไม่ใช่ทางออกของอาหารสุขภาพที่ คุณกำลังมองหา ในเวลาเดียวกันคุณสามารถกินน้ำสลัดทั่วไปได้แต่ในปริมาณน้อย หรือเลือกกินน้ำสลัดที่ทำจากน้ำมันมะกอกและน้ำมันดอกคาโนลา (Canola Oil ) ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ได้
     * ธัญพืชชนิดแท่ง : ทุก คนรู้ว่ามันทำมาจากโฮลวีต ข้าวโอ๊ต และธัญพืชอื่นๆ ที่ให้ไฟเบอร์หรือเส้นใยสูง แต่สิ่งที่คุณลืมคือ เมล็ดพืชและธัญพืชเหล่านี้ถูกทำให้มีความเหนียวติดกันด้วยส่วนผสมอย่างน้ำ เชื่อมข้าวโพดที่มีฟรักโทสสูงและน้ำผึ้ง สิ่งที่พูดมาทั้งหมดทำให้น้ำตาลในเลือดของคุณค่อยๆ สูงขึ้น คุณจึงควรเผื่อเวลาสำหรับกินให้อิ่มและจบไปเป็นมื้อๆ หรือถ้าต้องการเพิ่มพลังงานจริงๆ คุณควรจะกินธัญพืชที่เตรียมด้วยตัวเอง แทนที่จะฝากชีวิตไว้กับธัญพืชชนิดแท่งในกระเป๋าทุกวัน

 อาหาร สุขภาพ การกิน ผู้หญิง ความงาม        * น้ำมันข้าวโพด : คุณ รู้แต่เพียงว่า น้ำมันข้าวโพดมีกรดโอเมก้า 6 และไขมันไม่อิ่มตัว จึงไม่เพิ่มระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย แต่คุณอาจยังไม่รู้ว่า ความเป็นจริงแล้ว น้ำมันข้าวโพดมีโอเมก้า 6 มากกว่าโอเมก้า 3 ที่พบในปลาและวอลนัทถึง 60 เท่า ซึ่งผลการศึกษาพบว่าการกินโอเมก้า 6 มากเกินไปมีเหตุเกี่ยวโยงที่ทำให้เพิ่มการติดเชื้อซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการ เกิดมะเร็ง รวมทั้งโรคข้ออักเสบ ข้อเสื่อม รวมทั้งโรคอ้วนได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น น้ำมันมะกอกและน้ำมันจากดอกคาโนลา ซึ่งมีสัดส่วนของโอเมก้า 6 และโอเมก้า 3 ที่ต่างกันในปริมาณพอเหมาะจึงน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
ในบรรดาประเภทของน้ำมันทั้งหมด
น.ส.กิ่งกาญจน์ บัวชุม ภาคค่ำ เลขที่ 9

นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 243

“เกลือ” เค็มแต่ดี หรือมีพิษกันแน่

ในร่างกายนั้น เกลือนับว่ามีความสำคัญต่อชีวิตมากพอๆ กับน้ำและอากาศเลยทีเดียว เพราะเกลือมีโซเดียมที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยมีหน้าที่สำคัญในการรักษาปริมาณของเลือดและความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ ถ้าจะพูดภาษาชาวบ้านก็คือโซเดียมมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำงานของหัวใจ ความดันโลหิต การทำงานของกล้ามเนื้อ และการทำงานของไต

ในขณะเดียวกันโซเดียมต้องทำงานร่วมกับคลอไรด์ โพแทสเซียม แคลเซียม และแมกนีเซียม การที่โซเดียมต่ำหรือสูงจะมีผลกระทบกระเทือนต่อแร่ธาตุตัวอื่นๆ ในร่างกาย แต่ไม่ต้องกังวลไปค่ะ ร่างกายแสนมหัศจรรย์ของเราก็มีวิธีปรับสมดุลเกลืออยู่เหมือนกัน

โชคดีที่มีระบบปรับสมดุลเกลือ

แพทย์หญิงโชติมา พิเศษกุล อายุรแพทย์ด้านโรคไต ขยายความเรื่องนี้ให้ฟังต่อว่า “ปกติร่างกายเราไม่ค่อยขาดเกลือ แม้ว่าจะกินเกลือเพียงเล็กน้อย เพราะร่างกายมีระบบที่สามารถเก็บเกลือไว้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังปรับตัวต่อปริมาณเกลือที่ลดลงได้ อีกทั้ง เกลือยังมีอยู่ในอาหารธรรมชาติแทบทุกชนิด ทั้งเนื้อสัตว์ ข้าว ผัก และผลไม้ ในปริมาณที่แตกต่างกันไป นอกจากนี้ ในคนปกติก็หมดห่วงเรื่องได้รับเกลือมากเกินไป เพราะเกลือที่เหลือจะถูกขับออกทางปัสสาวะ อุจจาระ และเหงื่อ โดยมีไตเป็นอวัยวะหลักที่ควบคุมให้มีการกำจัดเกลืออย่างเหมาะสม”

ขาดเกลือไป ทำลายสุขภาพ

การขาดเกลือของคนเรานั้นเกิดน้อยมาก ยกเว้นในบางกรณีที่มีการสูญเสียโซเดียมมากกว่าปกติ หรือที่เรียกว่า ภาวะโซเดียมต่ำ ซึ่งเกิดได้จาก

การมีเหงื่อออกมากเกินไป เพราะใช้กำลังหักโหม ออกกำลังกายอย่างหนัก หรือต้องอยู่ในบริเวณที่ร้อนอบอ้าวเป็นเวลานาน ทำให้สูญเสียเกลือแร่ออกมาทางเหงื่อ

ท้องเสียหรืออาเจียนอย่างรุนแรง หรือติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้สูญเสียน้ำและเกลือแร่ จึงจำเป็นต้องได้รับเกลือแร่เข้าไปทดแทน

สูญเสียเลือดในปริมาณมากๆ จากอุบัติเหตุ ทำให้สูญเสียเกลือแร่จำนวนมากไปกับเลือดนั่นเอง

การใช้ยาขับปัสสาวะเป็นเวลานานๆ โดยปกติยาชนิดนี้จะใช้เพื่อขับน้ำส่วนเกินและเกลือแร่ออกจากร่างกาย ซึ่งเป็นประโยชน์ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง โรคหัวใจบางชนิด ตลอดจนผู้ที่มีอาการบวมน้ำ เป็นต้น แต่สำหรับบางคนที่ซื้อยาขับปัสสาวะมารับประทานเอง โดยมิได้ปรึกษาแพทย์ หรือกินยาชนิดนี้ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้โซเดียมในร่างกายลดน้อยลงเช่นกัน

อาการขาดโซเดียมได้ อาจแสดงอาการดังนี้ คือ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ การทำงานของกล้ามเนื้อผิดปกติ เป็นตะคริว ปวดหัว ปัสสาวะน้อย อาจเกิดภาวะความดันเลือดต่ำ ปริมาณเลือดน้อย ระบบไหลเวียนของเลือดและหัวใจล้มเหลว มีอาการชักหรือกระตุกตามร่างกาย และหมดสติได้ในที่สุด

นอกจากนี้ ความผิดปกติของร่างกายที่ทำให้ไม่สามารถขับถ่ายน้ำได้ตามปกติจะส่งผลทำให้เกิดภาวะโซเดียมต่ำ เช่น โรคหัวใจล้มเหลวอย่างรุนแรง โรคไตวาย และโรคตับ เป็นต้น

เกลือมากเกิน ก่อโรคร้าย

แม้รสเค็มจะช่วยกระตุ้นให้เจริญอาหาร แต่ถ้าคุณกินมากเกินไปก็ให้โทษเช่นกัน ที่เห็นชัดก็คือกระหายน้ำ นอกจากนั้นยังมีโรคอันตรายอีกมากมาย

ความดันโลหิตสูง การกินเค็มส่งผลให้ปริมาณโซเดียมในเลือดมากขึ้น มีผลให้แรงดันของเหลวสูงขึ้น ร่างกายจึงต้องการปรับสมดุลด้วยการทำให้เจือจางลงโดยการดันน้ำออกจากเซลล์ ทำให้ปริมาณน้ำเลือดมีมากขึ้น เมื่อมีน้ำเลือดมากขึ้นก็ต้องใช้แรงดันเลือดเพิ่มมากขึ้น

โรคไต เนื่องจากไตเป็นอวัยวะสำคัญที่ช่วยปรับระดับโซเดียมในร่างกาย โดยปกติเมื่อร่างกายได้รับปริมาณโซเดียมสูงเกินไป ไตจะทำหน้าที่ขับน้ำและโซเดียมส่วนเกินออกมา แต่เมื่อใดก็ตามที่ไตทำงานผิดปกติ ไตก็จะไม่สามารถขับโซเดียมในปริมาณที่เหมาะสมได้ สำหรับผู้ที่มีอาการไตวายเรื้อรังอยู่แล้ว และเมื่อร่างกายมีปริมาณโซเดียมสะสมสูง น้ำในร่างกายจะเพิ่มปริมาณมากขึ้น ทำให้เกิดอาการบวมหรือปริมาณของเหลวในร่างกายที่มากเกินไป ส่งผลภาวะน้ำท่วมปอดได้

โรคหัวใจ สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวคือความดันโลหิตสูง หากกินโซเดียมมาก จนทำให้ความดันคุมยาก ผลคือทำให้หัวใจต้องสูบฉีดหนักขึ้น และยังอาจทำให้ผนังกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้าย ซึ่งคอยควบคุมการไหลเข้าออกของเลือดหนาขึ้น ส่งผลให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจตีบได้ รวมไปถึงโรคเส้นเลือดในหัวใจหรือสมองตีบตัน หัวใจวาย อัมพฤกษ์ และอัมพาตได้

ภาวะบวม ถ้าร่างกายได้รับเกลือหรือโซเดียมมาก แต่ขับโซเดียมออกมาไม่ได้ดี เช่น กรณีผู้ป่วยโรคไต โรคตับ หรือโรคหัวใจ ในร่างกายก็จะมีน้ำคั่งมาก เพราะเกลือที่คั่งอยู่จะดูดน้ำเข้ามาไว้ในอวัยวะต่างๆ ทำให้ปริมาณน้ำของเนื้อเยื่อภายในและภายนอกเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดอาการบวมขึ้นได้

โรคกระดูกพรุน การรับประทานเกลือมากเกินไปเป็นเวลานานๆ อาจทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียมในกระดูก เนื่องจากขณะที่ร่างกายพยายามขับโซเดียมส่วนเกินออกทางปัสสาวะยังส่งผลให้มีการขับถ่ายแร่ธาตุอื่นๆ รวมทั้งแคลเซียมออกไปด้วย จะเกิดการสูญเสียแบบสะสมเป็นผลทำให้เกิดภาวะกระดูกบางหรือโรคกระดูกพรุน และเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุอาจเกิดกระดูกแตกร้าวได้ง่าย

โรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ อย่างที่เล่าว่าคนที่กินอาหารรสเค็มจัดเป็นเวลานาน ทำให้สูญเสียแคลเซียมในปัสสาวะมากนั้น แคลเซียมดังกล่าวยังอาจสะสมทำให้เกิดเป็นนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้อีก ซึ่งแคลเซียมเป็นส่วนประกอบสำคัญของการเกิดโรคนิ่วได้

ความเค็มในชีวิตประจำวัน

“สำหรับคนไทยแล้ว แหล่งโซเดียมไม่ได้มาจากเกลือบนโต๊ะแบบต่างประเทศเท่านั้น เรายังมีเครื่องปรุงรสเค็มอื่นๆ ที่มีเกลือเป็นส่วนประกอบอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสหอยนางรม ซอสมะเขือเทศ หรือซอสพริก ตลอดจนเครื่องปรุงรสเค็มตามท้องถิ่นต่างๆ เช่น กะปิ ปลาร้า น้ำบูดู หรือน้ำปู๋ แถมบางบ้านยังต้องมีน้ำปลาพริกวางไว้เคียงคู่โต๊ะอาหารอีกด้วยค่ะ นอกจากนี้ อาหารแปรรูปและอาหารสำเร็จรูปต่างๆ เช่น ไส้กรอก บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ก็มีเกลือโซเดียมเป็นส่วนประกอบ แม้อาหารบางอย่างที่ไม่ได้ออกรสเค็มก็มีโซเดียมเป็นส่วนประกอบเช่นกัน อาทิ ผงฟู (โซเดียมไบคาร์บอเนต) ผงชูรส (โมโนโซเดียมกลูตาเมท) ตลอดจนสารกันบูด (โซเดียมเบนโซเอต) เป็นต้น”

“เค็ม” เท่าไรถึงพอดี

“จากคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกและข้อกำหนดสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคประจำวันสำหรับคนไทย ในฉลากโภชนาการ กำหนดไว้ว่า เราควรบริโภคโซเดียมไม่เกินกว่า 2,400 มิลลิกรัมต่อวัน หรือคิดเป็นเกลือวันละ 6 กรัม และเทียบเท่ากับเกลือ 1 ช้อนชา อย่างไรก็ตาม ปริมาณโซเดียมที่ร่างกายต้องการจริงๆ นั้นน้อยมากเพียง 500 –1,475 มิลลิกรัมต่อวัน ปกติอาหารประจำวันจะได้รับโซเดียมคลอไรด์พอเพียง ซึ่งเกลือ 1 ช้อนชา จะให้โซเดียมถึง 2,400 มิลลิกรัม มากกว่าปริมาณที่ร่างกายของเราต้องการหลายเท่า”

ทางที่ดี สำหรับผู้ที่ไม่อยากเจ็บป่วยหรือเป็นโรคแล้วก็ตาม คือ ต้องหัดกินอาหารรสจืดให้ได้เป็นปกติ และกินอาหารรสจัดให้น้อยลง

นางสาว โชติกา แจ้งกระจ่าง เลขที่5 วิทย์ออก

วันนี้นำเรื่องน่าสนใจมาให้เพื่อนๆและอาจารย์อ่านค่ะ

รู้ไหม ว่าอาหารที่พวกเราทานเข้าไป อาจจะทำให้ร่างกายเกิดอาการง่วงนอน

กาแฟ เคยได้ยินแต่กาแฟช่วยให้ไม่ง่วง แต่..ถ้าเราดื่มกาแฟในขณะที่กระเพาะอาหารยังว่างอยู่จะทำให้เกิดอาการง่วงนอนได้ เพราะหลังจากดื่มกาแฟไป 30 นาที คาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟจะเข้าไปในกระแสเลือดและถูกส่งต่อไปที่สมอง โดยขณะนั้นเองออกซิเจนที่ถูกลำเลียงไปเลี้ยงสมองก็จะถูกสกัดกั้นเอาไว้ ทำให้ร่างกายของเราเกิดอาการง่วงนอนตามมา

กล้วย ภายในกล้วยจะมีฮอร์โมนเซโรโทนินและนอร์เอพิเนฟริน ที่จะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุขออกมา ดังนั้นถ้าเราทานกล้วยมากจนเกินไปก็จะทำให้ร่างกายของเราเกิดอาการไม่อยากขยับเขยื้อนร่างกายได้

ช็อกโกแลต สาร Phenylethylamine ในช็อกโกแลตจะทำให้ร่างกายของเราเกิดอาการง่วงนอนได้

ครัวซองต์ จะมีปริมาณแป้งขัดขาวและไขมันมากซึ่งจะต้องใช้พลังงานในการย่อย ดังนั้นถ้าเราทานครัวซองต์ 2-3 ชิ้น ร่างกายก็ต้องดึงเลือดจากสมองมาที่กระเพาะอาหารเป็นจำนวนมาก ทำให้เลือดที่สมองมีไม่เพียงพอจึงทำให้เกิดอาการง่วงนอน

ขนมปังขาวและข้าวขาว เพราะมีสารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตชนิดเร่งด่วน ซึ่งทำให้ตับอ่อนหลั่งสารอินซูลินออกมามาก ทำให้น้ำตาลในเลือดขึ้นสูงและทำให้ง่วงนอน

ของหวาน เช่น เค้ก คุ้กกี้ จะทำให้วิตามินบีออกจากร่างกายเราเร็วขึ้นส่งผลให้ร่างกายเกิดอาการง่วงนอน

ผลิตภัณฑ์นม เนื่องจากในนมจะมีทั้งแคลเซียมและโปรตีน ซึ่งในโปรตีนนั่นก็จะมีการแยกกรดอะมิโนออกมา ดังนั้นถ้าร่างกายของเรามีกรดมากเกินไปก็จะทำให้เกิดอาการง่วงนอน

คนึงนิจ (ฟาร์อีสเทอร์น)

การรับแสงแดดในปริมาณเล็กน้อยส่งผลดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะกระดูก รังสีอัลตร้าไวโอเล็ต-บี หรือยูวีบีจากดวงอาทิตย์ช่วยกระตุ้นร่างกายให้สร้างวิตามินดี ส่งผลให้กระดูกแข็งแรง และกระตุ้นสารพันธุกรรม(ยีน) ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการเติบโตของเซลล์ ทำให้เซลล์ไม่เกิดการแบ่งตัวอย่างไร้การควบคุม จึงไม่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ในหนึ่งสัปดาห์ควรให้ร่างกายได้รับแสงแดดจากดวงอาทิตย์ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 5-10

ประโยชน์ของบัวบก -แก้อาการช้ำใน -มีผลต่อการสร้างคอลลาเจนในร่างกาย -ทำให้บาดแผลหายเร็ว -รักษาแผลไฟไหม้ที่ไม่รุนแรงและโรคผิวหนังหลายชนิด -เพิ่มความแข็งแรงให้กับเส้นเลือดโดยมีผลต่อการสร้างเนื้อเยื่อของผนังหลอดเลือด -ช่วยลดอาการและป้องกันการเกิดโรคของหลอดเลือด เช่นเส้นเลือดขอด -แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า -บำรุงธาตุ บำรุงหัวใจ ขับปัสสาวะ

การบริโภคเมล็ดถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองทุก ๆ วัน จะช่วยชะลอความแก่ เพราะถั่วเหลืองอุดมด้วยโปรตีน เส้นใย วิตามินบี 1 บี 2 บี 6 บี 12 กรดโฟลิกคลอไรด์ แคลเซียม ฟอสฟอรัส ไขมันไม่อิ่มตัวและฮอร์โมนแอสโตรเจน ซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอล ต้านมะเร็งในเต้านม รักษามวลกร

มะเขือเทศกินประจำช่วยบรรเทาอาการตับอักเสบ แผลเปื่อย โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูงและเส้นเลือดในสมองแตก รักษาแผลไฟไหม้ ท้องร่วง โรคหืดหอบ และโรคภูมิแพ้ตามผิวหนัง มะเขือเทศมีโพแทสเซียมทำให้หัวใจและความดันโลหิตทำงานเป็นปกติ ดื่มน้ำมะเขือเทศเป็นประจำช่วยชำระล้างมลพิษใน

เบญจวรรณ หล้าแปง (Far 40)

ดื่มน้ำซุป 3 ช้อนโต๊ะ ก่อนกินอาหารแต่ละมื้อ ลดภาวะโรคชราได้เป็นอย่างดี คนจีนโบราณเชื่อว่า การกระทำดังกล่าวช่วยให้เจริญอาหารและช่วยย่อย เป็นการป้องกันโรคระบบทางเดิน

กินขิงสด ๆ หรือกินจากอาหารช่วยให้เลือดหมุนเวียนดี บำรุงเส้นผมที่เกิดใหม่ บรรเทาปัญหาการย่อยอาหาร ท้องร่วง หรือเป็นหวัด ไข้หวัดใหญ่ เพียงฝานขิงเป็นแว่นแล้วต้มใส่น้ำตาลกรวด ดื่มร้อน ๆ ก่อนเข้านอน แล้วห่มผ้าหนา ๆ ให้เหงื่อออก รุ่งเช้าอาการหวัดจะหายไปเป็นปลิด

ออกกำลังกายช่วยชะลอความแก่ นอกเหนือจากประโยชน์ที่มักกล่าวถึงกัน คือช่วยการไหลเวียนของโลหิต สร้างภูมิคุ้มกัน ช่วยให้หัวใจทำงานได้ดีขึ้น ช่วยให้ผิวหนังยืดหยุ่นอย่างมาก จึงเป็นการป้องกันรอยตีนกาบนใบหน้าอันเนื่องจากการแก่ชรา

มะม่วงเป็นอาหารช่วยรักษาโรคความจำเสื่อม เพราะมีวิตามินเอสูง นอกจากนั้นวิตามินเอยังมีในตับ ไข่แดง น้ำมันตับปลา มะเขือเทศ และมันพื้นบ้าน

แตงกวาเป็นหนึ่งในอาหารช่วยรักษาสิวบนใบหน้าและลำตัวได้ ด้วยการกินแตงกวาสด การดื่มน้ำผึ้งชงกับน้ำเย็น ดื่มชาเขียวทุก ๆ เช้า สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ วันละสองครั้ง เพื่อช่วยให้เกิดภาวการณ์นอนหลับสนิท ทำจิตให้ปลอดโปร่ง ปลดปล่อยความกดดันออกไป ก็ช่วยรักษาสิวด้วยเช่น

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์อีสเทอร์น)

ผักปวยเล้งบรรเทาอาการโรคเบาหวาน โลหิตจาง ท้องผูก โรคตับ ต้อกระจก เพลียตา ตาบอดกลางคืน ความดันโลหิตสูง มะเร็ง เลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล ได้เป็นอย่างดีพอ ๆ กับการช่วยรักษา

ว่าพริกไทยช่วยเจริญอาหาร ช่วยระบบการย่อย และระบบการไหลเวียนต่าง ๆ ในร่างกาย ทั้งเพิ่มความต้องการและความสามารถทางเพศด้วย มีสรรพคุณลดอาการบวม รักษาไข้หวัดใหญ่ อาการปวดศรีษะและโรคภัยไข้เจ็บที่มีสาเหตุมาจากความชื้นและความหนาวเย็นของอากาศ

ส้มอุดมไปด้วยวิตามินซี โพแทสเซียมและกรดโฟลิก บรรเทาอาการหวัด ไข้หวัดใหญ่ ปวดศรีษะ อาหารไม่ย่อย โรคหืด ไอ โรคเกี่ยวกับตา เช่น ต้อกระจก ตาบอดกลางคืน โรคมะเร็ง และโรคฟัน สร้างระบบภูมิคุ้มกันและช่วยให้บาดแผลหายเร็วขึ้น ดื่มน้ำส้มประจำจะช่วยให้ปัสสาวะสะดวก

หอมใหญ่ช่วยลดความดันโลหิตสูงและระดับคอเลสเตอรอล บรรเทาอาการหวัดและไข้หวัดใหญ่ ทำลายแบคทีเรียในร่างกาย ช่วยเจริญอาหาร ลดภาวะอาหารไม่ย่อย อีกทั้งยังสามารถใช้เป็นยาทาภายนอก บรรเทาอาการปวดแสบ ระคายเคือง ยุงกัด และแผลไฟไหม้

วราภรณ์ สุตพลสันติกุล FEU

กินเห็ดเป็นประจำ ช่วยลดความดันโลหิตสูงและระดับคอเลสเตอรอล ในขณะเดียวกันก็ช่วยป้องกันเลือดเกาะตัวเป็นก้อน และปัญหาทางด้านหัวใจ เสริมสร้างระบบย่อยอาหาร เพิ่มความแข็งแรงให้กับระบบภูมิคุ้มกัน บำบัดโรคผิวหนัง ป้องกันและทำลายเซลมะเร็งหลายชนิด

รากบัวใช้บรรเทาอาการคลื่นเ***ยนอาเจียน สะอึก ท้องร่วง เบื่ออาหาร โรคเส้นเลือดอุดตันในสมองและอาหารเป็นพิษ ในทางโภชนาการรากบัวประกอบไปด้วยโปรตีน แป้ง วิตามินชนิดต่าง ๆ เอนไซม์ช่วยย่อย และแร่ธาตุต่าง ๆ

ดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ ทุกวัน ช่วยทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น ข้อต่อยืดหยุ่น ชำระล้างร่างกายภายใน ช่วยย่อยอาหาร ช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ ช่วยให้ระบบภายในต่าง ๆ กระฉับกระเฉง

กล้วยอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ช่วยลดความเสี่ยงโรคเส้นเลือดอุดตันในสมอง โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาเรื่องความดันโลหิตสูง บรรเทาอาการท้องผูก ท้องร่วง อาหารไม่ย่อย โรคเกี่ยวกับต่อมลูกหมาก กามตายด้าน โรคหัวใจและโรควูบ ใช้ผิวเปลือกด้านในถูตามบริเวณที่เป็นสิว ทำให้สิวเบาบาง

วิชชุดา เลิศคำฟู FEU

ผักกาดขาว เป็นผักซุปเปอร์แคลเซียม อีกทั้งยังมีโฟเลทหรือกรดโฟลิกสูง สำคัญต่อสุขภาพของแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ โฟเลทมีบทบาทสำคัญคือทำให้กระบวนการสร้างสารพันธุกรรมหรือ DNA เป็นปกติ และช่วยให้เม็ดเลือดแดงสมบูรณ์ ตลอดจนมีเส้นใยอาหารมาก ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้

ขึ้นฉ่าย มีโปแตสเซียมสูงมาก ทำให้หลอดเลือดขยายตัว ช่วยลดความดันโลหิตสูง ช่วยขับปัสสาวะ รักษาโรคปวดข้อ เช่น รูมาติกและโรคเกาต์ มีโซเดียมอินทรีย์ช่วยปรับกรดและด่างในเลือดให้สมดุล เกิดผลดีต่อระบบประสาท น้ำขึ้นฉ่ายคั้นมีสรรพคุณเป็นยากล่อมประสาท ทำให้รู้สึกสบาย นอนหลับ

ผักบุ้งจีน มีเบต้าแคโรทีน แคลเซียมและเหล็กสูง ช่วยแก้โรคตาบอดกลางคืนได้ดี ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง ผักบุ้งมีสารชนิดหนึ่งที่มีโครงสร้างคล้ายอินซูลิน สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ที่เป็นโรคเบาหวานได้

อนุสรา เลขที่ 16 (ภาคค่ำ)

ประโยชน์การออกกำลังกายสำหรับวัยรุ่น

1. ช่วยทำให้ระบบอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายมีการเคลื่อนไหว แข็งแรง คงทน

และทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง และอดทนยิ่งขึ้น

2. ทำให้ทรวดทรงสง่างาม

3. ทำให้ร่างกายมีการพัฒนาการตามวัยและแข็งแรง

4. ทำให้จิตใจแจ่มใส

5. ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือด ปอด หัวใจทำงานดีขึ้น เพื่อป้องกันโรคหัวใจ

ความดันโลหิตสูง และช่วยให้ไม่เป็นลมหน้ามืดง่าย

6. ช่วยผ่อนคลายความเครียด ไม่ซึมเศร้า ไม่วิตกกังวล สุขภาพจิตดีขึ้น และนอนหลับสบาย

7. ช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น

8. ควบคุมน้ำหนักตัว

นภา ใจเฟย ม.ฟารร์(28)

สีปัสสาวะบอกโรค

ปฏิกิริยาหรืออาการต่างๆ ที่ร่างกายแสดงออก เป็นเสมือนสัญญาณเตือนให้รู้ว่า ร่างกายกำลังเผชิญอยู่กับสิ่งผิดปกติอะไรสักอย่าง ฉะนั้นการสังเกตตัวเองอยู่เสมอก็เป็นวิธีการดูแลสุขภาพที่พึงกระทำ เพราะหากพบความผิดปกติใดๆ ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย ก็จะได้รับมือหรือแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที อะไรที่จะหนักก็จะได้บรรเทาเบาบางลง

สีของปัสสาวะก็อาจบอกให้รู้คร่าวๆ ได้ว่าร่างกายของปกติดีอยู่หรือไม่ ลองมาตรวจร่างกายตัวเองกันหน่อยดีไหม...เอาแบบง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก แค่ลองสังเกตสีปัสสาวะของตัวเองดู

ปัสสาวะออกมาเป็นสีอมแดง

หากปัสสาวะออกมาเป็นสีนี้ต้องลองนึกให้ออกว่าได้รับประทานอาหารอะไรที่เป็นสีทำนองนี้หรือเปล่า เช่น แบล็คเบอร์รี่หรือผักกาดม่วง แต่ถ้าแน่ใจว่าไม่ได้กินอะไรใกล้เคียงกับสีแดงเลย ก็อาจเป็นลางร้าย เพราะสีแดงนั้นอาจจะเป็นเลือดที่ขับออกมาจากไตหรือกระเพาะปัสสาวะอาจอักเสบ หรือไม่ก็อาจจะมีอะไรในร่างกายที่ฉีกขาดเป็นแน่ ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน

ปัสสาวะเป็นสีน้ำตาล

มองได้ 2 อย่างคือ อาจจะเกิดจากการรับประทานถั่วในปริมาณที่มาก หรือว่าอาจจะเป็นลิ่มเลือดที่ปนออกมาก็ได้ ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ดีกว่า

ปัสสาวะออกเป็นสีเหลือง

ถ้าปัสสาวะออกเป็นสีเหลืองอ่อน เป็นไปได้ว่าวันนั้นร่างกายจะได้รับวิตามินบี 2 มากเกินความต้องการจนต้องขับออกมา แต่ถ้าเป็นสีเหลืองเข้มก็หมายความว่า คุณดื่มน้ำน้อยเกินไปแล้ว แต่ถ้ามั่นใจว่าดื่มน้ำเยอะแล้วแต่ทำไมปัสสาวะยังเป็นสีเหลืองเข้มอยู่เหมือนเดิม ก็คงต้องรีบปรึกษาแพทย์เพราะอาจมีโรคไตแฝงมาแล้วก็ได้

ปัสสาวะมีสีขุ่น

ในผู้ที่ปัสสาวะสีขุ่นให้ลองดื่มน้ำส้มดูว่าหายหรือไม่ ถ้าไม่หาย อาจเนื่องมาจากติดเชื้อบางอย่างก็ได้ อาการอย่างนี้ควรปรึกษาแพทย์

ปัสสาวะมีสีส้ม

อาจเป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยาโพรีเดียมที่ใช้ในการรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

ปัสสาวะเป็นสีน้ำเงิน

ถ้าปัสสาวะมีสีอย่างนี้ ไม่ต้องแปลกใจ โดยเฉพาะหากคุณทานยาแก้อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เพราะในยามีส่วนผสมของสารเมธีลีน และขับออกมาทางปัสสาวะ ปัสสาวะจึงมีสีออกฟ้าๆ

เข้าห้องน้ำคราวนี้ อย่าลืมสังเกตดูสีปัสสาวะ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้ไม่ควรมองข้าม สังเกตตัวเองนิดๆ หน่อยๆ ก็เป็นผลดีกับสุขภาพร่างกาย

พิกุล ทุนอินทร์_Far45

การนอนกรน

ความเข้าใจของคุณเกี่ยวกับการนอนกรน คืออะไร?

มีคนจำนวนไม่น้อยมักให้ความสำคัญกับการนอนกรน เป็นแค่เรื่องน่ารำคาญที่เกิดจากคนใกล้ชิด

แต่จะเชื่อหรือไม่ว่า เสียงกรนที่ดังขึ้น ถี่ขึ้น นั้นหมายถึง ภาวะทางสุขภาพที่มีความเสี่ยงสูง

แล้วเหตุใดคนเราจึงต้องนอนกรน… การนอนกรน เป็นภาวะที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในชาย และหญิง ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นแต่กำเนิด แต่มักจะพบได้บ่อยกับผู้ที่อายุ 40-50 ปีขึ้นไป โดยพบว่าผู้ชายกว่าครึ่งหนึ่งที่มีอาการนอนกรน เกิดขึ้นจากการมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น

ส่วนสาเหตุรองลงมาก ก็คือ การดื่มสุรา การสูบบุหรี่ และความผิดปกติของกล้ามเนื้อเพดานปากที่หย่อนตัว จนทำให้เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ เพราะในขณะที่เราหายใจผ่านบริเวณที่เนื้อเยื่อหย่อนตัวลงมาขวางทางลม ก็จะมีการสั่นสะเทือนเกิดขึ้นตามจังหวะการหายใจ

ดังนั้น ยิ่งทางเดินหายใจมีพื้นแคบลงเพียงใด ก็จำเป็นต้องอาศัยแรงดังที่สูงขึ้นในการทำให้อากาศไหลผ่านไปได้ การสั่นสะเทือนก็จะแรงขึ้นจนเกิดเสียงดังในขณะที่เราหลับอยู่ หรือที่เรียกว่า “เสียงกรน” นั่นเอง

จากความผิดปกติข้างต้น จึงตอบคำถามได้ว่าเหตุใดการนอนกรน จึงหมายถึงภาวะเสี่ยงของสุขภาพ นั่นเพราะ การนอนกรน เป็นปัจจัยหนึ่งในความผิดปกติในการนอนหลับที่เรียกว่า Sleep Apnea ซึ่งมีผลต่อคุณภาพการนอนที่สมบูรณ์เกิดจากการหลับไม่ลึก หรือมีอะไรมากระตุ้นให้ตื่นเป็นช่วง ๆ เรียกภาวะที่เกิดขึ้นว่า โรคหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea : OSA ) เป็นภาวะของการหยุดหายใจขณะหลับ ที่เกิดจากการอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนบน

โดยพบว่า เมื่อใดที่มีการหยุดหายใจเกิดขึ้น ระดับออกซิเจนในเลือดจะต่ำลงเรื่อย ๆ จนถึงจุดหนึ่งสมองจะถูกกระตุ้นเพื่อให้การหายใจกลับมา ส่งผลให้การนอนของผู้ที่มีอาการขาดตอนเป็นช่วง ๆ และหลับไม่ลึก

และจากการศึกษาถึงผลกระทบดังกล่าวที่มีผลต่อสุขภาพ ก็คือ การที่ร่างกายขาดออกซิเจนในขณะหลับเป็นเวลานาน ๆ ติดต่อกัน อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้หลายอย่าง อาทิ โรคความดันโลหิตสูง, โรคหัวใจ, เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด, หัวใจเต้นผิดปกติ, เกิดภาวะตีบ แตกของหลอดเลือดในสมอง, อาการปวดศีรษะ และปวดหลังในตอนเช้า, มีผลต่อความจำและสมาธิ, มีอาการปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน, มีปัญหาทางสุขภาพจิต และความเสื่อมของสมรรถภาพทางเพศ

นอกจากนี้ หากคุณเป็นบุคคลวัยทำงานที่มีอาการหลับ ๆ ตื่น ๆ กับการหยุดหายใจ และขาดออกซิเจนเป็นช่วง ๆ เช่นนี้ไปตลอดทั้งคืน ทำให้นอนหลับไม่สนิท และไม่รู้ตัวเองว่าตนเองต้องตื่นบ่อย ๆ ในกลางดึก สิ่งที่เป็นผลกระทบโดยตรง ก็คือ อาการง่วงเหงาหาวนอนในตอนกลางวัน คล้าย ๆ กับคนอดหลับอดนอน บางรายอาจเกิดอาการ “หลับใน”

ผลร้ายที่ตามทำให้ ประสิทธิภาพการทำงานลดน้อยลง และอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้

อย่างไรก็ดี การบำบัดภาวะอาการนอนกรนโดยวิธีการธรรมชาติ ที่คุณสามารถทำได้เบื้องต้น ก็คือ การลดน้ำหนัก และปรับเปลี่ยนท่านอน โดยแนะนำให้คุณนอนตะแคงดีกว่า เพราะการนอนหงายจะทำให้ลิ้นตกไปทางข้างหลังของช่องปาก ส่งผลให้ทางเดินหายใจแคบลงและไปอุดกั้นทางเดินหายใจบางส่วน

และหากคุณมีอาการภูมิแพ้ ควรพยายามรักษาภาวะอุดตัน หรือการคั่งภายในจมูก เพื่อลดการจำกัดการไหลของอากาศผ่านจมูก ทำให้คุณต้องอาศัยการหายใจทางปากซึ่งเป็นบริเวณที่มีแผงเนื้อเยื่อที่ถูกขั้นขวางอยู่แล้ว ที่สำคัญ ก็คือ การลดการสูบบุหรี่ และการดื่มของมึนเมา ซึ่งรวมไปถึงการจำกัดการกินยากล่อมประสาทบางชนิดด้วย

แต่เมื่อใดก็ตามที่การบำบัดด้วยวิธีการเบื้องต้นไม่ประสบความสำเร็จ คือ ไม่สามารถทำให้ภาวะการนอนกรนลดลงได้ ขอแนะนำให้คุณรีบเข้ารับการตรวจประเมิณความรุนแรงของโรคหยุดหายใจขณะหลับ กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินหายใจได้ทั้งในโรงพยาบาลของรัฐและเอกชน เพื่อการแก้ไขและลดภาวะแทรกที่มีผลต่อสุขภาพของคุณและครอบครัว

โรคไข้กาฬหลังแอ่น คืออะไร

โรคไข้กาฬหลังแอ่นคือโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Neisseria meningitidis ปกติเราพบเชื้อนี้ในคอโดยไม่เกิดโรค เป็นโรคที่พบไม่บ่อยแต่อันตรายถึงชีวิต การติดเชื้อมีได้ 2 ลักษณะคือ

• เยื่อหุ้มสมองอักเสบ meningitis

• โลหิตเป็นพิษ meningococcemia

นอกจากเยื่อหุ้มสมองแล้ว เชื้อนี้ยังสามารถทำให้เกิดโรคที่ ข้อ ปอดบวม

การติดต่อ

เชื้อนี้จะติดต่อทางน้ำลายหรือเสมหะโดยการสูบบุหรี่ร่วมกัน ดื่มน้ำแก้วเดียวกัน จูบปากกัน หรือผายปอดช่วยชีวิต

อาการของโรคไข้กาฬหลังแอ่น

ผื่นเป็นจุดแดง เหมือนไข้เลือดออก มักจะพบตามแขน ขา ทดสอบเอาแก้วกดบนผื่น ผื่นจะไม่จางหาย

ประกอบด้วย ไข้สูง ปวดศีรษะ คอแข็ง ผื่นตามตัว คลื่นไส้อาเจียน ซึมลง ผื่นจะมีลักษณะ เป็นจุดแดง หรือดำคล้ำ บางที่เป็นตุ้มน้ำซึ่งมีเชื้ออยู่ภายในเนื่องจากโรคดำเนินเร็วมาก หากมีอาการดังกล่าวตั้งแต่ 2 อย่างขึ้นไปโดยเฉพาะผู้ที่สัมผัสผู้ป่วยต้องรีบพบแพทย์โดยด่วน

การวินิจฉัย

• การตรวจเลือด CBC จะพบจำนวนเม็ดเลือดขาวสูง

• การตรวจน้ำไขสันหลัง จะพบเซลล์ในน้ำไขสันหลังสูง

• การตรวจหาเชื้อจากเลือด เช่นการเพาะเชื้อ หรือการย้อมเชื้อจากตุ่มน้ำ หรือเลือด

ภาวะแทรกซ้อน

• หูหนวก พบได้ร้อยระ 10-20

• โรคลมชัก

• ข้ออักเสบ พบได้บ่อยมักเป็นหลายๆข้อ

• ปอดอักเสบ

การรักษา

ในรายที่สงสัยควรรีบให้การรักษาโดยเร็วไม่ควรรอจนเกิดผื่น ยาที่ใช้คือ penicillin

การป้องกัน

วัคซีนป้องกันโรค และยาปฏิชีวนะสำหรับผู้สัมผัสโรค

ใครที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ

ผู้ป่วยที่มีปัจจัยเหล่านี้จะมีโอกาสเป็นโรคไข้กาฬหลังแอ่น คือ

• ผู้ติดเชื้อทางเดินหายใจ

• ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันพกพร่อง

• ผู้ที่สัมผัสกับโรค

• ผู้ที่ท่องเที่ยวไปเหล่งระบาด

• พฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดโรคคือ การสูบบุหรี่มวนเดียวกัน การดื่มแก้วเดียวกัน หรือการจูบปากกัน

วัคซีนป้องกันไข้กาฬหลังแอ่น

เชื้อไข้กาฬหลังแอ่นทำให้เกิดโรคอะไร

เกิดจากเชื้อ Neisseria meningitidis ในประเทศไทยเป็นsorogroup A,B และ อื่นๆคิดเป็นสัดส่วน19.5% 53.7% และ26.8%ตามลำดับทำให้เกิดโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบซึ่งมีอัตราการตาย13%และโลหิตเป็นพิษมีอัตราการตาย11% มักเกิดในอายุ3-12 เดือน

ใครควรได้วัคซีนป้องกันไข้กาฬหลังแอ่น

• เด็กอายุมากกว่า2ขวบในขณะที่มีการระบาดของเชื้อ เด็กอายุ3-18เดือนในช่วงระบาดอาจฉีด2เข็มห่างกัน3เดือน

• ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อสูงเช่นผู้ถูกตัดม้าม

• เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการที่ต้องสัมผัสกับเชื้อ

• บุคคลที่ๆจะไปถิ่นระบาด

หลังฉีดจะมีภูมิอยู่ไม่เกิน3ปี ภูมิจะเริ่มขึ้น7-10วัน

ขนาดวัคซีนที่ให้

ให้ 0.5ml SCที่ แขนหรือก้น ไม่ควรให้วัคซีนในคนท้อง

การให้ยาปฏิชีวนะในผู้ที่สัมผัสโรค

ผู้ที่สัมผัสโรคได้แก่

• สมาชิกในครอบครัวที่อยู่ด้วยกันเกิน25ชมต่อสัปดาห์

• เจ้าหน้าที่ที่ดูแล

• ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดเช่น จูบ การเป่าปากช่วยชีวิต การใช่ท่อช่วยหายใจ

ยาที่ให้มีอะไรบ้าง

• Rifampicin 600mg วันละ2ครั้งเป็นเวลา2วัน 10มก./กก.สำหรับเด็กอายุ1-12ปี 5มก./กก.สำหรับเด็กอายุ3-11เดือน

• Ciprofloxacin500mgวันละครั้ง

• Ceftriazone 250mg IMเป็นทางเลือกในกรณีที่ไม่สามารถใช้ rifampicin

วัคซีนนี้ในประเทศไทยยังไม่ควรมีการใช้วัคซีนป้องกันไข้กาฬเนื่องจากวัคซีนที่มีอยู่ปัจจุบันไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อชนิดที่มีอยู่เพราะวัคซีนที่มีอยู่ต่อต้านได้เฉพาะ serogroup A,C,Y W-135

เสาวลักษณ์ ทองอินทร์_Far31

ไม่จริงหรอกนะ ว่ากินมื้อดึกแล้วจะอ้วน

บีบีซีนิวส์ ? คุณๆทั้งหลายที่กลัวว่ากินอะไรในตอนดึกแล้วจะทำให้เราอ้วนกว่ากินช่วงเวลาอื่นอาจดีใจเพราะ ผลการศึกษาล่าสุดในสหรัฐฯค้นพบ แม้จะกินข้าวดึกแค่ไหนก็ไม่ได้เกี่ยวกับน้ำหนักตัวที่จะเพิ่มขึ้นเลย

จากการรายงานในการประชุม Society for Neuroscience ที่นิวออลีนส์ ของนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยโอเรกอน เฮลธ์ แอนด์ ซายส์ ในสหรัฐอเมริกาซึ่งได้ทำการทดลองกับลิงเพศเมีย 47 ตัว ระบุว่า คำกล่าวอ้างที่ว่าการกินในตอนดึกจะทำให้น้ำหนักเพิ่มนั้นอาจเป็นแค่เพียงแค่ความเชื่อของคนเมืองที่ไม่สมเหตุสมผลนัก

ดร. จูดี้ คาเมรอน และเพื่อนร่วมงาน ค้นพบเรื่องดังกล่าวโดยบังเอิญ จริงๆแล้วพวกเขาต้องการจะศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างฮอร์โมนเพศหญิงกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น

ในส่วนหนึ่งของการศึกษา พวกเขาได้ผ่าตัดเอามดลูกของลิง 19 ตัวจาก 47 ตัวออก ซึ่งลิงตัวที่ถูกผ่าตัดเอามดลูกออกนั้นจะทำให้ระดับฮอร์โมนเพศหญิง นั่นก็คือ เอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ลดลง เหมือนกันช่วงของวัยหมดประจำเดือน และพบว่า ลิงทั้ง 19 ตัวนั้นจะเริ่มกินเยอะขึ้นเรื่อยๆส่งผลให้น้ำหนักตัวก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ดร. คาเมรอน กล่าวว่า "การขาดฮอร์โมนสองตัวนี้ทำให้ลิง 67% กินอาหารเพิ่มขึ้น และอีก 5%มีน้ำหนักตัวมากขึ้นภายในไม่กี่สัปดาห์" นักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้พบด้วยว่าระดับของฮอร์โมนเลปติน เพิ่มขึ้นในลิงเหล่านี้ ซึ่งเลปตินสร้างขึ้นจากเซลล์ไขมัน และมีผลต่อการกิน

ผลการศึกษาก่อนหน้านี้พบว่าผู้หญิงหลายคนเริ่มมีน้ำหนักตัวมากขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยหมดประจำเดือน โดยนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าการค้นพบของพวกเขาจะนำไปสู่การรักษาเพื่อต่อสู้กับปัญหาโรคอ้วน

ช่วงเวลากับมื้ออาหาร

ในระหว่างการศึกษา นักวิทยาศาสตร์ยังพบด้วยว่าในแต่ละวันนั้นลิงกินอาหารในช่วงเวลาที่ต่างกันไป ส่วนใหญ่จะกินในตอนเย็นและกลางคืน แต่พวกเขาก็ไม่พบความเชื่อมโยงระหว่างเวลาที่ลิงกินอาหารกับน้ำหนักของพวกมันที่เพิ่มมากขึ้น

อ้วนไม่อ้วนมันอยู่ที่แคลอรี

"ตลอดเวลาที่ผ่านมา เรามักจะได้รับการบอกเล่าว่าควรหลีกเลี่ยงมื้อดึก เพราะมันจะทำให้เราน้ำหนักมากขึ้น" ดร. คาเมรอนกล่าว "อย่างไรก็ตาม ก็ไม่มีการศึกษาที่จะสนับสนุนความเชื่อพื้นๆนี้ ซึ่งมันอาจเป็นเพียงแค่เรื่องเล่าๆต่อๆกันมาก็ได้" และว่า "ในการศึกษาเรื่องนี้ เราได้บันทึกเวลาที่ลิงกินอาหาร ลิงบางตัวกินช่วงเย็นและช่วงกลางคืน แต่ช่วงเวลาที่กินกับน้ำหนักก็ไม่ได้เกี่ยวพันกันเลย"

ทั้งนี้ นายไนเจล เดนบี้ จากสมาคมโภชนาการของอังกฤษก็ได้ออกมาสนับสนุนการค้นพบดังกล่าว โดยชี้ว่าจุดสำคัญที่สุดอยู่แคลอรี ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหนก็ตามที่กินอาหาร หากแคลอรีมากก็ทำให้น้ำหนักเพิ่มได้ เขากล่าวว่า "จริงๆแล้วร่างกายของคุณไม่ได้สนใจหรอกว่าจะกินเวลาไหน มันเป็นแค่ความเชื่อเท่านั้น ผมคิดว่าเมื่อเราย้อนกลับไปตอนที่คนเริ่มสนใจเกี่ยวกับการกิน ก็จะพบว่าเรามักจะกินพวกขนมขบเคี้ยวที่เต็มไปด้วยไขมันในตอนกลางคืนขณะที่เราดูทีวี ดังนั้นเพื่อที่จะทำให้เราหลีกเลี่ยงที่พฤติกรรมดังกล่าว พวกเขาก็เลยตั้งกฎขึ้นมาว่าเราควรกินเมื่อใด"

ไนเจล ยังแนะอีกว่า "จริงๆแล้วถ้าเราจำเป็นที่จะกินหลัง 6 โมงเย็น หรือ 2 ทุ่ม มันน่าจะดีกว่าถ้าเราจะนั่งลงและกินอาหารเป็นมื้อๆไปเลย ไม่เช่นนั้นคุณอาจจะเสี่ยงกับการสวาปามอาหารอ้วนๆก็เป็นได้"

อาบน้ำบ่อย ใครว่าดี

การอาบน้ำล้างหน้าบ่อย ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนังบอกว่ากลับทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังง่ายขึ้น

เนื่องจากผิวหนังคนเราก็มีภูมิต้านทานตามธรรมชาติเป็นเสมือนยาฆ่าเชื้ออยู่แล้วเพื่อช่วยป้องกันการอักเสบหรืออาการพุพองต่าง ๆ หรือเกิดอาการแสบคัน จะเห็นได้จากเมื่อเกิดแผลขึ้นและแผลเป็นหนอง แสดงว่าเป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่กำลังต่อสู้กับเชื้อโรคอยู่

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยทูบิงเคมในเยอรมัน พบว่า เหงื่อของเรามีสาร "เดอร์ เมดิซีน" มีสรรพคุณช่วยปกป้องผิวหนังจากการอักเสบ ที่ทำให้ผิวหนังเป็นผื่นคัน สารตัวนี้ผลิตได้จากต่อมเหงื่อทั่วร่างกาย มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียก่อนที่แบคทีเรียจะทำอันตรายกับผิว

สิ่งที่จะทำให้ยาฆ่าเชื้อบนผิวหนังเราถูกกำจัดไปอีกอย่างหนึ่งก็คือ สารระคายเคืองต่อผิวหนังจากผงซักฟอก สบู่ น้ำยาล้างจาน ฯลฯ การเลือกซื้อน้ำยาต่าง ๆ นี้ก็ควรเลือกชนิดที่ไม่ทำความระคายเคืองให้กับผิวหนัง สังเกตได้หลังจากการใช้จะทำให้ผิวแห้งผาก เกิดอาการคัน

บ้านเมืองของชาวตะวันตกมีอากาศหนาวเย็นจึงไม่อาจอาบน้ำได้บ่อยเท่าเมืองเราที่เป็นเมืองร้อน เพราะผิวจะแห้งจากการถูกทำลายน้ำมันธรรมชาติ สำหรับบ้านเราแถบทางเหนือคงจะคล้ายกัน แต่ในภาคอื่นหรือในกรุงเทพฯที่ผู้คนต้องเบียดเสียดขึ้นรถเมล์ หากไม่อาบน้ำบ่อยคงส่งกลิ่นให้เพื่อนร่วมทางต้องสลบกันไปบ้างแหละ

เพชรมงคล-ภาคค่ำ เลขที่ 45

- คนที่มีกรุ๊ปเลือด A

จะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดเนื่องจากร่างกายจะผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือฮอร์โมนเครียดมาก ดังนั้นควรจะออกกำลังกายด้วยการจดจ่อต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาทิ โยคะ ไทชิ หรือนั่งสมาธิ เพื่อลดความเครียด หากออกกำลังกายก็อย่าหักโหม

จึงไม่ควรบริโภคเนื้อสัตว์มากเกินไป เพราะผู้ที่มีหมู่เลือดนี้จะไม่ค่อยมีเอนไซม์และกรดที่ย่อยโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ควรงดการดื่มนมสดและผลิตภัณฑ์จากนม เพราะจะทำให้เกิดท้องอืด ท้องเฟ้อ ทางที่ดีควรรับประทานผัก อย่างฟักทอง แคร์รอต ผักโขม บร็อกโคลี่ และพืชตระกูลถั่ว โดยเฉพาะถั่วเหลือง ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่มีโปรตีนสูงและช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และควรดื่มชาเขียวเป็นประจำเพื่อช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ควรจำกัดน้ำตาล กาเฟอีน และแอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้จะไปเพิ่มความเครียด และทำให้กระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกายทำงานช้าลง

- คนที่มีกรุ๊ปเลือด B

เมื่อร่างกายไม่สมดุลระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจะเพิ่มสูงขึ้นทำให้มีโอกาสที่จะติดเชื้อ เกิดอาการเหนื่อยล้า จิตใจมัวหมอง ควรสร้างความสมดุลด้วยการออกกำลังกายในรูปแบบที่ท้าทายแต่ต้องใช้สมาธิควบคู่ไปดวย อาทิ เทนนิส ศิลปะการต่อสู้ ปั่นจักรยาน เดินทางไกล กอล์ฟ หรือไทชิเป็นการลดความเครียด ลดความดัน ทำให้ผ่อนคลาย สร้างสมดุลให้กับร่างกาย

คนเลือดกรุ๊ปนี้เหมาะกับการดื่มนมหรือผลิตภัณฑ์จากนม และเนื้อสัตว แม้คนหมู่เลือดนี้จะสามารถเผาผลาญโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ดีก็ตามแต่ก็ไม่ควรกินเนื้อสัตว์ที่ติดมัน ไม่ควรกินคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป และหลีกเลี่ยงเนื้อไก่

- คนที่มีกรุ๊ปเลือด AB

เป็นกลุ่มคนที่รักความเคลื่อนไหว ดังนั้นควรออกกำลังกายในรูปแบบที่ใช้แรงมากและต้องสร้างสมาธิได้ด้วย อย่างเช่นโยคะ หรือแอโรบิก คนเลือดกรุ๊ปนี้มีกรดไฮโดรคลอริกน้อยทำให้ย่อยอาหารได้ยาก จึงต้องจำกัดปริมาณเนื้อสัตว์ไม่ควรรับประทานเนื้อไก่ ควรหันมาบริโภคถั่วเหลือง ปลา ไข่ไก่ และผักแทนไม่ควรดื่มกาเฟอีนและแอลกอฮอล์มากเกินไปและไม่ควรอดอาหารเพราะจะทำให้เกิดความเครียด

- คนที่มีเลือดกรุ๊ป O

ควรจะออกกำลังกายโดยสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเต้นแอโรบิก วิ่ง หรือปั่นจักรยานจะช่วยปรับสภาวะสมดุลของอารมณ์ได้ คนเลือดกรุ๊ปนี้โปรตีนเป็นสิ่งสำคัญ แต่ควรจำกัดการบริโภคถั่วและหมู ส่วนนมและผลิตภัณฑ์จากนมให้บริโภคแต่น้อยเพราะร่างกายย่อยได้ยาก ควรจะหันมารับประทานผักผลไม้ให้มาก

ไม่ว่าจะกรุ๊ปเลือดไหนก็อย่าลืมดูแลตัวเองด้วย เพื่อสุขภาพที่ดี...เอิ๊กๆ

[สำหรับผมกรุ๊ป O (โอ) ]

ไกรสิงห์ วิทย์ออก67

ในวันนี้ได้เรียนถึงการออกกำลังกายและข้อผิดพลาดในการออกกำลังกายจากอาจารย์กั๊มในห้องเรียนมา ผมก็เลยลองหาบทความและข้อความที่เกี่ยวกับข้อผิดพลาดหรือการบาดเจ็บจากการออกกำลังกายมา ผมเจออยู่บทความหนึ่งก็เลยลองนำมาฝากเพื่อนๆลองอ่านดู เพราะถ้าเกิดอุบัติเหตุจากการออกกำลังกายอาจทำให้เราบาดเจ็บไปนานและเรื้อรังไปเลยก็ได้ ลองมาดูว่าจะมีอะไรบ้าง1. ไม่ยืดกล้ามเนื้อให้เพียงพอ

ทุกครั้งเมื่อเรา warm up ก่อนเริ่มต้นเล่น weight เราก็ควรยืดกล้ามเนื้อก่อนนะคะ เพื่อว่าเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อจะได้ยืดหยุ่นพร้อมรับการออกแรงมากๆ และในระหว่างการออกแรงนั้นกล้ามเนื้อและเอ็นจะขยายตัวคะ หากเราไม่ยืดกล้ามเนื้อ อาจทำให้กล้ามเนื้อบาดเจ็บได้ขณะเล่น weight คะ และเมื่อจบการเล่น หรือการ burn แต่ละครั้งก็ควรยืดกล้ามเนื้ออีก เพื่อให้เลือดไหลเวียนได้ทั่วถึงคะ อีกทั้งเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ออกแรงติดต่อกันเป็นเวลานาน ปกติ trainer จะยืดกล้ามเนื้อให้ทุกครั้งเมื่อเล่นจบ 1 set คะ และ trainer บางคนถึงขนาดยอมนวดหรือยืดกล้ามเนื้อแบบการนวดแผนไทยให้กับ memberเลยนะคะ (แต่ trainer เราเค้าไม่ทำ เพราะเค้าบอกว่าดูไม่ใช่ trainer ไงไม่รู้) ถ้าหากไม่มีคนยืดให้ ให้ใช้ท่าโยคะยืดกล้ามเนื้อที่เคยนำเสนอไปแล้ว รวมกับเครื่องยืดกล้ามเนื้อที่ทาง Fitness จัดให้คะ

2. ใช้น้ำหนักมากเกินไป

โดยมากมักเกิดในพวกหนุ่มๆที่อยากมีกล้ามโตไวๆ สาวๆเรามักอิดออดเวลาเห็นแป้นน้ำหนักมากๆหรือลูกน้ำหนักขนาดใหญ่ๆโตๆ

อันที่จริงการออกกำลังกายแบบ Anarobic โดยการใช้วิธีแบบ resistance (การออกแรงต้าน) นั้น จะให้ผลดีต่อกล้ามเนื้อเมื่อผู้เล่นรู้ว่าตัวเองสามารถรับแรงต้านได้มากแค่ไหน การเล่นโดยใส่แผ่นน้ำหนักมากเกินกำลังอาจเกิดผลเสียดังต่อไปนี้คะ

- กล้ามเนื้อบาดเจ็บ เพราะรับน้ำหนักมากเกินไป แต่ยังฝืนเล่นต่อไป

- กล้ามเนื้อฝ่อหรือโตผิดที่ กล้ามเนื้อฝ่อ เกิดจากการที่ร่างกายผลิตออกซิเจนมากเกินไปขณะเล่น weight ทำให้ร่างกายสันดาปเอา ไกลโคเจน มาใช้มากเกินไป (คาร์โบไฮเดรตและโปรตีนที่เรานำเข้าไปแต่ละวัน) ซ่งส่วนนี้เองที่ร่างกายนำมาสร้างกล้ามเนื้อแต่เมื่อเราใช้ไปขณะเล่น ร่างกายก็ไม่มีอะไรไว้สร้างกล้ามเนื้อคะ

กล้ามเนื้อโตผิดที่ เกิดจากเมื่อเราใส่น้ำหนักมากไป เมื่อเราเล่น เราอาจวางท่าทางที่ไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดการออกแรงจากกล้ามเนื้อมัดที่ไม่ต้องการออกแรง ในขณะที่กล้ามเนื้อที่ต้องการออกแรง ไม่ได้ออกแรงอย่างเต็มที่ นี่เองที่ทำให้กล้ามเนื้อโตผิดที่ ซ่งมักเกิดขึ้นบ่อยๆ โดยเฉพาะกล้ามแขน (บางคนเล่นอกแต่ดันเอาแขนยก )

3. ไม่ Warm Up ก่อนออกกำลังกาย

เรื่องนี้เราย้ำบ่อยมากในบทความเก่าๆที่เคยเขียนมาทุกครั้ง การ warm up นอกจากเป็นการทำให้ร่างกายเราอุ่นขึ้นแล้ว ยังเป็นการเตรียมกล้ามเนื้ออีกด้วยคะ สังเกตุดูว่าการ warm up ไม่มีท่าทางตายตัว แต่มุ่งเน้นว่าร่างกายทุกส่วนต้องเคลื่อนไหวในขณะ warm up เพื่อให้เกิดการเตรียมพร้อมก่อนการออกกำลังกายจริง ทั้งนี้เพื่อป้องกันการบาดเจ็บนั่นเองคะ

4. ไม่ Cool Down

ข้อนี้สืบเนื่องมาจากข้อ 1. คะ การ cool down จะตรงข้ามกับการ warm up เมื่อเราออกกำลังกายเสร็จแล้ว เราควร cool down เพื่อเตรียมร่างกายให้เข้าสู่ภาวะปกติก่อนการไปทำธุระอื่นๆคะ เหตุผลก็ง่ายๆเลย อย่างที่เราทราบว่าหากเราอาบน้ำทั้งที่ร่างกายเรายังร้อนอยู่อาจเป็นไข้ได้ นั่นล่ะคะ เมื่อเราออกกำลังกายเสร็จ อุณหภูมิในร่างกายยังสูงอยู่ เราก็ต้องปรับให้กลับมาที่จุดปกติเพื่อทำกิจกรรมปกตินั่นเองคะ

5. ออกกำลังกายหนักเกินไป

การออกกำลังกายหนักเกินไปมีผลให้เกิดอาการต่อไปนี้

- Over Trained หรือกล้ามเนื้อล้าจากการออกแรงมากเกินไป จะเกิดอาการตึงๆหรือล้าๆกล้ามเนื้อ

- กล้ามเนื้อฝ่อ อย่างที่อธิบายไปแล้ว คือ ร่างกายจะดึงเอาคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนที่ร่างกายสะสมไว้ไปใช้นั่นเองคะ

6. ดื่มน้ำน้อยไป

เรื่องนี้สำคัญมากๆ เคยเตือนไปหลายต่อหล่ยครั้งมากๆ โดยเฉพาะผู้ที่ชอบเล่น Bikram หรือโยคะร้อน ข้อนี้จำเป็นมากๆเลยคะ

ร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำถึง 70% เซลล์กล้ามเนื้อทุกๆเซลล์ต้องการน้ำ ดังนั้น หากเราออกกำลังกายจนเหนื่อยหนัก โดยไม่จิบน้ำเลย ร่างกายจะเกิดอาการ Dehydrate หรือขาดน้ำ ซึ่งส่งผลให้ช็อคได้คะ เนื่องจากขาดน้ำไปหล่อเลี้ยงในระดับเซลล์นั่นเองคะ เรื่องเล็กๆที่สำคัญมากนะคะ

7. ทิ้งน้ำหนักตัวบน Stair Stepper มากเกินไป

Stair Stepper ก็คือเครื่อง Cardio ชนิดหนึ่ง

ถ้าหากเราทิ้งน้ำหนักตัวลงไปที่เท้าทั้งสองมากเกินไปจะทำให้บาดเจ็บที่หน้าแข้งและข้อเท้าได้นะคะ ระวังด้วยคะ

8. ออกกำลังกายเบาเกินไป

อย่างที่เคยบอกไปนะคะว่าการเล่น Cardio หรือการออกกำลังกายให้ถึง 60-85% ของ Max Heart Rate จะทำให้ร่างกายเราเผาผลาญไขมันไปใช้ในการออกกำลังกายคะ

9. ใช้แรงสะบัดเพื่อยกน้ำหนัก

การใช้แรงสะบัดก็เป็นการออกแรงที่ผิดคะ การสะบัดนอกจากทำให้กล้ามเนื้อไม่ได้ออกแรงอย่างเต็มที่แล้วยังอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ด้วยนะคะ ออกแรงให้ทุกต้องและพอดีจะได้เสริมสร้างกล้ามเนื้อมัดที่ต้องการให้ออกแรงนะคะ

10. ทาน Energy Bar หรือเครื่องดื่มเกลือแร่เมื่อออกแรงระดับปานกลาง

ข้อนี้ไม่จำเป็นมากนักสำหรับทุกๆคน บางคนทานเพราะต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อ เช่น เครื่องดื่มเวย์โปรตีน อะมิโนแอซิด ฯลฯ มันไม่จำเป็นและสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ

โดนปกติคนไทยเรา หากออกกำลังกายแล้ว เราสามารถเสริมโปรตีนโดยการบริโภคไข่ไก่ เนื้อไก่ เนื้อปลา หรือนมได้โดยตรง ซึ่งมีประโยชน์เท่ากันหรือมากกว่าและราคาถูกกว่าด้วยคะ ไม่ต้องไปเห่อตามฝรั่ง ต้องเข้าใจว่าบ้านเรากะบ้านเค้าอาหารการกิน และอากาศมันต่างกัน เราโชคดีที่มีของสด ราคาไม่แพงให้บริโภคก็เลือกของสดที่มีคุณภาพดีมาบริโภคดีกว่าพึ่งอาหารเสริม

ที่มาhttp://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=39&post_id=7874

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

อาการของลูกน้อยที่ควรระวัง !!!

โดยทั่วไปหากบุตรหลานท่านมีอาการ เช่น มีเลือดออก, ชัก หรือหมดสติ คุณพ่อคุณแม่คงไม่รีรอที่จะพาเด็กมาพบแพทย์ อาการอื่น ๆ ที่อาจเป็นสัญญาณอันตรายที่คุณพ่อคุณแม่ควรทราบมีดังนี้

หากบุตรหลานของท่านอายุน้อยกว่า 1 เดือนแล้วไม่สบายไม่ว่าจะด้วยเรื่องอันใด เช่น มีไข้ ท้องเสีย อาเจียน ควรจะพาบุตรหลานของท่านมาพบแพทย์เสมอ เนื่องจากอาจมีสาเหตุมาจากสิ่งที่เป็นอันตรายมากได้

ซึมลงมาก อาการอ่อนเพลียอาจเกิดขึ้นได้เวลาไม่สบาย แต่หากบุตรหลานของท่านซึมลงมาก, ไม่เล่น, ไม่ยิ้ม, อ่อนเพลีย จนร้องไห้ไม่ไหว, ดูหมดแรง หรือปลุกไม่ค่อยตื่น อาการเหล่านี้อาจบ่งบอกถึงการเจ็บป่วยที่รุนแรงได้

เดินไม่ได้ : หากบุตรหลานของท่านสามารถเดินได้เองมาก่อนแล้ว อยู่ ๆ ก็ยืนไม่ไหว เดินไม่ได้ อาจจะมีอันตรายรุนแรงที่เกิดขึ้นกับขา หรือปัญหาด้านการทรงตัว

หายใจลำบาก : การประเมินการหายใจควรทำหลังจากที่ได้ทำความสะอาดจมูก, ดูดน้ำมูกออกแล้ว และเด็กไม่ไอ หากบุตรหลานของท่านมีอาการหายใจเร็วกว่าปกติ, ดูเหนื่อยและหายใจแรง หายใจมีเสียงหวีด หรือรอยริมผีฝากคล้ำ เป็นสัญญาณว่าควรพามาพบแพทย์โดยด่วน

น้ำลายไหล ไม่ยอมกลืนน้ำลาย เมื่อเกิดขึ้นร่วมกับมีไข้ในเด็กที่เคยกลืนน้ำลายได้ปกติมาก่อนอาจบ่งบอกถึงการติดเชื้อที่สำคัญในช่องคอ หรือฝาปิดกล่องเสียง

ในเด็กเล็กถ้าช่องบริเวณที่เคยอ่อนนุ่มบนกระโหลกศีรษะด้านหน้าโป่งพองออกมาในตอนที่เด็กไม่ได้ร้องไห้ และอยู่ในท่านั่ง หมายถึง ความดันในกระโหลกศีรษะที่สูง

ผื่นจ้ำ ตามตัว อาจหมายถึงการติดเชื้อในกระแสเลือดที่รุนแรง

ไข้สูงกว่า 40.6 ํC. หากบุตรหลานท่านมีไข้สูงกว่า 40.6 ํC. โอกาสที่ไข้จะเกิดจากการติดเชื้อที่รุนแรงมีได้มากขึ้น

อาการเจ็บบริเวณลูกอันฑะที่เกิดขึ้นมาทันทีทันใด อาจหมายถึง ภาวะลูกอัณฑะบิดตัว ซึ่งจำเป็นจะต้องได้รับการรักษาโดยรีบด่วน

อาการขาดน้ำ พบในเด็กที่มีอาเจียน และ/หรือ ท้องเสียอย่างรุนแรง อาการที่สังเกตได้คือ เด็กไม่ปัสสาวะมากกว่า 8 ช.ม. ปัสสาวะน้อยลง, สีเหลืองเข้ม, ปากแห้ง, ร้องไห้ไม่มีน้ำตา ตาลึกโหล อาการเหล่านี้เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงภาวะการขาดน้ำ คุณพ่อ คุณแม่ ควรรีบพาบุตรหลานท่านมาพบแพทย์

อนุสรา ภาคคำฃ่ เลขที่ 16

อาหารต้านมะเร็ง

คนที่เป็นมะเร็งควรได้วิตามินมากๆ จากผักและผลไม้ที่ปลอดสารพิษ หรือล้างสะอาดแล้วก่อนกิน เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่จะเข้าไปรุกรานร่างกายซ้ำซ้อนขณะที่ร่างกายยังอ่อนแออยู่

เราล้วนทราบกันอยู่แล้วว่าอาหารที่เรากินเข้าไปแต่ละวันเปรียบเสมือนเชื้อเพลิงสำคัญที่ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของคนเรามีพลังในการต่อสู้ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย โดยเฉพาะคนที่กำลังรักษาตัวจากมะเร็ง วิธีการรักษาแผนปัจจุบันอย่างเช่น การผ่าตัด รังสีรักษา หรือเคมีบำบัด มักจะส่งผลข้างเคียงให้ร่างกายอ่อนแอลงกว่าปกติหลายเท่า ส่วนที่ทำหน้าที่ซ่อมแซมร่างกายรวมทั้งภูมิคุ้มกันต่างๆ จึงยิ่งต้องทำงานหนักทวีคูณ การดูแลเรื่องอาหารการกินให้เหมาะสม จึงเป็นวิธีสำคัญที่จะช่วยเพิ่มกำลังให้ร่างกายเยียวยาตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

เมื่อร่างกายเรากำลังอ่อนแอ มันจึงต้องการพลังงานทดแทนเพื่อนำมาใช้ในการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันและขับเคลื่อนชีวิต ดังนั้นเราจึงควรกินอาหารที่ให้พลังงานอย่างเพียงพอตามที่ธรรมชาติของร่างกายจำเป็นต้องได้รับ

จากคำแนะนำชองคณะแพทย์จาก The Cleveland Clinic Urological Institute ได้ระบุไว้ว่าคนเป็นมะเร็งควรจะได้รับพลังงานประมาณ 33 แคลอรีต่อน้ำหนักตัว 1 กก.ต่อวัน เช่น หากน้ำหนักตัวปกติอยู่ที่ 50 กก. ก็จะต้องการพลังงานประมาณ 1,650 แคลอรีต่อวัน แต่หากน้ำหนักลดลงมากก็ควรกินอาหารที่ให้พลังงานเพิ่มอีกประมาณวันละ 500 แคลอรี

แพทย์มักจะแนะนำให้คนที่กำลังรักษามะเร็งกินอาหารที่มีโปรตีนสูงๆ (ประมาณวันละ 1.1- 1.32 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก.) เพื่อสร้างเสริมและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ในขณะที่บางแนวความคิดในการรักษามะเร็งก็ได้ระบุว่าบรรดาเนื้อสัตว์โดยเฉพาะเนื้อแดง ไข่ และผลิตภัณฑ์นม ยกเว้นเนย ซึ่งอุดมด้วยโปรตีนและไขมันอาจจะมีส่วนช่วยเร่งความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าวและกินให้ได้โปรตีนและพลังงานสูงเต็มที่จึงแนะนำให้คนที่เป็นมะเร็งหันมาเน้นกินอาหารที่ปรุงจากถั่วหรือเมล็ดพืชต่างๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น เต้าหู้ ทดแทนเนื้อสัตว์ ซึ่งยังช่วยเพิ่มแคลเซียมให้กับร่างกายด้วย

สารอาหารที่เป็นประโยชน์อีกกลุ่มหนึ่งคือวิตามินอย่างที่ ศ.นพ.ม.ร.ว.ธันยโสภาคย์ เกษมสันต์ เคยเขียนไว้ใน "ยุทธศาสตร์ศึกมะเร็ง ว่าวิตามินเป็นสารอาหารที่ทำงานร่วมกับเอนไซม์ในการควบคุมกระบวนการเผาผลาญอาหารของร่างกาย ช่วยเปลี่ยนโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตให้เป็นพลังงาน เป็นตัวเร่งให้สมรรถภาพทางกายทำงานเต็มที่ ช่วยการเติบโต สร้างพลังชีวิต และทำให้แก่ช้า เราได้วิตามินจากอาหาร เพราะร่างกายผลิตวิตามินเองไม่ได้ แถมบางชนิดไม่สามารถเก็บไว้ใช้นานๆ โดยเฉพาะวิตามินพวกที่ละลายในน้ำได้ (วิตามินบี-คอมเพล็กซ์ และวิตามินซี) ส่วนวิตามินที่ละลายในน้ำมัน (เอ ดี อี เค) อาจเก็บสะสมไว้ได้บ้าง ถ้าร่างกายขาดวิตามินแม้เพียงเล็กน้อยแต่ก็มีต่อสุขภาพร่างกายโดยรวม ทำให้เซลล์ค่อยๆ เสื่อมลงซึ่งหากไม่ได้พลังเสริมในที่สุดแล้วเซลล์ก็จะตาย

นอกจากนี้ในผักและผลไม้ยังมีสารอาหารอื่นๆ อีก เช่น ผักใบเขียว เหลือง-แดง จะมีสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการเกิดอนุมูลอิสระจึงทำให้ชะลอการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ รวมทั้งธาตุเหล็ก โดยควรรับประทานผัก หรือผลไม้หลากหลายชนิดผสมผสานกันไป เพื่อให้ได้สารอาหารอื่นๆ ที่มีอยู่ในผักแต่ละชนิดมารวมๆ กัน ไม่ใช่มีบางอย่างมากไปหรือน้อยไป

วิตามินเอ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญที่สุด สามารถปราบอนุมูลอิสระ (Free Radicals) ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งได้ เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำมัน เมื่อตกถึงลำไส้ก็ดูดซึมไปใช้ได้ทันทีโดยอาศัยน้ำดี วิตามินเอเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะเซลล์น้ำเหลืองจากต่อมไทมัส(ทีเซลล์)ที่เป็นตัวพิฆาตมะเร็ง นอกจากนี้วิตามินเอยังช่วยเสริมผิวหนัง และเยื่อบุผิว ของทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร ฯลฯ ให้แข็งแรง ตามสถิติการเกิดมะเร็งพบว่ามะเร็งชอบเป็นกับเซลล์เยื่อบุผิวเหล่านี้ ซึ่งวิตามิน เอ เป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้การเจริญของเซลล์เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง ควรรับประทานผักใบเขียว เนื้อปลา เนื้อไก่เพื่อให้ได้รับวิตามินเอสู่ร่างกาย

วิตามินบี-คอมเพล็กซ์ เป็นวิตามินชนิดละลายน้ำได้ที่ทำงานร่วมกันเป็นทีม ประกอบด้วย วิตามินบี-1 (ไทอะมีน) วิตามินบี-2 (ไรโบฟลาวิน) วิตามินบี-3 (ไนอาซิน หรือ กรดนิโคตินิคตินิค) วิตามินบี-6 (ไพริด็อกวิน) และ มีไบโอติน อินอสสิตอล กรดพาราอะโนมิค-เบนโซอิท (พาบา) วิตามินบี-12 (ไซอะโนบาลามีน) กรดแพนโตทีนิก และกรดโฟลิก เมื่อร่างกายได้รับวิตามินกลุ่มนี้จะไปช่วยบำรุงหัวใจ เร่ง และ กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และบางตัวสามารถยับยั้งการขยายตัวของมะเร็งได้ มีมากในอาหารจำพวกถั่ว เนื้อปลา เนื้อเป็ดหรือไก่ต่างๆ

วิตามินซี เป็นวิตามินที่สำคัญมาก เป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวสำคัญ คอยทำลายเซลล์มะเร็งที่แบ่งตัวหมาดๆ ได้ดีมาก เป็นตัวปกป้องดีเอนเอไม่ให้ถูกทำลาย และเป็นตัวกระตุ้นสารอินเตอเฟอรอนซึ่งเป็นสารต้านมะเร็งที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังระงับการเกิด สารไนโตรซามีนที่เป็นตัวก่อมะเร็งในกระเพาะอาหาร ยิ่งกว่านั้นยังพบว่าวิตามินซีสามารถยับยั้งเอนไซม์ไฮอะลูโรนิเดส มีฤทธิ์ย่อยโปรตีน อันเป็นอาวุธร้ายของมะเร็ง ในการสลายแนวต้านทาน และแพร่กระจายไปรอบตัว มีมากในผลไม้หลายชนิดที่มีรสออกเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว รวมทั้ง ฝรั่ง สาลี่ แอปเปิ้ล

วิตามินอี ละลายในไขมันเหมือนวิตามินเอ เป็นสร้างต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญอีกตัวหนึ่ง และเป็นตัวกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อใช้ผสมกับธาตุซีเลเนียม จะมีฤทธิ์เสริมกันในการต้านมะเร็ง นอกจากนั้นวิตามินอียังช่วยระงับการเกิดไนไตรซามีนในกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของมะเร็งได้ เราได้รับวิตามินอีได้จากการกินผักใบเขียว น้ำมันปลา น้ำมันรำข้าว และไข่

แร่ธาตุต่างๆ มีส่วนช่วยเสริมฤทธิ์ของวิตามิน ทำให้ร่างกายสามารถย่อยอาหาร ดูดซึมสารอาหาร และรักษาสมดุลของร่างกายให้มีภาวะเป็นด่างมากกว่าเป็นกรด แร่ธาตุที่คนเป็นมะเร็งควรได้รับที่สำคัญ ได้แก่ ทองแดง แมกนีเซียม สังกะสี ซีเลเนียมที่เมื่อใช้ร่วมกับวิตามินจะช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อต้านมะเร็ง และยังช่วยชะลอความชราได้

อย่างไรก็ตาม หากต้องการได้รับวิตามินเสริมนอกเหนือจากอาหารที่รับประทานเข้าไปในแต่ละวัน ควรให้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ประจำตัวจะดีกว่า คุณอาจปรึกษานักโภชนาการเพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับการจัดอาหารในแต่ละมื้อให้มีสารอาหารตามที่ร่างกายควรได้รับครบถ้วนและหลากหลาย และช่วยแก้ปัญหาถ้าหากระหว่างการรักษามะเร็งทำให้เกิดปัญหาผิดปกติในการกินอาหาร อย่างเช่น การที่รู้สึกอิ่มเร็วเกินควร กลืนลำบาก หรือการรับรสชาติที่เปลี่ยนไป รวมทั้งอาจแนะนำถึงอาหารเสริมอื่นๆ ที่ช่วยให้คุณได้รับพลังงานที่จำเป็นอย่างเพียงพอตามสมควร

ที่สำคัญนอกจากอาหารที่จะให้สารอาหารจำเป็นต่อการสู้รบกับมะเร็งแล้ว ต้องไม่ลืมที่จะดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หรือประมาณวันละครึ่งแกลลอน เพื่อช่วยป้องกันภาวะขาดน้ำได้ ซึ่งนอกจากน้ำเปล่าแล้ว คุณอาจจะเลือกกินน้ำซุป ดื่มน้ำผลไม้ นมถั่วเหลือง ก็ได้ทั้งนั้น แต่ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มผสมคาเฟอีน โดยเฉพาะหากใครที่มีอาการข้างเคียงจากการรักษามะเร็ง อย่างเช่น อาเจียน ท้องเสีย ก็ยิ่งจำเป็นต้องดื่มน้ำเปล่าทดแทนให้มากยิ่งขึ้น

อนุสรา ภาคคำ เลขที่ 16

อาหารต้านมะเร็ง

คนที่เป็นมะเร็งควรได้วิตามินมากๆ จากผักและผลไม้ที่ปลอดสารพิษ หรือล้างสะอาดแล้วก่อนกิน เพื่อป้องกันเชื้อโรคที่จะเข้าไปรุกรานร่างกายซ้ำซ้อนขณะที่ร่างกายยังอ่อนแออยู่

เราล้วนทราบกันอยู่แล้วว่าอาหารที่เรากินเข้าไปแต่ละวันเปรียบเสมือนเชื้อเพลิงสำคัญที่ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของคนเรามีพลังในการต่อสู้ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย โดยเฉพาะคนที่กำลังรักษาตัวจากมะเร็ง วิธีการรักษาแผนปัจจุบันอย่างเช่น การผ่าตัด รังสีรักษา หรือเคมีบำบัด มักจะส่งผลข้างเคียงให้ร่างกายอ่อนแอลงกว่าปกติหลายเท่า ส่วนที่ทำหน้าที่ซ่อมแซมร่างกายรวมทั้งภูมิคุ้มกันต่างๆ จึงยิ่งต้องทำงานหนักทวีคูณ การดูแลเรื่องอาหารการกินให้เหมาะสม จึงเป็นวิธีสำคัญที่จะช่วยเพิ่มกำลังให้ร่างกายเยียวยาตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

เมื่อร่างกายเรากำลังอ่อนแอ มันจึงต้องการพลังงานทดแทนเพื่อนำมาใช้ในการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันและขับเคลื่อนชีวิต ดังนั้นเราจึงควรกินอาหารที่ให้พลังงานอย่างเพียงพอตามที่ธรรมชาติของร่างกายจำเป็นต้องได้รับ

จากคำแนะนำชองคณะแพทย์จาก The Cleveland Clinic Urological Institute ได้ระบุไว้ว่าคนเป็นมะเร็งควรจะได้รับพลังงานประมาณ 33 แคลอรีต่อน้ำหนักตัว 1 กก.ต่อวัน เช่น หากน้ำหนักตัวปกติอยู่ที่ 50 กก. ก็จะต้องการพลังงานประมาณ 1,650 แคลอรีต่อวัน แต่หากน้ำหนักลดลงมากก็ควรกินอาหารที่ให้พลังงานเพิ่มอีกประมาณวันละ 500 แคลอรี

แพทย์มักจะแนะนำให้คนที่กำลังรักษามะเร็งกินอาหารที่มีโปรตีนสูงๆ (ประมาณวันละ 1.1- 1.32 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก.) เพื่อสร้างเสริมและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ในขณะที่บางแนวความคิดในการรักษามะเร็งก็ได้ระบุว่าบรรดาเนื้อสัตว์โดยเฉพาะเนื้อแดง ไข่ และผลิตภัณฑ์นม ยกเว้นเนย ซึ่งอุดมด้วยโปรตีนและไขมันอาจจะมีส่วนช่วยเร่งความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าวและกินให้ได้โปรตีนและพลังงานสูงเต็มที่จึงแนะนำให้คนที่เป็นมะเร็งหันมาเน้นกินอาหารที่ปรุงจากถั่วหรือเมล็ดพืชต่างๆ รวมถึงผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น เต้าหู้ ทดแทนเนื้อสัตว์ ซึ่งยังช่วยเพิ่มแคลเซียมให้กับร่างกายด้วย

สารอาหารที่เป็นประโยชน์อีกกลุ่มหนึ่งคือวิตามินอย่างที่ ศ.นพ.ม.ร.ว.ธันยโสภาคย์ เกษมสันต์ เคยเขียนไว้ใน "ยุทธศาสตร์ศึกมะเร็ง ว่าวิตามินเป็นสารอาหารที่ทำงานร่วมกับเอนไซม์ในการควบคุมกระบวนการเผาผลาญอาหารของร่างกาย ช่วยเปลี่ยนโปรตีนและคาร์โบไฮเดรตให้เป็นพลังงาน เป็นตัวเร่งให้สมรรถภาพทางกายทำงานเต็มที่ ช่วยการเติบโต สร้างพลังชีวิต และทำให้แก่ช้า เราได้วิตามินจากอาหาร เพราะร่างกายผลิตวิตามินเองไม่ได้ แถมบางชนิดไม่สามารถเก็บไว้ใช้นานๆ โดยเฉพาะวิตามินพวกที่ละลายในน้ำได้ (วิตามินบี-คอมเพล็กซ์ และวิตามินซี) ส่วนวิตามินที่ละลายในน้ำมัน (เอ ดี อี เค) อาจเก็บสะสมไว้ได้บ้าง ถ้าร่างกายขาดวิตามินแม้เพียงเล็กน้อยแต่ก็มีต่อสุขภาพร่างกายโดยรวม ทำให้เซลล์ค่อยๆ เสื่อมลงซึ่งหากไม่ได้พลังเสริมในที่สุดแล้วเซลล์ก็จะตาย

นอกจากนี้ในผักและผลไม้ยังมีสารอาหารอื่นๆ อีก เช่น ผักใบเขียว เหลือง-แดง จะมีสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งมีฤทธิ์ต้านการเกิดอนุมูลอิสระจึงทำให้ชะลอการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ รวมทั้งธาตุเหล็ก โดยควรรับประทานผัก หรือผลไม้หลากหลายชนิดผสมผสานกันไป เพื่อให้ได้สารอาหารอื่นๆ ที่มีอยู่ในผักแต่ละชนิดมารวมๆ กัน ไม่ใช่มีบางอย่างมากไปหรือน้อยไป

วิตามินเอ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญที่สุด สามารถปราบอนุมูลอิสระ (Free Radicals) ที่เป็นสาเหตุของมะเร็งได้ เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำมัน เมื่อตกถึงลำไส้ก็ดูดซึมไปใช้ได้ทันทีโดยอาศัยน้ำดี วิตามินเอเป็นองค์ประกอบสำคัญของระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะเซลล์น้ำเหลืองจากต่อมไทมัส(ทีเซลล์)ที่เป็นตัวพิฆาตมะเร็ง นอกจากนี้วิตามินเอยังช่วยเสริมผิวหนัง และเยื่อบุผิว ของทางเดินหายใจ ทางเดินอาหาร ฯลฯ ให้แข็งแรง ตามสถิติการเกิดมะเร็งพบว่ามะเร็งชอบเป็นกับเซลล์เยื่อบุผิวเหล่านี้ ซึ่งวิตามิน เอ เป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้การเจริญของเซลล์เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง ควรรับประทานผักใบเขียว เนื้อปลา เนื้อไก่เพื่อให้ได้รับวิตามินเอสู่ร่างกาย

วิตามินบี-คอมเพล็กซ์ เป็นวิตามินชนิดละลายน้ำได้ที่ทำงานร่วมกันเป็นทีม ประกอบด้วย วิตามินบี-1 (ไทอะมีน) วิตามินบี-2 (ไรโบฟลาวิน) วิตามินบี-3 (ไนอาซิน หรือ กรดนิโคตินิคตินิค) วิตามินบี-6 (ไพริด็อกวิน) และ มีไบโอติน อินอสสิตอล กรดพาราอะโนมิค-เบนโซอิท (พาบา) วิตามินบี-12 (ไซอะโนบาลามีน) กรดแพนโตทีนิก และกรดโฟลิก เมื่อร่างกายได้รับวิตามินกลุ่มนี้จะไปช่วยบำรุงหัวใจ เร่ง และ กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และบางตัวสามารถยับยั้งการขยายตัวของมะเร็งได้ มีมากในอาหารจำพวกถั่ว เนื้อปลา เนื้อเป็ดหรือไก่ต่างๆ

วิตามินซี เป็นวิตามินที่สำคัญมาก เป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวสำคัญ คอยทำลายเซลล์มะเร็งที่แบ่งตัวหมาดๆ ได้ดีมาก เป็นตัวปกป้องดีเอนเอไม่ให้ถูกทำลาย และเป็นตัวกระตุ้นสารอินเตอเฟอรอนซึ่งเป็นสารต้านมะเร็งที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังระงับการเกิด สารไนโตรซามีนที่เป็นตัวก่อมะเร็งในกระเพาะอาหาร ยิ่งกว่านั้นยังพบว่าวิตามินซีสามารถยับยั้งเอนไซม์ไฮอะลูโรนิเดส มีฤทธิ์ย่อยโปรตีน อันเป็นอาวุธร้ายของมะเร็ง ในการสลายแนวต้านทาน และแพร่กระจายไปรอบตัว มีมากในผลไม้หลายชนิดที่มีรสออกเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว รวมทั้ง ฝรั่ง สาลี่ แอปเปิ้ล

วิตามินอี ละลายในไขมันเหมือนวิตามินเอ เป็นสร้างต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญอีกตัวหนึ่ง และเป็นตัวกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อใช้ผสมกับธาตุซีเลเนียม จะมีฤทธิ์เสริมกันในการต้านมะเร็ง นอกจากนั้นวิตามินอียังช่วยระงับการเกิดไนไตรซามีนในกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของมะเร็งได้ เราได้รับวิตามินอีได้จากการกินผักใบเขียว น้ำมันปลา น้ำมันรำข้าว และไข่

แร่ธาตุต่างๆ มีส่วนช่วยเสริมฤทธิ์ของวิตามิน ทำให้ร่างกายสามารถย่อยอาหาร ดูดซึมสารอาหาร และรักษาสมดุลของร่างกายให้มีภาวะเป็นด่างมากกว่าเป็นกรด แร่ธาตุที่คนเป็นมะเร็งควรได้รับที่สำคัญ ได้แก่ ทองแดง แมกนีเซียม สังกะสี ซีเลเนียมที่เมื่อใช้ร่วมกับวิตามินจะช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อต้านมะเร็ง และยังช่วยชะลอความชราได้

อย่างไรก็ตาม หากต้องการได้รับวิตามินเสริมนอกเหนือจากอาหารที่รับประทานเข้าไปในแต่ละวัน ควรให้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ประจำตัวจะดีกว่า คุณอาจปรึกษานักโภชนาการเพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับการจัดอาหารในแต่ละมื้อให้มีสารอาหารตามที่ร่างกายควรได้รับครบถ้วนและหลากหลาย และช่วยแก้ปัญหาถ้าหากระหว่างการรักษามะเร็งทำให้เกิดปัญหาผิดปกติในการกินอาหาร อย่างเช่น การที่รู้สึกอิ่มเร็วเกินควร กลืนลำบาก หรือการรับรสชาติที่เปลี่ยนไป รวมทั้งอาจแนะนำถึงอาหารเสริมอื่นๆ ที่ช่วยให้คุณได้รับพลังงานที่จำเป็นอย่างเพียงพอตามสมควร

ที่สำคัญนอกจากอาหารที่จะให้สารอาหารจำเป็นต่อการสู้รบกับมะเร็งแล้ว ต้องไม่ลืมที่จะดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หรือประมาณวันละครึ่งแกลลอน เพื่อช่วยป้องกันภาวะขาดน้ำได้ ซึ่งนอกจากน้ำเปล่าแล้ว คุณอาจจะเลือกกินน้ำซุป ดื่มน้ำผลไม้ นมถั่วเหลือง ก็ได้ทั้งนั้น แต่ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มผสมคาเฟอีน โดยเฉพาะหากใครที่มีอาการข้างเคียงจากการรักษามะเร็ง อย่างเช่น อาเจียน ท้องเสีย ก็ยิ่งจำเป็นต้องดื่มน้ำเปล่าทดแทนให้มากยิ่งขึ้น

ภาวะสมองเสื่อม..กับไข่ไก่

ศ.นพ.รุ่งธรรม ลัดพ ลี เกี่ยวกับเรื่อง "ภาวะสมองเสื่อม..กับไข่ไก่"

เรื่องที่มีการการสนทนากันนั้น พอจับใจความหลักๆ ได้ว่า ...

จากค่านิยมเดิมๆที่ทราบกันว่า การบริโภคไข่ทุกวันนั้น

จะไปเพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด

ทางคุณหมอบอกว่าอยากให้เลิกค่านิยมดังกล่าวเสีย เพราะข้อเท็จจริงในปัจจุบัน

นั้น ไข่นับว่าเป็นอาหารราคาถูก ปรุงง่าย

แต่มากด้วยคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด

การที่หลายๆคนมีระดับคลอเสลเตอรอลในเลือดสูงนั้น

เป็นเพราะตับทำงานไม่มีประสิทธิภาพเอง คุณหมอยังกล่าวอีกว่า

สำหรับคนที่มีระดับคลอเลสเตอรอลสูงในระดับ 200 นั้น หากทานไข่แล้ว

มันไปเพิ่มอีกเพียง 20 แต่ตรงกันข้ามประโยชน์ที่ได้จากการทานไข่

มันมากกว่าไอ้ส่วนที่ไปเพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด

คุณหมอบอกว่า โรคอัลไซเมอร์นั้น ผลการวิจัยล่าสุด ระบุว่า

เป็นเพราะอาการเลือดในสมองน้อย หรือเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ

การรับประทานไข่ทุกวันๆละ อย่างน้อย 2 ฟอง จะช่วยได้มาก

คุณหมอยังอ้างถึงและพูดถึงผู้สูงอายุว่าการบริโภคไข่ทุกวันนั้น

ไม่มีปัญหาดังที่เราๆเข้าใจกันแบบผิดๆ

คุณหมอรักษาผู้สูงอายุหลายๆคนที่มาให้การรักษาในหลายๆโรค ขนาดอายุ 80 กว่า

คุณหมอยังแนะนำให้ทานไข่วันละ 2 ฟอง ผลก็คืออาการของโรคที่รักษาบรรเทาลง

คนไข้มีอาการดีขึ้นกว่าเดิมมาก จากที่เดินไม่ค่อยได้ ก็กลับมาเดินได้

นี่เป็นตัวอย่างหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ไข่มีหลายประเภท

ไม่ว่าจะเป็นไข่ไก่,ไข่เป็ด,ไข่นกกระทา, และอีกหลายๆชนิด แต่ไข่ไก่ดีที่สุดในกลุ่ม

ส่วนการนำมาประกอบอาหารนั้นแล้วแต่ใจชอบ ประกอบอาหารแบบไหนได้ทั้งนั้น

คุณหมอเสริมว่า ส่วนของไข่ที่ดีที่สุดนั้น อยู่ที่จุดๆ

หนึ่งในไข่แดงที่มีลักษณะคล้ายๆเส้นใยยึดส่วนอื่นๆไว้ (หากไม่เคยสังเกต

ก็ลองเตาะไข่ดิบดู)

พร้อมกันนี้

ก็ได้มีการยกแผนภูมินำมาประกอบว่า ประเทศไทยมีการบริโภคไข่ต่อคนมากน้อยเพียงใด

ปรากฎว่า ต่ำกว่าหลายๆประเทศที่เจริญแล้ว โดยประเทศที่บริโภคไข่ต่อคนสูงสุด

ก็คือญี่ปุ่น รองๆลงมาก็มีจีนแดง, สหรัฐอเมริกา, ฯลฯ คุณหมอยังให้ข้อคิดว่า

ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ประชาชนส่วนใหญ่มีสติปัญญาที่ดี ทำไมอาหารมื้อเช้าทุกวัน

ยังมีไข่เป็นส่วนประกอบเสมอ และทานกันทุกวัน

แต่เรากลับยึดถือแต่ค่านิยมเรื่องคลอเลสเตอรอล....

การบริโภคไข่จะช่วยบำรุงสมองเป็นอย่างดี อย่าไปสนใจพวกอาหารเสริมที่โฆษณากันเลย

ไข่นี่แหละสุดยอดของอาหารแล้ว หากอยากฉลาด ต้องทานไข่

คุณหมอยังเสริมว่าภาวะเลือดที่ข้นเกินไป จะไม่เป็นผลดี

เพราะการนำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกายจะไม่มีประสิทธิภาพ

ดังนั้นควรดื่มน้ำสะอาดให้มากๆในแต่ละวัน

อาหารกับอารมณ์

คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ ที่รู้สึกว่าหลังตื่นนอนตอนเช้า อารมณ์ไม่แจ่มใสอย่างที่ควรเป็น (ไม่นับอาการเบื่อเรียนหรือเบื่องาน) ทั้งๆ ที่นอนหลับเต็มอิ่ม ไม่เครียดหรือมีเรื่องทุกข์ร้อนใจ บางครั้งรับประทานอาหารเช้าแล้วกลับทำให้ยิ่งหิวเร็ว หนำซ้ำช่วงสายก่อนเที่ยงมีอาการมือสั่น อ่อนเพลีย หรือบ่ายๆ หลังรับประทานอาหารกลางวัน ยิ่งอ่อนเพลีย ง่วงนอน เฉื่อยชายิ่งกว่าเดิม อาการแบบนี้มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการรับประทานอาหาร ซึ่งอาหารกับอารมณ์นั้นเกี่ยวข้องกันชนิดที่คุณคาดไม่ถึงทีเดียว

แหล่งต้นเหตุของอาหารที่มีผลต่ออารมณ์

ในต่างประเทศมีงานวิจัยและบทความทางวิชาการศึกษาเกี่ยวกับบทบาทสารอาหารกับอารมณ์อยู่มากมายหลายชิ้น แต่บทความที่ได้รับรองอย่างเป็นทางการยังมีเพียงเล็กน้อย แต่ที่แน่ๆ ปัจจัยในร่างกายที่มีผลต่ออารมณ์ มาจาก 2 แหล่ง คืออาหารและสารเคมีในสมอง

เริ่มจากอาหาร ที่ปกติเรารับประทาน 3 มื้อต่อวัน แต่ละมื้อประกอบด้วยอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตคือแป้งและน้ำตาลเป็นหลัก เนื่องจากเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญของร่างกาย หลังจากรับประทานแล้ว ร่างกายจะค่อยๆ ย่อย เปลี่ยนให้เป็นคาร์โบไฮเดรตที่เล็กลง และกลายเป็นน้ำตาลกลูโคส เพื่อร่างกายสามารถดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดและนำไปใช้ตามอวัยวะต่างๆ ทั้งนี้ปริมาณและชนิดของคาร์โบไฮเดรตที่ต่างกัน ย่อมส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงต่างกัน เช่นเดียวกับระดับน้ำตาลกลูโคสที่ได้จากอาหารแต่ละชนิด หรือที่เราเรียกว่า “ดัชนีน้ำตาล” ค่าดัชนีน้ำตาลแบ่งเป็น 3 ระดับ คืออาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลปานกลางและอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง

การรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูงมากเท่าไร

คาร์โบไฮเดรตก็จะย่อยเป็นกลูโคส และถูกดูดซึมอย่างรวดเร็ว กระตุ้นให้มีการหลั่งฮอร์โมนอินซูลิน ที่นำกลูโคสเข้าสู่เซลล์ต่างๆ เพื่อ

เผาผลาญเป็นพลังงาน แต่หลังจากรับประทานไปได้ 2-4 ชั่วโมง ระดับน้ำตาลในเลือดจะลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ร่างกาย

อ่อนแรง อารมณ์เซื่องซึม ตัวอย่างอาหารดัชนีน้ำตาลสูง ได้แก่ ไอศกรีม ข้าวขาว ข้าวเหนียว มันฝรั่งบด ฯลฯ นอกจากนี้ระดับน้ำตาลในเลือดอาจแปรปรวน ลดและเพิ่มอย่างรวดเร็วจากกรณีอื่นๆ อีก เช่น

• รับประทานอาหารที่มีไขมันสูง อาหารประเภททอด ขนมขบเคี้ยวต่างๆ น้ำอัดลม เป็นต้น เพราะหลังจากรับประทานร่างกายจะรู้สึกหนัก อ่อนเพลียและง่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังอาหารเช้าและอาหารกลางวัน ที่คนทำงานหลายคนมีอาการตาหนัก ลืมไม่ขึ้นเป็นประจำ

• เว้นระยะเวลาการรับประทานอาหารระหว่างมื้อนานเกินไป หรือออกกำลังกายติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้เกิดสัญญาณเตือน เช่น อาการปวดหัวหรือเหนื่อยล้า มือสั่น เหงื่อแตก

• ไม่รับประทานอาหารเช้า หรือใช้วิธีลดความอ้วนด้วยการงดอาหารบางมื้อ ซึ่งเป็นวิธีที่ผิด เพราะจะยิ่งทำให้ร่างกายต้องการพลังงานชดเชยมากขึ้นจากมื้อที่หายไป ส่งผลให้มื้อต่อๆ ไปรับประทานมากเกินได้ง่าย ส่วนปัจจัยที่มีผลต่ออารมณ์

ส่วนหนึ่งมาจากสารเคมีในสมอง ยกตัวอย่างเช่น

• เซอร์โรโทนิน (serotonin) ถ้าระดับเซอร์โรโทนินต่ำจะทำให้เกิดอาการซึมเศร้าได้ และมีการศึกษาพบว่า หากได้รับอาหารที่ไม่มีกรดอะมิโนทริบโทเฟน (Tryptophan) โดยอาหารที่มีทริบโทเฟน เช่น นม กล้วย โยเกิร์ต ข้าวโอ๊ต ซึ่งเป็นสารเริ่มต้นในการสังเคราะห์

เซอร์โรโทนินในสมอง จะทำให้การสร้างเซอร์โรโทนินลดลง ส่งผลกระทบต่ออารมณ์ในบางคน แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน การรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น ข้าวเหนียว ข้าวโพด กรอย เผือกหรือมัน จะเพิ่มการสร้างเซอร์โรโทนินทำให้อารมณ์ดีขึ้น ซึ่งจะพบว่าคนบางคนเมื่อมีอาการซึมเศร้า จะอยากรับประทานอาหารคาร์โบไฮเดรตมากขึ้น (เศร้าแล้วก็เลยอ้วน)

• การขาดกรดโฟลิก จากการศึกษาในหนูทดลอง เมื่อขาดกรดโฟลิก ทำให้ระดับเซอร์โรโทนินในสมองลดลง ซึ่งคาดว่าถ้ามนุษย์ขาดสารโฟลิกก็จะมีอารมณ์ซึมเศร้า ไม่กระตือรือร้น อาหารที่มีกรดโฟลิก ได้แก่ บร็อกโคลี ถั่วลิสง ข้าวซ้อมมือ

• การขาดไทอะมิน (วิตามินบี1) ทำให้ซึมเศร้า อ่อนเพลีย เนื่องจากวิตามินบี1 มีบทบาท สำคัญในการเผาผลาญกลูโคสให้เป็นพลังงาน และสมองจำเป็นต้องใช้พลังงานจากกลูโคส ถ้าขาดวิตามินบี1 ก็จะมีผลเหมือนการขาดคาร์โบไฮเดรต อาหารที่มีไทอะมิน ได้แก่ ปลา เนื้อสัตว์ปีก

• การขาดไนอะซิน ซึ่งเป็นวิตามินบีชนิดหนึ่ง ก็มีผลต่ออารมณ์เช่นกัน คนที่ขาดวิตามินไนอะซินจะหงุดหงิด อารมณ์เสีย ถ้าขาดมากๆ ก็อาจจะถึงขั้นความจำเสื่อม ไนอะซินเป็นวิตามินที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญกลูโคสเช่นกัน การขาดไนอะซินนี้จะพบมากในกลุ่มคนที่รับประทานข้าวโพดเป็นอาหารหลัก ซึ่งในประเทศไทยยังไม่พบการขาดวิตามินชนิดนี้ อาหารที่มีไนอะซิน ได้แก่ ไข่ เนื้อสัตว์ปีก ปลา ธัญพืชที่ไม่ขัดสี นม

รับประทานอาหารอย่างไรจึงทำให้อารมณ์ดีขึ้น

การปรับเปลี่ยนประเภทของอาหารเพียงเล็กน้อยก็สามารถส่งผลให้อารมณ์ดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพียงแค่คุณ...

• รับประทานอาหารให้ครบมื้อ ถ้าไม่มีเวลารับประทานอาหารเป็นมื้อแบบกิจลักษณะ ควรเลือกของว่างเล็กๆ น้อยๆ เช่น ขนมปัง

โฮลวีทสักแผ่นหรือ ขนมปังกรอบธัญพืชสัก 2-3 แผ่น อย่าปล่อยให้ท้องว่างเด็ดขาด หรือว่าจะแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อเล็กๆ แต่รับประทานบ่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำตาลในเลือดตก

• รับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ผักและผลไม้ที่มีเส้นใยมาก และมีรสไม่หวาน

เป็นต้น เพราะร่างกายจะค่อยๆ ย่อยและดูดซึมช้าๆ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ สม่ำเสมอ และหลังรับประทานอาหารได้ 4-6 ชั่วโมง

ร่างกายจะหลั่งสารฮอร์โมนบางชนิดเพื่อสลายไกลโคเจน ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตที่สะสมอยู่ในร่างกายและเพิ่มการสร้างกลูโคสจากแหล่งอาหารอื่น เช่น ไขมัน

• งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คาเฟอีน หันมาดื่มน้ำผลไม้คั้นสดหรือน้ำเปล่าธรรมดาแทน

• หมั่นออกกำลังกาย เนื่องจากหลังออกกำลังกายต่อเนื่องสัก 20 นาที ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนแอนโดรฟีนออกมาตามธรรมชาติ ทำให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้ปกระเปร่าและมีความสุข ลดความกังวลและเครียดลงได้

สรุปแล้วความสัมพันธ์ระหว่างอาหารและอารมณ์นี้ยังมีความซับซ้อนอยู่มาก จำเป็นต้องมีการศึกษาเพื่อหาข้อสรุปต่อไป แต่ปราการป้องกันขั้นพื้นฐานไม่ให้อารมณ์หม่นหมอง ง่วงซึม ทุกครั้งที่เกี่ยวข้องกับการรับประทานอาหาร ก็ควรรับประทานอาหารอย่างเหมาะสม

ครบมื้อพอเพียงกับความต้องการของร่างกาย รับประทานอาหารหลากหลายให้ครบ 5 หมู่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงและมีค่าดัชนีน้ำตาลสูง ประกอบกับการออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับรองว่าอาการเซื่องซึม ง่วงนอน อ่อนเพลียจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์อีส เลขที่ 2

หวานได้ ไม่ทำร้ายสุขภาพ

จากการวิจัยและศึกษาเรื่องพฤติกรรม การรับประทานอาหารและน้ำของคนไทยล่าสุด จากมูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) พบว่าคนไทยติดรับประทานหวานมากขึ้น เฉลี่ยรับประทานน้ำตาลกว่า 29 กิโลกรัม/ ปี หรือ 18 ช้อนชา/วัน ทำให้เกิดโรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูงและไขมันในเลือดสูง มากขึ้นกว่า 30%! ทำให้น่าสังเกตว่า วันหนึ่งเราเติมน้ำตาลลงเครื่องดื่มหรืออาหารกี่ช้อนชา? ปกติคนทั่วไปควรได้รับน้ำตาลไม่เกินวันละ 4-8 ช้อนชา ยิ่งถ้าเป็นเด็กวัยเรียน ผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุไม่ควรเกินวันละ 3 ช้อนชา แต่จะให้งดก็คงทำยากอยู่... เมื่อเป็นแบบนี้สารพัดน้ำตาลที่รับประทานทุกวัน มีชนิดใดบ้างที่เลือกทานแล้ว ยังให้ประโยชน์ต่อร่างกายชนิดที่เรียกว่า “เติมหวานได้แต่ไม่ทำร้ายสุขภาพ” เราลองมาทำความรู้จักคุณค่าน้ำตาลและความหวานกัน

น้ำตาลทราย

แม้น้ำตาลทรายขาวและน้ำตาลทรายแดงให้รสชาติหวานเหมือนกัน คือ 1 กรัม ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี หรือเทียบง่ายๆ 1 ช้อนชา ให้พลังงานประมาณ 19 กิโลแคลอรี แต่ให้คุณค่าทางอาหารต่างกัน

• น้ำตาลทรายขาว ได้มาจากอ้อยแล้วผ่านกรรมวิธีการผลิต ตกผลึกให้เป็นเกล็ดและผ่านการฟอกสี ดังนั้นวิตามินแทบจะไม่หลงเหลืออยู่เลย

• น้ำตาลทรายแดง ยังรักษาคุณค่าทางวิตามินได้ดีกว่าน้ำตาลทรายขาว เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก

แต่ดัชนีน้ำตาลของน้ำตาลทรายและน้ำตาลทรายแดงอยู่ที่ 73-75 ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์สูง ไม่เหมาะสำหรับคนที่ควบคุมน้ำหนักหรือเป็นโรคเบาหวาน

ถ้าเทียบพลังงานระหว่างน้ำตาลทรายและน้ำอ้อยในปริมาณที่เท่ากัน น้ำอ้อยมีฟอสฟอรัสและให้พลังงานน้อยกว่าน้ำตาลทรายถึง 5 เท่า เพราะน้ำอ้อยมีส่วนผสมของน้ำอยู่มาก แต่มีปริมาณแคลเซียมน้อยกว่าน้ำตาลทราย

น้ำตาลปี๊ปหรือน้ำตาลปึก

น้ำตาลปี๊บได้มาจากการเคี่ยวน้ำของยอดทลายอ่อนของมะพร้าวจนกระทั่งเหนียว ข้นและหวาน เป็นเครื่องปรุงติดบ้านคู่ใจแม่บ้านชาวไทยทุกครัวเรือน เพราะนอกจากความหวานแล้ว ยังได้ความหอมอร่อยอีกด้วย น้ำตาลปี๊ป 1 ช้อนชา ให้พลังงาน 18 กิโลแคลอรี ยังมีคุณค่าและวิตามินบ้าง เช่นแคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก

นมข้นหวาน

เป็นสารให้ความหวานที่ผลิตมาจากหางนม นำมาเติมน้ำตาลในปริมาณเข้มข้น และดึงไอระเหยจนข้นเหนียว นมข้นหวาน 1 ช้อนชา ให้พลังงาน 20 กิโลแคลอรี ถ้าเทียบในคุณค่าทางโภชนาการ นมข้นหวานให้พลังงานสูงมาก แต่ยังพอมีโปรตีน ไขมัน ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก วิตามินบี 1 บี 2 วิตามินซี และวิตามินเอ มากกว่าน้ำตาลชนิดอื่น แต่ก็ไม่เป็นอาหารหลักอยู่ดี ไม่มีคุณค่าทางอาหารเหมือน “นม” ปกติทั่วไป ไม่ควรให้เด็กรับประทานมากๆ เพราะจะทำให้อ้วนและมีผลต่อสุขภาพฟัน

น้ำตาลเทียม

เป็นสารให้ความหวานที่ได้จากการสังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ เป็นสารให้ความหวานที่เป็นทางเลือก ของคนที่ควบคุมน้ำหนักหรือเป็นเบาหวาน น้ำตาลเทียมที่ขายทั่วไปคือ แซคคาริน แอสปาเทม ซูคาโลส ซึ่งให้ความหวานมากกว่าน้ำตาลปกติตั้งแต่ 200-600 เท่า แต่ให้พลังงานต่ำ การใช้น้ำตาลเทียมในอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ จะเป็นอาหารหรือเครื่องดื่มที่บอกว่า “ให้แคลอรี 0” หรือ “ไม่มี น้ำตาล” แต่ยังคงรสหวานได้เหมือนปกติ แต่ก่อนเลือกให้ดูที่ฉลากสักนิด เพราะอาจให้พลังงานหลากหลายตั้งแต่ 0 แคลอรีจนถึง15 แคลอรี/ซอง และสำหรับการปรุงอาหารและเครื่องดื่ม น้ำตาลเทียมบางชนิดสามารถปรุงอาหารขณะร้อนได้ แต่บางชนิดก็ไม่ได้ ต้องยกลงจากเตาก่อน หรือผสมลงในเครื่องดื่มที่ไม่ร้อนจัด มิฉะนั้นความหวานจะหายไป

น้ำผึ้ง

น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ให้พลังงานประมาณ 15 กิโลแคลอรี น้ำผึ้งเป็นสารให้ความหวานต่างจากชนิดอื่นๆ ตรงที่อุดมไปด้วยโปรตีน พลังงาน วิตามินและเกลือแร่ ดัชนีน้ำตาลของน้ำผึ้งอยู่ที่ 55 ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง ดีต่อสุขภาพมากกว่า น้ำตาลทรายขาวหรือน้ำตาลทรายแดง จึงเป็นทางเลือกที่ดีของการปรุงอาหาร หรือเครื่องดื่มของคนที่กำลังลดน้ำหนัก ทั้งนี้ก็ไม่แนะนำให้รับประทานเกินวันละ 6 ช้อนชา มิฉะนั้นอาจเป็นผลร้ายต่อสุขภาพแทน

น้ำเชื่อม

เป็นการใช้น้ำตาลมาเคี่ยวผสมกับน้ำจนกระทั่งใส ส่วนใหญ่คนไทยจะใช้ปรุงอาหารหวานหรือเครื่องดื่มต่างๆ น้ำเชื่อมแต่ละชนิดก็ให้รสหวานเข้มข้นต่างกัน ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ผสม (หวานมากก็ให้พลังงานมากตาม) ส่วนวัตถุดิบที่นำมาทำเป็นน้ำเชื่อมสำเร็จรูปจากต่างประเทศ คุณค่าทางอาหารจะขึ้นอยู่กับวัตถุดิบที่นำมาใช้ เช่น องุ่น เมเปิลหรือแอปเปิล มักจะมีการเติมสารอาหารบางชนิดลงไปเพื่อขยายผลทางการค้านั่นเอง

เมื่อทราบดังนี้แล้ว ต้องกะปริมาณน้ำตาลให้ดีต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน โรคอ้วนหรือความดันโลหิตสูง ยิ่งต้องระวังและมีเป้าหมายในการรักษาจากการดูแลเรื่องโภชนาการ เพื่อรักษาระดับน้ำตาลให้ใกล้เคียงปกติเท่าที่จะทำได้ รักษาระดับไขมันในเลือดให้เหมาะสม รักษาน้ำหนักตัวและป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ พร้อมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อชีวิตที่มีความสุข

แหล่งน้ำตาลมีทั้งที่มาจากพืชและสัตว์ แหล่งน้ำตาลของพืชจะเป็นพืชที่มีหัว ซึ่งปริมาณน้ำตาลที่ได้จะแตกต่างกัน นอกจากนี้ยังมีสารอาหารอื่นปนอยู่ด้วยเช่น โปรตีน ไขมัน วิตามิน แร่ธาตุ พืชที่ให้น้ำตาล ได้แก่ ข้าวชนิดต่าง ๆ เผือก มัน ข้าวโพด อ้อย ตาล มะพร้าว ส่วนแหล่งน้ำตาลจากสัตว์ จะเป็นน้ำตาลในนมและไกลโคเจนที่เป็นพลังานสำรองในส่วนกล้ามเนื้อและตับ เทียบกันแล้วความหวานและปริมาณน้ำตาลจากสัตว์จะมีน้อยกว่าพืช

การบริหารลิ้นเพื่อสุขภาพ

เป็นการบริการใบหน้าซึ่งช่วยกระตุ้นเส้นประสาทและ กระตุ้นการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้า เช่น แก้ม ปากและลิ้น ให้มีความแข็งแรง เคลื่อนไหวคล่องขึ้น เนื่องจากเมื่อคนเราอายุมากขึ้น กล้ามเนื้อใบหน้ารอบ ๆ ปากและลิ้นทำงานช้าลง น้ำลายจะหลั่งน้อยลงปากจะแห้ง ทำให้บางครั้งเคี้ยวอาหารได้ไม่ถนัด เพราะมีเศษอาหารตกค้างอยู่ในช่องปากและกระพุ้งแก้ม

แบ่งเป็น 2 ประเภท การบริหารใบหน้า

การบริหารลิ้น

ถ้าทุกคนสามารถฝึกทำเป็นประจำทุกวันจะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าและลิ้นแข็งแรง ใบหน้าจะเต่งตึง ดูอ่อนกว่าอายุจริง สำหรับการบริหารลิ้น จะช่วยให้การเคลื่อนไหวของลิ้นดีขึ้น คลุกเคล้าอาหารได้ดี ป้องกันไม่ให้อาหารตกสู่หลอดลม ช่วยให้ออกเสียงพูดชัดเจนและกระตุ้นการหลั่งของน้ำลาย

1. การบริหารใบหน้า แนะนำให้ทำหลังล้างหน้าตอนเช้า ทำ 3 ขั้นตอน แต่ละขั้นตอนใช้เวลาประมาณ 10 วินาที แล้วผ่อนคลาย ขั้นตอนที่1-3 นับเป็น 1 รอบ จากนั้นให้ปฏิบัติซ้ำตั้งแต่ต้นจนจบอีก 3 รอบ

ขั้นตอนที่ 1 เริ่มด้วย สูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอด เหยียดริมฝีปากออกไปด้านข้างเป็นแนวกว้าง ขยับแก้มให้สูง หลับตาให้สนิท

ขั้นตอนที่ 2 อ้าปากค้าง ลืมตาค้าง

ขั้นตอนที่ 3 ปิดปากให้สนิท ป่องแก้ม ขยับปากซ้าย – ขวา

2. การบริหารลิ้น แนะให้ทำก่อนรับประทานอาหาร การบริหารลิ้น มี 2 แบบดังนี้

* การบริหารโดยการปิดปาก (ปฏิบัติขั้นตอนละ 5 ครั้ง)

ขั้นตอนที่ 1 แลบลิ้น เข้าและออก

ขั้นตอนที่ 2 แลบลิ้น แล้วเคลื่อนไหวไปทางซ้าย – ขวา หมุนลิ้นไปทางซ้าย – ขวา เพื่อเลียรอบ ๆ ริมฝีปาก

ขั้นตอนที่ 3 แลบลิ้น แล้วขยับลิ้นขึ้น – ลง เพื่อที่จะเลียที่ปลายจมูกหรือคาง

*การบริหารโดยการเปิดปาก (ปฏิบัติขั้นตอนละ 5 ครั้งๆละประมาณ 10 วินาที)

ขั้นตอนที่ 1 ดันริมฝีปากล่างด้วยลิ้น

ขั้นตอนที่ 2 ดันริมฝีปากบนด้วยลิ้น

ขั้นตอนที่ 3 ดันแก้มซ้าย ขวา ด้วยลิ้น หมุนลิ้นไปรอบ ๆ ทั้งซ้ายและขวา

และอีกหนึ่งวิธีที่สามารถบริหารลิ้นให้แข็งแรงได้โดยการ ใช้ลิ้นแตะเพดานปากบ่อยๆ จะทำให้ทำให้ต่อมน้ำลายกระตุ้นการทำงานและหลั่งต่อเนื่องสามารถช่วยย่อยอาหารได้ดีขึ้น

มีการดูแลตัวเองตามกรุ๊ปเลือดมาบอกกันคับ...

สุขภาพ

- คนที่มีกรุ๊ปเลือด A

จะ มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดเนื่องจากร่างกายจะผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือฮอร์โมนเครียดมาก ดังนั้นควรจะออกกำลังกายด้วยการจดจ่อต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาทิ โยคะ ไทชิ หรือนั่งสมาธิ เพื่อลดความเครียด หากออกกำลังกายก็อย่าหักโหม

จึงไม่ ควรบริโภคเนื้อสัตว์มากเกินไป เพราะผู้ที่มีหมู่เลือดนี้จะไม่ค่อยมีเอนไซม์และกรดที่ย่อยโปรตีนจากเนื้อ สัตว์ ควรงดการดื่มนมสดและผลิตภัณฑ์จากนม เพราะจะทำให้เกิดท้องอืด ท้องเฟ้อ ทางที่ดีควรรับประทานผัก อย่างฟักทอง แคร์รอต ผักโขม บร็อกโคลี่ และพืชตระกูลถั่ว โดยเฉพาะถั่วเหลือง ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่มีโปรตีนสูงและช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และควรดื่มชาเขียวเป็นประจำเพื่อช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ควรจำกัดน้ำตาล กาเฟอีน และแอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้จะไปเพิ่มความเครียด และทำให้กระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกายทำงานช้าลง

- คนที่มีกรุ๊ปเลือด B

เมื่อ ร่างกายไม่สมดุลระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจะเพิ่มสูงขึ้นทำให้มีโอกาสที่จะติด เชื้อ เกิดอาการเหนื่อยล้า จิตใจมัวหมอง ควรสร้างความสมดุลด้วยการออกกำลังกายในรูปแบบที่ท้าทายแต่ต้องใช้สมาธิควบ คู่ไปดวย อาทิ เทนนิส ศิลปะการต่อสู้ ปั่นจักรยาน เดินทางไกล กอล์ฟ หรือไทชิเป็นการลดความเครียด ลดความดัน ทำให้ผ่อนคลาย สร้างสมดุลให้กับร่างกาย

คนเลือดกรุ๊ปนี้เหมาะกับการดื่มนมหรือ ผลิตภัณฑ์จากนม และเนื้อสัตว แม้คนหมู่เลือดนี้จะสามารถเผาผลาญโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ดีก็ตามแต่ก็ไม่ควร กินเนื้อสัตว์ที่ติดมัน ไม่ควรกินคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป และหลีกเลี่ยงเนื้อไก่

- คนที่มีกรุ๊ปเลือด AB

เป็น กลุ่มคนที่รักความเคลื่อนไหว ดังนั้นควรออกกำลังกายในรูปแบบที่ใช้แรงมากและต้องสร้างสมาธิได้ด้วย อย่างเช่นโยคะ หรือแอโรบิก คนเลือดกรุ๊ปนี้มีกรดไฮโดรคลอริกน้อยทำให้ย่อยอาหารได้ยาก จึงต้องจำกัดปริมาณเนื้อสัตว์ไม่ควรรับประทานเนื้อไก่ ควรหันมาบริโภคถั่วเหลือง ปลา ไข่ไก่ และผักแทนไม่ควรดื่มกาเฟอีนและแอลกอฮอล์มากเกินไปและไม่ควรอดอาหารเพราะจะทำ ให้เกิดความเครียด

- คนที่มีเลือดกรุ๊ป O

ควร จะออกกำลังกายโดยสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเต้นแอโรบิก วิ่ง หรือปั่นจักรยานจะช่วยปรับสภาวะสมดุลของอารมณ์ได้ คนเลือดกรุ๊ปนี้โปรตีนเป็นสิ่งสำคัญ แต่ควรจำกัดการบริโภคถั่วและหมู ส่วนนมและผลิตภัณฑ์จากนมให้บริโภคแต่น้อยเพราะร่างกายย่อยได้ยาก ควรจะหันมารับประทานผักผลไม้ให้มาก

ไม่ว่าจะกรุ๊ปเลือดไหนก็อย่าลืมดูแลตัวเองด้วย เพื่อสุขภาพที่ดี.

จันทร์ชฎา วิทย์ออก เลขที่ 72

เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. นายแพทย์ นรังสันต์ พีรกิจ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ได้รับการร้องเรียนจากผู้บริโภคว่า ซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร มากินแล้ว มีอาการปากและคอแห้ง นอนไม่หลับ ใจสั่น สงสัยว่าบางอย่างอาจมีส่วนผสมของยา เจ้าหน้าที่ อย. จึง ออกเก็บตัวอย่างมาตรวจวิเคราะห์คุณภาพทางวิชาการที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาเปิดเผยต่อไปว่า จากการตรวจพบสารไซบูทรามีน (sibutra mine) ซึ่งเป็นยาลดความอ้วน และเป็นยาควบคุมพิเศษที่ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์ และขายได้เฉพาะในสถานพยาบาล เท่านั้น มีผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 5 รายการคือ 1. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาทินอมาธิส จำนวน 3 รุ่นการผลิต คือ รุ่น Batch No.APLS 08004 Best Before 042011 รุ่น Batch No. APLS08007 Best Before 062011 และรุ่น Batch No.APLS 08008 Best Before 082011 2. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารออนท็อพโกลด์ รุ่นการผลิต Batch No.OGLV 08005 Best Before 082011 3. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คอลลาทิน แม็กซ์ลิม จำนวน 3 รุ่นการผลิต คือ รุ่น Batch No.LVCAM 08009 Best Before 082011 รุ่น Batch No.LVCAM 08010 Best Before 082011 และรุ่น Batch No.LVCAM 08011 Best Before 082011 ทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์ ฉลากระบุ นำเข้า และจำหน่ายโดยบริษัท เพนดูรา ไลฟ์ วิชั่นส์ เลขที่ 8/108 หมู่ 3 ถนนเกษตรนวมินทร์ แขวงจรเข้บัว เขต ลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร 4. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ชนิดแคปซูล เอส พลัส โกลด์ 2 เครื่องหมายการค้า พีจี แอนด์ พี จำนวน 3 รุ่น การผลิต คือ รุ่น MFG 06/2008 EXP 06/2010 รุ่น MFG 07/2008 EXP 07/2010 และรุ่น MFG 08/2008 EXP 08/2010 ผลิตโดยบริษัท แอดสโก ดรัคส จำกัด และ 5. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารผงถั่วเหลืองผสมสาหร่าย สไปรูลิน่า ชนิดแคปซูล เนเจอร์แพล็นท์ เอส พลัส เครื่องหมายการค้า พีจี แอนด์ พี เลขสารบบอาหาร 10-1-21142-1-0018 รุ่นการผลิต MFG 05/2008 EXP 05/2010 ผลิตและแบ่งบรรจุ โดยบริษัท สยามไบโอเบสท์ จำกัด “ถือว่าผลิตภัณฑ์ ทั้ง 5 รายการนี้ เป็นอาหารไม่บริสุทธิ์ ผู้ใดผลิต นำเข้า เพื่อจำหน่าย หรือจำหน่ายอาหารไม่บริสุทธิ์ จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ อย.ได้สั่งให้บริษัทผู้นำเข้างดนำเข้าและให้งดจำหน่าย พร้อมกับเรียกคืน และได้แจ้งไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ให้ตรวจสอบการจำหน่ายพร้อมเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์เสริมอาหารรุ่นการผลิตดัง กล่าว ส่งตรวจวิเคราะห์หาไซบูท-รามีน” นายแพทย์นรังสันต์ก

มาจาก ไทยรัฐ

----น่ากลัวจริงๆ ค่ะ ใครที่อยากจะกินอาหารเสริมก็ตรวจสอบให้ดีก่อนรับประทานด้วยนะค่ะ ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่ต้องไปรับประทานเลยนะค่ะ เพราะหากเราหมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารให้ครบห้าหมู่ ก็จะมีสุขภาพที่แข็งแรงแล้วนะค่ะ จันทร์ชฎา

ฉัตรชัย วิทย์ออก 85

กัญชาช่วยฟื้นสมองให้กลับหนุ่ม มีสารกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ได้

        นักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยรัฐโอไฮโอ ของสหรัฐฯ ค้นพบอันน่าสนใจว่า ในกัญชามีสารบางชนิดที่มีสรรพคุณที่สามารถจะฟื้นฟูสมองที่แก่ชราด้วยการลดการอักเสบและยังกระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์สมองใหม่ๆ ขึ้นมาได้ รายงานผลการศึกษา กล่าวแสดงความเห็นว่า หากว่าสามารถทำยาที่เข้าสารที่มีคุณสมบัติอย่างที่มีอยู่ในกัญชาโดยไม่ผิดกฎหมายขึ้นได้อาจจะช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมได้ แม้ว่ายังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของมัน แต่ก็เชื่อกันว่าเนื่องจากฤทธิ์การอักเสบเรื้อรังที่เกิดขึ้นในสมองมีส่วนทำให้ความจำเสื่อมขึ้น ศาสตราจารย์วิชาจิตวิทยา แกรี เวนค์ ผู้สืบค้นสำคัญของการวิจัยกล่าวว่า "ไม่ใช่ว่าต้องเป็นเพราะของผิดศีลธรรมถึงจะดีต่อสมอง หากแต่เป็นเพราะมันมีสารบางอย่างที่คนเรือนล้านได้เคยใช้กันมาไม่รู้กี่พันล้านหนแล้วตลอดช่วงระยะเวลา เป็นพันๆ ปี"

Source: ไทยรัฐ ปีที่ 59 ฉบับที่ 18577 วันจันทร์ที่ 1 ธันวาคม 2551 ข่าววิทยาการ

ไม่รู้ว่าช่วยได้จริงหรือเปล่าแต่ที่แน่ๆไปใช้วิธีอื่นดีกว่าคับ
............................
ของทุกอย่างให้ทั้งคุณและโทษอยู่ที่เราเลือกว่าจะฟื้นฟูสมองหรือทำลายสมอง "แบบนี้ต้องวันละ 2 ถ้วย เหอะๆๆ"  ...ฉัตรชัย

“สุขภาพที่ดี หมายถึง สุขภาวะที่สุขสมบูรณ์ในทุกมิติของสุขภาพ ทั้งสุขภาพกาย จิตใจ สังคม และคุณธรรม (จิตวิญญาณ) การทำให้คนไทยมีสุขภาพดีเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการพัฒนาประเทศ

การทำให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดี สามารถทำได้ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยการส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้ ปฏิบัติตนเพื่อให้มีสุขภาพที่ดี และพัฒนาระบบสาธารณสุขของประเทศให้มีประสิทธิภาพ

การมีสุขภาพที่ดีมิใช่การมีร่างกายที่แข็งแรงเท่านั้น แต่ต้องมีสุขภาพจิตที่ดีมีความสุข มีความพอเพียง ประชาชนร่วมกันสร้างและมีครอบครัวที่มีความสุข สามารถทำงานและอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้เป็นอย่างดี และต้องพัฒนาให้ประชาชนมีคุณธรรม เช่น มีความกตัญญู ซื่อสัตย์ สามัคคี มีความเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

หากสามารถพัฒนาประชาชนไทยให้มีสุขภาพที่ดีในทุกมิติของสุขภาพ การพัฒนาประเทศในแนวทางดังกล่าวจะเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนและพอเพียง”

14 วิธีขับถ่ายปัสสาวะ เพื่อสุขภาพที่ดี

ไม่น่าเชื่อว่า แม้คนเราจะขับถ่ายปัสสาวะกันมาก ตั้งแต่แรกเกิด แต่หลายคนไม่ทราบวิธีที่ดีที่ทำให้ระบบขับถ่ายปัสสาวะเป็นปกติ วันนี้จะขอเสนอ 14 อุปนิสัยที่ดีในการขับถ่ายปัสสาวะ

อย่ากลั้นปัสสาวะ เมื่อรู้สึกปวดต้องไปปัสสาวะ

เวลาปัสสาวะไม่ควรรีบร้อนเบ่งมาก เพราะอาจทำให้หูรูดปัสสาวะชำรุดได้

ควรถ่ายปัสสาวะให้เหลือน้อยที่สุดในหนึ่งครั้ง นั่นคือเมื่อรู้สึกถ่ายหมดแล้วให้เบ่งต่ออีกนิดหน่อย ปัสสาวะที่เหลือจะไหลออกมา

ไม่ควรบังคับให้ตนเองถ่ายปัสสาวะบ่อย เพราะจะติดเป็นนิสัย เวลาที่เหมาะสมคือ 2-4 ชั่วโมงควรถ่ายปัสสาวะหนึ่งครั้ง

ให้สังเกตการถ่ายปัสสาวะ และน้ำปัสสาวะของตนเองทุกครั้งว่า ต้องเบ่งมากผิดปกติหรือไม่ น้ำปัสสาวะลำพุ่งดีหรือไม่ ลำน้ำปัสสาวะมีขนาดเล็กลงกว่าเดิมหรือไม่ น้ำปัสสาวะมีสีเหลืองใสหรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเป็นอาการผิดปกติที่สามารถบอกโรคได้

อาจจะล้างทำความสะอาดหลังปัสสาวะ แต่อย่าให้บริเวณนั้นเปียกชื้น เพราะอาจเกิดเชื้อราได้ ทางที่ดีหลังปัสสาวะทุกครั้ง ควรซับให้แห้ง

เมื่อปัสสาวะไม่ออก ต้องหาสาเหตุโดยการไปพบแพทย์ อย่าซื้อยาขับปัสสาวะรับประทานเพราะจะเกิดอันตรายได้

เมื่อเข้าสู่วัยกลางคน การบริหารอุ้งเชิงกรานโดยการขมิบ (ฝ่ายหญิงขมิบช่องคลอด ฝ่ายชายขมิบทวารหนัก) วันละ 100 ครั้ง จะช่วยป้องกันอาการปัสสาวะเล็ด

ดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 10 แก้ว หรือหนึ่งลิตร จะช่วยให้น้ำปัสสาวะใส มีจำนวนพอดีและป้องกันภาวะปัสสาวะอักเสบ

ก่อนมีเพศสัมพันธ์ และหลังมีเพศสัมพันธ์ คุณผู้หญิงควรถ่ายปัสสาวะทิ้ง จะช่วยป้องกันการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

น้ำปัสสาวะจะต้องเป็นน้ำเท่านั้น ถ้ามีมูก หนอง น้ำเหลือง เลือดปนออกมา ถือว่าผิดปกติต้องไปพบแพทย์

การขับถ่ายปัสสาวะ ต้องขับถ่ายคล่องไม่มีอาการเจ็บปวด ถ้าปัสสาวะแสบขัดลำบากนับว่าเป็นอาการผิดปกติ ต้องไปพบแพทย์อีกเช่นกัน

คนเราทุกคนต้องปัสสาวะทุกวัน วันละ 4-6 ครั้ง ถ้าไม่ปัสสาวะเลย 1 วัน ถือว่าตกอยู่ในภาวะอันตราย ต้องไปพบแพทย์โดยด่วน

ก่อนเดินทางไกล ก่อนยกของหนัก ควรปัสสาวะทิ้งก่อนทุกครั้ง

8 เคล็ด (ไม่ลับ) หลับสบาย

คุณมีอาการแบบนี้หรือไม่? ระหว่างนอนรู้สึกว่าสมองยังคงคิดเรื่องต่างๆ อยู่ หลับไม่สนิทตื่นเป็นระยะ บ่อยครั้งตื่นในตอนเช้าด้วยความงัวเงีย และรู้สึกไม่แจ่มใสไปทั้งวัน นั่นเป็นเพราะคุณกำลังเข้าใกล้วงจรของอาการนอนไม่หลับ

นอนไม่หลับ นับเป็นอาการยอดฮิตของหลายๆ คน ที่ส่วนมากเกิดจากความเครียด โดยเฉพาะวัยเรียนและวัยทำงาน ที่กังวลเกี่ยวกับงานและเรื่องต่างๆ มากเกินไป จนกลายเป็นความคิดมาก เครียด และนอนไม่หลับ

บ่อยครั้งในระหว่างวันจะรู้สึกง่วงนอนและอ่อนเพลีย ส่งผลให้การเรียนการทำงานขาดประสิทธิภาพ

เกร็ดน่ารู้ มี Tips ง่ายๆ ช่วยให้หลับสบายมาฝากกัน

1.ตื่นและนอนให้เป็นเวลา โดยใน 1 วัน ควรนอนให้ได้ 8 ชั่วโมง และทำให้เป็นประจำทุกวัน

2.ฝึกนั่งสมาธิก่อนนอน เพื่อไม่ให้จิตใจฟุ้งซ่าน

3.วางแผนงานที่จะสะสางในวันพรุ่งนี้ให้เป็นระบบ เพื่อลดการคิดซ้ำซาก

4.อย่ากังวลกับงานจนเกินไป เมื่อถึงเวลานอนก็ควรนอนให้หลับสนิท เพื่อพักสมอง และเตรียมลุยงานในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะเป็นผลดีกับประสิทธิภาพของงาน

5.หากลิ่นหอมอ่อนๆ จากน้ำมันหอมระเหยวางในห้อง จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและหลับง่ายขึ้น

6.ดื่มนมอุ่นๆ ก่อนนอน จะช่วยคลายเครียด ผ่อนคลายประสาท

7.หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เนื่องจากมีคาเฟอีนกระตุ้นทำให้นอนไม่หลับ

8.เปิดเพลงเบาๆ ฟังสบายๆ จะให้ความรู้สึกสงบ

เพราะ...การหลับสนิทเป็นการพักผ่อนที่ช่วยชาร์จพลังที่ดีที่สุด ดังนั้น การสร้างสุขลักษณะการนอนที่ดี รู้จักผ่อนคลายเรื่องเครียดกังวล จะส่งผลดีต่อร่างกาย-สติปัญญา และช่วยบอกลาอาการนอนไม่หลับได้.

กลิ่นและสีที่ควรสังเกต

ถึงไม่ใช่ของที่ชวนมอง แต่ก็ไม่ควรเมินเสียทีเดียว เพราะมันสามารถบ่งชี้สุขภาพของคุณได้เป็นอย่างดี

ใช่แล้ว…เรากำลังหมายถึงการสังเกต “อุจจาระ” ของเสียจากการย่อย ของเหลือจากการรับประทานที่ร่างกายขับถ่ายออกมา

หากคุณทานอะไรเข้าไปมากของที่ขับถ่ายก็จะมีสีตามนั้น เช่น ทานเนื้อมาก อุจจาระจะออกมาสีน้ำตาลดำ ทานผักมาก-อุจจาระสีเขียวขี้ม้า ทานผลไม้มาก เช่น มะละกอ อุจจาระจะมีสีแดงๆ ทานธัญพืชและข้าวซ้อมมือมาก อุจจาระจะออกสีน้ำตาลอ่อนและลอยน้ำได้ ทานพริกมาก เวลาถ่ายจะแสบก้น เป็นต้น

ดังนั้นเป็นเรื่องปกติที่อุจจาระของคนเราเปลี่ยนสีได้ ถ้าวันไหนก้มลงดูแล้วเห็นอุจจาระของคุณมีสีดำเหมือนถ่าน สันนิษฐานได้เลยว่าอาจเกิดจากการทานเนื้อสัตว์มากเกินไป แต่ถ้าบังเอิญคุณมั่นใจว่าช่วงนี้ทานเนื้อสัตว์น้อยหรือไม่ได้ทานเลย น่ากลัวแล้ว เพราะอุจจาระสีดำอาจหมายถึงการมีเลือดออกในกระเพาะอาหารและลำไส้ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นควรไปพบแพทย์ทันที

ส่วนคนที่อุจจาระสีเหลืองซีดอาจเกิดจากท่อน้ำดีอุดตัน หากถ่ายออกมาเป็นมูกเลือดอาจเกิดจากการอักเสบของลำไส้หรือเป็นมะเร็ง ใครที่เจอสีดังกล่าวติดต่อกันนานๆ แล้วรู้สึกไม่สบายใจ ควรไปพบแพทย์เช่นกัน เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องที่น่าอายแต่อย่างใด

สำหรับอุจจาระที่ดีควรมีสีน้ำตาลอ่อนค่อนไปทางเข้ม กลิ่นไม่แรง ไม่แข็งโป๊กหรือเหนียวหนืด ถ้าเจออย่างนี้ก็สบายใจได้ว่าสุขภาพของคุณอยู่ในเกณฑ์ปกติ หากใช้อาหารและระบบขับถ่ายเป็นตัวชี้วัด

เห็นไหม? แม้แต่อุจจาระยังมีประโยชน์ในการดูแลสุขภาพอย่างคาดไม่ถึง

นมเปรี้ยวแก้ท้องผูก และแก้ท้องเสีย

หัวข้อของบทความนี้อาจทำให้งงได้ เพราะทำให้เกิดความสงสัยว่า ในเมื่อนมเปรี้ยวสามารถจะช่วยแก้ไขปัญหาท้องผูกได้ เหตุใดจึงยังสามารถแก้ไขปัญหาท้องเสียได้ด้วย ซึ่งเป็นอาการที่ตรงข้ามกัน แต่หัวข้อนี้ไม่ผิด นมเปรี้ยวมีคุณสมบัติเช่นนี้จริง ๆ เพียงแต่ไม่สามารถรักษาปัญหาท้องผูกได้ทุกคน และก็ไม่สามารถรักษาปัญหาท้องเสียได้ทุกกรณี

คราวนี้เรามาดูกันในส่วนประกอบว่า นมเปรี้ยวนั้นส่วนใหญ่มีอะไรบ้าง นมเปรี้ยวเกิดจากการหมักนมขาดมันเนย ด้วยแบคทีเรียที่ดี 2 ชนิด คือ Lactobacilli และ Streptococcus thermophilus ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่พบได้เป็นจำนวนมากในลำไส้ใหญ่ของทุกคน โดยเฉพาะในคนที่ดื่มนมเป็นประจำ เมื่อหมักนมวัวนี้ด้วยแบคทีเรียทั้ง 2 ชนิดในเวลาและอุณหภูมิที่พอเหมาะ น้ำตาลแลคโตสในนมวัวจะถูกย่อยสลายหมดไป กลายเป็นกรดแฟตตี้ที่มีโมเลกุลสั้น คือ Acetic, Butyric และ Propionic acid กรดแฟตตี้ทั้ง 3 นี้ ทำให้นมมีรสเปรี้ยว ในขั้นตอนสุดท้ายมีการเติมน้ำตาลทรายลงไปเพื่อปรุงรสชาติให้ชวนดื่ม ก่อนที่จะนำออกมาจำหน่าย นมเปรี้ยวเหล่านี้จึงมีแบคทีเรียทั้ง 2 ชนิดนี้จำนวนมาก โดยไม่มีน้ำตาลแลคโตสหลงเหลืออยู่ จึงแก้ไขปัญหาคนที่ดื่มนมวัวแล้วท้องเสียได้ เนื่องจากปัญหาการที่ไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมได้ และเนื่องจากมีแบคทีเรียทั้ง 2 ชนิดที่ยังมีชีวิตอยู่ จึงต้องเก็บไว้ในตู้เย็น ให้มีอุณหภูมิใกล้ 4 องศา เพื่อไม่ให้แบคทีเรียนี้มีการหมักน้ำตาลอีกต่อไป เวลาจำหน่ายจึงต้องเก็บไว้ในตู้เย็นตลอดเวลา

ประโยชน์ที่จะได้จากการดื่มนมเปรี้ยวก็คือการได้รับแบคทีเรียชนิดดีทั้ง 2 ชนิดเข้าไปในลำไส้ โดยมีการศึกษาที่พบว่า Lactobacilli จะช่วยกำจัดแบคทีเรียชนิดร้ายที่อาจจะเจริญเติบโตในลำไส้และทำให้เกิดท้องเสียได้ แต่ขณะนี้แบคทีเรียที่ทำให้เกิดท้องเสียชนิดเฉียบพลันหลายชนิดดื้อต่อ Lactobacilli จึงมักจะต้องได้ยาปฏิชีวนะในการรักษาท้องเสีย การดื่มนมเปรี้ยวเพื่อรักษาโรคท้องร่วงจากเชื้อแบคทีเรียจึงอาจจะไม่สามารถควบคุมเชื้อแบคทีเรียได้ อย่างไรก็ตามการดื่มนมเปรี้ยวเป็นประจำอาจจะช่วยป้องกันลำไส้ไม่ให้ท้องเสียได้ ในกรณีที่รับประทานอาหารที่อาจมีแบคทีเรียชนิดร้ายปะปนเข้าไปในอาหาร

สำหรับกลไกที่นมเปรี้ยวช่วยแก้ไขท้องผูกนั้นเชื่อว่า การมีแบคทีเรียชนิดนี้จำนวนมากจะช่วยทำให้ลำไส้ใหญ่แข็งแรง มีแรงบีบตัวที่มากขึ้น ช่วยในการผลักดันอุจจาระออกมาง่ายขึ้น นอกจากนั้นแบคทีเรียชนิดดีนี้จะช่วยย่อยกากใยในอาหาร ทำให้เกิดกรดแฟตตี้โมเลกุลสั้นจำนวนมากมาย ซึ่งเป็นอาหารของเซลล์ต่าง ๆ ในลำไส้ใหญ่ และเกิดน้ำและก๊าซทำให้อุจจาระนุ่ม ไม่เกาะตัวแน่นจนแข็งเป็นก้อนใหญ่ อุจจาระที่นุ่มนี้จึงทำให้ถ่ายได้ง่าย แต่คนที่มีอาการท้องผูกที่เป็นมานานและมีอุจจาระที่แข็งและก้อนใหญ่มาก หรือแข็งจนเป็นเม็ดกระสุนอาจจะตอบสนองไม่มีดีต่อนมเปรี้ยว จึงควรได้รับการรักษาด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย

สิ่งที่ได้จากการดื่มนมเปรี้ยวถัดมาก็คือ การได้แคลเซียมจากนมวัวที่นำมาทำนมเปรี้ยว แต่เนื่องจากนมเปรี้ยวนี้มีราคาแพงกว่านมวัวพร้อมดื่มทั่วไปเกือบ 3 เท่าตัว เมื่อเปรียบเทียบในปริมาณน้ำนมที่เท่ากัน จึงไม่แนะนำให้ดื่มนมเปรี้ยวเพื่อหวังจะได้รับแคลเซียมเพียงอย่างเดียว

น้ำตาลทรายในนมเปรี้ยวนี้มีส่วนที่ทำให้ฟันผุได้ง่าย ดังนั้นเมื่อดื่มนมเปรี้ยวทุกครั้งก็ควรจะบ้วนปาก เพื่อกำจัดคราบน้ำตาลในนมที่อาจเกาะติดที่ฟันได้ ในกรณีที่ดื่มนมเปรี้ยวแล้วเข้านอน ก็ควรได้รับการแปรงฟันทุกครั้ง

ยังมีนมเปรี้ยวที่ผสมผลไม้ชนิดต่าง ๆ และทำให้เป็นครีมเข้มข้น จึงควรอ่านฉลากข้างขวดว่า ให้พลังงานเท่าใดด้วย เพราะถ้ารับประทานมากเกินไปก็อาจทำให้เป็นโรคอ้วนได้ ถ้าแยกดื่มเป็นนมวัวธรรมดา และรับประทานผลไม้เป็นประจำก็จะประหยัดเงินกว่ามาก

และสุดท้าย มีนมเปรี้ยวที่บรรจุในกล่องยูเอชทีโดยไม่ได้แช่ตู้เย็น นมเปรี้ยวชนิดนี้จะไม่มีแบคทีเรียที่มีชีวิตทั้ง 2 ชนิดนี้ จึงมีแต่น้ำนมที่ไม่มีน้ำตาลแลคโตส แต่มีน้ำตาลทรายและกรดแฟตตี้ชนิดโมเลกุลดังที่ได้กล่าวมา จึงให้คุณค่าคล้ายน้ำนมวัวธรรมดาแต่จะแพงกว่าการดื่มนมวัว จึงควรพิจารณาความคุ้มค่าทางด้านโภชนาการกับจำนวนเงินที่ต้องจ่ายไป

สุดท้ายนี้ขอเตือนให้จำว่า การดื่มนมนั้นเมื่อให้ร่างกายได้รับแคลเซียมและแร่ธาตุอื่น ๆ เป็นหลัก แต่ที่ได้นอกเหนือจากนั้นก็คือ การได้รับโปรตีนและพลังงานที่มากพอสมควร โดยปกตินม 1 แก้ว จะให้พลังงานเกือบ 12% และ 10% ของความต้องการพลังงานใน 1 วัน ในหญิงและชายตามลำดับ ถ้าไม่อยากให้ได้รับพลังงานมากเกินไป ก็ควรดื่มนมขาดมันเนย และเมื่อจะดื่มนมเปรี้ยว เราก็คาดหวังจะได้รับแบคทีเรียชนิดดีทั้ง 2 ชนิดดังที่ได้กล่าวมา จึงควรดื่มเพียงชั่วคราว โดยเฉพาะควรดื่มหลังจากการได้กินยาปฏิชีวนะในการรักษาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ เมื่อดื่มนมเปรี้ยวได้สักระยะ ภายในลำไส้ใหญ่ก็จะมีแบคทีเรียชนิดดีนี้จำนวนมาก ก็ควรจะเลี้ยงแบคทีเรียนี้อย่างต่อเนื่องด้วยการรับประทานผักและผลไม้เป็นประจำทุก ๆ วัน โดยไม่จำเป็นต้องดื่มนมเปรี้ยวอีกต่อไป.

เสาวลักษณ์ ม.ฟาร์(37)

6 ข้อควรจำ ก่อนตรวจภายใน

คุณผู้หญิงหลายคนมักกังวลเมื่อต้องมีนัดกับคุณหมอสูตินารี เพื่อตรวจภายใน ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับผู้หญิงอายุ 35 ปีขึ้นไป เพื่อตรวจเช็คความปกติของมดลูกและมะเร็งปากมดลูก อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง

- ทำความสะอาด ก่อนไปตรวจควรทำความสะอาดภายนอก โดยใช้สบู่ธรรมดา ไม่ต้องใส่น้ำหอม แป้ง หรือฉีดสเปร์ย์ดับกลิ่น

- ไม่ควรไปตรวจช่วงมีประจำเดือน

- ไม่ควรสวนหรือล้างภายในช่องคลอด เพราะอาจล้างเอาส่วนที่เป็นสาเหตุของโรคนั้นออกไป

- ไม่ควรโกนขน เพราะมีผลเสียต่อการตรวจได้เช่นกัน เช่น ทำให้หมอวินิจฉัยโรคทางพันธุกรรมบางอย่างไม่ได้ เพราะต้องอาศัยดูจากขนด้วย

- สวมกระโปรงหรือกางเกงหลวมๆ ที่สามารถถอดออกง่าย เพื่อความสะดวกในการตรวจ

- งดการมีเพศสัมพันธ์ก่อนตรวจ

การตรวจภายในครั้งต่อไป คงช่วยให้หลายคนสบายใจขึ้นนะค๊ะ...

ภัยจากการหลงลืม

‘ลืม’ ดูเป็นคำแก้ตัวง่ายดายที่สุดที่สามารถทำให้เจ้านายเลือดขึ้นหน้าได้ง่ายๆ ใครๆ คงไม่อยากลืมในเรื่องที่ไม่ควรลืม แต่บางครั้งอาการลืม ป้ำๆ เป๋อๆ ของคนหนุ่ม สาว อย่างเราๆ อาจส่อถึงภัยบางอย่างที่เราอาจนึกไม่ถึง ข้อมูลจากนายแพทย์ปราโมทย์ ชูดำ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลระยอง บอกกับเราว่า

“อาการขี้ลืม เป็นอาการปกติที่อาจเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา หากเป็นในผู้สูงอายุ มักเกิดจากการเสื่อมถอยของสภาพสมองตามกาลเวลา แต่หากบางคนมีอาการหลงลืมมากๆ จนก่อให้เกิดปัญหาในการใช้ชีวิต อาจสันนิษฐานได้ว่า เกิดจากโรคสมองเสื่อมซึ่งเป็นการเสื่อมของสมองซึ่งไม่ได้เกิดจากความชราหรือการเสื่อมตามกาลเวลา สาเหตุที่ทำให้เกิดสมองเสื่อมก็มีได้หลายประการ เช่น ศีรษะถูกกระแทก โรคหลอดเลือดสมอง โรคติดเชื้อในสมอง การขาดสารอาหารบางชนิด เนื้องอกในสมอง หรือแม้กระทั่งการป่วยโรคทางอายุรกรรม เช่น โรคไต โรคตับ โรคไทรอยด์ ก็อาจส่งผลต่อการทำงานของสมองได้ด้วยครับ” แล้วขนาดไหนถึงเรียกว่าผิดปกติ

“ผู้ป่วยจะหลงลืมชนิดที่เรียกว่าที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน เช่น โดยมากคนปกติมักจะจำได้ทีหลังว่าลืมเรื่องอะไรหรือรู้ตัวว่าลืม แต่การหลงลืมเนื่องจากการเสื่อมของสมอง จะลืมโดยไม่ทราบว่าตัวเองลืม เช่น กินข้าวแล้วบอกว่ายังไม่ได้กิน วางของไว้บนโต๊ะแล้วบอกว่าไม่ได้วาง นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องการตัดสินใจที่แย่ลง มีปัญหาในการคิดรวบรวม ขาดการคิดริเริ่ม มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด เช่น บางคนเคยร่าเริงก็กลับเศร้า เบื่อ กังวล บางคนมีอาการหงุดหงิด ระแวง หรือแยกตัว เมื่อเป็นนานเข้า ผู้ป่วยจะเสียการสำนึกระลึกรู้ตัว (Insight) และวิจารณ-ญาณตัดสินใจ (Judgment) จนในที่สุดจะดูแลตัวเองไม่ได้

“การรักษาจะมุ่งเน้นไปที่การลดความระแวงและความทรมานของผู้ป่วย ลดภาระของญาติที่ต้องดูแล ซึ่งมีทั้งการให้ยาเพื่อเพิ่มความจำและการให้ยาจิตประสาทขนาดอ่อน เพื่อทำให้อาการทางจิตทุเลาลง โดยยาช่วยความจำก็มีผลช่วยลดอาการทางจิตได้ด้วย เนื่องจากการมีความจำดีขึ้นจะทำให้ผู้ป่วยทำความเข้าใจต่อสิ่งแวดล้อมได้ดีขึ้น”

ปัจจุบันเราอนุมานว่านักการเมืองไทยหลายท่านเป็นโรคนี้ ทั้งแบบรู้ตัวและแกล้งไม่รู้ตัว อย่างไรเสีย เพื่อความเจริญของประเทศ น่าจะปรึกษาแพทย์เป็นการดีครับ

ขอขอบคุณข้อมูล : บริษัท เอไซ (ประเทศไทย) มาร์เก็ตติ้ง จำกัด นายแพทย์ปราโมทย์ ชูดำ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลระยอง

Tag (ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง): สุขภาพ การหลงลืม ขี้ลืม ลืม อาการขี้ลืม สมองเสื่อม อัลไซเมอร์

รวมเรื่องฮอต : คลิปเด็ด ภาพเด็ด ซุบซิบดารา กระทู้ฮอต ข่าวเด่น วาไรตี้ เกมส์-ไอที ข่าวกีฬา คลิกที่นี่

หน้านี้ถูกเปิดอ่านแล้ว 1897 ครั้ง

บทความที่เกี่ยวข้อง

นมเปรี้ยวแก้ท้องผูก และแก้ท้องเสีย

สาเหตุของการมีพุง แต่ไม่ใช่เพราะไขมัน

10 อันดับเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ที่สุด

8 เคล็ด (ไม่ลับ) หลับสบาย

กลิ่นและสีที่ควรสังเกต

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

นิตยสาร GM Plus

สูตรลดน้ำหนัก อันดับ 1

ได้ผลแน่นอน 100% เร็วกว่าไม่เสียเวลา

ลดเอว สะโพก หน้าท้อง แขน ขา ใน7วัน

www.mindandcare.net

10 อันดับเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ที่สุด

นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแองเจลิส จัดอันดับ 10 เครื่องดื่มที่มีประโยชน์ที่สุดในโลก โดยดูที่ระดับสารแอนติออกซิแดนต์ หรือสารต้านอนุมูลอิสระ

ปัจจุบันมีเครื่องดื่มหลายชนิดอ้างว่า ใส่สารอนุมูลอิสระไว้ แต่หลายคนไม่ทราบว่าสารนี้คืออะไรกันแน่ สำหรับสารต้านอนุมูลอิสระ มีประ โยชน์เนื่องมาจากในขบวนการปฏิกิริยาชีวเคมี ที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย จะมีการขับของเสียที่ร่างกายได้รับ ได้แก่ ควันบุหรี่ แอลกอฮอล์ รังสียูวี เอกซเรย์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นอนุมูลอิสระที่มีอันตรายต่อเซลล์ในร่างกาย ที่อาจส่งผลให้เกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ภาวะข้อต่ออักเสบ ต้อกระจก และการเสื่อมของอวัยวะต่างๆ อนุมูลอิสระจะทำลายเนื้อเยื่อเซลล์ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของดีเอ็นเอ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของการมีเซลล์มะเร็ง และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่นำไปสู่ขบวนการเกิดโรคมะเร็ง

สำหรับ 10 อันดับเครื่องดื่มที่มีประโยชน์มากที่สุด คือ

1. น้ำทับทิม

2. ไวน์แดง

3. น้ำองุ่นคอนคอร์ด

4. น้ำบลูเบอร์รี่

5. น้ำแบล็กเชอร์รี่

6. น้ำอะซาอี

7. น้ำแครนเบอร์รี่

8. น้ำส้ม

9. น้ำชา

10. น้ำแอปเปิ้ล - ปราฟดา

หลักกินเจให้ปลอดภัยได้ประโยชน์

ในช่วงเทศกาลกินเจ มีผู้บริโภคอาหารเจมากขึ้น ทว่าการรับประทานอาหารเจให้ได้ประโยชน์แก่ร่างกายอย่างแท้จริง สิ่งสำคัญควรเลือกรับประทานและคำนึงถึงวัตถุดิบในการปรุง ฝ่ายพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการ สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงทำวิจัยเกี่ยวกับความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์อาหารเจ ที่ทำจากโปรตีนถั่วเหลืองหรือกลูเตนจากแป้งสาลี ซึ่งผลิตเป็นอาหารประเภทไส้อั่ว ไส้กรอก ปลาเค็ม และลูกชิ้น ว่าสามารถก่อกลายพันธุ์ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งหรือไม่

จากผลการวิจัยรศ.ดร.แก้ว กังสดาลอำไพ หัวหน้าฝ่ายพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการ สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดเผยว่า จากการศึกษาพบว่าผลิตภัณฑ์อาหารทั้ง 4 ชนิดดังกล่าว ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ ตรงกันข้ามกลับสามารถลดฤทธิ์การก่อกลายพันธุ์ได้ นอกจากนี้ยังช่วยยับยั้งหรือลดความเสี่ยงในการก่อกลายพันธุ์ โดยช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบเอ็นไซม์ที่ทำลายสารพิษ อีกทั้งอาหารเจมีผักและผลไม้เป็นส่วนประกอบหลัก คนกินเจจึงได้รับกากใยผักและผลไม้ในปริมาณมากพอ ซึ่งจะช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ ช่วยดักสารพิษในร่างกาย ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ และยังมีสารพฤกษเคมีต่างๆที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันโรคเรื้อรังที่ไม่ติดต่อได้ด้วย

“แม้ว่าการรับประทานอาหารเจจะมีผลดีต่อสุขภาพ แต่สิ่งหนึ่งที่ควรระวังคือ อาหารเจมีไขมันสูง สังเกตได้จากอาหารเจมีความมันวาว อีกทั้งหลายชนิดเป็นอาหารประเภททอด ดังนั้นการรับประทานอาหารเจ จึงไม่ควรรับประทานอาหารปรุงด้วยน้ำมันมากเกินไป อาหารประเภททอดควรใช้น้ำมันที่มีกรดไขมันอิ่มตัวสูง เช่น น้ำมันปาล์มเพราะมีจุดเดือดสูง อาหารกรอบทน ไม่เหม็นหืนง่าย ส่วนอาหารประเภทผัดหรืออาหารที่ไม่ใช้ความร้อนสูง ควรใช้น้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันดอกทานตะวัน เนื่องจากร่างกายสามารถย่อยได้ง่าย และนำไปสร้างเซลล์ต่างๆ ช่วยลดคลอเรสเตอรอลในเลือด”รศ.ดร.แก้วกล่าว

หัวหน้าฝ่ายพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการ สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวอีกว่า ผู้มีปัญหาคลอเรสเตอรอลในเลือดสูง ควรเลือกใช้น้ำมันชนิดที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว แต่น้ำมันประเภทนี้มีข้อเสียเช่นกันคือ เมื่อมีการใช้ซ้ำหรือได้รับความร้อนสูงเป็นเวลานาน จะมีกลุ่มสารโพลาร์ ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน ทางที่ดีคือนอกจากเลือกใช้น้ำมันให้เหมาะกับชนิดของอาหารแล้ว ไม่ควรใช้น้ำมันทอดอาหารซ้ำบ่อยๆ อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์ 006)

การขี่จักรยานก็จัดเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมแบบแอโรบิค

ที่ช่วยบริหารปอดและกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรง โดยเฉพาะกล้ามเนื้อส่วนล่างตั้งแต่ช่วงเอวลงไป นอกจากนี้ยังเป็นการออกกำลังกายที่มีการกระแทกต่ำกว่าชนิดอื่นๆ จึงค่อนข้างเหมาะกับคนที่มีปัญหาเรื่องข้อ และที่กำลังมาแรงแซงโค้งคือการขี่จักรยานเสือภูเขา ที่นักปั่นขยันเที่ยวทั้งหลายพากันจัดโปรแกรมไปตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากจะได้ประโยชน์ในแง่การออกกำลังกายแล้วยังเป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ๆ แต่สำหรับบางคนที่ไม่สะดวกแบกจักรยานไปถึงต่างจังหวัด ตามหมู่บ้านหรือสวนสาธารณะในเมืองบางแห่งก็มีเส้นทางจักรยานและที่กว้างๆ ให้ขี่จักรยานกันเป็นที่สนุกสนาน

นางสาวปาริชาติ กันทะวงค์ ม.ฟาร์ เลขที่ 10

การอบอุ่นร่างกาย

การออกกำลังกายให้ปลอดภัย และได้ผลดีท่านผู้อ่านจะต้องรู้จักเลือกวิธีการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับสุขภาพของตัวท่านและยังต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของการออกกำลังกายซึ่งประกอบไปด้วย

• การอบอุ่นร่างกายใช้เวลา 5-10 นาที

• การยืดกล้ามเนื้อควรจะทำอย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ครั้งละ 20นาที

• ความทนทานของกล้ามเนื้อ ควรจะออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความทนทานของกล้ามเนื้อ เช่น การยกน้ำหนัก situp pushup ควรจะออกครั้งละ 30 นาที 3 ครั้งต่อสัปดาห์

• การออกกำลังกายเพื่อให้หัวใจแข็งแรง ควรจะออกประมาณ 30-60 นาทีสัปดาห์ละ 3 ครั้งตัวอย่างการออกกำลังได้แก่ การเดินเร็ว การวิ่ง การขี่จักรยาน การว่ายน้ำ

• การยืดหยุ่นเพื่อความคล่องตัว Flexibility

• การอบอุ่นร่างกาย

ข้อแนะนำในการอบอุ่นร่างกาย

1. การอบอุ่นร่างกายเป็นการเพิ่มการเต้นของหัวใจ เพิ่มอุณหภูมิของร่างกาย และเพิ่มการหายใจอย่างช้าๆ การอบอุ่นที่ได้ผลดีร่างกายจะต้องมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น มีเหงื่อออก

2. การอบอุ่นร่างกายที่ดีจะต้องมีการเคลื่อนไหวของข้อโดยเฉพาะข้อที่ใช้ในการออกกำลัง เช่นข้อเท้า ข้อเข่า สะโพก หลัง ไหล่

3. ยืดกล้ามเนื้อที่ใช้ในการออกกำลังกายข้อแนะนำในการยืดกล้ามเนื้อ

• การยืดกล้ามเนื้อควรจะทำหลังจากการอบอุ่นร่างกายแล้ว

• การยืดกล้ามเนื้อควรยืดเฉพาะกล้ามเนื้อที่ใช้เท่านั้น และไม่ควรมากไป เพราะจะทำให้หัวใจเต้นลดลง

• ควรจะเลือกท่ายืนเป็นหลักเพราะจะทำได้เร็ว

ตัวอย่างการยืดกล้ามเนื้อหลังจากการอบอุ่นร่างกาย

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

น้ำแอปเปิล...เสริมความจำ

บรรดาผู้ที่ติดตามข่าวคราวทางสุขภาพคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า An apple a day keeps the doctor away ซึ่งเปรียบสรรพคุณของแอปเปิลว่า การรับประทานแอปเปิลเพียงวันละผลสามารถทำให้ห่างไกลจากหมอหรือไม่ต้องไปหาหมอ ทั้งนี้เนื่องมาจากมีงานวิจัยหลายชิ้นกล่าวถึงประโยชน์มากมายของแอปเปิล ทั้งบำรุงหัวใจ ลดโคเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหารและต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจช่วยลดการถูกโรคร้ายทั้งหลายคุกคาม และล่าสุดพบว่าการดื่มน้ำแอปเปิลยังอาจช่วยเสริมความจำและป้องกันภาวะสมองเสื่อม หรือโรคอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุได้

จากการศึกษาวิจัยในสัตว์ทดลองของ University of Massachusettse Lowell (UML) เผยว่าการดื่มน้ำแอปเปิลอาจช่วยเพิ่มการสร้างของสารสื่อประสาทในสมองที่มีชื่อว่า อะซีทิลโคลีน (Acetylcholine) ซึ่งเป็นตัวกำหนดความสามารถในการเรียนรู้และความทรงจำ จึงช่วยชะลอภาวะสมองเสื่อมได้ ปกติแล้วสารสื่อประสาททั้งหลาย รวมทั้งสารอะซีทิลโคลีน เป็นสารเคมีที่ถูกสร้างและหลั่งมาจากเซลล์ประสาทเพื่อส่งต่อไปยังเซลล์ประสาทข้างเคียง เหมือนเป็นการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทด้วยกัน ในการควบคุมการทำงานของทุกส่วนในร่างกาย ตั้งแต่การนั่ง นอน ยืน เดิน รับประทาน รู้สึกและสัมผัส รวมถึงการนึกคิด

ก่อนหน้านี้มีงานวิจัยเผยว่า โรคอัลไซเมอร์เป็นโรคที่เกิดจากการเสื่อมของเซลล์สมองจนก่อให้เกิดความบกพร่องทางความทรงจำ การตัดสินใจหรือการใช้เหตุผล โดยมักมีอาการหลงลืม สับสนหรืออารมณ์แปรปรวน ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดกับผู้สูงอายุนั้น จะมีปริมาณของสารอะซีทิลโคลีนในสมองน้อยกว่าปกติมาก อย่างไรก็ตามหากมีการเพิ่มปริมาณของสารอะซีทิลโคลีน ก็สามารถช่วยเพิ่มความทรงจำ ลดการหลงลืมและสามารถชะลอภาวะเสื่อมของสมองในผู้ที่เป็นอัลไซเมอร์ได้ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอีกหลายชิ้นที่เผยว่า ผักผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างพวกบลูเบอร์รี แอปเปิลนั้น ก็มีส่วนช่วยชะลอภาวะความจำเสื่อมในผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ และยังให้ผลดีกว่าพวกอาหารเสริมหรือวิตามินที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระทั้งหลาย

โดยงานวิจัยนี้ได้ศึกษาในหนูทดลองปกติวัยผู้ใหญ่ วัยชรา และหนูทดลองสายพันธุ์พิเศษที่มีการตัดต่อพันธุกรรมจนสามารถเกิดอาการของโรคอัลไซเมอร์แบบเดียวกับที่เกิดในคน โดยแบ่งให้รับประทานอาหารปกติ อาหารที่ขาดสารอาหารจำเป็น หรืออาหารที่ขาดสารอาหารที่จำเป็นแต่รวมกับการดื่มน้ำแอปเปิลเข้มข้นแทนน้ำ เป็นเวลา 1 เดือน พบว่าหนูปกติ วัยชรา และหนูที่เป็นอัลไซเมอร์ ซึ่งรับประทานอาหารที่ขาดสารอาหารที่จำเป็นจะมีปริมาณของสารอะซีทิลโคลีนในเนื้อสมองลดลง แต่ปริมาณของสารนี้กลับเพิ่มสูงขึ้นในหนูที่ดื่มน้ำแอปเปิลเข้มข้นร่วมด้วย อีกทั้งเมื่อนำหนูเหล่านี้ไปทดสอบเกี่ยวกับการเรียนรู้และความจำ พบว่าหนูที่ดื่มน้ำแอปเปิลเข้มข้นจะมีพฤติกรรมการเรียนรู้และความจำที่ดีกว่าหนูที่ไม่ดื่มน้ำแอปเปิล

จึงเป็นไปได้ว่าการดื่มน้ำแอปเปิลเข้มข้นอาจช่วยเสริมความจำ โดยมีผลการเพิ่มปริมาณของสารสื่อประสาทอะซีทิลโคลีน ที่ช่วยกระตุ้นความทรงจำ เพิ่มสมาธิและประสิทธิภาพการเรียนรู้ อีกทั้งช่วยชะลอความเสื่อมของสมองอันเนื่องมาจากอายุที่มากขึ้นและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งน้ำแอปเปิลเข้มข้นที่ให้หนูกินในแต่ละวัน สามารถเทียบได้กับการดื่มน้ำแอปเปิลเข้มข้นแก้วละ 8 ออนซ์ วันละ 2 แก้ว หรือเท่ากับการรับประทานแอปเปิลวันละ 2-3 ลูก

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์อีส เลขที่ 2

กินปลา เพื่อสุขภาพ

1. ปลาสามารถแยกประเภทและชนิดได้อย่างไร

จริง ๆ วิธีแยกประเภทของปลา คงจะมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่า จะแยกเพื่อประโยชน์ประเภทใด แต่ในทางวิชาการแพทย์ หรือที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ก็คงจะแยกเป็นปลาน้ำจืด กับปลาน้ำเค็ม

2. ในเนื้อปลามีสารอาหารชนิดใดบ้างที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

ด้านหลัก : จะเป็นโปรตีน ซึ่งในเนื้อปลา จะเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย และมีประโยชน์ต่อร่างกาย ไขมันจะมีอยู่บ้าง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับประเภทของปลา อย่างในปลาน้ำจืด จะมีไขมันไม่มากนัก ยกเว้นพวกปลาสวาย หรือปลาสลิดตากแห้ง ส่วนปลาทะเล ก็จะมีไขมันอีกประเภท ซึ่งจะแตกต่างจากปลาน้ำจืด พวกที่เป็นกรดไขมัน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เราพบว่า มันมีคุณค่าในแง่ ของการลดการจับตัวของเกล็ดเลือด และอาจจะช่วยในการป้องกันโรคต่างๆ อาทิ โรคหลอดเลือดหัวใจ หรือไขมันในเลือดสูง นอกจากนั้น เครื่องใน ตับปลา ก็จะมีน้ำมันและวิตามิน ในกลุ่มที่ละลายได้ดีในไขมัน เป็น วิตามิน A D E K และ แร่ธาตุ โดยเฉพาะในตัวปลาบางชนิด ที่เรารับประทานได้ ก็จะได้แคลเซียมด้วย

3. ปกติเราควรรับประทานอาหารประเภทปลามากน้อยเพียงใดต่อวัน

ปกติร่างกายของคนเรา จะต้องการโปรตีนแตกต่างกันไป แล้วแต่ช่วงวัย เช่น วัยเด็กจะต้องการโปรตีนสูง 1.2 - 1.5 ต่อ น้ำหนักต่อ 1 กิโลกรัม ในผู้ใหญ่ 0.8-1 กรัม ต่อ กิโลกรัมต่อวัน ซึ่งในแต่ละวัน ก็ควรบริโภคเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ ด้วย

4. ในด้านประโยชน์ต่อสุขภาพมีอะไรบ้าง

ด้านหลัก : ก็จะได้โปรตีน เพราะโปรตีน เพราะโปรตีนในเนื้อปลา จะย่อยง่าย มีคุณค่าในแง่ของการบำรุงสมอง การพัฒนาสมองในเด็ก โดยเฉพาะปลาทะเล นอกจากจะได้โปรตีนแล้ว ยังจะได้แร่ธาตุไอโอดีน จะมีบทบาทในการพัฒนาสมอง โดยเฉพาะที่ไกลจากทะเล ก็จะมีความเสี่ยงก็จะเกิดโรคคอพอก ในกลุ่มผู้สูงอายุก็เป็นแหล่งโปรตีน ที่รับประทานง่าย ย่อยง่าย ก็จะเป็นประโยชน์ของปลา

5. ในกรณีที่แพ้อาหารทะเล ไม่สามารถรับประทานได้ จะมีวิธีแก้ไขอย่างไร

ถ้าขาดอาหารทะเล ก็สามารถรับประทานปลาน้ำจืดแทนได้ แต่ถ้าไม่สามารถรับประทานปลาได้เลย เช่น เหม็นคาวปลา ก็ยังสามารถได้ในแหล่งโปรตีนอื่นๆ เช่น เนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ ไข่ดาว ถั่ว งา ร่างกายก็ยังจะได้โปรตีนเพียงพอ

6. การรับประทานปลาให้ได้ประโยชน์ต่อร่างกาย

1. รับประทานปลาที่ปรุงสุก

2. เปลี่ยนประเภทของปลาไปเรื่อยๆ ลดปัญหาการปนเปื้อน

3. บริโภคร่วมกับอาหารอื่นๆ ให้ครบทุกชนิด คือ อาหารหลัก 5 หมู่

7. ที่เรียกกันว่า น้ำมันตับปลา หรือ น้ำมันปลา ควรรับประทานหรือไม่

ปัจจุบันที่มีขายอยู่ตามท้องตลาด จะมี 2 ประเภท คือ น้ำมันตับปลา หรือ น้ำมันปลา

น้ำมันตับปลา มีจำหน่ายมานานแล้ว ซึ่งผู้ใหญ่จะนำมาให้เด็กๆ ทาน เพื่อเป็นยาบำรุง ซึ่งจะมีวัตถุประสงค์ ก็จะต้องการเสริมวิตามิน ซึ่งจะละลายในไขมัน A D E K ก็จะสกัดจากปลา มีทั้งชนิดเม็ดและชนิดน้ำ แต่ในปัจจุบันนี้ ที่นิยมกันมากขึ้น คือ น้ำมันปลา (Fish oil) เป็นสารสกัดไขมันจากปลาทะเล มีการศึกษาจากการเปรียบเทียบ เกี่ยวกับการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ในคนชาวเอสกิโม เมื่อเปรียบเทียบ กับชาวเอสกิโม จึงทำให้ชาวเอสกิโม มีอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ น้อยกว่า นับว่าชาวเอสกิโม จะรับประทานปลามากกว่า จึงทำให้ได้รับสารอาหารกจากปลามากกว่า ซึ่งจะมีฤทธิลดกรดตัวของเกร็ดเลือด และลดไตรกีรเซอร์ไรด์ได้ดี ทำให้คนมีความสนใจมากขึ้น แต่จากการศึกษาทดลอง จากแพทย์สหรัฐอเมริกา พบว่า การบริโภคแต่น้ำมันปลาในรูปเม็ด ไม่สามารถป้องกันโรคหัวใจ และไม่ช่วยผู้ป่วย หายจากโรคหัวใจ

8. ข้อแนะนำช่วงท้ายรายการ : ข้อแนะนำเพื่อสุขภาพ

1. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่

2. รับประทานอาหารให้พอเหมาะ

3. รับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารมาก ช่วยควบคุมลำดับน้ำตาลและไขมันในเลือด

4. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหาร ที่มีไขมันในปริมาณมาก

5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

6. งดการสูบบุหรี่ และดื่มสุรา

กลูต้าไธโอน!! ไม่ ช่วยผิวขาว

ในหมู่คนรักสวยรักงาม เป็นที่ทราบกันแบบอวดอ้างกล่าวขานกันต่อๆ มาว่า “กลูต้าไธโอน” เป็นสารที่ทำให้ผิวขาวผ่องเป็นที่นิยมกันมาก

แม้คุณหมอจะออกมาเตือนว่ามันไม่เป็นอย่างนั้น ถึงขั้นที่ อย.และแพทยสภาออกกฎข้อบังคับห้ามแพทย์นำมาฉีด เพราะเป็นการหลอกลวงผู้บริโภค แต่ ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีใครอยากฟัง กลับยิ่งแพร่ระบาดมากขึ้น

นายแพทย์ชลทิศ สินรัชตานันท์ นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย กล่าวให้ข้อคิดกับสาวที่อยากสวยว่า ขอให้ยึดหลักสำคัญว่าการฉีดสารหรือสิ่งต่างๆเข้าร่างกายนั้นมีหลักสำคัญข้อเดียวคือ นำเข้าสู่ร่างกายก็ต้องสามารถเอาออกได้ ถ้าเอาเข้าแล้วเอาออกไม่ได้ หรือไม่สลายตัวไปเองถือว่าไม่ปลอดภัยทั้งสิ้น เพราะเป็นสิ่งแปลกปลอม

ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดในเรื่อง “กลูต้าไธโอน” นั้น นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย บอกว่า เท่าที่ทราบมีการขายเกลื่อนตามเว็บไซต์ ราคาตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงเป็นหมื่นบาท ที่น่ากลัวคือมีการแนะนำวิธีฉีดและอวดอ้างสรรพคุณจนทำให้คนที่อยากขาวเกิดความสนใจ และซื้อหาไปทดลองทั้งฉีดและกินเพื่อให้ ตัวขาว ก็ขอแจ้งให้ทราบว่าไม่เป็นความจริง

นายแพทย์ชลทิศ บอกว่า ความจริงแล้วปกติร่างกายจะสร้างกลูต้าไธโอนได้เอง จากสารอาหารธรรมชาติที่รับประทาน เข้าไป เช่น เนื้อสัตว์ ผักสีเขียว รวมทั้งสมุนไพรอย่างอบเชย เป็นต้น เนื่องจากมันมีหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ หรือสารพิษต่างๆ จากร่างกาย นอกจากนี้ ยังป้องกันความเสื่อมและเพิ่มภูมิต้านทานในร่างกายอีกด้วย

ถึงแม้การฉีดกลูต้าไธโอนจะไม่ส่งผลอันตรายโดยตรงกับร่างกาย แต่การใช้เข็มฉีดเข้าตัวเองกัน อย่างแพร่หลาย โดยไม่ระมัดระวังและคำนึงถึงสุขอนามัยแล้ว อาจทำให้เกิดการติดเชื้อและปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกนับไม่ถ้วน

นั่นก็เป็นคำกล่าวเตือนจากคุณหมอในแวดวงความสวยงามโดยตรง รู้แล้วก็อย่าปล่อยให้โดนหลอกต่อไปโดยไม่จำเป็น

สุทธิรา หาญุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

สารพัดประโยชน์จาก.........พริก!!!

พริก...ช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด ช่วยให้ระบบการหายใจสะดวกสบายยิ่งขึ้น สารแคปไซซินที่อยู่ในพริกมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำมูกหรือลดปริมาณสารที่ขัดขวางระบบการหายใจ ในผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด ไซนัส หรือโรคภูมิแพ้ต่างๆ ช่วยบรรเทาอาการไอ สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของตัวยาหลายๆ ชนิด นอกจากนั้นสารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยป้องกันการติดเชื้อต่างๆ ในบริเวณเนื้อเยื่อบุผนังช่องปาก จมูก ลำคอ และปอด

พริก...ช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด หรือการเสียชีวิตอันเนื่องมาจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน การบริโภคพริกเป็นประจำจะช่วยลดอัตราความเสี่ยงจากการอุดตันของเส้นเลือด นับเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหัวใจล้มเหลว เนื่องจากพริกช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและช่วยลดความดัน เพราะว่าในพริกมีสารจำพวกเบตาแคโรทีนและวิตามินซี ซึ่งช่วยเสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรงเพิ่มการยืดตัวของผนังหลอดเลือด ทำให้ปรับตัวเข้ากับแรงดันระดับต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น

พริก...ช่วยลดปริมาณสารคอเลสเตอรอล สารแคปไซซินช่วยป้องกันมิให้ตับสร้างคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL-Low density lipoprotein) ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้มีการสร้างคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-high density lipoprotein) มากขึ้น ทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดต่ำลง เป็นผลดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค

พริก...ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง เนื่องจากพริกเป็นพืชผักที่มีวิตามินซีสูง การบริโภคอาหารที่มีวิตามินซีมากๆ จะช่วยปกป้องการเกิดโรคมะเร็งได้ วิตามินซียับยั้งการสร้างไนโตรซามีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร วิตามินซีช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นส่วนประกอบของกระดูกอ่อน รวมถึงเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง กล้ามเนื้อและปอด คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่สามารถหยุดการแพร่กระจายของเซลล์เนื้อร้ายได้

นอกจากนี้ วิตามินซียังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) คือสามารถยุติหรือขัดขวางบทบาทของอนุมูลอิสระ (free radicals) ที่จะก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์จนเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด สารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยลดอัตราการเสี่ยงของโรคมะเร็งในปอด และในช่องปาก คนที่รับประทานผักที่มีสารเบตาแคโรทีนน้อย จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งมากกว่าคนที่รับประทานผักที่มีเบตาแคโรทีนสูงถึง 7 เท่า

คุณสมบัติของสารเบตาแคโรทีนจะช่วยลดอัตราการกลายพันธุ์ของเซลล์และทำลายเซลล์มะเร็ง สำหรับพริกบางชนิดที่มีสีม่วงจะมีสารพวกแอนโทไซยานิน ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ คือ สามารถทำลายอนุมูลอิสระได้เช่นกัน

พริก...ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด เช่น ลดอาการปวดฟัน บรรเทาอาการเจ็บคอ และการอักเสบของผิวหนัง เป็นต้น ในปัจจุบันมีการใช้สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบของขี้ผึ้ง ใช้บรรเทาอาการปวดอันเนื่องมาจากผดผื่นคันและอาการผื่นแดงบริเวณผิวหนัง รวมทั้งอาการปวดที่เกิดจากเส้นเอ็น โรคเกาต์ หรือโรคข้อต่ออักเสบ เป็นต้น นอกจากนี้ผลการทดลองใหม่ๆยังบ่งชี้ว่าสารแคปไซซินช่วยลดอาการปวดศีรษะและไมเกรนลงได้

พริก...ช่วยเสริมสร้างสุขภาพและอารมณ์ดี เนื่องจากสารแคปไซซินมีส่วนในการส่งสัญญาณให้ต่อมใต้สมองสร้างสาร เอนดอร์ฟิน (endorphin มาจากคำว่า endogenous morphine) ขึ้น สารเอนดอร์ฟินเป็นเปปไทด์ขนาดเล็ก (โปรตีนสายสั้นๆ) มีคุณสมบัติคล้ายมอร์ฟีน คือ บรรเทาอาการเจ็บปวด ในขณะเดียวกันก็สร้างอารมณ์ให้ดีขึ้น ยิ่งรับประทานเข้าไปมากเท่าใด ร่างกายก็จะสร้างเอนดอร์ฟินขึ้นมามากขึ้นเท่านั้น ปกติร่างกายของคนเราจะสร้างสารเอนดอร์ฟินขึ้นภายหลังการออกกำลังกาย ดังนั้นการออกกำลังกายแม้จะทำให้ร่างกายเมื่อยล้า แต่ผู้ออกกำลังกายจะรู้สึกสดชื่นแจ่มใส

ถ้าต้องการบรรเทาความเผ็ดของอาหารในปากควรดื่มแอลกอฮอล์ หรือรับประทานอาหารที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบมากกว่าการดื่มน้ำ เพราะการดื่มน้ำมีผลเพียงช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนได้เท่านั้น แต่ความเผ็ดก็ยังไม่ได้ลดลง เนื่องจากว่า ‘น้ำ’ ละลายสารดังกล่าวได้ไม่ดี...นั่นเอง

Tips

เกณฑ์วัดระดับความเผ็ดร้อนสากลของพริกหรือผักผลไม้ที่มีสารแคปไซซินซึ่งให้ความเผ็ดร้อนนี้เรียกว่า สโกวิลล์ (Seoville) เป็นคำที่ตั้งขึ้นตามชื่อของผู้คิดค้นวิธีการวัดระดับนี้ ซึ่งก็คือ วิลเบอร์ ลินคอร์น สโกวิลล์ นักเคมีชาวอเมริกัน โดยเขาได้คิดค้นระดับวัดความเผ็ดนี้ขึ้นในปี ค.ศ. 1912 ขณะทำงานอยู่ที่บริษัทผลิตยา พาร์ก เดวิส เพื่อวัดความฉุนหรือความเผ็ดร้อนของพริกต่างชนิดกัน

สำหรับความเผ็ดที่วัดได้จากพริกขี้หนูสวนบ้านเรานั้นจะอยู่ที่ 50,000-100,000 สโกวิลล์ ในขณะที่สารแคปไซซินบริสุทธิ์นั้นมีค่าประมาณ 15,000,000-16,000,000 สโกวิลล์ ส่วนพริกที่ได้รับการบันทึกลงในกินเนสส์บุ๊กว่าเผ็ดที่สุดในโลกก็คือ พริกฮาบาเนโร จากเรด ซาบีนา วัดค่าได้ถึง 350,000-577,000 สโกวิลล์...เลยทีเดียว

เทรนด์การออกกำลังกาย

ลดน้ำหนักด้วยเฝือก

สาวแซมบ้ากำลังเห่อวิธีลดน้ำหนักแบบใหม่ ที่พอกส่วนที่มีไขมันไม่พึงประสงค์ด้วยเฝือกปูน ได้ข่าวมาว่าวิธีนี้สามารถลดเซลลูไลท์และลดน้ำหนักได้ผลทันตา ชนิดที่ว่าแฟรนไชส์สถานเสริมความงามต้นตำรับระบาดจากบราซิลเข้าชิลีแล้ว

การลดน้ำหนักแบบกิ๊บเก๋นี้ ประกอบด้วยการฉาบปูนทำเฝือกเข้าที่อวัยวะส่วนที่คนไข้ต้องการลด ซึ่งเฝือกชนิดพิเศษนี้แม้ดูเผินๆ จะเหมือนกับเฝือกที่ใช้กันตามโรงพยาบาล แต่จริงๆ แล้วมีส่วนผสมที่ทำจากสมุนไพร บวกกับเชื้อรา และส่วนผสมที่เป็นความลับบางอย่าง

Maria Contreras ผู้คิดค้นวิธีนี้บอกว่า คนไข้ต้องเข้าเฝือกราว 30 นาที ในนั้นจะค่อนข้างอุ่น ทำให้ช่วยลดเซลลูไลท์และลดน้ำหนักได้ ที่สำคัญเธอบอกว่า ใครสนใจจะทำเฝือกที่บนใบหน้าก็ยังไหว

สถานเสริมความงามด้วยเฝือกเปิดตัวครั้งแรกที่บราซิล และล่าสุดก็แพร่ระบาดไปทั่วจนลามเข้าไปถึงเพื่อนบ้านอย่างประเทศชิลีแล้ว

วิดีโอเกมส์เพื่อคนรักการออกกำลัง

เตรียมหยอดกระปุกกันได้แล้ว หากคุณคิดว่าการออกกำลังกายธรรมดาน่าเบื่อเต็มทน นี่คือปรากฎการณ์ใหม่จาก Nintendo กับ Wii Fit วีดีโอเกมส์ตัวใหม่ล่าสุดที่กำลังจะออกจำหน่ายทั่วประเทศญี่ปุ่นในต้นเดือนธันวาคมนี้ โดยจะมาพร้อมอุปกรณ์เสริมที่เรียกว่า Wii Balance Board ลักษณะเป็นแผ่นเซ็นเซอร์จับแรงกดและจับการเคลื่อนน้ำหนักในการเคลื่อนไหว ใช้สำหรับเกมจำพวกสเก็ตบอร์ด สกี สโนว์บอร์ด เต้นแอโรบิค รวมถึงฝึกโยคะ แถมยังมีความสามารถในการวัดค่าดัชนีมวลกาย(BMI) ได้อีกด้วย ที่สำคัญราคาแค่ 8,800 เยน หรือประมาณ 2,500 บาทเท่านั้น สำหรับการวางขายในประเทศอื่นยังไม่มีการกล่าวถึง แต่คาดว่าคงจะถึงบ้านเราในอีกไม่นานเกินรอ

กล้ามใหญ่ด้วยโกโก้

นักวิจัยชาวเดนมาร์กฝากข่าวถึงคนอยากกล้ามใหญ่ โดยไม่ต้องอาศัยยาหรือเครื่องดื่มบำรุงกำลัง แต่ให้ดื่มนมโกโก้ทันทีหลังการออกกำลังกาย แค่นี้ก็สร้างกล้ามได้ง่ายๆ สบายๆ นักวิจัยชาวเดนมาร์กทำการศึกษากลุ่มชายสูงอายุ 2 กลุ่ม ที่ออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ในศูนย์ออกกำลังกายของศูนย์วิจัยยาสำหรับกีฬา พวกเขาให้ชายสูงอายุกลุ่มหนึ่งดื่มเครื่องดื่มผสม ซึ่งประกอบไปด้วยนมผงพร่องมันเนย น้ำ น้ำตาล และโปรตีน หรือเทียบได้กับนมโกโก้ไขมันต่ำทันทีหลังการฝึก และให้อีกกลุ่มหนึ่งรอ 2 ชั่วโมงก่อนจะดื่มเครื่องดื่มผสมดังกล่าว ผลปรากฎว่าชายกลุ่มแรกมีอัตราการเติบโตของกล้ามเนื้อเฉลี่ย 7% และบางคนมีกล้ามเนื้อโตขึ้นถึง 20% ขณะที่ชายกลุ่มที่สองไม่พบการเติบโตของกล้ามเนื้อเลย แม้ว่างานวิจัยนี้จะสรุปผลจากกลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุ แต่นักวิจัยเชื่อว่าน่าจะให้ผลอย่างเดียวกันนี้กับคนทุกวัย

Top 10 Workout Songs

Jeanette Jenkins เพอร์ซันนัลเทรนเนอร์ของเหล่าเซเลบริตี้(ควีน ลาติฟาห์, คาร์เมน อีเลคตร้า ฯลฯ) ยืนยันว่า เพลงช่วยกระตุ้นให้บรรดาลูกค้าของเธอออกกำลังกายได้มากขึ้นจริงๆ ใครที่กำลังมองหาเพลงมันๆ อยู่ ลองฟัง 10 เพลงใหม่ที่เธอจัดมาให้ดู รับรองจะช่วยกระตุ้นอารมณ์ให้อยากเวิร์คเอาท์ขึ้นมาทันที

1 Glamorous จาก Fergie

2 Meneater จาก Nelly Furtado

3 My Love จาก Justin Timberlake

4 Hollywood จาก Jay-Z featuring Beyonc?

5 Entourage จาก Omarion

6 Ever Blazin’ จาก Sean Paul

7 Money Maker จาก Ludacris

8 So Excited จาก Janet Jackson

9 Tell Me จาก P. Diddy featuring Christina Aguilera

10 Hood Boy จาก Fantacia

ระบำเปลื้องผ้าเสริมความมั่นใจ

อาจจะฟังดูทะแม่งหูจนถึงขั้นน่าตกใจอยู่ไม่น้อย กับวิธีสอนให้ผู้หญิงมีความมั่นใจของหญิงชาวไต้หวันที่ชื่อว่า Nina Chen ที่นำการเต้นระบำเปลื้องผ้ามาเป็นเครื่องมือผ่านเวิร์คช็อปที่ชื่อ How to Look and Feel Sexy Workshop ซึ่งนักเพศศึกษาวัย 30 ผู้นี้เปิดคลาสสอนมาได้ 6 เดือนแล้ว และคุยว่าสามารถทำให้ผู้หญิงเกิดความรู้สึกดีๆ กับเรือนร่างของตัวเอง และทำให้ผู้หญิงมีความมั่นใจในตัวเองกันมากขึ้น นักเรียนของเธอมีทั้งนักศึกษา สาวออฟฟิศ หรือแม้แต่นางแบบ แม่บ้านวัยกลางคน ต่างมาร่วมหัดกันเต้นรำ โยกย้ายส่ายสะโพกไปตามจังหวะดนตรี พร้อมกับค่อยๆ เปลื้องเสื้อผ้าออกทีละชิ้น จนกระทั่งเหลือแต่ “ชุดชั้นใน” ที่จะถูกสลัดทิ้งจากร่างกายเป็นชิ้นสุดท้าย ต่อหน้ากระจกในห้องเรียนทั้งคลาสเวิร์กช็อปนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในหลักสูตรของโรงเรียน Sex Energy School ที่เธอร่วมกับนักเพศศึกษาอีกคนเปิดขึ้น นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรสอนนวด สอนโยคะสำหรับคู่รัก คู่สามีภรรยา ตลอดจนถึงคลาสการวิเคราะห์ความฝัน

Chillates ดีวีดีแนวเต้นรำแผ่นใหม่ล่าสุด

เพื่อการออกกำลังกายที่ไม่น่าเบื่อ สาวๆ ลองมองหา Chillates ดีวีดีเพื่อการออกกำลังกายแนวเต้นรำใหม่ล่าสุด คิดค้นโดยคลับชื่อดัง Ministry of Sound ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากพิลาทิส โยคะ และการเต้นรำ ผสมผสานกับท่วงทำนองเร่าร้อนของดนตรีแดนซ์อันทันสมัย และดนตรีสบายๆ แนวชิลล์เอาท์ในช่วงคูลดาวน์ นอกจากความสนุกสนานของเพลงแล้ว ท่าบริหารยังสามารถเรียกเหงื่อได้เป็นอย่างดี โดยประกอบไปด้วยท่าวอร์มอัพ ท่าบริหารกระชับกล้ามเนื้อ แอโรบิค และการทำสมาธิในช่วงปิดท้าย เรียกว่าได้ประโยชน์ทั้งร่างกายและจิตใจไปพร้อมๆ กัน สั่งซื้อได้ที่ www.amazon.co.uk

Stiletto Strength คลาสใหมุ่สุดฮิตจากฟิตเนสดังในนิวยอร์ก

Crunch ฟิตเนสคลับสุดฮิตของชาวนิวยอร์ก จัดคลาสชื่อ Stiletto Strength โปรแกรมออกกำลังกายรูปแบบใหม่เอาใจสาวรักการเต้นท่ามกลางแสง สี และเสียงดนตรีกระหึ่มราวกับอยู่ในผับสุดหรู และจากที่เคยหอบหิ้วรองเท้ากีฬามาพร้อมชุดวอร์ม คราวนี้เทรนเนอร์แนะนำให้สาวๆ หยิบรองเท้าส้นสูงคู่โปรด กับเสื้อกล้าม และกางเกงขาสั้นมาแทน เขาบอกว่าการใส่รองเท้าส้นสูงเต้นจะช่วยกระชับกล้ามเนื้อน่องได้เป็นอย่างดี และยังช่วยปรับท่วงท่าให้เดินเหินได้อย่างสง่างามมากยิ่งขึ้นด้วย

Technogym Equipment อุปกรณ์ฟิตเนสดีไซน์ล้ำ

เห็นแล้วอึ้งกับเครื่องออกกำลังกายหน้าตาเจริญจาก Technogym ผู้ผลิตอุปกรณ์ฟิตเนสชื่อดังของอิตาลี โดยเฉพาะเจ้าเครื่อง Kinesis Personal ที่ออกแบบโดยดีไซเนอร์ Antonio Citterio ช่วยให้คุณบริหารร่างกายได้ทั่วทุกส่วนด้วยการเคลื่อนไหวแบบอิสระตามต้องการ นอกจากนี้ยังมีเซตเครื่องมือ Wellness Tools ที่ประกอบไปด้วย Wellness Bag, Wellness Pad, Wellness Weight, Wellness Ball และ Wellness Rack ทุกชิ้นดีไซน์เรียบเท่ บริหารได้หลายท่วงท่า แถมขนาดยังกะทัดรัดอย่างไม่น่าเชื่อ (www.technogym.com)

Speed Up!

ข่าวดีสำหรับคนที่อยากมีกล้ามเนื้อสวยกระชับอย่างรวดเร็ว โดยการทดลองด้านสรีรวิทยาจาก School of Physiotherapy เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย พบว่าภายในระยะเวลา 6 สัปดาห์ ของผู้เข้าทดลองจำนวน 115 คน ที่เล่นเวทเพื่อบริหารกล้ามเนื้อแขนด้านหน้า(Biceps) แบบจังหวะเร็วจะพัฒนากล้ามเนื้อได้มากกว่าคนที่เล่นจังหวะช้า ทั้งนี้ Joanne Munn ผู้ศึกษาการทดลองนี้กล่าวว่า การเล่นซ้ำๆ เร็วๆ จะไปกระตุ้นกล้ามเนื้อให้ขยับขึ้นลงได้มากครั้งขึ้น อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่ไม่ต้องการผลเร็วจะเล่นช้าๆ ต่อไปก็ได้ เพราะในระยะยาวแล้วจังหวะไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่เป็นจำนวนเซตที่ทำต่างหาก

Women's Bike

แบรนด์อุปกรณ์กีฬาสัญชาติอเมริกัน K2 ส่งจักรยานรุ่นใหม่ T:Nine ออกมาเอาใจสาวๆ ที่รักการปั่นจักรยาน เหมาะสำหรับขี่ตามท้องถนน ไปจนถึงผจญภัยตามภูเขา หน้าตาอาจดูเรียบๆ แต่ความจริงมีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ให้เข้ากับสรีระของผู้หญิงมากขึ้น เป็นต้นว่าผู้หญิงมีช่วงขายาวแต่ลำตัวสั้นกว่าผู้ชาย เจ้าจักรยาน T:Nine จะช่วยปรับระยะห่างระหว่างแฮนด์กับอานนั่งให้ใกล้กันมากขึ้น รวมทั้งมีพื้นที่นั่งที่เพิ่มขึ้นมากกว่าด้วย

อนสรา ภาคคำ เลขที่16

สุขภาพดี

จิตใจมีสุข

วราภรณ์ สุตพลสันติกุล FEU

เนื้อปลา

เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้าง และซ่อมแซมเซลล์ของร่างกายที่เสื่อมโทรม และยังมีเซเลเนียม ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความชรา และความเสื่อมของร่างกาย

น้ำมันมะกอก

น้ำมันมะกอก เป็นน้ำมันจากพืชที่แม้จะมีแคลอรี่สูงก็จริง แต่มีข้อดีคือ มีกรดไขมันชนิดที่เป็นประโยชน์กับร่างกายสูง และเป็นไขมันชั้นดี ซึ่งเป็นตัวควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในเลือด และที่สำคัญในน้ำมันมะกอกยังประกอบด้วยวิตามินเอ และอี ที่เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซลล์ทำให้ผิวดูอ่อนวัยคงความชุ่มชื้นและเนียนนุ่ม

เมล็ดข้าวและธัญพืช

ไม่ว่าจะเป็นข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ด ข้าวโพด ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำ งา นอกจากจะมีวิตามินบีสูงแล้ว ยังมีวิตามินอี ซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ซึ่งจะช่วยสร้างและรักษาความแข็งแรงของเซลล์ มีงานวิจัยระบุว่า วิตามินอี ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และช่วยปกป้องความเสียหายที่เกิดจากมลภาวะให้แก่ผิว

ผลไม้และผักสด

ผักสด มีวิตามินเอ ช่วยทำให้ผิวหนังไม่แห้ง และยังสดใสเปล่งปลั่งอยู่เสมอ และยังมีวิตามินซี ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างเส้นใยคอลลาเจน ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้ผิวพรรณของใบหน้าดูเต่งตึง มีความยืดหยุ่น ผักสดและผลไม้ จึงควรเป็นอาหารที่คุณควรบรรจุไว้ในเมนูอาหารทุกมื้อของคุณ ผลไม้ที่มีวิตามินซีมาก ได้แก่ ส้ม มะนาว มะเขือเทศ สับปะรด ฝรั่ง ส่วนผักและผลไม้ที่มีวิตามินเอมาก ได้แก่ กล้วย มะละกอ ฟักทอง แครอท

น้ำเปล่า

อาหารทที่ดีต่อผิวพรรณ

น้ำทำหน้าที่สำคัญเกี่ยวกับทุกระบบภายในร่างกาย และหากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้ผิวพรรณไม่สดใส การดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้วโตๆ เป็นวิธีที่ทำให้ผิวผ่อง แบบไม่ต้องลงทุนมาก เพราะน้ำจะช่วยรักษาความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ และยังป้องกันผิวหย่อนยานจากการลดน้ำหนักอย่างฮวบฮาบอีกด้วย

ตัวอย่างเมนูอาหารเพื่อผิวผ่อง

มื้อเช้า : สลัดผลไม้ราดด้วยโยเกิร์ตหรือสลัดผักสดกับน้ำสลัดใส

มื้อเที่ยง : ปลาจาระเม็ดนึ่ง แกงเลียง ข้าวกล้อง

มื้อว่าง : นมถั่วเหลือง หรือน้ำผลไม้คั้นสดๆ

มื้อเย็น : ลาบเห็ด ซุบเต้าหู้ ข้าวกล้อง

พิมพา ฟาร์อีสเทิร์น

ผักควรกินเมื่อต้องกินยาแก้อักเสบ

คงต้องมีบางครั้งในชีวิตที่ป่วยเป็นโรคติดเชื้อหรือเป็นแผลกลัดหนอง และเราจำเป็นต้องกินยาแก้อักเสบใช่ไหมคะ

นอกจากกินให้ครบโด้ส ตามที่หมอสั่งแล้ว นักเภสัชศาสตร์แนะนำว่าควรกินผักจำพวกที่มีสารไนเตรต วันละ 8-10 ออนซ์ เช่น บีตรู้ต ผักโขม กะหล่ำ และแรดิช

ผักเหล่านี้ช่วยปกป้องไม่ให้ฤทธิ์ยาทำร้ายผนังกระเพาะอาหารด้วยการขับยาออกจากกระเพาะอย่างรวดเร็ว

นี่เป็นอีกวิธีที่หนีวงจรของผลข้างเคียงจากยาคะ

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์อีสเทอร์น)

ปัจจุบันการดื่มกาแฟเป็นที่นิยมการอย่างแพร่หลายตามปั้มน้ำมัน ตามห้างสรรพสินค้ามีการขายอย่างมากมาย จะเห็นได้ว่ากาแฟเป็นส่วนหนึ่งหรือบางคนอาจจะเป็นส่วนสองส่วนสามของชีวิตประจำวัน แต่จะมีใครกังวลหรือไม่ว่าที่เราดื่มทุกวันวันละหลายแก้วแล้วมันมีโทษ หรือคุณประโยชน์อะไรบ้าง หากคุณเป็นคอกาแฟคุณควรจะอ่านบทความนี้

ส่วนประกอบที่สำคัญของกาแฟ

ส่วนประกอบที่สำคัญของกาแฟคือ caffeine หรือมีชื่อทางเคมีว่า 1,3,7 trimethylxanthine ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของยาขยายหลอดลม theophylline caffeine สามารถพบได้ในหลายชนิดได้แก่ เมล็ดคา เมล็ดกาแฟ ใบชา โคลา caffeine ถูกผสมลงในน้ำอัดลม ยาแก้หวัดบางชนิด ยาแก้ปวด ยาลดน้ำหนัก

กาแฟจะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วหลังจากที่เราดื่มกาแฟและจะถูกขับออกไปครึ่งหนึ่งในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมงกาแฟจะไม่สะสมในร่างกาย โดยจะถูกทำลายและขับออกหมด ผู้ที่สูบบุหรี่จะมีการขับถ่ายกาแฟมากกว่าผู้ที่ไม่สูบ ดังนั้นคนที่สูบบุหรี่หากต้องการ การกระตุ้นของกาแฟ จะต้องดื่มกาแฟบ่อยกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ คนท้องและผู้ที่กินยาคุมกำเนิดจะมีการขับกาแฟน้อยกว่าคนทั่วไป กาแฟจะออกฤทธิ์โดยการกระตุ้นสมอง ทำให้รู้สึกสดชื่นและมีสมาธิ

ปริมาณ caffeine ที่มีในเครื่องดื่มแต่ละชนิดขึ้นกับความเข้มข้น ตารางข้างล่างเป็นตัวอย่างปริมาณกาแฟ

Milligrams of Caffeine และชนิดของเครื่องดื่ม

นักวิทยาศาสตร์ประมาณว่าวันหนึ่งๆ เราจะรับสาร caffeine ประมาณ 250-600 มก. ซึ่งไม่เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย

ผลดีของกาแฟ

กาแฟจะกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางทำให้ไม่ง่วง สมาธิในการทำงานดีขึ้น ผู้ที่ดื่มกาแฟจะทำให้ไม่ง่วงนอน มีสมาธิในการทำงาน และยังทำให้ความสามารถในการทำงานดีขึ้น และยังลดอาการปวดเมื่อยเนื่องจากไข้หวัด

ผลต่อสมรรถภาพของร่างกายดีขึ้น เช่นการขี่จักรยาน การว่ายน้ำ เล่นกีฬาได้นานขึ้น

ผลดีของกาแฟจะทำให้ไม่ง่วงนอน โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเป็นกะ และช่วยลดอุบัติเหตุขณะขับรถ

กระตุ้นอวัยวะของร่างกายและเพิ่มการเผาผลาญไขมันและช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย กาแฟจะมีฤทธิ์ขับปัสสาวะอ่อนๆ ดังนั้นขณะออกกำลังกายหรือหลังออกกำลังกายไม่ควรรับเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาแฟ เพราะจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ

ดื่มนานๆ จะติดกาแฟหรือไม่

องค์การอนามัยโลกกล่าวว่า ไม่มีหลักฐานว่ากาแฟจะเป็นสารซึ่งหากดื่มนานๆ แล้วจะเสพติด การดื่มกาแฟจะเป็นนิสัยมากกว่าเสพติด เนื่องจากไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณของกาแฟ และเมื่อหยุดกาแฟบางคนก็เกิดอาการปวดหรือมึนศีรษะเพียงเล็กน้อย

ผลดีของกาแฟต่อสุขภาพ

โรคหอบหืด มีรายงานว่าการดื่มกาแฟวันละ 3 แก้ว จะลดอาการหอบหืด หากดื่มมากกว่า 6 แก้ว การทดสอบสมรรถภาพปอดจะดีขึ้น

กาแฟก็เหมือนกับพืชอื่นๆ มีสาร flavanoid ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ

การดื่มกาแฟจะลดอาการง่วงนอน และทำให้มีสมาธิในการทำงานดีขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเป็นกะ และลดอุบัติเหตุขณะขับขี่

กาแฟช่วยลดอาการซึมเศร้าและคลายความวิตกกังวล

การดื่มกาแฟเป็นประจำจะลดอุบัติการณ์การเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ และยังลดอุบัติการณ์ของนิ่วในถุงน้ำดี

มีหลักฐานพอจะเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่เมื่อดื่มวันละ 4 แก้ว

กาแฟกันสุขภาพสตรี

กาแฟกับการตั้งครรภ์ The Food Standards Agency ก่อนหน้านี้มีความเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะเป็นผลเสียต่อการตั้งครรภ์ แต่จากหลักฐานยังไม่พบผลเสียดังกล่าว ประเทศอังกฤษได้แนะนำว่าการดื่มวันละ 3-4 แก้ว ขณะตั้งครรภ์ไม่เกิดผลเสีย สำหรับผู้ที่ตั้งท้องหากงดได้ก็น่าจะงด

การเป็นหมัน พบว่าหากดื่มกาแฟมากกว่า 1 แก้ว จะมีโอกาสเกิดการเป็นหมันเพิ่มขึ้น

กาแฟกับโรคกระดูกพรุน

ยังมีรายงานทั้งสนับสนุนว่าการดื่มกาแฟทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน บางรายงานก็กล่าวว่าไม่เกิดโรค ผู้ที่เกิดโรคกระดูกพรุนมักจะได้รับแคลเซียมไม่พอ แนะนำว่าควรจะดื่มนมเพิ่ม สำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 2 แก้วขึ้นไป

กาแฟกับโรคมะเร็ง

มีรายงานจาก World Cancer Research Fund ว่าการดื่มกาแฟปริมาณปานกลางไม่มีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็ง

มีรายงานกล่าวว่าการดื่มกาแฟมีผลดีต่อการป้องกันมะเร็งตับอ่อนเล็กน้อย

มีรายงานว่าการดื่มกาแฟอาจจะมีผลป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

กาแฟกับโรคหัวใจ

เท่ามีรายงานขณะนี้พบว่าการดื่มกาแฟวันละ 4 แก้ว ไม่มีความสัมพันธ์กับโรคหัวใจ

การดื่มกาแฟเป็นประจำไม่ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น การดื่มกาแฟครั้งแรกจะทำให้ความดันขึ้นชั่วคราว

กาแฟกับโรคเบาหวาน

จากการศึกษาพบว่า การดื่มกาแฟจะทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินเพิ่มขึ้น 15 % กรดไขมันในเลือดเพิ่มขึ้น ฮอร์โมน epinephrine เพิ่มสูงขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน

พิมพา ฟาร์อีสเทิร์น

ขิงแก้รังแค

ปลายฝนต้นหนาวอย่างนี้ รังแคยิ่งรังควาน เพราะเดี๋ยวหนังศีรษะก็ชื้น เดี๋ยวก็แห้งเป็นขุย ปัญหากวนใจแบบนี้ แก้ได้ไม่ยากด้วยสมุนไพรในครัวบ้านเรานี่เองคะ

สมุนไพรที่ว่าคือ ขิง ที่มีสรรพคุณกระตุ้นการไหลเวียนเลือดของหนังศีรษะ ทำให้หนังศีรษะชุ่มชื่น เมื่อผสมผสานกับน้ำมันมะกอก ปัญหาหนังศีรษะแห้งจนเกิดเป็นรังแคจึงหายห่วง วิธีทำมีดังนี้

ผสมขิงแก่สดบดละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ ใส่ให้ทั่วหนังศีรษะ หมักทิ้งใว้ 10-15 นาที ล้างออกให้สะอาด จากนั้นสระผมตามปกติ

นอกจากสรรพคุณในการกำจัดรังแค ขิงยังช่วยกระตุ้นการงอกของเส้นผมและป้องกันผมร่วงได้ดี แบบนี้เขาเรียกว่ากำไรสามต่อ จริงไหมคะ

พิมพา ฟาร์อีสเทิร์น

กลิ่นน้ำมันหอมระเหยคลายเครียด

กลิ่นยูคาลิปตัส กลิ่นทีทรี ช่วยในเรื่องการหายใจ

กลิ่นเปปเปอร์มินต์ ดีต่อระบบย่อยอาหาร

กลิ่นโรสแมรี่ ทำให้กระฉับกระเฉง ตื่นตัว และช่วยเพิ่มความจำให้ดีขึ้นอีกด้วย ดั้งนั้นการวางน้ำมันหอมระเหยกลิ่นนี้ใว้ที่โต๊ะทำงานจะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น

กลิ่นส้ม หรือ กลิ่นลาเวนเดอร์จางๆ ช่วยให้จิตใจสงบ วิตกกังวลน้อยลง และมีมุมมองในเชิงบวกมากขึ้น เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ได้กลิ่นนี้ (เหมาะสำหรับวันที่เราต้องทำงานอย่างเร่งรีบค่ะ)

อบอุ่นร่างกายรับลมหนาว

เมื่อฤดูเปลี่ยนคงต้องโละทิ้งวิธีการดูแลตัวเองแบบเดิมๆ ยิ่งลมหนาวมากหนาวน้อยยังไงก็แล้วแต่ การทำให้ร่างกายอบอุ่นยังเป็นสิ่งจำเป็นเสมอ หาวิธีวอร์มอัพร่างกายและหัวใจกันหน่อยดีไหม

1. ด่านแรก เปิดตู้เสื้อผ้าว่ามีชุดที่เข้ากับหน้าหนาวนี้หรือเปล่า เลือกสวมเสื้อแขนยาวจะดีกว่า นอกจากจะอุ่นแล้วยังป้องกันแสงแดดด้วย เพราะแดดหน้านี้แสบไม่แพ้หน้าไหน

2. เท้า บ่งบอกสถานะอุณหภูมิ เมื่อใดที่เริ่มเย็นเลือดจะไหลเวียนไม่ดี ร่างกายก็จะไม่อุ่น ดังนั้น อย่าปล่อยให้เท้าเปลือยเปล่าหาถุงเท้ามาใส่ซะ

3. มีอาหาร มากมายหลากหลายที่เพิ่มอุณหภูมิร่างกาย แต่อันดับแรกคุณต้องบริโภคอาหารจำพวกโปรตีน และเสริมสร้างพลังงาน ปรุงอาหารด้วยเครื่องเทศอย่างพริกป่น พริกไทย ขิง กระเทียม หัวหอม

4. ไขมัน เป็นสิ่งจำเป็นต่อร่างกายเสมอแต่ต้องเลือก Good fat นะ ไขมันที่ดีคือ ไขมันจากพืช ประเภทเมล็ดถั่วต่างๆ น้ำมันมะกอก ซึ่งมีประโยชน์ต่อเซลล์ในร่างกายเรา ให้พลังงาน 9 แคลอรีต่อ 1 กรัม ส่วนไขมันจากสัตว์ควรเลี่ยงยกเว้น ปลา เช่น แซลมอน แมคเอเรล เทราท์ และซาร์ดีน เพราะอุดมไปด้วยโอเมก้า ทรี จากผลการวิจัยพบว่า กินปลาสัปดาห์ 2-3 ครั้ง ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ

5. อากาศหนาว เหมาะแก่การดื่มชาอย่างยิ่ง เราขอแนะนำชาขิง ให้รสเผ็ดปนขมนิดๆ

6. ออกกำลังกาย จะช่วยให้ระบบการไหลเวียนของเลือดสะดวก เวลาออกกำลังกายช่วยให้เราหายใจยาวและลึกขึ้น หากเบื่อประเภทแอโรบิก หันมาเล่นโยคะแทนก็ได้ ยิ่งตอนนี้มีโยคะร้อนให้เลือกเล่นอีก

8. วอร์มอัพด้วยสตีม หรือซาวน่า แถมยังช่วยป้องกันและรักษาโรคหวัดได้ชะงัด

9. ลมหนาวมาเมื่อใด หัวใจก็ยิ่งเหงา เห็นไหมว่าวอร์มอัพภายนอกยังไม่พอต้องอุ่นกายด้วยไอรัก เวลาที่มีค่าอย่างนี้ทำกิจกรรมดีๆ ร่วมกับคนที่คุณรักทำให้จิตใจอบอุ่นไปตลอดฤดู

นที รินยานะ ฟาร์อีส เลขที่ 52

10 Health Tips

1. สำรองผลไม้ในตู้เย็นผักผลไม้ที่ควรสำรองในตู้เย็นอย่าให้ขาด ได้แก่ กะหล่ำปลี แครอท ส้มแอปเปิ้ล ซึ่งนอกจาก จะมีประโยชน์มากสำหรับสาว ๆ ที่กำลังไดเอตแล้วการรับประทานผักผลไม้เป็นประจำยังช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วยนะ

2. เหงือกดีด้วยน้ำชายามเช้าองค์การอาหารและยาของสหรัฐและสวีเดน บอกว่า การบ้วนปากในช่วงเช้าด้วยน้ำชา จะช่วยลด แบคทีเรียในช่องปากได้เนื่องจากสารโพลีฟีนอลจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ที่เป็นต้นเหตุ ของ ฟันผุส่วนการดื่มชาหลังมื้ออาหาร ก็ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเหงือกได้

3. ดื่มน้ำมากขึ้นดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 5 แก้ว จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้ เกือบ 50 %เชียวล่ะ

4. เปลือยเท้าคลายเครียดการย่ำเท้าเปล่า ไปบนทรายนุ่ม ๆ จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายเนื่องจากการเดินเท้าเปล่า จะช่วย กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด

5. รับแสงแดดอ่อน ๆมีข้อมูลจากการวิจัยระบุว่าผู้หญิงที่ไม่ค่อยโดนแดดเอาเสียเลยมีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งเต้านมมากกว่าผู้หญิงที่อยู่ในเมืองที่มีแดดเนื่องจากแสงแดดช่วยสังเคราะห์วิตามินดีในร่างกายแต่การโดนแดดจัดในช่วงบ่าย ๆ ก็เป็นอันตรายเช่นกัน ควรรับแดดอ่อน ๆในช่วงเย็นจะดีกว่า

6. หันมารับประทานขนมปังโฮลวีทกันเถอะสำหรับมื้อว่างยามบ่าย แทนที่จะไปคว้าคุ๊กกี้หรือเค็กช็อกโกแลตซึ่งเพียบด้วยแคลอรี่ เปลี่ยนมาทาน ขนมปังโฮลวีทสัก 2 แผ่นรับรองว่า จะช่วยให้คุณรู้สึกมีกำลังวังชาแล้วยังไม่อ้วนอีกด้วยล่ะ

7.สลัดปลาทูน่าเพิ่มความจำใครที่รู้ตัวว่า เริ่มจะหลง ๆ ลืม ๆ ลองหันมาทานสลัดปลาทูน่าหรืออาหารเมนูปลา รวมทั้ง เพิ่มอาหารที่มีวิตามินบี2 เช่น ไข่ นมถั่วเหลือง นอกจากจะช่วยให้อารมณ์ดีแล้ว ยังช่วยเพิ่มพลังความจำให้กับสมองได้

8. เดินไวไว ช่วยทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงคนที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกาย แต่ยังห่วงใยสุขภาพของตัวเองอยู่ลองใช้วิธีเดินให้ไวขี้นอีกนิด อาจใช้เวลาเดินในช่วงเช้า หรือหลังเลิกงาน เดินไปที่ป้ายรถเมล์สักสามสี่ป้ายหรือเดินขึ้นลงบันไดให้ได้ วันละ 20 นาทีจะช่วยบริหารหลอดเลือดหัวใจให้แข็งแรงและยังทำให้หุ่นสลิมสมส่วนเป็นของแถม

9. เติมไขมันดี ๆ ให้ร่างกายไขมันนั้น ไม่ได้เป็นผู้ร้ายซะทีเดียว เพระไขมันมีอยู่หลายชนิดไขมันที่เป็นมหามิตรกับร่างกายน่ะ หากร่างกายขาดแคลนอาจมีผลต่อการดูดซึมวิตามินเอ ดี อี เค และทำให้รู้สึกอ่อนเพลียได้เลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันชนิดไม่อิ่มตัว จากน้ำมันมะกอก น้ำมันถั่ว และไขมัน โอเมก้า 3 จากปลา ซึ่งเป็นไขมันดี ๆ ที่ไม่เพียงให้ พลังงานทำให้มีเรี่ยวแรงแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคมะเร็งและหัวใจอีกด้วย

10. Just Do Nothingลองหยุดภารกิจวุ่น ๆ สักสัปดาห์ละวัน หรือวันละ 1 ชั่วโมงให้ปลอดจากเรื่องงาน และคนรอบข้าง ใช้เวลาอยู่คนเดียวตามลำพังจะช่วยทำให้คุณรู้สึกสงบ เป็นเวลาที่จะได้เรียนรู้วิธีหยุดพักใจอาจจะฟังเพลง เงียบ ๆ คนเดียว หรืออาบน้ำอุ่น ๆแล้วอ่านหนังสือเล่มโปรด ค่อย ๆ จิบน้ำชา ชมดอกไม้เป็นการเติมความรื่นรมย์ด้านจิตใจ ทำให้คุณสดชื่นและมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ และยังห่างไกล จากโรคความรีบร้อนอันหมายถึง โรคที่ทำให้คุณตื่นตัว และเร่งรีบจนแทบไม่มีเวลาสำหรับตัวเอง

นงนุช คำแปง วิทย์ออก 77

สวัสดีค่ะ อาจาย์กั้ม!! วันนี้ดิฉันจะขอเสนอเรื่องสุขภาพใกล้ตัวค่ะ

ปัจจุบันคนไทยหันมาสนใจสุขภาพกันมากขึ้นมีการเลือกรับประทานอาหาร มีการรณณรงค์เรื่องการสูบบุหรี การดื่มสุรา และการออกกำลังกาย จากสถิติที่ผ่านมาพบว่าคนไทยและคนทั่วโลกมีอัตราการเสียชีวิตโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้นมาก สาเหตุที่สำคัญเกิดจากความไม่สมดุลของการรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย นอกจากนั้นยังทำให้เกิดโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง กระดูกพรุน โรคอ้วนและโรคมะเร็งบางชนิด เมื่อท่านได้รับประทานอาหารที่มีคุณภาพร่วมกับการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะทำให้ท่านมีสุขภาพที่ดี สมาคมโภชนาการ สมาคมความดันโลหิตสูงได้ร่วมกันกำหนดแนวทางการรับประทานอาหารซึ่งไม่เน้นเฉพาะพลังงานอย่างเดียว แต่จะเน้นเรื่องสารอาหาร และการออกกำลังกาย หัวข้อที่กล่าวมีดังนี้

คำแนะนำสำหรับกลุ่มต่างๆ

อาหารที่รับประทานต้องมีพลังงานเพียงพอ และมีสารอาหารเพียงพอ

กลุ่มคนทั่วๆไป

รับประทานอาหารหลากหลายให้ครบห้าหมู่โดยหลีกเลี่ยงอาหารไขมันอิ่มตัว [Saturated fat],Tranfatty acid น้ำตาล เกลือ และสุรา

ปริมาณพลังงานที่ได้รับไม่ควรเกินค่าที่กำหนด

กลุ่มคนต่างๆ

ผู้ที่สูงอายุมากกว่า 50 ปีควรจะได้รับวิตามิน B12 เสริม

หญิงตั้งครรภ์หรือวางแผนตั้งครรภ์ควรจะเสริมอาหารที่มีธาตุเหล็ก และอาหารที่มีวิตามินซีสูงเพื่อเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก

หญิงตั้งครรภ์หรือวางแผนตั้งครรภ์ควรจะเสริมอาหารที่มีกรดโฟลิก

ผู้สูงอายุที่มีผิวคล้ำหรือไม่ถูกแดดควรจะได้วิตามินดีเสริม

รายละเีอียดอ่านที่นี่

กลุ่มคนอ้วนหรือมีน้ำหนักเกิน

คำแนะนำ

การควบคุมน้ำหนักจะต้องรับประทานอาหารให้พลังงานที่ได้รับและใช้ไปเกิดความสมดุล

การลดน้ำหนักจะต้องค่อยลดพลังงานที่ได้รับจากอาหารโดยที่ไม่ขาดสารอาหาร และเพิ่มการออกกำลังกาย

สำหรับเด็กที่มีน้ำหนักเกินจะต้องปรึกษาแพทย์ดูแล ก่อนการจำกัดอาหาร

สำหรับคนท้องต้องควบคุมน้ำหนักอย่าให้เกิน

สำหรับคนทั่วไปที่มีโรคจะต้องปรึกษาแพทย์ก่อนการควบคุมอาหาร

การจัดการเรื่องน้ำหนัก

ปัญหาเรื่องคนอ้วนหรือน้ำหนักเกินเป็นปัญหาทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย นอกจากนั้นยังว่าว่าเด็กและเด็กวัยรุ่นมีปัญหาเรื่องน้ำหนักเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคเรื้องรังต่างๆตามมา คนที่มีน้ำหนักเกินมักจะเกิดจากพฤติกรรมในการรับประทานอาหารที่มากเกินไป และพฤติกรรมในการออกกำลังกายน้อยเกินไป ลำพังการลดปริมาณวันละ 100 กิโลแคลอรีก็จะป้องกันน้ำหนักเพิ่ม หรือลดปริมาณลงวันละ 500 กิโลแคลอรีก็จะทำให้น้ำหนักลดลงได้ แต่การลดน้ำหนักโดยให้ลดอาหารเป็นเรื่องยากจึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใส่น้ำตาล หรือการรับประทานอาหารมัน หรือเครื่องดื่ม คำแนะนำสำหรับการลดน้ำหนัก

การรักษาน้ำหนักให้ดีต้องปรับพลังงานที่ได้จากอาหารที่รับประทาน ให้สมดุลกับพลังงานที่เราใช้(น้ำหนักเท่าเดิม)

การป้องกันน้ำหนักเกินทำได้โดยการลดปริมาณอาหาร ลดน้ำตาล และเพิ่มการออกกำลังกาย

คำแนะนำสำหรับคนอ้วนแต่ละกลุ่ม

สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักต้องลดอาารที่มีแคลรี่ต่ำ

สำหรับเรื่องพลังงานที่ใช้ในแต่ละกิจกรรมให้อ่านที่นี่

สำหรับดัชนีมวลการคำนวนได้จากที่นี่ หรือเปิดดูจากตารางที่นี่

เรื่องโรคอ้วนอ่านที่นี่

การออกกำลังกาย

ส่งเสริมให้มีกิจกรรมให้มาก อย่านั่งๆนอนๆจะทำให้สุขภาพกาย สุขภาพใจ และการควบคุมน้ำหนักดีขึ้น

สำหรับผู้ใหญ่ ส่งเสริมให้มีกิจกรรมที่ใช้พลังงานปานกลาง มากกว่าปกติวันละ 30 นาทีทุกวันไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน หรือที่บ้าน เช่นการถูบ้าน การเดินขึ้นบันได การเดินเร็วๆไปจ่ายตลาด

ถ้าต้องการให้สุขภาพแข็งแรงให้ออกกำลังกายชนิดหนัก หรือออกกำลังกายนานขึ้น

ถ้าต้องการควบคุมน้ำหนักหรือป้องกันน้ำหนักเพิ่มต้องออกกำลังกายชนิดปานกลางหรือชนิดหนักวันละ 60 นาทีทุกวัน โดยที่รับประทานอาหารที่มีพลังงานเท่าเดิม

ถ้าต้องการลดน้ำหนักลดน้ำหนักต้องออกกำลังกายปานกลางถึงหนักวันละ 60-90 นาทีโดยที่รับประทานอาหารที่ให้พลังงานไม่เกิน

ส่งเสริมให้ร่างกายแข็งแรงโดยการ ออกกำลังเพื่อให้หัวใจแข็ง ออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ออกกำลังกายเพื่อให้ข้อเคลื่อนไหวได้ดี ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายมีความอดทน

การออกกำลังสำหรับกลุ่มต่างๆ

เด็กและวัยรุ่นให้ออกกำลังกายวันละ 60 นาทีทุกวัน

ในคนท้องที่ไม่มีข้อห้ามในการออกกำลังกายให้ออกกำลังปานกลางวันละ 30นาทีทุกวัน แต่ต้องหลีกเลี่ยงการออกกำลังที่จะเกิดอันตรายต่อการตั้งครรภ์

ผู้สูงอายุต้องมีกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อลดอัตราการเสื่อมของอวัยวะ

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์อีส เลขที่ 2

เกลือแร่...ความสำคัญต่อร่างกาย

ร่างกายคนเราจำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่สำคัญครบทั้ง 6 ประเภท ได้แก่ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ และน้ำ จึงจะทำให้อวัยวะต่างๆ ทำหน้าที่ได้ตามปกติ

ร่างกายจะมีเกลือแร่อยู่ร้อยละ 4-5 ของน้ำหนักตัว และสามารถแบ่งเกลือแร่ที่คนต้องการออกเป็น 2 ประเภท คือ

เกลือแร่ที่ต้องการในขนาดมาก หมายถึง ร่างกายต้องการวันละมากกว่า 100 มิลลิกรัม เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส โปรแตสเซียม เป็นต้น

เกลือแร่ที่ต้องการในขนาดน้อย หมายถึง ร่างกายต้องการวันละ น้อยกว่า 15 มิลลิกรัม เช่น เหล็ก สังกะสี ไอโอดีน ฟลูโอรีน เป็นต้น

ความสำคัญของเกลือแร่ต่อร่างกาย พอสรุปได้ 5 ประการ คือ

เป็นส่วนประกอบของกระดูกและฟัน เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส และแมกนีเซียม

เป็นส่วนประกอบของโปรตีน ฮอร์โมน เช่น เหล็ก เป็นส่วนประกอบของสารที่ทำหน้าที่ขนถ่ายออกซิเจนไปยังส่วนต่างๆ ทั่วร่างกาย

ควบคุมความเป็นกรดด่างของร่างกาย เพื่อความสมดุลในการทำงานของเซลล์ต่างๆ

ควบคุมความสมดุลของน้ำที่อยู่ภายในร่างกาย

เกลือแร่หลายชนิดทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาภายในร่างกาย

ร่างกายคนเราเปรียบเสมือนโรงงานใหญ่ ที่ต้องมีการทำงานของอวัยวะต่างๆ ประสานสัมพันธ์กันอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเกลือแร่ที่ทำหน้าที่ดังกล่าวมาแล้ว จึงมีความจำเป็นต่อร่างกาย ที่เราไม่ควรจะละเลย นะคะ

อนุสรา ภาคคำ เลขที่16

การมีหุ่นสวย ไร้ไขมันส่วนเกิน เป็นสุดยอดปรารถนาของสาวๆ ทั้งหลาย เพราะนอกจากจะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจ สวมใส่เสื้อผ้าอะไรก็ดูดีแล้ว ยังช่วยให้เราห่างไกลจากโรคร้ายต่างๆ ที่จะตามมาจากภาวะโรคอ้วนอีกด้วย ซึ่ง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และพักผ่อนอย่างเพียงพอ

สำหรับสาวๆ ที่กำลังเผชิญปัญหาเรื่องน้ำหนักและรูปร่างที่เริ่มมีไขมันพอกพูน การเลือกรับประทานอาหารจำพวก โฮลเกรน หรือธัญพืชเต็มเมล็ดเป็นประจำ เป็นอีกหนึ่งหนทางที่จะช่วยในการลดน้ำหนักได้ โฮลเกรน เป็นธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี หรือขัดสีน้อยที่สุด โดยยังคงส่วนประกอบสำคัญของธัญพืชครบถ้วน ได้แก่ เยื่อหุ้มเมล็ด (Bran) เนื้อเมล็ด (Endosperm) และจมูกข้าว (Germ) ด้วยคุณสมบัติพิเศษของ โฮลเกรน ที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เมื่อร่างกายรับเข้าไปจะย่อยอย่างช้าๆ ทำให้รู้สึกอิ่มท้องนาน ส่งผลให้ไม่ทานจุบจิบ จึงช่วยในการควบคุมน้ำหนักและยังช่วยให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น อีกด้วย เพราะโฮลเกรนมีสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นไฟเบอร์ วิตามินบี วิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระต่างๆ ซึ่งช่วยป้องกันโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง นอกจากนี้ยังช่วยเรื่องระบบขับถ่าย และช่วยให้ผิวพรรณดีอีกด้วย

นอกจากนี้ ยังมีผลการศึกษายืนยัน การรับประทานโฮลเกรนเป็นประจำช่วยในการควบคุมน้ำหนักได้จริง จากผลการศึกษาระหว่างปี 1986-2005 ในกลุ่มชายหญิงจำนวนกว่าหนึ่งแสนคน พบว่าคนที่รับประทานโฮลเกรนเป็นประจำมีแนวโน้มที่จะมีน้ำหนักน้อยกว่าคนที่ไม่ได้รับประทานโฮลเกรน โดยพบว่าน้ำหนักตัวจะลด 0.49 กิโลกรัม หากรับประทานโฮลเกรนปริมาณ 40 กรัม เป็นประจำทุกวัน1

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์อีสเทอร์น)

มะม่วง (Mango)

มะม่วง ผลไม้ยอดฮิตที่นิยมบริโภคตลอดปี ไม่ว่าจะบ้านไหน เรือนไหนก็นิยมปลูกกันไว้ในรั้วบ้าน มะม่วงนอกจากจะนำมารับประทานได้หลายรูปแบบแล้วยังเป็นไม้ยืนต้นที่ให้ร่มเงาได้เป็นอยางดี ส่วนอื่นๆ ก็นำมาใช้ประโยชน์ได้ อาทิ ใบ ดอกมะวม่วง มีวิตามินเอและซีสูง และยังมีสารอาหารอื่นๆ อีก เรียกได้ว่า มะม่วงลูกหนึ่งมีสารอาหารเกือบครบเลยทีเดียว โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ อาจหายไปได้โดยที่เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เพราะมะม่วงก็มีสรรพคุณทางยาสมุนไพรมากเหมือนกัน

ชื่ออื่น ขุ (กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) แป (ละว้า-เชียงใหม่) โคกแล้ะ (ละว้า-กาญจนบุรี) เจาะ ช้อก ซ้อก (ชอง-จันทบุรี) เปา (มลายู-ภาคใต้) สะวาย (เขมร) ส่าเคาะส่า สะเคาะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) มะม่วงบ้าน (ทั่วไป) มะม่วงสวน (ภาคกลาง)

ชื่อวิทยาศาสตร์ Mangifera indica Linn.

วงศ์ ANACARDIACEAE

ลักษณะ มะม่วงเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดใหญ่สูง เปลือกต้นหนาสีเทาขรุขระแตกเป็นเกร็ดๆ แตกกิ่งก้านสาขาออกไปรอบต้นมากมาย

ใบ เป็นไม้ใบเดี่ยว ลักษณะของใบเรียวแหลม คล้ายรูปหอก กว้าง 2-9 ซ.ม. ยาว 10-30 ซ.ม. ใบหนารอบใบเรียบ

ดอก ออกเป็นช่อขนาดใหญ่ ช่อหนึ่งมีประมาณ 15-20 ดอก แต่ละช่อมีดอกย่อยถึง 3000 ดอก มีสีเหลืองอ่อน มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ มีกลีบดอก 5 กลีบ

ผล มีรูปร่างคล้ายรูปไต ผลดิบมีสีเขียว ผลสุกมีสีเหลืองและรสหวาน หนึ่งผลมีเมล็ดเดียว ลักษณะแบน เป็นรูปไข่รีขนาดใหญ่

ส่วนที่ใช้ เมล็ด ผล ใบ เปลือกลำต้น

สรรพคุณทางยาสมุนไพร

เมล็ดสดๆ มารับประทาน หรือนำมาโรยเกลือ รับประทานเพื่อขับปัสสาวะหรือแก้บวมน้ำ เนื้อในเมล็ดใช้แก้ท้องร่วง

ผลมะม่วง นำมาคั้นรับประทานเป็นยาขับปัสสาวะหรือร้อนใน แก้คลื่นไส้ แก้บิดถ่ายเป็นเลือด และใช้เป็นยาบำรุงกระเพาะอาหาร

ใบมะม่วง นำมาพอประมาณต้มรับประทานแก้ซางตานขโมยในเด็ก แก้ลำไส้อักเสบ หรือใช้ใบสดๆ ตำพอกบริเวณที่เป็นแผลสด จะเป็นยาสมานแผลสดได้ดีที่เดียว

เปลือกลำต้นมะม่วง ใช้เปลือกสดๆ มาต้มรับประทานเป็นยาแก้โรคคอตีบ เยื่อปากอักเสบ จมูกอักเสบ

คุณค่าทางอาหาร

มะม่วงดิบมักออกรสเปรี้ยว เอาไปทำของคาวได้หลายอย่าง ที่เห็นบ่อยมากคือ นำไปจิ้มน้ำพริก ใช้ยำ หรือผสมอาหารที่มีรสเปรี้ยวแทนมะนาว เช่น ยำมะม่วง น้ำพริก ต้มยำ

ในส่วนที่นำไปเป็นของว่างนั้น มะม่วงดิบรับประทานเป็นมะม่วงน้ำปลาหวาน เมี่ยงส้ม มะม่วงสุกที่มีรสหวาน นำมารับประทานกับข้าวเหนียว กวนเป็นแผ่น หรือนำมาคั้นเป็นน้ำผลไม้

มะม่วงอุดมด้วยฟอสฟอรัส และแคลเซียมที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟันไม่ให้เปราะหักง่าย นอกจากนั้นยังมีวิตามินซีอยู่ในปริมาณมาก ช่วนเสริมสร้างภูมิคุ้นกันให้แข็งแรง ป้องกันโรคต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาโรคเลือดออกตามไรฟัน โรคหวัด และมีวิตามินบี 1 ป้องกันโรคเหน็บชา วิตามินบี 2 ป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด

คุณค่าทางโภชนาการและอาหารในส่วนที่รับประทานได้ 100 กรัม

พลังงาน 67 แคลอรี่

โปรตีน 0.5 กรัม

ไขมัน 0.2 กรัม

คาร์โบไฮเดรต 15.7 กรัม

ใยอาหาร 2.4 กรัม

แคลเซียม 14.00 มิลลิกรัม

ฟอสฟอรัส 2 มิลลิกรัม

เหล็ก มีน้อยมาก

เบต้าแคโรทีน 37 ไมโครกรัม

วิตามีนบี 1 0.05 มิลลิกรัม

วิตามีนบี 2 0.02 มิลลิกรัม

ไนอะซีน 0.2 มิลลิกรัม

วิตามีนซี 35 มิลลิกรัม

คนึงนิจ (ฟาร์อีสเทอร์น) 006

การดูแลสุขภาพผิวให้สวยใส ท่านสามารถทำได้ไม่ยากเลย มีหลักการง่ายๆ ดังต่อไปนี้

1. ครีมถนอมผิว

2. ครีมกันแดด

3. ครีมที่ทำให้หน้าขาว

4. บำรุงสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง

5. หลีกเลี่ยงน้ำร้อน

6. หลีกเลี่ยงการทรมานผิวต่างๆ

รายละเอียดมีดังนี้

1. ครีมถนอมผิว (Moisturizer, Emoillient)

ครีมที่ใช้ทาบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นขึ้น ส่วนใหญ่จะมีสารประกอบพวกยูเรีย กลีเซอรีน มิเนอรัลออยล์ เลซิทิน วิตามินอี ลาโนลิน ยูเซอริน ฯลฯ ใช้ทาเพื่อทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น ไม่แห้ง ไม่เหี่ยวเฉา

ควรจะทาครีมหรือโลชั่นทุกครั้งหลังจากอาบน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าท่านชอบอาบน้ำอุ่นเป็นประจำหรืออาบน้ำนานมาก เพราะผิวจะแห้งมาก

ไนท์ครีม น่าจะทาหน้าก่อนนอนเป็นประจำ โดยเฉพาะถ้าท่านชอบนอนห้องแอร์

ถ้าต้องล้างมือบ่อย ควรทาครีมบำรุงผิวมือบ่อยๆ หลังล้างมือ

ส่วนจะใช้ยี่ห้อไหนดี ใช้ยี่ห้อไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงมาก ใช้ที่มีส่วนประกอบของสารข้างต้น ครั้งแรกลองใช้ทาเฉพาะที่ก่อน ถ้าทาไป 3-4 วัน แล้วไม่แพ้ก็ใช้ทาทั่วไปได้

2. ครีมกันแดด (Sunscreen)

ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดช่วงเวลา 11.00-15.00 น. เพราะแสงแดดช่วงเวลานี้ จะมีรังสีอัลตราไวโอเลตสูงมาก

ควรสวมหมวกใบใหญ่ ปีกกว้าง ถือร่ม ใส่เสื้อแขนยาว ใส่แว่นตากันแดด ถ้าท่านต้องตากแดดเป็นประจำ

ทายากันแดดที่มี SPF มากกว่า 15 ขึ้นไป

ยากันแดดใช้ยี่ห้อไหนดี ถ้าท่านแพ้ง่าย ควรใช้ยากันแดดที่มีส่วนผสมของติเตเนียมไดออกไซด์ ซึ่งใช้หลักการคล้ายกับการสะท้อนแสง ทาแล้วจะกันแดดได้ดีเพียงแต่ทาแล้ว อาจจะมีใบหน้าขาววอกไปหน่อย ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งจะมีส่วนผสมของซินนาเมต ซึ่งก็ใช้ทากันแดดได้ผลดีเช่นกัน และหน้าไม่ขาววอกเกินไป

ครั้งแรกที่ทายากันแดด ควรเริ่มทาที่บริเวณหน้าผากก่อน ทดลองทาดูประมาณ 3-4 วัน ถ้าไม่แพ้ วันหลังจึงทาทั่วใบหน้าได้นะคะ

การทายากันแดด ควรทาประมาณ 1/2 ชั่วโมงก่อนออกไปตากแดด ถ้าต้องตากแดดทั้งวันตอนบ่ายควรทายากันแดดซ้ำอีก 1 ครั้ง

3. ครีมที่ทำให้หน้าขาว (Whitening cream)

ปัจจุบัน มีครีมที่ทำให้หน้าขาวใสขึ้น ไร้รอยเหี่ยวย่น ลบริ้วรอยต่างๆ ซึ่งมีมากมายหลายชนิด ถ้าท่านอยากให้หน้าใสขึ้นก็ใช้ทาได้ ถ้าไม่แพ้นะคะ ถ้าแพ้ระคายเคืองก็ต้องหยุดใช้ยายี่ห้อนั้นๆ ดังกล่าวที่ค่อนข้างใช้ได้ผลดี และไม่ค่อยแพ้ ไม่อันตรายจนเกินไป มักจะมีส่วนประกอบของสารสำคัญดังนี้ คือ

กลุ่มกรดผลไม้ AHA

กลุ่ม BHA

กลุ่มกรดวิตามินเอ (Retinoic acid)

กลุ่มกรดอะเซเลอิค (Azeleic acid)

กลุ่มอื่นๆ เช่น วิตามินซี กรดโคจิค สารสกัดมัลเบอร์รี่

ถ้าท่านผิวดีอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ครีมที่ทำให้หน้าขาวนะคะ

4. บำรุงสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง

กินอาหารให้ถูกสุขลักษณะ ให้ครบ 5 หมู่ เน้นผักผลไม้มากๆ ดื่มน้ำเปล่ามากๆ วันละ 6-8 แก้ว หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เครื่องดื่มเหล้า เบียร์ แอลกอฮอล์ต่างๆ น้ำชา กาแฟ มากเกินไป ไม่ดีนะคะ

อย่าทำงานหนักเกินไป อย่าเครียดงานมากเกินไป ถ้าท่านทำหน้านิ่วคิ้วขมวดทั้งวัน จะเกิดร่องรอยตีนกาชัดเจนมากขึ้น อย่างรวดเร็วมาก

ต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ประมาณ 6-8 ชั่วโมง แล้วแต่บุคคลและวัยนะคะ

ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ประมาณ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์

5. หลีกเลี่ยงน้ำร้อน

น้ำที่ร้อนจัดเกินไป หรือน้ำอุ่นแต่อาบน้ำนานมาก จะทำให้ผิวหนังแห้งมากจนเกินไป ถ้าอาบเป็นประจำทุกวัน ก็จะทำให้ผิวหนังเกิดอาการระคายเคืองคันได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าท่านเป็นโรคผื่นแพ้คันอยู่แล้ว ควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นมากจนเกินไปนะคะ

หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อน อาบน้ำอุ่นนานๆ บ่อยๆ

หลีกเลี่ยงการล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นบ่อยๆ

อย่าอบไอน้ำ อบตัวด้วยความร้อน อบเซาว์น่า บ่อยๆ จนเกินไปหรือนานเกินไป

6. หลีกเลี่ยงการทรมานผิวต่างๆ

ท่านที่ชอบการขัดหน้า นวดหน้า พอกหน้า หลายๆ รูปแบบนั้น จะยิ่งมีโอกาสเกิดการระคายเคืองได้ง่าย หน้าจะยิ่งบางลง และไวต่อแสงแดดมากขึ้น มีโอกาสเกิด ฝ้า กระ สิว ได้มากขึ้น นอกจากจะเสียเงินมากขึ้นแล้ว ยังเสียเวลาและเสียดายใบหน้าอีกด้วยนะคะ

การขัดตัว การที่ท่านไปขัดตัวตามสถานที่ต่างๆ หรือซื้อฟองน้ำ ใยบวบหรือหินขัดต่างๆ มาขัดด้วยตนเอง พอกสารหลายอย่าง แล้วขัดถูตัวกันอย่างจริงจังนั้น เป็นการทรมานผิวหนังของท่านมากจนเกินไปนะคะ คิดดูซิคะว่า ผิวหนังจะสกปรกอะไรกันนักหนา ถึงต้องขัดตัวขนาดนั้น เพราะฉะนั้นอาบน้ำฟอกสบู่เบาๆ ใช้แค่สบู่เด็กอ่อนๆ ถูเบาๆ ก็เพียงพอแล้วนะคะ

วราภรณ์ สุตพลสันติกุล FEU

กินจุบจิบระหว่างมื้ออย่างมีประโยชน์

จากการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคไทยที่ “โวโน” ซุปครีมกึ่งสำเร็จรูปจัดทำเมื่อต้นปี 2551 พบว่าสาวส่วนใหญ่โทษว่าอายุที่เพิ่มขึ้นทำให้ความสามารถในการเผาผลาญพลังงานลดลง บางคนบอกว่างานยุ่งมากจนไม่มีเวลาออกกำลังกาย ทั้งหมดนี้มีความจริงเพียงบางส่วนเท่านั้น

สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้สาวทั้งหลายน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเป็นเพราะพฤติกรรมการกินของพวกคุณเธอต่างหาก อาจารย์กฤษฎี โพธิทัต ที่ปรึกษาด้านโภชนาการและนักกำหนดอาหารชั้นแนวหน้าของเมืองไทย ระบุว่า สาวจำนวนมากไม่ยอมกินอาหารเช้า จึงไปหิวตาลายเอาเมื่อสาย และมักจะคว้าขนมหรือของขบเคี้ยวกรุบกรอบทั้งหลายมาใส่ปาก พอตกบ่ายก็เริ่มง่วงและหิวอีกรอบ ก็ต้องพึ่งขนมช่วยให้ตาสว่างกันอีกยก ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายคนก็ยิ่งสนุก ยิ่งอร่อย กว่าจะรู้ตัวอีกทีถุงขนมก็กองเต็มโต๊ะ และส่วนเกินก็มากองอยู่ตามพุงเสียแล้ว

อันที่จริงอาหารว่างหรือของขบเคี้ยวระหว่างมื้อเป็นเรื่องดีต่อสุขภาพ ถ้าคุณรู้จักเลือกรับประทานของที่มีประโยชน์และมีคุณค่าทางสารอาหาร อาจารย์กฤษฎีแนะนำว่า “คนไทยส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดว่าการรับประทานอาหารระหว่างมื้อมีแต่โทษ และทำให้อ้วน แต่ที่จริงแล้วอาจเป็นตรงกันข้ามได้

“คนที่กินอาหารวันละหลายมื้อมีโอกาสอ้วนน้อยกว่าคนที่กินน้อยมื้อกว่าครึ่ง หลายคนอาจจะคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ แต่การวิจัยพบว่าผู้ที่รับประทานอาหารวันละ 4 มื้อเล็ก ๆ ขึ้นไป คือ อาหาร 3 มื้อ และอาหารว่าง 1 มื้อ มีโอกาสลดความอ้วนได้ถึง 45 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้เพราะการรับประทานอาหารระหว่างมื้อที่มีคุณภาพ จะช่วยทำให้เราไม่หิวมากเกินไป จึงสามารถควบคุมปริมาณการรับประทานอาหารในมื้อถัดไปได้ดีขึ้น อีกทั้งช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า พร้อมเริ่มต้นใหม่ได้อย่างสดใส”

อาจารย์กฤษฎีอธิบายว่า คนเราจะรู้สึกหิว ก็เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงถึงระดับหนึ่ง สมองจึงจะสั่งการว่า “หิว” และโดยธรรมชาติ เราก็จะคว้าของกินใส่ปากเมื่อหิว และหยุดกินเมื่อรู้สึกว่าอิ่ม

แต่ระบบการทำงานของร่างกายนั้น สมองจะรับรู้ได้ช้ากว่าที่เป็นจริง เช่น ระดับน้ำตาลในเลือดจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น แต่สมองต้องใช้เวลาประมาณ 15 นาทีจึงจะรับรู้ได้ว่า ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นมาแล้ว ควรจะสั่งให้ร่างกายรู้สึก “อิ่ม” ได้แล้ว ดังนั้น เมื่อสมองบอกว่า “อิ่ม” และเรารู้สึก “อิ่ม” จึงเป็นเวลาที่ร่างกายของเราได้รับอาหารเกินความต้องการไปแล้ว

การจะป้องกันไม่ให้เรารับประทานอาหารเกินความจำเป็นหรือเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ คือ การเคี้ยวให้ละเอียด เคี้ยวนานๆ มีนักวิชาการหลายคนแนะนำว่าให้เคี้ยวคำละอย่างน้อย 15 ครั้งก่อนที่จะกลืน หรือพวกชีวจิตแนะนำว่าถ้าเคี้ยวได้ถึง 30 ครั้งจะเยี่ยมมาก เพราะทำให้เราใช้เวลานานขึ้นในการรับประทานอาหารแต่ละคำ และในแต่ละมื้อก็จะทำให้เรารับประทานอาหารได้น้อยลง แต่อิ่มทน

ดังนั้น การเลือกอาหารที่ต้องเคี้ยวเป็นของว่างระหว่างมื้อ จึงเป็นการเลือกรับประทานอย่างชาญฉลาด ไม่ว่าจะเป็นพวกผลไม้ ซึ่งมีแป้งและไขมันต่ำอยู่แล้วแต่มีไฟเบอร์สูง หรือถ้าไม่ถูกรสนิยม จะเลือกขนมขบเคี้ยว หรือซุปสักหนึ่งถ้วย เพิ่มขนมปังกรอบพอให้เคี้ยวมันฟันเล่นก็ดีพอกัน เพียงแต่ต้องปรับพฤติกรรมการเคี้ยวให้ละเอียดขึ้น เคี้ยวช้าๆ ให้นานขึ้น ก็จะช่วยได้

ที่สำคัญคือ อย่ารับประทานจนอิ่ม แค่รู้สึกว่าไม่หิวแล้ว ก็ให้หยุด หรือชะลอสปีดในการรับประทานลง แต่นี้ ก็ได้อาหารเพียงพอ และได้ความสุขจากการเคี้ยวไปด้วยในตัว

อีกพฤติกรรมหนึ่งที่คุณสาวๆ ต้องระวัง ถ้ายังรักจะกินจุบจิบ แต่ไม่อยากให้ห่วงยางรอบพุงล้ำออกมาเกินหน้าเกินตา คือ การทำกิจกรรมอื่นๆ ไปพร้อมกับการทานอาหารว่าง เช่น กินไป คุยไป กินไปทำงานไป ก็อาจทำให้ลืมตัว เผลอกินมากเกินไปได้ แต่สำหรับสาวบางคนที่ห่วงคุยมากกว่าห่วงกิน คือคุยเพลินจนลืมกิน อันนี้ก็ไม่ว่ากัน เพราะสาวประเภทนี้ คงไม่มีปัญหาเรื่องกินกินขนาด

ปัญหานี้ก็แก้ได้ไม่ยาก โดยการจำกัดปริมาณอาหารว่างที่จะรับประทานตั้งแต่ต้น เช่น ขนมแห้งๆ เทใส่ถ้วยเล็กๆ พอรับประทานหมดก็หยุด และอย่าใจอ่อนคิดว่า อีกหน่อยน่า แหม ยังไม่ทันสะใจ ขออีกสัก 2 คำเถอะ ต้องมีวินัยกันหน่อย

หรืออาจจะลองเปลี่ยนมาเลือกของว่างที่เป็นซุป เช่น ซุปครีมพร้อมขนมปังกรอบ 1 ถ้วย เป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจเพราะสามารถเตรียมได้ง่าย แล้วซุปกึ่งสำเร็จรูปสมัยนี้มีให้เลือกหลายรสชาติตามที่ชอบได้ ส่วนใหญ่ก็แพ็คมาในขนาดกำลังกินพออิ่มได้ 1 คน รับประทานหมดซองก็อิ่มกำลังดีไม่เกินท้อง นอกจากจะได้สารอาหารและรสชาติแล้ว ยังมีน้ำที่ให้ความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แล้วขนมปังกรอบก็จะทำให้ได้เคี้ยว ได้รับความพึงพอใจจาการเคี้ยวด้วย และแน่นอน ถ้าเคี้ยวช้าๆ ก็จะช่วยควบคุมปริมาณการรับประทานได้ดีขึ้นด้วย

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

รับประทานโปรตีนที่ได้จากพืช ลดการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี

นิ่วในถุงน้ำดีเกิดจากการตกตะกอนของสารน้ำดี ในถุงน้ำดี ส่วนใหญ่จะเกิดในสตรี อ้วนและวัยกลางคน นพ.ชุง จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวว่า โปรตีนจากพืชสามารถป้องกันการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้

การศึกษาย้อนหลัง ทางระบาดวิทยา โดยศึกษาในคนไข้สตรีที่มารับการปรึกษาจำนวน121000คน ในระยะเวลา20 ปี โดยพบว่ามีผู้ป่วย 7831 คนที่มีนิ่วในถุงน้ำดี ต้องได้รับการผ่าตัด โดยพบว่า ปริมาณการรับโปรตีนจากสัตว์ ไม่มีผลต่อการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี ในขณะที่ในผู้ที่รับโปรตีนจากพืชยิ่งได้มาก ยิ่งมีอุบัติการณ์การเกิดนิ่วลดลง

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

นมแม่ อาหารที่วิเศษสุด!!!

นมแม่ เป็นอาหารที่ธรรมชาติสรรค์สร้างขึ้นมาอย่างมีคุณค่า ครบถ้วน เหมาะสมที่สุดสำหรับลูกน้อย ช่วยให้ลูกแข็งแรง และส่งเสริมพัฒนาการด้านต่างๆ โดยเฉพาะพัฒนาการด้านสมอง

สมองของคนเรา มีพัฒนาการเริ่มตั้งแต่ในครรภ์ ซึ่งจะพัฒนาเร็วกว่าอวัยวะระบบอื่นภายหลังคลอดเกือบ 2 เท่า และที่มหัศจรรย์กว่านั้น ไม่มีระยะไหนที่การเติบโตของสมองจะเฉื่อยเหมือนอวัยวะระบบอื่น โดยเฉพาะในขวบปีแรก ขนาดของสมองจะเพิ่มมากกว่าระยะใดๆ จากน้ำหนักสมองแรกเกิดประมาณ 400 กรัม (ประมาณ 25% ของสมองผู้ใหญ่) เพิ่มเป็น 1,000 กรัมเมื่ออายุ 1 ขวบ ขณะที่สมองผู้ใหญ่จะหนักประมาณ 1,400 กรัม

แม้เซลล์สมอง ซึ่งมีอยู่ประมาณหนึ่งแสนล้านเซลล์นั้นจะไม่เพิ่มขึ้นหลังคลอด แต่สิ่งที่เพิ่มคือ จำนวนเซลล์พี่เลี้ยง ขนาดของเซลล์ และการขยายเครือข่ายของเซลล์ ได้แก่ แขนงรับ-ส่งข้อมูล และจุดเชื่อมประสาท โดยแต่ละเซลล์จะมีจุดเชื่อมประมาณ 2,500 จุด และเพิ่มขึ้นประมาณ 15,000 จุดต่อหนึ่งเซลล์เมื่ออายุ 2 – 3 ขวบ ซึ่งจะมากกว่าสมองของผู้ใหญ่ประมาณ 2 เท่า โดยการเกื้อหนุนของการเลี้ยงดู ตั้งแต่การได้รับสารอาหารที่เหมาะสมและครบถ้วน ไปจนถึงสารอื่นที่จำเป็นต่อพัฒนาการของสมอง รวมไปถึงการเกิดโรคติดเชื้อที่ทำให้การเจริญเติบโตหยุดชะงัก

เป็นที่น่าเสียดายว่าวงจรประสาทที่สำคัญที่ถูกวางไว้นี้ หากส่วนไหนไม่ได้รับการกระตุ้นให้ใช้งานอย่างต่อเนื่องหรือเพียงพอ ก็อาจทำให้ถูกขจัดเพิ่มขึ้นอีกจากการตัดแต่งประสาทได้ จึงมีคำที่กล่าวถึงพัฒนาการของสมองว่า “Use it or lose it” คือ ให้ใช้มันเสียมิฉะนั้นจะสูญเสียมันไป

แต่สมองคนเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา การที่เด็กได้เรียนรู้ ได้มีประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เหมาะสมโดยเฉพาะจากแม่ ยังอาจทำให้มีวงจรประสาทใหม่ ๆ เกิดขึ้นได้อีกด้วย

จะเห็นได้ว่าพัฒนาการของสมอง เป็นผลของการประสมประสานการทำงานระหว่างพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมซึ่งรวมถึงการเลี้ยงดูด้วย ซึ่งระยะก่อนคลอด พันธุกรรมจะมีบทบาทมากกว่า แต่เมื่อหลังคลอดสิ่งแวดล้อมและการเลี้ยงดูจะมีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะสารอาหารสำคัญและวิเศษสุดที่ลูกได้รับจากนมแม่ มีตั้งแต่

1. ความเหมาะสมทั้งปริมาณและคุณภาพ และการย่อยง่าย

2. มีสารจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของสมอง นอกจากกรดอะมิโน taurine, carnitine

กรดไขมัน arachidonic acid (AA หรือ ARA) และ docosahexaenoic acid (DHA) ซึ่งเพิ่งถูกนำมาเติมในนมผสมแล้ว ยังมีสารสำคัญต่อพัฒนาการของสมองที่ยังไม่มีในนมผสมคือ nerve growth factor ฮอร์โมน และเอนไซม์แทบทุกชนิดที่ร่างกายต้องการนำมาใช้ในการพัฒนาสมองอย่างครบถ้วนด้วย

3. มีสารต่อสู้เชื้อโรค ซึ่งมีอยู่ในนมแม่หลายชนิด สามารถทำงานเสริมฤทธิ์ต่อสู้กับเชื้อได้

มากมาย ทำให้การเจริญเติบโตของร่างกายและสมองไม่หยุดชะงักจากการติดเชื้อ

นอกจากนมแม่จะมีคุณประโยชน์มากมายแล้ว ยังสร้างสัมผัสรักจากแม่ ส่งผ่านไปยังภาษากายอย่างการโอบอุ้ม การโต้ตอบระหว่างแม่และลูก เป็นพื้นฐานสำคัญของกระบวนการเรียนรู้และตอบสนองต่อสิ่งเร้า ขณะให้นมลูก ลูกจะสบตาแม่ เป็นการสื่อสารที่ถ่ายทอดผ่านการมองเห็น การสัมผัสผิวแม่ผ่านมือเล็กๆ ขณะที่ลิ้นของลูกก็รับรสน้ำนมแม่ ให้ความรู้สึกสบายและผ่อนคลาย ส่วนหูของลูกได้ยินเสียงที่กำลังเกิดขึ้นรอบตัว ดังนั้นประสาทสัมผัสทุกส่วนของลูกจะถูกกระตุ้นให้เกิดการทำงานด้วยความรู้สึกดีๆ ที่แม่ได้ถ่ายทอดสู่ลูก

ฉะนั้นการที่แม่อยู่กับลูกตลอดเวลา จึงมีความสำคัญและจำเป็นเนื่องจาก แม่จะเป็นผู้ที่กระตุ้นให้วงจรประสาทในสมองของลูกทำงานได้เต็มที่และต่อเนื่อง ส่งผลต่อพัฒนาการทางสมอง ทำให้ลูกมีความฉลาดทางปัญญา (Intelligence Quotient - I.Q.) สูง นอกจากนี้แม่ยังเป็นผู้วางรากฐานสุขภาพจิตที่ดีให้แก่ลูก เพราะแม่และลูกที่ได้สัมผัสและอยู่ด้วยกันตั้งแต่ภายในครึ่งชั่วโมงหลังคลอดตามบันไดสิบขั้นสู่ความสำเร็จในการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ จะทำให้ลูกมีภาวะจิตใจที่มั่นคง อีกทั้งแม่ยังเป็นผู้วางรากฐานให้ลูกมีความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Quotient - E.Q.) วุฒิทางคุณธรรม/ศีลธรรม (Moral Quotient - M.Q.) และความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรค (Adversity Quotient - A.Q.)

นับว่าแม่เป็นคนแรกที่มีบทบาทสำคัญในชีวิต ที่วางรากฐานให้ลูกเติบโตขึ้นมาอย่างสมบูรณ์และมีคุณภาพ

การทำความสะอาดใบหน้าก่อนเข้านอน

ก่อนทำความสะอาดใบหน้าทุกคืนในเวลาก่อนเข้านอนนั้นจะเป็นวิธีที่จะช่วยให้ผิวหน้าของคุณไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควรค่ะ

1. เริ่มต้นด้วยวิธีเช็ดเครื่องเม็คอั้พที่ตาออกก่อนด้วยพัฟที่จัดหาไว้เป็ฯพิเศษเพื่อเช็ดตาโดยเฉพาะเท่านั้นนะคะหรือจะใช้ผ้าที่อ่อน

นุ่มชุบน้ำพอชื้นๆเช็ดก็ได้ค่ะ ควรเช็ดเม็กอั้พที่หนังตาอย่างเบาๆอย่างขยี้ จากนั้นก็ค่อยๆเช็ดขนตาให้สะอาด ถ้าหากปรากฎว่ายังมีร่อง

รอยสีที่เขียนขอบตาเหลืออยู่ก็ควรใช้แปรงอ่อนที่สำหรับแปรงขนตา ที่มีลักษณะคล้ายพู่กันจุ่มน้ำเช็ดรอยที่เหลือจนสะอาด

2. ให้กระดาษทิชชูวางลงบนขอบหนังตาล่างแล้วกระพริบตาถี่ๆหลายๆครั้งเพื่อที่จะเช็ดเม็คอั้พที่ติดอยู่ที่ขนตาหรือหนังตาให้หมดไป

จากนั้นใช้ทิชชูลูบไล้เช็ดเบาๆไปตามขอบหนังตา เพื่อเช็ดเม็คอั้พที่หลงเหลือให้หมดไป แต่โปรดระวังว่าต้องทำอย่างแผ่วเบาจำไว้ว่า

ผิวหนังรอบๆดวงตาของคุณไม่ควรเช็ดถูแรงๆหรือขยี้เป็นอัดขานนะคะ เพราะผิวหนังบริเวณขอบตาบอบบางมากค่ะ

3. ลำดับต่อจากการทำความสะอาดขอบตาแล้ว จึงเป็นการทำความสะอาดผิวหน้าด้วยการใช้คลีนซิ่งครีมทาไปให้ทั่วแล้วปล่อยไว้

ประมาณ 2-3 นาที จึงใช้ทิชชูเช็ดออกในระยะนี้อย่าเพิ่งทำการนวดผิวหน้า เพราะขั้นนี้เป็นการเช็ดเม็คอั้พออกเท่านั้นค่ะ

4. ขั้นนี้เป็นการใช้ครีนซิ่งครีมชะล้างเม็คอั้พที่ยังหลงเหลือติดอยู่ที่ผิวหน้าให้หมดจดยิ่งขึ้น ยกศอกทั้งสองข้างขึ้นในระดับไหล่เพื่อ

ว่าคุณจะได้เคลื่อนไหวมือได้สะดวก วางนิ้วลงบนใบหน้าแล้วเริ่มการนวดใบหน้าด้วยวิธีนวกขึ้นจากลำคอไปสู่ดวงหน้าในท่าเฉียงๆออก

นวดให้ทั่วใบหน้าและก้านคอ แต่อย่ากดหนักนะคะ

5. หลังจากนวดหน้าจนทั่วแล้ว ควรใช้พัฟอีกอันหนึ่งชุบน้ำยาล้างหน้า (สะกิน โทนิค) เช็ดล้างครีมที่ติดอยู่บนใบหน้าออกให้หมด

ในตอนนี้คุณจะพบว่าใบหน้าของคุณสดใส และอาจจะรู้สึกตึงๆเล็กน้อยเพราะมีน้ำมันที่หล่อเลี้ยงผิวหน้าถูกชำระล้างออกหมด การที่มี

คลีนซิ่งครีมหลงเหลืออยู่ที่ผิวหน้าจะทำให้เกิดอาการคันยิบๆ และมีสีแดงเป็นผืนๆ ทั้งนี้เพราะคลีนซิ่งครีมที่ยังถูกเช็ดล้างออกไม่หมดนั้น

จะยังคงทำหน้าที่ของมันอยู่ต่อไป เราจึงรู้สึกว่าผิวหน้าคันยิบๆ ดังนั้นจะต้องระวังใช้ สะกิน โทนิคเช็ดล้างออกให้หมดจริงๆค่ะ

6. เป็นขึ้นตอนสุดท้ายของการทำความสะอาดผิวหน้าในตอนกลางคืนก่อนเข้านอน ได้แก่การล้างหน้าของคุณอีกครั้งด้วยสบู่และน้ำ

สะอาดค่ะ

อย่าลืมนะคะ ก่อนการเข้านอนต้องทำความสะอาดใบหน้าทุกครั้ง เพื่อให้ผิวหน้าสะอาดและชุ่มชื่นด้วยค่ะ

การล้างผิวหน้าให้สะอาด

ก่อนจะเริ่มต้นการตบแต่งใบหน้าด้วยการรองพื้นคุณต้องชำระล้างใบหน้าของคุณให้สะอาดหมดจดจริงๆเสียก่อนนะคะ

พูดถึงการล้างหน้า เมื่อฟังเพียงผิวเผินอาจเข้าใจว่าง่ายดายไม่เห็นจะต้องมาเสียเวลาอธิบายเลย เพราะเราล้างหน้ากันมาแต่เด็กๆ

ด้วยกันทุกคนแล้ว ถ้าจะให้สะอาดหน่อยก็ใช้สบู่ฟอกให้สะอาดแล้วเช็ดให้แห้งก็เสร็จพิธี

นั่นเป็นเพียงวิธีการล้างหน้าอย่างปกติธรรมดาที่ไม่อาจจะเทียบได้กับวิธีล้างหน้าตามหลักวิชาการเสริมสวยสร้างเสน่ห์ให้แก่ใบหน้า

การล้างหน้าก่อนเสริมสวยนั้นมีหลักเกษฑ์สำคัญอยุ่ที่การเลือกใช้ครีมล้างหน้าและวิธีการล้างหน้าที่ถูกต้องดังนี้จ๊ะ

วิธีการล้างหน้าโดยการใช้ครีมล้างหน้า

เมื่อคุณได้ตกลงใจที่จะใช้ครีมล้างหน้า จงเลือกหาครีมที่เหมาะกับผิวหน้าของคุณ จะหาครีมชนิดนี้ได้ตามร้านค้าเครื่องสำอางใหญ่ๆ

ทั่วไป โดยเฉพาะถ้าคุณไปสอบถามที่ตัวแทนเครื่องสำอางแล้ว คุณจะได้รับความสะดวกและได้ครีมล้างหน้าและครีมต่างๆที่ถูกต้องกับ

ผิวหน้าของคุณ

เมื่อคุณได้ครีมล้างหน้ามาแล้ว ก่อนลงมือใช้ขอให้จำหลัก 4 ประการดังต่อไปนี้คะ

1. คุณจะต้องระลึกว่า ส่วนของใบหน้าและส่วนลำคอของคุณนั้นเป็นพื้นผิวที่ต่อเนื่อเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อคุณทาครีมที่ใบหน้า

ของคุณจะต้องทาเลยมาถึงลำคอของคุณด้วยนะจ๊ะ …. อย่าลืม เสน่ห์ของหญิงสาวอยู่ที่ลำคอด้วยและมีอิทธิพลมากที่เดียว

2. การทาครีม ต้องทาในทางขึ้นและเฉียงออกไปด้านข้างๆทั้งสอง

3. การทาอย่ากดแรงๆจะทำให้ผิวหนังถูกยึดหรือยืดออกไปได้นะจ๊ะ

4. ต้องนวดให้ทั่วเมื่อทาครีมแล้ว ระวังการนวดได้ขอบตาต้องนวดเพียงเบาๆ และระวังอย่าให้ครีมเข้าตาหากต้องการจะลอกลิปสติก

ออกจากริมฝีปาก แล้วเช็ดออกด้วยกระดาษเช็ดปากที่นุ่มไม่หยาบกระด้างค่ะ

รักษาผิวสวยด้วยวิธีง่ายๆ

การดูแลรักษาผิวบางครั้งก็อาจหาวิธีอย่างง่ายๆเป็นการสะดวก และได้ผลด้วย ลองมาดูนะคะ

1. ใช้มะขามเปียกครึ่งปั้น ใช้ทั้งซางที่เป็นเส้นๆหยาบๆหุ้มเนื้อมะขามด้วย แช่มะขามเปียกในน้ำอุ่นพอท่วม ทิ้งไว้สักครู่ให้มะขาม

อ่อนตัว จะได้น้ำมะขามข้นๆสำหรับพอกหน้าส่วนเนื้อซางใช้ขัดถูตัวเวลาอาบน้ำต่างบวบแห้ง เสร็จแล้วทิ้งหน้าและตัวไว้ราว 15 นาที ค่อย

ล้างน้ำออกลูบผิว ส่วนที่ขัดด้วยมะขามเปียก จะรู้สึกถึงความเกลี้ยงเนียมอาบน้ำเสร็จแล้วต้องใช้ครีมบำรุงความชุ่มชื้นตามทุกครั้งวิธีนี้

ทำให้ได้อาทิตย์ละไม่เกิน 3 ครั้ง

2. ใช้ไข่ขาว 1 ช้อนชา ดินสอพองเม็ดใหญ่ 2 เม็ดมะนาวครึ่งลูก น้ำผึ้ง 1 ช้อน น้ำมันมะกอกหรือเบบี้ออยล์ครึ่งช้อนชา ผสมให้เข้า

กันดี จะได้ครีมข้นสีขาวฟูฟองเพราะน้ำมะนาวทำปฏิกริยากับดินสอพอง พอกหน้าและตัวด้วยส่วนผสมนี้ ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออกการ

พอกนี้ควรทำก่อนเข้านอนไม่ควรทำแล้วออกไปตากแดด ตากลม วิธีทำได้ไม่เกินวันเว้นวัน

3. ใช้นมผงที่ชงให้เด็กดื่ม 2 ช้อนโต๊ะ น้ำอุ่นประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ มะนาวครึ่งลุก น้ำมันมะกอก หรือเบบี้ออยล์ครึ่งช้อนชา คนให้เข้า

กันจะได้นมที่ข้นมาก พอกหน้าและคอด้วยส่วนผสมนี้ทิ้งไว้ 20 นาทีและล้างออก ทำได้ไม่เกินวันเว้นวัน

4. ใช้แตงกว่าสดฝานบางๆบีบมะนาวครั่งลุกใส่ลงไป วางชิ้นแตงกว่าบนหน้า เว้นใต้ขอบตา นอนลงหลับตาสัก 20 นาที หากจะปิดตา

ด้วย ต้องแยกแตงกว่าชิ้นที่ไม่โดนน้ำมะนาวปิดเปลือกตาและใต้ขอบตา เสร็จแล้วล้างหน้าทาครีมบำรุงแล้วเข้านอนได้เลย โดยวิธีเดียว

กันนี้ จะเปลี่ยนจากแตงกวาเป็นมะเขือเทศ ส้มเขียวหวาน แตงโม มะละกอ กล้วยน้ำว้า จะได้ผลดีเช่นกัน วิธีนี้ทำได้ทุกวัน

การดูแลรักษาผิวที่ถูกวิธี

เรื่องการรักษาผิวเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้หญิงทุกวัยอยู่แล้ว อย่างเช่นการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การเลือกรับประ

ทานอาหาร และยังมีเรื่องราวอีกเยอะกและมากมายที่จะทำให้คุณสวยเก๋เท่กระปรี้กระเปร่า ไม่ว่าจะเป็นทรงผม การแต่งกาย

และการเลือกแนวสีต่างๆของเครื่องสำอางเพื่อที่จะตามแฟชั่นให้ทัน

การเลือกซื้อเครื่องประดับให้เข้ากับตัวของคุณนี่ก็สำคัญนะคะ เพื่อภาพรวมๆของคุณๆออกมาดูดี และอ่อนแก่วัยในทุกโอกาสนั้นๆ

ผู้หญิงเราต้องงามตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเลยทีเดียว เพื่อที่ว่าผู้หญิงอย่างเราก้าวทันสมัยสู่ความงดงามของชีวิตอย่างแท้จริง

วิธีดูแลผิว

สิ่งที่สำคัญที่สุดในการดูแลรักษาผิวมี 4 อย่างนะคะ

1. การทำความสะอาด เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการรักษาผิว ผิวที่ไม่ได้รับการดูแลรักษาความสะอาดก็ไม่สามารถหากใจได้ ถ้าคุณ

ดูแลรักษาความสะอาดอยู่เสมออย่างเช่น ขจัดฝุ่นเครื่องสำอาง และสิ่งสกปรกที่อุดตันรูชุมชน สิ่งเหล่านี้ช่วยป้อนกันการสะสมคั่งค้างของ

เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ควรจะเป็นโลชั่นหรือครีม ถ้าใช้สบู่ผิวคุณอาจจะแห้ง

2. การปรับสภาพผิว ถ้าคุณทำความสะอาดหน้าเสร็จแล้วควรใช้โทเนอร์ (toner) เพื่อจำกัดสิ่งที่คั่งค้างต่างๆและยังช่วยปิดรูขุมขน

แล้วทำให้ผิวหน้าคุณสะอาดอย่างแท้จริง แต่ถ้าคุณแพ้โทเนอร์คือใช้แล้วแสบหรือคัน คุณควรหันมาใช้ยาสมานผิวอ่อนๆอย่างเช่น ไมล์ค

แอสทรินเจนท์ (Mild Astingent)

3. การกำจัดส่วนที่ไม่ต้องการ ขัดหน้าก็คือส่วนหนึ่งของการกำจัดส่วนที่ไม่ต้องการ เช่น สิวเสี้ยนช่วยการไหลเวียนของโลหิต กำจัด

ฝุ่น มลพิษ สิ่งสกปรกที่ทับถมอุดตันรูขุมขน และน้ำมันส่วนเกิน ผลิตภัณฑ์จำกัดเอ็กโฟเลียเตอร์ (Exfoliafors) มีทั้งในรูปโลชั่น สาร

สำหรับขัดหรือสครับ(Scrubs) แบบอ่อนๆ

4. การใช้ความชุ่มชื้นแก่ผิว มอยเจอไรเซอร์เป็นสิ่งที่ดีที่สุด และจำเป็นที่สุดสำหรับผู้หญิง โดยให้ความชุ่มชื้นของผิว ปกป้องผิวให้

พ้นจากผลเสียต่างๆมอยเจอไรเซอร์(MoistuRise) มีทั้งส่วนผสมสารกันแดดบางชนิดสำหรับผิวแห้ง โดยเฉพาะลักษณะจะหนาและข้นจะ

ป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื้นเป็นพิเศษ ใช้แล้วจะไม่เหนียวเหนอะหนะ ถ้าคุณพบแบบนี้คุณควรจะเลือกให้เข้ากับผิวคุณมอยเจอไร

เซอร์ ถ้าคุณทาแล้วควรทิ้งไว้สัก 20 นาทีก่อนทางครีมรองพื้น

การล้างเครื่องสำอางที่ถูกต้อง

1. ทาครีมทำความสะอาดให้ทั่วผิวหน้า

2. ใช้สำลีแผ่นสำหรับเช็ดรองดวงตา

3. ทำความสะอาดรอบดวงตาอีกครั้ง โดยใช้สำลีพันปลายไม้โดยเฉพาะใต้ขอบตา

4. ใช้ผลิตภัณฑ์ลอกหน้า ทำอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้งจะช่วยให้กระชับตึงยิ่งขึ้นและทำให้ผิวอ่อนนุ่ม

5. เมื่อคุณใช้ครีมลอกหน้า หรือทำความสะอาดหน้าแล้วคุณควรใช้สำลีจุ่มโทเนอร์เช็ดเบาๆ การปรับสภาพผิวเป็นอีกขึ้นตอนหนึ่ง

ที่ทำความสะอาดิวหน้าให้สะอาดยิ่งขึ้น

6. มอยส์เจอไรเซอร์ สามจุดบริเวณแก้มและหน้าฝาก แล้วเกลี่ยให้เท่ากัน โดยใช้นิ้วนวดเป็นวงกลม

เท่านี้คุณก็มีใบหน้าที่สะอาด และดูอ่อนวัยเสมอ เพราะคุณดูแลอย่างถูกวิธีงัยละคะ

หลากข้อสำหรับผิวหน้า

การบำรุงรักษาผิวหน้า ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นกิจกรรมสำหรับผู้หญิงเสมอไป ผู้ชายก็มีสิทธิ์จะถนอมใบหน้าได้เช่นกัน

คุณๆเคยปฏิบัติอย่างไรกับผิวหน้าบ้างคะ เคยนวดหน้าแรงๆกันบ้างหรือเปล่า ที่มีคนเคยพูดว่า การนวดหน้าแรงๆจะช่วยป้องกันไม่

ให้หน้าแก่เร็วนั้น เป็นความเชื่อที่ผิดมากค่ะ นอกจากจะไม่ช่วยชลอความแก่แล้ว มิหนำซ้ำยังให้ผลที่ตรงกันข้ามอีกด้วย คือ ทำให้แก่

เร็วขึ้นเพราะการนวดหน้าแรงๆเป็นการกระตุ้นผิวหนังยืดและหดเร็วๆแรงๆ ทำให้เส้นใยของผิวหนังที่เชื่อมกันอยู่นั้นแกไป นอกจาก

นี้การใช้ครีมล้างหน้า โลชั่น หรือน้ำยาสมานผิวที่แรงเกินไป รวมทั้งการใช้สบู่ที่มีกรดแรงๆล้วนเป็นอันตรายต่อผิวหน้าทั้งสิ้น

การถนอมใบหน้าด้วยวิธีที่ถูกต้อง

1. บริหารกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าให้แข็งแรง

2. ควรทำความสะอาดใบหน้าด้วยสบู่ไม่มีกรด

3. ผู้ที่มีผิวหน้าแห้งอยู่แล้ว อย่าใช้แป้งแต่งหน้าจนหนา เพราะแป้งจะอุดรูขุมขนทำให้หน้าแห้งมากขึ้นอีกค่ะ

4. ปากแห้งเป็นขุยจนทาลิปสติกไม่เรียบ วิธีแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าคือ ทาลิปมันให้หนาเข้าไว้คือทาหายๆครั้ง และตบบางๆด้วย

แป้งแบบมีผสมรองพื้นในตัว จากนั้นใช้พู่กันแต้มลิปสติกแล้วค่อยๆ เขียนให้ทั่วริมฝีปาก ขุนเหล่านั้นจะถูกลบจนมองไม่เห็น ผิดกับ

การทาลิปสติกจากแท่งโดยตรงลิบลับ

5. นอนมากจนตาบวม แถมที่แก้มยังมีรอยยับของปลอกหมอนหรือที่นอนประทับอยู่อีก มีวิธีแก้ง่ายๆค่ะคือใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กๆ

(ที่สะอาด) ชุบน้ำอุ่นจัดๆบิดให้แห้งพอหมาดๆแล้วประคบไว้ตรงรอยดังกล่าวสัก 5-10 นาทีจากนั้นใช้โลชั่นสำหรับการกระชับผิวหน้า

โดยใช้ฟองน้ำหรือพัฟชุบน้ำทำสลับกันสัก 2-3 ครั้ง รอยนั้นก็จะหายไปค่ะ

6. คุณควรล้างตาทุกๆคืน การล้างตาช่วยให้ผิวหนังตาอ่อนนุ่มขึ้น

7. ไม่มีประโยชน์ที่จะทำความสะอาดอุปกรณ์แต่งหน้า เข้าใจผิดแล้วล่ะค่ะ เพราะหลังจากการใช้ทุกครั้ง สิ่งที่ควรล้างเป็นประจำคือ

แปรงมาสคาร่า ฟองน้ำเช็ดหน้า พู่กันบลัชออน แปรงระบายหนังตา สิ่งเหล่านี้ต้องนำมาใส่อ่างพิเศษ ซึ่งมีน้ำยาฆ่าเชื้อโรคผสมน้ำอุ่น

และสบู่เพื่อทำความสะอาด

8. ควรทาแป้งบริเวณริมฝีปากก่อนทาปาก เพื่อให้สีทาปากติดแน่นอยู่นาน ก่อนอื่นเขียนขอบปากด้วยดินสอเขียนปาก ใช้พู่กัน

ระบายสีที่ปากให้ทั่วริมฝีปากเป็นครั้งที่หนึ่ง ซับด้วยกระดาษเช็ดหน้า ระบายสีที่ปากเป็นครั้งที่สอง เพื่อจะให้ยิ้มของคุณสดใส ควรทาน้ำ

มันเคลือบปากลงไปตรงกลางริมฝีปาก

9. อาหารสำหรับผิวหน้า คือเรื่อกินอะไรให้หน้าสวย คำตอบคือ กินวิตามินและเกลือแร่ให้เพียงพอ โดยเฉพาะวิตามินเอ,ดี,อี,บี,

คอมเพล็กซ์ และสังกะสี วิตามินเอจะช่วนสะสมอยู่ในไขมันใต้ผิวหนังของใบหน้า ทำให้ใบหน้าเต่งตึงและใส นอกจากนี้กรดเพนโทเธนิก

ซึ่งมีในนม ยีสต์ ตับและรำข้าวจะช่วยให้ไม่มีรอยย่นอยู่บนใบหน้า สำหรับเนื้อเยื่ออ่อนรอบๆตา ถ้าโลหิตของเรามีสีคล้ำฉะนั้นต้องกิน

อาหารที่ทำให้เกิดด่างเช่น ผลไม้เปรี้ยว ผักสีเหลือง(แครอท ฟักทอง ฯลฯ) หรือดื่มน้ำส้มสดๆเป็นต้น การกินอาหารนี้ต้องใช้เวลาประมาณ

1 เดือนขึ้นไป จึงจะเห็นผล

นายชัยวิชิต อิ่นแก้ว(5001023035 ฟาร์อีสเทอร์น)

มีข้อดีของการออกกำลังกายมาบอก...

1. ช่วยชะลอความเสื่อมของสมอง

สมองก็เหมือนกับอวัยวะส่วนอื่น ๆ ที่มีการเสื่อมลงตามวัย แต่การออกกำลังกายช่วยชะลอความเสื่อมของสมองได้ ทำให้สามารถคิดและจดจำได้ดีกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกายนอกจากนี้การออกกำลังเป็นประจำ ยังทำให้ดูกระฉับกระเฉง มีสมาธิในการเรียนรู้ได้ดีกว่า

2. ทำให้กระดูกแข็งแรงหนาขึ้น

การกินแคลเซียมเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ช่วยให้กระดูกแข็งแรงขึ้น ควรอออกกำลังกายควบคู่ไปกับการกินอาหารที่มีแคลเซียมสูง

3. ทำให้ผิวสวย

การออกกำลังกายจะช่วยนำออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายได้มากขึ้น ยิ่งร่างกายได้รับออกซิเจนมากขึ้นเพียงใด ก็จะยิ่งช่วยต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระได้มากขึ้นเท่านั้น จึงช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้ ทำให้ผิวพรรณสดใสขึ้น

4. ลดความเครียด

การออกกำลังกาย ช่วยลดความวิตกกังวล ผ่อนคลายความเครียดได้ เนื่องจากในระหว่างการออกกำลังกาย ร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟินส์หรือสารแห่งความสุข ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น นอกจากนี้การที่ร่างกายได้เคลื่อนไหว จิตใจก็ได้เคลื่อนไหวไปด้วย ทำให้ไม่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องที่กังวลอยู่ ส่วนการออกกำลังกายแต่ละชนิด มีผลต่อสมองต่างกันการออกกำลังกายชนิดที่เกี่ยวข้องกับการทำสมาธิ เช่น โยคะ หรือไทเก๊ก จะช่วยผ่อนคลายความเครียดในสมองได้มากกว่า การออกกำลังกายประเภทที่ต้องออกแรงมาก ๆ

5. ช่วยผ่อนคลายภาวะการปวดประจำเดือน

วิธีธรรมชาติที่ช่วยรักษาอาการปวดท้องเมนได้ดีที่สุด คือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง ว่ายน้ำ หรือแอโรบิค ถ้าไม่มีเวลาก็ออกกำลังง่าย ๆ ด้วย การซิท-อัพตอนเช้าก็ได้ ยิ่งใกล้รอบเดือน ก็ยิ่งควรซิท-อัพไว้ล่วงหน้า เพราะจะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้นและช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณมดลูกมีความยืดหยุ่นทำงานได้ดีขึ้น

6. ลดอาการท้องผูก

การออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินเร็ว ๆ การวิ่งเหยาะ การว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้ระบบขับถ่ายได้ระบายของเสียและสารพิษออกจากร่างกาย

มากขึ้น

7. ทำให้หลับง่ายขึ้น

การออกกำลังกายในช่วงเย็น ช่วยให้หลับได้ง่ายขึ้น เนื่องจากการออกกำลังกายมีผลโดยตรงกับระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย

8. ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้กล้ามเนื้อแต่ละส่วนแข็งแรง ทำให้หุ่นกระชับสมส่วน

ประโยชน์ของเบบี้ออยล์

ประโยชน์ของเบบี้ออยส์ 1 ขวด สามารถทำอะไรได้มากมาย เช่น

1. บำรุงผิวกายเมื่ออากาศร้อนหรือสำหรับผู้ที่ผิวแห้งมาก เบบี้ออยล์อาจจะเหนอะหนะบ้าง แต่เบบี้ออยล์จะให้ปริมาณของน้ำมันที่

มากกว่าทาเวลากลางคืนคงไม่เป็นปัญหาอะไร

2. ล้างเครื่องสำอางเบบี้ออยล์สามารถใชเช็ดเครื่องสำอางประเภทที่เป็นครีมอย่างมาสคาร่าได้ และในเวลาเดียวกัน เบบี้ออยล์ ก็จะ

เพิ่มน้ำมันไปในตัวด้วย

3. บำรุงริมฝีปากเมื่อริมฝีปากแห้งแตก สามารถใช้เบบี้ออยล์ทาและนวดเบา ๆ ทั่วริมฝีปากได้ จากนั้นใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นจัด

ประคบสักครู่ ริมฝีปากของคุณก็จะชุ่มชื้นขึ้น

4. ปกป้องผิวหลังถูกแดดเผาทาเบบี้ออยล์ทั่วร่างกายหลังจากที่ไปเที่ยวทะเลและถูกแดดเผา น้ำทะเลกัดมา หรือทาเพียงบริเวณที่

โดนแดดจัด ๆ หลังจากกลับจากเที่ยว เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวและกันการลอกของผิวหนังด้วย

5. บำรุงเล็บมือเล็บเท้าปัญหาส่วนใหญ่จะเป็นเล็บมือ เพราะเราจะทาเล็บและล้างสิ่งของ ทำให้โดนน้ำบ่อย ๆ หลังจากล้างยาทาเล็บ

ออกจนเกลี้ยงแล้ว ล้างมือด้วยสบู่ แล้วจึงใช้เบบี้ออยล์นวดเบา ๆ บนเล็บ จะทำให้เล็บมีสุขภาพดีตลอดเวลา

6. ป้องกันผิวแห้งกร้านบริเวณข้อศอก หัวเข่า และส้นเท้าหากบริเวณดังกล่าวแห้งกร้านและหยาบกระด้างมาก ๆ บางทีเบบี้ครีมอาจ

จะยังไม่เพียงพอ จึงควรใช้เบบี้ออยล์ทาหลังอาบน้ำ หรือหลังการขจัดขนส่วนเกินออกก็ควรทาเบบี้ออยล์บาง ๆ เพื่อกันผิวแห้ง

กร้าน

7. บำรุงเส้นผมก่อนสระผม นวดด้วยเบบี้ออยล์ให้ทั่วหนังศีรษะและเมื่อสระผมล้างน้ำเปล่าแล้ว ก่อนเช็ดผมให้แห้งใช้เบบี้ออยล์ลูบ

เรือนผมโดยเฉพาะปลาย เพื่อให้เรือนผมนุ่มเป็นประกาย ป้องกันผมแตกปลายด้วย

เรื่องของผักกับผิว

ผักมีประโยชน์กับร่างกายของคนเราทุกส่วน คนเราจึงต้องขยันกินผักให้มาก ๆ แต่ผักบางชนิดไม่ต้องกิน แค่โปะบน

ผิวก็มีประโยชน์แล้วค่ะ

ผิวมันกับกะหล่ำปลี

กระหล่ำปลีจะมีสารคารอทินและวิตามินซี ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย คนที่มีผิวมันและเป็นสิวง่ายแสดงว่าส่วนบนของผิวมีการ

หมักหมมของเซลล์เก่า ๆ ทำให้ใบหน้าสกปรกได้ง่าย ในกระหล่ำปลีจะมีสารที่ดูดสิ่งสกปรกนี้ออกไปได้ และผิวพรรณก็จะสร้างเซลล์

ใหม่ได้อย่างราบรื่น โดยไม่มีสิ่งอุดตัน

1. เลือกกระหล่ำปลีใบใหญ่ ๆ 2 ใบ ล้างให้สะอาด ซับน้ำออกให้แห้ง แล้วตัดก้านแข็ง ๆ ทิ้ง

2. เอากระหล่ำปลีวางบนแก้มข้างละใบ ทิ้งไว้ราวครึ่งชั่วโมง ทำสองครั้ง เช้า - เย็น

3. ครึ่งชั่วโมงผ่านไป เอาใบกระหล่ำมาบดให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำ และนำน้ำที่ได้จากใบกระหล่ำปลีมาทาแก้มแทนโลชั่น

ผิวหยาบกับมะเขือเทศ

ในมะเขือเทศมีวิตามินเออยู่มาก ทานมะเขือเทศแล้วจะทำให้ผิวสวย ส่วนคนที่มีผิวหยาบ มะเขือเทศก็ช่วยให้ผิวนุ่มเนียนได้

1. เลือกมะเขือเทศขนาดพอเหมาะมาครึ่งลูก ปอกเปลือกออกเหลือไว้แต่เนื้อ ใช้ส้อมบี้ให้ละเอียดผสมกับโยเกิร์ตอย่าให้เหลวมาก

2. ผสมให้เข้ากันจนเหนียวพอที่จะพอกหน้าได้ ก่อนพอกหน้าควรล้างหน้าให้สะอาดเสียก่อน แล้วพอกทิ้งไว้ 15 นาที แต่ถ้าไม่ถึง

แล้วแต่เริ่มแห้งก็สามารถล้างออกได้ โดยใช้น้ำสะอาดทำเป็นประจำ จะทำให้ผิวพรรณไม่หยาบกร้านแถมนุ่มเนียนน่ามองด้วยค่ะ

หัวหอมพิชิตกระและฝ้า

คนที่เป็นสิว ให้ทานหอมหัวใหญ่มาก ๆ เพราะในหัวหอมมีวิตามินซี และ บี อยู่เยอะมาก และหอมหัวใหญ่ยังช่วยให้ฝ้าและกระจาง

หายลงได้ แต่จะต้องทำด้วยความสะอาดทุกขั้นตอน

1. สับหอมหัวใหญ่ ๆ 1 หัวให้ละเอียด และบดให้เละ

2. แช่หอมที่เละนั้นในเหล้าไวน์นาน 8 วัน ใส่ไว้ในตู้เย็น หาพลาสติกหุ้มให้มิดชิด

3. เมื่อครบ 8 วันแล้ว ให้กรองเอาแต่น้ำด้วยผ้าขาวบาง น้ำที่ได้คือโลชั่นเก็บไว้ในขวดที่สะอาด แล้วใช้ให้หมดโดยเร็ว ถ้ามีเหลือ

ให้เก็บไว้ในตู้เย็น

นายชัยวิชิต อิ่นแก้ว(5001023035 ฟาร์อีสเทอร์น)

หากคุณเคยรับประทานอาหารนอกบ้าน แล้วมีอาการชาตามมือ และร้อนวูบวาบที่ปาก ลิ้น ใบหน้า และรู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก บางครั้งอาจมีผื่นแดงขึ้นตามตัว อาการเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันดีในนาม

โรคภัตตาคารจีน (Chinese Restaurant Syndrome) หรือโรคแพ้ผงชูรส

ซึ่งนอกจากจะมีอาการข้างต้นแล้ว หากคุณรับประทานอาหารที่มีปริมาณผงชูรสมากๆ เป็นประจำย่อมเกิดอันตรายต่อสุขภาพของตัวคุณได้ ดังนี้

1. ทำลายระบบประสาทตา สายตาเสียหรือเกิดตาบอดได้

2. ทำลายกระดูกและไขกระดูก ซึ่งผลิตเม็ดเลือดแดงในร่างกาย อาจทำให้เกิดโรคโลหิตจางได้

3. ทำให้วิตามินในร่างกายลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินบี6 ทำให้เป็นโรคผิวหนังได้ง่าย

4. ทำลายสมองส่วนหน้าหรือไฮโปทาลามัส ทำให้การเจริญเติบโตช้า ปัญญาอ่อน และเป็นหมัน

5. ทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เป็นโรคประสาทได้ง่ายขึ้น

6. สำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์ ถ้ากินผงชูรสมากๆ จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครโมโซมของทารกในครรภ์ ทำให้ร่างกายของเด็กเกิดความผิดปกติ ปากแหว่ง แขนขาพิการได้

ก่อนสั่งอาหารมื้อหน้าอย่าลืมระบุ อาหารที่ไม่ใส่ผงชูรส หรือทางที่ดีลองทำน้ำซุปแบบชีวจิตไว้ช่วยปรุงรสชาติแทนผงชูรสได้ อย่างน้ำซุปแครอท ฟักเขียว เป็นต้น

วิธีดูแลให้ใบหน้าอ่อนเยาว์

การถนอมใบหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ ไม่ใช่เพียงแค่การบำรุงด้วยผลิตภัณฑ์ชั้นเลิศเท่านั้น การบริหารหน้าบ่อยๆก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้คุณดูอ่อนวัย สดใสอยู่เสมอ ซึ่งการนวดหน้าด้วยตัวเองดังต่อไปนี้เป็นการช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อและระบบประสาทบนใบหน้าทำให้คุณรู้สึกปลอดโปร่ง สดชื่น ทำบ่อยๆยังเป็นการช่วยถนอมสายตาอีกด้วย

การเตรียมตัวไม่มีอะไรยุ่งยาก ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใดๆเพียงตัดเล็บให้สั้น ถอดเครื่องประดับ เช่น แหวน นาฬิกา สร้อยคอ ต่างหู ออกให้หมด เพื่อป้องกันการขีดข่วน ที่สำคัญที่สุด อย่าลืมล้างมือและหน้าให้สะอาดหลังจากนั้นแล้วเริ่มได้เลยค่ะ

ท่าที่ 1 เสยผม

ใช้นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง กดขอบกระบอกตาด้านบนให้แน่น ทำทั้งสองข้างซ้ายขวาพร้อมๆกัน ค่อยๆดันนิ้วทั้ง 3 นิ้วเลื่อนเสยขึ้นบนศีรษะจนถึงท้ายทอย ทำซ้ำ 15 ครั้ง

ท่าที่ 2 ทาแป้ง

ใช้นิ้วกลางทั้งสองข้างกดที่หัวตาให้แน่น ดันนิ้วขึ้นไปถึงหน้าผาก ใช้นิ้วแตะหน้าผาก ใช้ปลายนิ้วทั้งสองข้างจรดกัน แล้วลูบไปข้างแก้ม ลากมือลงมาจบที่คาง ทำซ้ำ 15 ครั้ง

ท่าที่ 3 เช็ดปาก

ใช้ฝ่ามือขวาทาบบนปาก กดให้แน่น เลื่อนมือไปด้านขวาจนจรดข้างแก้ม เปลี่ยนใช้มือซ้ายทำเช่นเดียวกัน ทำสลับซ้ายขวาข้างละ 10 ครั้ง

ท่าที่ 4 เช็ดคาง

ใช้หลังมือขวาทาบใต้คาง แล้วลากมือจากซ้ายไปขวา ให้หลังมือกดกับคางให้แน่นเปลี่ยนใช้ข้างซ้าย ทำเช่นเดียวกัน ทำสลับซ้ายขวาข้างละ 10 ครั้ง

ท่าที่ 5 กดใต้คาง

ใช้นิ้วโป้งทั้งสองข้างกดใต้คาง ใช้แรงกดค้างไว้ 10 วินาที เลื่อนจุดที่กดให้ทั่วใต้คางประมาณ 5-6 จุด

ท่าที่ 6 ถูหน้าและหลังหู

ใช้นิ้วกลางและนิ้วชี้แต่ละข้างคีบหูไว้หลวมๆวางมือให้แนบสนิทกับแก้ม ถูขึ้นลงแรงๆ ทำซ้ำ 20 ครั้ง

ท่าที่ 7 ตบท้ายทอย

ใช้ฝ่ามือปิดหู มือซ้ายปิดหูซ้าย มือขวาปิดหูขวา ใช้ปลายนิ้วจรดกันที่ท้ายทอย กระดกนิ้วขึ้นให้มากที่สุด ตบลงพร้อมกันที่ท้ายทอยด้วยความแรงพอประมาณ ตบ 20 ครั้ง เป็นอันจบการบริหารหน้า ซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกสดชื่น ตื่นตัวทันทีที่ทำเสร็จ

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

โยเกิตทำเอง เพื่อสุขภาพที่ดี

โยเกิตนอกจากจะเป็นอาหารลดน้ำหนักยอดฮิตของหญิงสาวแล้ว โยเกิตยังเป็นอาหารคุณภาพเยี่ยมที่อุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัส ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง มีโปรตีน วิตามินบี 2 และบี 12 ที่ช่วยสร้างเม็ดเลือดและบำรุงระบบประสาท แต่เนื่องจากโยเกิตที่ขายตามท้องตลาดทั่วไปมักผสมน้ำตาล น้ำเชื่อมผลไม้ ซึ่งหากร่างกายไม่สามารถเผาผลาญได้หมดก็จะกลายเป็นแคลอรีให้สาวๆต้องปวดใจ (กับไขมันที่เพิ่มขึ้น) เพราะฉะนั้นมาทำโยเกิตเพื่อสุขภาพด้วยตัวเองแบบง่ายๆดีกว่าค่ะ

ส่วนผสม :

นมสดหรือนมพร่องมันเนย 2 ลิตร, โยเกิตสำเร็จรูปรสธรรมชาติ 1 ถ้วย

วิธีทำ :

1. เทนมใส่ภาชนะแก้วหรือเซรามิก นำไปตั้งไฟ พออุ่นยกลง

2. นำโยเกิตที่เตรียมไว้ผสมลงไปคนให้ละลายทั่วกัน ตักแบ่งใส่ถ้วยแล้วปิดฝาให้สนิท

3. นำไปวางเรียงในกระติกน้ำแข็งหรือกล่องโฟมใบใหญ่ ปิดฝาให้สนิท ตั้งทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องปกติประมาณ 8 ชั่วโมง

แล้วคุณจะได้โยเกิตแช่เย็นเก็บไว้รับประทานได้นาน 7 วันทีเดียวค่ะ

พีระพงษ์ ศรีพลวารี ภาคคำ 51324546

อายุกับสุขภาพ

อายุกับสุขภาพ

เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน มีโอกาสไปพบเพื่อนนักเรียนที่เคยร่ำเรียนกันมา เรียนด้วยกันมากว่า 50 ปีก่อน เป็นนักเรียนประจำอยู่ที่ต่างจังหวัด พวกเรานักเรียนประจำมาจากทั่วสารทิศ ร้อยพ่อพันแม่ ส่วนใหญ่เป็นเด็กเกเร ตามที่เขาว่ากล่าวพวกเรากัน อย่างไรก็ตาม พวกเราอยู่กันอย่างมีความสุข ไม่ว่าจะมาจากครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย หรือมีพ่อแม่เป็นเจ้าใหญ่นายโต พวกเราก็มีความเสมอภาค ไม่ต่างกัน และรักกัน เนื่องจากกินนอน เรียน และเล่นกีฬามาด้วยกัน มีสุขภาพจิต และกายอย่างดีเยี่ยม มีเรื่องทะเลาะกันบ้างตามประสารเด็ก ๆ ก็แก้ไขกันได้ บางครั้งถึงต้องนัดชกต่อยกันก็ตาม หลังจากนั้นก็ดีกัน ช่างเป็นเวลาที่พวกเราไม่อาจลืมได้เลย

แล้วพวกเราก็ต้องจากกัน ไปตามวิถีชิตของแต่ละคน ต่างก็มีสถานะภาพที่แตกต่างกันไป แล้วแต่ การฟูมฟักของพ่อแม่ ส่งเสียให้การศึกษาที่สูงเลิศขึ้นไป หรือแล้วการต่อสู้ดิ้นรนของแต่ละคนไป อย่างไรก็ตามรุ่นที่เรียนด้วยกันมา ก็ออกมาไม่อายใครกัน เป็นข้าราชการชั้นสูงก็มีมากหลาย คนหนึ่งเป็นถึงทูตประจำที่สหประชาชาติทีเดียว เป็นนายแพทย์ที่อุทิศกับอาชีพ คนไข้ ก็หลายคน เป็นพ่อค้า นักธุรกิจ และอื่น ๆ

เมื่อได้พบหน้ากัน ก็ต้องปลงกันถึงสังขารที่ร่วงโรยไปตามกาลเวลา ถึงแม้ว่าทุกคนจะมีสุขภาพจิตที่ดี รื่นเริง และมีความสุขที่ได้มาพบปะกันเป็นประจำ ทุกวันพฤหัสบดี แต่หลายคนก็ต้องมียาติดตัว และมีสุขภาพที่ไม่ดีเท่าไรนัก เมื่อเทียบกับเพื่อนของผมคนหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันอายุ 90 ปีแล้ว ยังแข็งแรง อีกทั้งก็ทั้งมีสมองที่ยังแจ่มใส คิดอ่านฉับไว ดีกว่ากลุ่มพวกเราเสียอีก

ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เนื่องจากการดูแลรักษาสุขภาพ ที่ต้องให้การเอาใจใส่กับการกิน และต้องออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ

จึงได้ข้อคิดว่า เมื่อเรามีอายุมากขึ้น จะต้องอยู่อย่างมีคุณภาพ ไม่เจ็บไม่ป่วยที่จะเป็นภาระให้กับคนรอบข้าง และจะทำได้ ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง

สิริยาพรรณ โลแก้ว (ภาคคำ) 51324522 เลขที่46

นานนับปีที่เราพยายามทำความเข้าใจร่วมกันว่า กระบวนการร่วมรัก ต้องได้รับความร่วมมือและทุ่มเทจากทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย เหนือสิ่งอื่นใด ต้องถูกขับเคลื่อนด้วยความรัก หรือหากการมีความสัมพันธ์ทางเพศต่อกันไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่ยาวไกลถึงการร่วมชีวิต ร่วมรับผิดชอบต่อกันในทุกมิติ ก็ขอให้บอกต่อกันเสียตั้งแต่ต้น รู้วิธีเสพสุขอย่างปลอดภัย และแยกย้ายกันไปด้วยความปลอดโปร่ง

Sex เป็นกระบวนการที่ต้องใช้ “คนคู่” เป็นตัวตั้ง จะใช้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นใหญ่ไม่ได้ แต่ผู้ชายส่วนใหญ่ก็มีแนวโน้มที่จะใช้ตัวเองเป็นตัวตั้ง เขาจึงคิดระแวดระวังแค่ความสุขของเขา นั่นเป็นเหตุให้เกิดความเข้าใจผิดยอดฮิต ที่ต่อให้ความรู้เรื่องเพศศาสตร์ก้าวไกลไปถึงไหนก็ตาม ผู้ชายจำนวนนั้นก็ไม่อาจก้าวพ้นคำถามเหล่านี้

1. มีกิจกรรมทางเพศบ่อย น้ำกามจะหมด

วิธีคิดเช่นนี้สะท้อนการห่วงตัวเองอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม โปรดทราบไว้ว่า น้ำกามประกอบด้วยตัวอสุจิ ซึ่งผลิตจากลูกอัณฑะ และน้ำหล่อเลี้ยงอสุจิ ซึ่งผลิตจากท่อและต่อมต่างๆ ที่อยู่ในทางผ่านของตัวอสุจิมาสู่ภายนอก เมื่ออายุมากขึ้น อวัยวะดังกล่าวก็จะเสื่อมลง ทำให้น้ำกามจางลง และมีจำนวนน้อยลง ยิ่งกว่านั้นเมื่ออายุมากขึ้นฮอร์โมนเพศก็ลดน้อยลงด้วย ทำให้ความต้องการทางเพศและการตอบสนองทางเพศลดลง รวมทั้งความสามารถในการหลั่งน้ำกามจะน้อยลงด้วย คืออวัยวะเพศของชายสูงอายุอาจแข็งตัว แต่ไม่สามารถหลั่งน้ำกามได้ ดังนั้นด้วยปัจจัยหลายประการดังที่กล่าว จึงทำให้คนทั่วไปคิดว่า ผู้ชายแต่ละคนมีจำนวนน้ำกามจำกัด หรือหากช่วยตัวเองบ่อยๆ หรือมีกิจกรรมทางเพศบ่อย ก็จะหมดความสามารถในการหลั่งน้ำกามเร็ว ซึ่งไม่เป็นความจริง ตรงกันข้ามกลับพบว่าทั้งชายและหญิงที่มีกิจกรรมทางเพศบ่อย จะสามารถรักษาความสามารถทางเพศไว้ได้นานกว่าคนที่ไม่ค่อยมีกิจกรรมทางเพศ ฉะนั้นโปรดระวังเรื่องอายุกับสุขภาพไว้ดีกว่า

2. การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองเป็นสิ่งผิดปกติ และจะทำลายสุขภาพ

ในทางเพศศาสตร์ การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาทางบุคลิกภาพของคนเรา และเป็นสิ่งปกติถ้ากระทำโดยพอเหมาะพอควร ไม่หมกมุ่นจนเกินไป และสามารถยับยั้งใจได้เมื่ออยู่ในสภาวะที่ไม่สมควรกระทำ

ในสมัยก่อนเชื่อว่าการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองจะทำให้ผู้ชายเจ็บปวดทางร่างกายหรือจิตใจเช่นเป็นกามตายด้าน เป็นบ้า หรือปัญญาเสื่อม แต่ก็พบว่าคนส่วนใหญ่ที่เคยสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองยังมีความสัมพันธ์ทางเพศเป็นอย่างดีกับเพศตรงข้ามโดยไม่เกิดปัญหาดังกล่าวเลย ตรงกันข้ามมีผู้เชื่อว่าวัยรุ่นชายที่ไม่สำเร็จความใคร่ด้วยตนเองน่าจะมีปัญหาทางจิตใจและปัญหาทางเพศเสียด้วยซ้ำ

3. อวัยวะเพศชายที่ใหญ่ทำให้หญิงมีความสุขทางเพศได้มากกว่าอวัยวะเพศชายที่เล็ก

บางคนเชื่อว่าขนาดของอวัยวะเพศชายที่ใหญ่จะทำให้ผู้หญิงมีความสุข ซึ่งอาจเนื่องจากอวัยวะเพศชายที่ใหญ่อาจะทำให้ผู้หญิงเกิดความตื่นเต้นที่ได้เห็น หรือเป็นความรู้สึกว่าอวัยวะเพศชายที่ใหญ่แสดงถึงความเป็นชายจึงทำให้เธอมีความสุข ยิ่งกว่านั้นอวัยวะเพศชายที่ใหญ่ขณะแข็งตัวอาจทำให้เกิดแรงกดในช่องคลอดได้มาก อันที่จริงอวัยวะเพศชายที่ยาวบางครั้งขณะร่วมรัก อาจถูกที่ปากมดลูก ทำให้ผู้หญิงเจ็บและหมดอารมณ์ได้เหมือนกัน นอกจากนั้นช่องคลอดของผู้หญิงยังยืดหยุ่นให้พอเหมาะกับอวัยวะเพศชายขนาดต่างๆ ได้ เมื่อมีอารมณ์ทางเพศส่วนของช่องคลอดจะรัดอวัยวะเพศชายไว้ จึงเกิดการเสียดสีระหว่างอวัยวะเพศชายกับช่องคลอดได้ ดังนั้นขนาดของอวัยวะเพศชายจึงไม่ค่อยมีผลต่อความสุขทางเพศที่แท้จริงเท่าใดนัก

4. การทำหมันจะทำให้ความต้องการทางเพศของหญิงและชายลดน้อยลง

จากการศึกษาหญิงและชายได้รับการทำหมันพบว่า ความต้องการทางเพศและสมรรถภาพทางเพศของคนส่วนใหญ่ไม่เปลี่ยนแปลง ปัญหาทางเพศที่เกิดกับคนบางคนนั้น มักมีสาเหตุมาจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการทำหมัน หรือจากปัญหาทางอารมณ์ที่มีอยู่ก่อนหรือที่เกิดขึ้นภายหลังจากทำหมันแล้วมากกว่า ผู้ที่ทำหมันแล้วอย่าได้วิตกกังวลไปเลยครับ โปรดรู้ว่านั่นจะทำให้การร่วมเพศมีความสุขยิ่งขึ้นด้วย เพราะไม่ต้องพะวงว่าจะหลั่งยังไง ข้างนอกหรือข้างใน และจะปลอดภัยไหม (หว่า?)

5. การที่เยื่อพรหมจรรย์ฉีกขาดแล้ว หมายความว่าหญิงนั้นไม่บริสุทธิ์

โดยปกติเยื่อพรหมจรรย์ของสตรีจะฉีกขาดเมื่อมีการร่วมเพศครั้งแรก แต่เยื่อนี้อาจฉีกขาดได้จากการเล่นกีฬา หรืออกกำลังกายแรงๆ เช่น การวิ่ง การขี่ม้า ฯลฯ หรือจากการตรวจภายในของแพทย์ เพราะฉะนั้นการที่เยื่อพรหมจารีย์ขาดมาก่อนจะมีอะไรๆ กัน จึงไม่ได้หมายความว่าหญิงนั้นไม่บริสุทธิ์

6. การร่วมเพศกับหญิงพรหมจรรย์จะทำให้ผู้ชายมีพละกำลัง

คนที่มีสุขภาพแข็งแรงและจิตใจสบายมักจะมีความตื่นตัวทางเพศดี และในทางกลับกัน คนที่มีความตื่นเต้นทางเพศก็จะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและแข็งขันขึ้น อย่างไรก็ตามการร่วมเพศกับหญิงพรหมจรรย์หรือหญิงที่เคยผ่านประสบการณ์ทางเพศแล้ว ไม่มีผลในทางพละกำลังแก่ผู้ชาย แม้ว่าการร่วมเพศกับหญิงพรหมจรรย์บางครั้งอาจทำให้รู้สึกตื่นเต้นมากกว่าการร่วมเพศกับหญิงที่เคยมีคู่แล้ว หรือหญิงที่อยู่ด้วยกันมานานก็ตาม

ความเข้าใจผิดทั้งหมดนี้ ส่วนมากเป็นเรื่องของทัศนคติที่ไม่ถูกต้องนะครับ หากเปลี่ยนแปลงได้ หาความรู้ใหม่ ปรับความเข้าใจใหม่ ชีวิตในก้าวถัดไปก็คงปลอดโปร่งขึ้น ถูกต้องขึ้น และยุติธรรมขึ้นสำหรับทั้งสองฝ่ายในวงแขนของความรัก!!

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์อีส เลขที่ 2

10 วิธี ลดแคลอรีส่วนเกิน

ในแต่ละวิธีต่อไปนี้จะทำให้สาวๆ ลดปริมาณแคลอรีที่กำลังจะลงไปรวมอยู่ที่พุงกลมๆ ไปได้ตั้งเกือบๆ 100 แคลอรีแน่ะ

1. เวลาจะเจียวไข่ให้ใส่ผักสด เช่น หัวหอม มะเขือเทศ เห็ดสดลงไปด้วย และใช้วิธีทอดด้วยน้ำแทนจะทำให้อิ่มท้องเร็วขึ้น และน้ำมันที่ตัดออกไปก็คือการกำจัดไขมันที่จะเข้าสู่ร่างกายโดยตรง

2. เปลี่ยนจากทานข้าวขาวมาทานข้าวกล้องและเปลี่ยนจากขนมปังขาวธรรมดามาทานขนมปังโฮลวีตแทน เส้นใยในข้าวกล้องและขนมปังโฮลวีตจะช่วยเรื่องขับถ่าย ทำให้น้ำหนักลดลงได้

3. เลิกทานขนมปังพร้อมเนย จะช่วยกำจัดปริมาณแคลอรีได้ถึง 75 กิโลแคลอรี ต่อขนมปัง 1 แผ่น

4. ทานข้าวน้อยลง 1 ทัพพีสามารถลดได้ 80 แคลอรี ทำทั้ง 3 มื้อกำจัดไป 240 แคลอรี

5. เปลี่ยนขนาดแก้วที่ใส่น้ำผลไม้ให้เล็กลง หรือถ้าดื่มจากกล่องก็ลดขนาดจากกล่อง 250 cc. มาเป็น 200 cc. แทน

6. เวลาจะเติมน้ำตาลในชาหรือกาแฟให้เปลี่ยนมาใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลสามารถลดได้ 32 แคลอรี

7. ใช้นมพร่องมันเนยแทนครีมเทียม

8. เวลาทานสลัดผัก ลดปริมาณน้ำสลัดลง 1 ช้อนโต๊ะ จะลดแคลอรีได้ 60 แคลอรี ถ้าลดปริมาณน้ำสลัดแบบน้ำใสลง 1 ช้อนโต๊ะ จะกำจัดไปได้อีก 45 แคลอรี

9. ทานอาหารเช้าที่ให้พลังงานต่ำ เช่น แกงจืดผักใส่เต้าหู้หรือผัดผักใส่เนื้อสัตว์ไม่ติดมันและอาหารใน 1 มื้ออนุญาตให้มีอาหารประเภททอดหรือผัดได้แค่ 1 อย่างเท่านั้น

10. ถ้าใส่น้ำตาลเพียงครึ่งซองหรือลดปริมาณน้ำตาลจาก 2 ช้อนชา (2ก้อน) เป็น 1 ช้อนชา (1 ก้อน) จะลดได้ 15 แคลอรี

พิมพา ฟาร์อีสเทิร์น

7 พืชผักที่ดีต่อสุภาพสตรี โดยตรง

ผู้คนส่วนใหญ่ต่างรู้ประโยชน์ของผลไม้หรือผักว่ามีวิตามินและแร่ธาตุมากมาย แต่เชื่อไหมว่า ผลไม้บางชนิด มีแร่วิตามินและแร่ธาตุที่พิเศษแตกต่างกันออกไป

มีพืชผักผลไม้อยู่ 7 ชนิด ที่มีผล "โดยตรง" กับสุขภาพของ "ผู้หญิง"

ลูกพรุน : เป็นแหล่งโปแตสเซียม เหล็ก และไฟเบอร์ ที่สำคัญพรุนช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด คงความเป็นหนุ่มเป็นสาว คนเรานั้นเมื่อผ่านช่วงสดใสของชีวิตคือวัย 25 ปี ร่างกายจะเริ่มเสื่อมโทรม ไขมันเริ่มเข้าสะสมตามที่ต่างๆ ใบหน้าที่เคยเอิบอิ่มด้วยเลือดฝาดก็เริ่มหมองคล้ำ ผิวพรรณจากสีชมพูระเรื่อก็เริ่มซีดโทรม ธาตุเหล็กที่มีมากในลูกพรุน จะช่วยดูแลเรื่องนี้ ควบคู่กับภาวะที่สตรีต้องสูญเสียเลือดและธาตุเหล็กไปกับประจำเดือนอีกด้วย

ถั่ว : อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็ก และวิตามินบี นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า เมื่อรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำได้ (ซึ่งมีในถั่วมาก) ไฟเบอร์จะเคลือบผิวกระเพาะ ทำให้รู้สึกอิ่มเร็ว อิ่มนาน ความอยากอาหารจะลดลง แต่ยังมีสารอาหารอื่นๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอยุ่มากด้วยจึงไม่เหมือนไฟเบอร์อื่นๆ ที่ไม่ให้สารอาหารที่มีคุณค่ากับร่างกาย นั่นทำให้ผู้หญิงรุปร่างดีโดยที่ไม่ขาดสารอาหารด้วย

บรอคโคลี : เป็นแหล่งซีลีเนียมตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยบำรุงผิวพรรณ และช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง ทำให้ผิวดูอ่อนนุ่มมีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว แถมยังช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้

กล้วย : ในกล้วยไข่มีสารเบต้าแคโรทีน ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เมื่อเราอายุเลย 22 ปีไปแล้ว ความเจริญเติบโตของร่างกายจะเริ่มหยุดชะงัก ความเสื่อมของร่างกายเริ่มมาเยือนช้าๆ ทำให้เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์ผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้น นอกจากนั้นเมื่อร่างกายเสื่อมสภาพ ความสามารถในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอก็จะลดลงเรื่อยๆ พร้อมกันนั้นความสามารถในการจำกัดอนุมูลอิสระก็ลดลงอย่างตกใจ ดังนั้นสาวๆ ควรสนใจรับประทานกล้วย โดยเฉพาะกล้วยไข่ให้มากขึ้นก็จะยอดมาก!

ฝรั่ง : เชื่อหรือไม่ว่าฝรั่ง 1 ขีด มีวิตามินซีสูงถึง 180 มิลลิกรัม ซึ่งวิตามินซีนี้มีบทบาทในการสร้าง ‘คอลลาเจน’ ที่ทำให้ผิวพรรณเต่งตึง ยืดหยุ่น ไม่หย่อนยานก่อนวัย

แอปเปิ้ล : มีสารอาหารที่สำคัญคือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ ‘เพคติน’ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนัก และลดคอเลสเตอรอล ยามใดก็ตามที่หินจนกินช้างหมดตัวได้ กินแอปเปิ้ลสักลูกจะดีกว่ามากๆ เลย (จริงๆ นะ)

ส้ม : แหล่งวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรมชาติอันอุดม รู้ไหมว่า การรับประทานส้มโดยไม่คายกากจะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกทางหนึ่ง เพราะจะทำให้อิ่มท้องเร็ว เป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างดีทีเดียว

พิมพา ฟาร์อีสเทิร์น

กินวิตามิน – เกลือแร่ แก้แพ้อากาศ

ลดอาการแพ้อากาศได้โดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ดื่มน้ำเปล่ามากๆ พักผ่อนให้เพียงพอ และที่สำคัญควรกินผักผลไม้สด เพื่อให้ได้รับวิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยลดการแพ้อากาศ

วิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยลดการแพ้อากาศ ได้แก่

วิตามินซี ช่วยป้องกันและเสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือด ป้องกันหวัดและการแพ้อากาศ แหล่งที่พบมาก ได้แก่ ฝรั่ง ส้ม และสับปะรด

วิตามินอี ช่วยสร้างภูมิคุ้นกัน ต้านอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรง แหล่งที่พบมาก ได้แก่ ธัญพืช ข้างกล้อง และรำข้าว

วิตามินเอ ช่วยต้านอนุมูลอิสระและเสริมสร้างการทำงานของเซลล์เม็ดเลือด แหล่งที่พบมาก ได้แก่ ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง แครอท มะเขือเทศ ฟักทอง มะละกอ และน้ำมันตับปลา

สังกะสี (Zinc) ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย และป้องกันอนุมูลอิสระ แหล่งที่พบมาก ได้แก่ อาหารทะเล ธัญพืช และผลิตภัณฑ์นม

ซิลิเนียม (Selenium) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน แหล่งที่พบมาก ได้แก่ เนื้อสัตว์ ธัญพืช จมูกข้าว รำข้าว เห็ด และกะหล่ำปลี

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

โรคนิ้วล็อค !!!

มือเป็นอวัยวะสำคัญที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ มากมาย ในแต่ละวันมนุษย์เราใช้มือประกอบกิจกรรมมากมายจนแทบไม่ได้หยุดหย่อน ความแตกต่างของอาชีพ เพศ และวัย เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กิจกรรมการใช้มือนั้นแตกต่างกันออกไป ผู้ที่ใช้มือประกอบกิจกรรมที่ซ้ำๆ และรุนแรง จนเกิดอาการบาดเจ็บขึ้นกับมือซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดความผิดปรกติของมือที่พบได้บ่อยที่สุดที่เรียกว่า โรคนิ้วล็อกหรือ Trigger Finger

Trigger Finger เป็นความผิดปรกติของมือที่พบบ่อยที่สุด พยาธิสภาพของโรคนี้เกิดขึ้นเนื่องจากอาการเสียสัดส่วนของ flexor digitorum superficialis flexordigitorum profundus tendons ซึ่งเป็นเอ็นที่ใช้งอนิ้วมือ และเข็มขัดรัดเส้นเอ็นที่อยู่รอบๆ ในตำแหน่งเข็มขัดรัดเส้นเอ็น first annular pulley (A1 Pulley)

โดยปรกติแล้วเข็มขัดรัดเส้นเอ็น มีหน้าที่รัดเส้นเอ็นให้อยู่ติดกับกระดูก ในขณะที่นิ้วของเราเคลื่อนไหว เส้นเอ็นที่นิ้วมือก็จะถูกดึงเสียดสีไปมากับปลอกเอ็นหรือเข็มขัดรัดเส้นเอ็น การให้มือทำงานหนักๆ อยู่ซ้ำๆ เป็นระยะเวลานานทำให้เกิดการเสียดสี จนทำให้เส้นเอ็นหนาแข็งตัวเสียความยืดหยุ่น ทำให้เอ็นไม่สามารถลอดผ่านเข็มขัดรัดเอ็นได้ หากปมเล็กอยู่บริเวณต้นทางของเข็มขัดรัดเอ็นก็จะทำให้นิ้วงอ เหยียดไม่ออก หากปมที่ผ่านไม่ได้อยู่บริเวณปลายของเข็มขัดรัดเอ็นก็จะทำให้นิ้วเหยียออยู่ในท่าเหยียดงอไม่เข้า เนื่องจาก A1 Pulley เสียความยืดหยุ่นหนาตัว เกิด fibrocartilagenous degeneration

ก่อนหน้านี้การผ่าตัดเพื่อรักษาอาการที่ขยับนิ้วยากและ กำมือไม่ได้ ซึ่งสร้างความทรมานในการใช้ชีวิต ต้องเข้าผ่าตัดในห้องผ่าตัดใหญ่และใช้เวลาหลายวันกว่าบาดแผลผ่าตัดจะหาย

นายแพทย์วิชัย จึงได้ประยุกต์อุปกรณ์ทำฟันหลากรูปแบบ ซึ่งหมอฟันเลิก ใช้แล้วมาเจียรเป็น มีดผ่าตัด 2 รูปแบบ สำหรับนิ้วหัวแม่มือ และนิ้วอื่น ซึ่งมีตำแหน่งของนิ้ว และเส้นเอ็นที่แตกต่างกันสามารถใช้รักษาได้โดยคนไข้แทบไม่มีบาดแผลและสามารถขยับนิ้วและกำมือได้ทันทีหลังการผ่าตัด

โดยบาดแผลที่เกิดขึ้นหลังการผ่าตัดปลอกเอ็นที่ยึดแข็งสาเหตุโรคนิ้วล็อค เล็กเท่ารูเข็ม และ มีข้อดีคือ ไม่ต้องรอคิวห้องผ่าตัด ผ่าได้ในห้องตรวจรักษา ทำให้รักษาคนไข้ได้จำนวนมากต่อวัน เพียง 7-10 วันหลังการผ่าตัด บาดแผลภายนอกจะสมานกันสนิท โดนน้ำได้ คน ไข้สามารถใช้มือได้เร็ว

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

ข้อแนะนำบางอย่างเพื่อให้เกิดสุขภาพที่ดีมีจิตใจสงบ!!!

เข้าใกล้และสัมผัสธรรมชาติ

มีความรักและมีความโอบอ้อมอารี

เคี้ยวอาหารให้ละเอียด กลุ่มแมกโครไบโอติกส์ให้เคี้ยวถึง 50 ครั้งต่อคำ เพื่อให้ย่อยง่าย ไม่เป็นภาระแก่กระเพาะและทำให้เห็นคุณค่าของอาหารแต่ละคำ

เข้านอนไม่เกินสี่ทุ่ม และตื่นแต่เช้าตีสี่หรือตีห้า

ตื่นขึ้นแล้วทำจิตใจให้บริสุทธิ์ จะสวดมนต์ไหว้พระหรือนั่งสมาธิแล้วแต่ความชอบ จากนั้นออกกำลังกายแถมด้วยการเดินเท้าเปล่าบนหญ้าหรือบนดิน ให้ถูกแสงแดดอ่อนๆ ถ้าทำสวนพรวนดินก็ไม่ควรใส่รองเท้า หรือมิฉะนั้นก็ทำงานในบ้าน ทำความสะอาดบ้าน ทำความสะอาดทั้งกายทั้งใจ ทั้งบ้านพร้อมกันไปด้วย

สวมเสื้อผ้าที่ทำจากพืช เช่นผ้าฝ้าย อย่าใช้ผ้าจากใยสังเคราะห์ อย่าตกแต่งเครื่องประดับร่างกายจนเกินความจำเป็น จนกลายเป็นตู้เพชรตู้ทองเคลื่อนที่ ไม่ใส่อะไรเลยดีที่สุด

ไม่ควรใช้เครื่องสำอางค์ หรือน้ำหอมซึ่งผลิตจากเคมี แม้แต่ยาสีฟันก็ใช้ยาสีฟันแบบเก่าๆที่ทำจากเกลือ จากสารส้มดีกว่า

อย่าดูทีวีหรือเล่นเครื่องคอมพิวเตอร์มากจนเกินไป

ไม่ควรใช้เครื่องหุงต้มหรือเตาไฟฟ้าหรือไมโครเวฟ ให้ใช้เตาถ่านเตาแก๊สดีกว่า

ปลูกต้นไม้มากๆ ถ้าไม่มีที่ทำสวนก็ใช้ปลูกต้นไม้ ดอกไม้กระถาง ( ไม่ใช้พลาสติกเด็ดขาด ) ในบ้านหัดฟังเสียงนกร้องเกี้ยวกันเสียบ้าง หาโอกาสเข้าป่าปีละหลายๆครั้ง ถ้าได้วันละครั้งยิ่งดี ( ก็หมายความว่าให้ไปอยู่ป่านั่นแหละ )

อย่าอาบน้ำร้อน ให้อาบน้ำเย็น ถ้าจะใช้ความร้อนให้ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำร้อนถูตัวให้ทั่วทั้งเช้าทั้งเย็น มองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความรักและขอบพระคุณ ให้สำนึกว่าเราเป็นหนี้บุญคุณต่อทุกคน และทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ให้ขอบคุณอาหารทั้งก่อนกินอาหารและหลังกินอาหาร คุณมีโลกใกล้ตัวและโลกไกลตัว ก่อนจะเป็นเจ้าของโลก รักษาโลกใกล้ตัวไว้ให้ดีเสียก่อน โลกใกล้ตัวคือ พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ พี่น้อง ลูกหลาน เพื่อนฝูง รักษาน้ำใจติดต่อใกล้ชิดอย่าให้ขาด ร้องเพลงเพราะๆทุกวัน ไม่รู้จะร้องเพลงอะไร ร้อง Happy birthday ให้ตัวเองทุกวันก็ยังได้ ตั้งใจว่าจะอยู่อย่างมีความสุขทุกวัน สุขทั้งกายทั้งใจ และอย่าลืมตรวจ FASJAMM ของตัวเองทุกวัน

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

14 วิธีขับถ่ายปัสสาวะ เพื่อสุขภาพที่ดี

1.อย่ากลั้นปัสสาวะ เมื่อรู้สึกปวดต้องไปปัสสาวะ

2.เวลาปัสสาวะไม่ควรรีบร้อนเบ่งมาก เพราะอาจทำให้หูรูดปัสสาวะชำรุดได้

3.ควรถ่ายปัสสาวะให้เหลือน้อยที่สุดในหนึ่งครั้ง นั่นคือเมื่อรู้สึกถ่ายหมดแล้วให้เบ่งต่ออีกนิดหน่อย ปัสสาวะที่เหลือจะไหลออกมา

4.ไม่ควรบังคับให้ตนเองถ่ายปัสสาวะบ่อย เพราะจะติดเป็นนิสัย เวลาที่เหมาะสมคือ 2-4 ชั่วโมงควรถ่ายปัสสาวะหนึ่งครั้ง

5.ให้สังเกตการถ่ายปัสสาวะ และน้ำปัสสาวะของตนเองทุกครั้งว่า ต้องเบ่งมากผิดปกติหรือไม่ น้ำปัสสาวะลำพุ่งดีหรือไม่ ลำน้ำปัสสาวะมีขนาดเล็กลงกว่าเดิมหรือไม่ น้ำปัสสาวะมีสีเหลืองใสหรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเป็นอาการผิดปกติที่สามารถบอกโรคได้

6.อาจจะล้างทำความสะอาดหลังปัสสาวะ แต่อย่าให้บริเวณนั้นเปียกชื้น เพราะอาจเกิดเชื้อราได้ ทางที่ดีหลังปัสสาวะทุกครั้ง ควรซับให้แห้ง

7.เมื่อปัสสาวะไม่ออก ต้องหาสาเหตุโดยการไปพบแพทย์ อย่าซื้อยาขับปัสสาวะรับประทานเพราะจะเกิดอันตรายได้

8.เมื่อเข้าสู่วัยกลางคน การบริหารอุ้งเชิงกรานโดยการขมิบ (ฝ่ายหญิงขมิบช่องคลอด ฝ่ายชายขมิบทวารหนัก) วันละ 100 ครั้ง จะช่วยป้องกันอาการปัสสาวะเล็ด

9.ดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 10 แก้ว หรือหนึ่งลิตร จะช่วยให้น้ำปัสสาวะใส มีจำนวนพอดีและป้องกันภาวะปัสสาวะอักเสบ

10.ก่อนมีเพศสัมพันธ์ และหลังมีเพศสัมพันธ์ คุณผู้หญิงควรถ่ายปัสสาวะทิ้ง จะช่วยป้องกันการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

11.น้ำปัสสาวะจะต้องเป็นน้ำเท่านั้น ถ้ามีมูก หนอง น้ำเหลือง เลือดปนออกมา ถือว่าผิดปกติต้องไปพบแพทย์

12.การขับถ่ายปัสสาวะ ต้องขับถ่ายคล่องไม่มีอาการเจ็บปวด ถ้าปัสสาวะแสบขัดลำบากนับว่าเป็นอาการผิดปกติ ต้องไปพบแพทย์อีกเช่นกัน

13.คนเราทุกคนต้องปัสสาวะทุกวัน วันละ 4-6 ครั้ง ถ้าไม่ปัสสาวะเลย 1 วัน ถือว่าตกอยู่ในภาวะอันตราย ต้องไปพบแพทย์โดยด่วน

14.ก่อนเดินทางไกล ก่อนยกของหนัก ควรปัสสาวะทิ้งก่อนทุกครั้ง

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์อีสเทอร์น)

การดูแลสุขภาพตนเอง

โดยธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น ในชีวิต ก็จะพยายามหาทางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เป็นอันดับแรก เมื่อรู้ว่า ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เอง ก็จะแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้อื่น

ในเรื่องความเจ็บป่วย หรือปัญหาสุขภาพก็เช่นเดียวกัน ทุกคนต้องการที่จะดูแลตนเอง ให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ ดังนั้น กล่าวได้ว่า "การดูแลสุขภาพตนเอง เป็นกิจกรรมที่บุคคลแต่ละคนปฏิบัติ และยึดเป็นแบบแผนในการปฏิบัติ เพื่อให้มีสุขภาพดี" อาจแบ่งขอบเขตการดูแลสุขภาพตนเอง เป็น 2 ลักษณะคือ

การดูแลสุขภาพตนเองในสภาวะปกติ

เป็นการดูแลสุขภาพตนเอง และสมาชิกในครอบครัว ให้มีสุขภาพแข็งแรง สมบูรณ์อยู่เสมอ ได้แก่

การดูแลส่งเสริมสุขภาพ เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข เช่น การออกกำลังกาย การสร้างสุขวิทยาส่วนบุคคลที่ดี ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงจากสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

การป้องกันโรค เพื่อไม่ให้เจ็บป่วยเป็นโรค เช่น การไปรับภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ การไปตรวจสุขภาพ การป้องกันตนเองไม่ให้ติดโรค

การดูแลสุขภาพตนเองเมื่อเจ็บป่วย

ได้แก่ การขอคำแนะนำ แสวงหาวามรู้จากผู้รู้ เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขต่างๆ ในชุมชน บุคลากรสาธารณสุข เพื่อให้ได้แนวทางปฏิบัติ หรือการรักษาเบื้องต้นให้หาย จากความเจ็บป่วย ประเมินตนเองได้ว่า เมื่อไรควรไปพบแพทย์ เพื่อรักษาก่อนที่จะเจ็บป่วยรุนแรง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หรือบุคลากรสาธารณสุข เพื่อบรรเทาความเจ็บป่วย และมีสุขภาพดีดังเดิม

การที่ประชาชนทั่วไปสามารถดูแลสุขภาพตนเองได้นั้น จำเป็นต้องมีความรู้ ึความเข้าใจในเรื่อง การดูแลสุขภาพ ตั้งแต่ยังไม่เจ็บป่วย เพื่อบำรุงรักษาตนเอง ให้สมบูรณ์แข็งแรง รู้จักที่จะป้องกันตัวเอง มิให้เกิดโรค และเมื่อเจ็บป่วยก็รู้วิธีที่จะรักษาตัวเอง เบื้องต้นจนหายเป็นปกติ หรือรู้ว่า เมื่อไรต้องไปพบแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข

คนึงนิจ (ฟาร์อีสเทอร์น) 006

ทฤษฎีการดูแลสุขภาพของจีนที่มีสืบต่อกันมานานมากว่า 5,000 ปีี

เวลา 21.00-23.00 น.

ร่างกายจะสะสมพลังงานรวม

พลังงานของร่างกายจะสร้างช่วงนี้เท่านั้น

จึงควรพักผ่อนเข้านอน 3 ทุ่ม

เวลา 23.00-01.00 น.

พลังงานที่สร้างขึ้นจะเคลื่อนเข้าสู่ถุงน้ำดี

ล้างถุงน้ำดีทำให้ถุงน้ำดีแข็งแรง

ย่อยไขมันที่จะเปลี่ยนรูปไปเป็น ฮอร์โมน กล้ามเนื้อ

กระดูก เส้นเอ็น ไขสมอง และ น้ำหล่อเลี้ยงในร่างกายทั้งหมด

(( การย่อยไขมันของร่างกายจะเกิดขึ้นในช่วงนี้เท่านั้น......หากไม่พักผ่อนช่วงนี้

ไขมันดังกล่าวจะตกตะกอนอยู่ตามร่างกาย เช่นถุงไขมันใต้ตา มีพุง

สมองเลอะเลือนง่าย ปวดไหล่ ปวดท้องง่ายบริเวณลำไส้ใหญ่ ท้องเสีย หรือ ท้องผูกง่าย ))

เวลา 01.00 - 03.00 น.

พลังงานจะเคลื่อนเข้าสู่ตับ...

ตับจะเริ่มทำงานโดยใช้พลังงานที่สะสมไว้ ตับจะสะสมอาหารสำรองให้ร่างกายกำจัดของเสีย

และ ผลิตน้ำดี แล้วส่งไปเก็บที่ถุงน้ำดี ถ้าช่วงนี้ไม่หลับนอนร่างกายจะสูญเสียพลังงานที่สะสมไว้

ตับจะอ่อนแอลง การสะสมพลังงานสำรองลดลง การผลิตน้ำดีก็ลดลง

ส่งผลกระทบต่อการทำงานของตับอ่อนเป็นผลให้การผลิตอินซูลินลดลงด้วย

โรคที่จะเกิดขึ้นคือ โรคเกี่ยวกับความดันโลหิตแปรปรวน โรคเก๊าท์ โรครูมาตอยด์

โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และ โรคกระดูกเสื่อม

เวลา 03.00 - 05.00 น.

พลังงานจะเคลื่อนเข้าสู่ปอด ถ้าปอดแข็งแรงผู้นั้นจะหลับสนิท

ถ้าเป็นโรคปอดหรือสูบบุหรี่ จะไม่รู้สึกสบายตัวและจะถูกปลุกให้ตื่นช่วงนี้ จะไอและหายใจขัด..

เวลา 05.00 - 07.00 น.

พลังงานจะเคลื่อนเข้าสู่ลำไส้ใหญ่...เป็นช่วงที่เราต้องถ่ายอุจจาระ

ร่างกายจะต้องเอาของเสียทิ้งให้หมดก่อน 07.00 น.

ถ้าไม่เช่นนั้นถ่ายร่างกายจะเริ่มดูดซึมของเสียเข้าสู่ระบบเลือด นี่เป็นสาเหตุให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้า เกิดไขมันเสีย ๆ....

ควรออกกำลังกายช่วงนี้ เพื่อให้ลำไส้ใหญ่ขยับตัวและเพิ่มศักยภาพในการขับเคลื่อนของเสีย

เวลา 07.00 - 09.00 น.

กระเพาะอาหารจะทำงานได้สูงสุดในช่วงนี้เท่านั้น กระเพาะอาหารจะต้องการอาหารและจะหลั่งน้ำย่อยมากที่สุด...

ผู้ที่ไม่รับประทานอาหารเช้าจะมีโอกาสเป็นโรคกระเพาะอาหาร และจะเกิดโรคหัวใจด้วย

เพราะไม่ได้ สารอาหารสำหรับทุกอวัยวะเพื่อกลับไปสร้างพลังงานรวม..

เวลา 09.00 - 11.00 น.

ม้ามจะเริ่มเก็บพลังงานสำรอง เก็บสารอาหารจากการย่อยของกระเพาะอาหาร...

การที่เราไม่ได้รับประทานอาหารเช้า ร่างกายจะดึงพลังงานสำรองออกมาใช้ พลังงานรวมจะหายไป ร่างกายจะอ่อนแอ ไม่มีแรง...

เวลา 11.00 - 13.00 น.

พลังงานจะเคลื่อนที่ไปที่หัวใจ...ถ้าร่างกายไม่ได้สารอาหาร หัวใจจะทำงานลำบาก หัวใจวายได้ง่ายในช่วงนี้..

เวลา 13.00 - 15.00 น.

พลังงานจะเคลื่อนสู่ลำไส้เล็ก...ลำไส้เล็กจะทำงานโดยเปลี่ยนรูปอาหารที่ได้จากตอนเช้า

ทั้งคาร์โบไฮเดรต ไขมัน เกลือแร่ เป็นพลังงานทั้งหมด...ถ้าไม่ได้รับอาหารเช้า อาหารที่จะย่อยในลำไส้เล็กก็ไม่มี

เวลา 15.00 - 17.00 น.

พลังงานจะเคลื่อนมาที่กระเพาะปัสสาวะ..ของเสียที่เกิดขึ้นจากการแปรรูปอาหารที่ลำไส้เล็กจะเกิดขึ้น

ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ กระเพาะปัสสาวะจะทำงานมากที่สุด...

เวลา 17.00 - 19.00 น.

พลังงานจะเคลื่อนมาที่ไต...ช่วงนี้ไตทำงานหนัก ไม่ควรออกกำลังกาย

การออกกำลังกายช่วงเย็นจะทำให้...ไตวายง่าย เวียนหัว ตาพร่า ปวดศีรษะ..

เวลา 19.00 - 21.00 น.

พลังงานจะเคลื่อนมาที่กล้ามเนื้อหัวใจ... กล้ามเนื้อหัวใจจะทำงานชะล้างตัวเอง ทำงานช้าลง

ช่วงนี้ต้องพักผ่อน ถ้าไม่พัก เลือดจะข้น กล้ามเนื้อหัวใจจะทำงานหนัก ทำให้หัวใจโต..

วราภรณ์ สุตพลสันติกุล FEU

การวางแผนกินอาหารสำหรับผู้ที่ต้องลดน้ำหนัก

ร่างกายต้องการอาหาร เพื่อสร้างพลังงานให้ระบบกล้ามเนื้อ และระบบ

อวัยวะต่างๆ มีประสิทธิภาพในการทำงาน อาหารที่บริโภคจะเปลี่ยนแปลงเป็นคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน แล้วเกิดการเผาผลาญที่เซลล์กล้ามเนื้อกับออกซิเจนที่ได้จากการหายใจ

เกิดเป็นพลังงาน ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ พลังงานที่ได้จากอาหารมีหน่วยวัดเป็นกิโลแคลอรี พลังงานที่ได้จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับส่วนประกอบของสารอาหาร อาหารที่มีไขมันสูงให้พลังงานสูงกว่าคาร์โบไฮเดรตที่มีมากในข้าว-แป้ง และโปรตีนที่มีมากในเนื้อสัตว์

ในมื้ออาหารทุกๆ มื้อ ควรเลือกอาหารไขมันต่ำ น้ำตาลต่ำ ใยอาหารสูงและคุณค่าทางโภชนาการสูง (อาหารในโซนสีเขียวเป็นอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลต่ำ ขอแนะนำว่า ควรเลือกกิน สำหรับอาหารในโซนสีเหลืองเป็นอาหารที่มีไขมันและน้ำตาล

ปานกลาง ควรเลือกกินให้น้อยลง และอาหารในโซนสีแดงเป็นอาหารที่มีไขมันและน้ำตาลสูงมาก ไม่ควรกินมากและบ่อยนัก)

คนไทยตระหนัก รู้รักวัดรอบเอว

ควบคุมน้ำหนักให้ดี ควบคุมรอบเอว

การรักษาน้ำหนักตัวให้คงที่ และรอบเอวไม่ขยาย มีหลักการควบคุมอาหารดังนี้

กินอาหารสมดุลย์ ควบคุมสัดส่วนปริมาณอาหาร กลุ่มข้าวแป้ง ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง นม ผลิตภัณฑ์นม และไขมัน ให้พอเหมาะในแต่ละวัน ตามธงโภชนาการ

ผู้หญิง ควรได้รับพลังงานวันละ 1,600 แคลอรี

ผู้ชาย ควรได้รับพลังงานวันละ 2,000 แคลอรี

กินอาหารเช้าทุกวัน มื้อเช้าเป็นมื้อหลักที่สำคัญ ต้องรับประทานทุกวัน เพื่อกระจายปริมาณพลังงานอาหารให้พอเหมาะกับ ความต้องการของร่างกาย นอกจากนั้นจะช่วยให้ร่างกายไม่หิวมาก ในช่วงบ่าย และเย็น และช่วยทำให้สามารถควบคุมอาหารมื้อเย็น ให้รับประทานน้อยลงได้

กินอาหารพออิ่ม ในแต่ละมื้อ ไม่บริโภคจนอิ่มมากเกินไป

กินอาหารธรรมชาติ ไม่แปรรูป ควรเลือกรับประทานอาหารธรรมชาติที่ไม่แปรรูป เช่น กลุ่มข้าวแป้ง ให้เลือกบริโภค เมล็ดธัญพืช ได้แก่ ข้าวกล้อง เผือก มัน ข้าวโพด เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง ถั่ว งา เป็นต้น

กินอาหารมื้อเย็นแต่วัน เวลาสำหรับอาหารมื้อเย็น ควรห่างจากเวลานอน ไม่น้อยกว่า 4 ชั่วโมง เพราะช่วงเวลานอนหลับ ร่างกายพักผ่อน ทำให้เหลือพลังงานส่วนเกินสะสมในรูปไขมัน เก็บไว้ใต้ผิวหนัง และช่องท้อง

หลีกเลี่ยงอาหารมันจัด หวานจัด และเค็มจัด อาหารในรูปไขมัน น้ำมัน เนย มาการีน น้ำตาล แป้ง และเกลือ ควรลดปริมาณการบริโภคให้น้อยลง ได้แก่ เค้ก คุ้กกี้ มันฝรั่งทอด โรตี ทองหยอด ฝอยทอง สายไหม ขนมขบเคี้ยว

56 .อนงค์ วงค์สุภา(FEU)

สูตรนี้จะลดน้ำหนักได้ 5% ของน้ำหนักตัวค่ะ บางคนอาจละได้ 1-2 กิโลกรัมเท่านั้น

ลองทำดูซัก 2 ชุดติดต่อกันนะคะ หรือจะลองสูตรอื่นดูก็ได้ค่ะ มีอีกเยอะ

อย่างไรก็ตาม การลดความอ้วนที่ได้ผลแน่นอนก็ต้องออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วยนะคะ

วันที่ 1

มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล ส้มโอ 1/2 ผล ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น ถั่วเหลืองในซอสมะเขือเทศ

มื้อกลางวัน : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล ปลาทูน่า 4 ออนซ์ ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น

มื้อเย็น : แฮม 2 แผ่น ถั่วฝักยาวต้ม 4 ออนซ์ (ประมาณ 115 กรัม) ไอศกรีมวนิลา 4 ออนซ์ บีทรูทต้ม 4 ออนซ์

วันที่ 2

มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น ไข่ต้ม 1 ฟอง กล้วยหอม 1/2 ผล

มื้อกลางวัน : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล แคร๊กเกอร์ (แบบเค็ม) 5 แผ่น Coltage Cheese (คล้ายโยเกิร์ต) ของโฟร์โมสต์ 120 กรัม

มื้อเย็น : แฮม 2 แผ่น บร็อคคอลรี่ต้ม 4 ออนซ์ แครอทต้ม 4 ออนซ์ ไอศกรีมวนิลา 4 ออนซ์ กล้วยหอม 1/2 ผล

วันที่ 3

มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล แคร๊กเกอร์ (แบบเค็ม) 5 แผ่น Cheddar Cheese 1 แผ่น แอ๊ปเปิ้ล 1 ผล

มื้อกลางวัน : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล ขนมปังปิ้ง 1 แผ่น ไข่ต้ม 1 ฟอง

มื้อเย็น : ปลาทูน่า 4 ออนซ์ บีทรูทต้ม 4 ออนซ์ ไอศกรีมวนิลา 4 ออนซ์ ดอกกระหล่ำต้ม 4 ออนซ์ แคนตาลูป 1/2 ผล

หมายเหตุ

1. ขนมปังปิ้งต้องปิ้งจนแห้ง และไม่ทาเนยหรือมาการีน

2. แคร๊กเกอร์ต้องเป็นรสเค็ม

3. ปลาทูน่าและถั่วฝักยาวอาจแช่แข็งได้

4. อาหารชุดนี้จะทำปฏิกิริยาทางเคมีซึ่งกันและกัน และพิสูจน์ได้

ข้อห้าม

1. ห้ามเปลี่ยนแปลงหรือทดแทนอาหารอื่น ห้ามใช้เครื่องปรุงอื่น นอกจากเกลือและพริกไทย

2. รายการใดที่ไม่ได้กำหนดไว้ชัดเจน ให้ใช้วิจารณญาณตามความเหมาะสม สูตรอาหารนี้ให้ใช้ติดต่อกัน 3 วัน ภายใน 3 วัน ควรลดน้ำหนักได้ 10 ปอนด์ หรือประมาณ 4.5 กิโลกรัม หลังจาก 3 วัน รับประทานอาหารได้ตามปกติ

(4 ออนซ์ = 100 กรัม = 1 ขีด)

น.ส ริศรา สิงห์สุวรรณ (FEU)

ก้าวสู่ปีใหม่ที่เราจะสวยงามยิ่งๆ ขึ้นกว่าเดิม ถึงแม้ว่าอายุจะเพิ่มขึ้นไป 1 ปีก็ตาม เราได้สรรหาสูตรบำรุงผิวหน้า ให้สวยใส ซึ่งทำได้ง่ายๆ และส่วนผสมก็หาได้ในครัวนี่เอง

1. สูตรเพิ่มความสดชื่นเปล่งปลั่งให้ผิวหน้า

ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นจนสะอาด แล้วนำแอปเปิ้ลไม่ปลอกเปลือกสัก ครึ่งผล ปั่นให้ละเอียด พอกหน้าเว้นเปลือกตา ทิ้งไว้ประมาณ 25 นาที แล้วล้างออก

2. สูตรลดริ้วรอย ทำให้หน้านวลใส

นำแอปเปิ้ลครึ่งผลมาปั่น พอละเอียดได้ที่ก็คั้นมะนาวเอาแต่น้ำสัก 1 ช้อนชาใส่ลงไป คนให้เข้ากัน แล้วพอกชโลมให้ทั่ว เว้นบริเวณรอบดวงตาไว้ ทิ้งไว้ 10 นาที ล้างออก

3. สูตรหน้าเด้ง ไม่หยาบกร้าน

เตรียมโยเกิร์ต 3 ช้อนโต๊ะ และมะเขือเทศลูกเล็กๆ สัก 3 ลูก ปั่นโยเกิร์ตกับมะเขือเทศให้ละเอียด แล้วนำพอกหน้าให้ทั่ว โดยเว้นรอบดวงตา ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออก

4. สูตรขัดหน้าขาว และลดริ้วรอยหมองคล้ำ

ผสมโยเกิร์ต 1 ถ้วย กับเกลือป่นละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ ให้เข้ากัน ชโลมให้ทั่วใบหน้า แล้วขัดๆ ถูๆ ให้ทั่ว ขัด 5 นาที ทิ้งไว้อีก 5 นาที แล้วล้างออก ทำเดือนละครั้งกำลังดี

น.ส แพรวนภา สุกใส (FEU)

วิธีดื่มน้ำรักษาโรค จากหนังสือพิมพ์จีน

วารสารทางการแพทย์ บอกว่าเมื่อตื่นนอนตอนเช้า ความเข้มของโลหิตยังสูงและมีผลต่อระบบ ความดันโลหิตในร่างกาย แพทย์แนะนำว่าทันทีที่ตื่นนอนให้ดื่มน้ำทันทีหนึ่งแก้ว เพื่อลดความเข้มของโลหิต พวกเราลองดูละกัน อีกอย่างที่พบมาก็คือ ท่านพุทธทาสก็ทำแบบนี้เหมือนกัน

เมื่อเร็วๆ นี้ มีคนมากมายส่งเสริมวิธีดื่มน้ำ เพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพสมบูรณ์ นี่เป็นแบบนิยมอันดีงามอย่างหนึ่ง ชีวิตที่ดำรงอยู่ได้นอกจากอากาศที่บริสุทธิ์ก็คือน้ำ

น้ำหนักตัวของคนเรา 2 ใน 3 ส่วนเป็นน้ำจึงมีคนว่าคนประกอบด้วยน้ำ อันที่จริงน้ำสามารถปรับอุณหภูมิในร่างกายของคนได้ สามารถทำให้ไตทำงานเป็นปกติขับถ่ายสิ่งโสโครกให้ออกจากร่างกายได้

นายแพทย์แนะนำบ่อยๆ ว่าดื่มน้ำให้มากทุกๆ วัน วิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ ตามที่ได้ทดสอบมาแล้วได้ผลดี ตื่นเช้าลุกขึ้น ไม่ล้างหน้า ไม่บ้วนปาก แล้วดื่มน้ำสุก 5 แก้ว (ขวดวิสกี้บรรจุได้ 3 แก้ว) หรือน้ำหนักของน้ำ 1.26 ก.ก.เท่ากับ 5 แก้วรวดเดียว จะรู้สึกหายใจเหนื่อยอึดอัดไปหน่อย หลังจากนั้นจะปัสสาวะบ่อยๆ การปฏิบัติยากลำบากเช่นนี้ หากผู้ที่ไม่มีความเชื่อมั่นอาจจะเลิกเสียกลางคัน ผู้ที่ใช้สมองทั้งวันทั้งคืนในธุรกิจการค้า หาเวลาว่างไปออกกำลังมิได้ทุกเช้าควรปฏิบัติดื่มน้ำรักษาโรคแทนการออกกำลังกาย เชื่อมั่นได้ว่าจะต้องปราศจากโรค ชีวิตยั่งยืนอย่างไม่ต้องสงสัย

ในระยะนี้มีผู้ใจบุญพิมพ์คำอธิบายวิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ ส่งไปให้เพื่อนฝูง เพื่อนที่ได้รับรู้สึกขอบคุณอย่างยิ่งการที่ช่วยซึ่งกันและกันแบบนี้ ควรจะเผยแพร่ให้มากขึ้น ผู้เขียนยินดีให้ "วิธีดื่มน้ำรักษาโรคของจีนนี้เปิดเผยให้ผู้อ่านได้มีโอกาสค้นคว้าและทดลอง" ได้เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แต่ความเป็นจริงได้ผลอย่างนี้แน่นอนเนื่องจากทำให้ลำไส้ให¬ญ่ผลิตโลหิตใหม่มากขึ้น ซึ่งโลหิตใหม่นี้ผลิตขึ้นจากฝอยคล้ายสักหลาดที่อยู่ในลำไส้ให¬ญ่ซึ่งทำหน้าที่ดูดธาตุอาหารต่างๆ ผลิตให้เป็นเม็ดโลหิต เนื่องจากลำไส้เคลื่อนไหวไม่เต็มที่ เป็นเหตุให้โลหิตจางมีอาการรู้สึกเพลียและเป็นโรค เป็นการรักษายาก ลำไส้ของใหญ่¬่ยาว 8 เมตร ทำหน้าที่ดูดธาตุต่างๆ จากอาหาร ถ้าลำไส้สะอาดอาหารที่ได้รับประทานเข้าไปผ่านการย่อยแล้วดูดไปผลิตให้เป็นโลหิตใหม่เป็นการเร่งให้เกิดพลังงานในร่างกายให้สมบูรณ์ขึ้น โรคต่างๆ จะหายไปเองอายุก็ยั่งยืน มหาวิทยาลัยตามมณฑลต่างๆ ในประเทศจีนได้ผ่านการทดลองและประกาศเปิดเผยให้ทราบโดยทั่วกัน

วิธีดื่มน้ำรักษาโรคสามารถรักษาโรคดังต่อไปนี้ คือ ท้องผูก ปวดหัว เวียนศีรษะ โลหิตจาง โรคประสาท ความดันโลหิตสูง อัมพาตทั้งกาย เป็นลม ปากเบี้ยว โรคปวดตามข้อ โรคอ้วนพี ปวดในกระดูกเส้นเอ็น ปวดเมื่อย หูอื้อ ใจเต้น มือเท้าอ่อนเพลีย โรคไอ โรคหืด หอบ หลอดลมอักเสบ วัณโรค เยื่อสมองอักเสบ โรคตับ โรคไต เป็นนิ่ว กรดเปรี้ยวในกระเพาะอาหารมากเกินไป กระเพาะอืด กระเพาะอาหารเป็นแผลเน่าเรื้อรัง โรคบิด โรคริดสีดวงทวาร โรคเบาหวาน สายตาอ่อน โรคตาต่างๆ ตาออกเลือด สตรีประจำเดือนไม่ปกติ ระดูขาว มะเร็งในมดลูก มะเร็งเต้านม จมูกอักเสบ เจ็บคอ และโรคผิวหนังต่างๆ

ต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าของผู้ที่ได้ผ่านการทดลองดื่มมาแล้ว

1. ผู้เขียนได้พบกับผู้ชราที่มีสุขภาพอย่างสมบูรณ์ ได้ทักทายกับท่าน ถามท่านว่าเคยเจ็บไข้หรือเปล่า ท่านตอบว่าหลายสิบปีมาแล้วไม่เคยเจ็บไข้มาเลย ท่านกล่าวว่าตอนที่อายุ 20ปี กระเพาะอาหารเป็นแผลเน่าเรื้อรังนอนอยู่กับที่นานถึง 10 ปี ได้ผ่านการตรวจจากนายแพทย์ 5 ท่าน รักษาฉีดยา รับประทานยา ไม่ได้ผล ต่อมามีนายแพทย์ท่านหนึ่งได้แนะนำว่าคุณควรทดลองดื่มน้ำสุกอย่างนี้ ตื่นแต่เช้าหน้าไม่ล้าง ปากไม่บ้วน ดื่มน้ำสุก 5 แก้วทุกๆ วัน อย่าให้ขาดตอน และห้ามไม่ให้รับประทานอาหารก่อนเข้านอน นายแพทย์สั่งเสร็จก็กลับไปโดยไม่ให้ยาไปกิน วันรุ่งขึ้นผมก็ทำตามนายแพทย์สั่ง ดื่มน้ำ 5 แก้วรวดเดียว ในหนึ่งชั่วโมงปัสสาวะ 3 ครั้ง หลังจากนั้นก็รับประทานข้าวต้ม รู้สึกรสชาติของข้าวต้มอร่อยกว่าที่แล้วๆ มาวันที่สองดื่มน้ำ 5 แก้วอีกถ่ายอุจจาระออกมามีเลือดดำปนอยู่มากต่อจากนั้นสามเดือนน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอีก 10 ก.ก. เวลานี้ผมอายุ 64 ปีแล้ว นับแต่ได้ปฏิบัติดื่มน้ำมายังไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยเลย แม้แต่หวัดก็ไม่เคยเป็น

2 เมื่อผมยังเป็นเด็กเคยเป็นเยื่อสมองอักเสบ นายแพทย์สั่งให้ดื่มน้ำ 5 แก้วทุกวัน ไม่นานเยื่อสมองที่อักเสบก็หายไปเอง ภรรยาผมเมื่อ 10 ปีก่อนเป็นโรคหัวใจและเป็นโรคอ้วนเกินไป ร่างกายสูงไม่เกิน 5 ฟุต น้ำหนักตัว 120 ก.ก. พอดื่มน้ำได้ 15 วัน โรคหัวใจ โรคประสาท โรคเข็ดเมื่อยก็ค่อยๆ ดีขึ้น ดื่มน้ำได้สองเดือนน้ำหนักตัวลดลงไป 16 ก.ก. เมื่อก่อนเราต้องใช้ยาประจำ นวดไฟฟ้า และรักษาด้วยวิธีเข็มแทงแบบหมอจีนก็ไม่หาย แต่เวลานี้หายไปหมดแล้วจากการดื่มน้ำ

3. อาจารย์ในมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นเคยแถลงการณ์ร่วมสองครั้ง เกี่ยวกับฝอยคล้ายสักหลาดในลำไส้ผลิตโลหิตขึ้น จนเดี๋ยวนี้ไม่เห็นมีใครโต้แย้งเลย ไม่ว่าโลหิตจะมาจากไหน แต่ธาตุต่างๆ จะต้องมาจากอาหารอย่างแน่นอน เมื่ออาหารลงไปถึงกระเพาะแล้วผ่านการย่อยลงไปสู่ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก ธาตุส่วนมากกลายเป็นของเหลว เมื่อลำไส้ยาว 8 เมตร ดูดธาตุต่างๆ เสร็จก็จะส่งไปสู่ลำไส้ออกของที่ทวารหนักซึ่งเป็นของที่ไม่มีประโยชน์สำหรับร่างกาย

4. กระเพาะเป็นแผลเน่า ดื่มน้ำ 1 สัปดาห์ก็เห็นผล โรคความดันโลหิตสูง ดื่มน้ำ 1 เดือนเริ่มเห็นผล กระเพาะบิด 3 เดือนเริ่มเห็นผล ท้องผูก 3 วันก็เห็นผล ท้องเป็นบิดกับปัสสาวะกลางคืนบ่อยๆ ดื่มน้ำ 1 สัปดาห์ก็เห็นผล เข็ดเมื่อยตามข้อ 3 เดือนเห็นผล ผู้สูงอายุเข็ดเมื่อยทั้งร่างกาย ดื่มน้ำ 2 เดือน เห็นผล โดยเฉพาะผู้ที่โลหิตคั่งอยู่ในสมอง เกิดเป็นลมขึ้นเป็นมายังไม่เกิน 3 เดือน ดื่มน้ำเพียงสัปดาห์เดียวก็หายเหมือนเดิม รับรองไม่พิการหรือเป็นอัมพาต

ผู้ที่ดื่มน้ำควรทราบ ดื่มน้ำสุกดีที่สุด หากดื่มน้ำประปา ควรจะใส่ขวดไว้แรมคืนให้ตกตะกอนเสียก่อนเพื่อป้องกันท้องร่วง เวลารับประทานอาหารดื่มน้ำได้ตามปกติ แต่หลังอาหารสองชั่วโมงไม่ควรดื่มอีก ก่อนเข้านอนไม่ควรรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามรับประทานน้ำส้มคั้น และจำพวกแอปเปิ้ล ผู้ที่มีโรคประจำตัวดื่มน้ำทีเดียว 5 แก้วไม่ใช่ของง่าย ดื่มน้ำเสร็จทางที่ดีใช้หรือออกกำลังสัก 20นาที คนไข้ที่นอนอยู่บนเตียงไม่สามารถลุกขึ้นได้ ดื่มน้ำเสร็จให้สูดอากาศเข้าปอดให้มากๆ และนวดที่บริเวณที่สะเอวให้น้ำไหลลงสู่ลำไส้ให้สะอาด ดื่มน้ำวันแรกภายใน 1 ชั่วโมง จะปัสสาวะ 3 ครั้งติดๆ กัน แต่ต่อไป 3 - 4 วัน การถ่ายท้องจะเป็นปกติภายใน 7 - 8 วัน การปัสสาวะเป็นเพียงครั้งเดียว นับแค่นั้นไปจะรู้สึกร่างกายสบาย เวลารับประทานอาหารจะรู้สึกอร่อยเป็นพิเศษ นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่ากระเพาะลำไส้ได้ถูกชำระสะอาดแล้ว ผู้ที่หมดหวังแล้วจะรอดตายด้วยวิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่างๆ นี้ จึงเขียนมาให้ทราบโดยทั่วกัน ขอให้ทุกท่านจงปราศจากการไข้และป่วยต่างๆ

ข้อควรทราบ หลังจากอาตมาได้ทราบตามข้อนี้ และได้ปฏิบัติตาม รู้สึกว่าโรคต่างๆ ที่คนชราโดยมากเป็นอยู่บัดนี้รู้สึกว่าเริ่มสบายขึ้นเป็นลำดับเห็นว่าเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมจึงขอยืนยันมาให้ทราบ เป็นการกุศลต่อไป ท่านที่รับหลักการนี้ไปปฏิบัติแล้ว ถ้ามีประโยชน์ดีควรเผยแพร่ต่อไปเพื่อเป็นการกุศล.

สร้อยนภา กันทาแจ่ม

เมนูห้ามรับประทานขณะท้องว่าง

ก่อนที่จะรับประทาน ควรเลือกชนิดของอาหารเสียก่อนนะคะ เพราะบางทีอาหารที่เราทานลงไปทั้งๆ ที่มีประโยชน์แต่ไม่ถูกเวลา ก็อาจส่งผลเสียบางอย่างที่เราคาดไม่ถึงก็ได้ค่ะ ไปดูกันว่าอาหารที่ไม่ควรรับประทานขณะท้องว่างมีชนิดใดบ้าง

นมและนมถั่วเหลือง

แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหารมีสาร

ประเภทแป้งอยู่

เหล้า

หากดื่มเหล้าในขณะท้องว่าง จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ

และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

น้ำตาลหรืออาหารหวาน

ไม่ควรรับประทานอาหารหวานหรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะหากรับประทานขณะ

ท้องว่างจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิดและลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต

ชาที่แก่เกินไป

ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงานของระบบย่อยอาหารลดลง

และเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะมือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ

ลูกพลับ

ไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไป

รวมตัวกับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้ว จะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร

กล้วย

เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วยขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุ

แมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไปเป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือด

หัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

กระเทียม

เพราะจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารได้รับการกระตุ้น เกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง

ผัก

การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปกติ

นอกจากนั้นยังไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกายด้วยเช่นกัน เพราะการอาบน้ำและการออกกำลังกายใน

ขณะที่ท้องว่าง จะทำให้เกิดอาการช็อกเนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย อย่าลืมสิ่งใดที่มีคุณอนันต์ก็

อาจมีโทษมหันต์เช่นกัน ถ้าคุณปฏิบัติอย่างผิดวิธี

สวัดดีครับอาจารย์

ทักทายครับผม ผมไปอ่านเจอเรื่องอาหารสำหรับคนประเภทต่างๆครับคิดว่ามีประโยชน์กับคนที่ได้อ่านแน่นอนครับ (ไม่รู้ว่าซ้ำหรือปร่าวนะครับ)

คำแนะนำสำหรับกลุ่มต่างๆ

1.อาหารที่รับประทานต้องมีพลังงานเพียงพอ และมีสารอาหารเพียงพอ

กลุ่มคนทั่วๆไป

•รับประทานอาหารหลากหลายให้ครบห้าหมู่โดยหลีกเลี่ยงอาหารไขมันอิ่มตัว [Saturated fat],Tranfatty acid น้ำตาล เกลือ และสุรา

•ปริมาณพลังงานที่ได้รับไม่ควรเกินค่าที่กำหนด

กลุ่มคนต่างๆ

•ผู้ที่สูงอายุมากกว่า 50 ปีควรจะได้รับวิตามิน B12 เสริม

•หญิงตั้งครรภ์หรือวางแผนตั้งครรภ์ควรจะเสริมอาหารที่มีธาตุเหล็ก และอาหารที่มีวิตามินซีสูงเพื่อเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก

•หญิงตั้งครรภ์หรือวางแผนตั้งครรภ์ควรจะเสริมอาหารที่มีกรดโฟลิก

•ผู้สูงอายุที่มีผิวคล้ำหรือไม่ถูกแดดควรจะได้วิตามินดีเสริม

2.กลุ่มคนอ้วนหรือมีน้ำหนักเกิน

คำแนะนำ

•การควบคุมน้ำหนักจะต้องรับประทานอาหารให้พลังงานที่ได้รับและใช้ไปเกิดความสมดุล

•การลดน้ำหนักจะต้องค่อยลดพลังงานที่ได้รับจากอาหารโดยที่ไม่ขาดสารอาหาร และเพิ่มการออกกำลังกาย

•สำหรับเด็กที่มีน้ำหนักเกินจะต้องปรึกษาแพทย์ดูแล ก่อนการจำกัดอาหาร

•สำหรับคนท้องต้องควบคุมน้ำหนักอย่าให้เกิน

•สำหรับคนทั่วไปที่มีโรคจะต้องปรึกษาแพทย์ก่อนการควบคุมอาหาร

การจัดการเรื่องน้ำหนัก

ปัญหาเรื่องคนอ้วนหรือน้ำหนักเกินเป็นปัญหาทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย นอกจากนั้นยังว่าว่าเด็กและเด็กวัยรุ่นมีปัญหาเรื่องน้ำหนักเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคเรื้องรังต่างๆตามมา คนที่มีน้ำหนักเกินมักจะเกิดจากพฤติกรรมในการรับประทานอาหารที่มากเกินไป และพฤติกรรมในการออกกำลังกายน้อยเกินไป ลำพังการลดปริมาณวันละ 100 กิโลแคลอรีก็จะป้องกันน้ำหนักเพิ่ม หรือลดปริมาณลงวันละ 500 กิโลแคลอรีก็จะทำให้น้ำหนักลดลงได้ แต่การลดน้ำหนักโดยให้ลดอาหารเป็นเรื่องยากจึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใส่น้ำตาล หรือการรับประทานอาหารมัน หรือเครื่องดื่ม คำแนะนำสำหรับการลดน้ำหนัก

•การรักษาน้ำหนักให้ดีต้องปรับพลังงานที่ได้จากอาหารที่รับประทาน ให้สมดุลกับพลังงานที่เราใช้(น้ำหนักเท่าเดิม)

•การป้องกันน้ำหนักเกินทำได้โดยการลดปริมาณอาหาร ลดน้ำตาล และเพิ่มการออกกำลังกาย

คำแนะนำสำหรับคนอ้วนแต่ละกลุ่ม

•สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักต้องลดอาารที่มีแคลรี่ต่ำ

3.การออกกำลังกาย

ส่งเสริมให้มีกิจกรรมให้มาก อย่านั่งๆนอนๆจะทำให้สุขภาพกาย สุขภาพใจ และการควบคุมน้ำหนักดีขึ้น

•สำหรับผู้ใหญ่ ส่งเสริมให้มีกิจกรรมที่ใช้พลังงานปานกลาง มากกว่าปกติวันละ 30 นาทีทุกวันไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน หรือที่บ้าน เช่นการถูบ้าน การเดินขึ้นบันได การเดินเร็วๆไปจ่ายตลาด

•ถ้าต้องการให้สุขภาพแข็งแรงให้ออกกำลังกายชนิดหนัก หรือออกกำลังกายนานขึ้น

•ถ้าต้องการควบคุมน้ำหนักหรือป้องกันน้ำหนักเพิ่มต้องออกกำลังกายชนิดปานกลางหรือชนิดหนักวันละ 60 นาทีทุกวัน โดยที่รับประทานอาหารที่มีพลังงานเท่าเดิม

•ถ้าต้องการลดน้ำหนักลดน้ำหนักต้องออกกำลังกายปานกลางถึงหนักวันละ 60-90 นาทีโดยที่รับประทานอาหารที่ให้พลังงานไม่เกิน

ส่งเสริมให้ร่างกายแข็งแรงโดยการ ออกกำลังเพื่อให้หัวใจแข็ง ออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ออกกำลังกายเพื่อให้ข้อเคลื่อนไหวได้ดี ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายมีความอดทน

การออกกำลังสำหรับกลุ่มต่างๆ

•เด็กและวัยรุ่นให้ออกกำลังกายวันละ 60 นาทีทุกวัน

•ในคนท้องที่ไม่มีข้อห้ามในการออกกำลังกายให้ออกกำลังปานกลางวันละ 30นาทีทุกวัน แต่ต้องหลีกเลี่ยงการออกกำลังที่จะเกิดอันตรายต่อการตั้งครรภ์

•ผู้สูงอายุต้องมีกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อลดอัตราการเสื่อมของอวัยวะ

ข้อเท็จจริงบางประการ

•ปี 2002ร้อยละ 25 ของประกรของอเมริกาไม่ได้ออกกำลังกาย

•ปี2003 ร้อยละ 38 ของประชากรวัยรุ่นใช้เวลาดูทีวีวันละ 3 ชั่วโมง

•การออกกำลังกายชนิดหนักจะให้ผลดีต่อสุขถาพดีกว่าชนิดปานกลาง และใช้พลังงานมากว่า

•การออกกำำลังกายจะทำให้การควบคุมอาหารทำได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราคนที่ออกกำลังกายสามารถรับประทานอาหารได้เพิ่มขึ้น

•ต้องป้องกันร่างกายขาดน้ำโดยการดื่มอย่างเพียงพอ หรือดื่มขณะออกกำลังกาย หรือหลังการออกกำลังกาย

•ให้มีการออกกำลังกายอย่างสมำ่เสมอ ลดการนอนหรือดูทีวีซึ่งจะทำให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตดี

•เด็กและวันรุ่นต้องออกกำลังกายวันละ 60 นาทีทุกวัน

•คนท้องหากไม่มีข้อห้ามในการออกกำลังกายให้ออกกำลังกายปานกลางวันละ 30 นาทีทุกวัน แต่ต้องหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการหกล้ม

•คนให้นมบุตร ต้องตระหนักว่าการออกกำลังกายอาจจะทำให้น้ำนมลดลง

4.คำแนะนำชนิดของอาหาร

•รับประทานผักและผลไม้ให้มากโดยรับประทานน้ำผลไม้วันละ 2 แก้ว ผักวันละ 2 ถ้วย

•ให้มีการรับประทานผักและผลไม้ที่หลากหลายสับเปลี่ยนกันอยู่ตลอดเวลา

•ให้รับประทานธัญพืชวันละกำมือ เช่นถั่วต่าง เม็ดทานตะวัน เม็ดแตงโม

•ให้รับประทานนมพร่องมันเนยหรือผลิตภัณฑ์นมพร่องมันเนยวันละ 3 ถ้วย

•เด็กและวัยรุ่นต้องรับประทานธัญพืชบ่อยๆ เด็กอายุ 2-8ขวบควรจะดื่มนมพร่องมันเนยวันละ 2 แก้ว เด็กมากกว่า 9 ขวบควรดื่ม 3 แก้ว

กลุ่มอาหาร

•เลือกรับประทานผักและผลไม้อย่างเพียงพอโดยพลังงานที่ได้รับต้องไม่เกินเกณฑ์ตัวอย่างคนที่ได้รับพลังงาน 2000 กิโลแคลรอรีจะรับผลไม้ได้ไม่เกิน ผัก 21/2ถ้วยหรือนำผลไม้ไม่เกิน 2 ถ้วย

•ให้เลือกผักและผลไม้ทั้ง 5 กลุ่มสับไปมา

•ให้รับประทานส่วนประกอบของธัญพืช หรือเมล็ดธัญพืช เช่น ข้าว อย่างน้อยวันละ 3 ส่วน

•ดื่มนมพร่องมันเนยวันละ 3 ถ้วย

กลุ่มผักและผลไม้

•ผลและผลไม้เป็นแหล่งให้สารอาหารแก่ร่างกายเป็นจำนวนมากตามตารางข้างล่าง

•การรับประทานผักและผลไม้จะทำให้ร่างกายได้รับใยอาหารอย่างเพียงพอ

•ผลและผลไม้แต่ละชนิดจะให้คุณค่าทางอาหารแตกต่างกันไป ดังนั้นต้องสับเปลี่ยนกันไปในแต่ละอาทิตย์ แบ่งผักออกเป็น 5 ชนิดและปริมาณที่ควรจะรับประทานในแต่ละสัปดาห์

oผักใบเขียว 3ถ้วยต่อสัปดาห์

oผักใบเหลือง 2 ถ้วยต่อสัปดาห์

oถั่ว 3 ถั่วต่อสัปดาห์

oผักพวกใหแป้ง(ผักพวกหัว) 3 ถั่วต่อสัปดาห์

oผักอื่นๆ 6 1/2 ต่อสัปดาห์

ธัญพืชครบส่วน Whole grain

ธัญพืชครบส่วนเป็นแหล่งที่ให้ใยอาหารและสารอาหาร ปกติเมล็ดพืช จะมีส่วนประกอบที่สำคัญคือ เปลือก รำ ส่วนแพร่พันธ์ และอาหารสำหรับเลี้ยงส่วนแพร่พันธ์ เมื่อเรากระเทาะเอาเปลือกออกก็จะเหลือธัญพืชครบส่วน(ซึ่งประกอบด้วย รำ ส่วนแพร่พันธ์ และอาหาร) หากเรานำไปขัดก็จะสูญเสียสารอาหารที่สำคัญ vitamins, minerals, lignans, phytoestrogens, phenolic compounds, and phytic acid. ธัญพืชที่ผ่านการขัดบางชนิดจะมีการเติมวิตามินบางชนิดก่อนขาย แนะนำว่าควรจะรับอาหารธัญพืขครบส่วนอย่างน้อยวันละ 3 ออนซ์ ตัวอย่างสำหรับแป้งที่ทำจากธัญพืช

5.คำแนะนำสำหรับอาหารไขมัน

•รับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว saturated fat ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของพลังงานที่ได้รับหรือไม่เกินวันละ 300 กรัมของคลอเลสสเตอรอลล์ และหลีกเลี่ยงไขมันชนิด trans fatty acid

•ปริมาณพลังงานที่ได้จากไขมันต้องไม่เกิน 30%ของปริมาณทั้งหมด และควรจะเป็นพวกไขมันไม่อิ่มตัวpolyunsaturated

and monounsaturated fatty acids จากพืชและถั่ว

•เมื่อจะรับประทานเนื้อสัตว์ต้องเลือกเนื้อที่มีไขมันต่ำ เช่นเนื้อสันใน หรือแกะเอาหนังและไขมันทิ้ง

•ลดการรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมัน trans fatty

•สำหรับเด็กเล็กอายุ 2-3 ขวบให้รับประทานไขมันได้ถึงร้อยละ 30-35 สำหรับเด็กอายุ 4-18 ปีให้รับประทานอาหารไขมันได้ถึงร้อยละ 25-35 และแหล่งไขมันควรจะเป็นไขมันไม่อิ่มตัว polyunsaturated and monounsaturated

fatty acids,เช่น ปลา ถั่ว และน้ำมันพืช

6.คำแนะนำสำหรับอาหารจำพวกแป้ง

•รับประทานอาหารพวกแป้งที่มีใยอาหารสูง ได้แก่ผักและผลไม้

•การปรุงอาหารไม่ไส่เกลือหรือน้ำตาลมากเกินไป

•ป้องกันฟันผุโดยการลดน้ำตาลและเครื่องดื่ม

7.การรับประทานอาหารที่มีเกลือต่ำ

•สำหรับคนทั่วไปให้รับประทานอาหารที่มีเกลือน้อยกว่า 2300 มิลิกรัม(ประมาณ 1 ช้อนชา)

•เวลาปรุงอาหารให้ใส่เกลือให้น้อยที่สุด

•สำหรับคนที่เสี่ยงต่อโรคความดํนโลหิตสูง(คนที่มีประวัติครอบครัวเป็นความดันโลหิตสูง อ้วน ผิวดำ โรคเบาหวาน)ต้องรับประทานเกลือเพียง 1500มิลิกรัม และรับประทานเกลือโปแตสเซียมวันละ 4700 มิลิกรัม

8.คำแนะนำเรื่องการดื่มสุรา

•สำหรับผู้ที่ต้องการดื่มสุราใหดื่มได้ไม่เกิน 1และ 2 หน่วยสุราสำหรับหญิงและชาย

•ผู้ที่มีโรคประจำตัวเช่นความดันโลหิตสูง หรือโรคหัวใจไม่ควรดื่มสุรา

•ผู้ที่ไม่สามารถจะจำกัดการดื่มสุรา หญิงตั้งท้อง หญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เด็ก วัยรุ่น หรือผู้ที่รับประทานยาเป็นประจำไม่ควรจะดื่มสุรา

9.คำแนะนำเรืองการรับประทานอาหารอย่างปลอดภัย

•ล้างมือ อาหาร ผลไม้ทุกครั้ง

•เวลาไปวื้อาหาร ให้แยกอาหารที่พร้อมรับประทานออกจากอาหารสด

•ปรุงอาหารให้สุก

•อาหารที่แช่เย็นหรือแช่แข็งต้องทำละลายก่อนไปปรุงอาหาร

•หลีกเลียงอาหารสุกๆดิบๆ นมที่ไม่ได้มีการฆ่าเชื้อโรค ไข่ดิบ

แนวทางการรับประทานอาหารร่วมกับการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะช่วยลดอุบัติการณ์ของโรคต่าง

หากใช้เกณฑ์การรับประทานอาหารใหม่จะต้องปรับอาหารอย่างไร ปริมาณวิตามินที่ควรจะรับประทานในแต่ละอายุ

เกณฑ์อาหารสุขภาพใหม่ของอเมริกาเพิ่งจะประกาศ การทำเกณฑ์ใหม่จะอาศัยของมูลทางวิชาการซึ่งมีหลักฐานสนับสนุน เกณฑ์ใหม่นี้จะมีการเปลี่ยนแปลงหลายประการ และจะลงรายละเอียดถึงปริมาณสารอาหารรวมทั้งเกลือแร่ มีการศึกษาพบว่าลำพังการรับประทานอาหารให้ถูกต้องจะลดอัตราการเสียชีวิตลงได้ร้อยละ 16 และ9สำหรับชายและหญิงที่มีอายุมากกว่า 45 ปีการเปลี่ยงแปลงมีดังนี้ี้

•ปริมาณผลไม้จะต้องมีการเพิ่มปริมาณที่รับประทานอีกร้อละ 100-150 เพิ่ม .8-1.2 ถ้วยตวง

•ต้องมีการเพิ่มปริมาณผักอีกร้อยละ 50 เพิ่ม0.9 ถ้วยตวง

•ต้องดื่มนมเพิ่มอีกร้อยละ 50-100 เพิ่ม 1.2-1.6 ถ้วงตวง

•เนื้อสัตว์ลดลงร้อยละ10 เนื้อสัตว์ลดลง 1.4 oz

•ลดอาหารไขมันลงร้อยละ10 ลดลง 4.2 กรัม

•เพิ่มผักใบเขียวประมาณ ครึ่งถ้วยตวง

•เพิ่มส้ม 0.2 ถ้วงตวง

•เพิ่มอาหารจำพวกถั่ว 0.3 ถั่วตวง

•เพิ่มธัญพืช 2.2 oz

•ลดไขมัน 18-27 กรัม

•ลดน้ำตาล 14-18 ช้อนชา

วันหลังจะมาทักทายใหม่ครับ

แหล่งที่มา>>http://www.siamhealth.net

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์อีส เลขที่ 2

ไขมัน

ประกอบด้วย คาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน โมเลกุลของไขมัน ประกอบด้วยกรีเซอรีน 1 โมเลกุล และกรดไขมัน 3 โมเลกุล ซึ่งอาจเป็นกรดไขมันชนิดเดียวกันหรือต่างกันได้ ไขมันมีหลายชนิด แล้วแต่ชนิดของกรดไขมันที่เป็นส่วนประกอบ กรดไขมันมีอยู่ 2 ชนิด ดังนี้

1.กรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย เป็นกรดไขมันที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ เช่น กรดไลโนเลอิค มีมากในน้ำมันพืช

2.กรดไขมันที่ไม่จำเป็นต่อร่างกาย เป็นกรดไขมันที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้ มีอยู่ในอาหารไขมันทั่วไป

หน้าที่ของไขมัน

1.ให้พลังงานมากกว่าสารอาหารประเภทอื่นๆ คือ ไขมัน 1 กรัมจะให้พลังงาน 9 แคลอรี่

2.ไขมันในอาหารช่วยให้อาหารนุ่มขึ้น และอร่อยขึ้น

3.ช่วยละลายวิตามิน(เอ ดี อี เค) และช่วยดูดซึมวิตามินดังกล่าวในระบบทางเดินอาหาร ถ้าขาดไขมัน ก็จะทำให้วิตามินในร่างกายไม่ได้นำไปใช้ ประโยชน์ได้เท่าที่ควร

4. ไขมันย่อยได้ช้ากว่าคาร์โบไฮเดรตและโปรตีน ทำให้อยู่ในกระเพาะอาหารเป็นเวลานานกว่า ทำให้รู้สึกอิ่มได้นาน

5.ไขมันในร่างกายช่วยป้องกันการกระทบกระเทือนของอวัยวะภายในได้

6.เป็นสื่อความร้อนที่ไม่ดี ทำให้ช่วยป้องกันการสูญเสียความร้อนภายในร่างกาย

7.ในน้ำมันพืช จะให้กรดไขมันที่ดีต่อร่างกาย

น.ส. ปิยะธิดา งามประจบ วิทย์ออก 2 เลขที่ 79

วิธีดูแลรักษา แปรงสีฟัน

แปรงสีฟันที่ใช้กันเป็นประจำ อาจเป็นที่รวมตัวของเชื้อแบคทีเรีย วันนี้มีวิธีดูแลรักษาแปรงสีฟันมาฝากกันค่ะ...

- อย่าใช้แปรงสีฟันร่วมกัน เพราะการใช้แปรงร่วมกัน โอกาสสัมผัสกับน้ำลาย เลือด ของอีกคนได้ง่ายมาก ๆ เสี่ยงต่อการติดเชื้อโดยตรง

- ล้างขนแปรงด้วยน้ำก๊อก หลังจากแปรงฟันเสร็จ เพื่อเอายาสีฟันที่ค้างและสิ่งสกปรกออก แล้ววางให้ตั้งตรง ให้ขนแปรงถูกอากาศพัดให้แห้ง หากมีแปรงหลายอัน ก็อย่าให้ขนแปรงมาชนกันหรือสัมผัสกันเพื่อป้องกันการปนเปื้อน

- อย่าเก็บแปรงในกล่องปิด เพราะแบคทีเรียจะเจริญเติบโตได้ดีในที่ชื้น ๆ แต่ถ้าขนแปรงถูกอากาศ ก็จะไม่เปียก แบคทีเรียไม่ชอบ

- ควรเปลี่ยนแปรงสีฟันทุก ๆ 3-4 เดือน อย่าใช้แปรงจนขนแปรงบาน เพราะประสิทธิภาพในการขจัดเอาเศษอาหารจะลดลง แถมยังอาจทำร้ายเหงือกอีกด้วย

รู้อย่างนี้แล้วก็เก็บรักษาแปรงสีฟันให้ดี ๆ เพื่อห่างไกลจากแบคทีเรียนะค๊ะ...

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์อีส เลขที่ 2

โปรตีน สารอาหารที่สำคัญที่สุดของร่างกาย

โปรตีนสำคัญอย่างไรต่อร่างกาย

โปรตีน เป็นสารอาหารที่เราควรให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก เพราะ 80 เปอร์เซ็นต์ของร่างกาย ล้วนแต่ประกอบด้วยโปรตีน ดังนั้นหากร่างกายเราขาดโปรตีนแล้ว จะก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายมากมายอย่างเห็นได้ชัดเจนมาก

โปรตีนคืออะไร

โปรตีน คือ โครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่สร้างเซลล์แต่ละเซลล์ขึ้นมา ร่างกายเราจะมีการผลัดเซลล์เก่าและสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทน เพื่อซ่อมแซมตัวเองอยู่ตลอดเวลา โปรตีนจึงเป็นสารอาหารที่จำเป็นอย่างมากสำหรับทุกเซลล์ในร่างกาย

โครงสร้างของโปรตีน

ประกอบขึ้นจากจากโครงสร้างเล็กๆที่เรียกว่า “กรดอะมิโน” ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 22 ชนิด แบ่งเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1. กรดอะมิโนจำเป็น มีทั้งหมด 9 ชนิด ร่างกายไม่สามารถผลิตเองได้ จำเป็นต้องได้จากการรับประทานอาหารเท่านั้น

2. กรดอะมิโนไม่จำเป็น เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายสามารถสร้างเองได้ มีทั้งหมด 13 ชนิด

โปรตีนที่มีคุณภาพ

หมายถึง แหล่งของโปรตีนที่ที่ให้ปริมาณกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน

-แหล่งโปรตีนที่สมบูรณ์ เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่วเหลือง

-แหล่งโปรตีนที่ไม่สมบูรณ์ เช่น ผัก และธัญพืช

คุณประโยชน์หลักของโปรตีนที่มีคุณภาพ

1. ประโยชน์ต่อเซลล์ผิว มีหน้าที่สร้างใยคลอลาเจนใต้ชั้นผิวหนังในร่างกาย ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น และช่วยเชื่อมประสานแต่ละเซลล์ให้ยืดติดกันเป็นเนื้อเดียว ทั้งช่วยปกป้องริ้วรอยก่อนวัยได้ และยังช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเซลล์ผมและเล็บของเราอีกด้วย

2. ประโยชน์ต่อระบบกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อทุกมัดมีโครงสร้างพื้นฐานจากกรดอะมิโนหลากหลายชนิดเรียงร้อยกันเป็นมัดกล้าม ดังนั้นโปรตีนคุณภาพจึงมีความสำคัญในการสร้ามเนื้อให้แข็งแรง

3. ประโยชน์ต่อการฟื้นตัวของร่างกายและระบบภูมิต้านทาน โปรตีนคุณภาพมีส่วนช่วยในการทดแทนเซลล์ที่สูญเสียไปในแต่ละวัน ช่วยลดกลไกการแข็งตัวของเลือด รวมทั้งเป็นส่วนประกอบหลักของภูมิคุ้มกันในร่างกายด้วย

4. ประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร เนื่องจากอาหารที่เราทานเข้าไป ต้องใช้เอนไซม์หลายชนิด รวมถึงสารคัดหลั่งจากกระเพาะอาหาร ตับอ่อน และลำไส้เล็ก เพื่อช่วยแปรเปลี่ยนอาหารให้มีหน่วยเล็กลงและสามารถดูดซึมได้ง่าย หากร่างกายได้รับโปรตีนคุณภาพซึ่งเป็นส่วนประกอบของเอนไซม์ในปริมาณที่เพียงพอ ก็จะช่วยให้อาหารต่างๆ ถูกย่อยและดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ภาวะการขาดโปรตีน สังเกตได้จาก

1.การเจริญเติบโตและพัฒนาการช้า

2.ผิวหนังที่เป็นแผลจะหายช้ากว่าปกติ

3.เล็บฉีกขาดง่าย ซีดเซียว

4.ผิวหนังหยาบกร้าน

5.ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย

6.ผมมีเม็ดสีจาง ทำให้ผมหงอกก่อนวัย หลุดร่วงง่าย และแห้งแตกปลาย

7.เกิดภาวะโลหิตจาง

8.สมองทำงานช้ากว่าปกติ

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์อีสเทอร์น)

!!!พอนึกถึงแปรงสีฟันแล้ว เรามักจะตั้งคำถามอยู่บ่อยๆ ว่าจะเลือกแปรงอย่างไรดี เอาแบบด้ามตรง ด้ามงอ หรือขนแปรงนิ่ม อ่อนแข็งขนาดไหน? แปรงสีฟันเป็นของจำเป็นที่ใช้ทุกวันในการขจัดคราบอาหาร สิ่งสกปรกที่ติดตามตัวฟัน เพื่อป้องกันฟันผุและเหงือกอักเสบ

อีกมุมมองหนึ่ง คุณทราบไหมว่า แปรงสีฟันเป็นที่กักเก็บเชื้อโรคได้อย่างดียิ่ง !!

ปัจจุบันนี้มีการวิจัยพบว่าแปรงสีฟันเป็นที่อาศัยของเชื้อโรคที่อาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้ทั้งในช่องปากและไปสู่ส่วนต่างๆ ของร่างกาย ปกติแล้วในช่องปากเป็นที่สะสมของแบคทีเรียหลายร้อยชนิด การที่เชื้อจากคนหนึ่งจะไปสู่อีกคนหนึ่ง แปรงสีฟันก็เป็นสาเหตุได้เช่นกัน เป็นบ้านอย่างดีของแบคทีเรีย เมื่อ...

• แปรงสีฟันสัมผัสกับน้ำลาย

• ถูกเลือดโดยเฉพาะคนที่เป็นโรคเหงือกอักเสบ

ทราบกันดีอยู่ว่ามีหลายโรคที่แพร่กระจายทางน้ำลายและเลือด เช่น ไวรัสตับอักเสบ HIV เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็มีการศึกษาว่าจะทำอย่างไร ที่จะลดเชื้อแบคทีเรียไม่ให้มาสะสมที่แปรงสีฟัน สมาคมทันตแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกาเขาแนะนำว่าการดูแลรักษาแปรงสีฟันอย่างนี้ครับ

• อย่าใช้แปรงสีฟันร่วมกัน เพราะการใช้แปรงร่วมกัน โอกาสสัมผัสกับน้ำลาย เลือด ของอีกคนได้ง่ายมากๆเสี่ยงต่อการติดเชื้อโดยตรงเลยครับ

• ล้างขนแปรงด้วยน้ำก๊อก หลังจากแปรงฟันเสร็จ เพื่อเอายาสีฟันที่ค้างและสิ่งสกปรกออก แล้ววางให้ตั้งตรง ให้ขนแปรงถูกอากาศพัดให้แห้ง หากมีแปรงหลายอัน ก็อย่าให้ขนแปรงมาชนกันหรือสัมผัสกันเพื่อป้องกันการปนเปื้อน

• อย่าเก็บแปรงในกล่องปิด เพราะแบคทีเรียจะเจิรญเติบโตได้ดีในที่ชื้นๆ แต่ถ้าขนแปรงถูกอากาศ ก็จะไม่เปียก แบคทีเรียไม่ชอบ จึงควรวางให้แห้งด้วยอากาศดีกว่า

• ควรเปลี่ยนแปรงสีฟันทุกๆ 3-4 เดือน อย่าใช้แปรงจนขนแปรงบานนะครับ เพราะประสิทธิภาพในการขจัดเอาเศษอาหารจะลดลง แถมยังอาจทำร้ายเหงือกมากขึ้นด้วย อย่าเสียดายเลย ต้องเปลี่ยนแปรงตามระยะ อย่างไรเสียค่าทำฟันก็แพงกว่าค่าแปรงสีฟันมากครับ

แปรงให้ถูกวิธี จัดเก็บแปรงให้ถูกต้อง สุขภาพฟันของคุณจะสมบูรณ์และมีฟันให้เคี้ยวอาหาร

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

นวดหน้าบอกลาริ้วริย!!!

1. เริ่มจากบริเวณหน้าผาก ให้ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางเริ่มจากกึ่งกลางหน้าผากนวด วนขึ้นเป็นแนวขดลวด (ขึ้นหนักลงเบา) นวดจนถึงบริเวณขมับ 6 จังหวะ ทำซ้ำ 3 ครั้ง โดยครั้งสุดท้ายให้กดจุดที่ขมับเพื่อความผ่อนคลาย

2. บริเวณรอบดวงตา และยกกระชับริมฝีปาก ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางนวดเบาๆ บริเวณใต้ตา โดยเริ่มจากแนวโครงกระดูกเบ้าตาล่าง วนไปมาเบาๆ นับ 1 ครั้ง (ทำซ้ำ 3 ครั้ง) จากนั้นเริ่มนวดจากบริเวณใต้โพรงจมูก ลูบออกด้านข้างในลักษณะบกผิวขึ้น ลูบไปมา 3 ครั้ง และเลื่อนนิ้วลงมาบริเวณใต้ท้องริมฝีปากล่าง ลูบออกตามแนวริมฝีปากในลักษณะยกขึ้น ทำซ้ำ 3 ครั้ง

3. ยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณมุมปาก ใช้ปลายนิ้วทั้งสองข้างนวดจากบริเวณกึ่งกลางคางขึ้นไ ปที่บริเวณมุมปากในลักษณะยกขึ้น (ทำซ้ำ 3 ครั้ง)

4. ยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณแก้ม ใช้ปลายนิ้วทั้งสองข้างนวดจากบริเวณมุมปากในลักษณะยก ผิวขึ้นเป็นมุมกว้าง ค้างไว้สักครู่แล้วค่อยลูบลง (ทำซ้ำ 3 ครั้ง)

5. ผ่อนคลายความตึงเครียดบริเวณดวงตา ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางกดบริเวณหัวตาทั้ง 2 ข้าง กดเบาๆ นับ 1-3 แล้วลูบผ่านเปลือกตา และวนรอบดวงตา กลับมากดที่หัวตา (ทำซ้ำ 3 ครั้ง) โดยครั้งสุดท้ายลูบผ่านเปลือกตาไปกดจุดที่บริเวณขมับ

คนึงนิจ (ฟาร์อีสเทอร์น) 006

สาเหตุของการมีพุง แต่ไม่ใช่เพราะไขมัน

สาเหตุของพุงป่องไม่ใช่จากการรับประทานเพียงอย่างเดียว และคนพุงป่องก็ไม่ได้แปลว่าอ้วนด้วย แต่อาจเป็นเพียงอาการบวมน้ำเท่านั้น

- การแพ้อาหาร

บางครั้งอาการท้องบวมอาจเกิดจากอาการระคายเคืองหรือการติดเชื้อของระบบย่อยอาหารในช่องท้อง หรืออาจรวมถึงการรับประทานยาบางชนิดที่ทำให้บวมน้ำและยังรวมไปถึงการมีรอบเดือนด้วย แต่ถ้ารู้สึกว่าหน้าท้องบวมขึ้นผิดปกติหลัง ทานอาหารบางชนิด ให้สันนิษฐานได้ว่าน่าจะมีอาการแพ้อาหารเข้าให้แล้ว จากสถิติพบว่าอาหารจำพวกแป้งและนมมีโอกาสทำให้เกิดอาการแพ้และบวมมากที่สุด

- คนที่ชอบหวังพึ่งอาหารลดน้ำหนักจำพวกโลว์-แฟ้ต หรือแฟ้ต-ฟรีมักจะมีปัญหาพุงป่อง เนื่องจากคิดว่ามันเป็นอาหารแคลอรี่ต่ำ จึงสามารถกินมากกว่าปกติ อาหารพวกนี้อาจมีพลังงานน้อยกว่าปกติ แต่มันก็ไม่ได้น้อยขนาดนั้น ทางที่ดีหันมารับประทานผักผลไม้ให้มากขึ้นจะดีกว่า รวมทั้งรับประทานอาหารที่มีเอนไซม์ช่วยย่อย อาทิ น้ำมะนาว น้ำส้มสายชูสกัดจากแอ๊ปเปิ้ล หรือผักสดต่าง ๆ

- กินช้า ๆ แต่บ่อย ๆ

ค่อย ๆ เคี้ยวอาหารช้า ๆ เพื่อให้ประสาทรับรู้ค่อย ๆ รู้สึกอิ่ม และในแต่ละมื้ออย่ากินให้เยอะจนอิ่มแน่นท้อง ควรแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อย่อย ๆ แต่อย่ากินขนมจุบจิบจำพวกขนมนมเนยต่าง ๆ เลือกกินผลไม้หรือธัญพืช เมื่อหิวระหว่างมื้อจะดีกว่า

- ดื่มน้ำให้มาก

อาการบวมน้ำนี้ ควรดื่มน้ำให้ได้อย่าง ต่ำ 8 แก้วต่อวัน แต่วิธีการดื่มนั้นอย่าดื่มหมดแก้วในคราวเดียวควรจิบ น้ำบ่อย ๆ เรื่อย ๆ เพราะการที่ดื่มน้ำแก้วใหญ่ในคราวเดียว จะทำให้กระเพาะปัสสาวะขยายใหญ่ ถ้าจะให้ดีลองเลือกดื่มชาสมุนไพร อาทิ ชาเป็ปเปอร์มินต์ หรือชาคาโมไมล์แทนน้ำเปล่า โดยเฉพาะการดื่มในช่วงหลังอาหาร จะช่วยให้อาหารที่รับประทานเข้าไป ย่อยได้ดีขึ้นด้วย

เรียนแฮนบอลแระก็ต้องรู้ประโยชน์กานซะมั่งนะจร้า

ประโยชน์ของการเล่นกีฬาแฮนด์บอล

1. การเล่นกีฬาแฮนด์บอล เป็นการช่วยเพิ่มสมรรถภาพและประสิทธิภาพในการทำงานของอวัยวะทุกๆส่วนของร่างกาย

2. การเล่นกีฬาแฮนด์บอล นอกจากจะเป็นการส่งเสริมการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ทั้งทางสุขภาพพลานามัยแล้ว ยังเป็นประโยชน์ทางสังคมด้วย

3. ส่งเสริมการเคลื่อนไหว ความคล่องแคล่ว ว่องไว และความสัมพันธ์ในการทำงานของอวัยวะและข้อต่อต่างๆของร่างกาย

4. ส่งเสริมความสามัคคี การเล่นกีฬาด้วยกัน การปฎิบัติตามกฎกติกาด้วยกัน การรับผิดชอบร่วมกัน เป็นการชักนำให้เกิดความสามัคคีในหมู่คณะ

5. การอยู่ในขอบเขตหรือจุดหมายเดียวกัน กฎกติกาที่เหมือนกันจะเป็นการฝึกฝนให้รู้จักเคารพสิทธิของผู้อื่น ไม่ก้าวก่ายหน้าที่ของบุคคลอื่น

6. ฝึกให้รู้จักเป็นผู้เสียสละ รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ไม่เอาเปรียบคู่ต่อสู้ ซึ่งคุณธรรมที่ได้จากสนามเล่นเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตจริง

7. การรู้จักตั้งรับ รู้จักป้องกัน และหลบหลีกคู่ต่อสู้ จะเป็นการฝึกที่ส่งเสริมให้เกิดความเฉลียวฉลาด พร้อมที่จะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ทุกเมื่อ

8. การเล่นกีฬาทำให้ร่างกายแข็งแรง สามารถป้องกันโรคภััยไข้เจ็บได้เป็นอย่างดี ดังเนื้อเพลงกราวกีฬาที่กล่าวไว้ว่า " กีฬา กีฬา กีฬา เป็นยาวิเศษ"

นางสาวสาวิตรี ศรีธรรมราช ม.ฟาร์ เลขที่46

อากาศเย็นเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

จากการรายงานล่าสุด ของ European Society of Cardiology ระบุว่า สิ่งที่ค้นพบนั้น ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร เพราะอากาศเย็น ก็ทำให้เส้นเลือดหดตัวอยู่แล้ว และเมื่อเส้นเลือดหดตัว ก็ทำให้เลือดไหลผ่านได้ยากขึ้น แต่การค้นพบครั้งนี้ นับเป็นเอกสารชิ้นแรก ที่รายงานออกมาว่าอากาศที่มีความผันผวน มีความเกี่ยวพันกับโรคหัวใจ ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง การศึกษาครั้งนี้ ได้ใช้เวลา 2 ปี

โดยนักวิทยาศาสตร์ จาก University of Burgundy ในฝรั่งเศส ได้ทำการทดลองกับคนไข้ 784 คน ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลท้องถิ่น ด้วยอาการของโรคหัวใจ และนักวิจัยพบว่า ในสภาพอากาศเย็น จะมีการรับผู้ป่วยเข้ารักษาในโรงพยาบาลมาก และเป็นเช่นนี้ ทุก ๆ ปี ในช่วงเวลาเดียวกัน

ในการศึกษา ยังพบอีกว่า 50% ของผู้ป่วยด้วยโรคหัวใจ เข้ารับการรักษาอาการความดันโลหิตสูงมาก่อน หรือบางครั้งก็มีอาการเกี่ยวกับความดันโลหิตสูงปรากฏออกมา ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว โรคหัวใจ จะพบบ่อย เมื่ออุณหภูมิลดต่ำกว่า 39.2 F

โรคหัวใจ (Heart Attack) มักจะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง และเมื่ออุณภูมิลดต่ำลงไปมากกว่า 9 องศา ในวันเดียวกัน ผู้ป่วยเหล่านี้ก็จะมีอาการของโรคหัวใจความดันโลหิตนั้น จะเพิ่มขึ้น เมื่ออากาศเย็นลง เพราะเส้นเลือดหดตัวแคบลง ทำให้เลือดไม่ไปเลี้ยงหัวใจ Dr.David Faxon หัวหน้างาน Cardiology ของ University of Chicago และอดีตประธานของ American Heart Association กล่าวว่า งานวิจัยนี้ มีความสำคัญ และทำให้มีการตระหนักในเรื่องของอากาศเย็น และความดันโลหิตมากขึ้น

พร้อมกล่าวอีกว่า ความกดอากาศ ก็เป็นสิ่งที่มีความสำคัญและเกี่ยวพันกับโรคหัวใจที่อาจจะเกิดกับผู้ที่ความดันโลหิตสูงเช่นกัน แต่การศึกษาในครั้งนี้ ไม่ได้มีการระบุถึงกรณีของผู้ที่มีระดับความดันโลหิตปกติ

อย่างไรก็ตาม อากาศ กับความเกี่ยวพันธ์กับโรคหัวใจนั้น ยังไม่ชัดเจนเท่าที่ควร ยังต้องการการศึกษา และเปรียบเทียบทฤษฎีอีกหลายทฤษฎีที่มีอยู่

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

น้ำส้มคั้นวันละแก้ว...ห่างไกลจากโรคนิ่ว

น้ำส้มคั้น เป็นเครื่องดื่มยอดฮิตของสาวๆ หลายคน เพราะนอกจากจะมีวิตามินซีซึ่งดีต่อผิวพรรณแล้ว ยังมีผลดีต่อสุขภาพอีกด้วย ล่าสุดมีงานวิจัยที่เผยว่าการดื่มน้ำส้มคั้นวันละแก้ว ยังอาจช่วยป้องกันการเกิดโรคนิ่วในไต โดยมีประสิทธิภาพดีกว่าน้ำผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวอื่นๆ (Citrus juices) อย่างเช่น น้ำมะนาว (lemonade) โดยกลุ่มนักวิจัยกล่าวว่าคนส่วนใหญ่มักคิดว่า การดื่มน้ำผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวไม่ว่าจะมาจากผลไม้ชนิดใดก็ตาม ก็สามารถป้องกันการเกิดนิ่วในไตได้เหมือนกันหมด เนื่องจากเครื่องดื่มเหล่านี้มีสารซิเตรต (citrate) จากธรรมชาติที่ช่วยเพิ่มปริมาณซิเตรตในปัสสาวะ และลดความเป็นกรดของปัสสาวะจึงลดการเกิดนิ่วในไตได้ แต่จากงานวิจับกลับพบว่า แม้ว่าน้ำผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวทั้งหลายจะมีปริมาณซิเตรตที่ใกล้เคียงกัน แต่มีน้ำผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวเพียงบางชนิดเท่านั้น ที่อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในไตได้ โดยโรคนิ่วในไตนั้น มักเกิดจากจากที่ปัสสาวะมีความเข้มข้นมาก จนตกตะกอนเป็นนิ่ว มักเกิดที่ไตบริเวณกรวยไต และเมื่อก้อนนิ่วหลุดลงมาท่อไต ก็จะเกิดอาการปวดท้องทันที และพบว่าเมื่อเป็นนิ่วแล้วโอกาสที่จะเกิดเป็นซ้ำประมาณครึ่งหนึ่งในเวลา 10 ปี ทำให้หลายคนที่เคยเป็นโรคนี้ ต้องหันมากินยาที่ลดกรดยูริกในปัสสาวะพวกโพแทสเซียมซิเตรต (potassium citrate) เพื่อช่วยป้องกันการเกิดใหม่ของก้อนนิ่ว แต่ก็อาจได้รับผลข้างเคียงจากยาที่ทำให้เกิดการระคายเคืองของระบบทางเดินอาหารได้ บางคนจึงหันไปดื่มน้ำผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวที่มีสารซิเตรตจากธรรมชาติแทน เพื่อป้องกันไม่ให้ก้อนนิ่วเกิดซ้ำอีก ดังนั้นการดูแลเรื่องอาหารการกิน และพฤติกรรมการใช้ชีวิต อาจช่วยยับยั้งการสะสมของผลึกก้อนนิ่วที่จะเกิดขึ้นใหม่ได้

จากผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร The Clinical Journal of the American Society of Nephrology ที่ได้ศึกษาผลของการดื่มน้ำส้มคั้น และน้ำมะนาวในการป้องกันการเกิดนิ่วในไต ในอาสาสมัคร 13 คน ซึ่งมีทั้งผู้ที่เคยเป็นโรคนิ่วในไตมาก่อน และไม่เคยเป็นโรคนิ่วเลย โดยแบ่งการทดลองออกเป็น 3 ระยะ ระยะแรกให้ดื่มน้ำเปล่า ระยะต่อมาให้ดื่มน้ำส้มคั้น และระยะสุดท้ายให้ดื่มน้ำมะนาว โดยเครื่องดื่มทั้งหมดนี้จะให้ดื่มครั้งละ 13 ออนซ์ พร้อมอาหาร 3 มื้อต่อวัน ติดต่อกัน 1 อาทิตย์ และตลอดเวลาที่ทดลองนี้ ยังมีการควบคุมปริมาณอาหารที่มีผลต่อการเกิดนิ่ว พบว่าการดื่มน้ำส้มคั้นจะเพิ่มปริมาณของสารซิเตรตในปัสสาวะทำให้ปัสสาวะมีความเป็นกรดลดลง และยังลดการตกผลึกของกรดยูริก (uric acid) และแคลเซียมออกซาเลท (calcium oxalate) ที่เป็นส่วนประกอบหลักของก้อนนิ่วจึงลดความเสี่ยงในการเกิดโรคนิ่วในไต ขณะที่การดื่มน้ำมะนาวไม่มีผลต่อระดับสารซิเตรตในปัสสาวะ จึงอาจไม่มีผลช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคนิ่วในไต

กลุ่มนักวิจัยเชื่อว่าการที่น้ำส้มคั้นมีประสิทธิภาพดีกว่าน้ำมะนาวในการยับยั้งการเกิดโรคนิ่วในไต ทั้งๆ ที่เครื่องดื่มทั้ง 2 นั้น มีปริมาณของสารซิเตรตใกล้เคียงกัน อาจเป็นผลมาจากส่วนประกอบอื่นที่แตกต่างกันในน้ำผลไม้ทั้ง 2 ชนิด โดยการดื่มน้ำมะนาวนั้น จะได้รับทั้งสารซิเตรตและไฮโดรเจน (hydrogen ion) ที่สามารถขัดขวางการทำงานของสารซิเตรตในการที่จะลดภาวะความเป็นกรดของปัสสาวะ ขณะที่การดื่มน้ำส้มคั้นจะได้ทั้งสารซิเตรต และโพแทสเซียม (potassium ion) ที่ไม่มีผลต่อการทำงานของสารซิเตรต ทำให้น้ำส้มคั้นอาจกลายเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการป้องกันการเกิดโรคนิ่วในไต

เสียงหัวเราะ คือยาวิเศษ

เสียงหัวเราะ คือยาวิเศษ ในอนาคต เราอาจได้เห็นหมอสั่งจ่าย"ดีวีดีตลก"รักษาผู้ป่วย?

ผู้สูงอายุในเมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ที่เข้าร่วมโครงการดูแลสุขภาพที่ผสมผสานการออกกำลังกาย การฝึกหัวเราะ และรับประทานอาหารที่คุณประโยชน์ เพื่อให้ผู้สูงอายุมีอายุยืนด้วยสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง (ภาพเอเอฟพี)

จากที่เราได้ยินกันมานมนานว่า เสียงหัวเราะเป็นเหมือน "เสียงสวรรค์" ได้เปล่งเสียงหัวเราะครั้งใด ก็รู้สึกถึง "ความสุข" ได้เมื่อนั้น แต่ก็ยังไม่มีใครลุกขึ้นมา "พิสูจน์" คำพูดนี้กันสักที?

แต่ตอนนี้ ปรากฏว่ามีแล้วค่ะ เป็นนักพันธุกรรมชาวญี่ปุ่นชื่อว่า คาสุโอะ มูระกามิ วัย 70 ปี ที่สนใจหยิบเรื่องเอิ๊กๆ อ๊ากๆ มาศึกษา หาทางพิสูจน์ด้วย "หลักฐาน" ที่มีความเป็นวิทยาศาสตร์ เพื่อไขปริศนาให้ชาวโลกได้เห็นถึงคุณค่าอันมหาศาลของการหัวเราะ ซึ่งอาจจะเป็น "ยาวิเศษ" ที่สามารถช่วยกระตุ้น เสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงานของยีนส์ หรือหน่วยพันธุกรรมในร่างกายของมนุษย์เราให้ทำงานได้ดีขึ้น

และหากเป็นเช่นนั้นจริง อีกหน่อยเราอาจจะได้เห็นค่ารักษาพยาบาลที่ลดลง และอาจได้เห็นคุณหมอสั่งจ่าย "ดีวีดีตลก" เป็นส่วนหนึ่งของยารักษาโรคก็ได้!!!

คุณอย่าทำเป็น "หัวเราะ (เยาะ)" เห็นเป็นเรื่องขำๆ ไป เพราะนี่เป็นเรื่องจริงนะจ๊ะ

ทั้งนี้ในฐานะนักพันธุกรรม มูระกามิเล่าว่า จากที่คนทั่วไปมักจะคิดกันว่ายีนส์ เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่ที่จริงมียีนส์อยู่กว่า 90% ในร่างกายมนุษย์ที่ไม่ค่อยทำงานผลิตโปรตีนต่างๆ เนื่องจากขาดการกระตุ้น!!!

แล้วตามทฤษฎี หรือข้อสมมติฐานเบื้องต้นที่มูระกามิคิดไว้ก็คือ การหัวเราะ อาจเป็นวิธีการกระตุ้นอย่างหนึ่ง ที่สามารถไปกระตุ้นพลังงานภายในดีเอ็นเอ ให้มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคต่างๆ ได้นั่นเอง

"แล้วถ้าหากเราสามารถพิสูจน์ได้ว่า มนุษย์เราสามารถใช้อารมณ์ ความรู้สึก อย่างเช่นการเปล่งเสียงหัวเราะ ไปกระตุ้นการทำงานของยีนส์ได้ นี่อาจจะเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษ มีค่าคู่ควรกับรางวัลโนเบลทีเดียว หรืออาจจะยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก" มูระกามิ ซึ่งยังเป็นผู้อำนวยการมูลนิธิพัฒนาความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์กล่าว

มูระกามิเริ่มลงมือศึกษาเพื่อหาประโยชน์อันมหาศาลที่อาจ "ซ่อน" อยู่ในเสียงหัวเราะมาตั้งแต่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว โดยจับมือกับบริษัทบันเทิงชื่อดัง โยขิโมโตะ โคเกียว จำกัด ทำการทดลองภาคสนามเป็นครั้งแรกในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยนำทีมนักแสดงตลกระดับหัวกะทิไปแสดงให้ผู้ป่วยชม หลังจากที่ผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวถูกจับไปนั่งฟังการบรรยายทางวิขาการอันน่าเบื่อ ชวนหาวนอน

หลังจากทำการทดลองอยู่อย่างนั้น 2 วัน ปรากฏว่าระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยอันเป็นสาเหตุของโรคเบาหวานมีระดับลดลงหลังจากผู้ป่วยได้หัวเราะเอิ๊กอ๊าก เมื่อเทียบกับหลังไปนั่งฟังบรรยายชวนง่วงนอน

นอกจากนี้ ในการทดลองครั้งล่าสุดกับบริษัทบันเทิงเดิมนี้ มูระกามิยังสามารถระบุได้ว่า มียีนส์อย่างน้อย 23 ยีนส์ ที่มีการทำงานกระเตื้องขึ้น

โดยในบรรดายีนส์เหล่านี้มียีนส์ 18 ตัว ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องภูมิคุ้มกันโรคภายในร่างกาย โดยผลการศึกษาเหล่านี้จะได้รับการลงตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ และจิตวิทยาของสหรัฐอเมริกาในเดือนมกราคมนี้ด้วย

"การบำบัดรักษาด้วยการหัวเราะ ไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง และผลเสียใดๆ ไม่แน่ว่าสักวันหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เรื่องตลกเลยนะ ที่เราจะได้เห็นผู้ป่วยได้รับใบสั่งยา ให้ไปซื้อวิดีโอตลกที่ร้านขายยา เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการรักษา"

อย่างที่กล่าวไว้ตอนต้นว่า มีความเชื่อกันมานานแล้วว่า เสียงหัวเราะเป็นสิ่งดีต่อสุขภาพ แม้แต่ครูสอนโยคะในอินเดียก็มีการสอนหัวเราะ ซึ่งทุกวันนี้ได้รับความนิยม กระทั่งมี "ชมรมหัวเราะ" เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้สมาชิกได้มีสถานที่มาเอ็นจอย เปล่งเสียงหัวเราะกัน

แต่ที่ญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนประชากรสูงอายุเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และค่ารักษาพยาบาลแต่ละปีคิดเป็นเงินจำนวนมหาศาล การค้นคว้า ทดลองของมูระกามิ จึงเป็นเหมือน "ความหวัง" อันโชติช่วง

และถึงแม้การศึกษาค้นคว้ายังอยู่ในระยะที่เรียกได้ว่าแค่เริ่มต้น แต่เมื่อปีที่แล้วก็มีวารสารการแพทย์ของญี่ปุ่นฉบับหนึ่ง ภายใต้การแนะนำของทีมงานของมูระกามิ ได้ทำดีวีดีแนะนำวิธีหัวเราะให้แก่ผู้ป่วยโรคเบาหวาน

ขณะที่หน่วยงานรัฐบาล อย่างเช่น กระทรวงอุตสาหกรรม ก็เชื่อว่า การบำบัดโรคด้วยการหัวเราะจะก่อประโยชน์ให้แก่โครงการหลายอย่าง ที่เน้นการดูแลสุขภาพ และการป้องกันโรค

"ถ้าหากมีการพิสูจน์อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ได้ว่า การหัวเราะและสุขภาพมีความเกี่ยวพันจริง นี่อาจจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในเรื่องของการดูแลรักษาสุขภาพ และเรายังหวังว่าจะมีอุตสาหกรรมใหม่ๆ เกิดขึ้นมา เพราะการเชื่อมโยงระหว่างการรักษาทางการแพทย์ และการหัวเราะ" นายฮิคารุ โฮริกูชิ" เจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรมให้ความเห็น

ขณะที่เมืองโอซากาก็ได้มีการทดลองใช้การหัวเราะเพื่อส่งเสริมสุขภาพของผู้สูงอายุกันแล้ว เป็นโครงการที่ได้รับเงินสนับสนุนจากกระทรวงพาณิชย์ ที่มอบหมายให้มหาวิทยาลัยโอซากา ซันเกียว ดูแลโครงการดูแลสุขภาพ ด้วยการผสมผสานการออกกำลังกายกับการหัวเราะเข้าด้วยกัน

"เราทำโครงการนี้ขึ้นมาด้วยความเชื่อว่า จะสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาตัว ค่าหมอ และค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ อีกทั้งเราเชื่อว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้สูงอายุควรจะมีอายุยืนยาว พร้อมด้วยสุขภาพ พลานามัยที่แข็งแรง"

ในโครงการนี้ ผู้สูงอายุจะได้รับการตรวจเช็คสุขภาพ ได้ออกกำลังกายในโรงยิม พร้อมกับชมการแสดงตลกจากนักแสดงตลกชั้นนำ แล้วยังได้เข้าเรียนการทำอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ

"ตอนเด็กๆ ฉันหัวเราะเก่งมาก แต่ฉันเพิ่งมาตระหนักว่ายิ่งแก่ขึ้น ฉันก็ไม่ค่อยได้หัวเราะเลย แต่หลังจากมาเข้าโปรแกรมนี้ รู้สึกเลยว่า เลือดลมเดินดีขึ้น และตอนนี้ฉันสามารถนั่งคุกเข่าได้แล้ว จากที่นั่งไม่ได้มาก่อน" คิโยมิ ยามานากะ สตรีวัย 61 กล่าว

น.ส.กิตติยา จำปาคำ ม.ฟาร์อีส เลขที่5

10 เรื่องง่ายๆที่ทำให้สุขภาพดี

1.ผักผลไม้ที่ควรสำรองไว้ในตู้เย็นอย่าให้ขาดได้แก่ กะหล่ำปลี แครอท ส้มแอบเปิ้ล ซึ่งนอกจากจะมีประโยชน์มาก สำหรับคนที่กำลังคุมน้ำหนัก การรับประทานผักผลไม้เป็นประจำ ยังช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย

2.เหงือกดีด้วยน้ำชายามเช้า องค์การอาหารและยาของสหรัฐแลสวีเดน บอกว่าการบ้วนบากยามเช้าด้วยน้ำชา จะช่วยลดแบคทีเรียในช่องปากได้ เนื่องจากสารโพลีฟีนอล จะช่วยลดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่เป็นต้นเหตุของฟันผุ ส่วนการดื่มชาหลังมื้ออาหาร ก็ช่วยลดความเสียงของการเป็นโรคเหงือกได้

3.ดื่มน้ำมาก การดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้เกือบ 50 %

4.เปลือยเท้าคลายเครียด การย้ำเท้าเปล่าไปบนทราย หรือในสนามหญ้านุ่มๆ จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย เนื่องจากการเดินเท้าเปล่า จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด

5.รับแสงแดดอ่อน มีข้อมูลจากการวิจัยระบุว่า ผู้หญิงที่ไม่ค่อยโดนแดดเอาเสียเลย มีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งเต้านมมากกว่าผู้หญิงที่อยู่ในเมืองที่มีแดด เนื่องจากแสงแดดช่วยสังเคราะห์วิตามินดีในร่างการ แต่การโดนแดดในช่วงบ่ายๆ ก็เป็นอันตรายเช่นกัน ควรรับแดดอ่อนๆในช่วงเย็นจะดีกว่า

6.หันมาทานขนมปังโฮลวีทกันเถอะ สำหรับมื้อว่างยามบ่าย มารับประทานขนมปังโฮลวีทสัก 2 แผ่น รับรองว่าจะช่วยให้คุณมีกำลังวังชา แถมยังได้คุณค่าจาดกวิตามินบี ที่ช่วยบำรุงระบบประสาท ทำให้ตื่นตัวสมองแจ่มใส และได้เส้นใย (ไฟเบอร์) ในปริมาณที่สูงซึ่งเป็นประโยชน์ต่อระบบขับถ่าย และทำความสะอาดลำไส้ใหญ่อย่างยิ่ง

7.สลัดปลาทูน่าเพิ่มความจำ ใครที่รู้ตัวว่าเริ่มหลงๆลืมๆ ลองหันมาทานสลัดปลาทูน่า หรืออาหารเมนูปลารวมทั้งเพิ่มอาหารที่มีวิตามินบี 2 เช่น ไข่ นม ถั่วเหลือง นอกจากจะช่วยให้อารมณ์ดีแล้วยังช่วยเพิ่มพลังความจำให้กับสมองได้

8.เดินไวๆช่วยให้สุขภาพหัวใจแงแรง การเดินขึ้นลงบันไดหรือเดินให้ไวขึ้นอีกนิด อาจใช้เวลาในช่วงเช้าหรือหลังเลิกงาน ให้ได้วันละ 20 นาที จะช่วยบริหารหลอดเลือดหัวใจให้แข็งแรง และยังจะได้หุนผอมบางสมส่วนเป็นของแถม

9.เติมไขมันดีๆให้ร่างกาย ไขมันนั้นไม่ได้เป็นผู้ร้ายซะทีเดียว เพราะไขมันมีอยู่หลายชนิด หากร่างกายขาดแคลนไขมัน อาจมีผลต่อการดูดซึมวิตามิน เอ ดี อี เค และทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย เลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันชนิดไม่อิ่มตัว จากน้ำมันมะกอก น้ำมันถั่ว และไขมันโอเมก้า 3 จากเนื้อปลา ซึ่งเป็นไขมันดีๆที่ไม่เพียงให้พลังงาน ทำให้มีเรี่ยวแรงแล้ว ยังช่วยป้องกันมะเร็งและหัวใจอีกด้วย

10.Just Do Nothing ลองหยุดภารกิจวุ้นๆ สักสัปดาห์ละวัน หรือวันละ 1 ชั่วโมง ให้ปลอดจากเรื่องงาน และคนรอบข้าง ใช้เวลาอยู่คนเดียวตามลำพัง จะช่วยให้รู้สึกสงบเป็นเวลาที่ได้เรียนรู้วิธีการหยุดพักใจ อาจจะฟังเพลงเงียบๆคนเดียว หรืออาบน้ำอุ่นๆแล้วอ่านหนังสือเล่มโปรด ค่อยๆจิบชา ชมดอกไม้ เป็นการเติมความร่มรื่นด้านจิตใจ ทำให้คุณสดชื่น และมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ และยังหางไกลจากโรครีบร้อน อันหมายถึงโรคที่ทำให้คุณตื่นตัวและเร่งรีบ จนทบไม่มีเวลาสำหรับตัวเอง

น.ส.กิตติยา จำปาคำ ม.ฟาร์อีส เลขที่ 5

หน้าที่หลักของกระดูก ได้แก่

-การป้องกันอวัยวะภายในที่สำคัญ เช่น กะโหลกศีรษะที่ป้องกันสมอง หรือกระดูกซี่โครงที่ป้องกันอวัยวะในทรวงอกจากอันตรายและการกระทบกระเทือน

-การค้ำจุนโครงร่างของร่างกาย

-การเคลื่อนไหว โดยกระดูกทำหน้าที่เป็นจุดเกาะของกล้ามเนื้อและเอ็นต่างๆ และยังประกอบเข้าด้วยกันเป็นข้อต่อที่ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวในรูปแบบต่างๆได้

-การผลิตเม็ดเลือด โดยไขกระดูกที่อยู่ภายใน เป็นแหล่งผลิตเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวที่สำคัญ

-การเก็บสะสมแร่ธาตุ โดยเฉพาะแคลเซียมและฟอสฟอรัส นอกจากนี้ยังดึงเอาโลหะหนักบางชนิดที่อยู่ในกระแสเลือดมาเก็บไว้ เพื่อลดความเป็นพิษลง

นายนที รินยานะ เลขที่ 52 ม.ฟาร์

10 วิธีในการคลายความเครียด

1. ฟังเพลง หามุมสงบ

นั่งปล่อยใจให้ล่องลอยอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วฟังเพลง เบา ๆ โดยเฉพาะเพลงจำพวก Meditation ซึ่งเดี๋ยวนี้มีให้เลือกหลากหลายแบบตามความต้องการ ทั้งเสียงของดนตรี บรรเลงหรือเสียงธรรมชาติ จำพวกเสียงคลื่น..เสียงน้ำตก..เสียงนกร้อง รับรองว่าจะช่วยสร้างสมาธิให้กลับคื่นสู่สมองและจิตใจได้อย่างน่ามหัศจรรย์ ในช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ เชียวล่ะ

2. ฉายเดี่ยวดูภาพยนตร์

ขอแนะนำให้ฉายเดี่ยวแล้วตีตั๋วดูหนังดีๆ สักรอบ เพราะการไปดูหนังเนี่ยเป็นวิธีที่เวิร์คที่สุดที่จะปลดปล่อยความรู้สึกให้ ล่องลอยอย่างเป็นอิสระไม่จมอยู่กับปัญหา แถมระบายความอัดอั้นตันใจได้อย่างเห็นผล แต่ต้องถามตัวเองก่อนนะว่ากำลังอยู่ในอารมณ์ไหน เช่น ถ้าอยากร้องไห้ก็ไปดูหนังรักเศร้าเคล้าน้ำตาแล้วก็ร้องไห้ออกมาซะให้พอ หรือถ้าเครียดจัดก็จงไปดูหนังตลกแล้วหัวเราะให้หลุดโลกไปเลย

3. โทรหาเพื่อนรู้ใจ

อย่าคิดว่าตัวเองจะแก้ปัญหาทุกปัญหาได้ดีไปซะหมด หัวใจสาวมั่นแม้จะแกร่งเพียงใดก็ยังต้องการที่พึ่งพิงเสมอ ยกหูโทรศัพท์หาเพื่อนรู้ใจสันคนแล้วระบายความรู้สึกให้เพื่อนได้รับรู้ เพราะการมีคนรับฟังและให้คำปรึกษา จะทำให้ชีวิตที่เอียงกะเท่เร่เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น อย่างน้อยก็ยังรู้สึกว่า ไม่ได้แบกปัญหาอยู่คนเดียวในโลกไงล่ะ

4. เขียนไดอารี่

การเขียนไดอารี่เปรียบเสมือนการเปิดประตูอารมณ์ที่ปล่อยให้ความอัดอั้นตันใจต่างๆ ได้ไหลลงสู่หน้ากระดาษอย่างเป็นอิสระและเป็นส่วนตัวที่สุด เพราะการถ่ายเทความรู้สึกในใจออกมา จะทำให้จิตใจปรับสมดุลได้เร็วขื้น อีกทั้งระหว่างการเขียนไดอารี่นั้นยังถือเป็นการทบทวนความรู้สึกตัวเองที่ดี ที่สุดด้วย ส่วนข้อดีสุดเลิศอีกข้อก็คือ ไดอารี่เป็นเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้ที่สุด เพราะรับฟังเราเสมอและไม่เคยเอาความลับไปบอกต่อไงล่ะ

5. พลังแห่งการสัมผัส

ลองมองหาใครสักคนช่วยโอบกอดหรือสัมผัสเบา ๆ เวลารู้สึกเหนื่อยล้าดูสิ เพราะร่างกายคนเราเวลาถูกสัมผัสเนี่ย จะทำให้เกิดฮอร์โมนที่ชื่อ "อ๊อกซี่โทชิน" ซึ่งมีผลในการลดระดับความเหนื่อยและความเครียด ช่วยให้ร่างกายที่กำลังอ่อนล้ารู้สึกผ่อนคลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ

6. สร้างอารมณ์ขัน

พยายามมองหาเพื่อนที่มีอารมณ์ขันช่วยกระตุ้นจิตใจที่แสนห่อเหี่ยวให้หัวเราะได้อีกครั้ง เพราะคนที่หัวเราะง่ายจะมีสุขภาพจิตที่ดี เนื่องจากการหัวเราะจะช่วยลดความดันโลหิตและระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลลง (ฮอร์โมนคอร์ติซอล = ฮอร์โมนแสดงความเหนื่อยล้าในกระแสเลือด) แถมยังช่วยเสริมสร้างระดับของ "อิมโมโนโกลบูลินเอ" ซึ่งเป็นสารแอนตี้บอดี้ที่สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายอีกด้วยนะ เพราะฉะนั้นหัวเราะเข้าไว้ แล้วจะดีเอง

7. สูดกลิ่นหอม

รู้หรือเปล่าว่า...กลิ่นหอมของดอกไม้นานาพันธุ์มีผลในการช่วยปลุกประสาทสัมผัสให้สดชื่นตื่นตัว แถมยังกระตุ้นพลังงานในจิตใจได้เป็นอย่างดี เวลาเครียด ๆ ก็ลองสูดกลิ่นหอมของดอกไม้สิ อย่างกลิ่นกุหลาบ มะลิ ลาเวนเดอร์ หรือจะหยดน้ำมันหอมระเหยในน้ำอุ่นกำลังดี แล้วนอนแช่ตัวให้เพลินสักครึ่งชั่วโมงก็ได้ กลิ่นหอมจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้อย่างบอกไม่ถูกเชียวล่ะ

8. ไปตากอากาศ

หาเวลาหลบไปสูดอากาศบริสุทธิ์กับชีวิตท่ามกลางธรรมชาติสักพัก สิ หายใจเข้าลึก ๆ ช้า ๆ ปล่อยสมองให้ว่างที่สุด แล้วก็นอนให้มากที่สุดเท่าที่อยากจะนอน เพราะบางทีความรู้สึกเหนื่อยล้าและหดหู่แบบไม่ทราบสาเหตุเนี่ยมันมาจาก ชีวิตที่ยุ่งเหยิงจนเกินไป เพราะฉะนั้นหลบไปนอนตากน้ำค้างดูดาวเสียบ้าง หัวใจจะได้ชาร์จพลังได้ดีขึ้น

9. หาสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อน

ลองหาสัตว์เลี้ยงสักตัวมาเป็นเพื่อนเล่นก็ไม่ เลวนะ เพราะการให้เวลากับสัตว์เลี้ยงตัวโปรด คุยเล่น หยอกล้อกับมันเสียบ้าง จะช่วยให้จิตใจอันแสนจะฟุ้งซ่าน สงบลงได้ แถมรู้จักการให้และมองโลกในแง่ดีมากขึ้นอีกต่างหาก ที่สำคัญยังช่วยลดความดันโลหิตได้อีกด้วยนะ

10. จินตนาการแสนสุข

อีกทางเลือกสำหรับการบรรเทาความหดหู่ในส่วนลึก เป็นการดึงตัวเองออกจากโลกปัจจุบัน ทำได้โดยหลับตาแล้วหายใจลึก ๆ จากนั้นก็สร้างจินตนาการถึงความฝันที่วาดหวังเอาไว้ หรือแม้แต่ความหลังอันแสนสุขที่เคยมีการดึงความสุขจากจินตนาการมาใช้จะ ทำ ให้เกิดพลังสร้างสรรค์ในหัวใจ และยังช่วยสลายความเครียดข้างในได้เป็นอย่างดี ทำแบบนี้เงียบๆ สัก 5 นาที รับรองรู้สึกดีแบบทันตาเห็น

กลุ่มคนอ้วนหรือมีน้ำหนักเกิน

คำแนะนำ

การควบคุมน้ำหนักจะต้องรับประทานอาหารให้พลังงานที่ได้รับและใช้ไปเกิดความสมดุล

การลดน้ำหนักจะต้องค่อยลดพลังงานที่ได้รับจากอาหารโดยที่ไม่ขาดสารอาหาร และเพิ่มการออกกำลังกาย

สำหรับเด็กที่มีน้ำหนักเกินจะต้องปรึกษาแพทย์ดูแล ก่อนการจำกัดอาหาร

สำหรับคนท้องต้องควบคุมน้ำหนักอย่าให้เกิน

สำหรับคนทั่วไปที่มีโรคจะต้องปรึกษาแพทย์ก่อนการควบคุมอาหาร

การจัดการเรื่องน้ำหนัก

ปัญหาเรื่องคนอ้วนหรือน้ำหนักเกินเป็นปัญหาทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย นอกจากนั้นยังว่าว่าเด็กและเด็กวัยรุ่นมีปัญหาเรื่องน้ำหนักเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคเรื้องรังต่างๆตามมา คนที่มีน้ำหนักเกินมักจะเกิดจากพฤติกรรมในการรับประทานอาหารที่มากเกินไป และพฤติกรรมในการออกกำลังกายน้อยเกินไป ลำพังการลดปริมาณวันละ 100 กิโลแคลอรีก็จะป้องกันน้ำหนักเพิ่ม หรือลดปริมาณลงวันละ 500 กิโลแคลอรีก็จะทำให้น้ำหนักลดลงได้ แต่การลดน้ำหนักโดยให้ลดอาหารเป็นเรื่องยากจึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใส่น้ำตาล หรือการรับประทานอาหารมัน หรือเครื่องดื่ม คำแนะนำสำหรับการลดน้ำหนัก

การรักษาน้ำหนักให้ดีต้องปรับพลังงานที่ได้จากอาหารที่รับประทาน ให้สมดุลกับพลังงานที่เราใช้(น้ำหนักเท่าเดิม)

การป้องกันน้ำหนักเกินทำได้โดยการลดปริมาณอาหาร ลดน้ำตาล และเพิ่มการออกกำลังกาย

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์อีสเทอร์น)

ปัญหาสุขภาพวัยรุ่น ที่น่าสนใจอีกเรื่องคือ เรื่องของสิว ซึ่งพบบ่อยจนเป็นธรรมชาติ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

เรามีรีวิวจากโซน ความงาม เกี่ยวกับเรื่องสิว ในวัยรุ่นครับ

"สิวหัวขาว" เป็นเม็ดนูนเล็กๆ ไม่มีรูเปิด

"สิวหัวดำ" มีรูเปิดที่ผิวหนังมองเห็นเป็นจุดดำอยู่ตรงกลาง

"สิวหัวช้าง" เกิดเป็นตุ่มนูนเล็กๆ แดงๆ อาจเห็นเป็นตุ่มหนอง หรือตุ่มนูน แข็งเม็ดโต หรือตุ่มแดงอักเสบแบบถุงซีสต์

สิวที่สร้างความวิตกกังวลมากที่สุดคือ สิวบริเวณใบหน้า แต่ในบางรายอาจพบมากที่บริเวณลำคอ แผ่นหลัง หน้าอก และลำตัว

สาเหตุ : พันธุกรรม

ปัจจัยภายในร่างกาย

ความผิดปกติของเซลล์ในชั้นหนังกำพร้า

ปริมาณสารไขมันที่สร้างมาจากต่อมไขมัน

เชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อเรียกว่า Propionibacterium acnes

ความรุนแรงของปฎิกิริยาอักเสบที่เกิดขึ้น

ความเครียด : นอนดึก ท้องผูก กังวล

สิ่งแวดล้อม : แสงแดด อากาศร้อนชื้น

การดูแลสุขวิทยาส่วนบุคคล :

เครื่องสำอาง สบู่ โฟมล้างหน้า ผลิตภัณฑ์ตกแต่งทรงผม

สารพิษ

การเสียดสี

การดูแลและวิธีแก้ไข

ลดอาหารประเภทไขมัน รับประทานเต้าหู้วันละ 1 ขีด นมถั่วเหลืองวันละ1-2 แก้ว

ไม่แคะ แกะ เกา หรือบีบสิว

ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง

ใช้ยาตามแพทย์สั่ง เช่น ครีมแต้มสิว ยาต้านฮอร์โมน

ขับถ่ายเป็นเวลา หากท้องผูกร่างกายจะหมักหมมของเสียที่ก่อการอักเสบในที่ต่างๆ ได้

พักผ่อนให้เพียงพอ ทำใจให้สบาย ผ่อนคลาย

เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าให้เหมาะสมกับสภาพผิว

วราภรณ์ สุตพลสันติกุล FEU

ปวดศีรษะ

อาการปวดศีรษะจะเกิดเมื่อมีโรคเนื้อเยื่อที่ สมอง กล้ามเนื้อ เส้นเลือดรอบหนังศีรษะ หน้าและคอ ปวดศีรษะอาจจะเกิด๗กโรคที่ศีรษะหรืออาจะเกิดโรคที่อื่น เช่นต้นคอหรือไซนัสอักเสบเป็นอาการที่พบบ่อยและผู้ป่วยจำนวนมากต้องทนทุกทรมานกับอาการปวดศีรษะ โรคปวดศีรษะจะเป็นเฉพาะบางคนขึ้นกับบุคลิกที่เครียดชอบแข่งขัน งานที่ต้องการผลงานมากๆ มีความวิตกกังวลสูง ซึมเศร้า การทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ลักษณะท่าทางที่ไม่ถูกต้อง เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นสาเหตุให้บางคนเกิดอาการปวดศีรษะโรคปวดศีรษะเรื้อรังที่พบบ่อยๆๆ

อาการปวดศีรษะที่เกิดจากสาเหตุกระดูกและกล้ามเนื้อต้นคอ ซึ่งอาจจะเกิดจากความผิดปกติของกระดูกต้นคอเช่นกระดูกอักเสบ ข้อเสื่อม หมอนกระดูกทับเส้นประสาทหรือเกิดจากกล้ามเนื้อต้นคอมีอาการเกร็งเนื่องจากการที่อยู่ผิดท่าเป็นเวลานานๆ

อาการปวดศีรษะจากไซนัสอักเสบ ผู้ป่วยจะมีไข้ น้ำมูกไหลมักจะปวดรอบตา แก้มหรือบริเวณหน้าผาก เช้าๆตื่นมาไม่ปวดมาก สายๆจะปวดมากขึ้นเวลาเคลื่อนไหวศีรษะจะปวดมากขึ้น

อาการปวดศีรษะจากขากรรไกร ผู้ที่นอนกัดฟันกลางคืนหรือเคี้ยวอาหารที่เหนียวๆจะมีอาการปวด การวินิจฉัยทำได้โดยให้เคี้ยวจะทำให้ปวดศีรษะเพิ่มขึ้น

ปวดศีรษะจากต้อหินGlaucoma ผู้ที่มีความดันตาสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจะทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ และเป็นภาวะเร่งด่วนที่จะต้องรีบให้การรักษา ผู้ป่วยจะปวดศีรษะบริเวณหน้าผาก ตาแดง เห็นแสงเป็นวง

เนื้องอกสมอง ผู้ที่ปวดศีรษะจากเนื้องอกสมองมักจะมีอาการอ่อนแรงหรือมีการเปลี่ยนแปลงทางบุคลิกและความจำ อาเจียน ชัก

อาการปวดศีรษะจากความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยที่มีระดับความดันโลหิตสูงขึ้นอย่างรวดเร็วจะทำให้ปวดศีรษะ โปรดจำไว้ว่าคนที่มีความดันโลหิตสูงจะไม่ปวดศีรษะเลยก็ได้

ปวดศีรษะจากเส้นเลือดสมองแตก ผู้ป่วยปวดศีรษะทันทีและปวดมากและซึมลง อ่อนแรงแขนขาข้างใดข้างหนึ่ง

ยาที่ใช้รักษาอาการปวดศีรษะ เป็นความรู้เกี่ยวกับยาที่ใช้รักษา

สัญญาณอันตรายของอาการปวดศีรษะ ถ้าหากท่านมีอาการดังกล่าวควรปรึกษาแพทย์

อาการปวดศีรษะคลัสเตอร์ ยา ปวดศีรษะ ปวดศีรษะจากความเครียด สัญญาณอันตราย การตรวจวินิจฉัย ไมเกรน ปัจจัยที่กระตุ้น

วันนี้คุณกินข้าวเช้าหรือยัง

หมอที่โรงพยาบาลฯอบรมว่าทุกคนต้องกินอาหารเช้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ หลากหลาย เพราะเมื่อร่างกายไม่มีพลังงานจากอาหารเช้าไปใช้ ร่างกายจะดึงสารอาหารจากอวัยวะส่วนอื่นออกมา (ไม่ใช่ไขมัน ไขมันยังอยู่เหมือนเดิม) ซึ่งภายใต้กระบวนการนี้จะเกิดกรดชนิดหนึ่งออกมาด้วย

ซึ่งการที่เราบอกว่าไม่กินข้าวเช้า ก็ยังทำงานได้เป็นปกติมาตั้งหลายปีแล้ว นั่นคือ ร่างกายได้นำเอากรดที่เกิดขึ้นมาใช้แทนพลังงานทุกวัน เราจึงทำงานโดยใช้กรดแทนพลังงาน และเมื่อร่างกายต้องผลิตกรดออกมาบ่อยๆ พออายุมากขึ้นเราก็จะเป็นโรคตามมาหลายอย่าง นอกจากนี้ เรารู้หรือไม่ว่า

โดยปกติแล้วร่างกายของมนุษย์เราผลิตสารพิษอยู่ภายในร่างกายตลอดเวลา เป็นขยะ เหมือนรถที่เมื่อเติมน้ำมันเข้าไปแล้วก็จะมีควันออกมา ภาษาทางการแพทย์เขาเรียกขยะในร่างกายนี้ว่า สารอนุมูลอิสระ(oxidant) เกิดจากการสันดาปพลังงานของร่างกาย แล้วคายของเสียออกมา(ไม่ใช่อุจจาระนะ คนละแบบ)

นอกจากนี้ร่างกายจะเร่งผลิตสารอนุมูลอิสระอีกก็ต่อเมื่อเวลาเราเครียดหรือต้อง ทำงานหนัก ใช้สมอง ประกอบกับเจอมลภาวะต่างๆ สภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ อุปนิสัยการดื่มสุรา สูบบุหรี่ ก็ยิ่งเป็นตัวสร้างให้เกิดสารพิษนี้มาก การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอตอนกลางคืนเป็นหนทางและเวลาสำคัญที่ร่างกายจะสร้า งสารต่อต้านสารอนุมูลอิสระ(anti-oxidant) ขึ้น เพื่อกำจัดสารอนุมูลอิสระที่เกิดตอนกลางวัน การนอนให้เพียงพอและหลับสนิทจะเป็นประโยชน์ไม่เฉพาะการกำจัดของเสีย แต่ยังช่วยให้เม็ดเลือดแดงของคนเราแข็งแรง สร้างฮอร์โมนเพศทำให้ร่างกายสมบูรณ์ มีน้ำมีนวล คุณหมอเอาภาพขยายเม็ดเลือดแดงของผู้จัดการชายอายุ 35 คนหนึ่งซึ่งเป็นคนไข้มาให้ดู เปรียบเทียบกัน 2 ภาพ ผู้ชายคนนี้เหมือนมนุษย์งานทั่วไป ทำงานหนักและเครียดขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ ปรากฎว่าจำนวนเม็ดเลือดแดงของเขามีลักษณะเป็นก้อนขยุกขยุยไม่เป็นรูปทรงกลมเหมือนกลุ่มเม็ดเลือดแดงที่ควรเป็น เกิดความผิดปกติขึ้นเนื่องจาสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจำนวนมากไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงในร่างกาย ซึ่งก็จะนำมาซึ่งโรคร้ายจำนวนมากอย่างที่คนไทยกำลังนิยมอยู่ จงจำไว้ว่า

1.ทานอาหารเช้าแบบราชา อาหารกลางวันพอประมาณ และอาหารเย็นแบบยาจก หลีกเลี่ยงไขมันและของหวาน ออกกำลังกายให้ได้วันละอย่างน้อย 30-40 นาที(20นาทีแรกร่างกายเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต อีก 10-20 นาทีต่อมาร่างกายจึงจะค่อยเผาพลาญไขมัน)

2.นอนหลับ หรือ หลับนอนก็แล้วแต่ ให้เพียงพอ

3.รับแสงแดด ช่วง 8.00-9.00 ซึ่งมี UV ที่เป็นประโยชน์

4.พยายามเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการหัวเราะ ขำขัน ถ้าบ้าได้ก็ดี ชีวีจะเป็นสุข

นส.สุภาพร สิงห์วิเศษ(FEU)

หลักของการลดน้ำหนัก

เมื่อรับประทานอาหารให้พยายามนึกถึงปริมาณพลังงานที่เรารับประทาน แทนน้ำหนัก หรือชิ้น

เลือกอาหารที่มีคุณภาพ

เลือกอาหารแป้งที่ถูกต้อง แม้ว่าปริมาณแป้งที่เรารับประทานจะมากถึงร้อละ 40-55 % การเลือกอาหารแป้งก็มีความสำคัญ ต้องเลือกแป้งที่มาจากธัญพืช พวกแป้งควรเป็นแป้งเชิงซ้อน เช่นข้าวกล้อง ผัก ผลไม้ แทนน้ำตาล

ลดอาหารที่ให้ความหวาน เช่น candies, cakes, cookies, muffins, pies, doughnuts and frozen desserts

ลดอาหารไขมันลง เนื่องจากอาหารไขมันจะให้พลังงานมากกว่าพวกแป้งและเนื้อสัตว์เท่าตัว

เมื่อรับประทานอาหารต้องกะปริมาณอย่าให้มากไป

พยายามคำนวนอาหารที่รับประทานออกเป็นพลังงาน

ลดพลังงานจากที่ต้องการวันละ 500 กิโลแคลอรีทำให้น้ำหนักลดลง 0.5 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ ไม่ควรรับสุราเพราะจะทำให้อ้วน

ผู้ที่ไขมันในเลือดสูงต้องลดปริมาณไขมันลงอีก cholesterol ให้น้อยกว่า 200 มิลิกรัม/วัน ไขมันอิ่มตัวน้อยกว่าร้อยละ7

โปรตีนให้เลือกที่มาจากพืช

ระหว่างลดน้ำหนักต้องได้วิตามินและเกลือแร่อย่างพอเพียง

การเปลี่ยนแปลงอาหารสำหรับคนอ้วน

คนอ้วนจะมีกระเพาะที่ใหญ่กว่าคนปกติเนื่องจากกระเพาะถูกยืดจากอาหาร ดังนั้นจึงมีอาการหิวบ่อยทำให้การควบคุมอาหารประสบผลสำเร็จน้อยแต่อย่าเพิ่งย่อท้อ ให้พยายามควบคุมอาหารและออกกำลังกาย

ให้ลดอาหารไขมัน และน้ำตาล เพิ่มอาหารที่มีใยอาหาร เช่นผักและผลไม้ ผู้ที่ลดอาหารมันในระยะยาวจะต้องรับวิตามินเสริมเช่น vitamins A และ E, folic acid, calcium, iron and zinc

ไขมันทดแทน Fat Substitutes ที่มีขายในท้องตลาดเช่น cellulose gel Avicel, Carrageenan (ทำจาก seaweed) guar gum, and gum arabic พวกนี้จะไม่ถูกดูดซึมทำให้เกิดท้องร่วง และปวดท้องและมีวิตามินลดลงเช่น vitamins A, K, D, and E ดังนั้นต้องไดรับวิตามินเหล่านี้เสริม

ใยอาหาร ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักต้องเพิ่มอาหารที่มีใยอาหาร เช่นผักผลไม้ ธัญพืชเนื่องจากใยอาหารจะลดการดูดซึมไขมัน และยังป้องกันการขาดวิตามินทำให้ลดอัตราการตายจากโรคหัวใจ

น้ำตาลทดแทน ให้ใช้น้ำตาลเทียมแทนน้ำตาลเช่น saccharin, aspartame

นส.สุภาพร สิงห์วิเศษ(FEU)

การเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหาร

พยายามรับประทานอาหารเฉพาะในมื้ออาหารโดยเฉพาะที่โต๊ะอาหาร และลุกขึ้นจากโต๊ะทันทีที่อิ่ม

รับประทานวันละ 3 มื้อ

รับประทานอาหารเช้าทุกวัน

อย่าอดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง

เลือกอาหารว่างที่มีไขมันต่ำ

รับประทานผัก ผลไม้ ธัญพืชที่ไม่ขัดสี

ใช้จานใจเล็กๆ เพื่อป้องกันการรับประทานอาหารมากไป หลีกเลี่ยงการเติมอาหารครั้งที่ 2

รับประทานอาหารอย่างช้าๆ เคี้ยวอาหารแต่ละคำช้าๆ

ดื่มน้ำมากๆทั้งในมื้ออาหารและระหว่างมื้ออาหาร ดื่มน้ำ 1 แก้วก่อนอาหาร

พยายามเลี่ยงอาหารที่ใช้มือหยิบ เพราะคุณจะเพลินกับการรับประทานอาหาร

อย่าเสียดายของเหลือ ไม่จำเป็นต้องทานอาหารจนหมดจาน

จำกัดเนื้อสัตว์ไม่ติดมันไม่เกิน 2 ช้อนโต๊ะ

รับประทานเนื้อปลาเป็นหลัก เนื้อไก่และเป็ดให้ลอกหนังออก

ลือกอาหารที่มีไขมันต่ำแทนอาหารที่มีไขมันสูง

อย่าเตรียมอาหารมากเกินความจำเป็น

หลีกเลี่ยงอาหารพวก ทอด ผัด แกงกะทิ ให้ใช้ อบ นึ่ง เผา

อย่าวางอาหารจานโปรดหรือของว่างไว้รอบๆตัว

อย่าทำกิจกรรมอื่นๆระหว่างรับประทานอาหาร เช่นอ่านหนังสือ,ดูโทรทัศน์ เพราะจะรับประทานอาหารมากเกินไปโดยไม่รู้ตัว

พยายามหางานอดิเรกทำเมื่อเวลาหิว

อาหารเหลือให้เก็บทันที

ไม่หยิบหรือชิมอาหาร

หลีกเลี่ยงการปรุงอาหารด้วยครีม เครื่องจิ้มที่มีไขมันสูง

สรุปสิ่งที่ผู้ป่วยต้องเรียนรู้เกี่ยวกับอาหาร

พลังงานที่ได้จากอาหารแต่ละชนิด

สารอาหาร เช่น แป้ง ไขมัน โปรตีน

อ่านสลากอาหารว่ามีปริมาณพลังงานเท่าใด

การเลือกซื้ออาหารที่มีพลังงานน้อย

การเตรียมอาหารที่มีไขมันน้อยหลีกเลี่ยงการผัด ทอด ใช้ต้ม เผา อบ นึ่งแทน

หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มากเกินไป

ดื่มน้ำให้มาก

ใช้จานเล็ก

นส.สุภาพร สิงห์วิเศษ(FEU)

รักษาสิวด้วยการควบคุมอาหาร

ได้มีการประเมินผลว่าการเปลี่ยนอาหารไปกินพวกผัก, อาหารไขมันต่ำ มีส่วนช่วยให้ปริมาณซีบั่มลดลงอย่างสังเกตเห็นได้ภายใน 4-7 วัน ดังเช่นที่เราทราบกันอยู่แล้วว่า ระดับของซีบั่มทั้งบนและในผิวนั้นมีผลต่อการเกิดสิว นี่จึงเป็นการช่วยลดสิวได้ภายใน 1 เดือนโดยประมาณ

ผู้ที่สนใจที่จะใช้วิธีการรับประทานอาหารไขมันต่ำ หรือพืชผัก เพื่อวัตถุประสงค์ในการลดปัญหาที่เกิดจากสิวนั้นควรเข้าใจว่า วิธีการนี้ต้องใช้ความตั้งใจมุ่งมั่นของตัวเองอย่างมากเพื่อให้เกิดผลที่สูงสุด แม้แต่สิ่งเล็กน้อยก็อาจทำให้เกิดสิวใหม่ ๆ ได้ในเวลาอันรวดเร็ว

ประเด็นหนึ่งที่ควรเข้าใจก็คือ อาหารหลาย ๆ ชนิดที่เข้าใจกันว่าเป็นอาหาร “สุขภาพ” นั้นเป็นสิ่งต้องห้ามในคำจำกัดความของไขมันต่ำ, พืชผัก...อาหารเหล่านี้ก็รวมถึง olive, avocado, ธัญพืช, เมล็ดถั่ว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งถั่วเหลืองและน้ำมันพืช หลาย ๆ คนเข้าใจผิดว่า ตราบเท่าที่พวกเขารับประทานสิ่งต่าง ๆ ที่อ้างอิงถึงอาหารที่มีไขมันที่ดีที่เป็นประโยชน์ ก็จะทำให้พวกเขาไม่เป็นสิว

จากการวิจัยที่ได้จัดทำขึ้นนั้นพบว่า ไม่เป็นความจริง แม้แต่ไขมันที่ “ดีต่อสุขภาพ” ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ปัญหาของสิวเพิ่มขึ้น และยังเพิ่มความแปลกใจขึ้นไปอีกเมื่อพบว่าอาหารที่ถือเป็นอาหาร “เพื่อสุขภาพ” ตามมาตรฐานนั้นก็เป็นอาหารต้องห้าม หากต้องการหลีกเลี่ยงอาหารที่มีค่าคาร์โบไฮเดรตสูง (Glycemic) ให้ดูการเปรียบเทียบค่าคาร์โบไฮเดรตดังนี้

อาหารที่มีค่าคาร์โบไฮเดรตสูง (คือค่าตั้งแต่ 71 ถึง 100+)

ขนมปังฝรั่งเศส 95 rice cereal 88 มันฝรั่งอบ 85

คอร์นเฟลค 84 มันฝรั่งบด 73 ขนมปังประเภทโดนัท 72

แตงโม 72 แครอท 71

อาหารที่มีค่าคาร์โบไฮเดรตปานกลาง (คือค่าตั้งแต่ 55-70)

ข้าวโอ๊ต 66 ลูกเกด 64 ไอศกรีม 61

ขนมธัญพืชอัดแท่ง 61 บลูเบอรี่มัฟฟิน 69 ข้าวขาว 56

อาหารที่มีค่าคาร์โบไฮเดรตต่ำ (คือค่าตั้งแต่ ต่ำกว่า 55)

นมปราศจากไขมัน 32 ลูกพีช 28 ลูกพลัม 24

ลูกเชอรี่ 22 ถั่วเหลือง 18 มะเขือเทศ 15

บล๊อคโคลี่ 15 แอสพารากัส 15 แตงกวา 15

คำแนะนำในการเปลี่ยนมารับประทานอาหารที่มีค่าคาร์โบไฮเดรตต่ำ รวมถึงการเปลี่ยนอาหารเช้าที่เป็นซีเรียลที่มีส่วนประกอบของรำข้าว และข้าวโอ๊ต รวมถึงลดปริมาณการรับประทานมันฝรั่งด้วย คำแนะนำเพิ่มเติมก็คือการเพิ่มผักและผลไม้สดเข้าไปในมื้ออาหารให้มากกว่าเดิม

คำแนะนำอื่น ๆ ที่จะช่วยให้วิธีการต่าง ๆ ได้ผลในการลดการเกิดสิวโดยการควบคุมอาหารรวมถึงการจำกัดหรือตัดออกไปอีกอย่างนั้นก็คือ โซดา - โซดาประกอบด้วยสิ่งที่ได้จากน้ำตาลและมีค่าคาร์โบไฮเดรตอยู่ที่ 63 - - เปลี่ยนจากการดื่มโซดาหันมาดื่มน้ำเปล่าแทน, หรือชาสมุนไพรและน้ำผลไม้จะให้ผลที่ดีกว่า

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า ถั่วต่าง ๆ ก็มีคุณสมบัติที่สามารถทำให้เกิดสิวได้ แม้ว่าจะเป็นอาหารที่ถือว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพสำหรับหลาย ๆ คนก็ตาม พยายามหลีกเลี่ยงการรับประทานวอลนัท, อัลมอนด์ และถั่วบราซิล แม้ว่าจะมีประมาณของซีลีเนี่ยม แต่ก็ยังมีแหล่งอาหารอื่น ๆ ที่มีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายโดยไม่มีผลต่อการเกิดสิว

การรับประทานผลิตภัณฑ์ที่ได้จากนม หรือการดื่มนมก็สามารถทำให้เกิดสิวได้เช่นเดียวกัน ในขณะที่เราจำเป็นต้องได้รับแคลเซี่ยมในปริมาณที่เพียงพอ ก็สามารถหาพวกวิตามินเสริมมารับประทานแทนได้ การดื่มนมไม่ว่าจะเป็นนมประเภทใดก็ตามก็ให้ผลเหมือนกัน แม้ว่าจะเป็นนมพร่องมันเนยก็ตาม ในขณะที่ทำการศึกษา พบว่าผู้เข้าร่วมการทดลองหลายคนเป็นสิวเพิ่มขึ้นจากการดื่มนมพร่องมันเนย

เบญจวรรณ หล้าแปง(Farเลขที่40)

27 วิธี...บอกลาผิวหม่น

"หลายคนผ่านปีเก่าสู่ปีใหม่มาก็หลายวาระ ก็ยังดูหมองมัว ไร้ราศีจับ ทั้งนี้เพราะ ไม่เคย สครับผิวให้สดใสเปล่งปลั่งเสียที ปลายปีนี้ 24-7 เลยขอเสนอ 27 วิธี สร้างประกายให้คุณมีผิวเฉิดฉาย ไฉไล ในแบง่ายๆ มาฝาก รับรองว่าทำปุ๊บ เห็นผลปั๊บ ไม่แน่นะ…ของขวัญชิ้นแรกที่ได้รับอาจเป็นลาภจากสัตว์สองเท้าเพศชาย โปรไฟล์เลิศ ว่าแล้วลองอ่าน และเริ่มกันเลย"

1 การขัดผิว (Exfoliating) หมายถึง การขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปจากผิวหน้า รากศัพท์ของมันมาจากคำว่า ‘foliage’ ซึ่งแปลว่าใบพืช เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า อิพิเดอร์มิส (Epidermis) หรือผิวชั้นนอกเกิดขึ้นมาโดยผ่านกระบวนการสร้างจนมาเติบโตเต็มที่อยู่ชั้นบนสุดของผิวหนัง โดยเซลล์ที่อยู่ล่างสุดของชั้นนี้ที่เรียกว่า เซลล์แรกเริ่ม (Basal Cells) จะสร้างเซลล์ลูกซึ่งจะเคลื่อนตัวขึ้นไปจนกลายเป็นผิวชั้นนอก เซลล์เหล่านี้มีหน้าที่เป็นตัวกั้นระหว่างร่างกายเรากับสิ่งแวดล้อมภายนอก ทั้งยังช่วยเก็บรักษาความชุ่มชื้นภายในและป้องกันสิ่งแปลกปลอมที่จะเข้าสู่ผิว หลังจากเซลล์ใหม่ที่แข็งแรงกว่า อยู่ประจำที่บนชั้นผิวหนังแล้ว เซลล์ผิวเก่าก็จะหลุดลอกออกโดยธรรมชาติ หากยังตกค้างอยู่บนผิวก็จะทำให้ผิวดูไม่มีชีวิตชีวา และดูเป็นสะเก็ด การขัดหน้าจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการกำจัดเซลล์เก่าที่บดบังความสดใสนั่นเอง

2 ผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับการขัดผิวก็ได้แก่ ฟองน้ำขัดรูปแบบต่างๆ เช่น ใยบวบ หรือครีม เช่น เอเอชเอ แม้กระทั่งผ้าเช็ดตัวก็สามารถใช้ขัดผิวได้ การขัดผิวอย่างนุ่มนวลจะช่วยให้ผิวของคุณดูชุ่มชื่นและใสกระจ่าง

3 ควรหลีกเลี่ยงการขัดผิวด้วยวิธีรุนแรง และหากขัดมากเกินไป ก็อาจรบกวนหน้าที่ในการสกัดกั้นสิ่งแปลกปลอมของผิว รวมถึงทำให้ผิวอ่อนไหวมากขึ้นจนเกิดความแห้งกร้าน ไหม้แดด หรือปัญหาอื่นๆ ได้ง่าย

4 ถ้าไม่กำจัดออกไป ผิวจะเกิดการอุดตันและหายใจไม่ได้ ผลก็คือ ผิวจะหม่นหมอง ดูแล้วมีความมัน หรือบางทีอาจทำให้เกิดสิวอุดตัน รวมทั้งทำให้กระบวนการไหลเวียนของโลหิตใต้ผิวไม่ดี ทำให้ของเสียเกิดการสะสมตัว

5 ถ้าต้องการขัดผิวหน้า ก็ควรทำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง และขัด ผิวกายเดือนละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้าใครมีเซลลูไลท์ แนะนำให้ขัดผิวบริเวณส่วนนั้นทุกวัน โดยใช้ถุงมือผ้าที่ใช้สำหรับอาบน้ำนวดขัด เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และกำจัดของเสียออกทางระบบน้ำเหลือง

6 วิธีการขัดผิวที่ถูกต้อง สิ่งที่ต้องมีคือ ฟองน้ำสำหรับขัดผิวกาย ถุงมือผ้าอาบน้ำ หรือ ใยบวบ และผลิตภัณฑ์ขัดผิว เลือกให้เหมาะกับสภาพผิว ถ้าไม่แน่ใจลองปรึกษาคนขาย

7 เริ่มต้นที่ทำผิวเปียก นำผลิตภัณฑ์ขัดผิวเทใส่ใยบวบ ฟองน้ำ หรือถุงมือ แล้วทาลงบนผิวเบาๆ นวดผลิตภัณฑ์บนผิวด้วยการวนมือเป็นลักษณะวงกลมเบาๆ เพื่อเป็นการกระตุ้นระบบไหลเวียน ใช้น้ำล้างออกให้สะอาด ซับให้แห้ง แล้วทาครีมบำรุงผิวที่ให้ความชุ่มชื้นในขณะที่ผิวยังชื้น

8 ผลิตภัณฑ์สำหรับขัดผิวควรเลือกที่เป็นครีมหรือเจล เนื้อครีมควรมีลักษณะเป็น เม็ดกลม เพื่อปกป้องผิวจากการระคายเคือง หรือเป็นแผลถลอก ขณะที่ขัดนวดผิวบริเวณนั้นควรมีความชื้นพอหมาด แล้วล้างออกด้วยน้ำมากๆ

9 ใยบวบ หรือ ใยขัดธรรมชาติ เป็นอุปกรณ์ขัดผิวที่มีประสิทธิภาพมาก แต่ถ้าออกแรงขัดมากเกินไป อาจทำให้แสบผิวได้ เพราะใยเหล่านี้ มีลักษณะสาก และหยาบ เวลาขัด จึงควรขัดเบาๆ ไปทั่วร่างกายขณะอาบน้ำ และเมื่อใช้เสร็จแล้วควรล้างทำความสะอาดและผึ่งให้แห้ง

10 การใช้ผ้าสำหรับถูตัว หรือ ฟองน้ำถูตัว เวลาอาบน้ำ ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งของการขัดผิว โดยใช้ร่วมกับสบู่ หรือเจลอาบน้ำก็ได้

11 เลียนแบบจากสปาชั้นนำ โดยการ ใส่น้ำให้เต็มอ่าง เติมเกลือเม็ดลงไป และเวลาที่ลงไปแช่ตัวอยู่ในอ่างให้ใช้เกลือ 1 กำมือ ขัดไปมาเบาๆ ให้ทั่วตัว และล้างตัวด้วยน้ำสะอาด

12 แปรงแปรงผิว สามารถใช้ได้ดี โดยขัดเบาๆ บนผิวที่แห้งก่อนอาบน้ำ เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดไป หรือจะใช้ในขณะอาบน้ำร่วมกับสบู่ หรือเจลอาบน้ำก็ได้

13 การ ปรนนิบัติผิว ให้นุ่มนวลขึ้นภายใน ระยะเวลาอันสั้น ควรเริ่มด้วยการใช้น้ำมันนวดผิวก่อนอาบน้ำ จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนของการขัดผิว เพื่อช่วยปรนนิบัติ ผิวสะอาดหมดจด สวยเนียนสดใสไปอีกนานๆ

14 เราสามารถทำครีมขัดผิวใช้เอง โดยการใช้เกลือเม็ดเล็กๆ ผสมกับน้ำมันทาผิว (Baby Oil) หรือน้ำมันมะกอกทาทั่วตัวทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที นวดให้ทั่ว แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

15 สครับสำเร็จรูป มักมีลักษณะคล้ายๆ กัน คือ มีบีด (bead) ซึ่งอาจทำจากเกลือ, น้ำตาล, อัลมอนด์ ฯลฯ ช่วยในการขัดผิว มีน้ำมันช่วยหล่อลื่นมีกลิ่นหอม อีกทั้งมีส่วนประกอบในการบำรุงผิวอีกหลายชนิด

16 เราสามารถ ทำสครับใช้เองง่ายๆ ด้วยการใช้ ผักผลไม้ ชนิดที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ในตัวเดียว คือมีผิวสัมผัสที่ให้ความหยาบเล็กน้อย แต่ต้องไม่ถึงกับให้ผิวระคายเคือง มีน้ำช่วยหล่อลื่นและมีวิตามินตรงกับความต้องการ

17 มะขามเปียก, สับปะรด มีเส้นใยช่วยขจัดขี้ไคล มีความเป็นกรด ช่วยทำความสะอาดผิว ทำให้ผิวขาวใส มีวิตามินซึ่งเป็นแอนติออกซิแดนท์สูง มะละกอมีเอนไซม์อ่อนๆ ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้ว วิตามินสูง แต่เนื้อมีความละเอียดมาก มะนาวเป็นกรด เหมาะใช้กับผิวส่วนที่หยาบกร้าน เช่น ข้อศอก, ส้นเท้านุ่มขึ้น แตงกวาช่วยให้ผิวสดชื่น มะพร้าวขูดมีน้ำมันช่วยบำรุงผิว แต่ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้งมากต้องระวัง ลองใช้ส้มเช้งมีคุณสมบัติ คล้ายสองชนิดแรก แต่ไม่เป็นกรดมาก

18 ถ้าคุณเลือกส่วนผสมหลักที่มีความพร้อมในตัวเดียว เช่น มะขามเปียกก็สามารถ นำมาสครับได้เลย แต่ถ้าเลือกมะละกอก็ควรหาสิ่งที่เป็นบีดเพิ่มเข้าไปด้วย เพราะบีดช่วยเพิ่มความสากในสครับ ทำให้สามารถขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วได้ง่ายขึ้น

19 เพื่อความปลอดภัย ควรเลือกสิ่งที่อยู่ในครัวเรือนและมีโอกาสแพ้น้อยที่สุด เช่น เกลือมีฤทธิ์ช่วยสมานผิว, ข้าวสารบดละเอียดช่วยให้ผิวขาว, น้ำตาลทรายมีทั้งความสากและความหนืดอยู่ในตัวเอง, งาเนื้อไม่หยาบเกินไป มีน้ำมันอยู่ในตัวช่วยลดความระคายเคือง และกาแฟกระตุ้นให้ร่างกายขับสารพิษ สิ่งที่ควรระวังคือบีดบางชนิดมีเหลี่ยมคม จึงต้องนำมาบดให้ละเอียดก่อนนอกจากนั้นอาจเพิ่มน้ำมันลงไปเพื่อช่วยลดการเสียดสี

20 ถ้าคุณมี ผิวมัน ใช้มะขามเปียก หรือ สับปะรด ซึ่งมีความเป็นกรดช่วยขจัดความมันผสมกับเกลือ มีฤทธิ์ช่วยสมานผิว เติม โยเกิร์ต ช่วยบำรุงผิวก็ได้

21 ถ้าคุณมี ผิวแห้ง ใช้ส้มเช้ง เป็นส่วนผสมหลัก...ปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นแว่นพอจับถนัดมือ ใส่งาขาวเป็นตัวช่วยขัด เพิ่มน้ำมันมะกอกเล็กน้อยลดความระคายเคือง

22 ถ้าคุณมี ผิวแพ้ง่าย ใช้แค่งาขาว, งาดำผสมน้ำผึ้งหรือโยเกิร์ตก็พอ

23 การใช้น้ำมัน จุดประสงค์สำคัญคือ ช่วยหล่อลื่น และเป็นตัวช่วยลดความเข้มข้นของกรดสำหรับคนผิวแห้งเช่น ถ้าคุณต้องการใช้สับปะรดขัดผิว แต่เกรงว่าผิวจะแห้ง เกินไป การเพิ่มส่วนผสมน้ำมันก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะนอกจากช่วยให้ลื่นแล้ว น้ำมันยังช่วยเคลือบผิวไม่ให้มีการสูญเสียน้ำมากเกินไป

24 การเพิ่มนม, โยเกิร์ต, น้ำผึ้ง หรืออื่นๆ ที่ช่วยบำรุงผิว สามารถทำได้ แต่ต้องดูไม่ให้สครับข้นหรือเหลวเกินไป ลักษณะของสครับที่ดีควรมีความหนืดเล็กน้อย จับตัว อยู่บนผิวได้ และสะดวกแก่การขัด

25 ใครที่ชอบ ความหอมรื่นรมย์ สามารถเสริมกลิ่นด้วยการหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบลงไป 2-3 หยด ซึ่งต้องเป็นน้ำมันหอมระเหยสำหรับนวดตัว ซึ่งมักผสมที่ความเข้มข้นประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่สำหรับใส่เตาเผาน้ำมันเพราะน้ำมันหอมระเหย เข้มข้นจะทำให้ผิวไหม้

26 คนที่มีโรคเกี่ยวกับต่อมน้ำเหลือง เช่น ต่อมน้ำเหลืองอักเสบรุนแรง, ต่อมน้ำเหลือง-โต, มีแผลเป็นหนอง หรือแม้แต่เป็นสิวอักเสบ ควรงดการสครับชั่วคราวจนกว่าจะหายเพราะการขัดเป็นการกระตุ้นให้อักเสบมากขึ้น

27 ถ้าจะสครับหน้าต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนที่สุด ขัดอย่างเบามือเพื่อกระตุ้นน้อยๆ เน้นไปที่ร่องจมูก เลี่ยงจุดที่บอบบางมากๆ เช่น รอบดวงตา

สาวิตรี ม.ฟาร์เลขที่46

++ไม่อยากเป็นผู้หญิงที่มีกลิ่นตัวแรง++

ใครว่าการมีกลิ่นตัวเป็นที่ไม่น่าอาย แต่จริง ๆ แล้ว การมีกลิ่นตัวทำให้เราเสียบุคลิกภาพ ขาดความมั่นใจ และอาจทำให้คนรอบข้างรังเกลียดอีกด้วย

การมีกลิ่นตัว เกิดจากการที่ต่อมเหงื่อผลิตสารสีขาวขุ่นออกมา แล้วจะถูกย่อยด้วยเชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่บนผิวหนังของเรา จึงทำให้เกิดกลิ่นขึ้นมา ซึ่งส่วนมากจะเกิดขึ้นที่บริเวณใต้วงแขนมากกว่าจุดอื่น ซึ่งมีหลายปัจจัยที่เป็นสาเหตุของกลิ่น

สาเหตุของการมีกลิ่นตัว

ฮอร์โมน โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนมาก ก็ทำให้เกิดกลิ่นตัวได้

สภาพอากาศ ในสภาพอากาศร้อนหรือร้อนชื้น เชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังจะเพิ่มจำนวนมากเป็นพิเศษ และเป็นสาเหตุให้เกิดกลิ่นตัวได้ง่ายและรุนแรงขึ้น

เสื้อผ้า เสื้อผ้าเนื้อหนาหรือผ้าใยสังเคราะห์จะระบายเหงื่อได้ช้าและเกิดความอับชื้นได้ง่าย

อารมณ์ ความเครียด โกรธ หรือตกใจ จะกระตุ้นให้ต่อมเหงื่อขับเหงื่อออกมามากกว่าปกติ

อาหารที่มีสารโคลีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ตับ พืชประเภทฝักถั่ว หัวหอม กระเทียม และเครื่องเทศ รวมถึงการรับประทานอาหารรสจัด ล้วนแต่เร่งให้ต่อมเหงื่อขับไขมันออกมามากขึ้นทั้งสิ้น

ภาวะผิดปกติทางร่างกาย เช่น การทำงานที่บกพร่องของระบบเผาผลาญอาหารบางระบบ หรือระบบการย่อยของเอนไซม์ ทำให้ร่างกายสร้างสารเคมีบางอย่างที่มีกลิ่นแล้วขับออกมาทางเหงื่อ

ยา เช่น ยาทารักษาสิวทั่วไปที่มีส่วนผสมของ Benzoyl Peroxide มีผลข้างเคียงทำให้เกิดกลิ่นตัว

สารพัดวิธีกำจัดกลิ่น

1. อาบน้ำให้สะอาด โดยอาจเลือกสบู่ที่ช่วยยับยั้งเชื้อแบคทีเรียและใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายควบคู่กัน

2. ปรึกษาแพทย์ ซึ่งอาจจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย หรืออาจฉีดโบท็อกซ์ที่ใต้วงแขน เพื่อลดปริมาณเหงื่อให้น้อยลงหรือแห้งสนิท ซึ่งตัวยาจะอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน

3. โอ-เลเซอร์ (O-laser) เพื่อทำลายต่อมเหงื่อใต้วงแขน โดยไม่ทำลายเส้นเลือดหรือผิวหนังแต่อย่างใด

4. ใช้คลื่น RF ส่งผ่านอุปกรณ์การแพทย์ขนาดเล็ก โดยสอดเข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณใต้วงแขนเพื่อลดการทำงานของต่อมเหงื่อ

5. ถ้ามีปัญหากลิ่นตัวมากจนเกินเยียวยา แพทย์จะแนะนำให้ผ่าตัดเพื่อตัดต่อมไขมันใต้ผิวหนังออก หรือดูดไขมันบริเวณรักแร้ออก

ทีนี้สาว ๆ ก็จะได้ไม่มีกลิ่นตัวออกมาโชยให้อายใครแล้วนะคะ.....

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์อีส เลขที่ 2

10 วิธี ลดแคลอรีส่วนเกิน

ในแต่ละวิธีต่อไปนี้จะทำให้สาวๆ ลดปริมาณแคลอรีที่กำลังจะลงไปรวมอยู่ที่พุงกลมๆ ไปได้ตั้งเกือบๆ 100 แคลอรีแน่ะ

1. เวลาจะเจียวไข่ให้ใส่ผักสด เช่น หัวหอม มะเขือเทศ เห็ดสดลงไปด้วย และใช้วิธีทอดด้วยน้ำแทนจะทำให้อิ่มท้องเร็วขึ้น และน้ำมันที่ตัดออกไปก็คือการกำจัดไขมันที่จะเข้าสู่ร่างกายโดยตรง

2. เปลี่ยนจากทานข้าวขาวมาทานข้าวกล้องและเปลี่ยนจากขนมปังขาวธรรมดามาทานขนมปังโฮลวีตแทน เส้นใยในข้าวกล้องและขนมปังโฮลวีตจะช่วยเรื่องขับถ่าย ทำให้น้ำหนักลดลงได้

3. เลิกทานขนมปังพร้อมเนย จะช่วยกำจัดปริมาณแคลอรีได้ถึง 75 กิโลแคลอรี ต่อขนมปัง 1 แผ่น

4. ทานข้าวน้อยลง 1 ทัพพีสามารถลดได้ 80 แคลอรี ทำทั้ง 3 มื้อกำจัดไป 240 แคลอรี

5. เปลี่ยนขนาดแก้วที่ใส่น้ำผลไม้ให้เล็กลง หรือถ้าดื่มจากกล่องก็ลดขนาดจากกล่อง 250 cc. มาเป็น 200 cc. แทน

6. เวลาจะเติมน้ำตาลในชาหรือกาแฟให้เปลี่ยนมาใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลสามารถลดได้ 32 แคลอรี

7. ใช้นมพร่องมันเนยแทนครีมเทียม

8. เวลาทานสลัดผัก ลดปริมาณน้ำสลัดลง 1 ช้อนโต๊ะ จะลดแคลอรีได้ 60 แคลอรี ถ้าลดปริมาณน้ำสลัดแบบน้ำใสลง 1 ช้อนโต๊ะ จะกำจัดไปได้อีก 45 แคลอรี

9. ทานอาหารเช้าที่ให้พลังงานต่ำ เช่น แกงจืดผักใส่เต้าหู้หรือผัดผักใส่เนื้อสัตว์ไม่ติดมันและอาหารใน 1 มื้ออนุญาตให้มีอาหารประเภททอดหรือผัดได้แค่ 1 อย่างเท่านั้น

10. ถ้าใส่น้ำตาลเพียงครึ่งซองหรือลดปริมาณน้ำตาลจาก 2 ช้อนชา (2ก้อน) เป็น 1 ช้อนชา (1 ก้อน) จะลดได้ 15 แคลอรี

ทิพย์สุดา วิทย์ฯออก เลขที่ 6

การออกกำลังกายหลัง

การอกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยทำให้กล้ามเนื้อหลังแข็งแรงขึ้น และจะช่วยลดอาการปวดหลังการออกกำลังกายที่สำคัญมีอยู่สองชนิดคือ การยืดเส้น Stretching exercise และ Strenthening exercise ข้อควรระวังในการออกกำลังกายคือ

เริ่มออกกำลังอย่างช้าๆโปรดจำไว้ว่าความแข็งแรงของหลังแต่ละคนไม่เหมือนกัน หากหลังของคุณไม่แข็งแรงพอและคุณเร่งรีบการออกกำลังจำทำให้คุณเกิดปวดหลังได้ ควรจะเริ่มออกกำลังท่าที่ง่ายและไม่ก่อให้เกิดอาการปวดหลัง เริ่มจากครั้งละน้อยค่อยๆเพิ่ม เมื่อร่างกายแข็งแรงขึ้นจึงเพิ่มทั้งปริมาณและความหนัก

เลือกวิธีการออกกำลังให้เหมาะสม หากคุณเพิ่งหายจากอาการปวดหลังควรเลือกการออกกำลังที่มีผลต่อหลังคุณน้อย low impact exercise เช่นการว่ายน้ำ การออกกำลังกายในน้ำ การขี่จักรยานอยู่กับที่ซึ่งต้องปรับความสูงของเบาะและมือจับ

หลีกเลี่ยงการเคลื่อนไหวที่ทำให้ปวดหลังโดยเฉพาะท่านที่มีโรคปวดหลังอยู่ก่อน เช่นการบิดเอวตีกอล์ฟ การที่ต้องหยุดๆบ่อยๆเช่น การเล่น tennis basketball กีฬาที่มีการกระแทกเช่นฟุตบอล รักบี้ มวยปล้ำ

เคล็ดลับในการออกกำลังกาย

- ต้องกำหนดเป้าหมายเช่นออกเพื่อต้องการความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหรือออกเพื่อให้หัวใจแข็งแรง

- ขณะออกกำลังกายอย่ากลั้นหายใจเพราะจะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ให้หายใจเข้าออกตามปกติ

- บริหารกล้ามเนื้อให้เกิดความสมดุล เช่นบริหารหลังก็ต้องบริหารหน้าท้อง บริหารกล้ามเนื้อแขนด้านหน้าต้องบริหารกล้ามเนื้อแขนด้านหลังเป็นต้น

- เลือกน้ำหนักให้เหมาะสมกับตัวเองโดยมากเมื่อยก 10-15 ครั้งแล้วทำให้เมื่อยน้ำหนักนั้นจะเป็นน้ำหนักที่เหมาะสม

- อย่าใช้เวลามากเกินไปจากการศึกษาพบว่าเล่นวันละ set ก็เพียงพอทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง

- อย่ารีบ ให้ยกและวางลงอย่างช้าๆเพื่อกล้ามเนื้อได้ถูกบริหารอย่างเต็มที่

- ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอสัปดาห์ละ 3 ครั้ง

- ให้ใส่รองเท้าทุกครั้งเพื่อป้องกันเท้า

Stretching exercise เป็นการบริหารเพื่อลดอาการเจ็บปวดและยืดเส้น ตัวอย่างของการบริหารแบบยืดเส้นคุณควรจะเลือกวิธีการบริหารให้เหมาะสมกับตัวคุณเอง

- ยืนให้เท้าแยกจากกัน มือประสานไว้บนศีรษะ เอียงตัวไปด้านข้าง ค้างไว้ 15-30 วินาที ทำ 3-5 ครั้งในแต่ละข้าง

- นั่งบนเก้าอี้ ก้มตัวลงเอาแตะพื้น จนกระทั่งเริ่มมีอาการตึงหลัง ค้างไว้ 15-30 วินาที่ทำครั้ง 3-5 ครั้ง

- คลาน 4 เท้า ค่อยๆหายใจเข้าและโก่งหลังขึ้นกลับสู่ท่าปกติ หายใจออกช้าพร้อมกับแอ่นท้องลงหาพื้น ทำ 5 ครั้ง

- ยืนเท้าแยกกันเล็กน้อยเข่าไม่งอ มือจับที่เอวด้านหลัง แอ่นหลังให้มากที่สุดค้างท่านั้นไว 2 วินาที

Strenthening exercise คือการบริหารเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง

- นอนบนพื้น ตั้งเท้า แขนเหยียดตรงยกไหล่ให้แขนแตะเข่า ค้างท่านี้ไว้ 3-4 วินาทีแล้วกลับไปท่านอน ทำซ้ำ 10 ครั้ง

- นอนคว่ำ เอาหมอนหนุนสะโพกและท้องน้อย ยกเท้าขึ้นค้างไว้ 5 วินาทีทำซ้ำข้างละ 10 ครั้ง

- ให้นอนราบ เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องและก้น กดหลังบริเวณเอวให้หลังติดพื้นค้างไว้ 5 วินาที ทำซ้ำ 10 ครั้ง

- นอนตะแคง ยกเท้าทั้งสองข้างสูงจากพื้น 2-4 นิ้วค้างไว้ ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง

- เป็นการบริหารกล้ามเนื้อหลัง สะโพก และกล้ามเนื้อขา ยืนเท้าแยกหลังชิดกำแพง ย่อตัวลงจนกระทั่งเข่าได้มุม 90 องศาค้างไว้2-3 วินาทีแล้กลับสู่ท่าเริ่มต้น ทำ 5 ครั้ง

- เป็นการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องและขา โดยการนอนราบมือวางไว้กับพื้น ยกเท้าขึ้นข้างหนึ่ง นับ 1-10 แล้วเอาลงทำข้างละ 5 ครั้ง ถ้ายกลำบากก็ให้ตั้งเท้าอีกข้างดังรูป

- นั่งบนเก้าอี้ เท้าเหยียดตรง ยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นจนถึงระดับเอว ยกสลับกันทำข้างละ 5 ครั้ง

- บริหารกล้ามเนื้อหลังและสะโพก ยืนมือจับพนักเก้าอี้ ยกเท้าเหยียดไปข้างหลังเข่าตรง ค่อยๆนำเท้าลง ทำสลับข้าง ข้างละ 5 ครั้ง

แหล่งข้อมูลจาก

www.siamhealth.net/public_html/Health/good_health_living/LBP/back_exer.htm

สมดุลของน้ำในร่างกาย

น้ำเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสิ่งที่มีชีวิต มักมีผู้กล่าวไว้ว่าถ้าปราศจากน้ำก็ปราศจากสิ่งมีชีวิต โดยทั่วไปคนสามารถอดอาหารได้หลายสัปดาห์ แต่ถ้าอดน้ำจะเสียชีวิตภายใน 2–3 วัน การศึกษาวิจัยที่ผ่านมาพบว่าน้ำมีประโยชน์มากมายแก่ร่างกายของสิ่งมีชีวิต นอกเหนือจากคุณสมบัติที่เด่นที่สุดของโมเลกุลน้ำที่เป็นตัวทำละลายที่ดีและ มีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด

น้ำเป็นองค์ประกอบของชีวิต

ร่างกายมนุษย์มีน้ำเป็นส่วนประกอบประมาณร้อยละ 70 ในเลือดมีน้ำเป็นองค์ประกอบร้อยละ 92 ในสมองมีน้ำเป็นองค์ประกอบร้อยละ 85 ถ้าพิจารณาในแต่ละเซลล์จะมีน้ำเป็นองค์ประกอบร้อยละ 60 จริงๆแล้วน้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญและจำเป็นของเซลล์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเซลพืช เซลล์สัตว์ และเซลล์มนุษย์ ทุกเซลล์ล้วนประกอบด้วยน้ำทั้งนั้น ในเซลล์มนุษย์และเซลล์สัตว์มีน้ำประมาณ 2 ใน 3 ของน้ำหนักร่างกาย ในพืชบกมีน้ำประมาณร้อยละ 50–75 ถ้าเป็นพืชน้ำอาจมีน้ำมากกว่าร้อยละ 95 โดยน้ำหนัก

หน้าที่สำคัญที่สุดของน้ำ คือ เป็นตัวกลางในการเกิดปฏิกิริยาเคมีทุกชนิดในกระบวนการเมตาบอลิซึมของร่างกาย ปฏิกิริยาเคมีในร่างกายทุกชนิดต้องอาศัยน้ำ เซลล์จะไม่สามารถทำงานได้ถ้าไม่มีน้ำ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน ได้แก่ กระบวนการการย่อยอาหาร กระบวนการดูดซึมอาหาร และกระบวนการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย

น้ำที่เป็นของเหลวของเลือดทำหน้าที่ขนส่งอาหารและออกซิเจนให้แก่เซลล์ อีกทั้งนำของเสียและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากเซลล์มาขับถ่ายออกจากร่างกาย กระบวนการไหลเวียนเลือดและกระบวนการขับถ่ายของเสียในร่างกายไม่สามารถเกิดขึ้นได้ถ้าปราศจากสมดุลของสารน้ำในร่างกาย

น้ำช่วยให้การขับถ่ายกากอาหารในลำไส้ใหญ่เป็นไปโดยสะดวก ความผิดปกติของการถ่ายอุจจาระเกิดขึ้นเนื่องจากขาดสมดุลของการดูดซึมน้ำกลับเข้าสู่เซลล์ลำไส้ เชื้อโรคที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคอุจจาระร่วงหลายชนิดสร้างสารพิษที่มีผลต่อกลไกการควบคุมสมดุลสารน้ำภายในลำไส้

สาร พิษ รวมทั้งสารเคมีในร่างกายที่อาจเป็นพิษ ถูกกำจัดออกจากร่างกายโดยอาศัยน้ำ เลือดทำหน้าที่ขนส่งสารเหล่านั้นไปทั่วร่างกายซึ่งสารนั้นละลายในน้ำ ตับเป็นอวัยวะสำคัญในการทำลายหรือเปลี่ยนแปลงสารพิษด้วยกลไกทางเคมีมากมายหลายชนิด บางคนกล่าวเปรียบเทียบว่าตับเป็นโรงงานผลิตเอนไซม์ที่ทรงพลังมากกว่าโรงงานใดๆในโลก กระบวนการขับถ่ายสารพิษเกิดขึ้นร่วมกับการขับถ่ายทางปัสสาวะและอุจจาระ

น้ำช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย และช่วยรักษาระดับความเป็นกรดด่างของเลือดรวมทั้งของเหลวต่างๆ ในร่างกาย น้ำช่วยระบายความร้อนของร่างกายในรูปของเหงื่อ ซึ่งถือเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพยิ่ง

ร่างกายได้รับน้ำหลายทางด้วยกัน

1. น้ำดื่ม เครื่องดื่ม

2. น้ำที่เป็นส่วนประกอบในอาหาร

3. น้ำที่ได้จากการเผาผลาญสารอาหารคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน

ปกติคนเราดื่มน้ำวันละประมาณ 1.5 – 2.0 ลิตร และได้รับจากเครื่องดื่มและอาหารทั้งภายในและภายนอกร่างกายอีกประมาณวันละ 1 – 2 ลิตร

ร่างกายสูญเสียน้ำ

1. ผิวหนัง มีทั้งที่เรามองเห็นออกมาในรูปของเหงื่อ และน้ำที่ระเหยไปโดยที่เรามองไม่เห็น

2. ปอด โดยการหายใจออก

3. ทางอุจจาระ

4. ทางปัสสาวะ

รวมทั้งสิ้นในวันหนึ่งร่างกายสูญเสียน้ำประมาณ 3–5 ลิตร ซึ่งใกล้เคียงกับปริมาณที่ได้รับ

ปริมาณของน้ำในร่างกายคนไม่แน่นอน ขึ้นกับอายุ ปริมาณของไขมันในร่างกาย และกิจกรรมของแต่ละคน คนที่ทำงานหนักกลางแจ้งอาจสูญเสียน้ำ 5 – 12 ลิตรต่อวัน หรือคนที่มีโรคภัยไข้เจ็บก็อาจเสียสมดุลของน้ำในร่างกายได้ง่าย

กลไกควบคุมสมดุลของสารน้ำ

1. สมองส่วนไฮโปทาลามัสทำหน้าที่ควบคุมปริมาณสารน้ำในร่างกาย

2. เมื่อร่างกายมีการสูญเสียน้ำ สมองส่วนไฮโปทาลามัส ซึ่งมีศูนย์ควบคุมการกระหายน้ำ จะสั่งการให้เกิดการดื่มน้ำทดแทน โดยจะรู้สึกกระหายน้ำ และเมื่อมีการกลืนน้ำเข้าไปก็จะช่วยบรรเทาความกระหายได้อย่างรวดเร็ว

3. ถ้าร่างกายขาดน้ำประมาณ 3 วัน ก็จะทำให้เสียชีวิตได้ สำหรับภาวะขาดน้ำเรื้อรัง ซึ่งเกิดจากการดื่มน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ

ลักษณะของน้ำดื่มที่ดี

1. น้ำดื่มที่ดีต้องปราศจากสารปนเปื้อนทางเคมีและสารอินทรีย์ต่างๆ อาทิเช่น เชื้อจุลินทรีย์ โลหะหนัก รวมทั้งสารเคมี

2. ประกอบด้วยแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย ได้แก่ โปแตสเซียม แมกมีเซียม แคลเซียม เป็นต้น

3. โครงสร้างโมเลกุลขนาดเล็กช่วยให้ แทรกซึมสู่เซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถนำพาสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างทั่วถึง รวมทั้งนำพาของเสียออกมาจากเซลล์ไปทิ้งได้

4. น้ำดื่มที่ดีควรมีความกระด้างของน้ำปานกลาง มีประจุไฟฟ้าสูงและเป็นสื่อนำความร้อนที่ดี

5. ความเป็นด่างอ่อน ๆ โดยมีค่าความเป็นกรด-ด่างระหว่าง pH 7.25 - 8.50 เพื่อช่วยกำจัดความเป็นกรดและของเสียในร่างกาย ช่วยทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะสมดุล

6. ควรมีปริมาณออกซิเจนเจือปนอยู่ด้วยสูง สามารถตรวจวัดค่าได้ประมาณ 5 มิลลิกรัมต่อลิตรหรือมากกว่า

ลักษณะของน้ำดื่มบางชนิด

1. น้ำอ่อนเป็นน้ำที่ไม่มีแร่ธาตุ

2. น้ำกลั่นเป็นน้ำที่ไม่มีแร่ธาตุที่มีประโยชน์ละลายอยู่เลย

3. น้ำดื่มบรรจุขวดที่อาจมีสารปนเปื้อนและไม่ได้มาตรฐาน ร้อยละ 25 ของน้ำดื่มบรรจุขวดนำน้ำประปามาใส่ขวด และปรับปรุงคุณภาพเล็กน้อยเท่านั้น

4. น้ำประปามี คลอรีนซึ่งช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย แต่อาจจะก่อให้เกิดสารออกฤทธิ์ไม่พึงประสงค์ซึ่งเกิดจากคลอรีนทำปฏิกิริยา กับสารอินทรีย์ในธรรมชาติซึ่งละลายอยู่ในน้ำ

5. น้ำอัดลมทำมาจากน้ำกลั่นหรือน้ำอ่อนที่ไม่มีแร่ธาตุ

6. น้ำหวานและน้ำผลไม้สำเร็จรูปเป็นน้ำตาลกับสีผสมน้ำ โดยแต่งกลิ่นธรรมชาติเข้าไปและอาจเติมวิตามินหรือแร่ธาตุปะปนอยู่บ้าง

ที่มา : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ

ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

มือหยาบจร้า ขอลาก่อน!!!

ใครๆ ก็ย่อมแอบฝันว่า อยากให้รอบข้างพรั่งพร้อมไปด้วยบริวาร มีใครต่อใครทำงานบ้านให้ตลอดเวลา มือจะได้นุ่มนิ่ม นวลเนียน น่าสัมผัส...แต่เดี๋ยวก่อน! กลับมาสู่ชีวิตจริงกันดีกว่าค่ะ ถึงแม้มือเราจะหยาบจะกร้านแค่ไหน ก็ใช่ว่าจะฟื้นฟูไม่ได้สักหน่อย

แค่นำ น้ำตาล 2 ช้อนชา และ น้ำมะนาว 1/2 ช้อนชามาผสมเข้าด้วยกัน จากนั้นนำมาขัดๆ ถูๆ ฝ่ามือ ค่อยๆ ขัดไปเรื่อยๆ แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น จากนั้นค่อยทาเบบี้ออยล์เพื่อกักความชุ่มชื่นปิดท้าย ทำสักอาทิตย์ละครั้ง พลังมืออันหยาบกร้านก็จะสลายไปเองจ้า

เรื่องของการนอน

อย่าใส่นาฬิกาข้อมือนอน

เพราะขณะที่นาฬิกาทำงานไปเรื่อย ๆ นั้น ล้วนปล่อยพลังงาน ถ้าใส่นาฬิกาข้อมือนอน จะมีผลต่อสุขภาพระยะยาว

ไม่ควรนอนหลับไปพร้อมๆ กับโทรศัพท์ หรือวางโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ๆ

ใครที่ชอบใช้มือถือเป็นนาฬิกาปลุกยามเช้า กรุณาเก็บมือถือไว้ห่างๆ เพราะหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า โทรศัพท์มือถือ จะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาขณะเปิดเครื่องไว้ และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านี้ มีผลกับระบบประสาท เพราะฉะนั้น ตอนนอนก็ควรปิดโทรศัพท์มือถือซะดีกว่า

อย่าหลับไปพร้อมกับเครื่องสำอาง

ไม่ว่าจะเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้ายังไง ต้องล้างเครื่องสำอางออกให้หมด เพราะการหลับทั้ง ๆ ที่เครื่องสำอางยังคาอยู่ที่ผิวหน้า จะทำให้เกิดปัญหาด้านผิวพรรณระยะยาว

(สำหรับสาว ๆ เท่านั้น) อย่าใส่ยกทรงนอน

เพราะนักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน พบว่าการใส่ยกทรงนานเกิน 12 ชั่วโมง จะเป็นการเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งทรวงอกได้ ฉะนั้น ก็อย่าใส่ยกทรงนอนเลย

6 ท่า 6 จุด หยุดไขมัน

Obesity Therapy เป็นโยคะประยุกต์เพื่อลดสัดส่วน ซึ่ง ครูแฮ้งค์-ปรีชา พุฒทอง ได้ศึกษาและทดลองมานานกว่า 3 ปีจนได้รับลิขสิทธ์การันตีว่าช่วยลดไขมัน 6 จุดในร่างกาย กระตุ้นการไหลเวียนโลหิต และยังช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรง มีความยืดหยุ่นของข้อต่อดีขึ้น ลดอาการเมื่อยล้า สร้างสมดุลให้ร่างกายและจิตใจ พัฒนาทักษะในการควบคุมการใช้อวัยวะ รู้จังหวะการหายใจ การรู้สึกตัวในขณะปฏิบัติ โดยทั้ง 6 ท่านี้ เป็นท่าพื้นฐานใน 35 ท่าโยคะ Obesity Therapy ที่ทำง่ายและได้ผลดี

1. ท่าหน้าวัวประยุกต์

A. ยืนตัวตรงเท้าชิดติดกัน มือขวาจับปลายผ้าขนหนูข้างหนึ่ง ยกแขนขวาขึ้นแล้วงอข้อศอกลงไปด้านหลังศีรษะ แขนซ้ายแนบติดลำตัวงอแขนไว้ด้านหลังขนานกับช่วงเอว จับปลายผ้าขนหนูอีกข้าง

B. หายใจเข้า มือขวาออกแรงดึงผ้าขนหนูขึ้นให้แขนขวาชิดใบหู

C. หายใจออก มือซ้ายดึงผ้าขนหนูลงจนแขนซ้ายตึง ระวังอย่าให้แขนซ้ายแยกออกจากลำตัว และต้องดึงผ้าให้ตึงตลอด ทำต่อเนื่องจนครบ 10 ครั้ง ครั้งที่11 ลดแขนทั้งสองให้ขนานกันดังภาพแล้วออกแรงดึงผ้าให้ตึง ปล่อยแขนลงผ่อนคลาย ทำซ้ำอีกข้าง ท่านี้จะช่วยลดไขมันส่วนเกินบริเวณท้องแขนได้เป็นอย่างดี Happy

2. ท่าเรือกลไฟ

A. ยืนตัวตรงกางขาออกกว้างเป็น 3 เท่าของช่วงไหล่ ขาเหยียดตรงเปิดปลายเท้าขวาให้ตั้งฉากกับลำตัว หายใจเข้า หงายฝ่ามือยกแขนทั้ง 2 ข้างขึ้นขนานกับพื้น หายใจออก หมุนตัวมาทางขวามือ 90 องศา

B. หายใจเข้าประสานมือดันนิ้วชี้ขึ้นเหนือศีรษะ ยืดแขนให้ตึง หายใจออก งอเข่าขวาให้ตั้งฉากไม่เกินนิ้วโป้งเท้า

C. หายใจเข้า เกรงขายืดแขนให้ตึง หายใจออก ยืดตัวตรง แขม่วท้อง

D. หายใจเข้า เกร็งขายืดตรง กลับไปท่าเริ่มต้น ทำแบบนี้ข้างละ 3 ครั้ง ท่านี้จะช่วยลดไขมันท้องแขน และสะโพก ได้บริหารปีกสะบักกลางหลัง และกล้ามเนื้อต้นขา

3. ท่าบิดลำตัว

A. นั่งหลังตรง ใช้ขาซ้ายไขว้ขาขวา ปลายเท้าขวาวางข้างสะโพก อกชิดติดเข่า แขนซ้ายกอดหัวเข่าขวา

B. หายใจเข้าให้ลึก วาดแขนขวาไปทางด้านหลังวางไว้ที่เอว หายใจออก แขม่วท้องบิดเอวหันหน้าไปทางด้านหลัง หายใจเข้าหันหน้ากลับท่าเริ่มต้น ทำ 3 รอบแล้วเปลี่ยนข้าง ท่านี้จะช่วยลดเอว หน้าท้อง ต้นขา ปีกสะบัก และแนวขอบอก

4. ท่ายืดส่วนหลัง

นั่งหลังตรง ยืดขาทั้งสองข้างไปด้านหน้าเกร็งปลายเท้าให้ตั้งฉาก หายใจ เข้ายกแขนทั้งสองข้างเหนือศีรษะ หายใจออก คว่ำมือแล้วค่อยๆ ก้มตัวลง เกร็งกล้ามเนื้อบริเวณช่วงเอว แล้วใช้นิ้วชี้เกี่ยวนิ้วโป้งเท้า ค่อยๆ ก้มตัวลงอีก งอศอกเล็กน้อยค้างไว้ประมาณครึ่งนาที (สำหรับคนที่ไม่สามารถเกี่ยวนิ้วได้ อย่าฝืน ให้จับบริเวณใต้เข่าและก้มตัวเท่าที่ทำได้) ยืดตัวขึ้นช้าๆ ท่านี้จะช่วยกระตุ้นการขับถ่าย บริหารกล้ามเนื้อส่วนหลัง และต้นขา

5. ท่าสะพาน

A. หายใจเข้านอนหงายขนานกับพื้น งอขาชันเข่า เอามือจับที่ส้นเท้า เกร็งหัวเข่ากดคางกับหน้าอก

B. หายใจเข้า ยกสะโพกขึ้นเท่าที่ทำได้ (ใช้มือค้ำที่เอวได้) หายใจออก หายใจเข้า เกร็งกล้ามเนื้อต้นขาและสะโพก หายใจออก ค่อยๆ วางตัวลงกับพื้น ทำ 4 ครั้ง ท่านี้จะช่วยลดไขมันหน้าท้อง ต้นขา และบริหารกล้ามเนื้อหลัง

6. ท่าศพ

นอนเหยียดขา กระดกปลายเท้า เกร็งเท้า เข่า ต้นขา สะโพก ขมิบก้น เกร็งส่วนคอ กำหมัดแล้วเกร็ง โดยเกร็งส่วนละ 2 วินาที แล้วปล่อยให้ผ่อนคลายเป็นท่าจบและนอนพัก การเกร็งส่วนต่างๆ จะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย

นภา ใจเฟย ม.ฟารร์(28)

แอปเปิ้ลไซเดอร์ สูตรลับความสวยของคนรักสุขภาพ

พูดถึง "แอปเปิ้ล" หรือ "ราชาแห่งผลไม้" เป็นได้เรียกความสนใจจากสาวๆ กันได้ถ้วนหน้า ด้วยสรรพคุณมากมาย ทั้งให้วิตามินชนิดต่างๆ บำรุงผิวพรรณให้สดใสชุ่มชื่น และคุณสมบัติสำคัญที่สุด นั่นก็คือ การลดความอยากอาหาร แล้วยังช่วยเรื่องระบบของการย่อยอาหารได้ดีเยี่ยม นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เหล่าบรรดาผู้ผลิตอาหารเพื่อสุขภาพนำแอปเปิ้ลมาเป็นหนึ่งในส่วนผสมหลักตัวชูโรงช่วยรักษาสุขภาพ ซึ่งได้ผลดีและมีคุณค่าอย่างน่าอัศจรรย์ใจ

บรรดาอาหารสุขภาพที่น่าสนใจ ก็คือ "แอปเปิ้ลไซเดอร์" หรือที่เราเรียกกันว่า น้ำส้มสายชูหมัก ที่เกิดจากการหมักแอปเปิ้ลสด ซึ่งปลูกโดยไม่มีการใช้สารเคมีเจือปนนำมาบด และปล่อยให้เกิดการหมักตัวในถังไม้ที่มีคุณภาพดี พอถึงอายุเหมาะสม น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิล จะประกอบไปด้วยเส้นใยบางๆ ที่เรียกว่า มาเธอร์ (Mother) เห็นได้ชัดเมื่อยกขึ้นส่องกับแสง

...เส้นใยบางๆ ที่มีมาเธอร์อยู่ในแอปเปิ้ลไซเดอร์ คือส่วนที่มีสารอาหารมากที่สุด และดีต่อระบบย่อยอาหารอย่างมาก การผ่านความร้อนจะทำลายมาเธอร์ที่มีอยู่ในน้ำส้มสายชูหมัก สิ่งนี้จึงทำให้น้ำส้มสายชูหมักแอปเปิ้ลนี้แตกต่างจากน้ำส้มสายชูทั่วไปในท้องตลาดที่ผ่านการกลั่นกรอง...

ประโยชน์ของน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล อุดมด้วยแร่ธาตุอาหารต่างๆ เช่น โพแทสเซียม ซึ่งเป็นสารอาหารที่สำคัญของเซลล์ในร่างกาย ช่วยให้เซลล์มีความแข็งแรง และเป็นส่วนที่ช่วยให้เส้นเลือดแดงของมนุษย์มีความยืดหยุ่นได้ดี เบต้าแคโรทีน พบในแอปเปิ้ลไซเดอร์สามารถย่อยและดูดซึมสารอาหารได้ง่าย ผลการวิจัยพบว่า การบริโภคอาหารที่มีเบต้าแคโรทีนสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง กรดอะซิติก สำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก กรดนี้สารมารถดึงไขมันออกจากเซลล์ไปใช้เพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานต่อไปได้ นอกจากนี้ยังมี ไฟเบอร์ ช่วยในการดึงคอเลสเตอรอลออกจากร่างกายได้เป็นอย่างดี และวิตามินต่างๆ อาทิ ซี บี1 บี2 และ เอ

ด้วยความเป็นผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้ง่ายตามซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำ อาทิ ดิ เอ็มโพเรี่ยม, ฟู้ดแลนด์, โกลเด้น เพลซ และวิลล่า ซูเปอร์มาร์เก็ตนั่นเอง จึงทำให้เป็นที่นิยมของผู้รักสุขภาพ สาวๆ ผู้รักสุขภาพความงามสามารถนำน้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ลมาใช้ได้สารพัดประโยชน์ เช่น ผสมเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ทำน้ำสลัด ปรุงอาหาร หรือ ใช้ทาผิวก็ได้ด้วย

อีกหนึ่งสูตร น้ำแอปเปิ้ลไซเดอร์ปั่น ซึ่งทำได้ง่ายมาก ส่วนผสมก็มีแอปเปิ้ลแดงหั่นเป็นชิ้น 1 ถ้วย น้ำแอปเปิ้ล ? ถ้วย แอปเปิ้ลไซเดอร์วีนีก้า 2-3 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ หรือสารให้ความหวาน 1 ซอง น้ำแข็งเล็กน้อย ปั่นส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันจนละเอียด แก้วนี้อุดมไปด้วยโพแทสเซียม และไฟเบอร์

สำหรับสาวๆ และคนทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำคงจะตื่นตาตื่นใจไม่น้อยกับความเปลี่ยนแปลงรูปแบบใหม่ของอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ซึ่งง่ายและสะดวกในการเลือกรับประทานขึ้นด้วย

เอนไซม์

เคยสังเกตไหมคะว่า เวลาเราตัดเถาตำลึง สักครู่หนึ่งจะมียางใสๆไหลออกมา หรือเวลาปอกแอปเปิ้ล สักพักเนื้อแอบเปิ้ลจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล นั่นคือกลไกการรักษาพยาบาลและการเยียวยาตัวเอง เพื่อไม่ให้เนื้อเยื่อที่เหลืออยู่ถูกทำลายหรือเน่าเสีย สิ่งที่ทั้งตำลึงและแอปเปิ้ลขับออกมานั่นคือ...เอนไซม์

หรือเวลาที่เราตักข้าวเข้าปาก เคี้ยวได้สักพักก็จะรู้สึกหวาน ทั้งๆที่ข้าวนั้น ออกจะจืดในตอนแรก นั่นเพราะเอนไซม์ในปากของเราชื่อ PTYALIN หรือ AMYLASE เปลี่ยนข้าวหรือแป้งในปากให้เป็นกลูโคส ร่างกายของเราต้องการกลูโคสไปเลี้ยงสมอง เพื่อให้สมองและประสาททำงานได้ นี่คือความสำคัญของเอนไซม์ที่เราพอจะเห็น

เอนไซม์มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตในโลก ถ้าไม่มีเอนไซม์ก็ไม่มีชีวิต

เอนไซม์มีหน้าที่กระตุ้นหรือเริ่มต้น (CATALYST) ให้วงจรหรือระบบต่างๆของชีวิตทำงาน เพื่อจุดประสงค์สองประการ

ป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นแก่ชีวิตนั้น หรือถ้าอันตรายเกิดขึ้นแล้ว ก็ป้องกันไม่ให้อันตรายนั้นลุกลามหรือร้ายแรงยิ่งขึ้น

เอนไซม์จะทำหน้าที่ส่งเสริมหรือบำรุงให้ระบบต่างๆของชีวิต ทำงานได้ดีหรือง่ายขึ้น

เราสามารถเสริมเอนไซม์ให้ร่างกายได้อย่างไร

เราสามารถเสริมเอนไซม์ให้แก่ร่างกายได้ด้วยอาหารค่ะ แต่ทว่าเมื่อเราเคี้ยวอาหาร เอนไซม์ในอาหารจะถูกทำลายหรือเปลี่ยนสภาพด้วยเอนไซม์ ตั้งแต่ในปากเรื่อยไปถึงกระเพาะอาหาร จึงแนะนำให้คั้นเอาแต่น้ำทำเป็นน้ำดื่ม เอนไซม์ในอาหารจะผ่านปาก ลำคอ ถึงกระเพาะ ไปสู่ลำไส้ โดยไม่ต้องถูกย่อย และสามารถดูดซึมเข้ากระแสเลือดไปใช้ได้ทันที

อย่างไรก็ตาม เราต้องรู้จักธรรมชาติของเอนไซม์กันเสียก่อน เอนไซม์ถูกทำลายได้ง่ายมากเมื่อ

ถูกความร้อน การต้ม ผัด นึ่ง ลวก ทำให้เอนไซม์ในผักตายหมด

ถูกกระแสไฟฟ้าหรือกระแสแม่เหล็ก ถ้าคุณใช้เครื่องปั่นไฟฟ้า เอนไซม์จะตายหมด แต่ถ้าใช้เครื่องแยกกาก (Juicer) ซึ่งแยกกากไปทาง น้ำไปทาง จะใช้ได้

ถูกเอนไซม์ตัวอื่นๆทำลาย

วิธีการทำน้ำเอนไซม์ดื่มที่ง่ายที่สุดคือ

ใช้เครื่องแยกกาก (แต่แพง) คั้นเอาน้ำออกจากเนื้อผักหรือผลไม้

นำผักหรือผลไม้ที่ต้องการไปสับ คั้น หรือตำ แล้วคั้นแยกน้ำออกจากกากด้วยผ้าขาวบาง จะได้น้ำเอนไซม์แบบธรรมชาติ ราคาถูก และภูมิใจดีด้วย เนื่องจากเราทำทุกอย่างด้วยมือของเราเอง

หลังจากคั้นได้น้ำเอนไซม์แล้วควรดื่มทันทีภายในครึ่งชั่วโมง เพราะหากทิ้งไว้นานเอนไซม์ก็จะสลายตัวได้ แต่ละวันควรสลับผักหรือผลไม้ที่จะนำมาคั้น ดื่มช่วงบ่ายๆตอนท้องว่างแทนค็อฟฟี่เบรคได้สบายค่ะ

เสาวลักษณ์ ทองอินทร์_Far31

เชื่อหรือไม่...ตรวจสุขภาพจากฟันได้

สงสัยคงต้องพักคำว่า ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจไปสักพัลเลย์ ผอ.กแล้วล่ะ เพราะเดี๋ยวนี้อยากรู้สภาพหัวใจจริงๆ ต้องอ้าปากกว้างๆ อย่างที่นายพลนายแพทย์ ไบรอัน มีลเลย์ ผอ.ศูนย์การแพทย์วิลล์ฟอร์ดฮอลล์ ที่ซานแอนโตนิโอ โรงพยาบาลของกองทัพอากาศ สหรัฐอเมริกา ได้บอกไว้ว่า คุณสามารถรู้ได้ว่าร่างกายของคุณแข็งแรงดี หรือมีโรคอื่นแทรกอยู่ ได้จากอาการเหงือกและฟันที่คุณเป็นนี่หล่ะ

ตอนนี้ที่โรงเรียนทันตแพทย์ในอเมริกา จึงสอนให้บรรดาคุณหมอฟันทั้งหลาย ใส่ใจคนไข้มากกว่าแค่สุขภาพช่องปาก มาดูสิว่าเราเป็นอะไรได้อีกบ้างจากการตรวจฟัน

1. เบาหวาน

คนที่เป็นเบาหวานจะมีโอกาสเป็นโรคเหงือกมากกว่าปกติ 3 -4 เท่า ปากจะแห้ง ขอบปากไหม้ มีกลิ่นปาก ลิ้นเป็นฝ้า และเหงือกจะอักเสบบ่อยและเป็นมากกว่าคนทั่วไป เพราะคนที่เป็นเบาหวานนั้นจะสร้างเม็ดเลือดขาวได้น้อยลง ทำให้มีการอกเสบติดเชื้อได้ง่ายขึ้น

2. กระดูกพรุน

ฟันผุ ฟันโยก บอกได้ว่าร่างกายคุณเริ่มขาดแคลเซียม นั่นก็หมายถึงกระดูกของคุณด้วย คุณผู้หญิงที่เข้าสู่วัยทองควรตรวจฟันบ่อยๆ เพราะเหมือนการตรวจกระดูกไปในตัว

3. โรคหัวใจ

แบคทีเรียบางตัวในน้ำลาย จะบอกได้ว่าคุณมีผนังของเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจ หนาเกินไปหรือเปล่า

4. ลูคีเมีย

เหงือกแดงช้ำ บวมนิ่ม ติดเชื้อและอักเสบ

5. บูลิเมีย

ฟันผุมาก ภายในช่องคอมีแผลหรือไม่ ซึ่งเกิดจากกรดของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารที่ย้อนกลับมาด้วย เวลาที่ล้วงคอให้อาเจียน

6. โรคกระเพาะอาหารอักเสบ

ฟันกร่อน เพราะกรดจากน้ำย่อยในกระเพาะอาหารที่ย้อนขึ้นมา

7. ขาดวิตามิน

ถ้ามีแผลเปื่อยที่มุมปาก เจ็บคอ กลืนอาหารลำบาก อาจจะเป็นได้ว่าขาดธาตุเหล็ก เลือดออกจากไรฟัน คือขาดวิตามินซี แต่ถ้าขาดวิตามินดี อาจจะทำให้เกิดโรคเหงือกและโครงสร้างของเหงือกเปลี่ยนไปได้

โรคไวรัสตับอักเสบ เอ

เป็นโรคที่เกิดจากไวรัสตับอักเสบชนิดเอ ซึ่งในสมัยก่อนมักพบค่อนข้างสูงในเด็กอายุระหว่าง 5-14 ปี โดยเด็กที่ป่วยมักไม่มีอาการหรืออาการไม่รุนแรง แต่ทำให้เกิดการสร้างภูมิคุมกันต่อโรคเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ปัจจุบัน การสาธารณะสุขดีขึ้นจำนวนเด็กที่ได้รับเชื้อไวรัสตับอักเสบเอมีน้อยลง ส่งผลให้เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะไม่มีภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้ ซึ่งผู้ใหญ่ที่ป่วยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบเอ จะมีอาการรุนแรงกว่าผู้ป่วยเด็กอย่างเห็นได้ชัด

อาหารไม่สะอาด อาจเป็นสาเหตุของโรคไวรัสตับอับเสบเอ

ติดต่อกันได้ทางอาหารหรือน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อ โดยผู้ป่วยจะขับถ่ายเชื้อออกมากับอุจจาระ ซึ่งถ้าไม่ถ่ายในส้วม ไม่ล้างมือให้สะอาดก่อนที่จะไปสัมผัส หรือปรุงอาหารก็จะทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อได้อย่างรวดเร็ว

โรคไวรัสตับอักเสบ เอ เป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่ายมาก โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีตนอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก เช่น สถานรับเลี้ยงเด็กที่มีสุขอนามัยไม่ดี โรงเรียนอนุบาล โรงเรียนเด็กเล็กโรงเรียนประถม โรงอาหาร เป็นต้น นอกจากนั้นกลุ่มคนที่มีโอกาสรับเชื้อ หรือมีโอกาสเสี่ยงสูง ที่จะเป็นพาหะของโรคก็คือ เด็กๆที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายยังไม่ดีพอ พ่อครัว แม่ครัว กลุ่มผู้ประกอบอาหาร พนักงานรักษาความสะอาด พนักงานเก็บขยะ หรือผู้ใหญ่ทั่วไปที่ไม่เคยไปรับเชื้อไวรัสตับอักเสบ เอ มาก่อน ดังนั้นจึงยังไม่มีภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้

พิกุล ทุนอินทร์_Far45

โรคไวรัสตับอักเสบ เอ ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย

ผู้ที่ได้รับเชื้อจะมีอาการประมาณ 15-50 วัน หลังได้รับเชื้อ อาการของโรคตับอักเสบจะคล้ายคลึงกันไม่ว่าจะเกิดจากไวรัสตับอักเสบ เอ หรือ บี โดยในระยะ 3-7 วันแรกจะมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน เจ็บที่ใต้ชายโครงขวา ต่อจากนั้นจะมีปัสสาวะสีเข้มเหมือนสีชา บางคนอาจมีอุจจาระสีเหลืองซีดลง ไข้เริ่มลดลง ผู้ป่วยหยุดอาเจียนและเริ่มอยากอาหาร ในขณะเดียวกับที่สังเกตเห็นว่ามีตัวเหลืองตาเหลือง(ดีซ่าน)เกิดขึ้น อาการนี้จะเป็นอยู่ราว 1-4 สัปดาห์ ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายเป็นปกติในเวลาไม่เกิน 1-2 เดือนมีบางรายที่อาจมีดีซ่านรวมกับอุจจาระสีเหลืองซีด แต่ในที่สุดจะหายเป็นปกติไม่มีผู้ใดเป็นเรื้อรัง

การพักผ่อนคือการรักษาที่ดีที่สุด

การป้องกัน

1. การรักษาอนามัยที่ดี

2. ขับถ่ายในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ

3. ล้างมือให้สะอาดก่อนหยิบจับอาหาร

4. ควรเลือกรับประทานอาหารที่สุก สะอาด ไม่มีแมลงวันตอม

5. หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของเครื่องใช้กับผู้ป่วย

การป้องกันที่ดีที่สุด และได้ผลดี คือการฉีดวัคซีน

นที รินยานะ เลขที่ 52 ม.ฟาร์

"วิตามินซี" เพื่อสุขภาพ

มาทำความรู้จักกับ “วิตามินซี” กับบทบาทสำคัญ ... คุณสมบัติที่โดดเด่นของวิตามินซี ก็คือ ความเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) นั่นเอง โดยประโยชน์หลักๆ เมื่อร่างกายได้รับวิตามินซีเป็นประจำ คือ เพิ่มภูมิต้านทานแก่ร่างกาย ป้องกันการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง บำรุงผิวพรรณหรือชะลอความแก่ ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันหรือเหงือกอักเสบ ในทางกลับกัน หากร่างกายเราขาด “วิตามินซี” หรือมีปริมาณวิตามินซีน้อยเกินไป อาจส่งผลทำให้เกิดอาหารเหล่านี้ได้

- เป็นหวัดง่าย ภูมิต้านทานโรคและความสามารถในการกำจัดพิษลดลง

- ผิวหนังขาดความยืดหยุ่น เกิดจุดด่างดำ ฝ้า มีเลือดออกตามไรฟัน

- อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง ประสาทสัมผัสด้อยลง

- มีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะ ตับ และส่วนอื่นๆ

- ประสิทธิภาพของต่อมหมวกไตลดลง เป็นภูมิแพ้ได้ง่าย

- เป็นโรคโลหิตจาง หรือโรคต่างๆ ง่าย บาดแผลหายยาก หากขาดมากจะเป็นโรค โลหิตเป็นพิษ

- เกิดโรคลักปิดลักเปิด

สำหรับผู้ที่กำลังกลุ้มใจ เพราะไม่รู้ว่าจะหาวิตามินซีมาทานได้จากที่ไหน ... อยากจะบอกว่า ความจริงแล้วแหล่งของวิตามินซี เราสามารถหาได้จาก อาหารที่มีอยู่ในธรรมชาติทั่วไป แต่แหล่งที่มีมาก คือ ผักสดและผลไม้ต่างๆ โดยเทียบง่ายๆ จากประเภทของอาหาร (100 กรัม) และวิตามินซี (มิลลิกรัม)

ดังนี้ มะขามป้อม 276, ฝรั่ง 160, พุทรา 154, มะขามเทศ 133, มะปรางสุก 107, มะละกอสุก 73,แคนตาลูป 33, มะนาว 25 และมะยม 8

อย่างไรก็ตาม พึงตระหนักไว้ว่า “วิตามินซี”

เป็นวิตามินที่มีความสำคัญเช่นเดียวกับวิตามินอื่นๆ และร่างกายไม่สามารถผลิตขึ้นได้เอง ดังนั้น ทุกคนจึงควรบริโภควิตามินซี แต่จะมากหรือน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับความต้องของแต่ล

ชัยวิชิต อิ่นแก้ว ม.ฟาร์ No.42

4 อาหารเลวที่ดีต่อร่างกายของคุณ

ถ้าคุณได้ชื่อว่าเป็นพวกที่ทานอาหารเพื่อสุขภาพอยู่ละก็ เชื่อว่าคุณคงกำลังหลีก เลี่ยงอาหารจำพวกเนย นม และชีสอยู่แน่ แต่รู้ไหมว่าอาหารที่ได้ชื่อว่าเลวร้าย นั้น อันที่จริงมันก็มีสารอาหารบางอย่างที่สำคัญอยู่ และคุณจะได้คุณจากมัน มากกว่าโทษ หากรู้จักกินแบบ "มีลิมิต" นั่นคือ

ชีส

แน่นอน ชีสอุดมด้วยไขมันและแคลอรี แต่ในขณะเดียวกันมันยังเป็นแหล่งสำคัญของ แคลเซียม รวมทั้งกรดไลโนเลอิกโมเลกุลคู่ ซึ่งเป็นไขมันประเภทดี ทำให้คุณลดความ เสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ เบาหวาน กรดชนิดนี้ยังช่วยในการลดน้ำหนัก ด้วยการไปสกัดกั้นการกักเก็บไขมันในร่างกาย

เลือกชีสชนิด Strong-flavored เช่น เฟต้าชีส บลูชีส และชีสพาร์เมซานสด (ไม่ขูด) ซึ่งคุณจะใช้ในปริมาณน้อยหากนำไปปรุงอาหาร

เลี่ยงชีสประเภทไขมันต่ำ เพราะชีสพวกนี้มีไขมันเพียง 6 กรัมต่อออนซ์ เมื่อนำไป ปรุงอาหาร แล้วจะไม่ได้รสชาติ เราจึงโน้มเอียงที่จะอนุญาตให้ตัวเองกินมันมากขึ้น เช่น เดียวกับชีสไม่มีไขมัน ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีรส

ช็อกโกแลต

ลืมไปเลยที่ว่าช็อกโกแลตเป็นสาเหตุของสิว และไมเกรน ที่จริงมันมีส่วนผสม บางอย่างที่ต่อต้านการเกิดมะเร็ง และโรคหัวใจเช่นเดียวกับในผักและผลไม้ เว้นแต่ ว่ามีไขมันสูงกว่าเท่านั้น แต่ถ้าหากคุณมองหาช็อกโกแลตในตอนที่หดหู่นั่นก็ถูก ต้อง เพราะมันจะเพิ่มสารชีโรโตนินในสมอง ทำให้อารมณ์ดีขึ้น

เลือกดาร์กช็อกโกแลต ช็อกโกแลตยิ่งเยอะก็หมายความว่าใส่โกโก้บัตเตอร์ซึ่งอุดม ด้วยไขมันน้อยลง

เลี่ยงช็อกโกแลตที่ผสมคาราเมล มาร์ชแมลโลว และไขมันที่ทำให้อ้วนอื่น ๆ

เนื้อวัว

พักการทานไก่ย่างชั่วคราวแล้วหันมากินสเต็กสักชิ้นเนื้อวัวเป็นแหล่งดีเลิศของ โปรตีน และสารอาหารที่ผู้หญิงมักได้รับจากอย่างอื่นไม่เพียงพอ เช่น เหล็ก สังกะสี และวิตามินบี 12

เลือกเนื้อท่อนโคนขา หรือเนื้อสะโพก ซึ่งเป็นส่วนของเนื้อที่มีเนื้อมากกว่ามัน เพราะจะมีไขมันอิ่มตัวเพียง 4.5 กรัมหรือน้อยกว่า ต่อเนื้อน้ำหนัก 3 ออนซ์ ปรุง แบบหมุนย่าง ซึ่งจะทำให้เราเหลือเนื้อที่ในจานสำหรับใส่ผักได้มากขึ้น

เลี่ยงเนื้อซี่โครงและทีโบนชั้นเลิศ เพราะมีไขมันและแคลอรีมากเป็นเท่าตัวของ ส่วนอื่น ๆ

กาแฟ

ไม่จำเป็นต้องงดดื่มกาแฟ การวิจัยเร็ว ๆ นี้ปฏิเสธว่า กาแฟไม่เกี่ยวข้องกับการ เกิดโรคหัวใจ เนื้อเยื่อในหน้าอกผิดปกติ หรือความดันโลหิตสูง หากแต่คาเฟอีนช่วย บรรเทาอาการแพ้ ทำให้คุณกระฉับกระเฉงและสมาธิดีขึ้น

เลือกกำหนดตัวเองให้ดื่มกาแฟไม่เกิน 2 - 3 แก้วต่อวัน และอย่าใส่ครีมกับน้ำตาล ให้มากนัก

เลี่ยงกาแฟแก้วใหญ่พิเศษ ที่อุดมไปด้วยครีม น้ำตาล น้ำแร่ และวิปครีม ซึ่งให้ แคลอรีมากถึง 300 แคลอรี

ถ้าทำได้ตามนี้ ก็รับประกันว่าจะได้ความอร่อยที่ไม่เป็นโทษแน่ ๆ

โรคคางทูม(MUMPS) เป็นการติดเชื้อและมีการอักเสบของต่อมน้ำลาย (Parotid gland) ที่อยู่บริเวณกกหูทำให้ที่บริเวณคางบวม จึงได้ชื่อว่าคางทูม พบในเด็กเป็นส่วนใหญ่

สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งอยู่ในกลุ่ม Paramyxovirus ติดต่อกันได้โดยตรงทางการหายใจ (Droplet spread) และสัมผัสกับน้ำลายของผู้ป่วย เช่น การกินน้ำและอาหารโดยใช้ภาชนะร่วมกัน เป็นกับเด็กได้ทุกอายุ ถ้าเป็นในผู้ใหญ่จะมีอาการรุนแรง และมีโรคแทรกซ้อนได้บ่อยกว่าในเด็ก หลังจากมีวัคซีนป้องกันในประเทศที่พัฒนาแล้วอุบัติการณ์ของโรคนี้ได้ลดลงมาก ระยะที่ติดต่อกันได้ง่าย คือจาก 1-2 วัน (หรือถึง 7 วัน) ก่อนมีอาการบวมของต่อมน้ำลาย ไปจนถึง 5-9 วันหลังจากมีอาการบวมของต่อมน้ำลาย

อาการประมาณร้อยละ 30 ของผู้ที่ติดเชื้อจะไม่มีอาการ ในผู้มีอาการจะเริ่มมีอาการไข้ต่ำ เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมา 1-2 วัน จะมีอาการปวดหู เจ็บบริเวณขากรรไกร จากนั้นต่อมน้ำลายหน้าหูจะโตขึ้นจนคลำได้ โดยค่อยๆ โตขึ้นจนถึงบริเวณหน้าหูและขากรรไกร บางรายโตขึ้นจนถึงระดับตา ประมาณ 1 สัปดาห์ จะค่อยๆ ลดขนาดลง

ที่มา:สำนักโรคติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข

น.ส.กาญจนา จันทร์หล้า วิทย์ออก 2 เลขที่70

โรคคางทูม(MUMPS) เป็นการติดเชื้อและมีการอักเสบของต่อมน้ำลาย (Parotid gland) ที่อยู่บริเวณกกหูทำให้ที่บริเวณคางบวม จึงได้ชื่อว่าคางทูม พบในเด็กเป็นส่วนใหญ่

สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งอยู่ในกลุ่ม Paramyxovirus

ติดต่อกันได้โดยตรงทางการหายใจ (Droplet spread) และสัมผัสกับน้ำลายของผู้ป่วย เช่น การกินน้ำและอาหารโดยใช้ภาชนะร่วมกัน เป็นกับเด็กได้ทุกอายุ ถ้าเป็นในผู้ใหญ่จะมีอาการรุนแรง และมีโรคแทรกซ้อนได้บ่อยกว่าในเด็ก หลังจากมีวัคซีนป้องกันในประเทศที่พัฒนาแล้วอุบัติการณ์ของโรคนี้ได้ลดลงมาก ระยะที่ติดต่อกันได้ง่าย คือจาก 1-2 วัน (หรือถึง 7 วัน) ก่อนมีอาการบวมของต่อมน้ำลาย ไปจนถึง 5-9 วันหลังจากมีอาการบวมของต่อมน้ำลาย

อาการ ประมาณร้อยละ 30 ของผู้ที่ติดเชื้อจะไม่มีอาการ ในผู้มีอาการจะเริ่มมีอาการไข้ต่ำ เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามตัว ต่อมา 1-2 วัน จะมีอาการปวดหู เจ็บบริเวณขากรรไกร จากนั้นต่อมน้ำลายหน้าหูจะโตขึ้นจนคลำได้ โดยค่อยๆ โตขึ้นจนถึงบริเวณหน้าหูและขากรรไกร บางรายโตขึ้นจนถึงระดับตา ประมาณ 1 สัปดาห์ จะค่อยๆ ลดขนาดลง

โรคแทรกซ้อน

1) เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง

2) โรคแทรกซ้อนที่นับว่ารุนแรงคือ สมองอักเสบ พบได้ประมาณ 1 ใน 6,000 ราย ซึ่งอาจทำให้ถึงเสียชีวิตได้

3) ถ้าเป็นในเด็กชายวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่อาจมีการอักเสบของอัณฑะ ซึ่งในบางรายอาจทำให้เป็นหมันได้

4) โรคแทรกซ้อนอื่นๆ ที่อาจพบได้น้อยมาก คือ ข้ออักเสบ ตับอ่อนอักเสบ และหูหนวก

การป้องกัน

หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย วิธีที่ดีที่สุดคือ ให้วัคซีนป้องกันด้วยการให้วัคซีนป้องกันคางทูม ซึ่งมาในรูปแบบของวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด คางทูม และหัดเยอรมัน (MMR) ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขให้วัคซีนรวมป้องกันหัด คางทูม และหัดเยอรมัน 1 ครั้ง ในเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1

ที่มา: สำนักโรคติดต่อ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข

ผลการศึกษาจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐ พบสิ่งที่น่าสนใจว่า การออกกำลังกาย อย่างเหมาะสมในหญิงวัยหมดประจำเดือน ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านม

การออกกำลังกาย ที่ระบุว่ามีประโยชน์ ต้องทำ "อย่างหนักและจริงจัง" โดยเฉพาะ "ในสตรีที่น้ำหนักไม่เกิน" โดยการวิจัยครั้งนี้ คณะแพทย์จาก ศูนย์มะเร็ง นพ. ไมเคิล ลีซแมน กล่าวว่า "การออกกำลังกายอย่างหนัก ช่วยป้องกันมะเร็ง นอกเหนือจากช่วยทำให้ไม่อ้วน ซึ่งการไม่อ้วน ก็ช่วยในเรื่องป้องกันมะเร็งอยู่แล้ว"

การวิจัย ทำได้ โดยศึกษาย้อนหลังรายงานผู้ป่วย 32000 คน ในระยะ 11 ปี และพบว่า ในสตรีที่ออกกำลังกายอย่างหนัก จะสามารถป้องกันมะเร็งได้

การออกกำลังอย่างหนัก (vigorous) ต่างจาก ออกกำลังกายธรรมดา (moderate) อย่างไร ลองเปรียบเทียบกัน

ออกกำลังกายอย่างหนัก(ถูพื้น ขัดพืน เช็ดกระจก พรวนดินในสวนอย่างหนัก ตัดไม้ ถูไม้ขัดไม้ ออกกำลังกายแบบแข่งขัน วิ่ง จ๊อกกิ้งเร็วๆ แข่งเทนนิส แอโรบิก ปั่นจักรยานขึ้นเขา เต้นจังหวะเร็ว

ออกกำลังธรรมดา(งานบ้านหรือออฟฟิส ซักผ้า ทาสี เดิน เล่นกีฬาเบาๆ จ๊อกกิ้งช้าๆ)

ที่มา:www.thaihealth.net

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์อีส เลขที่ 2

อาหารที่มีประโยชน์

วิตามินดี มีการวิจัยว่าการขาดวิตามินดีเป็นสาเหตุสำคัญของโรคกระดูกเปราะ ซึ่งจะทำให้หลังค่อมในผู้สูงอายุ กระดูกแตก เปราะ ดังนั้น นมเป็นแหล่งวิตามินดีที่ดีที่สุด

ธาตุเหล็ก ผู้หญิงมีความต้องการธาตุเหล็กมากกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงมีการเสียเลือดทุกเดือน จากการมีรอบเดือน ซึ่งจะทำให้ร่างกายขาดธาตุเหล็ก และหากได้รับธาตุเหล็กไม่เพียงพอ ท่านจะมีอาการเหนื่อยง่าย หงุดหงิด ไม่มีสมาธิ อาจทำให้เป็นโรคโลหิตจาง อาหารที่มีธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบ ได้แก่ อาหารจำพวกเนื้อแดง ปลา ธัญพืช ผักขม พืชกระกูลถั่ว และผักต่าง ๆ แต่ร่างกายไม่สามารถดูดซึมธาตุเหล็กจากพืชที่มีวิตามินซีสูง เช่น พริกไทย มะเขือเทศ พืชจำพวกมะนาว กะหล่ำปลี และมันฝรั่ง

แคลเซียม เป็นแร่ธาตุสำคัญที่ทำให้กระดูกแข็งแรง ผู้หญิงที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไปจะสูญเสียมวลกระดูก 1% ทุกปี ซึ่งนำไปสูงสาเหตุของการเป็นโรคกระดูกเปราะ แต่หากท่านรับประทานแคลเซียมอย่างน้อย 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน ก่อนถึงวัยหมดประจำเดือน และ 1,500 มิลลิกรัมหลังวัยหมดประจำเดือน ก็จะช่วยทดแทนมวลกระดูกที่เสียไปได้

นม เป็นแหล่งแคลเซียมที่ดีที่สุด นมพร่องมันเนย 1 แก้ว ให้แคลเซียม 300 มิลลิกรัม นมเปรี้ยวพร่องมันเนย ปลาซาดีน ปลาแซลมอนติดกระดูกอ่อนก็เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม

ผัก ผลไม้ และธัญพืช อาหารเพื่อสุขภาพกลุ่มนี้มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ทั้งเพื่อป้องกัน และต่อสู้โรคร้าย ทุกวันนี้หลายท่านมีมุมมองในการรับประทานผักโดยคำนึงถึงสุขภาพเป็นหลัก ผักมีหลายชนิด ทั้งชนิดที่รับประทานกันแพร่หลาย ผักพื้นบ้านที่เราไม่คุ้นเคย ขอแนะนำผักพื้นบ้านที่หารับประทานได้ไม่ยาก อีกทั้งยังมีประโยชน์ในการป้องกัน และรักษาโรค

น.ส.กาญจนา จันทร์หล้า วิทย์ออก 2 เลขที่70

มะเร็งปากมดลูก เป็นโรคที่พบมากที่สุดในสตรีไทยตั้งแต่วัยสาวถึงวัยชรา และพบมากในช่วงอายุ 30 – 60 ปี

มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งแห่งความรัก หากปราศจากการมีเพศสัมพันธ์ มะเร็งก็ไม่เกิด พบว่าเชื้อไวรัส HPV เป็นสาเหตุที่ชักนำให้ปากมดลูกเกิดความผิดปกติกลายเป็นมะเร็ง โดยเชื้อไวรัส HPV นี้เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดหูดหงอนไก่ และเมื่อสตรีได้รับเชื้อไวรัส HPV มาจากการมีเพศสัมพันธ์ เชื้อชนิดนี้จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงสารพันธุกรรมภายในเซลล์ปากมดลูก จนกลไกการควบคุมการแบ่งตัวของเซลล์ถูกกระตุ้นขึ้น ตามมาด้วยการเจริญเติบโตที่ผิดปกติ ซึ่งไม่อาจหยุดยั้งได้ของเซลล์เนื้องอก

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูก

- การมีเพศสัมพันธ์กับชายสำส่อน ซึ่งอาจรับเชื้อไวรัส HPV เข้าสู่ร่างกายจากสตรีอื่นมาแล้ว

- การมีคู่นอนหลายคน ทำให้เสี่ยงต่อการรับเชื้อไวรัส HPV มากขึ้น

- การมีเพศสัมพันธ์ขณะอยู่ในวัยเด็กหรือวัยรุ่น เนื่องจากปากมดลูกในระยะนี้ไวต่อการติดเชื้อ HPV

- การสูบบุหรี่หรือขาดสารอาหารบางชนิด ทำให้ร่างกายมีความบกพร่องของกลไกป้องกันไวรัส HPV

จะเห็นได้ว่า โรคมะเร็งปากมดลูกสามารถป้องกันได้ง่ายมาก เป็นโรคที่ต้องใช้ความเข้าใจในการแก้ปัญหา ความรักระหว่างสามีภรรยา ความรักระหว่างสมาชิกในครอบครัว ความอบอุ่นภายในครอบครัว ความสัมพันธ์ทางเพศที่ไม่สำส่อนจะไม่มีโอกาสรับเชื้อไวรัสมหาภัยชนิดนี้มาได้เลยค่ะ

สตรีที่มีโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูกได้มาก คือสตรีที่มี

- อายุอยู่ในช่วง 30 – 50 ปี

- มีเพศสัมพันธ์ขณะอายุยังน้อย

- มีคู่นอนหลายคน

- สามีเที่ยวโสเภณี

- ติดโรคทางเพศสัมพันธ์บ่อย ๆ เช่น หูดหงอนไก่ เริม

- สูบบุหรี่

- ไม่เคยตรวจภายในเลย

อาการที่พบของมะเร็งปากมดลูกคือ มีตกขาวจำนวนมากผิดปกติ ลักษณะเป็นหนอง กลิ่นเหม็นหรือมีลักษณะคล้ายน้ำไหลออกมาจากช่องคลอด เลือดออกกระปริบกระปรอย เลือดออกหลังร่วมเพศ หรือเลือดออกในขณะที่ไม่ใช่รอบเดือน เป็นต้น แต่อาการเหล่านี้ไม่ใช่จะเป็นอาการของมะเร็งปากมดลูกเสมอไปนะค่ะ เพราะอาจจะเป็นอาการของโรคทางระบบอวัยวะสืบพันธุ์อื่น ๆ ได้ด้วยค่ะ ซึ่งอย่างไรก็ตามควรไปตรวจวินิจฉัยกับแพทย์ค่ะ

การป้องกันมะเร็งปากมดลูกที่สามารถทำได้ คือ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น เช่น หลีกเลี่ยงการมีคู่นอนหลายคน งดสูบบุหรี่ สังเกตอาการผิดปกติและที่สำคัญก็คือการไปพบแพทย์เพื่อตรวจหามะเร็งปากมดลูกทุกปี ค่ะ

น.ส.กาญจนา จันทร์หล้า วิทย์ออก 2 เลขที่70

อาการฉี่กะปริดกะปรอย ฉี่ขัด ปวดท้องหน่วงตอนฉี่ หรืออาจจะเป็นไข้ เป็นอาการแรกเริ่มในการเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบและมักเกิดกับผู้หญิงมากกกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงมีท่อปัสสาวะสั้น เชื้อแบคทีเรียบริเวณปากท่อจึงเข้าไปถึงกระเพาะปัสสาวะได้ง่าย

นอกจากนั้น เพศหญิงมักจะกลั้นปัสสาวะ เนื่องจากความไม่สะดวกระหว่างนั่งรถทางไกล หรือ รังเกียจห้องน้ำที่ไม่สะอาดและไม่คุ้นเคย เชื้อโรคที่เข้าไปถึงกระเพาะปัสสาวะจึงไม่สามารถถูกขับออกอย่างรวดเร็ว และมีเวลาเพิ่มจำนวนขึ้นจนมากพอที่จะทำให้เกิดอาการอักเสบ

หญิงตั้งครรภ์ ผู้เป็นโรคเบาหวาน การร่วมเพศ การต้องใช้สายสวนท่อปัสสาวะ อาจทำให้ กระเพาะปัสสาวะอักเสบง่ายขึ้นเช่นกัน

หากไม่รักษาจะเป็นเรื้อรังและเชื้อโรคลุกลามขึ้นไปทำให้ไตอักเสบได้

อาการ ผู้เป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบจะปวดปัสสาวะบ่อย แต่ถ่ายออกกะปริดกะปรอยครั้งละน้อย ปวดแสบท่อปัสสาวะและปวดท้องน้อยเวลาถ่ายสุด อาจมีเลือดปนออกมากับปัสสาวะหรือเป็นเลือดสดๆ หยดออกมาเมื่อปัสสาวะสุด แต่ไม่มีไข้

ไม่อยากเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ควรดูแลตัวเองดังนี้ค่ะ

1.ดูแลพื้นที่ส่วนตัวให้สะอาดแห้งอยู่เสมอ (พกกระดาษทิชชู่ติดตัวไว้เสมอ

นะคะ)

2.เช็ดทำความสะอาดจากหน้าไปหลัง อย่าเช็ดแบบย้อนศร เพราะมีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย

3.ดูแลห้องน้ำ โถส้วมให้สะอาด

4.ใส่เสื้อผ้าโปร่งสบาย ไม่ใส่กางเกงที่คับติ้วเกินไป

5.ใช้ชุดชั้นในเป็นผ้าฝ้าย หรือบางวันก็ไม่ใส่ก็ได้ค่ะหากอยู่บ้าน หรือเวลานอนก็ไม่สวมก็ได้ค่ะ

6.เมื่อเริ่มรู้สึกว่าเกิดอาการฉี่ขัด ดื่มน้ำมากๆช่วยขับถ่ายเชื้อโรคออกทางปัสสาวะ หรือเหงื่อมากขึ้น พักผ่อนให้พอ ร่างกายจะได้แข็งแรงมีภูมิต้านทานเชื้อโรคได้

ที่มา: http://women.sanook.com/health/healthcare

โรคประสาท โรคกังวล

โรคกลังวล เป็นโรคที่พบได้บ่อยที่สุด ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 2 เท่า พบมากในช่วงอายุ 20-35 ปี และวัยสูงอายุ คนทุกระดับการศึกษา และ ฐานะมีอาการทางร่างกายเกือบทุกระบบ

สาเหตุ

ผู้ที่เป็นโรคนี้ อาจมีสาเหตุทางกรรมพันธุ์ (พบว่าพ่อแม่พี่น้อง ของผู้ป่วย เป็นโรคนี้ด้วย) หรือเกิดจาก บุคลิกเดิมที่หวาดหวั่นวิตกกังวลง่าย หรือขี้อาย หรือเกิดจากความเครียดทางจิตใจ เช่น ปัญหาครอบครัว (สามีเจ้าชู้กินเหล้าเมายา เล่นการพนัน ทะเลาะเบาะแว้ง) ปัญหา เศรษฐกิจ (ยากจน ทำนาไม่ได้ผล เป็นหนี้สิน) ปัญาหาเกี่ยวกับหน้าที่การงาน การเรียน หรือเกิดจากมีการสูญเสีย (เช่น ญาติตาย) เป็นต้น ผู้ป่วยอาจมีอาการของโรคนี้ทันที่ที่เกิดความเครียดหรือภายหลังจากเกิดความเครียดเป็นเวลานาน

อาการ

ผู้ป่วยจะมีความวิตกกังวลโดยไม่มีสาเหตุชัด เจนหรือจากสาเหตุเล็กน้อย ที่ไม่สมเหตุสมผล หรือวิตกกังวล เกิดเหตุ อาการสำคัญที่พบได้ทุกคน คือ นอนหลับยาก (เมื่อเข้านอนแล้ว กว่าจะหลับได้ใช้เวลานาน) และอาจีอาการฝันร้ายบ่อย ผู้ป่วยจะมีอาการหงุดหงิด โมโหง่าย ไม่มีสามาธิ ตื่นเต้นง่าย มักมีอาการใจสั่นใจหวิว เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ปวดมึนศีรษะ เวียนศีรษะ หน้ามืดบ่อย เบื่ออาหาร ชา หรือวูบวาบตามตัว และแขนขา มือสั่น เหงื่อออกง่าย ผู้ป่วยอาจบ่นว่า มีอาการหายไม่ออก (หายใจไม่อิ่ม) จุกแน่น ในลำคอ ออกร้อนในท้อง หรือ เจ็บหน้าอก (บ่นเจ็บหน้าอก ไม่เป็นเวลา อยู่เฉย ๆ หรือเวลานอนก็เจ็บ แต่เวลา ออกกำลังกาย หรือทำอะไรเพลินหายเจ็บ) บางคน อาจมีอาการจุกเสียดแน่นท้อง คลื่นไส้ ท้องผูก หรือถ่ายเหลวบ่อย

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

ล้างหน้าที่ดี ต้องถูกวิธีนะจ๊ะสาว ๆ !!!

การล้างหน้าถือเป็นการทำความสะอาดผิวหน้า ที่ทุก ๆ คนสมควรจะกระทำเป็นประจำอยู่แล้ว เพราะในแต่ละวันเรามักจะต้องเจอฝุ่นควันต่าง ๆ ไหนจะเครื่องสำอางค์ต่าง ๆ อีก ดังนั้นการล้างหน้าจึงเป็นการชำระล้างสิ่งสกปรกต่าง ๆ ที่อยู่บนผิวหน้าให้หมดไป

แต่การล้างหน้าที่ดีนั้น ก็จำเป็นที่จะต้องทำตามวิธีที่ถูกต้อง จึงจะได้ประโยชน์ ในทางกลับกันหากคุณล้างหน้าไม่ถูกวิธี แม้ว่าใบหน้าของคุณจะสะอาดจริง แต่ก็อาจจะเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาผิวอย่างอื่นตามมา ซึ่งการล้างหน้าที่ถูกต้องทำได้ดังนี้

เริ่มจากการล้างหน้าวันละ 2 ครั้งคือตอนตื่นนอนตอนเช้ากับตอนอาบน้ำตอนเย็น ไม่ควรล้างหน้าบ่อย เพราะจะทำให้หน้าแห้งได้ เว้นเสียแต่ว่าคุณไปทำกิจกรรมที่ต้องเสียเหงื่อมาก ๆ เช่น หลังจากการเล่นกีฬา หรือ ทำไร่ทำสวน ซึ่งอาจจะทำให้ใบหน้าของคุณสกปรก อันนี้อนุโลมให้ล้างหน้าได้ค่ะ

น้ำเปล่าธรรมดาที่ไม่ร้อน ไม่เย็นจนเกินไป คือน้ำที่เหมาะที่จะใช้ล้างหน้ามากที่สุด ในขณะที่ล้างหน้าควรล้างอย่างเบามือที่สุด ไม่เช็ด หรือถูหน้าแรง ๆ เด็ดขาด นอกจากนี้คลีนเซอร์หรืออุปกรณ์ล้างหน้าอื่นๆ นั้นแนะนำสำหรับคนที่แต่งหน้าเป็นประจำ แต่ถ้าคุณไม่ได้แต่งหน้า สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ก็แทบจะไม่มีความจำเป็นเลยค่ะ

คนที่ล้างหน้าบ่อย ๆ และใช้โทนเนอร์เช็ดหน้าบ่อย ๆ นั้นส่วนใหญ่มักจะมีปัญหาผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะหลายคนมักจะเข้าใจว่า ขี้ไคลเป็นสิ่งสกปรกดังนั้นหลาย ๆ คนจึงเช็ดถูผิวหน้าจนเกลี้ยง แบบว่าขี้ไคลก็ไม่เหลือแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นก็ดูจะเป็นความเข้าใจที่ผิดไปสักหน่อย เพราะขี้ไคล คือ ชั้นหนังกำพร้าที่เกาะติดอยู่กับผิวหนังชั่นบน ควบคู่ไปกับชั้นน้ำมันเคลือบผิวที่คอยเป็นเกราะคุ้มกัน ปกป้องผิวจากฝุ่นละอองเชื้อโรค และสารเคมีไม่ให้ซึมฝ่าลงไปทำร้ายผิวได้ หากคุณทำความสะอาดใบหน้ามากจนเกินไปอาจจะทำให้ผิวหน้าเราขาดภูมิคุ้มกันธรรมชาติไปได้ และนั่นอาจจะเป็นส่วนหฯึ่งที่ทำให้ผิวของคุณแพ้ง่าย

โดยธรรมชาติแล้ว ผิวหนังกำพร้าของคนเรา จะหลุดออกมาเองทุกวัน และจะพาเอาแป้งและฝุ่นออกมาด้วย โดยไม่จำเป็นต้องออกแรงถูเลยทีเดียว แต่เพราะเดี๋ยวนี้สาว ๆ หลายคนมักจะแต่งหน้ากันเป็นประจำทุกวัน จึงทำให้การล้างหน้าต้องมีขั้นตอนที่ยุ่งยากเพิ่มขึ้นมา

แต่ถ้าวันไหนที่คุณอยู่บ้านเฉย ๆ ก็แนะนำว่าให้อยู่บ้านโดยไม่แต่งหน้าดูนะคะ ถือเป็นการพักผ่อนใบหน้า แถมยังไม่ต้องเสียเวลายุ่งยากในการล้างหน้าด้วยค่ะ

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

11 วิธีพิชิต "โรคภูมิแพ้"

1. รักษาอาการของท่านด้วยตนเอง โดยหลีกเลี่ยงสารที่ท่านแพ้ให้มากที่สุด และเมื่อมีอาการมาก ท่านสามารถ เลือกใช้ยาแก้แพ้ที่มีขายทั่วไปด้วยตัวท่านเอง อย่างไรก็ตาม เมื่อใช้ยาดังกล่าวแล้ว อาการไม่ดีขึ้นภายใน 7 วัน ท่านควรจะปรึกษาแพทย์

2. ติดเครื่องปรับอากาศในบ้านของท่าน เครื่องปรับอากาศ จะทำให้อากาศมีความชื้นต่ำลง ซึ่งเป็นสภาวะที่ตัวไร และเชื้อราไม่ชอบ นอกจากนี้ ยังสามารถกรองฝุ่นได้บางส่วน โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศรุ่นใหม่ ที่รวมเอาเครื่องฟอกอากาศ เข้าไปด้วย รวมทั้งยังสามารถป้องกันเกสรดอกไม้ และเกสรหญ้าต่างๆที่มีอยู่ภายนอกบ้านได้อีกด้วย

3. ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศโดยจะต้องเป็นเครื่องที่มีขนาดใหญ่เพียงพอกับขนาดของห้องและได้มาตรฐาน เครื่องฟอกอากาศที่ไม่ได้มาตรฐานในการกำจัดฝุ่น นอกจากจะไม่ช่วยลดจำนวนฝุ่นที่มีอยู่ในอากาศแล้ว อาจจะเป็นตัวที่ทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่วห้องได้อีก ทำให้ผู้ป่วยมีอาการมากขึ้นไปอีก

4. เลือกใช้น้ำยาทำความสะอาดบริเวณที่อับชื้น ที่มีฤทธิ์ในการทำลายเชื้อราผสมอยู่ด้วย เช่น น้ำยาที่มี Clorox เป็นส่วนผสม

5. ไม่ควรเลี้ยงสัตว์เลี้ยงในบ้าน ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ควรจำกัดบริเวณของสัตว์เลี้ยง ไม่ให้เข้าไปในห้องนอนของผู้ป่วย จำไว้ว่าการให้สัตว์เลี้ยงของท่านเดินผ่านห้องนอนของท่านเพียงหนึ่งครั้ง จะมีสารก่อภูมิแพ้ในห้องของท่าน ในปริมาณเพียงพอที่จะทำให้ท่านมีอาการไปทั้งอาทิตย์

6. ใช้ผ้าปิดปากและจมูกทุกครั้ง เมื่อจำเป็นจะต้องทำความสะอาดบ้านด้วยตนเอง 7. ให้ผู้อื่นทำงานบ้านแทน หรือจ้างคนรับใช้ เพื่อทำความสะอาดบ้าน บางครั้งค่าจ้างทำความสะอาด อาจมีราคาต่ำกว่า ค่ารักษาที่ท่านต้องเสียไป

8. หลีกเลี่ยงการใช้พรมในบ้าน พรมเป็นบ้านหลังใหญ่ที่ตัวไร และเชื้อรา จะมาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก แม้ว่าจะทำความสะอาดด้วยการนำมาซัก ก็ไม่สามารถกำจัดตัวไรให้หมดไปได้ เนื่องจากความร้อนที่ใช้ไม่สูงพอในการทำลายตัวไร ในทางตรงข้าม กลับจะทำให้พรมมีความชื้นมากขึ้น ถ้าทำให้แห้งไม่ดีพอ และทำให้มีตัวไรและเชื้อรามากขึ้นไปอีก

9. ใช้หมอนที่ทำจากวัสดุสังเคราะห์ แม้ว่าตัวไรจะสามารถอาศัยอยู่ในวัสดุสังเคราะห์ได้เช่นกัน แต่หมอนที่ทำจากวัสดุสังเคราะห์สามารถนำมาทำความสะอาดด้วยความร้อนที่มีอุณหภูมิที่สูงกว่าหมอนธรรมดา ทำให้สามารถทำลายตัวไรได้

10. ซักปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนของท่านบ่อยๆในน้ำร้อน นอกจากหมอนแล้ว ตัวไรยังชอบ ที่จะอาศัยอยู่ในปลอกหมอนด้วยเช่นกัน

11. ทำห้องนอนของท่านให้เป็นเขตปลอดสารก่อภูมิแพ้ ในกรณีที่ไม่สามารถทำให้ทั้งบ้านเป็นเขตปลอดสาร ก่อภูมิแพ้ได้ ทั้งนี้เนื่องจาก โดยทั่วไปคนเราจะใช้เวลาอยู่ในห้องนอนมากกว่าห้องอื่นๆ

ปิยะธิดา งามประจบ วิทย์ออก 2 เลขที่ 79

"แนะนำ 10วิธีคลายเครียดที่น่ารู้"

ช่วยนี้ก็ใกล้จะสอบแล้วน่ะค่ะ ถ้าเครียดๆในเรื่องต่าง ไม่ว่าจะด้านการเมือง เศรษฐกิจ ความรัก การเรียน ก็ลองเอา 10 วิธีนี้ไปใช้ดูน่ะค่ะ เพื่อที่จะได้คลายเครียด

1. ออกกำลังกาย -- ใครๆก็พูดได้ว่าออกกำลังกายซิ แต่น้อยคนนักที่จะทำให้เป็นกิจวัตร ได้ เนื่องจากไม่มีเวลา ไม่สะดวกเรื่องการเดินทาง ตื่นเช้าไม่ไหว อุปกรณ์แพง ฯลฯ ความจริงแล้วคุณควรจะหาเวลาของแต่ละวันอย่างน้อย 30 นาที ในการออกกำลังกาย โดยเลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับคุณที่สุด ถ้าคุณไม่ต้องการสิ้นเปลืองกับค่าอุปกรณ์ คุณก็น่าจะเลือกการวิ่งหรือเดิน หากเป็นสูงอายุหรือเป็นผู้ที่ไม่ต้องการการกระแทก ว่ายน้ำ,โยคะ, ไทชิ ,หรือ พาลาทีส์ ก็อินเทรนน์ ไม่เลวนะคะ หากอยากมีแรงจูงใจในการออกกำลังกาย ขอแนะนำกีฬาที่เล่นเป็นหมู่คณะอันได้แก่ แบตมินตัน กอลฟ์ ฟุตบอล หรือ เทนนิสที่กำลังฮิตอยู่ในขณะนี้

กีฬาจะทำให้เราได้ระบายออกซึ่งแรงขับของจิตใจในด้านต่างๆ เช่น ความคับข้องใจ ความโกรธ ความเสียใจ ไม่พอใจ แถมยังได้สารสื่อความสุขหรือสารเอนโดฟินกลับมาด้วยแล้วคุณก็จะรู้สึกสดชื่นและหลับสบายอีกด้วยค่ะ

2. พูดระบายความเครียด -- พูดค่ะ ระบายความเครียดออกมาเลย แต่ต้องเลือกบุคคลที่คุณคิดว่า ปลอดภัย หวังดี ไม่มีพิษภัยกับตัวคุณ และควรมีความอดทนสูงในการฟัง หรือถ้าหาไม่ได้ก็นี่เลยค่ะ สัตว์เลี้ยงต่างๆไม่ว่าจะเป็น หมา แมว ปลาทอง จิ้งจก แมลงต่างๆก็ได้ ระบายให้มันฟัง (แต่อย่าลืมปิดประตูลงกลอนด้วย มิเช่นนั้น คนอื่นมาพบเข้าจะหาว่าคุณบ้าพูดคนเดียว) เพราะเวลาที่เราได้ระบายออก เท่ากับเราได้ทบทวนตัวเองไปด้วย นอกจากนี้ยังมีบริการให้คำปรึกษาแนะนำทางโทรศัพท์จากหน่วยงานต่างๆ ให้บริการด้วยค่ะ

3. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ -- การนอนหลับพักผ่อนช่วยให้คุณสดชื่นขึ้นได้มาก เหมือนได้ชาร์จแบตเตอรี่ในร่างกายใหม่ แต่ควรเตรียมความพร้อมในการนอนหน่อยนะค่ะ โดยเลือกสถานที่และเครื่องนอนสะอาด อากาศถ่ายเทสะดวก อุณหภูมิพอเหมาะ มีเสียงหรือแสงที่รบกวนคุณไม่มากนัก โดยกำหนดจิตใจก่อนนอนว่า ให้เราสดชื่น ผ่อนคลาย เอาเรื่องเครียดปัญหาต่างๆ วางไว้นอกตัว ไม่เอามาคิดตอนนอน แล้วหลับโลดค่ะ ี

4. อาหารคลายเครียด -- กลับมาเรื่องอาหารกันซักนิด อย่างที่เคยบอกไปแล้วนะคะว่าอาหารสามารถลดความเครียดของคุณได้ด้วย วันนี้จะมาย้ำอีกครั้งนะคะ อาหารที่ช่วยคลายเครียดให้คุณได้อย่างดี ได้แก่

1.- ทริปโตฟาน (1-2 กรัม ก่อนนอน) พบได้ใน ไข่ ถั่วเหลือง นมวัว เนื้อสัตว์

2.- วิตามินบี 6 (40 มิลลิกรัมต่อวัน) พบในธัญพืชต่างๆ ยีสต์ รำข้าว เครื่องใน เนื้อ ถั่ว ผัก

3.- วิตามินบี 3 (1,000 มิลลิกรัมต่อวัน) พบใน ตับ เครื่องใน เนื้อ เป็ด ไก่ ปลา ถั่ว ยีสต์

4.- สารอาหารอื่นๆ เช่น แคลเซียม กระเทียม ดอกไม้จีน

5. พักผ่อนท่องเที่ยว -- ข้อนี้ขอ Confirm ว่าจริงค่ะ เพราะคนเราก็เหมือนเครื่องยนต์ ต้องการช่วงพักไปทำการ reboot ใหม่ การที่ได้ไปท่องเที่ยวเห็นบรรยากาศทิวทัศน์สวยงามแปลกหูแปลกตา ไปเจอผู้คน ก็ช่วยกระตุ้นมุมมองชีวิตใหม่ๆ ฝรั่งเขาถึงมีช่วงพักร้อนยาว และให้ความสำคัญอย่างมาก วางแผนล่วงหน้ายาวทีเดียว เมื่อถึงเวลาก็ไปพักผ่อนทันที เมื่อกลับมาจากการท่องเที่ยวแล้ว คุณก็จะกลับมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพค่ะ

6. ดนตรีคลายเครียด -- หลายคนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับการรักษาโรคด้วยดนตรีหรือดนตรีบำบัดมาแล้วนะคะ ทั้งนี้ก็เพราะดนตรีช่วยทำให้คุณอารมณ์เยือกเย็นลง ผ่อนคลาย ใจสงบ ดนตรีบำบัดมีทั้งเพลงบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีชนิดเดียวหรือหลายชนิด เพลงที่มีเสียงคลื่นทะเล เสียงนก เสียงน้ำไหล ฯลฯ หากคุณได้ปิดไฟ จุดเทียน และฟังเพลงเบาๆ หลังจากนั้นก็หลับไปแล้วละก็ ตื่นขึ้นมาน่าจะสดใสหายเครียดได้เยอะเลยล่ะค่ะ

7. กลิ่นบำบัดอโรมาเทอราปี -- วิธีต้องแนะนำไว้ด้วย เดี๋ยวout ค่ะ กลิ่นเป็นอีกสิ่งหนึ่งของการรับรู้ทางสัมผัสที่สื่อถึงอารมณ์และความรู้สึกได้ดี คุณอาจลองจุดธูปหอมกลิ่นที่สดชื่น หรือหยดน้ำมันหอมระเหย ในขณะนอนหรือทำงานเพื่อผ่อนคลายไปด้วย หรือจะแช่น้ำอุ่นๆ ก็ไม่เลวคะ กลิ่นที่เหมาะสมแล้วแต่ชอบและรู้สึกผ่อนคลาย โดยเลือกจากการดมว่ากลิ่นไหนทำให้รู้สึกดี ให้พลัง หรือช่วยผ่อนคลาย กลิ่นที่น่าสนใจ เช่น กลิ่นไม้จันทน์หอม กลิ่นกำยาน สำหรับผ่อนคลาย กลิ่นการบูน กลิ่นส้ม กลิ่นมะนาว สำหรับสร้างความสดชื่น

8. ฝึกหายใจคลายเครียด -- การหายใจช่วยนำอากาศบริสุทธิ์ เข้าสู่ปอด แล้วเดินทางสู่สมองไปตลอดทั่วร่างกาย ลองหายใจโดยการหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ สังเกตว่ากระบังลมขยายออก ท้องป่องออก จากนั้นค่อยๆ หายใจออกช้าๆ ไล่ลมให้ออกมากที่สุด ตอนนี้กระบังลมคุณจะหดสั้นลง ท้องจะแฟบ ถ้าช่วงแรกไม่ถนัดก็เอามือแตะท้องเพื่อปรับและเข้าใจสภาพป่องแฟบของท้องจากการหายใจก่อนแล้วฝึกไปเรื่อยๆ

9. ฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ -- โดยนำเอาหลักการฝึกหายใจมาประยุกต์ใช้ร่วมด้วย เริ่มด้วยการนั่งหรือนอนในท่าสบายๆ จากนั้นค่อยๆ เกร็งกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ขึ้นมาโดยอาจไล่จากปลายเท้า ข้อเท้า น่อง ต้นขา ลำตัว แขน มือ นิ้ว ไหล่ คอ ศีรษะ และใบหน้า เกร็งไว้สักอึดใจหนึ่ง จากนั้นค่อยๆ ผ่อนคลายย้อนกลับไปโดยเริ่มจากใบหน้า จนถึงปลายเท้า คุณสามารถใช้การฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อในยามที่รู้สึกตึงเครียด อึดอัด ไม่สบายใจ หรือแม้แต่ยามที่คุณต้องการให้สมาธิกลับคืน

10.คลายเครียดด้วยการนวด -- ปัจจุบันมีคนสนใจการนวดอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น นวดแผนไทย นวดเท้า นวดน้ำมัน นวดรักษาโรคเฉพาะที่ ทำให้มีสถาน บริการเกี่ยวกับการนวดหรือ Spa เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด การนวดเป็นการผ่อนคายกล้ามเนื้อและทำให้เลือดลมสูบฉีด ทำให้ผู้ที่ถูกนวดรู้สึกผ่อนคลายและสบายมากยิ่งขึ้น การนวดน้ำมันยังทำให้มีผิวพรรณที่ดีอีกด้วย

ทางออกของความเครียดยังมีอีกมากมายค่ะ แต่10วิธีที่แนะนำนี้เป็นวิธีที่ทำได้ง่าย ปลอดภัยด้วยวิธีธรรมชาติค่ะ ความเครียดเป็นสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ สิ่งที่คุณทำได้คือ มีสติ หากรู้ว่าตัวเองเริ่มเครียดแล้วก็ต้องหยุดแล้วลองใช้10วิธีที่แนะนำมาใช้นะคะ

น.ส. ปิยะธิดา งามประจบ วิทย์ออก 2 เลขที่ 79

9 เคล็ดลับรักตัวเองให้สวย

เมื่อวานนี้ดิฉันได้อ่านหนังสือ COSMOPOLITAN ดิฉันได้พบ 9 เคล็ดลับรักตัวเองให้สวย วันนี้ดิฉันจึงนำเคล็ดลับง่ายๆ สำหรับสาวๆ มาให้ได้ท่องจำกันขึ้นใจ เป็นวิธีรักตัวเองที่สามารถสร้างความสวยสดใสให้ตัวคุณไปได้อีกนานเลยทีเดียว

1. ดื่มน้ำหลังตื่นนอนทันที เพื่อช่วยลดความเข้มข้นที่สูงของเลือดในช่วงเช้า

2. สร้างวันแห่งความสวยขึ้นมา 1 วัน ปิดมือถือซะ เปิดเพลงเบาๆ แช่ตัวในน้ำอุ่น เติมน้ำมันอโรมาสักหยด ทำอารมณ์ให้สดชื่น ผิวก็สดใสขึ้น

3. ยิ่งออกกำลังกายบ่อยยิ่งทำให้เลือดสูบฉีด สุขภาพก็ดี สวยสดใสขึ้นด้วย

4. ฝึกตัวเองกินผักให้ได้ทุกมื้อ ถ้ามื้อไหนขาดให้ชดเชยในมื้อต่อไป

5. นอนหลับให้ถูกวิธี ช่วงสี่ทุ่มเป็นเวลาที่ดีที่สุด และควรตื่นตอนหกโมงเช้า จะส่งผลให้สุขภาพผิวดีขึ้นโดยตรงเลยค่ะ

6. งีบเติมพลังระหว่างวันบ้าง จะทำให้คุณดู “สดใส” ขึ้นได้

7. อย่าอดอาหารเพื่อรักษาหุ่น เพราะจะทำให้ผิวขาดสารอาหาร และทำให้ร่างกายทรุดโทรมหมดสวยในเวลารวดเร็ว

8. พยายามลดความเครียด...เมื่ออารมณ์ดี ยิ้มง่าย ยังไงก็สวยมีเสน่ห์ค่ะ

9. หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ แล้วหันมาดื่มชาเขียวที่ผสมสารสกัดจากสมุนไพรธรรมชาติ เพื่อเติมความสวยสดใสให้กับตัวเอง

9 วิธีง่ายๆที่จะทำให้คุณสวยขึ้น ซึ่งเป็นวิธีง่ายๆน่ะค่ะ สามารถลองไปปฏิบัติได้น่ะค่ะ รับรองได้ผลแน่นอนค่ะ

น้ำแอปเปิล...เสริมความจำ

บรรดาผู้ที่ติดตามข่าวคราวทางสุขภาพคงเคยได้ยินประโยคที่ว่า An apple a day keeps the doctor away ซึ่งเปรียบสรรพคุณของแอปเปิลว่า การรับประทานแอปเปิลเพียงวันละผลสามารถทำให้ห่างไกลจากหมอหรือไม่ต้องไปหาหมอ ทั้งนี้เนื่องมาจากมีงานวิจัยหลายชิ้นกล่าวถึงประโยชน์มากมายของแอปเปิล ทั้งบำรุงหัวใจ ลดโคเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหารและต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งอาจช่วยลดการถูกโรคร้ายทั้งหลายคุกคาม และล่าสุดพบว่าการดื่มน้ำแอปเปิลยังอาจช่วยเสริมความจำและป้องกันภาวะสมองเสื่อม หรือโรคอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุได้

จากการศึกษาวิจัยในสัตว์ทดลองของ University of Massachusettse Lowell (UML) เผยว่าการดื่มน้ำแอปเปิลอาจช่วยเพิ่มการสร้างของสารสื่อประสาทในสมองที่มีชื่อว่า อะซีทิลโคลีน (Acetylcholine) ซึ่งเป็นตัวกำหนดความสามารถในการเรียนรู้และความทรงจำ จึงช่วยชะลอภาวะสมองเสื่อมได้ ปกติแล้วสารสื่อประสาททั้งหลาย รวมทั้งสารอะซีทิลโคลีน เป็นสารเคมีที่ถูกสร้างและหลั่งมาจากเซลล์ประสาทเพื่อส่งต่อไปยังเซลล์ประสาทข้างเคียง เหมือนเป็นการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทด้วยกัน ในการควบคุมการทำงานของทุกส่วนในร่างกาย ตั้งแต่การนั่ง นอน ยืน เดิน รับประทาน รู้สึกและสัมผัส รวมถึงการนึกคิด

ก่อนหน้านี้มีงานวิจัยเผยว่า โรคอัลไซเมอร์เป็นโรคที่เกิดจากการเสื่อมของเซลล์สมองจนก่อให้เกิดความบกพร่องทางความทรงจำ การตัดสินใจหรือการใช้เหตุผล โดยมักมีอาการหลงลืม สับสนหรืออารมณ์แปรปรวน ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดกับผู้สูงอายุนั้น จะมีปริมาณของสารอะซีทิลโคลีนในสมองน้อยกว่าปกติมาก อย่างไรก็ตามหากมีการเพิ่มปริมาณของสารอะซีทิลโคลีน ก็สามารถช่วยเพิ่มความทรงจำ ลดการหลงลืมและสามารถชะลอภาวะเสื่อมของสมองในผู้ที่เป็นอัลไซเมอร์ได้ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอีกหลายชิ้นที่เผยว่า ผักผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างพวกบลูเบอร์รี แอปเปิลนั้น ก็มีส่วนช่วยชะลอภาวะความจำเสื่อมในผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ และยังให้ผลดีกว่าพวกอาหารเสริมหรือวิตามินที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระทั้งหลาย

โดยงานวิจัยนี้ได้ศึกษาในหนูทดลองปกติวัยผู้ใหญ่ วัยชรา และหนูทดลองสายพันธุ์พิเศษที่มีการตัดต่อพันธุกรรมจนสามารถเกิดอาการของโรคอัลไซเมอร์แบบเดียวกับที่เกิดในคน โดยแบ่งให้รับประทานอาหารปกติ อาหารที่ขาดสารอาหารจำเป็น หรืออาหารที่ขาดสารอาหารที่จำเป็นแต่รวมกับการดื่มน้ำแอปเปิลเข้มข้นแทนน้ำ เป็นเวลา 1 เดือน พบว่าหนูปกติ วัยชรา และหนูที่เป็นอัลไซเมอร์ ซึ่งรับประทานอาหารที่ขาดสารอาหารที่จำเป็นจะมีปริมาณของสารอะซีทิลโคลีนในเนื้อสมองลดลง แต่ปริมาณของสารนี้กลับเพิ่มสูงขึ้นในหนูที่ดื่มน้ำแอปเปิลเข้มข้นร่วมด้วย อีกทั้งเมื่อนำหนูเหล่านี้ไปทดสอบเกี่ยวกับการเรียนรู้และความจำ พบว่าหนูที่ดื่มน้ำแอปเปิลเข้มข้นจะมีพฤติกรรมการเรียนรู้และความจำที่ดีกว่าหนูที่ไม่ดื่มน้ำแอปเปิล

จึงเป็นไปได้ว่าการดื่มน้ำแอปเปิลเข้มข้นอาจช่วยเสริมความจำ โดยมีผลการเพิ่มปริมาณของสารสื่อประสาทอะซีทิลโคลีน ที่ช่วยกระตุ้นความทรงจำ เพิ่มสมาธิและประสิทธิภาพการเรียนรู้ อีกทั้งช่วยชะลอความเสื่อมของสมองอันเนื่องมาจากอายุที่มากขึ้นและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์ ซึ่งน้ำแอปเปิลเข้มข้นที่ให้หนูกินในแต่ละวัน สามารถเทียบได้กับการดื่มน้ำแอปเปิลเข้มข้นแก้วละ 8 ออนซ์ วันละ 2 แก้ว หรือเท่ากับการรับประทานแอปเปิลวันละ 2-3 ลูก

ออกซิเจนกับการออกกำลังกาย

ออกกำลังกายแบบ แอโรบิค (Aerobic Exercise) หรือการออกกำลังกายแบบใช้ออกซิเจน จะช่วยให้มีการเผลาผลาญ พลังงานได้มากกว่า ชนิด ไม่ใช้ออกซิเจน (Anaerobic) ทำให้พลังงานจากอาหารที่กินเข้าไป ถูกเผลาผลาญออกไป ไม่สะสม ขณะเดียวกัน ยังช่วยให้มีการดึงไขมันส่วนเกิน ที่สะสมอยู่ ตามส่วนต่างๆ ออกมาใช้ให้หมดไปทำให้รูปร่างดีขึ้น น้ำหนัก ตัวลดลง การออกกำลังกายจะทำให้มีกล้ามเนื้อเกิดขึ้น มาแทนไขมัน ซึ่งกล้ามเนื้อที่เกิดขึ้น จะมีน้ำหนัก มากกว่าไขมันในปริมาณเท่ากัน(ความหนาแน่นมากกว่า) ทำให้บางครั้งน้ำหนักตัวไม่ลดมากนัก แต่รูปร่างโดยรวมดูดีขี้นกระชับขึ้น

การออกกำลังกายแบบ แอโรบิค (Aerobic Exercise) หมายถึงการที่ออกกำลังกาย ของกล้ามเนื้อของร่างกาย ที่ทำให้ เซลของกล้ามเนื้อ มีขบวนการ ย่อยสลายโมเลกุลของน้ำตาลโดยใช้ออกซิเจนจำนวนมาก และได้พลังงานออกมามากมีสารพิษตกค้างน้อย ในขณะที่การออกกำลังกายแบบไม่ใช้ออกซิเจน จะมีสารพิษ โดยเฉพาะกรดแลคติค(Lactic Acid) ตกค้างอยู่มาก ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้

หลักการของการออกกำลังกายแบบ แอโรบิค (Aerobic Exercise)คือ การออกกำลังกายติดต่อกัน อย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย สัปดาห์ละ 4-5 วัน ประมาณ ครั้งละ 20-30 นาที ต่อวัน เป็นอย่างน้อย และขณะออกกำลังกาย จะต้องพยายามรักษาระดับ อัตราการเต้นของหัวใจอยู่ในระดับที่สูงกว่าปกติโดยเฉลี่ย โดยในคนวัยหนุ่มสาว ที่แข็งแรง ในขณะออกกำลังกายควรจะรักษาระดับอัตราการเต้นของหัวใจให้อยู่ในระดับ ประมาณ 120-140 ครั้งต่อนาที ตลอดช่วงเวลาที่ออกกำลังกายนั้น วิธีนี้นอกจากทำให้ร่างกายเผลาผลาญแคลอรี่ ช่วยควบคุมน้ำหนัก แล้วยังช่วยให้ หัวใจ และร่างกาย แข็งแรง อีกด้วย

การวัดชีพจรแบบง่ายๆ ทำได้โดยการใช้นิ้วชี้และนิ้วกลาง แตะเบาๆ บริเวณข้อมือ ของมืออีกข้าง ทางด้านข้างของข้อมือในแนว ที่ตรงกับร่องระหว่างนิ้วชี้ และนิ้วกลางของมือข้างนั้น แล้วรับรู้จังหวะการเต้นของเส้นเลือด(ชีพจร) ที่ข้อมือนั้น โดยนับจำนวนครั้ง ใน 15 นาที แล้ว คูณด้วย 4 จะได้ เป็นอัตราการเต้นของหัวใจต่อ นาที

วิธี การออกกำลังกาย จะเลือกวิธีไหน ก็ได้ ตามความเหมาะสม และความชอบ ของแต่ละคน ตั้งแต่การเดินเร็ว, จ๊อกกิ้ง ,โดดเชือก ,วิ่งบนลู่วิ่ง ,เต้นแอโรบิค หรือแม้แต่ ที่กำลังนิยมกันในหมู่ วัยรุ่น คือ Dancing Zone แต่ที่สำคัญคือ การทำแบบต่อเนื่อง และไม่หักโหม

การออกกำลังกายแบบใช้ออกซิเจน ออกซิเจน (Aerobic Exercise) เป็นการออกกำลังกาย โดยร่างกายจะนำออกซิเจนไปสันดาปกับสารอาหาร (คาร์โบไฮเดรต , ไขมัน) เกิดเป็นพลังงานที่ใช้ในการเคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกายด้วยความเร็วปานกลาง เช่น ว่ายน้ำ วิ่ง จักรยาน การเต้นแอโรบิค กระโดด กระโดดเชือก ฯลฯ

พิมพา ฟาร์อีสเทิร์น

มะม่วงสุก มาร์คหน้าแก้สิว

มาร์คหน้าด้วยมะม่วงสุกแก้สิว ช่วยลดอาการบวมอักเสบและปรับสภาพผิวให้ดีขึ้น

สูตรนี้มีกรดผลไม้อ่อนๆ จากมะม่วงสุกและมะนาวช่วยผลัดเซลล์ผิว ดินสอพองช่วยลดอาการบวมอักเสบและปรับสภาพผิวให้ดีขึ้น แถมท้ายด้วยน้ำผึ้งป้องกันเชื้อโรคและช่วยสมานรอยแผล เป็นอันครบสูตรสวยใสไร้สิว

ส่วนผสมไม่ยุ่งยากอะไรเลย ขอแค่มีมะม่วงสุก 1 ผล น้ำมะนาวครึ่งช้อนโต๊ะ ดินสอพอง 1/4 ช้อนโต๊ะ และน้ำผึ้งสัก 1 ช้อนชา เมื่อได้ครบแล้วก็ทำการยีเนื้อมะม่วงสุก เติมน้ำมะนาว น้ำผึ้ง และดินสอพองยีต่อจนเข้ากันดี จากนั้นนำมาปั่นรวมกันจนเหลวข้น นำมาทาทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด เพียงเท่านี้ ก็ทำให้มีหน้าสวยใสดังเดิม

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

แนวทางการบริโภคอาหาร เพื่อสุขภาพที่ดี

ในแต่ละวัน ร่างกายคนเราต้องการพลังงานจากอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต, โปรตีน, ไขมัน ในสัดส่วนที่เหมาะสม และไม่มีอาหารชนิดใดที่มีสารอาหารครบถ้วนทุกประเภทตามที่ร่างกายต้องการ ดังนั้น เราจึงต้องรับประทานอาหารให้ครบทุกหมู่ เพื่อให้ได้สารอาหารที่ครบถ้วนและจำเป็นต่อร่างกาย

พลังงานที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน ประมาณ 1600-2800 คาลอรี่ต่อวัน

มีหน่วยวัดเป็นคาลอรี่ ร่างกายต้องการพลังงานในแต่ละวันแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ขึ้นกับกิจกรรม งานที่ทำ, ขนาดร่างกาย, อายุ, เพศ แต่โดยเฉลี่ยแล้วเราสามารถประมาณพลังงานที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันได้ดังนี้

1,600 คาลอรี่ สำหรับเด็กอายุ 2-6 ขวบ,ในผู้หญิงปกติ, ในผู้สูงอายุ

2,000 คาลอรี่ สำหรับผู้ใหญ่ทั่วไป

2,200 คาลอรี่ สำหรับเด็กโต, วัยรุ่นผู้หญิง, ผู้หญิงที่ทำงาน และในผู้ชายส่วนใหญ่

2,800 คาลอรี่ สำหรับวัยรุ่นผู้ชาย, ในผู้ชายที่มีกิจกรรมหรือการทำงานหนัก

ปริมาณโปรตีนที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน

โปรตีนเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย รวมทั้งเนื่อเยื่อต่างๆมีโปรตีนเป็นส่วนประกอบ นอกจากนี้โปรตีนยังเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในเลือด, ฮอร์โมน, เอนไซม์ต่างๆ ในร่างกาย; โปรตีน พบได้ในอาหารประเภท เนื้อสัตว์, ผลิตภัณฑ์จากนม, อาหารประเภทถั่ว

ปริมาณโปรตีนที่แนะนำในแต่ละวันคิดเป็น 10-35 % ของคาลอรี่ทั้งหมดของพลังงานที่ร่างกายต้องการ ต่อวัน

ปริมาณคาร์โบโฮเดรตที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน

ร่างกายต้องการคาร์โบโฮเดรต เป็นแหล่งพลังงานหลักของเซลล์ คาร์โบโฮเดรตพบได้ในอาหารประเภทแป้ง (เช่น ข้าว, ขนมปัง, ธัญพืช) และน้ำตาล ปริมาณคาร์โบโฮเดรตที่แนะนำในแต่ละวัน คิดเป็น 45-65 % ของคาลอรี่ทั้งหมดของพลังงานที่ร่างกายต้องการต่อวัน หรือประมาณ 130 กรัม

เราควรเลือกบริโภคคาร์โบไฮเดรตที่มีโครงสร้างเชิงซับซ้อน เช่น จากอาหารประเภทแป้ง มากกว่าน้ำตาลธรรมดาซึ่งได้จากขนมหวาน, สารให้ความหวาน เพราะร่างกายจะดูดซึมคาร์โบไฮเดรตที่มีโครงสร้างซับซ้อนได้ช้ากว่า น้ำตาลธรรมดา ทำให้ร่างกายเรา มีพลังงานที่ได้ใน ระยะเวลานานขึ้น และนอกจากนี้คาร์โบไฮเดรตที่มีโครงสร้างซับซ้อน จะให้สารอาหารหลายอย่าง รวมทั้งเส้นใยอาหาร ที่มีประโยชน์ต่อ ร่างกายด้วย

ปริมาณไขมันที่ร่างกายต้องการในแต่ละวัน

ไขมัน เป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง (ไขมัน 1 กรัมให้พลังงาน 9 คาลอรี่ เทียบกับโปรตีนและ คาร์โบไฮเดรต 1 กรัมให้พลังงาน 4 คาลอรี่) และยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามิน ที่ต้องละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามิน เอ , ดี, อี, เค (vitamin A, D, E, K)

ไขมันเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของผนังเซลล์ และยังช่วยในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เนื่องจากสารที่จำเป็นในระบบภูมิคุ้มกัน จะมีไขมันเป็นส่วนประกอบสำคัญ นอกจากนี้ ไขมันยังเป็นส่วนประกอบสำคัญของสารควบคุมร่างกายที่เราเรียกว่า โพรสตาแกลนดิน ซึ่งมีบทบาทในการควบคุม ความดันโลหิต, อัตราการเต้นของหัวใจ, การหดตัวของเส้นเลือด, การแข็งตัวของเลือด และการทำงาน ของระบบประสาท

แต่อย่างไรก็ตามการบริโภคอาหารที่มีไขมันมากเกินไปจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้เกิด โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ, เพิ่มความเสี่ยง การเป็นโรคเบาหวาน และโรคอ้วน และมะเร็งบางชนิด

อาหารที่มีส่วนประกอบของไขมัน จะมีไขมันที่สามารถแบ่งประเภทได้ ทั้งหมด 4 ประเภทคือ

1. ไขมันอิ่มตัว (Saturated fat) พบได้ในอาหารประเภท เนย, นม, ครีม, ไข่, เนื้อ, สัตว์ปีก, ช็อกโกแลต, น้ำมันมะพร้าว, น้ำมันปาล์ม

2. ไขมันไม่อิ่มตัวชนิด Polyunsaturated ได้แก่ น้ำมันดอกคำฝอย, น้ำมันข้าวโพด, น้ำมันดอกทานตะวัน, น้ำมันถั่วเหลือง, น้ำมันเมล็ดฝ้าย

3. ไขมันชนิด trans fat มักพบในอาหารประเภท เนยเทียม(margarine), สารประเภท shortening, โดนัท, เฟรนซ์ฟรายส์

4. ไขมันไม่อิ่มตัวชนิด Monounsaturated มักพบในอาหารประเภท อโวคาโด, ถั่วลิสง, เกาลัด, มะกอก

ปริมาณไขมันที่แนะนำในแต่ละวัน คิดเป็น 20-35 % ของคาลอรี่ทั้งหมดของพลังงานที่ร่างกายต้องการต่อวัน

ซึ่งเราสามารถลดปริมาณไขมันในอาหารได้ โดยเลือกบริโภคอาหารจำพวกที่มีไขมันน้อย เช่น เนื้อปลา, สัตว์ปีกไม่ติดหนัง, ผลิตภัณฑ์นมไขมันต่ำ และเลือกบริโภคอาหารที่มีไขมันต่ำตามธรรมชาติ เช่น ผักผลไม้, ธัญพืช เป็นต้น

ไขมันอิ่มตัว ไม่ควรเกิน 10% ของพลังงานคาลอรี่ทั้งหมดที่บริโภคต่อวัน

ไขมันอิ่มตัว เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้โคเลสเตอรอลในเลือดสูง เพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ การลดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง โดยการจำกัดอาหารประเภทเนื้อสัตว์, เนย, เนยแข็ง, นมสด, ครีม, ไข่ รวมทั้งอาหารที่ทำมาจากช็อคโกแลต, สารพวกshortening, น้ำมันปาล์ม, น้ำมันมะพร้าว, น้ำมันหมู

อาหารที่มาจากสัตว์ทั้งหมด จะมีโคเลสเตอรอล โดยเฉพาะ เนื้อสัตว์, ไข่แดง, ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมสด

การจำกัดอาหารที่มีโคเลสเตอรอล ควรทำร่วมกับการจำกัดอาหารที่มี่ไขมันอิ่มตัวสูงด้วย ทั้งนี้เพราะตัวการสำคัญที่ทำให้ ระดับโคเลสเตอรอล ในเลือดสูง คือ ไขมันอิ่มตัว นั่นเอง

ไขมันชนิด trans fat

มีผลเหมือนกับไขมันอิ่มตัวคือทำให้ระดับโคเลสเตอรอลในเลือดเพิ่มขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ

ไขมันชนิด trans fat มีส่วนประกอบเป็น กรดไขมันชนิด trans-fatty acid เกิดจากกระบวนการทางเคมี โดยการเติม ไฮโดรเจนเข้าไปในน้ำมันพืช กระบวนการนี้เรียกว่า Hydrogenation ผลที่ได้คือ ทำให้ไขมันมีสถานะเป็นก้อนอยู่ได้ คงรูปร่างได้ ดีขึ้น และไม่เหม็นหืน เหมือนน้ำมันปกติ ประโยชน์ นำเอามาใช้ในอุตสาหกรรมผลิตอาหารจำพวก ขนมเค๊ก, คุกกี้, แครกเกอร์, โดนัท, เฟรนซ์ฟรายส์, สารshortenings, มาการีนบางชนิด

ดังนั้น ทุกครั้งที่เลือกอาหารที่มีฉลากแสดงสารอาหาร ให้ดูว่ามีคำว่า Hydrogenated หรือ Partially hydrogenated หรือไม่ ซึ่งหมายถึงการมีไขมันชนิด trans fat อยู่ ให้พยายามหลีกเลี่ยงที่จะบริโภค

ไขมันไม่อิ่มตัว

ทั้งชนิด Polyunsaturated และ Monounsaturated สามารถลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดได้

โซเดียม

ปริมาณโซเดียมที่แนะนำให้รับประทานต่อวัน คือ 1500-2400 มิลลิกรัม/วัน สำหรับผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดี

สำหรับคนที่อายุมากกว่า 50 ปี, คนผิวดำ, คนที่โรคประจำตัว ได้แก่ ความดันโลหิตสูง, โรคไตเรื้อรัง, โรคเบาหวาน ควรจำกัดการบริโภคโซเดียมให้น้อยกว่า 1500-2400 มิลลิกรัม/วัน

ส่วนใหญ่ของโซเดียมในอาหาร มาจากกระบวนการเตรียมและปรุงอาหาร, ซุปกระป๋อง, ผักกระป๋อง, อาหารกระป๋อง, อาหารแช่เข็ง, อาหารประเภทเบคอน, ไส้กรอก, แฮม

เส้นใยอาหาร

ควรบริโภคในปริมาณ 21-38กรัมต่อวัน เส้นใยอาหารเป็นส่วนของพืชที่ร่างกายไม่ย่อยและดูดซึม แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ พวกเส้นใยประเภท soluble กับ เส้นใยประเภท insoluble

เส้นใยประเภท insoluble จะช่วยเพิ่มกากอุจจาระ และป้องกันท้องผูก ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ พบได้ในอาหารประเภท ผัก รำข้าว เมล็ดข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี

เส้นใยประเภท soluble อาจช่วยในการลดระดับโคเลสเตอรอล และระดับน้ำตาลในเลือดได้ พบได้ในอาหารประเภท ข้าวโอ๊ต, ฝักถั่ว, แอปเปิ้ล, ส้ม, สตรอเบอรี่, องุ่น

ปริมาณเส้นใยอาหารที่แนะนำต่อวันคือ

38 กรัมในผู้ชาย 25 กรัมในผู้หญิง สำหรับผู้ที่อายุต่ำกว่า 50 ปี

30 กรัมในผู้ชาย 21 กรัมในผู้หญิง สำหรับผู้ที่อายุมากกว่า 50ปี

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์อีส เลขที่ 2

ผิวสวยด้วยน้ำ

ดื่มน้ำเฉพาะตอนที่คอแห้ง เพื่อดับกระหาย หรือดื่มระหว่างทานอาหารเท่านั้น คงยังไม่เพียงพอ!! ถ้าอยากผิวสวยและสุขภาพดี แบบไม่ต้องลงทุนซื้อครีมบำรุงกระปุกละเป็นหมื่น ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดื่มน้ำกันใหม่ ด้วย 7 เทคนิคการดื่มน้ำสไตล์เอเวียงจากฝรั่งเศส

1) เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการดื่มน้ำ ลองดื่มน้ำแร่ธรรมชาติให้ได้วันละ 2 ลิตร ติดต่อกันเป็นเวลา 2 สัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำบริสุทธิ์ในปริมาณที่ต้องการ และคุณจะสังเกตเห็นความแตกต่าง น้ำไม่เพียงจะช่วยให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่ง แต่ยังควบคุมอุณหภูมิในร่างกายให้เหมาะสม, ช่วยย่อยและดูดซึมอาหาร รวมทั้งขับของเสียไปตามกระแสเลือด

2) วางน้ำดื่มไว้ข้างเตียงก่อนเข้านอน ถ้าตื่นขึ้นมากลางดึก จะได้เทน้ำดื่มสักแก้ว เพื่อเพิ่มความสดชื่นให้ร่างกาย และช่วยให้สามารถนอนหลับต่อได้อย่างง่ายดาย

3) พกพาน้ำดื่มติดตัวไปทุกที่ ทั้งในรถ, ระหว่างการเดินทาง, เวลานั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ หรือตอนดู ทีวี การดื่มน้ำให้ติดเป็นนิสัยจะทำให้สุขภาพดี

4) ดื่มน้ำจากขวดให้ได้บ่อยที่สุด เป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำของคุณ เพราะทำให้ดื่มง่ายและสะดวกต่อการพกพา

5) ดื่มน้ำให้สม่ำเสมอเมื่อเล่นกีฬา โดยดื่มน้ำก่อนและระหว่างการออกกำลังกาย นอกจากนี้ ยังควรดื่มน้ำหลังจากเล่นกีฬาในปริมาณที่มากพอ เพื่อชดเชยการเสียเหงื่อของร่างกาย

6) ไดเอตด้วยน้ำ ดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนรับประทานอาหารกลางวัน จะช่วยลดอาการหิว และควบคุมปริมาณการทานอาหาร

7) ดื่มน้ำหลังอาหารกลางวัน ช่วยให้สามารถหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแคลอรีสูงประเภทอื่นๆได้.

ใช้ผลิตย์ภัณย์ตัวหนึ่งแล้วดีมากดื่มก่อนทานอาหาร 5 นาทีเดือนแรกลดลงตั้ง 5 กิโลรูปร่างดีขึ้นมากจนคนทักไม่ได้มาขายใครหากสนใจก็สอบถามมาได้นะครับแล้วก็ไปหาซื้อที่เคาท์เตอร์เอง ดีมากมาก ถามที่โอ๊ต 0868964106 หรือ pct 02776036687

เกร็ดน่ารู้ มี Tips ง่ายๆ ช่วยให้หลับสบายมาฝากกัน

1.ตื่นและนอนให้เป็นเวลา โดยใน 1 วัน ควรนอนให้ได้ 8 ชั่วโมง และทำให้เป็นประจำทุกวัน

2.ฝึกนั่งสมาธิก่อนนอน เพื่อไม่ให้จิตใจฟุ้งซ่าน

3.วางแผนงานที่จะสะสางในวันพรุ่งนี้ให้เป็นระบบ เพื่อลดการคิดซ้ำซาก

4.อย่ากังวลกับงานจนเกินไป เมื่อถึงเวลานอนก็ควรนอนให้หลับสนิท เพื่อพักสมอง และเตรียมลุยงานในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะเป็นผลดีกับประสิทธิภาพของงาน

5.หากลิ่นหอมอ่อนๆ จากน้ำมันหอมระเหยวางในห้อง จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและหลับง่ายขึ้น

6.ดื่มนมอุ่นๆ ก่อนนอน จะช่วยคลายเครียด ผ่อนคลายประสาท

7.หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เนื่องจากมีคาเฟอีนกระตุ้นทำให้นอนไม่หลับ

8.เปิดเพลงเบาๆ ฟังสบายๆ จะให้ความรู้สึกสงบ

สุขอนามัยปลอดภัยแมลง

1.การถูกแมลงกัดต่อยทำให้ภูมิต้านทานโรคลดลง เพราะฉะนั้นจึงควรกำจัดแหล่งน้ำเน่าขังรอบบ้าน

2.หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมนอกบ้าน ในเวลาที่ชุกชุมด้วยแมลง หรือยุง เช่นเวลาพลบค่ำ

3.ใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ หรือปลูกต้นไม้อย่าง ดอกดาวเรืองที่มีกลิ่น หรือน้ำยางต่อต้านแมลง และยุง

4.เลี่ยงการใช้น้ำหอม หรือโลชั่นกลิ่นเข้มข้น เพราะคุณกำลังส่งการ์ดเชิญยุงซึ่งไวต่อกลิ่นฉุน

5.ป้องกันหมัด แมลง เห็บในบ้าน ด้วยการซักฟอกสุนัข แมว สะอาด ปลอดกลิ่น

6.หมัด ไร ชอบชุมนุมกันในกอหญ้า และต้นไม้ในสวน ก่อนเข้าบ้านจึงควรสำรวจให้แน่ใจว่าไม่มีตัวอะไรติดมากับเสื้อผ้า หรือให้มั่นใจไปเลยก็ถอดเสื้อผ้าแล้วซักทันที

7.กำจัดขยะทุกชนิดทุกวัน เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค เชื้อรา และแมลง

8.ล้างแก้วที่ใส่น้ำหวาน หรือเครื่องดื่มผสมน้ำตาลทันที เพราะจะเป็นการชักนำแมลง มด เข้าบ้าน

สุขอนามัยในห้องน้ำ

9.เปลี่ยนแปรงสีฟันเป็นประจำ ทุก 2 เดือน เพื่อป้องกันการตกค้างสะสมแบคทีเรีย

10.ล้างมือทุกครั้งหลังการขับถ่าย เพื่อป้องกันแบคทีเรียและเชื้อโรคที่ติดจากกากระบาย

11.แบคทีเรียแพร่ในอากาศ และมักตกค้างอยู่บนผิววัสดุทุกชนิด ดังนั้น ควรทำความสะอาดทุกพื้นผิวในห้องน้ำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

12.ในระหว่างที่ชักโครกทำงานอาจทำให้เชื้อโรคในของเสียแพร่กระจาย จึงควรปิดฝาทุกครั้งก่อนชักโครก

13.ห้องน้ำควรมีช่องระบายให้ถ่ายเทและขนย้ายแบคทีเรียที่ฟุ้งในอากาศ หากใครไม่มีควรติดพัดลมระบายอากาศ

14.หลังใช้อ่างล้างหน้า อ่างอาบน้ำ ควรฉีดน้ำล้างอีกครั้งเพื่อกำจัดแบคมีเรีย และคราบสบู่ที่เป็นแหล่งเพาะบ่ม

15.สะบัดม่านอาบน้ำทุกครั้ง เพื่อป้องกันการก่อเชื้อรา และทุกเดือนควรซักทำความสะอาดเพื่อสุขอนามัย

16.หมวกอาบน้ำคืออีกแหล่งสะสมเชื้อรา แบคทีเรีย ที่ทำให้เกิดปัญหาหนังศีรษะ และเส้นผมร่วง ดังนั้น ควรทำความสะอาดด้วยน้ำอุ่นค่อนข้างร้อน หรือล้างด้วยผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ แล้วตากแห้งสนิทในแดดจัด

สุขอนามัยในห้องครัว

17.ล้างมือให้สะอาด ก่อนรับประทานอาหารอย่างน้อย 10 นาทีทุกครั้ง เพื่อกำจัดแบคทีเรีย และเชื้อโรค

18.จำกัดไม่ให้สัตว์เลี้ยงมาป้วนเปี้ยนในห้องครัว เพื่อหลีกเลี่ยงเชื้อโรคและเห็บหมัดเจือปนในอาหาร

19.ล้างทำความสะอาดพื้นที่เตรียมอาหารก่อนใช้ ระหว่างทำงาน และโดยเฉพาะหลังการใช้ ต้องเช็ดให้แห้งด้วยผ้าสะอาด

20.ป้องกันเชื้อโรคปนเปื้อนในอาหาร ด้วยการแยกภาชนะหั่น สับ ของผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์

21.การละลายอาหารแข็งไม่ใช่การกำจัดแบคทีเรีย ควรปรุงหรือทำให้สุกในอุณหภูมิสูง

22.ปรับอุณหภูมิตู้เย็นอย่างน้อย 37 องศาฟาเรนไฮต์ เพื่อให้สภาวะความเย็นได้ผลกับการชะลอแบคทีเรียแพร่พันธุ์

23.เปลี่ยนฟองน้ำล้างจานอย่างน้อยเดือนละครั้ง เพื่อกำจัดการสะสมของแบคทีเรียที่จะเปรอะเปื้อนในภาชนะพื้นผิวที่ชำระล้าง

24.แม้จะใช้งานเขียง มีด เพียงนิดหน่อย ก็ควรล้างให้สะอาดทุกครั้ง เพราะสิ่งที่มองไม่เห็นแค่นิดเดียวคือแหล่งแพร่พันธุ์เชื้อโรคร้ายที่ให้พิษภัยเกินคาด

25.กำจัดขยะทุกวัน และควรล้างและเคลียร์เชื้อโรคด้วยน้ำยาฆ่าเชื้ออย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

นภา ใจเฟย ม.ฟารร์(28)

สิว

สิวบนใบหน้า คือตุ่มเม็ดเล็กๆ ที่มีหนองเป็นไตสีขาว ๆ อยู่ข้างใน ขึ้นตามหน้า

เกิดขึ้นเพราะผิวหนังมีการอุดตันอยู่ใต้รูขุมขนจากหัวสิว โคมิโดน (Comedone)

ซึ่งสามารถอักเสบได้ง่ายหากมีตัวกระตุ้นเพิ่มเติม เช่น แบคทีเรีย หรือ ฝุ่นละอองในอากาศ

สาเหตุ

ปัจจัยภายใน คือ ปัจจัยที่เกิดจากร่างกายเราเอง เช่น ฮอร์โมน, กรรมพันธุ์, โรคเรื้อรัง และ ผิวพรรณ ซึ่งเป็นสิ่งที่ติดตัวเราตั้งแต่กำเนิด

ปัจจัยภายนอก คือ ปัจจัยที่เกิดขึ้นจากนอกร่างกายของเรา เช่น ยา, เครื่องสำอาง, สภาพแวดล้อม, สังคม, แสงแดดและอุณหภูมิ ความสะอาด และ อาหาร ซึ่งเราสามารถป้องกันได้

วิธีป้องกันและรักษา

วิธีป้องกันง่ายๆ คือ การกำจัดปัจจัยที่ก่อให้เกิดสิว ไม่ให้มันกำเริบ โดยมีข้อแนะนำต่างๆ ดังนี้

การนอนหลับ - การนอนหลับไม่เพียงพอ อาจเป็นสาเหตุให้เกิดสิวเช่นกัน เนื่องจากร่างกายเราอ่อนแอและเพลีย

อารมณ์ขัน - อารมณ์ขัน ทำให้เรามีความสุข ปราศจากความเครียด ซึ่งความเครียดเป็นสาเหตุของสิว

กินอาหารจำพวกผัก - การที่เรากินอาหารจำพวกผัก จะทำให้เราสามารถล้างพิษออกจากร่างกายได้ และยังมีวิตามินต่างๆ

กินอาการที่มีไขมันสูงแต่พอดี - หากเราเกิดอาหารไขมันสูงมากๆ เข้า จะทำให้มีไขมันอยู่ในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุอีกประการของการเกิดสิว

ล้างหน้าให้สะอาด - การล้างหน้าให้สะอาดทำให้ใบหน้าของเราไม่สกปรก เป็นอีกหนึ่งวิธีป้องกัน แต่ควรระวัง ไม่ควรล้างหน้าบ่อย เพราะจะทำให้หน้าของเราเสียสมดุล

ใช้กระดาษซับหน้ามัน - หากหน้าเรามันมากๆ ลองเปลี่ยนมาใช้กระดาษซับหน้ามันแทน เป็นวิธีช่วยอีกทางหนึ่ง ควรซับแต่พอดี ไม่ควรซับทั้งวันจะดูไม่ดีและเสียนิสัย

หลีกเลี่ยงการจับหัวสิวยุ่งกับผิวให้น้อยที่สุด - เพราะฝ่ามือของเรามีทั้งความสกปรก และ แบคทีเรีย ซึ่งเป็นตัวก่อให้เกิดสิว

ใช้หลังฝ่ามือลูบแทน - หลังฝ่ามือเป็นบริเวณที่เราไม่ยุ่งเกี่ยวมากที่สุด จึงเป็นบริเวณที่ค่อนข้างสะอาด ดังนั้นแล้วการใช้หลังฝ่ามือลูบคลำเล็ก ๆ น้อยๆ

ใช้ยากำจัดหัวสิว - ปัจจุบันมีอยู่ทั่วไปตามศูนย์การค้า

ใช้ยาที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ - วิตามินเอมีสรรพคุณรักษาสิวอยู่ด้วย ซึ่งมียาทาใบหน้าที่มีส่วนผสมของวิตามิน A สุดอยู่ สามารถสอบถามตามร้านขายยาทั่วไป

ปรึกษาแพทย์ - หากใช้วิธีต่างๆ ไม่ได้ผล แนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์เป็นการดีที่สุด

ประโยชน์ของเอนไซม์ในผักแต่ละชนิด

น้ำคั้นจากแครอท - ช่วยในการล้างไขมัน และช่วยการทำงานของตับ

น้ำคั้นจากคึ่นฉ่ายหรือเซเลอรี่ - ช่วยในการทำให้เลือดสะอาดขึ้น ช่วยในการเผาผลาญคอเลสเตอรอล

น้ำคั้นจากรากบัวหลวง - ช่วยในการหายใจและการทำงานของปอด ช่วยให้กระบวนการเผาผลาญอาหารและพลังงานทำได้ดีขึ้น

น้ำคั้นจากมะระ - ช่วยในการฟอกเลือด และการทำงานของไต

น้ำคั้นจากกระเทียม - ช่วยในการฆ่าเชื้อโรค

น้ำคั้นจากแคนตาลูปและแตงโม - ช่วยในการทำงานของไต

น้ำคั้นจากลูกใต้ใบ - ช่วยในการทำงานของตับและไต

น้ำคั้นจากตำลึง - ช่วยในารสมานแผลในกระเพาะอาหาร

เอนไซม์ในพืช คือผักและผลไม้ มีอยู่หลายชนิด และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง จึงไม่ควรดื่มน้ำคั้นชนิดใดชนิดหนึ่งซ้ำๆกันเป็นเวลานาน ควรผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนชนิดบ้าง เพื่อให้ได้คุณประโยชน์ที่หลากหลาย และยังแก้เบื่อได้ด้วย

อาบน้ำบ่อย ใครว่าดี

การอาบน้ำล้างหน้าบ่อย ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนังบอกว่ากลับทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับผิวหนังง่ายขึ้น

เนื่องจากผิวหนังคนเราก็มีภูมิต้านทานตามธรรมชาติเป็นเสมือนยาฆ่าเชื้ออยู่แล้วเพื่อช่วยป้องกันการอักเสบหรืออาการพุพองต่าง ๆ หรือเกิดอาการแสบคัน จะเห็นได้จากเมื่อเกิดแผลขึ้นและแผลเป็นหนอง แสดงว่าเป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่กำลังต่อสู้กับเชื้อโรคอยู่

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยทูบิงเคมในเยอรมัน พบว่า เหงื่อของเรามีสาร "เดอร์ เมดิซีน" มีสรรพคุณช่วยปกป้องผิวหนังจากการอักเสบ ที่ทำให้ผิวหนังเป็นผื่นคัน สารตัวนี้ผลิตได้จากต่อมเหงื่อทั่วร่างกาย มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียก่อนที่แบคทีเรียจะทำอันตรายกับผิว

สิ่งที่จะทำให้ยาฆ่าเชื้อบนผิวหนังเราถูกกำจัดไปอีกอย่างหนึ่งก็คือ สารระคายเคืองต่อผิวหนังจากผงซักฟอก สบู่ น้ำยาล้างจาน ฯลฯ การเลือกซื้อน้ำยาต่าง ๆ นี้ก็ควรเลือกชนิดที่ไม่ทำความระคายเคืองให้กับผิวหนัง สังเกตได้หลังจากการใช้จะทำให้ผิวแห้งผาก เกิดอาการคัน

บ้านเมืองของชาวตะวันตกมีอากาศหนาวเย็นจึงไม่อาจอาบน้ำได้บ่อยเท่าเมืองเราที่เป็นเมืองร้อน เพราะผิวจะแห้งจากการถูกทำลายน้ำมันธรรมชาติ สำหรับบ้านเราแถบทางเหนือคงจะคล้ายกัน แต่ในภาคอื่นหรือในกรุงเทพฯที่ผู้คนต้องเบียดเสียดขึ้นรถเมล์ หากไม่อาบน้ำบ่อยคงส่งกลิ่นให้เพื่อนร่วมทางต้องสลบกันไปบ้างแหละ

นาฬิกาชีวิต

การใช้ชีวิตง่าย ๆ ทำให้สุขภาพดีและอายุยืนยาว...

มีเพื่อนส่งเรื่องราวนี้มาให้อ่าน เพื่อปรับปรุงเวลาในการใช้ชีวิตให้อายุยืนยาว และมีสุขภาพตามวัย จึงอดไม่ได้ที่จะต้องนำมาเล่าต่อค่ะ..เรื่องมีอยู่ว่า..

การแพทย์ตะวันออกถือว่า กลางวันและกลางคืนมีความสัมพันธ์กับสุขภาพของมนุษย์อย่างแยกไม่ออก โดยมองลึกลงไปอีกว่า ช่วงเวลา 24 ชั่วโมงในหนึ่งวันนั้นภายในร่างกายของมนุษย์ยังมีการไหลเวียนของพลังชีวิตที่ผ่านอวัยวะภายในของร่างกาย ซึ่งประกอบด้วย อวัยวะตันและอวัยวะกลวง

อวัยวะตัน หมายถึง หัวใจ เยื่อหุ้มหัวใจ ปอด ม้าม ตับ ไต

อวัยวะกลวง หมายถึง กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ ระบบความร้อนของร่างกาย (ชานเจียว)

การไหลเวียนของพลังชีวิต (ลมปราณ) ที่ผ่านแต่ละอวัยวะนั้นจะใช้เวลาสองชั่วโมง ทั้งหมดมี 12 อวัยวะ รวม 24 ชั่วโมง คือ หนึ่งวัน เรียกว่า "นาฬิกาชีวิต"

1.00-3.00 น. เป็นช่วงเวลาของตับ ควรนอนหลับพักผ่อนถ้าใครนอนหลับได้ดีเป็นประจำในช่วงเวลานี้ ตับจะหลั่งสารมีราโทนิน (meratonine) เพื่อฆ่าเชื้อโรคทำให้หน้าอ่อนกว่าวัย นอกจากร่างกายจะหลั่งมีราโทนินประจำแล้ว ยังหลั่งสารเอนโดรฟิน (endorphin) ออกมาด้วยจึงไม่ควรกินอาหาร เพราะจะทำให้ตับทำงานหนักและเสื่อมเร็ว

3.00-5.00 น. เป็นช่วงเวลาของปอด ควรตื่นขึ้นมาสูดอากาศรับแดดตอนเช้า ผู้ที่ตื่นช่วงนี้ประจำ ปอดจะดี ผิวดี และเป็นคนมีอำนาจในตัว???

5.00-7.00 น. ลำไส้ใหญ่ ควรถ่ายให้เป็นนิสัย คนเรามักไม่ตื่นกันตอนนี้ซึ่งเป็นเวลาที่ลำไส้ต้องบีบอุจจาระลง เมื่อไม่ตื่นจึงบีบขึ้น เมื่อไม่ถ่ายตอนเช้าลำไส้ใหญ่จึงรวน แล้วจะมีอาการปวดหัวไหล่ กล้ามเนื้อเพดานจะหย่อน แล้วจะนอนกรนในที่สุด

7.00-9.00 น. กระเพาะอาหาร กินเข้าเช้าตอนนี้จะดี กระเพาะแข็งแรง ถ้ากระเพาะอ่อนแอ จะทำให้เป็นคนตัดสินใจช้า ขี้กังวล ขาไม่ค่อยมีแรง ปวดเข่า หน้าแก่เร็วกว่าวัย ถ้าไม่กินข้าวเช้าอุจจาระจะถูกดูดกลับมาที่กระเพาะ กลิ่นตัวจะเหม็นถ้าถ่ายออกหมดจะไม่มีกลิ่นตัวเท่าไหร่

9.00-11.00 น. ม้าม ม้ามจะอยู่ชายโครงด้านซ้าย หน้าที่ควบคุมเม็ดเลือด สร้างน้ำเหลือง ควบคุมไขมัน คนที่ปวดหัวบ่อยมักมาจากม้าม อาการเจ็บชายโครงมาจากม้ามกับตับ ม้ามโต จะไปเบียดปอด ทำให้เหนื่อยง่าย ผอมเหลือง ตาเหลือง สร้างเม็ดเลือดขาวได้น้อย ม้ามชื้น อาหารแและน้ำที่กินเข้าไปจะแปรสภาพเป็นไขมัน ทำให้อ้วนง่าย คนที่หลับช่วง 9.00-11.00 ม้ามจะอ่อนแอ ม้ามยังโยงไปถึงริมฝีปากคนที่พูดมากช่วงนี้ม้ามจะชื้น ควรพูดน้อยกินน้อย ไม่นอนหลับ ม้ามจะแข็งแรง

11.00-13.00 น. หัวใจ หัวใจจะทำงานหนักช่วงนี้ ให้หลีกเลี่ยงความเครียด หรือใช้ความคิดหนัก หาทางระงับอารมณ์ไว้

13.00-15.00 น. ลำไส้เล็ก **ควรงดกินอาหารทุกประเภท** เพื่อเปิดโอกาสให้ลำไส้ทำงาน ลำไส้เล็กทำหน้าที่ดูดสารอาหารที่เป็นน้ำเพื่อสร้างกรดอะมิโนสร้างเซลล์สมอง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างไข่สำหรับผู้หญิง

15.00-17.00 น. กระเพาะปัสสาวะ จะเกี่ยวข้องกับระบบความจำ ไทรอยด์ และระบบเพศทั้งหมด ช่วงเวลานี้ควรทำให้เหงื่อออก จะออกกำลังการหรืออบตัวกระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง การอั้นปัสสาวะบ่อยจะถูกดูดซึมเข้ากระแสเลือดทำให้เหงื่อเหม็น

17.00-19.00 น. ไต ควรทำใจให้สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอนตอนนี้ ถ้าง่วงแสดงว่าไตเสื่อม ยิ่งหลับแล้วเพ้อ อาการยิ่งหนัก

19.00-21.00 น. เยื่อหุ้มหัวใจ ช่วงนี้ควรสวดมนต์ ทำสมาธิ ให้ระวังเรื่องตื่นเต้น ดีใจ หัวเราะ

21.00-23.00 น. เวลาของระบบความร้อนของร่างกาย ต้องทำร่างกายให้อุ่น ห้ามอาบน้ำเย็นเวลานี้จะเจ็บป่วยได้ง่าย ช่วงนี้อย่าตากลมเพราะลมมีพิษ

23.00-1.00 น. ถุงน้ำดี เป็นถุงสำรองน้ำย่อยที่ออกมาจากตับ อวัยวะใดขาดน้ำ จะดึงมาจากถุงน้ำดี ทำให้ถุงน้ำดีข้น อารมจะฉุนเฉียว สายตาเสื่อม เหงือกบวมปวดฟัน นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึก ตอนเช้าจะจาม ถุงน้ำดีจะโยงถึงปอดจะปวดศีรษะข้างเดียวหรือสองข้างโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรดื่มน้ำก่อนเข้านอน หรือก่อนเวลา 23.00 น.

อนุสรา ภาคคำ เลขที่16

ข้าพเจ้าว่าสุขาภพที่ดีต้องมาพร้อมๆ

กับจิตใจที่เข้มแข็งด้วย

เพราะหากใจเราเข้มแข็งแล้ว

เราก็จะรับกับทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตของเราได้เสมอ

อนุสรา ภาคคำ เลขที่16

5 ไลฟ์สไตล์ของผิวใสสุขภาพดี

ถ้าทำได้ รับรองว่าผิวของคุณจะใส เปล่งประกายออร่าได้ยิ่งกว่าเซรั่มทรีตเมนต์หลอดละสามหมื่นแน่นอนค่ะ

สิ่งที่ทำเฉพาะกิจ ย่อมไม่มีประสิทธิผลเท่าสิ่งที่ทำเป็นประจำ ดังนั้น การดูแลความสวยงามและสุขภาพผิวที่ดี จึงควรต้องทำในทุกวันอย่างสม่ำเสมอ และนี่คือ 5 ไลฟ์สไตล์สะดวกสบายที่ WP นำมาฝากค่ะ ถ้าปฏิบัติได้เป็นกิจวัตร รับรองว่าผิวของคุณจะใส เปล่งประกายออร่าได้ยิ่งกว่าเซรั่มทรีตเมนต์หลอดละสามหมื่นแน่นอน อ่านแล้วทำเลย

1. กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ

กินอาหารอุดมวิตามินเอ เช่น นมสด ผลิตภัณฑ์จากนม ตับ ฟักทอง แครอท ผักบุ้ง ตำลึง อาหารพวกนี้นอกจากจะช่วยทำให้ผิวสวยแล้ว ยังช่วยซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อในร่างกายอีกด้วย

กินอาหารอุดมด้วยวิตามินซี เช่น ผักผลไม้ทั้งหลาย วิตามินซีในผักผลไม้จะช่วยทำให้ผิวหนังยืดหยุ่น กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

กินอาหารอุดมด้วยวิตามินอี เช่น จมูกข้าวสาลี ธัญพืชต่างๆ วิตามินอีจะช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน ป้องกันแผลเป็น

กินน้ำมันปลา ซึ่งมีกรดไขมันโอเมก้า-3 จะช่วยฟื้นฟูผิวให้ดูมีสุขภาพดี

ดื่มน้ำให้ได้วันละ 2 ลิตร หรือ 6-8 แก้วต่อวัน เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว

กินวิตามินเอ ซึ่งดีต่อสุขภาพของผิวหนังและการเจริญเติบโตของร่างกาย ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายและสายตา ถ้าขาดวิตามินเอ ผิวหนังจะแข็ง และเป็นเกล็ดฝอยไปอุดต่อมน้ำมัน และต่อมเหงื่อ วิตามินเอที่ควรกินมีอยู่ 2 ชนิด คือ แคโรทีนซึ่งจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอในร่างกาย พบอยู่ในอาหารที่มีสีส้มสดและสีเหลือง ได้แก่ แครอท มะเขือเทศ และผักใบเขียว อีกชนิดคือ เรตินอล มีอยู่ในน้ำมันตับปลา ไข่ นม และเนย

กินธาตุสังกะสี ปกติในผิวหนังมีปริมาณธาตุสังกะสีค่อนข้างสูง แต่เมื่อร่างกายเจริญเติบโตเข้าวัยหนุ่มสาวก็ยิ่งต้องการธาตุสังกะสีมากยิ่งขึ้น ดังนั้น การกินอาหารที่มีสังกะสีป็นประจำจึงช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน การซ่อมแซมเนื้อเยื้อ และเสริมสมดุลการทำงานในระบบฮอร์โมนต่างๆ ของร่างกายได้ครบถ้วน

ควรกินอาหารที่มีโปรตีน เช่น หอยนางรม เนื้อวัว ตับวัว ขาไก่

กินอาหารที่มีกากใย เช่น ข้าวกล้อง เมล็ดธัญพืช ผักและผลไม้ก็ช่วยให้การขับถ่ายดี ลดน้ำตาลในเลือดอันเป็นสาเหตุของสารพัดโรค

ลดปริมาณอาหารที่มีไขมันสูง ลดอาหารที่มีรสเค็มจัด และพยายามดื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยที่สุด เพราะอาหารเหล่านี้จะเพิ่มความดันของเลือดให้สูงเกินปกติ อันจะส่งผลต่อระบบสมดุลผิว

2.ทำอารมณ์ให้แจ่มใสอยู่เสมอ

ถ้าอารมณ์หงุดหงิด โกรธง่าย จะทำให้ระบบการไหลเวียนเลือดไม่ดี ท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ไม่อยากอาหาร ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ จึงส่งผลให้สุขภาพผิวแย่ไปด้วย

3.พักผ่อนให้เพียงพอ

การนอนพักผ่อนให้เพียงพอ 8-10 ชม. ช่วยให้ผิวได้รับการซ่อมแซมในระหว่างหลับอย่างเต็มที่ การพักผ่อนยังรวมถึงการผ่อนคลายในรูปแบบต่างๆ ด้วย เช่น การเล่นโยคะ บริหารร่างกาย นั่งสมาธิ อ่านหนังสือ

4.ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายอย่างเหมาะสม จะช่วยให้โลหิตนำพาออกซิเจนไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้ดีขึ้น ช่วยขับถ่ายพิษหรือของเสียออกจากร่างกายทางเหงื่อ ผิวพรรณจึงดูสดใส เปล่งปลั่ง และมีเลือดฝาด เพื่อผิวและสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ควรหาเวลาออกกำลังให้สม่ำเสมอทุกวัน อย่างน้อยวันละ 20 นาที

5.ดูแลความสะอาดของผิวพรรณ

การอาบน้ำอุ่นอุณหภูมิพอเหมาะ (ประมาณ 38 องศาเซลเซียส) จะช่วยทำความสะอาดผิวหนังได้ดีมาก และยังกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ไม่ควรอาบน้ำอุ่นจัดเป็นเวลานานเกินไป เพราะอาจทำให้อ่อนเพลียได้ง่าย สำหรับสบู่ที่ใช้ทำความสะอาดผิวควรมีค่า pH5 หรือน้อยกว่านั้น และควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำชนิดโฟม เพราะทั้งสบู่ที่มีฤทธิ์แรงและโฟมจะทำลายไขมันตามธรรมชาติที่เคลือบอยู่บนผิว ทำให้ผิวแห้ง หลังอาบน้ำยังควรต้องทาครีมบำรุงผิวให้ทั่วตัว เพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์) เลขที่ 33

อยากมีหุ่นดี ๆ ได้ไม่อยาก ไม่ต้องพึ่งยาลดความอ้วนให้เสียสุขภาพ

1. ลองเขียนเหตุผลบนกระดาษ มาสัก 3 ข้อซิ ว่าทำไม คุณถึงต้องการจะลดน้ำหนัก

หากว่าการลดน้ำหนัก มันสำคัญสำหรับคุณมาก คุณก็จะสามารถเขียนมันออกมาได้ ถ้าคุณยังไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม แสดงว่ามันยังไม่สำคัญกับคุณมากพอ คุณก็แค่จะลดไปงั้นแหละ ก็เผื่อว่าชั้นจะผอม ขอให้เขียนแบบจริงๆจังๆ และบอกถึงเป้าหมายให้ชัดเจน ไม่เอาแบบ "ข้อที่หนึ่ง ชั้นไม่อยากตัวอ้วนเป็นหมูแบบนี้" นี่เป็นการบอกสิ่งที่คุณไม่ต้องการ ลองเอาแบบ "ข้อที่หนี่ง ชั้นอยากมีหุ่นเลิศ เฉิดฉายในชุดสีดำ ตอนวันคริสมาสในปีนี้" อย่างงี้

2. เชื่อมั่นในตนเอง เชื่อในสิ่งที่คุณจะทำ

บ่อยแค่ไหนที่มัวแต่ชม คนอื่นที่เค้าลดน้ำหนักแล้วสำเร็จ มัวแต่ไปชื่นชมคนอื่น หรือความสำเร็จของเขา ให้คิดทันทีว่า "ชั้นอยากจะทำอย่างนั้นได้บ้างจัง เมื่อเค้าทำได้ชั้นก็ต้องทำได้สิ" เราก็คนอ่ะนะ ก็ต้องคิดแบบนี้กันมั่ง อย่ามัวแต่ไปอิจฉาคนอื่น มัวจำกัดความสามารถของตัวเองล่ะ รู้มั้ยว่า เรื่องง่ายๆแบบนี้ใครๆก็ทำได้ คุณก็ทำได้ ถ้ามีความตั้งใจและมีเป้าหมายที่แน่นอน

3. สังเกตตัวเอง ดูซิว่าอะไรที่ทำให้คุณกินแบบหยุดไม่อยู่

ถ้าเป็นสถานที่ เวลา อารมณ์ หรือคนที่อยู่ด้วยแล้วล่ะก็ ดูสิว่า มันเป็นที่ทำงาน ที่บ้าน ในวันหยุด ตอนกลางคืน ตอนอยู่กับใครหรืออยู่เหงาอยู่คนเดียว คิดแล้วก็ถามตัวเอง เพราะคำตอบก็อยู่ในคำถามนั่นแหล่ะ พอพบคำตอบแล้วก็อย่าลืมพยายามหลีกเลี่ยงมันซะ ก็พยายามยับยั้งชั่งใจ อย่าปล่อยปากไปกับสถานการณ์ พอถึงเวลาที่จะต้องอยู่ในสถานการณ์เหล่านั้น ให้ท่องเหตุผล 3 ข้อ (ที่ให้คุณเขียนไปแล้วตั้งแต่ข้อที่ 1) มาดังๆในใจ อาจจะช่วยลดอาการตามใจปากของคุณได้

4. ค่อยๆ เปลี่ยนพฤติกรรมการกิน

คุณมีเวลาเกือบปีในการลดน้ำหนัก อย่าคิดว่า "โอ๊ยเหลือเวลาตั้งมาก" แบบนี้ไม่เอา ถ้าให้คุณเลือกลดน้ำหนักภายใน 3 เดือนโดยการอดอาหารแบบทรมารมากจนในที่สุดก็ต้องล้มเลิก หรือค่อยๆลดค่อยๆเป็นไปเอาสัก ให้ลดลงเดือนละ 1กิโล โดยการค่อยๆปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการรับประทานอาหาร แบบจริงๆจังๆ อันนี้จะทำให้เห็นผลดีที่สุด...ขอบอก ค่อยๆเปลี่ยนของในตู้เย็นเป็นของแบบ low fat แล้วเอาผักผลไม้เข้าไปเยอะๆ ด้วย พวกขนมจุกจิกเนี่ย โละออกให้หมด หาอาหารเพื่อสุขภาพเข้ามาเพิ่มทุกๆ วัน จำไว้ว่า เรากินอะไรไปก็ได้อย่างนั้นแหละ

5. ลดปริมาณอาหารลง

คุณต้องพยายามควบคุมปริมาณอาหารที่กินให้ได้นั่นเอง จริงๆแล้ว ที่น้ำหนักคุณมากอย่างนี้ ก็เพราะกินมากนั่นแหล่ะ อย่างบางที คิดว่ากินสลัดไม่อ้วนหรอก แต่ก็กินซะจานมโหระทึกเลย จะลดลงได้ไง เวลารับประทานขอให้ดูที่ปริมาณด้วย ลดมันลงมั่ง ลองใช้จานที่เล็กลงหน่อย ชั่งน้ำหนักอาหารก่อนกินถ้าทำได้ จะได้รู้น้ำหนักที่อาหารที่เรากินเป็นประจำ และรู้ว่าเรากินไปขนาดไหนแล้ว

6. กินน้ำอย่างน้อย 1 ลิตรต่อวัน

น้ำไม่ได้ทำให้คุณอิ่มหรอกนะ แต่มันช่วยให้ตับไตคุณทำงานดีขึ้นต่างหาก แล้วยังบำรุงผิวอีก การเสียน้ำทำให้คุณไม่สดชื่น การเผาผลาญแคลอรี่ต่ำลง สมาธิกับความจำ ก็จะสั้นลงด้วย เอ้า..ลุกไปกินน้ำซะหน่อย

7. ทานมื้อเช้าทุกวัน

การอดข้าวเช้า ร่างกายจะส่งสัญญาณว่า คุณรู้สึกหิวแทบบ้า เพราะไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องมาหลายชั่วโมงแล้ว เมื่อรับประทานมื้อกลางวัน ก็จะทำให้คุณรับประทานเข้าไปมากเกินมื้อปกติ การอดอาหารมื้อเช้า จะทำให้ระบบเผาผลาญในร่างกายเราจะทำงานช้าลงด้วย ทำให้เป็นคนอ้วนง่าย

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

หวี..กับการดูแลเส้นผม !!!

เส้นผมของคนเรานั้นเป็นเซลล์ของร่างกายที่ตายแล้ว แต่ที่ยังเห็นคงสภาพอยู่ได้นานก็เพราะมันมีความแข็งแรงของเซลล์อยู่ เส้นผมนั้นไม่จำเป็นต้องให้การบำรุงด้วยสารอาหารจากแชมพู เพราะจะเป็นเรื่องสิ้นเปลืองเสียเงินเปล่า แชมพูมีหน้าที่เพียงแค่ทำความสะอาดเส้นผม ซึ่งหมักหมมจากเหงื่อ ฝุ่น ควันต่าง ๆ นั่นเอง

อีกหนึ่งวิธีที่สามารถช่วยให้เส้นผมของคุณ ไม่ยุ่งหรือพันกัน ก็คือการหวีการหวี ซึ่งยังช่วยจัดรูปทรงให้กับผมอีกด้วย บางครั้งยังมีความเชื่อกันด้วยว่า ถ้าได้แปรงผมวันละหลาย ๆ ครั้งจะทำให้ผมสวยเงางาม ความจริงก็คือ การแปรงผมจะทำให้น้ำมันธรรมชาติที่เคลือบอยู่บนเส้นผมได้กระจายไปทั่ว ผมจึงดูเงางาม

แต่ผมของคนเราก็มีหลายแบบ หยิก เหยียดตรง เส้นเล็ก ซอยสั้น หยิกยาว ผมหนา ฯลฯ ต่างกันไปตามพันธุกรรมหรือการจัดแต่งตามแฟชั่น แล้วจะเลือกหวีหรือแปรงอย่างไรให้เหมาะสมกับผมของเรา

เส้นผมของคุณ ควรเลือกหวีแบบไหนดี

คนผมหนาและผมเส้นใหญ่ : หวีที่ใช้ควรเลือกที่ซี่ห่าง ๆ ถ้าเป็นแปรงควรเลือกที่มีปุ่มนวดหนังศีรษะทำด้วยยาง ดูไม่ให้แข็งเกินไป

คนผมเส้นเล็กบาง : หวีที่ใช้ควรมีซี่ที่ถี่พอควรและไม่แข็งจนเกินไป แปรงควรเลือก ที่มีขนแปรงห่างเพื่อกันไม่ให้เวลาแปรงผมแล้วผมขาดง่าย

คนผมเหยียดตรง : เลือกแปรงที่มีแผ่นรองยางและขนแปรงมีปุ่มตรงปลาย เลือกที่มีด้ามจับถนัดมือจะได้ไม่ลื่นหลุดง่าย

คนผมซอยหรือผมสั้น : เลือกใช้แปรงกลมที่ไว้สำหรับม้วนผม เพราะจะช่วยให้ผมปัดเข้ารูปได้ง่าย

ผมหยิก ผมดัดหยิก : ที่จริงไม่ควรแปรงผมเพราะจะทำให้เสียทรง แต่ถ้าจะเลือกใช้แปรง ให้ลองหาแปรงที่ทำจากขนหมูป่า จะทำให้แปรงได้ง่ายขึ้น

คำแนะนำสำหรับการใช้หวี

1.หวีควรเป็นสมบัติส่วนตัว ไม่ใช้หวีร่วมกับผู้อื่นเพื่อป้องกันปัญหาการติดเชื้อ โดยเฉพาะเชื้อรา

2.หลีกเลี่ยงหวีที่มีปลายแหลมคม เพราะจะทำให้ผิวหนังที่ศีรษะเป็นแผลได้

3.ควรล้างทำความสะอาดหวีและแปรงอย่างสม่ำเสมอ แล้วตากแดดให้แห้งสนิทจึงนำมาใช้ใหม่

4.ไม่ควรหวีผมขณะผมเปียก จะทำให้เส้นผมขาดง่าย เพราะสภาพผมที่เปียกน้ำผมจะพันกันยุ่งเหยิง เว้นแต่คุณใช้ครีมนวดผม อาจใช้หวีซี่ห่าง ๆ แปรงให้เส้นผมได้รับครีมนวดทั่วถึง

คนึงนิจ (ฟาร์อีสเทอร์น) 006

การดูแลสุขภาพตนเอง

โดยธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น ในชีวิต ก็จะพยายามหาทางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เป็นอันดับแรก เมื่อรู้ว่า ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เอง ก็จะแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้อื่น

ในเรื่องความเจ็บป่วย หรือปัญหาสุขภาพก็เช่นเดียวกัน ทุกคนต้องการที่จะดูแลตนเอง ให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ ดังนั้น กล่าวได้ว่า "การดูแลสุขภาพตนเอง เป็นกิจกรรมที่บุคคลแต่ละคนปฏิบัติ และยึดเป็นแบบแผนในการปฏิบัติ เพื่อให้มีสุขภาพดี" อาจแบ่งขอบเขตการดูแลสุขภาพตนเอง เป็น 2 ลักษณะคือ

การดูแลสุขภาพตนเองในสภาวะปกติ

เป็นการดูแลสุขภาพตนเอง และสมาชิกในครอบครัว ให้มีสุขภาพแข็งแรง สมบูรณ์อยู่เสมอ ได้แก่

การดูแลส่งเสริมสุขภาพ เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข เช่น การออกกำลังกาย การสร้างสุขวิทยาส่วนบุคคลที่ดี ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงจากสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

การป้องกันโรค เพื่อไม่ให้เจ็บป่วยเป็นโรค เช่น การไปรับภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ การไปตรวจสุขภาพ การป้องกันตนเองไม่ให้ติดโรค

การดูแลสุขภาพตนเองเมื่อเจ็บป่วย

ได้แก่ การขอคำแนะนำ แสวงหาวามรู้จากผู้รู้ เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขต่างๆ ในชุมชน บุคลากรสาธารณสุข เพื่อให้ได้แนวทางปฏิบัติ หรือการรักษาเบื้องต้นให้หาย จากความเจ็บป่วย ประเมินตนเองได้ว่า เมื่อไรควรไปพบแพทย์ เพื่อรักษาก่อนที่จะเจ็บป่วยรุนแรง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หรือบุคลากรสาธารณสุข เพื่อบรรเทาความเจ็บป่วย และมีสุขภาพดีดังเดิม

การที่ประชาชนทั่วไปสามารถดูแลสุขภาพตนเองได้นั้น จำเป็นต้องมีความรู้ ึความเข้าใจในเรื่อง การดูแลสุขภาพ ตั้งแต่ยังไม่เจ็บป่วย เพื่อบำรุงรักษาตนเอง ให้สมบูรณ์แข็งแรง รู้จักที่จะป้องกันตัวเอง มิให้เกิดโรค และเมื่อเจ็บป่วยก็รู้วิธีที่จะรักษาตัวเอง เบื้องต้นจนหายเป็นปกติ หรือรู้ว่า เมื่อไรต้องไปพบแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข

วราภรณ์ สุตพลสันติกุล FEU

โรคติดต่อ

มีอยู่ 22 โรคดังนี้

-ตาแดง

-หูอักเสบ

-ไข้ตัวร้อน

-ชัก

-ไข้หวัดและไข้หวัดใหญ่

-วัณโรค

-หลอดลมอักเสบ

-หัด

-หัดเยอรมัน

-สุกใส

-คอตีบ

-ไอกรน

-โปลิโอ

-คางทูม

-บาดทะยัก

-ไข้เลือดออก

-สมองอักเสบ

-โรคติดต่อทางระบบทางเดินอาหาร

-อุจจาระร่วง

-บิด

-ไวรัสตับอักเสบ เอ

-ไวรัสตับอักเสบ บี

สร้อยนภา กันทาแจ่ม FEU

10 วิธีเผาผลาญแคลอรี่

สำหรับสาว ๆ ที่ห่วงเรื่องน้ำหนักตัวทั้งหลาย จะให้ความสำคัญกับเรื่องของแคลอรี่มาก ๆ ค่ะ อะไรนิดอะไรหน่อยที่เขาว่า โลว์ แคลอรี่ ก็รีบไปซื้อไปหามากินกัน อะไรที่ไม่มีป้ายแคลอรี่ต่ำ ก็แทบจะไม่แตะต้องเอาเสียเลย แต่จริง ๆ แล้ว เราสามารถควบคุมแคลอรี่ของเราได้ ไม่เฉพาะการรับประทานค่ะ แต่เราควรจะให้ความสำคัญกับการเผาผลาญแคลอรี่ของร่างกายเราด้วย มาดูกันค่ะว่า กิจกรรมอะไรที่จะช่วยคุณได้บ้าง

ปั่นจักรยาน : ประมาณสัก 10 นาที อย่างต่อเนื่อง จะช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้ 100 แคลอรี่ค่ะ ยิ่งถ้าใครมีเด็กอยู่ที่บ้านล่ะก็ดีเลย พาเขาไปสูดอากาศ ปั่นจักรยานด้วยกัน ช่วยยืดเส้นยือสายกล้ามเนื้อขา พร้อม ๆ กับสร้างความแข็งแรงให้กับหัวใจค่ะ

วีดีโอออกกำลังกาย : ทำตามสัก 10-15 นาที สัก 4-5 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยเผาผลาญแคลอรี่พร้อม ๆ กับสร้างสรรค์กิจกรรมใหม่ ๆ ให้คุณไม่รู้สึกเบื่อ

เดิน : ประมาณ 15 นาที ง่าย และเบสิกมาก ๆ อย่างน้อยใน 1 สัปดาห์ คุณควรหาโอกาสเดินเล่นสักครั้ง แค่ 15 นาที ก็เผาผลาญแคลอรี่ได้ 100 แคลอรี่ค่ะ

กระโดด : เช่นการกระโดดเชือก ประมาณ 15 นาที นอกจากจะเผาผลาญแคลอรี่แล้ว ยังดีต่อปอด หัวใจ และขา เวลาทำให้ทำอย่างรวดเร็วและเข้มแข็ง รับรองคุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของร่างกายรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ

จ๊อกกิ้ง : ประมาณ 15 นาที ในครั้งแรก ๆ และค่อย ๆ เพิ่มครั้งละ 1-2 นาที ถ้าสามารถทำได้วันละ 2 ครั้ง จะช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้ 300 แคลอรี่ต่อวันค่ะ

ขึ้นบันได : ประมาณ 15 นาที พยายามใช้ให้บ่อย แทนการขึ้นลิฟต์ ทั้งที่บ้านและที่ทำงานค่ะ

เต้นรำ : 20 นาที แต่ไม่ต้องถึงขึ้นไปตามผับหรอกนะคะ เต้นไปรอบ ๆ ห้องนอนหรือที่บ้านก็พอแล้วค่ะ จะช่วยให้เลือดสูบฉีดได้ดีขึ้น และอารมณ์ก็จะดีขึ้นด้วย

ทำงานบ้าน : วิธีนี้ ได้ทั้งบ้านสะอาด ทั้งการเผาผลาญแคลอรี่อย่างดีเยี่ยมค่ะ ทุก ๆ 20 นาที จะเผาผลาญแคลอรี่ได้ 100 แคลอรี่ค่ะ

ล้างรถ : ใช้เวลาประมาณ 10-20 นาที ก็พอค่ะ ไม่ต้องไปเสียเงินใช้บริการตามสถานที่ล้างรถต่าง ๆ ด้วย ค่ะ ยิ่งถ้าบ้านไหนมีรถหลายคัน รับรองค่ะ ผอมแน่

ลดความอ้วนด้วยโปรตีน

การรับประทานอาหารแบบเน้นโปรตีน (High-protein diet) เป็นที่รู้จักมานานแล้ว ในแวดวงนักกีฬา และการเพาะกาย ก่อนที่คนทั่วไปจะรู้จักในชื่อของ ดร. แอตกิน (Atkin) ว่าการทานอาหารแบบนี้ไม่ เพียงจะช่วยในการเสริมสร้าง กล้ามเนื้อ แต่ยังช่วยลดสัดส่วนไขมันของร่างกายด้วย

มีการศึกษาจำนวนมากพบว่า การทานอาหารแบบเน้นโปรตีน มีผลเป็นนัยสำคัญกับการลดปริมาณไขมันสะสม ในร่างกาย ผลการวิจัยล่าสุดจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยวอชิงตัน เผยว่า การทานอาหาร

แบบเน้นโปรตีนจะช่วยลดความอยากอาหาร ส่งผลให้เราได้รับปริมาณแคลอรีลดลง

นักวิจัยให้ผู้เข้าร่วม การทดลอง ทานอาหารแบบเน้นโปรตีน โดยมีโปรตีน 30% ของมื้ออาหาร และไม่จำกัดปริมาณแคลอรีที่กินในมื้อนั้นๆ (แต่คงสัดส่วนของโปรตีนไว้ที่ 30%) ใช้เวลาทดลอง 12 สัปดาห์ (ประมาณ 3 เดือน) พบว่าผู้เข้าร่วมการทดลองได้รับพลังงานลดลงเฉลี่ยคนละ 450 แคลอรี/วัน ทำให้น้ำหนักลดลงหลายกิโล และส่วนใหญ่จะเป็นน้ำหนักของไขมันที่สะสมในร่างกาย (bodyfat)

นอกจากนั้น การวิจัยอีกชิ้นจากฝรั่งเศสพบว่า โปรตีนจะช่วยกระตุ้นระบบการทำงานในร่างกาย ให้เพิ่มการผลิต กลูโคส จากนั้นกลูโคสจะเดินทางไปที่ตับ และกระตุ้นให้ร่างกายรู้สึกอิ่ม ก่อนจะส่งสัญญาณไปยัง สมองว่าหยุด ทานอาหารได้แล้ว

จากผลการวิจัยดังกล่าวสามารถสรุปได้ การทานอาหารแบบเน้นโปรตีนช่วยลดความอ้วนได้ ไม่ว่าสาเหตุ จะมาจากสมองสั่งให้หยุดทานอาหารเร็วขึ้น หรือการที่ร่างกายไปดึงไขมันสะสมออกมาใช้ ใครที่กำลังอยากลดน้ำหนัก หรือความอ้วน ลองเอาวิธีทานอาหารแบบเน้นโปรตีนไปใช้ดู อาจได้ผลโดยไม่ต้องลดหรืออดอาหารจนหน้าเหี่ยว

ริศรา สิงห์สุวรรณ์ FEU

ลดหน้าท้อง

นอนหงายราบกับพื้น ศีรษะวางบนฝ่ามือ ชันเข่าทั้ง 2 ขึ้น กางเข่าเล็กน้อย เริ่มเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้อง แล้วค่อยๆ ยกศีรษะและช่วงตัวด้านบนขึ้นจากพื้นให้ได้มากที่สุด

มือทั้ง 2 ยังคงพยุงศีรษะไว้ คลายกล้ามเนื้อท้อง ลดตัวลงแนบพื้น แล้วยกตัวขึ้นอีก ทำเช่นนี้สัก 20 ครั้ง (ถ้าไม่ถนัดให้วางแขนแนบลำตัวแทนรองศีรษะ)

ลดความอ้วนด้วยโปรตีน

การรับประทานอาหารแบบเน้นโปรตีน (High-protein diet) เป็นที่รู้จักมานานแล้ว ในแวดวงนักกีฬา และการเพาะกาย ก่อนที่คนทั่วไปจะรู้จักในชื่อของ ดร. แอตกิน (Atkin) ว่าการทานอาหารแบบนี้ไม่ เพียงจะช่วยในการเสริมสร้าง กล้ามเนื้อ แต่ยังช่วยลดสัดส่วนไขมันของร่างกายด้วย

มีการศึกษาจำนวนมากพบว่า การทานอาหารแบบเน้นโปรตีน มีผลเป็นนัยสำคัญกับการลดปริมาณไขมันสะสม ในร่างกาย ผลการวิจัยล่าสุดจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยวอชิงตัน เผยว่า การทานอาหาร

แบบเน้นโปรตีนจะช่วยลดความอยากอาหาร ส่งผลให้เราได้รับปริมาณแคลอรีลดลง

นักวิจัยให้ผู้เข้าร่วม การทดลอง ทานอาหารแบบเน้นโปรตีน โดยมีโปรตีน 30% ของมื้ออาหาร และไม่จำกัดปริมาณแคลอรีที่กินในมื้อนั้นๆ (แต่คงสัดส่วนของโปรตีนไว้ที่ 30%) ใช้เวลาทดลอง 12 สัปดาห์ (ประมาณ 3 เดือน) พบว่าผู้เข้าร่วมการทดลองได้รับพลังงานลดลงเฉลี่ยคนละ 450 แคลอรี/วัน ทำให้น้ำหนักลดลงหลายกิโล และส่วนใหญ่จะเป็นน้ำหนักของไขมันที่สะสมในร่างกาย (bodyfat)

นอกจากนั้น การวิจัยอีกชิ้นจากฝรั่งเศสพบว่า โปรตีนจะช่วยกระตุ้นระบบการทำงานในร่างกาย ให้เพิ่มการผลิต กลูโคส จากนั้นกลูโคสจะเดินทางไปที่ตับ และกระตุ้นให้ร่างกายรู้สึกอิ่ม ก่อนจะส่งสัญญาณไปยัง สมองว่าหยุด ทานอาหารได้แล้ว

จากผลการวิจัยดังกล่าวสามารถสรุปได้ การทานอาหารแบบเน้นโปรตีนช่วยลดความอ้วนได้ ไม่ว่าสาเหตุ จะมาจากสมองสั่งให้หยุดทานอาหารเร็วขึ้น หรือการที่ร่างกายไปดึงไขมันสะสมออกมาใช้ ใครที่กำลังอยากลดน้ำหนัก หรือความอ้วน ลองเอาวิธีทานอาหารแบบเน้นโปรตีนไปใช้ดู อาจได้ผลโดยไม่ต้องลดหรืออดอาหารจนหน้าเหี่ยว

สูตรนี้บางคนทำแล้วสามารถลดได้ถึง 9 กิโลกรัมใน 7 วันเลยนะคะ ลองเอาไปทำตามดู

แต่อย่างไรก็ตามก็ขึ้นอยู่กับภาวะร่างกายของคนเราด้วยนะคะ ถ้าหากน้ำหนักมากๆ เกิน 80 กิโลกรัมขึ้นไป หากทำตามสูตรนี้ได้ เชื่อว่าน่าจะลดได้ 9 กิโลแน่ๆ ค่ะ ใจแข็งพอรึเปล่าคะ

วันที่ 1

มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล

มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 2 ฟอง กับผักต้ม

มื้อเย็น : สเต็กกับสลัดผักน้ำใส และผลไม้

วันที่ 2

มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลกับขนมปังโฮลวีต 1 แผ่น

มื้อกลางวัน : สเต็กหรือเนื้อหมู เนื้อวัวย่างก็ได้ กับสลัดผักเขียวและผลไม้

มื้อเย็น : แฮมแผ่นต้มปริมาณเท่าใดก็ได้

วันที่ 3

มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลกับขนมปังโฮลวีต 2 แผ่น

มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 2 ฟอง และสลัดกับแครอท

มื้อเย็น : แฮมแผ่นต้มปริมาณเท่าใดก็ได้

วันที่ 4

มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลกับขนมปังโฮลวีต 1 แผ่น

มื้อกลางวัน : ไข่ต้ม 1 ฟองกับแครอทต้ม

มื้อเย็น : ผลไม้และโยเกิร์ตรสธรรมชาติ

วันที่ 5

มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล

มื้อกลางวัน : ปลาเผาหรือปลาย่างกับผักต้ม

มื้อเย็น : สเต็ก หรือเนื้อย่างไม่ติดมัน กับสลัดผักสดน้ำใส

วันที่ 6

มื้อเช้า : ชาหรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาล

มื้อกลางวัน : ไก่ย่างไม่ติดหนัง

มื้อเย็น : ไข่ต้ม 2 ฟอง กับแครอทต้ม

วันที่ 7

มื้อเช้า : กาแฟหรือชาบีบมะนาว แต่ไม่ใส่น้ำตาล

มื้อกลางวัน : ผลไม้อะไรก็ได้ในปริมาณต้องการ

มื้อเย็น : อะไรก็ได้ทุกอย่างที่อยากทาน ไม่จำกัดปริมาณ

สุภาพร สิงห์วิเศษ(FEU)

กินจุบจิบระหว่างมื้ออย่างมีประโยชน์

คุณเคยสังเกตตัวเองหรือคนใกล้ตัวบ้างหรือไม่ว่า สมัยเรียนมหาวิทยาลัยเคยผอมเพรียวจนหนุ่มๆ เหลียวหลัง แต่พอก้าวสู่วัยทำงาน ก็เริ่มอวบอั๋นขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุงาน

จากการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคไทยที่ “โวโน” ซุปครีมกึ่งสำเร็จรูปจัดทำเมื่อต้นปี 2551 พบว่าสาวส่วนใหญ่โทษว่าอายุที่เพิ่มขึ้นทำให้ความสามารถในการเผาผลาญพลังงานลดลง บางคนบอกว่างานยุ่งมากจนไม่มีเวลาออกกำลังกาย ทั้งหมดนี้มีความจริงเพียงบางส่วนเท่านั้น

สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้สาวทั้งหลายน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเป็นเพราะพฤติกรรมการกินของพวกคุณเธอต่างหาก อาจารย์กฤษฎี โพธิทัต ที่ปรึกษาด้านโภชนาการและนักกำหนดอาหารชั้นแนวหน้าของเมืองไทย ระบุว่า สาวจำนวนมากไม่ยอมกินอาหารเช้า จึงไปหิวตาลายเอาเมื่อสาย และมักจะคว้าขนมหรือของขบเคี้ยวกรุบกรอบทั้งหลายมาใส่ปาก พอตกบ่ายก็เริ่มง่วงและหิวอีกรอบ ก็ต้องพึ่งขนมช่วยให้ตาสว่างกันอีกยก ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายคนก็ยิ่งสนุก ยิ่งอร่อย กว่าจะรู้ตัวอีกทีถุงขนมก็กองเต็มโต๊ะ และส่วนเกินก็มากองอยู่ตามพุงเสียแล้ว

อันที่จริงอาหารว่างหรือของขบเคี้ยวระหว่างมื้อเป็นเรื่องดีต่อสุขภาพ ถ้าคุณรู้จักเลือกรับประทานของที่มีประโยชน์และมีคุณค่าทางสารอาหาร อาจารย์กฤษฎีแนะนำว่า “คนไทยส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดว่าการรับประทานอาหารระหว่างมื้อมีแต่โทษ และทำให้อ้วน แต่ที่จริงแล้วอาจเป็นตรงกันข้ามได้

“คนที่กินอาหารวันละหลายมื้อมีโอกาสอ้วนน้อยกว่าคนที่กินน้อยมื้อกว่าครึ่ง หลายคนอาจจะคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ แต่การวิจัยพบว่าผู้ที่รับประทานอาหารวันละ 4 มื้อเล็ก ๆ ขึ้นไป คือ อาหาร 3 มื้อ และอาหารว่าง 1 มื้อ มีโอกาสลดความอ้วนได้ถึง 45 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้เพราะการรับประทานอาหารระหว่างมื้อที่มีคุณภาพ จะช่วยทำให้เราไม่หิวมากเกินไป จึงสามารถควบคุมปริมาณการรับประทานอาหารในมื้อถัดไปได้ดีขึ้น อีกทั้งช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า พร้อมเริ่มต้นใหม่ได้อย่างสดใส”

อาจารย์กฤษฎีอธิบายว่า คนเราจะรู้สึกหิว ก็เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงถึงระดับหนึ่ง สมองจึงจะสั่งการว่า “หิว” และโดยธรรมชาติ เราก็จะคว้าของกินใส่ปากเมื่อหิว และหยุดกินเมื่อรู้สึกว่าอิ่ม

แต่ระบบการทำงานของร่างกายนั้น สมองจะรับรู้ได้ช้ากว่าที่เป็นจริง เช่น ระดับน้ำตาลในเลือดจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น แต่สมองต้องใช้เวลาประมาณ 15 นาทีจึงจะรับรู้ได้ว่า ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นมาแล้ว ควรจะสั่งให้ร่างกายรู้สึก “อิ่ม” ได้แล้ว ดังนั้น เมื่อสมองบอกว่า “อิ่ม” และเรารู้สึก “อิ่ม” จึงเป็นเวลาที่ร่างกายของเราได้รับอาหารเกินความต้องการไปแล้ว

การจะป้องกันไม่ให้เรารับประทานอาหารเกินความจำเป็นหรือเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ คือ การเคี้ยวให้ละเอียด เคี้ยวนานๆ มีนักวิชาการหลายคนแนะนำว่าให้เคี้ยวคำละอย่างน้อย 15 ครั้งก่อนที่จะกลืน หรือพวกชีวจิตแนะนำว่าถ้าเคี้ยวได้ถึง 30 ครั้งจะเยี่ยมมาก เพราะทำให้เราใช้เวลานานขึ้นในการรับประทานอาหารแต่ละคำ และในแต่ละมื้อก็จะทำให้เรารับประทานอาหารได้น้อยลง แต่อิ่มทน

ดังนั้น การเลือกอาหารที่ต้องเคี้ยวเป็นของว่างระหว่างมื้อ จึงเป็นการเลือกรับประทานอย่างชาญฉลาด ไม่ว่าจะเป็นพวกผลไม้ ซึ่งมีแป้งและไขมันต่ำอยู่แล้วแต่มีไฟเบอร์สูง หรือถ้าไม่ถูกรสนิยม จะเลือกขนมขบเคี้ยว หรือซุปสักหนึ่งถ้วย เพิ่มขนมปังกรอบพอให้เคี้ยวมันฟันเล่นก็ดีพอกัน เพียงแต่ต้องปรับพฤติกรรมการเคี้ยวให้ละเอียดขึ้น เคี้ยวช้าๆ ให้นานขึ้น ก็จะช่วยได้

ที่สำคัญคือ อย่ารับประทานจนอิ่ม แค่รู้สึกว่าไม่หิวแล้ว ก็ให้หยุด หรือชะลอสปีดในการรับประทานลง แต่นี้ ก็ได้อาหารเพียงพอ และได้ความสุขจากการเคี้ยวไปด้วยในตัว

อีกพฤติกรรมหนึ่งที่คุณสาวๆ ต้องระวัง ถ้ายังรักจะกินจุบจิบ แต่ไม่อยากให้ห่วงยางรอบพุงล้ำออกมาเกินหน้าเกินตา คือ การทำกิจกรรมอื่นๆ ไปพร้อมกับการทานอาหารว่าง เช่น กินไป คุยไป กินไปทำงานไป ก็อาจทำให้ลืมตัว เผลอกินมากเกินไปได้ แต่สำหรับสาวบางคนที่ห่วงคุยมากกว่าห่วงกิน คือคุยเพลินจนลืมกิน อันนี้ก็ไม่ว่ากัน เพราะสาวประเภทนี้ คงไม่มีปัญหาเรื่องกินกินขนาด

ปัญหานี้ก็แก้ได้ไม่ยาก โดยการจำกัดปริมาณอาหารว่างที่จะรับประทานตั้งแต่ต้น เช่น ขนมแห้งๆ เทใส่ถ้วยเล็กๆ พอรับประทานหมดก็หยุด และอย่าใจอ่อนคิดว่า อีกหน่อยน่า แหม ยังไม่ทันสะใจ ขออีกสัก 2 คำเถอะ ต้องมีวินัยกันหน่อย

หรืออาจจะลองเปลี่ยนมาเลือกของว่างที่เป็นซุป เช่น ซุปครีมพร้อมขนมปังกรอบ 1 ถ้วย เป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจเพราะสามารถเตรียมได้ง่าย แล้วซุปกึ่งสำเร็จรูปสมัยนี้มีให้เลือกหลายรสชาติตามที่ชอบได้ ส่วนใหญ่ก็แพ็คมาในขนาดกำลังกินพออิ่มได้ 1 คน รับประทานหมดซองก็อิ่มกำลังดีไม่เกินท้อง นอกจากจะได้สารอาหารและรสชาติแล้ว ยังมีน้ำที่ให้ความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แล้วขนมปังกรอบก็จะทำให้ได้เคี้ยว ได้รับความพึงพอใจจาการเคี้ยวด้วย และแน่นอน ถ้าเคี้ยวช้าๆ ก็จะช่วยควบคุมปริมาณการรับประทานได้ดีขึ้นด้วย

หลายคนอาจจะรู้สึกว่า ซุป ฟังดูไม่เหมือนเป็นอาหารระหว่างมื้อสักเท่าไร ดูจะจริงจังมากไปนิด แต่ถ้าคิดว่า คุณสาวๆ หลายคนไม่ได้รับประทานอาหารเช้า ถ้าเราให้ความสำคัญเพิ่มเติมกับอาหารระหว่างมื้อ โดยเฉพาะในช่วงเช้า ก็คงจะช่วยทดแทนได้ไม่มากก็น้อย อย่างน้อยที่สุด การรับประทานซุปสักถ้วยตอน 10 โมงที่ใครๆ เลือกดื่มกาแฟกัน ก็จะทำให้ท้องไม่ว่างนานเกินไป อิ่มด้วย ได้รับสารอาหารด้วย

ท้ายที่สุดแล้ว พฤติกรรมการรับประทานของคุณต่างหากที่เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อสุขภาพ คุณไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน แต่แค่ปรับพฤติกรรมการรับประทาน และเลือกสิ่งที่รับประทาน ที่ยังคงทำให้คุณพอใจ เหมาะกับวิถีการใช้ชีวิต ไลฟ์สไตล์ของคุณเอง แค่นี้ ถึงชอบกินจุบจิบก็ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป

เพียงรู้จักเลือก คุณก็สามารถรักษาหุ่นสวยแบบสมัยเป็นนักศึกษาวัยทีนไว้ได้ แม้ว่างานจะยุ่งสักแค่ไหนหรือกาลเวลาจะผ่านไปกี่ปีก็ตาม

อาหารระหว่างมื้อที่ดีซึ่งที่ปรึกษาด้านโภชนาการแนะนำ ได้แก่

ผลไม้ที่แป้งน้อย อย่างเช่น สับปะรด ชมพู่ ฝรั่ง

แซนวิชที่ทำจากขนมปังโฮลวีท

นมหรือนมถั่วเหลืองยูเอชที

โยเกิร์ตรสธรรมชาติ โดยคุณสามารถทานร่วมกับผลไม้ หรือโรยซีเรียลลงไปด้วยก็ได้

ถั่วเปลือกแข็ง เช่น ถั่วลิสง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ อัลมอนด์ เป็นต้น

ถั่วเมล็ดแห้งต้ม เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง

ซุปครีมในปริมาณที่อิ่มกำลังเหมาะ ที่มีขนมปังกรอบ เพื่อให้ได้รสชาติของการเคี้ยว

ผักสด/ต้มสุก จิ้มกับน้ำสลัดหรือเครื่องจิ้มอื่นๆ

สุภาพร สิงห์วิเศษ(FEU)

โรคกรดไหลย้อน (GERD)

คนไทยคุ้นเคยกันดีกับโรคกระเพาะอาหาร ฉะนั้นเมื่อเกิดอาการ "เรอเปรี้ยว หรือมีรสขมในปาก ปวดแสบร้อนในช่องท้องส่วนบน ปวดบริเวณหน้าอก" ก็จะคิดไว้ก่อนว่านั่นเป็นอาการของโรคกระเพาะอาหาร ทั้งที่ความจริงแล้วอาจจะเป็น "โรคกรดไหลย้อน จากกระเพาะสู่หลอดอาหาร (Gastro esophageal Reflux Disease : GERD)"

"โรคกรดไหลย้อน" เป็นภาวะที่น้ำย่อยจากกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหาร โดยของที่ไหลย้อนส่วนใหญ่จะเป็นกรดในกระเพาะอาหาร ส่วนน้อยอาจเป็นด่างจากลำไส้เล็ก โดยอาจมีหรือไม่มีหลอดอาหารอักเสบก็ได้

ผู้ป่วยด้วยโรคนี้จะมีอาการแสบยอดยก เรอเปรี้ยว ภาวะนี้อาจทำให้เกิดหลอดอาหารอักเสบหรือเป็นมากจนเกิดแผลรุนแรง จนทำให้ปลายหลอดอาหารตีบ หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงเซลล์ของเยื่อบุหลอดอาหารได้ บางรายอาจรุนแรงจนถึงขั้นเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้

"แต่เท่าที่พบผู้ป่วยบางรายไม่ได้มาด้วยอาการแสบยอดอก เรอเปรี้ยว แต่มาหาหมอด้วยอาการของโรคหู คอ จมูก เช่น ไอเรื้อรัง เสียงแหบเรื้อรัง มีกลิ่นปาก หรืออาจมาด้วยอาการทางระบบหายใจ เช่น หอบหืด บางรายก็มาด้วยอาการเจ็บหน้าอก ซึ่งเมื่อวินิจฉัยแล้วไม่พบโรคอื่น ก็จะส่งมาที่แผนกและส่วนใหญ่จะพบว่าเป็นโรคกรดไหลย้อน" รศ.นพ.อุดม คชินทร หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ระบุถึงกลุ่มคนไข้ที่มารับการรักษาโรคกรดไหลย้อน

โรคกรดไหลย้อน มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ลักษณะของโรคคือการที่มีกรดไหลย้อนขึ้นจากกระเพาะอาหารมาที่หลอดอาหาร โรคกรดไหลย้อนมักพบได้จากการที่มีการอักเสบของหลอดอาหาร โรคกรดไหลย้อน ซึ่งมีผลกระทบได้ในทุกช่วงอายุ และวิถีชีวิตในแถบยุโรป พบได้ในผู้ใหญ่ ประมาณ 20-40% ซึ่งอาการที่พบเป็นประจำคืออาการแสบยอดอก

จากการสำรวจ "The Asian Burning Desires Survey" ซึ่งเป็นผลการสำรวจผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อนในทวีปเอเชียทั้งหมด 7 ประเทศ คือ จีน ฮ่องกง อินโดนีเซีย เกาหลี ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และไทย ในผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อนทั้งหมด 1,020 คน ในแง่ผลกระทบของโรคต่อการทำงาน และการใช้ชีวิต

ผลการสำรวจพบว่า 65% ของผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อนในเอเชียไม่ได้รับรู้ว่ากำลังทุกข์ทรมานจากโรคกรดไหลย้อน รวมทั้งผู้ป่วยที่ได้ไปพบแพทย์ และ 75% ของผู้ป่วยจะมีอาการเรอเปรี้ยว และรู้สึกปวดแสบร้อนในช่องท้องส่วนบน ประมาณ 60% ของผู้ป่วยรู้สึกไม่ค่อยสบาย หลีกเลี่ยงอาหารและน้ำ รู้สึกเหนื่อยและเป็นกังวลเนื่องจากอาการของโรค

ส่วนผู้ป่วยอีกประมาณ 50% ของผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อน ต้องตื่นขึ้นมาอย่างน้อยเดือนละ 1 หรือ 2 ครั้ง เพราะนอนไม่หลับจากอาการของโรค

ผศ.นพ.สมชาย ลีกากุศลวงศ์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล อธิบายว่า โรคกรดไหลย้อนจะพบได้มากในทุกกลุ่มอายุ แต่ที่พบมาก และมักจะมีอาการรุนแรงจะเป็นกลุ่มคนอ้วน ยิ่งกลุ่มคนที่สูบบุหรี่ยิ่งมีปัจจัยเสี่ยงมากขึ้น

อาการของโรคจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีอาการนอกหลอดอาหารจะมีอาการเจ็บคอเรื้อรัง ซึ่งหากเจ็บคอเรื้อรังแต่หาสาเหตุไม่พบส่วนใหญ่ 70% จะเป็นโรคกรดไหลย้อน ส่วนที่มีอาการในหลอดอาหารจะมีการอักเสบ

การวินิจฉัยโรค ไม่แนะนำให้ใช้วิธีส่องกล้อง ยกเว้นในรายที่มีอาการอาเจียนอย่างรุนแรง ถ่ายอุจจาระสีดำ เพราะการส่องกล้องจะวินิจฉัยได้เพียง 10-30% เท่านั้น หากรักษาด้วยการใช้ยารักษา ซึ่งใช้ดีที่สุดในกลุ่มคนไข้ที่มีการอักเสบของหลอดอาหาร หากให้ยาแล้ว 2 สัปดาห์อาการดีขึ้นก็ให้สันนิษฐานว่าเป็นโรคกรดไหลย้อน

"การปรับพฤติกรรมการกิน การนอน จะสามารถช่วยรักษาได้ 20% แต่หากใช้ยาในการรักษาจะหายได้ 80-100% คนไทยจะพบโรคนี้ประมาณ 7.4% ซึ่งมากกว่าเบาหวานซึ่งจะพบแค่ 4% ของประชากรเท่านั้น แต่ผู้ที่มีโรคนี้ประมาณ 40% จะไม่กระทบกับการดำเนินชีวิตประจำวัน" ผศ.นพ.สมชายระบุ

แต่หากรักษาด้วยยาไม่ได้ผลก็จะใช้วิธีการผ่าตัดด้วยการ "ผูกหูรูดกระเพาะอาหาร" เพื่อไม่ให้กรดไหลย้อน แต่การผ่าตัดต้องใช้ฝีมือศัลยแพทย์มือหนึ่ง ซึ่งมีแพทย์ที่ทำได้ไม่มากนักในเมืองไทย

สุภาพร สิงห์วิเศษ(FEU)

โรคกระเพาะเจ้าปัญหา...บอกลากันเสียที

ปัจจุบันนี้ ชีวิตคนในเมืองใหญ่อาจต้องเผชิญกับความเร่งรีบ ความเครียด และสารพันปัญหาไม่วายเว้นในแต่ละวัน จนทำให้คุณลืมไปว่าจำเป็นต้องรับประทานอาหารให้ตรงเวลา จนวันแล้ววันเล่าอาการเจ็บป่วยต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับกระเพาะอาหารของคุณก็มีอันจะต้องสร้างความรำคาญใจให้คุณเล่น หรือไม่ก็ร้ายแรงจนถึงขั้นกระเพาะทะลุจนคุณต้องหมดเงินไปไม่น้อย ด้วยเหตุนี้เราจึงมีวิธีดีๆ ที่จะช่วยให้คุณสามารถรับมือกับปัญหาที่อาจเกิดกับอวัยวะอันสุดแสนจะสำคัญสำหรับคุณ

ก่อนอื่นคุณควรจะต้องทำความเข้าใจกับภาวะของโรคกระเพาะก่อน โดยปกติผนังของกระเพาะอาหารนั้นจะมีความหนาพอที่จะช่วยป้องกันการสัมผัสกันของน้ำย่อย และกรดในกระเพาะอาหารกับบริเวณที่เป็นชั้นของหลอดเลือดและระบบประสาท อันเป็นสาเหตุของอาการเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้นตามมา นอกจากนี้หากคุณเป็นโรคกระเพาะอาหารเรื้อรัง นั่นก็อาจจะทำให้บรรดาเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า H. pylori พากันยกโขยงมาอาศัยกันตามผนังเยื่อบุที่ถูกทำลาย และซอกเล็กซอกน้อยภายในกระเพาะอาหาร แน่นอนว่าคุณจะต้องรักษาแผลกันนานยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ยังมีสาเหตุสำคัญอื่นๆ อย่าง การใช้ยาแก้ปวดบางชนิดที่กัดกระเพาะบ่อยๆ รวมทั้งพวกที่มีความเครียด ดื่มสุรา และสูบบุหรี่เป็นประจำ หรือแม้แต่การทานอาหารรสจัดที่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร ดังนั้นเมื่อคุณรู้อย่างนี้แล้ว คุณก็จะควรที่จะจัดการกับชีวิตของคุณเองให้ดีขึ้น ด้วยการหลีกเลี่ยงปัจจัยที่อาจไปทำร้ายกระเพาะของคุณ

นอกจากปัจจัยข้างต้นแล้ว ยังมีปัจจัยทางด้านโภชนาการและสารอาหารที่คุณอาจจะต้องดูแลกันเป็นพิเศษ มีงานวิจัยหลายชิ้นที่โยงเรื่องของอาหารและโภชนาการเข้ากับโรคกระเพาะ ตัวอย่างเช่น อาหารในกลุ่มไฟเบอร์ ซึ่งอาจได้จากกากใยที่มากับผักและผลไม้ หรือจากการรับประทานไฟเบอร์เสริม รวมทั้งไฟเบอร์ขนาดเล็กที่ได้จาก ว่านหางจระเข้ (Alovera) ที่ช่วยป้องกันไม่ให้กรดสัมผัสกับเยื่อบุกระเพาะอาหารโดยตรง และยังช่วยเร่งการสมานแผลในกระเพาะอาหารให้หายเร็วขึ้น

นอกจากนี้ยังมีประเด็นของการใช้วิตามินและเกลือแร่ อาทิเช่น วิตามิน A ขนาดรับประทาน 10,000 IU/ วัน จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับผนังเยื่อบุ หรือการรับประทานวิตามิน C ประมาณ 2-3 กรัม/วัน จะช่วยต่อสู้กับเชื้อโรคในกระเพาะอาหาร รวมทั้งเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ยังมีการใช้แร่ธาตุสังกะสี (Zinc) ที่จับกับกรดอะมิโน L-Carnosine เพื่อสร้างเป็นโมเลกุลที่มีคุณสมบัติโดดเด่นในการต้านแผลในกระเพาะอาหารที่เกิดจากความเครียด รวมทั้งยังช่วยปกป้องเซลล์เยื่อบุบริเวณกระเพาะอาหารจากกรดและน้ำย่อย ดังนั้นจึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยเร่งการสมานแผลในกระเพาะอาหารให้หายเร็วขึ้นได้

จากปัจจัยต่างๆ และแนวทางเพื่อป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารนั้นจำเป็นจะต้องอาศัย การดูแลตนเอง เป็นอย่างดี เนื่องจากโดยธรรมชาติของโรคกระเพาะอาหารแล้ว มักจะมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีก หรือไม่ก็รักษา ให้หายขาดได้ยาก ดังนั้นแนวทางป้องกันและเสริมสร้างร่างกายของคุณให้แข็งแรงนั้น จึงน่าจะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด ก่อนที่โรคกระเพาะอันแสนน่ารำคาญจะเกิดขึ้นกับคุณ

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

9 วิธี .. สุขภาพดี สร้างได้ง่ายๆ

สุขภาพของเรา เราต้องสร้างเอง วิธีต่อไปนี้คือทางด่วนสู่การมีสุขภาพดี แถมค่าผ่านทางก็ถูกแสนถูก ไม่ลองไม่ได้แล้ว

1. ดื่มน้ำแอปเปิ้ลแบบมีกาก

ปกติน้ำแอปเปิ้ลก็มีประโยชน์มากอยู่แล้ว แต่น้ำแอปเปิ้ลแบบมีกากจะมีประโยชน์มากขึ้นเป็นสองเท่า เพราะวิตามินบางตัวจะสลายไปตอนที่เราครั้นน้ำแอปเปิ้ลออกจากเนื้อ ถ้ากินเนื้อร่วมด้วยก็จะได้ประโยชน์แบบดับเบิ้ลไปเลย

2. อย่าใช้น้ำยาเช็ดกระจกในที่อับ

เวลาจะใช้น้ำยาเช็ดกระจก น้ำยาทำความสะอาดเครื่องเรือน หรือสเปรย์ปรับอากาศ ต้องเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทเข้าไว้ ไม่อย่างนั้นสารเคมีที่ระเหยออกมาอาจจะทำให้คุณและคนในบ้านเป็นหอบหืดกันยกครัว

3. ล้างมือบ่อยๆ

อย่าชะล่าใจว่าเมือเราก็ดูสะอาดดี เพราะเชื้อโรคมันไม่ได้เป็นแฟนฟุตบอลจะได้ใส่เสื้อทีมชาติสารพัดสีให้คุณเห็นได้ง่ายๆ ผลการวิจัยเค้าบอกว่า การล้างมือบ่อยๆ นี่ล่ะเป็นวิธีป้องกันโรคที่ดียิ่งกว่ายาขนานไหนเสียอีก สละเวลาล้างมือแค่ห้านาที วันละสองสามครั้ง สุขภาพดีก็ไม่หนีไปไหนแล้ว

4. ดื่มนมหลังออกกำลังกาย

นี่คือหนทางลดความอ้วนที่ง่ายที่สุดแล้ว นักวิจัยเขาบอกว่า หลังจากออกำลังหนักๆ มา ถ้าเราดื่มนมไขมันต่ำสักสองแก้ว ร่างกายก็จะมีพลังงานเผาผลาญไขมันได้มากขึ้นเป็นสองเท่า เรื่องดีๆ แบบนี้ต้องรีบกระจายข่าวค่ะ

5. กินแตงโมไม่แช่เย็น

แตงโมงเป็นผลไม้ที่มีไลโคปีน สารต่อต้านอนุมูลอิสระสูง แต่ว่าสารนี้จะลดลงไปประมาณ 20 % ถ้าแตงโมนั้นอยู่ในอุณหภูมิเย็นๆ คนที่ชอบกินแตงโมแช่เย็นลองเปลี่ยนวิธีกินดูสิ แล้วคุณจะเห็นว่าผิวพรรณดีขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย

6. อยากหลับสบายพริกช่วยได้

เพราะในพริกสดมีสารแคปซิน ซึ่งนอกจากจะทำให้เผ็ดแล้ว ยังมีฤทธิ์กล่อมประสาททำให้คนกินหลับลึกหลับสนิทได้ทั้งคืน ตื่นขึ้นมาก็จะสดชื่นมีพลังงานพร้อมที่จะเปรี้ยวกระจายได้อีกวัน

7. ดูแลสุขภาพของแฟน

ถ้าแฟนเราสุขภาพดี สุขภาพของเราก็จะดีตามไปด้วย นี่ไม่ใช่คำขวัญ แต่เป็นผลงานการวิจัยจากมหาวิทยาลัยระดับโลก เหตุผลก็เป็นเพราะว่าเวลาที่คนรักดูแลสุขภาพกินแต่อาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายเป็นประจำ อีกคนหนึ่งก็มักจะทำตามไปด้วย ยิ่งถ้าคนรักแอนตี้การสูบบุหรี่ อีกคนจะนั่งพ่นควันปุ๋ยๆ อยู่ก็อาจแห้วได้ โลกก็เลยต้องเสียนักสูบไปอีกคน

8. ทำความสะอาดคอมพิวเตอร์

เพราะมีผลงานสะท้านโลกออกมาว่าแป้นคอมพิวเตอร์ของคนส่วนใหญ่มีเชื้อโรคเยอะกว่าในห้องน้ำเสียอีก พูดง่ายๆ ว่าสกปรกกว่าส้วมนั่นเอง เจอแบบนี้เราคงต้องหาแอลกอฮอล์มาหมั่นเช็ดคอมพิวเตอร์คู่ใจทุกๆ อาทิตย์แล้วล่ะ จะได้ไม่ต้องทำงานกับส้วม และสุขภาพก็จะได้ปลอดภัยไปด้วย 9. ใส่ถุงน่องเป็นบางวัน

การใส่ถุงน่องไม่ถึงกับรัดจนเลือดวิ่งไม่สะดวกก็จริง แต่จะทำให้ผิวบริเวณที่ถูกรัดเช่นตรงเอว หรือต้นขาแห้งมาก มีรายงานว่าคนที่ใส่ถุงน่องทุกวันติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้ผิวหนังลอกเป็นขุยได้เยอะ

9. หยุดนั่งไขว่ห้าง

เพราะการนั่งเอาขาไขว้กันจะทำให้เส้นเลือดใหญ่ถูกกดเอาไว้ เลือดก็เลยเดินไม่สะดวก ในที่สุดก็จะมีลิ่มเลือดเกิดขึ้นในเส้นเลือด และกลายเป็นโรคหลอดเลือดอุดตัน ถ้าสาวๆ นั่งท่านี้มานานจนรู้สึกว่าอะไรก็มาพรากจากกันไม่ได้ ขอแนะนำให้ลุกขึ้นมาเดินบ่อยๆ เพื่อปลดปล่อยให้เลือดที่ถูกกดไว้ไหลเวียนได้สะดวกขึ้น

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์) เลขที่ 33

อาหารสุขภาพ ที่สาวๆ ควรมีติดตู้เย็น

น้ำเปล่า

ไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากมายสำหรับความจำเป็นและคุณประโยชน์ทำให้เราต้องดื่มน้ำ เพราะ "น้ำ" ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิต ช่วยทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเป็นไม่อย่างปกติ ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดี หัวใจทำงานปกติและมีประสิทธิภาพแข็งแรงขึ้น รวมทั้งช่วยให้การขับถ่ายของเสียทำงานได้ดี ที่สำคัญยังช่วยให้ผิวชุ่มชื่น โดยน้ำที่เหมาะแก่การดื่มคือน้ำอุณหภูมิปกติ เรียกว่าสาวคนใดอยากสุขภาพดีอย่าลืมดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้วนะคะ

ผัก

เหมาะมากสำหรับการเป็นอาหารในยุคเศรษฐกิจพอเพียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณปลูกพืชผักสวนครัวไว้ทานเอง คุณจะได้ทานผักที่สดและปลอดภัยจากสารพิษ รวมทั้งประหยัดเงินในกระเป๋า ในส่วนของคุณประโยชน์ของผักนั้น "ผัก" ถือเป็นอาหารที่มีคุณค่ามาก เพราะมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการ อาทิ วิตามิน เกลือแร่ อยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ในผักยังมี "ใยพืช" (Fiber) ซึ่งช่วยกระตุ้นลำใส้ให้ทำงานดีขึ้น ทำให้ท้องไม่ผูก ป้องกันโรคริดสีดวงทวาร โรคมะเร็งลำไส้

ไข่ไก่

หากคุณกำลังหาอาหารไว้ติดตู้เย็นสักชนิดที่ทั้งราคาถูกและมีคุณค่าทางอาหาร เราขอแนะนำ "ไข่ไก่" ค่ะ เพราะในไข่ไก่มีทั้งโปรตีนและกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย 9 ชนิด ทั้งยังมีวิตามินกับเกลือแร่อีกหลายชนิด เช่น วิตามินเอ , บี, ดี และ อี ธาตุเหล็ก , สังกะสี, ซีลีเนียม และไอโอดีน ส่วนใครที่เคยเชื่อมาผิดๆ ว่าทานไข่แล้วจะเสี่ยงกับความอ้วนนั้น คุณเข้าใจผิด เพราะโคเลสเตอรอลในไข่แดงมีประมาณ 230 มิลลิกรัมต่อฟอง ซึ่งนับว่าปลอดภัยกว่าการกินเนย แป้ง น้ำตาล และเนื้อสัตว์ติดมันมาก

นม

"นม" ในที่นี้จะเป็นประเภทใดก็ได้ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นนมวัว นมถั่วเหลือง หรือนมเปรี้ยว เพราะทุกประเภทล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าเราต้องอ่านฉลากข้างกล่องหรือขวดให้ดีก่อนจะซื้อมาเก็บไว้ในตู้เย็นนะคะ เพราะในนมแต่ละยี่ห้อแต่ละสูตรก็จะมีปริมาณน้ำนมและสารปรุงแต่งไม่เท่ากัน สำหรับคนที่ไม่มีปัญหาในเรื่องระบบย่อยอาหารคุณควรดื่มนมวัวค่ะ เพราะในนมวัวมีแคลเซียมและโปรตีนซึ่งมีความสมบูรณ์ของกรดอะมิโนดีกว่าโปรตีนจากถั่วเหลือง

คนึงนิจ (ฟาร์อีสเทอร์น) 006

ประโยชน์ของการดื่มนมเปรี้ยว

ใครที่ชอบดื่มนมเปรี้ยว รู้ถึงประโยชน์ของนมเปรี้ยวกันหรือไม่ วันนี้เกร็ดความรู้มีมาบอกกัน...

การดื่มนมเปรี้ยว จะได้รับกรดแลคติก ที่เกิดจากการหมักตัวของจุลินทรีย์ในนมเปรี้ยว ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซี่ยมและฟอสฟอรัสได้ดียิ่งขึ้น ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยที่มีอาการท้องเสีย ที่กระเพาะมีปริมาณความเป็นกรดลดลง ทำให้อาหารไม่สามารถย่อยได้ดี

การดื่มนมเปรี้ยวจะช่วยปรับสภาพของกระเพาะอาหารให้เป็นกรดขึ้น และทำให้การดูดซึมอาหารดีขึ้น รวมทั้งป้องกันไม่ให้เชื้อโรคตัวอื่น ๆ รุกล้ำเข้าไปในระบบย่อยอาหาร และนอกจากนี้จุลินทรีย์ที่เติมในนมเปรี้ยวยังมีส่วนช่วยในการขับถ่ายอีกด้วย

การดื่มนมเป็นสิ่งที่ดี ร่างกายจะได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายครบถ้วน ดังนั้นการดื่มนมเปรี้ยวจึงต้องพิจารณาวัตถุดิบที่นำมาผลิต รวมทั้งราคาเมื่อเทียบกับปริมาณของอาหาร และสารอาหารที่ได้รับจากผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในลักษณะใกล้เคียงกัน แต่ถ้าคิดจะบริโภคเป็นอาหารว่าง เพื่อเป็นการเปลี่ยนรสชาติบ้างคงไม่เป็นไร

รู้อย่างนี้แล้ว ลองหันมาดื่มนมเปรี้ยว เพื่อสุขภาพที่ดีกันดีกว่า.

นุชรินทร์ (ม.ฟาร์) เลขที่6

วิธีการถนอมหัวใจ

สำหรับทุกๆ ท่านที่สนใจวิธีการถนอมหัวใจ ก่อนอื่นขออธิบายหลักการให้ท่านได้เข้าใจดังนี้นะคะ อ้อลืมไปว่า ท่านควรมีกระดาษจดพร้อมปากกาดินสอด้วยก็จะช่วยให้เข้าใจได้ดียิ่งขึ้นค่ะ

การถนอมหัวใจหมายถึง การที่ทำให้หัวใจได้ทำงานน้อยลง มีอายุการใช้งานให้ยาวนานมากยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หัวใจที่ทำงานน้อยลงนั้นหมายถึง จำนวนครั้งในการเต้นควรจะน้อยลง แต่ประสิทธิภาพในการเต้น หรือบีบตัวแต่ละครั้ง จะมีความเพียงพอเพื่อสนองต่อความต้องการของเซลล์ส่วนต่างๆ ของร่างกาย และวิธีการที่จะทำให้เกิดขึ้นได้มีวิธีเดียวเท่านั้น คือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และต้องเป็นการออกกำลังกายที่เสริมสร้างคุณภาพของหัวใจ และระบบการไหลเวียนของโลหิตเท่านั้น ไม่มียาวิเศษ อาหารเสริม หรือ วิตามินตัวใด ที่จะมีประสิทธิภาพ ทำให้หัวใจแข็งแรงได้ ผู้ที่ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อัตราการเต้นของหัวใจจะช้าลงกว่าคนทั่วๆ ไป

เพื่อให้ท่านเห็นภาพพจน์ของการถนอมหัวใจอย่างมีรูปธรรม สมมุติว่าคุณหทัยศรีไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ หัวใจเต้น 70 ครั้งต่อนาที ดังนั้น ใน 1 วันหัวใจของคุณหทัยศรีจะเต้นเท่ากับ 70 ครั้ง x 60 นาที x 24 ชั่วโมง ซึ่งเท่ากับ 100,800 ครั้งต่อ 1 วัน สำหรับอีกท่านหนึ่งสมมุติว่าชื่อคุณหทัยดี มีการดูแลสุขภาพดีมาก ไม่สูบบุหรี่ ออกกำลังกายแบบแอโรบิคอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเสริมสร้างคุณภาพของหัวใจและระบบไหลเวียนของโลหิต น้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติ ปกติหัวใจเต้น 60 ครั้งต่อนาที คุณหทัยดีออกกำลังกายทุกวันๆ ละ 1 ชั่วโมงแต่ในช่วงออกกำลังกายหัวใจจะเต้น 150 ครั้งต่อนาที ดังนั้น หัวใจของคุณหทัยดีจะเต้น 60 ครั้งต่อนาทีอยู่ 23 ชั่วโมงและเต้น 150 ครั้งต่อนาทีอีก 1 ชั่วโมง เพราะฉะนั้น ใน 1 วัน หัวใจของคุณหทัยดีจะเต้นเท่ากับ 60 ครั้ง x 60 นาที x 23 ชั่วโมง บวกกับ 150 ครั้ง x 60 นาที x 1 ชั่วโมง ซึ่งรวมแล้วจะเท่ากับ 91,800 ครั้งต่อวัน

ดังนั้น หัวใจของคุณหทัยดี จะเต้นน้อยกว่าหัวใจของคุณหทัยศรีอยู่เท่ากับ 100,800 - 91,800 ซึ่งเท่ากับ 9,000 ครั้งต่อ 1 วัน หรือเท่ากับ 270,000 ครั้งต่อเดือน หรือ เท่ากับ 3,240,000 ครั้งต่อ 1 ปี และถ้าอยู่ในสภาพนี้ไป 10 ปี หัวใจของคุณหทัยดีจะเต้นน้อยกว่าถึง 30 กว่าล้านครั้งทีเดียว

ท่านสามารถถนอมหัวใจของท่านได้จริงๆ โปรดวางแผนถนอมหัวใจของท่านไปพร้อมๆ กับวางแผนงานในหน้าที่ของท่านเสียตั้งแต่วันนี้นะคะ และเมื่อท่านร่ำรวยเงินทองหรือก้าวถึงตำแหน่งที่ท่านคาดหวัง หัวใจของท่านก็ยังแข็งแรงและพร้อมจะรับใช้ท่านในหน้าที่ที่สำคัญเช่นกัน

ดื่มโกโก้วันละแก้วสุขภาพดี

บีบีซีนิวส์ - ผลการศึกษาชิ้นใหม่พบว่านอกจาก ชา หรือไวน์แดง ที่รู้กันดีว่ามีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ หรือสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคได้หลายโรค รวมถึงยังป้องกันผลกระทบจากอายุที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน ยังมีอาหารอีกชนิดหนึ่ง นั่นก็คือ "โกโก้" ที่มีคุณสมบัติมากกว่าเครื่องดื่มเสริมสุขภาพที่ว่ามาเสียอีก

นักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐอเมริกาศึกษาพบว่า โกโก้ร้อน 1 ถ้วยนั้นอุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ มากกว่าเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีเช่น ชา หรือ ไวน์แดง

ทั้งนี้ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผลการศึกษาหลายชิ้นได้เน้นถึงคุณสมบัติในการเสริมสร้างสุขภาพทีพบใน ชา ไวน์แดง และโกโก้ โดยมีงานวิจัยในจีน ตีพิมพ์เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้วพบว่า คนที่ดื่มน้ำชาเป็นประจำนั้นมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งน้อยกว่าคนที่ไม่ดื่มกว่าครึ่งหนึ่ง

ปีที่แล้ว นักวิจัยในฝรั่งเศสรายงานว่า ดื่มไวน์แดงวันละแก้ว อาจช่วยลดโอกาสความเสี่ยงของโรคหัวใจ และในปี 1998 ได้มีการศึกษากับคนอเมริกันกว่า 8,000 คนพบว่าช็อกโกแลต ซึ่งผลิตมาจากโกโก้ นั้นอาจช่วยให้อายุยืนขึ้น เนื่องจากอุดมไปด้วย โพลีฟีนอล ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยกวาดล้างของเสียที่ผลิตจากร่างกาย โดยของเสียเหล่านั้นมีส่วนทำลายเซลล์ และก่อให้เกิดมะเร็งได้

ในการศึกษาล่าสุดนี้ ดร. ชาง ยง ลี และคณะ จากมหาวิทยาลัยคอร์แนล ในนิวยอร์ก ได้ทำการทดสอบโดยวัดระดับสารต่อต้านอนุมูลอิสระใน ชา ไวน์แดง และโกโก้ พบว่าโกโก้ถ้วยหนึ่งนั้นมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากที่สุด โดยมีมากกว่า ไวน์แดง 1 แก้วถึง 2 เท่า มากกว่าชาเขียว 1 ถ้วยถึง 3 เท่า และมากกว่าชาดำถึง 5 เท่าเลยทีเดียว

แม้ว่าโกโก้จะถูกนำไปทำเป็นอาหารหลายอย่างรวมทั้ง ช็อกโกแลต แต่นักวิจัยเผยว่าทางที่ดีที่สุดที่จะได้รับคุณค่าสารอาหารอย่างเต็มที่ ก็คือการดื่มโกโก้ โดยตรง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าในช็อกโกแลต 1 แท่งอุดมไปด้วยไขมัน โดยช็อกโกแลตแท่ง ขนาด 40 กรัมนั้นมีไขมันมากถึง 8 กรัม ขณะที่โกโก้ร้อน 1 ถ้วยมีไขมันเพียงแค่ประมาณ 0.3 กรัมเท่านั้น

"แม้เรารู้ว่าสารต่อต้านอนุมูลอิสระนั้นดีต่อสุขภาพของเรามาก แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าในแต่ละวัน เราต้องการสารนี้กันจำนวนเท่าใด" ดร. ลี กล่าว "แต่กระนั้น โกโก้ร้อน ถ้วยหรือ สองถ้วย ก็ช่วยในด้านของความอร่อย ดื่มแล้วก็ทำให้รู้สึกอุ่น และช่วยเสริมสร้างสุขภาพจากสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ได้รับอีกด้วย"

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

ภาวะสมองเสื่อม..กับไข่ไก่!!!

เห็นว่ามีคุณค่าและเป็นประโยชน์ จึงอยากเผยแพร่ต่อ....หากใครได้ดูรายการ "ข้อเท็จจริง..วันนี้" ทางช่องยูบีซี 7 ที่มีการการพูดคุยกับ ศ.นพ.รุ่งธรรม ลัดพลี เกี่ยวกับเรื่อง "ภาวะสมองเสื่อง..กับไข่ไก่" เรื่องที่มีการการสนทนากันนั้น พอจับใจความหลักๆ ได้ว่า ... จากค่านิยมเดิมๆที่ทราบกันว่า การบริโภคไข่ทุกวันนั้น จะไปเพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด ทางคุณหมอบอกว่าอยากให้เลิกค่านิยมดังกล่าวเสีย เพราะข้อเท็จจริงในปัจจุบันนั้น ไข่นับว่าเป็นอาหารราคาถูก ปรุงง่าย แต่มากด้วยคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด การที่หลายๆคนมีระดับคลอเสลเตอรอลในเลือดสูงนั้น เป็นเพราะตับทำงานไม่มีประสิทธิภาพเอง คุณหมอยังกล่าวอีกว่า สำหรับคนที่มีระดับคลอเลสเตอรอลสูงในระดับ 200 นั้น หากทานไข่แล้ว มันไปเพิ่มอีกเพียง 20 แต่ตรงกันข้ามประโยชน์ที่ได้จากการทานไข่ มันมากกว่าไอ้ส่วนที่ไปเพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด คุณหมอบอกว่า โรคอัลไซเมอร์นั้น ผลการวิจัยล่าสุด ระบุว่า เป็นเพราะอาการเลือดในสมองน้อย หรือเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ การรับประทานไข่ทุกวันๆละ อย่างน้อย 2 ฟอง จะช่วยได้มาก คุณหมอยังอ้างถึงและพูดถึงผู้สูงอายุว่าการบริโภคไข่ทุกวันนั้น ไม่มีปัญหาดังที่เราๆเข้าใจกันแบบผิดๆ คุณหมอรักษาผู้สูงอายุหลายๆคนที่มาให้การรักษาในหลายๆโรค ขนาดอายุ 80 กว่า คุณหมอยังแนะนำให้ทานไข่วันละ 2 ฟอง ผลก็คืออาการของโรคที่รักษาบรรเทาลง คนไข้มีอาการดีขึ้นกว่าเดิมมาก จากที่เดินไม่ค่อยได้ ก็กลับมาเดินได้ นี่เป็นตัวอย่างหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ไข่มีหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นไข่ไก่,ไข่เป็ด,ไข่นกกระทา, และอีกหลายๆชนิด แต่ไข่ไก่ดีที่สุดในกลุ่ม ส่วนการนำมาประกอบอาหารนั้นแล้วแต่ใจชอบ ประกอบอาหารแบบไหนได้ทั้งนั้น คุณหมอเสริมว่า ส่วนของไข่ที่ดีที่สุดนั้น อยู่ที่จุดๆหนึ่งในไข่แดงที่มีลักษณะคล้ายๆเส้นใยยึดส่วนอื่นๆไว้ (หากไม่เคยสังเกต ก็ลองเตาะไข่ดิบดู) พร้อมกันนี้ ก็ได้มีการยกแผนภูมินำมาประกอบว่าประเทศไทยมีการบริโภคไข่ต่อคนมากน้อยเพียงใด ปรากฎว่า ต่ำกว่าหลายๆประเทศที่เจริญแล้ว โดยประเทศที่บริโภคไข่ต่อคนสูงสุด ก็คือญี่ปุ่น รองๆลงมาก็มีจีนแดง, สหรัฐอเมริกา, ฯลฯ คุณหมอยังให้ข้อคิดว่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ประชาชนส่วนใหญ่มีสติปัญญาที่ดี ทำไมอาหารมื้อเช้าทุกวัน ยังมีไข่เป็นส่วนประกอบเสมอ และทานกันทุกวัน แต่เรากลับยึดถือแต่ค่านิยมเรื่องคลอเลสเตอรอล.... การบริโภคไข่จะช่วยบำรุงสมองเป็นอย่างดี อย่าไปสนใจพวกอาหารเสริมที่โฆษณากันเลย ไข่นี่แหละสุดยอดของอาหารแล้ว หากอยากฉลาด ต้องทานไข่ คุณหมอยังเสริมว่าภาวะเลือดที่ข้นเกินไป จะไม่เป็นผลดี เพราะการนำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกายจะไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นควรดื่มน้ำสะอาดให้มากๆในแต่ละวัน

วัฒนะ ต๊ะคมแข็ง ม.ฟา เลขที่ 80

สาวออฟฟิศเครียดจนหัวล้าน

สาวทำงานเกิดอาการผมร่วงจากความเครียดมากถึง 90 % เพราะต้องทำงานมากตลอดสัปดาห์ เร่งรีบทั้งวัน เลยทำให้สถิติของคนที่มีปัญหาเส้นผมจากความเครียด จากอายุ 30-40 ปี มาอยู่ที่ 20-30 ปี อย่างโรคผมร่วงเป็นหย่อมเกิดจากเม็ดเลือดขาวมีแบคทีเรียและไวรัสในร่างกาย โดยตอนแรกคุณอาจคิดว่าผมร่วงธรรมดา แต่ถ้ามากกว่า 50 เส้นต่อวันแล้วยังเครียดอีก คุณกำลังเจอโรคผมร่วงมาเยือนแล้ว

วิธีการดูแล

ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลเส้นผม คุณคริสโตเฟอร์ แวนไรท์ จากสเวนสัน แฮร์ เซ็นเตอร์ แนะนำให้ว่า เราเครียดจากอะไรแล้วแก้ไขจุดนั้น จากนั้นผ่อนคลายหาความสุขให้ตัวเอง และรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นโปรตีนและอาหารที่มีสารต้านการสร้างฮอร์โมน DHT ซึ่งทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากเกินไป อาหารที่มีสารนี้ได้แก่ ธัญพืช ถั่ว นม น้ำมันมะกอก แครอท เป็นต้น งดดื่มกาแฟ และออกกำลังกายด้วย แต่ถ้ามีปัญหาลองบำรุงหนังศรีษะและเส้นผมสำหรับผู้หญิง โดยสระและนวดผมทุกวันด้วย เลดี้ สเวนสัน วอลุ่มไมซิ่ง แชมพู และเลดี้ สเวนสัน วอลูริช คอนดิชั่นเนอร์ หรืออยากให้เข้มข้นก็หมัก 10 นาที กับเลดี้ สเวนสัน วอลูสกัลป์ ทรีทแมนท์ และฉีดสเปรย์ เลดี้ สเวนสัน วอลูฟิกซ์ จาก Svenson

นงนุช คำแปง เลขที่77 วิทย์ออก

สวัสดีค่ะ อาจารย์กั้ม วันนี้ดิฉันขอเสนอพืชผักผลไม้เพื่อสุขภาพค่ะ

1. บร็อคโคลี:เป็นผักในตระกูลกะหล่ำประโยชน์ของบร็อคโคลีมีเยอะมากเช่น

- ช่วยป้องกันมะเร็ง

- อุดมไปด้วยวิตามินซี สารแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยให้ผนังเส้นเลือดแข็งแรง

- สารกลูตาทอน ลดการเสี่ยงการเกิดไขข้ออักเสบ เบาหวาน และโรคหัวใจช่วยเพิ่มภูมิคกุ้มกันของร่างกายลดระดับคอเลสเตอรอล และช่วยลดความดันโลหิตสูง

- ป้องกันการเกิดต้อกระจกเพราะบร็อคโคลีมีเบต้าแคโรทีนสูง

*ขนาดรัปประทาน: บร็อคโคลี1/2 ถ้วยต่อสัปดาห์

2. กระเทียม: ช่วยลดคอเลสเตอรอล มีฤทธิ์ช่วยป้องกันการแข็งตัวและการอุดตันของหลอดเลือด มีฤทธิ์ฆ่าเชี้อและมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งเต้านม

*ขนาดรับประทาน:การป้องกันโรคหัวใจรับประทานวันละ 1 กลีบ โดยทั่วไปให้ทานทุกวันไม่จำกัดปริมาณ

3. ถั่วแดง เป็นอาหารที่มีเส้นใยอาหารสูงมาก จึงช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ป้องกันการกเกิดภาวะเส้นเลือดในสมองแตก และมะเร็งลำไส้ใหญ่ช่วยลำรุงโลหิตป้องกันความผิดปกติของทารกในครรภ์ป้องกัน การเกิดโรคหัวใจได้

*ขนาดรับประทาน:ควรรับประทาน 1 ถ้วยต่อวัน

4. นมพร่องมันเนย เป็นแหล่งที่มีแคลเซี่ยมสูงที่ปปลอดไขมัน ป้องกันภาวะกระดูกพรุน ประกอบด้วยโปตัสเซี่ยม และแมกนีเซี่ยมช่วยลดความดันโลหิตสูง

*ขนาดรับประทาน:คนวัยหนุ่มสาวต้องการแคลเซี่ยมวันละ 1 000 mg วัยสูงอายุต้องกสนเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 1 500 mg

5. ส้ม มีวิตามินซีสูงเส้นใยอาหารสูงช่วยป้องกันไข้หวัดลดระดับคอเลสเตอรอล ช่วยในการสร้างกกระดูก ป้องกันการเกิดนิ่วในไตป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และยังมีสารที่ช่วยปป้องกัน มะเร็งเต้านม

*ขนาดรับประทาน:ควรทานส้มวันละ 1-2 ผลเป็นประจำ

6. ปลาแซลมอน มีน้ำมันปลาที่เรียกว่า Omega-3s สูงช่วยป้องกันโรคหัวใจช่วยควบคุมอาการไขข้ออักเสบช่วยลดอาการปวดรอบเดือน และยังช่วยระงับกาการซึมเศร้าได้ดวย

*ขนาดรับประทาน:สัปดาห์ละ 3 ออนซ์

7. เต้าหู้ ช่วยลดระดับไขมัน คอเลสเตอรอลมีสารแอสโตรเจนธรรมชาติจากพืชช่วยป้องกันกระดูกพรุน มะเร้งเต้านม ช่วยให้ไตทำงานได้ดี

*ขนาดรับประทาน: 30-50 mg หรือ1/2 ถ้วย

8. ซอสมะเขือเทศ ป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งเต้านมได้ดี

*ขนาดรับประทาน:รับประทานได้ปริมาณตามใจชอบเป็นประจำทุกวัน

เห็นประโยชน์ของอาหารพวกนี้แล้วใช่ไหมค่ะลองหันมารับประทานอาหารเหล่านี้ดูบ้างเพื่อสสุขภาพที่ดีของตัวเราเอง

7 ความเสี่ยงของผู้หญิงสูบบุหรี่

1. อวัยวะภายนอกและภายในจะแก่ก่อนวัยกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่เฉลี่ย 10 ปี

2. เสี่ยงที่เป็นมะเร็งปอดมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ 10 เท่า

3. มีโอกาสเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดสูงขึ้นอย่างมากพบว่าผู้หญิงที่สูบบุหรี่จะเกิดอาการหัวใจล้มเหลวมากกว่าผู้หญิงที่ไม่สูบบุหรี่ 2-6 เท่า และมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดหัวใจวายกะทันหันเพิ่มขึ้น 20 เท่า

4. เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูกสูงกว่าผู้หญิงทั่วไปถึง 4 เท่า เพราะการสูบบุหรี่ ทำให้ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง

5. มีโอกาสเป็นมะเร็งเต้านมมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ หรือผู้ที่เลิกสูบบุหรี่แล้วถึงร้อยละ 25

6. เสี่ยงต่อการเป็นโรคกลั้นปัสสาวะไม่อยู่เพิ่มขึ้นมากกว่าผู้หญิงทั่วไปอีก 1 เท่า เพราะนิโคตินไปทำลายกล้ามเนื้อที่ควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ ดังนั้น เมื่อสูบบุหรี่เข้าไปจะทำให้กล้ามเนื้อกระเพราะปัสสาวะอ่อนตัวลง ผู้ที่สูบบุหรี่จึงมีโอกาสกลั้นปัสสาวะไม่อยู่

7. ผู้หญิงที่สูบบุหรี่และรับประทานยาคุมกำเนิดเป็นประจำมีโอกาสเกิดอาการเส้นเลือดหัวใจตีบเฉียบพลันหรือหัวใจวายสูงขึ้น 39 เท่า มีอัตราการตายมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ที่กินยาคุมกำเนิดถึง 3 เท่าตัว เพราะการสูบบุหรี่ทำให้ร่างกายได้รับสารพิษที่ทำปฏิกิริยากับยาคุมกำเนิด มีผลให้เลือดแข็งตัวง่ายขึ้น และเกิดการอุดตันของหลอดเลือดง่ายขึ้น

ทางที่ดีสาว ๆ ก็ควรจะเลิกนะคะ จะเป็นการดีต่อตัวเราเอง และคนรอบข้างด้วยค่ะ

สาวิตรี ศรีธรรมราช ม.ฟาร์(46)

สารพัดสารพันปัญหาผิวหน้า ไม่ว่าจะเป็น หน้ามัน หน้าหมอง หน้าเป็นสิวอุดตัน ฯลฯ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นอุปสรรคที่ทำให้สาว ๆ หมดสวยใช่มั้ยค่ะ ....

หลาย ๆ คนที่มีใบหน้าใสเด้งมาตั้งแต่เกิดอันนี้ก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าคุณไม่ได้ผิวหน้าดีมาตั้งแต่เกิดล่ะ จะทำยังไง ต้องเผชิญปัญหานี้ตลอดไปเลยหรอ ?

ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกค่ะ เพราะปัญหาผิวหน้าดังที่กล่าวมาข้างต้นนั้น มีหลายวิธีที่จะช่วยจำกัดมันออกไปได้ค่ะ และวิธีที่อยากจะแนะนำในวันนี้ก็คือ "การอบไอน้ำให้กับใบหน้าค่ะ"

ซึ่งการอบไอน้ำหน้าช่วยขจัดสิ่งอุดตันภายในรูขุมขน แก้ปัญหาสิวเสี้ยน ทำสัปดาห์ละครั้งจะกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต ช่วยให้ผิวหน้าสะอาดใสและดูเปล่งปลั่งมากขึ้น

เดี๋ยวนี้มีเครื่องอบไอน้ำใบหน้าขายแล้วด้วย สาว ๆ สามารถหาซื้อมาทำเองที่บ้านได้เองแล้ว แต่สำหรับสาวไหนที่อยากประหยัดช่วยชาติ (และช่วยเซฟเงินในกระเป๋าตัวเอง) ล่ะก็ไม่เป็นไรค่ะ เรามีวิธีอบไอน้ำใบหน้าที่คุณสามารถทำเองแบบง่าย ๆ ด้วยล่ะ !!~

ก่อนอื่นคุณต้องต้มน้ำให้เดือด จากนั้นก็น้ำเดือดนั้นเทลงในอ่างใบใหญ่ที่เตรียมเอาไว้ จากนั้นก็หาผ้าขาวบางปิดปากอ่างที่บรรจุน้ำร้อนนั้น แล้วค่อย ๆ เอาหน้าไปอังไอน้ำ โดยให้ใบหน้าของคุณอยู่ห่างพอประมาณ ไม่จำเป็นต้องเอาไปแนบ หรือยื่นหน้าเข้าไปใกล้มากนะคะ

ให้สาว ๆ อังหน้ากับไอน้ำประมาณ 15 นาที ในระหว่างนั้นคอยนวดใบหน้าวนไปเรื่อย ๆ ด้วยก็จะดีมากค่ะ จากนั้นให้รีบไปล้างหน้าด้วยน้ำเย็น และทาครีมที่มีความเข้มข้นสูง ๆ ทำเป็นประจำอาทิตย์ละครั้ง สองครั้งรับรองว่าหน่าคุณใสเด้งแน่ ๆ ค่ะ

ยังไงก็ลองเอาไปทำตามกันดูนะคะ ได้ผลยังไงอย่าลืมมาบอกกันด้วย และอย่างที่ย้ำบ่อย ๆ ผู้หญิงเปรียบเสมือนสีสันของโลก เพราะฉะนั้น อย่าหยุดสวยนะคะ

ปนัดดา แสนกลางเมือง ม.ฟาร์(30)

ทำไมถึงเกิดสิ่งเหล่านี้กับเรา

- ไม่สวย ขี้เหร่ รอ มีเงินแล้วค่อยไปทำศัลยกรรม

- แก่ก่อนวัย ผิวพรรณเหี่ยวย่น

- สิวเต็มหน้า ฝ้าเต็มแก้ม ผิวกระดำกระด่าง แล้วอ้างว่า

ยังเป็นวัยรุ่นอยู่เลยมีสิว

- อ้วน น้ำหนักตัวเกินมากกว่า 10 กก. เพื่อนและแฟนชมว่าน่ารัก

- มีหน้าท้องยื่นเหมือนคนท้อง 5 เดือน

- สามีเบื่อหน่าย ทนอยู่เพราะมรดกและลูก

- มีปัญหาสุขภาพเป็นทุกโรคที่คนอ้วนพึงจะเป็นเหมือนเป็นของแถม

- เงินเก็บตลอดชีวิต ไม่เหลือเพราะจ่ายโรงพยาบาลรักษาตัวหมดแต่ไม่หาย หรือ กินยาตลอดชีวิต

- ไม่ทันได้อยู่ถึงแก่ โรครุมเร้า

- แก่ตัวไปจำอะไรไม่ได้ เพราะไม่ได้ทานอาหารเช้า มัวแต่รีบไปทำงานทุกวัน (ไม่เว้นวันหยุดราชการ)

- มีเงินแต่ไม่สามารถซื้ออะไรที่อยากกินได้ หมอสั่งห้ามเรื่องอาหาร เพราะเป็นโรคสารพัด

- อ้วนถึงขนาดไม่กล้าขึ้นรถเมล์ กลัวผ่านเข้าประตูแคบ ๆ ไม่ได้

- นอนกรนจนไม่มีใครอยากนอนด้วย

- อึดอัดกินอะไรไม่ค่อยได้ เพราะ 7 วันถ่าย 1 ครั้ง

- มีไว้แต่ไม่ได้ใช้แขวนเป็นพวงกุญแจ (เสื่อม)

- ทำไมวัน ๆ มีอาการอ่อนเพลียไม่มีแรง

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าปฏิบัติตัวแบบนี้

กินแล้วนอน

พักผ่อนไม่พอเพียง ทำแต่งานทุกวัน

ไม่ชอบกินน้ำเปล่า ขอบกินแต่น้ำ…..ที่มีรสชาติอร่อย

เกิดมาไม่เคยถ่ายอุจจาระได้ทุกวันเหมือนคนอื่นเลย

อาหารดีดีไม่ชอบ ชอบตามใจปาก

มีลูกหลายคนมีผลอะไร

เกิดมาอาหารเช้าไม่เคยกิน

กินอาหารซ้ำซากทุกวันไม่เปลี่ยนเพราะชอบ

ไม่ชอบออกกำลังกายเพราะขี้เกียจไม่มีเวลา ไว้วันหลัง

ชอบกลั้นปัสสาวะ

เครียดอยู่ได้ทั้งวันไม่เลิก

อาการที่เกิดขึ้น อาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรค

ศุภณัฐฑ์ วงศ์หิรัญกร ม.ฟาร์(43)

นักวิจัยสเปนแนะนำด้วยความหวังดีว่า ให้กินถั่ววันละ 1 กำมือสักหนึ่งปี ร่วมกับกินอาหารสไตล์แบบเมดิเตอร์เรเนียน ที่มีผักผลไม้และปลาเป็นหลัก จะช่วยล้างความเสี่ยง ต่ออันตรายของโรคหัวใจที่มีอยู่ในตัวให้หมดลงได้

พวกเขายังเห็นผลว่าการกินถั่วร่วมด้วย ยังให้คุณดีกว่าการบำรุงด้วยน้ำมันมะกอก อย่างที่ใช้อยู่ในอาหารแบบเมดิเตอร์ เรเนียนเสียอีก แม้ว่าทั้งสองอย่างจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ได้มากกว่าอาหารที่มีไขมันน้อยด้วยกัน

วารสารทางวิชาการ "อายุรศาสตร์" ของสหรัฐฯ รายงานผลการศึกษา เผยว่า ในการทดลองผู้ที่ได้รับผลดีที่สุดเป็นผู้ที่ได้รับการแนะนำให้กินถั่ววอลนัท ถั่วอัลมอนด์ และถั่วเฮเซล แม้ว่าโดยเฉลี่ยจะไม่ทำให้น้ำหนักตัวลดลงแต่ เกือบทุกคนก็พุงยุบ และปริมาณไขมันในเลือด และความดันเลือดลดต่ำลง

ดร.จอร์ดิ วาลาส วลวาโด แห่งมหาวิทยาลัยโรวิรา ไอ เวอร์จิลิ ของสเปน หัวหน้าคณะวิจัย กล่าวบอกว่า อาหารพวกถั่วช่วยให้อิ่มเร็วและยังช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น ทั้งยังอุดม ด้วยสารป้องกันการอักเสบอีกด้วย

พิกุล ทุนอินทร์ ม.ฟาร์(45)

เป็นที่ทราบกันดีว่า "cereal" เป็นอาหารยอดนิยมที่ชาวต่างชาติมักจะรับประทานกันในตอนเช้า ๆ เพราะว่าเพียงแค่เท กับนมเท่านั้นก็สามารถรับประทานได้เลย

ซึ่งลักษณะการกินแบบนี้อาจจะไม่เหมาะกับคนไทยเท่าไหร่นัก แต่ถึงกระนั้นก็มีคนไทยบางส่วนที่นิยมทาน "cereal" ในตอนเช้า ๆ เช่นกัน แล้วคุณทราบหรือไม่ว่า การรับประทาน "cereal" นั้นก็มีประโยชน์ช่วยลด โรคเบาหวานได้ด้วย

เพราะมีการรายผลการวิจัยจาก the European Prospective Investigation Into Cancer and Nutrition–Potsdam study โดยศึกษาถึง ความสัมพันธ์ระหว่าง cereal ผัก และผลไม้ต่อการป้องกันโรคเบาหวาน โดยศึกษาคนจำนวน176117 คนใช้เวลาศึกษาเฉลี่ย 7 ปี อายุเฉลี่ย 49 ปีโดยการสัมภาษณ์ชนิดและปริมาณอาหารที่รับประทาน พบว่า

จากกลุ่มคนที่ใช้ศึกษามีกว่า 844 คน และยังพบว่า การรับประทาน cereal และขนมปังธัญพืช จะช่วยลดอัตราการเกิดโรคเบาหวานได้ด้วย

เพราะฉะนั้นเด็ก ๆ ที่รับประทาน มีแนวโน้มว่าจะเกิดโรคเบาหวานน้อยกว่าเด็กที่ไม่ได้ทาน นอกจากเด็ก ๆ ที่จะทานcereal ได้แล้วนั้น ผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ เองก็ทานได้ ถ้าสนใจเพื่อน ๆ ที่นี่ลองหามาทานกันนะคะ

พิมพา ฟาร์อีสเทิร์น

เล็บบอกโรคได้

มีใครเชื่อหรือไม่ว่า เล็บก็สามารถบอกโรคได้ วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเรื่องนี้มาบอก...

โดยทั่วไปเล็บเป็นส่วนที่งอกออกมาจากผิวหนัง เป็นเซลที่ตายแล้ว มีส่วนประกอบหลักเป็นสารประเภทโปรตีนที่ชื่อว่า เคราติน (Keratin) เล็บที่ปกตินั้นจะมีสีชมพูอ่อนๆ เสมอกัน เนื้อเล็บแข็งเรียบ ลื่น แต่บางครั้งเล็บอาจมีรูปร่างหรือสีผิดปกติได้ ซึ่งอาจเกิดจากความผิดปกติหรือโรคภัยบางอย่างที่เกิดขึ้นในร่างกาย ดังนี้

เล็บขาวซีด อ่อน แบน และบุ๋ม : มักพบในคนที่เป็นโรคโลหิตจางซึ่งอาจมาจากการขาดธาตุเหล็ก

เล็บขาวเป็นแผ่นตรงกลาง : เป็นความผิดปกติที่พบในโรคตับ

เล็บเป็นหลุม ขรุขระ ไม่เรียบเกลี้ยงเกลา : พบในโรคผิวหนังที่เรียกว่าสะเก็ดเงิน หรือเรื้อนกวาง

เล็บหนากว้าง และโค้งมนตามลักษณะของปลายนิ้วที่โตขึ้นและมีสีออกม่วงคล้ำ : พบในผู้ป่วยโรคหัวใจ (ลิ้นหัวใจรั่ว) โรคตับ และโรคท้องเสียเรื้อรัง

เล็บเป็นดอกหรือจุดขาวๆ หรือเป็นเสี้ยวพระจันทร์ : แสดงว่ามีปัญหาสุขภาพเจ็บป่วยหนัก หรือขาดสารอาหารบางอย่างที่ทำให้เซลสร้างเล็บได้ไม่สมบูรณ์

เล็บเหลือง : ถ้าเป็นบางเล็บบนนิ้วที่ถนัด อาจเป็นสารนิโคตินจากบุหรี่ที่มาเกาะเล็บที่ใช้คีบบุหรี่ หรือพบในโรคปอดบางชนิด โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไต

เล็บเปลี่ยนสีเป็นครึ่งขาวครึ่งชมพู : พบในโรคไตบางชนิด

เล็บเป็นจุดหรือเส้นสีม่วง เกิดจากเส้นเลือดฝอยแตก : พบในโรคลิ้นหัวใจอักเสบ โรคลิ้นหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดอักเสบ โรคตับ โรคขาดวิตามินซี

เล็บสีดำ : พบในโรคลำไส้ผิดปกติ มีจุดดำๆ ตามเนื้อเยื่อของลำไส้เยื่อบุปาก ริมฝีปาก ส่วนมากขาดวิตามินบี 12

เล็บที่ออกสีเทาๆ หรือดำคล้ำ : พบในคนที่ได้รับตัวยาบางชนิดเช่น Phenolphthalein ในยาระบาย และยารักษาโรคมาลาเรีย

อยากรู้ว่าเป็นโรคอะไร สังเกตดูจากเล็บกันเลย

พิมพา ฟาร์อีสเทิร์น

วิธีการล้างเครื่องสำอางที่ถูกต้อง

ผิวรอบดวงตา

ผิวรอบดวงตาเป็นบริเวณที่บอบบางมาก เวลาทำความสะอาดแนะนำให้หยดผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใส่ลงสำลีพอประมาณจากนั้นเช็ดออกอย่างเบามือ ห้ามถูไปถูมาเด็ดขาด ถ้าเป็นตรงเปลือกตา ก็ค่อยๆ เช็ดลงมาจนถึงตรงขอบตา เพื่อจะรูดมาสคาร่าให้ติดออกไปตามปลายขนตา สำหรับตรงขอบตา ก็แนะนำให้พับสำลีเป็นมุมสามเหลี่ยมเช็ดออกอย่างเบาๆ

ริมฝีปาก

เมื่อพับสำลีเป็นสามเหลี่ยมแล้ว ก็ใช้ตรงมุมเช็ดตามร่องปาก โดยเช็ดในแนวดิ่งจากด้านในออกมาตรงด้านนอกริมฝีปาก ไม่แนะนำให้ถูในแนวขวาง เพราะจะทำให้ริมฝีปากแตกและถ้าทำซ้ำๆ นานๆ ไป มีผลให้ริมฝีปากเป็นร่องและมีรอยย่นเหี่ยว

ผิวหน้า

เริ่มจากบริเวณที-โซนก่อน โดยเริ่มวนจากบริเวณหน้าผาก จมูกและคาง และควรใช้นิ้วนางและนิ้วกลางสำหรับคลึงวนในการทำความสะอาดโดยคลึงวนออกตามจุดต่างๆ บนผิวหน้า ถ้าคุณเลือกใช้คลีนซิ่งออยล์ ก็สามารถล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดได้เลย แต่ถ้าเป็นคลีนซิ่งเจลหรือน้ำนม คุณต้องซับหน้าด้วยทิชชูก่อน แล้วค่อยตามด้วยน้ำสะอาดและโฟมล้างหน้า

พิมพา ฟาร์อีสเทิร์น

สาวอยากสวยอย่าให้เขาหลอก กลูต้าไธโอน ไม่ช่วยผิวขาว

ในหมู่คนรักสวยรักงาม เป็นที่ทราบกันแบบอวดอ้างกล่าวขานกันต่อๆ มาว่า "กลูต้าไธโอน" เป็นสารที่ทำให้ผิวขาวผ่องเป็นที่นิยมกันมาก

แม้คุณหมอจะออกมาเตือนว่ามันไม่เป็นอย่างนั้น ถึงขั้นที่ อย.และแพทยสภาออกกฎข้อบังคับห้ามแพทย์นำมาฉีด เพราะเป็นการหลอกลวงผู้บริโภค แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีใครอยากฟัง กลับยิ่งแพร่ระบาดมากขึ้น

นายแพทย์ชลทิศ สินรัชตานันท์ นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย กล่าวให้ข้อคิดกับสาวที่อยากสวยว่า ขอให้ยึดหลักสำคัญว่าการฉีดสารหรือสิ่งต่างๆ เข้าร่างกายนั้นมีหลักสำคัญข้อเดียวคือ นำเข้าสู่ร่างกายก็ต้องสามารถเอาออกได้ ถ้าเอาเข้าแล้วเอาออกไม่ได้ หรือไม่สลายตัวไปเองถือว่าไม่ปลอดภัยทั้งสิ้น เพราะเป็นสิ่งแปลกปลอม

ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดในเรื่อง "กลูต้าไธโอน" นั้น นายกสมาคมศัลยกรรมตกแต่งใบหน้าแห่งประเทศไทย บอกว่า เท่าที่ทราบมีการขายเกลื่อนตามเว็บไซต์ ราคาตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงเป็นหมื่นบาท ที่น่ากลัวคือมีการแนะนำวิธีฉีดและอวดอ้างสรรพคุณจนทำให้คนที่อยากขาวเกิดความสนใจ และซื้อหาไปทดลองทั้งฉีดและกินเพื่อให้ตัวขาว ก็ขอแจ้งให้ทราบว่าไม่เป็นความจริง

นายแพทย์ชลทิศ บอกว่า ความจริงแล้วปกติร่างกายจะสร้างกลูต้าไธโอนได้เอง จากสารอาหารธรรมชาติที่รับประทานเข้าไป เช่น เนื้อสัตว์ ผักสีเขียว รวมทั้งสมุนไพรอย่างอบเชย เป็นต้น เนื่องจากมันมีหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ หรือสารพิษต่างๆ จากร่างกาย นอกจากนี้ ยังป้องกันความเสื่อมและเพิ่มภูมิต้านทานในร่างกายอีกด้วย

ถึงแม้การฉีดกลูต้าไธโอนจะไม่ส่งผลอันตรายโดยตรงกับร่างกาย แต่การใช้เข็มฉีดเข้าตัวเองกัน อย่างแพร่หลาย โดยไม่ระมัดระวังและคำนึงถึงสุขอนามัยแล้ว อาจทำให้เกิดการติดเชื้อและปัญหาอื่นๆ ตามมาอีกนับไม่ถ้วน

นั่นก็เป็นคำกล่าวเตือนจากคุณหมอในแวดวงความสวยงามโดยตรง รู้แล้วก็อย่าปล่อยให้โดนหลอกต่อไปโดยไม่จำเป็น

พิมพา ฟาร์อีสเทิร์น

8 คาถาชะลอแก่

ความชราอาจเป็นเรื่องที่หนีไม่พ้น แต่ถ้ามาก่อนเวลาอันควรนี่สิ เป็นเรื่องใหญ่สำหรับใครหลายคนแน่นอน!! ดังนั้น มารู้จัก 8 เคล็ดลับชะลอความชรา เพื่อที่คุณจะได้ไม่ "แก่ก่อนวัย" กันเถอะ

1. ต้องไม่อยากแก่

ต้องตั้งใจให้มั่นคงแน่วแน่ว่าจะพยายามคงความเป็นหนุ่มสาว (ตามวัย) ไว้อย่างสุดชีวิต และการตั้งใจนี้จะต้องพร้อมด้วยร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณไปพร้อมๆ กัน

2. มีใจเป็นหนุ่มสาว

ควรคิดแบบหนุ่มสาว คือ ไม่คิดมาก ไม่วิตกจริตเกินกว่าเหตุ กล้าได้กล้าเสีย และควรแสวงหาแนวทางใหม่ๆ ในการทำงานอยู่เสมอ ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใด รักอิสระ มองโลกในแง่ดี และที่สำคัญควรมีความหวังเสมอ

3. ลดความเครียด

ที่แก่ก่อนวัยก็เพราะไกลความสงบ ที่ไกลความสงบก็เพราะมีเครียดเกินไป ดังนั้นถ้าไม่อยากแก่ก่อนวัย ก็จงอย่าเครียดเกินกว่าเหตุ ควรพยายามตัดความเครียดออกไปทีละอย่างด้วยความสงบ สมาธิ...ไม่นานก็หายเครียด

4. เซ็กซ์สุขสม

เซ็กซ์ที่มีความสุขจะทำให้หายเครียดได้ เพราะเซ็กซ์ที่สุขสมจะทำให้เกิดความผ่อนคลายนอนหลับฝันดี เมื่อนอนหลับฝันดี การสร้างฮอร์โมนทั้งชายและหญิงก็จะดีขึ้นเป็นเงาตามตัว

5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

ถ้าคุณเซ็กเซอไซซ์ไม่ได้...ก็ให้ออกเอ็กเซอไซซ์แทน!! เพราะท้ายที่สุดแล้วทั้งสองอย่างก็จะเกิดการหลั่งสารแห่งความสุขที่เรียกว่า "เอนดอร์ฟิน" ออกมาเหมือนกัน ก็แล้วแต่จะเลือกในสิ่งที่คุณชอบ

6. อาหารต้านชรา

ลำพังแค่มลภาวะทุกวันนี้ก็ทำร้ายผิวเรามากพออยู่แล้ว เพราะฉะนั้นอย่าไปเร่งริ้วรอยด้วยการกินอีกเลย พยายามเลือกอาหารด้วยความพิถีพิถันสักหน่อย พืชผักผลไม้ที่มีสารด้านอนุมูลอิสระรวมทั้งธัญพืชนั้น เราควรทานเข้าไปเยอะๆ โดยต้องยึดหลักที่ว่า "ดีและหลากหลาย"

7. พักผ่อนเพียงพอ

การนอนหลับเป็นส่วนหนึ่งของการมีสุขภาพที่ดี เพราเวลานอนหลับจะเป็นเวลาที่ร่างกายซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และมีการสร้างฮอร์โมนที่ควบคุมการทำงานของระบบฮอร์โมนเพศให้เป็นปกติ ดังนั้นควรใส่ใจกับการนอนให้มากขึ้น

8. ความรัก

ความรักเท่านั้นที่ทำให้คงความเป็นหนุ่มสาวได้อย่างยาวนาน ไม่แก่ก่อนวัย เพราะความรักจะช่วยให้คนสดชื่น กระชุ่มกระชวยอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นความรักในฐานะลูกต่อพ่อแม่ ความรักต่อเพื่อนฝูง และความรักต่อมวลมนุษยชาติ

อนุสรา ภาคคำ เลขที่16

ข้าพเจ้าว่านะคะ

ทุกคนนั้นอยาให้ตัวเองมีสุขภาพที่และในขณะเดียวกันหุ่นก็ต้องดีด้วย

แต่หากว่าเราลดน้ำหนักผิดวิธีก็เป็นผลเสียกับตัวเราด้วย

ณัชชา ปังศรีวงศ์ เลขที่42 sec02

สีปัสสาวะบอกสุขภาพ

เพื่อรับมือหรือแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที อะไรที่จะหนักก็จะได้บรรเทาเบาบางลง สีของปัสสาวะก็อาจบอกให้รู้คร่าวๆ ได้ว่าร่างกายของปกติดีอยู่หรือไม่ ลองมาตรวจร่างกายตัวเองกันหน่อยดีไหม...เอาแบบง่ายๆ ไม่ยุ่งยาก แค่ลองสังเกตสีปัสสาวะของตัวเองดู

ปัสสาวะออกมาเป็นสีอมแดง
หากปัสสาวะออกมาเป็นสีนี้ต้องลองนึกให้ออกว่าได้รับประทานอาหารอะไรที่เป็นสีทำนองนี้หรือเปล่า เช่น แบล็คเบอร์รี่หรือผักกาดม่วง แต่ถ้าแน่ใจว่าไม่ได้กินอะไรใกล้เคียงกับสีแดงเลย ก็อาจเป็นลางร้าย เพราะสีแดงนั้นอาจจะเป็นเลือดที่ขับออกมาจากไตหรือกระเพาะปัสสาวะอาจอักเสบ หรือไม่ก็อาจจะมีอะไรในร่างกายที่ฉีกขาดเป็นแน่ ควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน

ปัสสาวะเป็นสีน้ำตาล
มองได้ 2 อย่างคือ อาจจะเกิดจากการรับประทานถั่วในปริมาณที่มาก หรือว่าอาจจะเป็นลิ่มเลือดที่ปนออกมาก็ได้ ทางที่ดีควรปรึกษาแพทย์ดีกว่า

ปัสสาวะออกเป็นสีเหลือง
ถ้าปัสสาวะออกเป็นสีเหลืองอ่อนเป็นไปได้ว่าวันนั้นร่างกายจะได้รับวิตามินบี 2 มากเกินความต้องการจนต้องขับออกมา แต่ถ้าเป็นสีเหลืองเข้มก็หมายความว่า คุณดื่มน้ำน้อยเกินไปแล้ว แต่ถ้ามั่นใจว่าดื่มน้ำเยอะแล้วแต่ทำไมปัสสาวะยังเป็นสีเหลืองเข้มอยู่เหมือนเดิม ก็คงต้องรีบปรึกษาแพทย์เพราะอาจมีโรคไตแฝงมาแล้วก็ได้

ปัสสาวะมีสีขุ่น
ในผู้ที่ปัสสาวะสีขุ่นให้ลองดื่มน้ำส้มดูว่าหายหรือไม่ ถ้าไม่หาย อาจเนื่องมาจากติดเชื้อบางอย่างก็ได้ อาการอย่างนี้ควรปรึกษาแพทย์

ปัสสาวะมีสีส้ม
อาจเป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยาโพรีเดียมที่ใช้ในการรักษาโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

ปัสสาวะเป็นสีน้ำเงิน
ถ้าปัสสาวะมีสีอย่างนี้ ไม่ต้องแปลกใจ โดยเฉพาะหากคุณทานยาแก้อาการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เพราะในยามีส่วนผสมของสารเมธีลีน และขับออกมาทางปัสสาวะ ปัสสาวะจึงมีสีออกฟ้าๆ

เข้าห้องน้ำคราวนี้ อย่าลืมสังเกตดูสีปัสสาวะ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้ไม่ควรมองข้าม สังเกตตัวเองนิดๆ หน่อยๆ ก็เป็นผลดีกับสุขภาพร่างกาย

คำแนะนำสำหรับคนมีน้ำหนักมาก หรืออ้วน

การควบคุมน้ำหนักจะต้องรับประทานอาหารให้พลังงานที่ได้รับและใช้ไปเกิดความสมดุล

การลดน้ำหนักจะต้องค่อยลดพลังงานที่ได้รับจากอาหารโดยที่ไม่ขาดสารอาหาร และเพิ่มการออกกำลังกาย

สำหรับเด็กที่มีน้ำหนักเกินจะต้องปรึกษาแพทย์ดูแล ก่อนการจำกัดอาหาร

สำหรับคนท้องต้องควบคุมน้ำหนักอย่าให้เกิน

สำหรับคนทั่วไปที่มีโรคจะต้องปรึกษาแพทย์ก่อนการควบคุมอาหาร

การจัดการเรื่องน้ำหนัก

ปัญหาเรื่องคนอ้วนหรือน้ำหนักเกินเป็นปัญหาทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย นอกจากนั้นยังว่าว่าเด็กและเด็กวัยรุ่นมีปัญหาเรื่องน้ำหนักเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคเรื้องรังต่างๆตามมา คนที่มีน้ำหนักเกินมักจะเกิดจากพฤติกรรมในการรับประทานอาหารที่มากเกินไป และพฤติกรรมในการออกกำลังกายน้อยเกินไป ลำพังการลดปริมาณวันละ 100 กิโลแคลอรีก็จะป้องกันน้ำหนักเพิ่ม หรือลดปริมาณลงวันละ 500 กิโลแคลอรีก็จะทำให้น้ำหนักลดลงได้ แต่การลดน้ำหนักโดยให้ลดอาหารเป็นเรื่องยากจึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใส่น้ำตาล หรือการรับประทานอาหารมัน หรือเครื่องดื่ม คำแนะนำสำหรับการลดน้ำหนัก

การรักษาน้ำหนักให้ดีต้องปรับพลังงานที่ได้จากอาหารที่รับประทาน ให้สมดุลกับพลังงานที่เราใช้(น้ำหนักเท่าเดิม)

การป้องกันน้ำหนักเกินทำได้โดยการลดปริมาณอาหาร ลดน้ำตาล และเพิ่มการออกกำลังกาย

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์อีส เลขที่ 2

กลิ่นปากแรงกับอาการลำไส้เน่า

พวกที่มีอาการกลิ่นปากแรงส่วนใหญ่มักเป็นพวก ที่มีของเสียตกค้างในระบบทางเดินอาหาร เยอะมาก โดยเฉพาะลำไส้เรียกว่า “ เน่าในก็คงได้ ?” และมักจะเป็นกลุ่มที่มีภาวะ ความเป็น “ กรด ” ในร่างกายสูงมาก การเน่าภายในจะส่งกลิ่นออกมาตามระบบทางเดินอาหาร และช่องปาก ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรีบแก้ไขโดยด่วนเพราะการปล่อยให้มี “ของเสียตกค้างจนเน่าอยู่ในลำไส้ ?

นั่นคือที่มาของ “ มะเร็งลำไส้ในที่สุด ”

วิธีรักษา และบำบัด เบื้องต้น ที่ชมรมบ้านสุขภาพแนะนำนั่นก็คือให้ผู้เข้ารับการบำบัด “ ดื่มน้ำผัก ” และ “ น้ำ ” เพื่อช่วยในการขับของเสีย ” ที่ตกค้างอยู่ในระบบทางเดินอาหาร ออกให้มากที่สุด ซึ่งการบำบัดในช่วงแรกนั้น ผู้เข้ารับการบำบัดอาจจะถ่ายเป็นสีดำ และมีกลิ่นเหม็นมาก ? และถ่ายหลายครั้ง ซึ่งในหลักของธรรมชาติบำบัดนั้น ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะ “ ของเสียในร่างกาย ”ได้ถูกขับออกมาหมดในรูป “ อุจจาระ ” ดังนั้นเมื่อเกิดอาการดังกล่าวข้างต้น ขอแนะนำว่า “ ควรดื่มน้ำผักต่อไป ” เมื่อตื่นนอนตอนเช้าให้ดื่ม "น้ำเปล่า 5-8 แก้ว "ก่อนขับถ่ายอุจจาระให้ได้ทุกวัน รวมถึงการงดอาหารประเภทแป้ง และเนื้อสัตว์ก่อน สักระยะหนึ่ง จนกว่าอาการจะดีขึ้น

การควบคุมอาหารตามสูตรของบ้านสุขภาพ

ดื่มน้ำผลไม้หมักช่วยย่อย ? หรือ เอนไซม์ ซึ่งจะมีปริมาณ ของสาร ดูดซึมเร็ว ที่ช่วยย่อยอาหาร และของเสียที่ตกค้าง ตามทางเดินอาหารหลังอาหาร และก่อนนอนครั้งละ 60 cc. กลิ่นปากก็จะหายไป เมื่อลำไส้สะอาดขึ้น ซึ่งใช้หลัก อาหาร , อากาศ , อารมณ์ , อุจจาระ , และการนอนหลับ , ลดความเครียด, ความเร่งรีบในการทำงานลง

ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสภาวะที่ทำให้ความเป็น "กรด" ในร่างกายสูง และจะทำให้อาหารนั้นไม่ย่อย

ปาริชาติ กันทะวงค์ ม.ฟาร์ เลขที่ 10

วิธีการรักษาโรคกระเพาะอาหารทำอย่างไร

1. กำจัดต้นเหตุของการเกิดโรค ได้แก่

ก. กินอาหารให้เป็นเวลา

ข. งดอาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด

ค. งดดื่มเหล้า เบียร์ หรือยาดอง

ง. งดดื่มน้ำชา กาแฟ

จ. งดสูบบุหรี่

ฉ. งดเว้นการกินยา ที่มีผลต่อกระเพาะอาหาร

ช. พักผ่อนให้เพียงพอ ผ่อนคลายคลายตึงเครียด

2. การให้ยารักษา โดยกินยาอย่างถูกต้อง คือต้องกินยาให้สม่ำเสมอ กินยาให้ครบตามจำนวน และระยะเวลาที่แพทย์สั่งยารักษาโรคกระเพาะอาหาร ส่วนใหญ่ต้องใช้เวลาประมาณอย่างน้อย 4-6 อาทิตย์ แผลจึงจะหาย ดังนั้นภายหลังกินยา ถ้าอาการดีขึ้นห้ามหยุดยา ต้องกินยาต่อจนครบ และแพทย์แน่ใจว่าแผลหายแล้ว จึงจะลดยาหรือหยุดยาวได้

3.การผ่าตัด ซึ่งในปัจจุบัน มียาที่รักษาโรคกระเพาะอาหารอย่างดีจำนวนมากถ้าให้การรักษาที่ถูกต้อง ก็ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดสำหรับการผ่าตัดอาจทำให้เป็นกรณีที่เกิดโรคแทรกซ้อน ได้แก่

ก. เลือดออกในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก โดยไม่สามารถทำให้หยุดเลือดออกได้

ข. แผลกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กเกิดการทะลุ

ค. กระเพาะอาหารมีการอุดตัน

สุทธิรา หาญยุทธ ม. ฟาร์ เลขที่ 9

มีการดูแลตัวเองตามกรุ๊ปเลือดมาบอกกันจ้า...

- คนที่มีกรุ๊ปเลือด A

จะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดเนื่องจากร่างกายจะผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือฮอร์โมนเครียดมาก ดังนั้นควรจะออกกำลังกายด้วยการจดจ่อต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาทิ โยคะ ไทชิ หรือนั่งสมาธิ เพื่อลดความเครียด หากออกกำลังกายก็อย่าหักโหม

จึงไม่ควรบริโภคเนื้อสัตว์มากเกินไป เพราะผู้ที่มีหมู่เลือดนี้จะไม่ค่อยมีเอนไซม์และกรดที่ย่อยโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ควรงดการดื่มนมสดและผลิตภัณฑ์จากนม เพราะจะทำให้เกิดท้องอืด ท้องเฟ้อ ทางที่ดีควรรับประทานผัก อย่างฟักทอง แคร์รอต ผักโขม บร็อกโคลี่ และพืชตระกูลถั่ว โดยเฉพาะถั่วเหลือง ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่มีโปรตีนสูงและช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และควรดื่มชาเขียวเป็นประจำเพื่อช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ควรจำกัดน้ำตาล กาเฟอีน และแอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้จะไปเพิ่มความเครียด และทำให้กระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกายทำงานช้าลง

- คนที่มีกรุ๊ปเลือด B

เมื่อร่างกายไม่สมดุลระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจะเพิ่มสูงขึ้นทำให้มีโอกาสที่จะติดเชื้อ เกิดอาการเหนื่อยล้า จิตใจมัวหมอง ควรสร้างความสมดุลด้วยการออกกำลังกายในรูปแบบที่ท้าทายแต่ต้องใช้สมาธิควบคู่ไปดวย อาทิ เทนนิส ศิลปะการต่อสู้ ปั่นจักรยาน เดินทางไกล กอล์ฟ หรือไทชิเป็นการลดความเครียด ลดความดัน ทำให้ผ่อนคลาย สร้างสมดุลให้กับร่างกาย

คนเลือดกรุ๊ปนี้เหมาะกับการดื่มนมหรือผลิตภัณฑ์จากนม และเนื้อสัตว แม้คนหมู่เลือดนี้จะสามารถเผาผลาญโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ดีก็ตามแต่ก็ไม่ควรกินเนื้อสัตว์ที่ติดมัน ไม่ควรกินคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป และหลีกเลี่ยงเนื้อไก่

- คนที่มีกรุ๊ปเลือด AB

เป็นกลุ่มคนที่รักความเคลื่อนไหว ดังนั้นควรออกกำลังกายในรูปแบบที่ใช้แรงมากและต้องสร้างสมาธิได้ด้วย อย่างเช่นโยคะ หรือแอโรบิก คนเลือดกรุ๊ปนี้มีกรดไฮโดรคลอริกน้อยทำให้ย่อยอาหารได้ยาก จึงต้องจำกัดปริมาณเนื้อสัตว์ไม่ควรรับประทานเนื้อไก่ ควรหันมาบริโภคถั่วเหลือง ปลา ไข่ไก่ และผักแทนไม่ควรดื่มกาเฟอีนและแอลกอฮอล์มากเกินไปและไม่ควรอดอาหารเพราะจะทำให้เกิดความเครียด

- คนที่มีเลือดกรุ๊ป O

ควรจะออกกำลังกายโดยสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเต้นแอโรบิก วิ่ง หรือปั่นจักรยานจะช่วยปรับสภาวะสมดุลของอารมณ์ได้ คนเลือดกรุ๊ปนี้โปรตีนเป็นสิ่งสำคัญ แต่ควรจำกัดการบริโภคถั่วและหมู ส่วนนมและผลิตภัณฑ์จากนมให้บริโภคแต่น้อยเพราะร่างกายย่อยได้ยาก ควรจะหันมารับประทานผักผลไม้ให้มาก

ไม่ว่าจะกรุ๊ปเลือดไหนก็อย่าลืมดูแลตัวเองด้วย เพื่อสุขภาพที่ดี.

สาธิยา พงษ์ไพรวัน วิทออก2 เลขที่ 82 sec02

คำแนะนำสำหรับกลุ่มต่างๆ

อาหารที่รับประทานต้องมีพลังงานเพียงพอ และมีสารอาหารเพียงพอ

กลุ่มคนทั่วๆไป

รับประทานอาหารหลากหลายให้ครบห้าหมู่โดยหลีกเลี่ยงอาหารไขมันอิ่มตัว [Saturated fat],Tranfatty acid น้ำตาล เกลือ และสุรา

ปริมาณพลังงานที่ได้รับไม่ควรเกินค่าที่กำหนด

กลุ่มคนต่างๆ

ผู้ที่สูงอายุมากกว่า 50 ปีควรจะได้รับวิตามิน B12 เสริม

หญิงตั้งครรภ์หรือวางแผนตั้งครรภ์ควรจะเสริมอาหารที่มีธาตุเหล็ก และอาหารที่มีวิตามินซีสูงเพื่อเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก

หญิงตั้งครรภ์หรือวางแผนตั้งครรภ์ควรจะเสริมอาหารที่มีกรดโฟลิก

ผู้สูงอายุที่มีผิวคล้ำหรือไม่ถูกแดดควรจะได้วิตามินดีเสริม

รายละเีอียดอ่านที่นี่

กลุ่มคนอ้วนหรือมีน้ำหนักเกิน

คำแนะนำ

การควบคุมน้ำหนักจะต้องรับประทานอาหารให้พลังงานที่ได้รับและใช้ไปเกิดความสมดุล

การลดน้ำหนักจะต้องค่อยลดพลังงานที่ได้รับจากอาหารโดยที่ไม่ขาดสารอาหาร และเพิ่มการออกกำลังกาย

สำหรับเด็กที่มีน้ำหนักเกินจะต้องปรึกษาแพทย์ดูแล ก่อนการจำกัดอาหาร

สำหรับคนท้องต้องควบคุมน้ำหนักอย่าให้เกิน

สำหรับคนทั่วไปที่มีโรคจะต้องปรึกษาแพทย์ก่อนการควบคุมอาหาร

การจัดการเรื่องน้ำหนัก

ปัญหาเรื่องคนอ้วนหรือน้ำหนักเกินเป็นปัญหาทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย นอกจากนั้นยังว่าว่าเด็กและเด็กวัยรุ่นมีปัญหาเรื่องน้ำหนักเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคเรื้องรังต่างๆตามมา คนที่มีน้ำหนักเกินมักจะเกิดจากพฤติกรรมในการรับประทานอาหารที่มากเกินไป และพฤติกรรมในการออกกำลังกายน้อยเกินไป ลำพังการลดปริมาณวันละ 100 กิโลแคลอรีก็จะป้องกันน้ำหนักเพิ่ม หรือลดปริมาณลงวันละ 500 กิโลแคลอรีก็จะทำให้น้ำหนักลดลงได้ แต่การลดน้ำหนักโดยให้ลดอาหารเป็นเรื่องยากจึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใส่น้ำตาล หรือการรับประทานอาหารมัน หรือเครื่องดื่ม คำแนะนำสำหรับการลดน้ำหนัก

การรักษาน้ำหนักให้ดีต้องปรับพลังงานที่ได้จากอาหารที่รับประทาน ให้สมดุลกับพลังงานที่เราใช้(น้ำหนักเท่าเดิม)

การป้องกันน้ำหนักเกินทำได้โดยการลดปริมาณอาหาร ลดน้ำตาล และเพิ่มการออกกำลังกาย

คำแนะนำสำหรับคนอ้วนแต่ละกลุ่ม

สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักต้องลดอาารที่มีแคลรี่ต่ำ

สำหรับเรื่องพลังงานที่ใช้ในแต่ละกิจกรรมให้อ่านที่นี่

สำหรับดัชนีมวลการคำนวนได้จากที่นี่ หรือเปิดดูจากตารางที่นี่

เรื่องโรคอ้วนอ่านที่นี่

การออกกำลังกาย

ส่งเสริมให้มีกิจกรรมให้มาก อย่านั่งๆนอนๆจะทำให้สุขภาพกาย สุขภาพใจ และการควบคุมน้ำหนักดีขึ้น

สำหรับผู้ใหญ่ ส่งเสริมให้มีกิจกรรมที่ใช้พลังงานปานกลาง มากกว่าปกติวันละ 30 นาทีทุกวันไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน หรือที่บ้าน เช่นการถูบ้าน การเดินขึ้นบันได การเดินเร็วๆไปจ่ายตลาด

ถ้าต้องการให้สุขภาพแข็งแรงให้ออกกำลังกายชนิดหนัก หรือออกกำลังกายนานขึ้น

ถ้าต้องการควบคุมน้ำหนักหรือป้องกันน้ำหนักเพิ่มต้องออกกำลังกายชนิดปานกลางหรือชนิดหนักวันละ 60 นาทีทุกวัน โดยที่รับประทานอาหารที่มีพลังงานเท่าเดิม

ถ้าต้องการลดน้ำหนักลดน้ำหนักต้องออกกำลังกายปานกลางถึงหนักวันละ 60-90 นาทีโดยที่รับประทานอาหารที่ให้พลังงานไม่เกิน

ส่งเสริมให้ร่างกายแข็งแรงโดยการ ออกกำลังเพื่อให้หัวใจแข็ง ออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ออกกำลังกายเพื่อให้ข้อเคลื่อนไหวได้ดี ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายมีความอดทน

การออกกำลังสำหรับกลุ่มต่างๆ

เด็กและวัยรุ่นให้ออกกำลังกายวันละ 60 นาทีทุกวัน

ในคนท้องที่ไม่มีข้อห้ามในการออกกำลังกายให้ออกกำลังปานกลางวันละ 30นาทีทุกวัน แต่ต้องหลีกเลี่ยงการออกกำลังที่จะเกิดอันตรายต่อการตั้งครรภ์

ผู้สูงอายุต้องมีกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อลดอัตราการเสื่อมของอวัยวะ

ข้อเท็จจริงบางประการ

ปี 2002ร้อยละ 25 ของประกรของอเมริกาไม่ได้ออกกำลังกาย

ปี2003 ร้อยละ 38 ของประชากรวัยรุ่นใช้เวลาดูทีวีวันละ 3 ชั่วโมง

การออกกำลังกายชนิดหนักจะให้ผลดีต่อสุขถาพดีกว่าชนิดปานกลาง และใช้พลังงานมากว่า

การออกกำำลังกายจะทำให้การควบคุมอาหารทำได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราคนที่ออกกำลังกายสามารถรับประทานอาหารได้เพิ่มขึ้น

ต้องป้องกันร่างกายขาดน้ำโดยการดื่มอย่างเพียงพอ หรือดื่มขณะออกกำลังกาย หรือหลังการออกกำลังกาย

ให้มีการออกกำลังกายอย่างสมำ่เสมอ ลดการนอนหรือดูทีวีซึ่งจะทำให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตดี

เพื่อป้องกันหรือลดอุบัติการณ์ของการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ให้ออกกกำลังกายปานกลางวันละ 30 นาที หรือกิจกรรมประจำวัน

หากออกกกำลังกายหนักเพิ่มขึ้น(ชนิดหนัก)ก็จะส่งผลดีต่อสุขภาพ

หากต้องการควบคุมน้ำหนักไม่ให้เพิ่มต้องออกกำลังกายชนิดปานกลางวันละ 60 นาทีทุกวัน

หากต้องการลดน้ำหนักอย่างต่อเนื่องต้องออกกำลังกายชนิดปานกลาง-หนักวันละ 60-90 นาที

หากต้องการให้ร่างกายแข็งแรงต้อง ออกกำลังกายให้หัวใจแข็งแรง มีความยืดหยุ่น กล้ามเนื้อแข็งแรง กล้ามเนื้อมีความทนทาน

คำแนะนำ

เด็กและวันรุ่นต้องออกกำลังกายวันละ 60 นาทีทุกวัน

คนท้องหากไม่มีข้อห้ามในการออกกำลังกายให้ออกกำลังกายปานกลางวันละ 30 นาทีทุกวัน แต่ต้องหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการหกล้ม

คนให้นมบุตร ต้องตระหนักว่าการออกกำลังกายอาจจะทำให้น้ำนมลดลง

คนสูงอายุ การออกกำลังสำหรับผู้สูงอายุจะทำให้สุขภาพดี ลดการเสื่อมของอวัยวะ คลิกอ่านที่นี่ แต่ผู้สูงอายุบางท่านต้องปรึกษาแพทย์ก่อนออกกำลังกาย อ่านที่นี่

การออกกำลังกายอ่านที่นี่

คำแนะนำชนิดของอาหาร

รับประทานผักและผลไม้ให้มากโดยรับประทานน้ำผลไม้วันละ 2 แก้ว ผักวันละ 2 ถ้วย

ให้มีการรับประทานผักและผลไม้ที่หลากหลายสับเปลี่ยนกันอยู่ตลอดเวลา

ให้รับประทานธัญพืชวันละกำมือ เช่นถั่วต่าง เม็ดทานตะวัน เม็ดแตงโม

ให้รับประทานนมพร่องมันเนยหรือผลิตภัณฑ์นมพร่องมันเนยวันละ 3 ถ้วย

คำแนะนำอาหารสำหรับเด็ก

เด็กและวัยรุ่นต้องรับประทานธัญพืชบ่อยๆ เด็กอายุ 2-8ขวบควรจะดื่มนมพร่องมันเนยวันละ 2 แก้ว เด็กมากกว่า 9 ขวบควรดื่ม 3 แก้ว

กลุ่มอาหาร

เลือกรับประทานผักและผลไม้อย่างเพียงพอโดยพลังงานที่ได้รับต้องไม่เกินเกณฑ์ตัวอย่างคนที่ได้รับพลังงาน 2000 กิโลแคลรอรีจะรับผลไม้ได้ไม่เกิน ผัก 21/2ถ้วยหรือนำผลไม้ไม่เกิน 2 ถ้วย

ให้เลือกผักและผลไม้ทั้ง 5 กลุ่มสับไปมา

ให้รับประทานส่วนประกอบของธัญพืช หรือเมล็ดธัญพืช เช่น ข้าว อย่างน้อยวันละ 3 ส่วน

ดื่มนมพร่องมันเนยวันละ 3 ถ้วย

กลุ่มผักและผลไม้

ผลและผลไม้เป็นแหล่งให้สารอาหารแก่ร่างกายเป็นจำนวนมากตามตารางข้างล่าง

การรับประทานผักและผลไม้จะทำให้ร่างกายได้รับใยอาหารอย่างเพียงพอ

ผลและผลไม้แต่ละชนิดจะให้คุณค่าทางอาหารแตกต่างกันไป ดังนั้นต้องสับเปลี่ยนกันไปในแต่ละอาทิตย์ แบ่งผักออกเป็น 5 ชนิดและปริมาณที่ควรจะรับประทานในแต่ละสัปดาห์

ผักใบเขียว 3ถ้วยต่อสัปดาห์

ผักใบเหลือง 2 ถ้วยต่อสัปดาห์

ถั่ว 3 ถั่วต่อสัปดาห์

ผักพวกใหแป้ง(ผักพวกหัว) 3 ถั่วต่อสัปดาห์

ผักอื่นๆ 6 1/2 ต่อสัปดาห์

พิมพา ฟาร์อีสเทิร์น

สาเหตุของการมีพุง แต่ไม่ใช่เพราะไขมัน
ทราบหรือไม่ว่า การมีพุงอาจจะไม่ได้เกิดจากไขมันก็ได้ วันนี้มีคำตอบมาฝาก...

สาเหตุของพุงป่องไม่ใช่จากการรับประทานเพียงอย่างเดียว และคนพุงป่องก็ไม่ได้แปลว่าอ้วนด้วย แต่อาจเป็นเพียงอาการบวมน้ำเท่านั้น


1. การแพ้อาหาร

บางครั้งอาการท้องบวมอาจเกิดจากอาการระคายเคืองหรือการติดเชื้อของระบบย่อยอาหารในช่องท้อง หรืออาจรวมถึงการรับประทานยาบางชนิดที่ทำให้บวมน้ำและยังรวมไปถึงการมีรอบเดือนด้วย แต่ถ้ารู้สึกว่าหน้าท้องบวมขึ้นผิดปกติหลัง ทานอาหารบางชนิด ให้สันนิษฐานได้ว่าน่าจะมีอาการแพ้อาหารเข้าให้แล้ว จากสถิติพบว่าอาหารจำพวกแป้งและนมมีโอกาสทำให้เกิดอาการแพ้และบวมมากที่สุด


2.อาหารลดน้ำหนัก

คนที่ชอบหวังพึ่งอาหารลดน้ำหนักจำพวกโลว์-แฟ้ต หรือแฟ้ต-ฟรีมักจะมีปัญหาพุงป่อง เนื่องจากคิดว่ามันเป็นอาหารแคลอรี่ต่ำ จึงสามารถกินมากกว่าปกติ อาหารพวกนี้อาจมีพลังงานน้อยกว่าปกติ แต่มันก็ไม่ได้น้อยขนาดนั้น ทางที่ดีหันมารับประทานผักผลไม้ให้มากขึ้นจะดีกว่า รวมทั้งรับประทานอาหารที่มีเอนไซม์ช่วยย่อย อาทิ น้ำมะนาว น้ำส้มสายชูสกัดจากแอ๊ปเปิ้ล หรือผักสดต่าง ๆ


3. กินช้า ๆ แต่บ่อย ๆ

ค่อย ๆ เคี้ยวอาหารช้า ๆ เพื่อให้ประสาทรับรู้ค่อย ๆ รู้สึกอิ่ม และในแต่ละมื้ออย่ากินให้เยอะจนอิ่มแน่นท้อง ควรแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อย่อย ๆ แต่อย่ากินขนมจุบจิบจำพวกขนมนมเนยต่าง ๆ เลือกกินผลไม้หรือธัญพืช เมื่อหิวระหว่างมื้อจะดีกว่า


4.ขจัดสารพิษ

แอลกอฮอล์ คาเฟอีน และนิโคตินในบุหรี่มีผลร้ายต่อระบบเผาผลาญอาหารของร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายบวมน้ำและยังก่อให้เกิดเซลลูไลท์อีกด้วย ดังนั้นเมื่อรู้เหตุดังนี้แล้วก็แค่ลดละเลิกการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และคาเฟอีนต่าง ๆ และเลิกสูบบุหรี่ไปซะด้วยเลยในเวลาเดียวกัน


5.หัดกินสักนิด

ในกระเพาะจะมีแบคทีเรียอาศัยอยู่เพื่อช่วยในการย่อยอาหาร แต่บางครั้งแบคทีเรียเหล่านี้ก็อาจถูกกำจัดไปจากสภาวะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วยหรือการรับประทานอาหารบางชนิด แนะนำให้รับประทานโยเกิร์ตรสธรรมชาติเป็นประจำเพื่อปรับสมดุลแบคทีเรียกลุ่มที่เป็นประโยชน์ จะช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นและช่วยให้หน้าท้องบวมน้อยลงด้วย


6. ดื่มน้ำให้มาก

อาการบวมน้ำนี้ ควรดื่มน้ำให้ได้อย่าง ต่ำ 8 แก้วต่อวัน แต่วิธีการดื่มนั้นอย่าดื่มหมดแก้วในคราวเดียวควรจิบ น้ำบ่อย ๆ เรื่อย ๆ เพราะการที่ดื่มน้ำแก้วใหญ่ในคราวเดียว จะทำให้กระเพาะปัสสาวะขยายใหญ่ ถ้าจะให้ดีลองเลือกดื่มชาสมุนไพร อาทิ ชาเป็ปเปอร์มินต์ หรือชาคาโมไมล์แทนน้ำเปล่า โดยเฉพาะการดื่มในช่วงหลังอาหาร จะช่วยให้อาหารที่รับประทานเข้าไป ย่อยได้ดีขึ้นด้วย


7. บริหารกล้ามเนื้อหัวใจ

ผู้หญิงหลายคนเชื่อว่าการซิตอัพทุกวันจะช่วยให้หน้าท้องแบนเรียบแต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลย แม้ว่าการซิตอัพจะช่วยสร้างกล้ามท้อง แต่ถ้าร่างกายนั้นยังปกคลุมด้วยชั้นไขมัน หน้าท้องเรียบตึงก็จะไม่มีวันโผล่มาให้เห็นหรอก ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เป็นประจำอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน อย่างต่ำ 3 วันต่อสัปดาห์เพื่อให้ร่างกายได้เผาผลาญไขมันออกไป บวกกับการซิตอัพ คราวนี้รับรองสวยตึงแน่นอน


8. หายใจลึก ๆ

เมื่อหายใจเข้าออกแบบลึก ๆ จะช่วยให้ร่างกายจะคลายความตึงเครียดออกมา รวมทั้งยังช่วยในการเติมอ็อกชิเจนและพลังชีวิตให้ร่างกายด้วย ทุกครั้งที่หายใจให้พยายามหายใจให้ลึกเข้าไปยังท้อง อย่าหยุดเพียงแค่เก็บลมไว้ในช่องอกการหายใจเข้าออกจากท้องเป็นนิสัยจะช่วยกระชับให้กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรงมากยิ่งขึ้น


9. นวดกระชับหน้าท้อง

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการนวด ช่วยได้ จริงๆ เนื่องจากการนวดท้องนั้น ช่วยไล่ลมที่กักเก็บไว้ในช่องท้องได้ และช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นด้วย ณ วิธีการนวดก็ไม่ยาก เพียงวางฝ่ามือลงบนท้องแล้วนวดวนตามเข็มนาฬิกา ถ้าอยากเห็นผลลัพธ์เร็วขึ้น อาจใช้ครีมจำพวกกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องร่วมด้วย ก็ได้

ถ้าอยากมีหน้าท้องที่แบนเรียบ ก็ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้.

 


การใช้สายตาอย่างถูกต้อง

นอกจากรับประทานอาหารที่เหมาะสมเพียงอย่างเดียว คงไม่เพียงพอสำหรับการดูแลดวงตาของคุณให้สวยใสอยู่เสมอ แต่คุณต้องใส่ใจและถนอมดวงตาของคุณไว้เพื่อให้อยู่กับคุณไปนานๆ โดยการใช้สายตาอย่างถูกต้องและเหมาะสม ดังนี้

งานเสริมทำออนไลด์ผ่าน net 100% รายได้ 5 หมื่น บ/ด ขั้นต่ำ ขอย้ำว่าขั้นต่ำ สมัครที่ www.abc.321.cn

ดวงตาถือเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย จึงต้องให้ความสำคัญและใช้สายตาอย่างถูกต้อง วันนี้เกร็ดความรู้ มีวิธีการใช้สายตาอย่างถูกต้องมาบอกกัน

• อ่านหนังสือในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ และถือหนังสือห่างจากดวงตาประมาณ 1 ฟุต ไม่ควรอ่านหนังสือเป็นเวลาติดต่อกันนาน ๆ ควรพักสายตาประมาณ 30-45 นาที เมื่อรู้สึกปวดเมื่อยตา คลิ๊ป VDO ลับแนะนำวิธีทำงานอย่างไรให้มีรายได้ 5 หมื่นบาทในเดือนถัดไปรีบดูด่วน www.ultra.18.to

• ดูโทรทัศน์ในที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ และควรนั่งห่างจากจอโทรทัศน์ประมาณ 5 เท่าของขนาดโทรทัศน์

• ไม่ควรจ้องมองพระอาทิตย์เป็นเวลานานๆ

• ควรสวมแว่นตาทุกครั้งที่ต้องออกไปสัมผัสกับแสงแดด หรือขับขี่รถยนต์

• หลีกเลี่ยงการมองหรือจ้องคลื่นแม่เหล็กจากเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น เตาไมโครเวฟ เครื่องถ่ายเอกสาร ฯลฯ

• เวลาที่เศษผงเข้าตา ห้ามขยี้ตาเด็ดขาด แต่ให้คุณล้างตาด้วยน้ำสะอาดหรือหยอดน้ำยาล้างตาแทน

• ทุกครั้งที่ลงเล่นน้ำในสระว่ายน้ำ ควรสวมใส่แว่นตาว่ายน้ำทุกครั้ง เพื่อป้องกันคลอรีนหรือเศษผงเข้าตา

• ควรระมัดระวังการละเล่นหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะก่อให้เกิดอันตรายต่อดวงตา

• เมื่อรู้สึกปวดเมื่อยตา ไม่ควรกดนวดดวงตา หรือกรอกดวงตาไปมา แต่ควรหลับตาประมาณ 20 -30 นาที

• ไม่ควรใช้ผ้าเช็ดหน้า แว่นตา ยาหยอดตา ร่วมกับผู้อื่น

• ควรปิดไฟนอน เพื่อเป็นการพักสายตา

• ในกรณีที่สารเคมีเข้าตา ควรล้างตาด้วยน้ำสะอาด แล้วไปพบจักษุแพทย์โดยด่วน

• ควรไปตรวจวัดสายตาเป็นประจำ อย่างน้อยปีละครั้ง

วิธีที่แนะนำไม่ยากเลย ลองนำไปปฏิบัติตามดู จะได้มีสายตาที่ดี..ดีกันนะ

ระวัง!เครื่องพิมพ์เลเซอร์ อันตรายถึง 'ปอด'-ทางเดินหายใจ

วารสาร'ฉลาดซื้อ'ฉบับล่าสุด(ฉบับที่ 80)ได้นำเสนอผลการวิจัยทางวิชาการของ ห้องปฏิบัติการนานาชาติเพื่อคุณภาพของอากาศและสุขภาพของมหาวิทยาลัย ควีนส์แลนด์ โดยระบุว่า

สิ่งที่ได้ทราบจากงานวิจัยชิ้นนี้คือ เครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์ที่เราใช้กันอยู่ในสำนักงาน ปล่อยอนุภาคที่เป็นอันตรายต่อปอดและระบบทางเดินหายใจของเรามากน้อยแค่ไหน และเราเชื่อว่า ผลการวิจัยดังกล่าวน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านฉลาดซื้อเพราะคุณอาจเป็นอีกหนึ่งคนที่ใช้เวลาอยู่ในสำนักงานวันละไม่ต่ำกว่า 7 ชั่วโมง

เครื่องพิมพ์เลเซอร์นั้นเป็นที่นิยมกันมากขึ้น เพราะต้นทุนในการพิมพ์ต่อแผ่นต่ำกว่าเครื่องพิมพ์แบบอิงค์เจ็ท และงานพิมพ์ที่ออกมาก็ดูสวยงาม สมเป็นมืออาชีพ แต่อีกปัจจัยที่เราไม่อาจละเลยคือ เรื่องของคุณภาพอากาศภายในอาคาร ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพของเรา

องค์การอนามัยโลกเคยประเมินไว้ว่า 1 ใน 3 ของอาคารในโลกนี้ล้วนแล้วแต่มีปัญหามลพิษกันทั้งสิ้น และคุณภาพของอากาศที่เราหายใจเข้าไปทุกวันนั้น ก็เป็นที่สนใจของนักวิจัยกันไม่น้อย แต่เรื่องการปล่อยอนุภาคของหมึกพิมพ์นั้นยังไม่ค่อยมีคนศึกษาไว้มากนัก

อนุภาคที่ถูกปล่อยออกมาขณะพิมพ์งานและฟุ้งกระจายอยู่ในสำนักงานนั้นมีขนาดเล็กมาก นักวิชาการบอกว่า อนุภาคฝุ่นที่มีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมโครเมตรนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ เนื่องจากมันสามารถแทรกซึมผ่านระบบหายใจ เข้าไปเกาะที่เซลล์ปอด ถ้าได้รับในปริมาณมากที่จะสะสมพอกพูนจนเกิดเป็นพังผืดหรือแผลขึ้น นำไปสู่อาการหลอดลมอักเสบ หอบหืด หรือถุงลมโป่งพองได้

อีกสาเหตุที่อนุภาพขนาดเล็กเป็นอันตรายต่อเรามากกว่าอนุภาพขนาดใหญ่นั้น ก็เพราะมันสามารถลอยวนไปเวียนมาอยู่ในอากาศได้เป็นเวลานาน เนื่องจากมันน้ำหนักเบา ยิ่งเล็กมากก็ยิ่งลอยอยู่ได้นานมาก ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า อนุภาคที่เล็กกว่า 0.5 ไมครอนนั้น สามารถแขวนอยู่ในอากาศได้ถึงหนึ่งปีเลยทีเดียว

ผลการวิจัยชิ้นนี้แสดงให้เห็นว่า มีเครื่องพิมพ์บางรุ่นที่ไม่ปล่อยอนุภาพผงหมึกขนาดเล็กออกมาเลย ในขณะที่บางรุ่นนั้นปล่อยออกมาค่อนข้างมากทีเดียว ดังนั้นงานวิจัยชิ้นนี้

จึงน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านที่ต้องการข้อมูลด้านความปลอดภัย ก่อนจะตัดสินใจซื้อเครื่องพิมพ์มาใช้ในสำนักงาน หรือใชส่วนตัวที่บ้าน

หนังสือพิมพ์ และสำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งก็ลงเรื่องผลวิจัยดังกล่าวแต่ยังไม่มีใครลงรายชื่อเครื่องพิมพ์ ฉลาดซื้อเลยถือโอกาสนี้นำเสนอซะเลย

แต่ทั้งนี้ขอย้ำอีกทีว่างานวิจัยชิ้นนี้ไม่ใช่การทดสอบคุณภาพด้านอื่นๆ ของเครื่องพิมพ์เลเซอร์รุ่นที่เรากล่าวถึงแต่อย่างใด

ข้อสังเกต

อายุของแคร่หมึกมีผลต่อการปล่อยอนุภาคโดยแคร่หมึกเก่านั้นทำให้กิดอนุภาคขนาดเล็กมากกว่าแคร่หมึกใหม่ ถึงแม้ว่าโดยรวมแล้วมันจะทำให้เกิดจำนวนอนุภาคโดยรวมน้อยกว่าแคร่หมึกใหม่ก็ตาม

วิธีการสำรวจ

นักวิจัยวัดการปล่อยอนุภาคของเครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์ที่ใช้กันในอาคาร 6 ชั้นแห่งหนึ่ง ในย่านธุรกิจของเมืองบริสเบน ประเทศออสเตรเลีย อาคารแห่งนี้มีการวางผังสำนักงานเป็นแบบเปิดโล่งตั้งอยู่ห่างจากทางหลวงที่จอแจประมาณ 120 เมตร และมีเครื่องพิมพ์เลเซอร์ตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ ของอาคาร ทั้งหมด 62 เครื่อง (บางรุ่นมีมากกว่าหนึ่งเครื่อง)

ผู้วิจัยทดสอบโดยการวัดปริมาณอนุภาคในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกับเครื่องพิมพ์ ในสำนักงานแบบเปิดโล่ง ขนาดใหญ่ หลังจากทำงานพิมพ์เสร็จ 1 แผ่น

นอกจากนี้ยังมีการศึกษาลักษณะการปล่อยอนุภาคของเครื่องพิมพ์ 3 รุ่น ในห้องทดลองด้วยทำให้พบว่า อัตราการปล่อยอนุภาคนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของเครื่องพิมพ์ ลักษณะของการห่อหุ้มผงหมึกและอายุการใช้งานของแคร่หมึกด้วย

ผลการวิจัย

นักวิจัยพบว่าอนุภาคที่ปล่อยออกมาจากเครื่องพิมพ์นั้น เป็นสาเหตุหลักของการเพิ่มขึ้นของผงอนุภาคขนาดเล็กในสำนักงาน และได้แบ่งเครื่องพิมพ์เลเซอร์ดังกล่าวออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่

1. รุ่นที่ไม่ปล่อยอนุภาคของผงหมึกเลย

2. รุ่นที่ปล่อยอนุภาคของผงหมึกในระดับต่ำ

3. รุ่นที่ปล่อยอนุภาคของผงหมึกในระดับกลาง

4. รุ่นที่ปลอยอนุภาคของผงหมึกในระดับสูง

ข้อแนะนำ

ตำแหน่งที่ตั้งเครื่องพิมพ์ในสำนักงานนั้น ควรอยู่ในบริเวณที่อนุภาคจากผงหมึกสามารถกระจายออกไปนอกตัวอาคารได้ง่าย

และที่สำคัญ เพื่อให้เข้ากับยุครณรงค์ลดโลกร้อน นอกจากต้องยืดอกพกถุงผ้าแล้วเราก็อาจจะช่วยกันสั่งพิมพ์งานให้น้อยลง เพราะถึงแม้เครื่องพิมพ์ที่เราใช้จะไม่ได้ปล่อยอนุภาคผงหมึกที่เป็นอันตรายต่อร่างกายออกมาฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ แต่การสั่งพิมพ์งานแต่ละครั้งก็หมายถึงค่าใช้จ่ายอย่างค่าผงหมึก ค่าบำรุงรักษา ค่าไฟฟ้า และการสิ้นเปลืองกระดาษอีกด้วย

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

การปรับโต๊ะทำงานเพื่อสุขภาพ

ผนังกั้นโต๊ะทำงานที่ได้มาตรฐานควรมีขนาด 4×4 ฟุต หรือ 4 ×6 ฟุต แต่ไม่ควรกั้นสูงกว่า 5 ฟุต เพราะอาจจะกั้นแสงสว่างหรือการระบายอากาศ หากแผงกั้นโต๊ะทำงานได้สัดส่วนแล้ว คุณก็จะรู้สึกถึงความเป็นส่วนตัว ทำให้มีสมาธิทำงานมากขึ้น แต่การนั่งทำงานบนเก้าอี้และโต๊ะทำงานกว่า 8 ชั่วโมง อาจทำให้รู้สึกเมื่อยและอึดอัด และถ้าแสงสว่างไม่เพียงพอ พนักพิงเก้าอี้ไม่ได้ระดับ การระบายอากาศภายในไม่ดีและมีฝุ่นละอองฟุ้ง ก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพได้ ซึ่งบางครั้งคนทำงานส่วนใหญ่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือจัดการสิ่งแวดล้อมการทำงานทั้งหมด ดังนั้นการปรับเปลี่ยนหรือจัดการสิ่งแวดล้อมบริเวณโต๊ะทำงานให้ดีขึ้น จะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพตนเองในระยะยาว เริ่มจาก...

ปรับเก้าอี้ให้ได้ระดับ

อาการปวดหลังที่คนทำงานนั่งโต๊ะมีปัญหาส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการนั่งเก้าอี้ที่ไม่ได้ระดับต่อความสูงของโต๊ะทำงาน หรือแป้นพิมพ์ ซึ่งหากปรับความสูงต่ำของเก้าอี้ได้จะดีมาก หากไม่สามารถอาจใช้วิธีการบริหารบรรเทาอาการปวดหลังระหว่างวันทำงาน โดยอาศัยช่วงเบรกดื่มกาแฟ หรือพักกลางวัน ยืดกล้ามเนื้อหลัง คอ เอว ไหล่ ข้อมือ ข้อเท้า ทั้งนี้เพื่อเพิ่มระบบไหลเวียนเลือดอีกด้วย

ปรับแสงสว่างให้พอเพียง

ไม่ควรใช้หลอดไฟให้แสงสว่างจนเกินไป เพื่อป้องกันแสงสะท้อนที่กระทบกับจอคอมพิวเตอร์เข้าตาโดยตรง ซึ่งอาจทำให้ปวดหัวได้

รักษาความสะอาดโต๊ะทำงาน

หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารบนโต๊ะทำงาน เพราะเศษอาหารหรือเศษขนมอาจจะตกหล่น เมื่อสะสมทำให้เป็นบ่อเกิดเชื้อโรคต่างๆ หรือถ้าจำเป็นต้องรับประทานบนโต๊ะทำงาน หลังรับประทานเสร็จให้รีบเช็ดและทำความสะอาดโต๊ะทำงานทันที เก็บเศษอาหารและล้างภาชนะที่ใช้และล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง สุดท้ายอย่าลืมทิ้งขยะใต้โต๊ะทำงานทุกวันและเช็ดฝุ่นบนโต๊ะทำงานอย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง

ปาริชาติ กันทะวงค์ ม.ฟาร์ เลขที่ 10

การป้องกันโรคฟันผุ

1. การปฏิบัติการป้องกันโรคฟันผุขั้นพื้นฐาน

เป็นวิธีป้องกันโรคฟันผุที่ทุกคนสามารถปฏิบัติได้ง่าย ได้แก่

1.1แปรงฟันเพื่อกำจัดคราบจุลินทรีย์อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด

1.2 ใช้อุปกรณ์อื่นๆ ช่วยกำจัดคราบจุลินทรีย์บริเวณที่แปรงฟันได้ไม่ดีพอ เช่น ใช้ ไหมขัดฟัน หรือไม้จิ้มฟันบริเวณซอกฟัน

1.3 พบทันตแพทย์ เพื่อตรวจและรักษาสุขภาพในช่องปาก รับคำแนะนำต่างๆ ทำการเคลือบหลุมและร่องฟัน หรือให้ฟลูออไรด์เข้มข้นในเด็ก

ัต2. การปฏิบัติการป้องกันโรคฟันผุเพิ่มเติม สำหรับผู้ที่มีฟันหน้าล่างผุ หรือ 2 ใน 3ของกรณีต่อไปนี้

มีฟันผุเป็นรู ตั้งแต่ 2 แห่งขึ้นไป

มีฟันผุบริเวณที่ไม่ใช่หลุมและร่องฟัน ตั้งแต่ 1 แห่งขึ้นไป

มีฟันผุรอบๆ รอยวัสดุอุดเดิม ตั้งแต่ 1 แห่งขึ้นไป

การป้องกันโรคฟันผุเพิ่มเติม ได้แก่

ลักษณะที่ผุเป็นรูผุชัดเจน พบทันตแพทย์ เพื่อเอาส่วนที่ผุออกให้มากที่สุด ทุกซี่ อุดชั่วคราว (Caries control) เพื่อควบคุมโรค และนัดมาทำการรักษาต่อในแต่ละซี่

ถ้าลักษณะที่ผุเป็นจุดสีขาวขุ่นบนผิวฟัน (White spot ) : พบทันตแพทย์ เพื่อทาฟลูออไรด์เฉพาะที่ และอมบ้วนปาก ด้วย Sodium fluoride 0.05% วันละ 1 ครั้ง

แนะนำการปรับพฤติกรรมการบริโภคอาหารเพื่อลดระดับความเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุ

พบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพในช่องปากทุก 3-4 เดือน

นางสาว ฐิติรัตน์ ใจดี วิทย์ออก เลขที่ 74 sec 02

วิธีชะลอความแก่ 7 ประการ

เรื่องความชราที่มาเยือนนั้นเป็นไปตามวัยก็จริง

แต่หนุ่มสาวสมัยนี้กลับ "แก่ก่อนวัย"

ถึงเป็นที่มาของความเชื่อที่ว่า "ทุกอย่างนั้นอยู่ที่ใจ"

เคล็ดลับเหล่านี้ได้จาก น.พ.พันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์

สูตินารีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

๑.ต้องไม่อยากแก่...

ต้องตั้งใจคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวเอาไว้

และต้องปฏิบัติควบคู่ไปทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ

๒.มีใจเป็นหนุ่มสาว..

คือ รักอิสระ มองโลกในแง่ดีและที่สำคัญมีความหวังเสมอ

หรือการคบเพื่อนที่อายุน้อยกว่าก็เป็นวิธีการที่ดี

๓.ลดความเครียด..

เลิกเอาคิ้วผูกโบได้แล้ว ลองยิ้มให้มากขึ้น

ถ้าไม่รู้จะยิ้มอย่างไรก็ลองยิ้มกับกระจกเงาที่บ้านดูสิ

๔.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ..

ออกกำลังการอย่างน้อย 15 นาทีจะดี

๕.กินอาหารต้านชรา..

พยายามเลือกอาหารที่มีประโยชน์กับร่างกาย เช่น พืชผักผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ

๖.นอนหลับเพียงพอ..

เราควรจะนอนให้เพียงพอกับร่างกาย ที่ดีที่สุดควรนอนก่อนสี่ทุ่มจะดีที่สุด

๗.ความรัก..

ความรักเท่านั้นที่จะช่วยให้คนสดชื่น กระชุ่มกระชวย

ทั้งความรักของคนหรือสัตว์ ก็จะช่วยให้เราหัวใจเบิกบาน

ดิฉันว่า คนเราทุกคนก็คงจะไม่อยากแก่ จึงได้หาสิ่งต่างๆ มาช่วยทำให้ดูเด็กขึน เช่น การทำศัลยกรรมกับใบหน้าของตน เป็นต้น ตัวอย่างที่ได้กล่าวมานี้ก็สามารถทำได้เฉพาะคนที่มีฐานะดี หรือเรียกว่า ร่ำรวย เท่านั้นที่จะทำได้ แต่ข้อมูลข้างต้นที่ดิฉันได้นำมานี้ สามรถทำได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องเสียเงิน .......ก็ทำให้ชะลอความแก่ได้

พรรษวุฒิ ปัทมพันธุ์ อั้มครับ รหัส 4901043001 เลขที่ 24 Sec.1

โรคที่ผู้ชายควรระวัง

1. โรคต่อมลูกหมากโต ผู้ชาย 1 ใน 3 เมื่อวัยล่วงเข้าวัย 50 ปีมักจะมีอาการต่อมลูกหมากโต แต่กระนั้น อาการต่อมลูกหมากโตก็ยังไม่น่าเป็นห่วง เพียงแต่สร้างความรำคาญ แต่สิ่งที่อาจทำให้ผู้ชายนึกกลัว คือ อาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศที่จะตามมา และมะเร็งต่อมลูกหมากนั่นเอง ดังนั้นผู้ชายที่มีอายุมากแล้ว เวลามีปัญหาในการขับถ่ายปัสสาวะ อย่าได้นิ่งนอนใจ ควรให้หมอตรวจเช็ค เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง ส่วนอาการที่บ่งบอกว่าต่อมลูกหมากโต เช่น

ต้องออกแรงฉี่มาก แต่ปัสสาวะไหลน้อยและอ่อนแรง

ปัสสาวะบ่อยผิดปรกติ

อาจมีเลือดปนออกมา ซึ่งควรไปหาหมอ เพราะอาจมีความเจ็บป่วยอื่น

อาการแทรกซ้อนควรระวัง คือ กรวยไตอักเสบ กระเพาะปัสสาวะอักสบ ไตวายหรือมะเร็งที่ต่อมหมวกไต

2. โรคหัวใจ ผู้ชายมักเริ่มมีอาการของโรคหัวใจเมื่อ อายุ 40 ปีขึ้นไป สาเหตุหลักของการเกิดโรคหัวใจมีด้วยกันหลายอย่าง เช่น การอักเสบตรงผนังหัวใจ ความพิการของหัวใจที่เป็นมาแต่กำเนิด ไขมันอุดตันในเส้นเลือด รวมไปถึงหลอดเลือดแข็งตัว สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ระบบควบคุมการทำงานของหัวใจล้มเหลว ส่วนตัวการที่ทำให้เป็นโรคหัวใจได้แก่ ความเครียด ระดับคอเลสเทอรอลสูง โรคอ้วน ระดับความดันเลือดสูง อาการเตือนที่ควรสังเกต ได้แก่

มีไข้ขึ้นสูง หนาวสั่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อข้อต่อ มีเลือดไหลออกตามตัว มีเลือดกำเดาไหล หรือจุดแดงจ้ำเขียวขึ้นตามตัว

มีอาการจุกแน่นตรงกลางหน้าอกหรือยอดอก และเจ็บร้าวมาถึงไหล่ซ้าย

ทำงานออกแรงมักเจ็บหน้าอก แต่เป็นไม่นานถ้าได้พักสักครู่ก็หาย

มีอาการใจสั่น เหนื่อยหอบ ใจหายหรือใจวูบเป็นครั้งราว

มีไข้ ปวดบวมตามข้อใหญ่ของร่างกาย เช่น ข้อมือ ข้อเท้า ข้อศอก และอาการปวดนี้เป็นมากกว่าหนึ่งตำแหน่ง ความน่ากลัวของโรคนี้สำหรับผู้ชาย คือ ทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เพราะทำให้มีการไหลเวียนของเลือดไปยังอวัยวะเพศน้อยลง

3. โรคความดันเลือดสูง เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับผู้ ชายได้ตลอดเวลา เมื่ออายุย่าง 30-35 ปี และมักเป็นก่อนอายุ 55 ปี โดยทั่วไปไม่พบอาการผิดปรกติ แต่จะตรวจพบเมื่อไปหาหมอด้วยโรคอื่น องค์การอนามัยโลก กำหนดค่าความดันเลือดที่เหมาะสมไว้ที่ 140/90 คนที่เป็นโรคความดันเลือดสูง คือมีค่าความดัน ช่วงบน-ช่วงล่าง มากกว่า 160/95 ส่วนค่าความดันที่ดี ควรน้อยกว่า 140/90 ความน่ากลัวของโรคนี้ คืออาการแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนอื่นๆ เช่น

หัวใจ ทำให้หัวใจวาย หอบเหนื่อย

สมอง เส้นเลือดฝอยในสมองแตก

ไต ภาวะไตวายเรื้อรัง เนื่องจากหลอดเลือดแดงเสื่อม

ตา จะทำให้หลอดเลือดในดวงตาเสื่อม ประสาทตาเสีย ตาจะมัวมากขึ้นจนถึงขั้นทำให้บอด

4. โรคเบาหวาน โรคนี้เป็นได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง และพบมากในคนที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป เกิดจากความผิดปรกติของตับอ่อนในการผลิตฮอร์โมนอินซูลิน โรคเบาหวานเป็นแล้วรักษายาก ปัญหาของคนที่เป็นโรคนี้ คือ ไม่สนใจตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องของอาหาร ไม่ออกกำลังกาย ปล่อยตัวให้อ้วน อันตรายของเบาหวาน คือภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดกับอวัยวะและระบบทำงานของร่างกาย ดังนี้

ตา อาจเป็นต้อกระจกก่อนวัย ประสาทตาหรือจอตาเสื่อม ตาจะมัวขึ้นเรื่อยๆ

ระบบประสาท ปลายประสาทอาจเกิดการอักเสบ เกิดอาการชาหรือปวดร้อนที่ปลายนิ้ว บาดแผลเกิดง่ายแต่รักษายาก บางคนเป็นบาดแผลนิดเดียวแต่อาจลุกลามใหญ่โต

ไต ไตเสื่อมและเกิดภาวะไตวาย มีอาการบวม ซีด ความดันเลือดสูง ผู้ป่วยด้วยโรคนี้ ส่วนใหญ่เสียชีวิตจากความผิดปรกติที่เกิดขึ้นในไต

ผนังหลอดเลือดแข็ง ทำให้เป็นโรคความดันสูง อัมพาต โรคหัวใจขาดเลือด มือเท้าเย็น

ระบบภูมิคุ้มกันต่ำ ทำให้ร่างกายติดเชื้อได้ง่าย เป็นแผลแล้วหายยาก เกิดการอักเสบตามส่วนต่างๆของร่างกาย

หมดความต้องการทางเพศ เนื่องจากการอุดตันของเส้นเลือดในส่วนอวัยวะเพศ ทำให้อวัยวะเพศไม่แข็งตัว

5. โรคมะเร็ง ผู้ชายส่วนใหญ่มักเป็นมะเร็งปอดและ มะเร็งต่อมลูกหมาก โรคนี้แม้จะไม่สามารถหาสาเหตุที่ชัดเจนได้ แต่จากงานวิจัยพบว่า พฤติกรรมในการบริโภคที่ไม่ดี อาจนำไปสู่สาเหตุการเป็นมะเร็งในต่อมลูกหมากได้ นอกจากนั้นรายงานการวิจัยยังระบุว่า แม้ผู้ชายที่เป็นมะเร็งในต่อมลูกหมากก็สามารถลดความเสี่ยงการตายจากโรคนี้ โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการกินอยู่ ทั้ง 5 โรคที่กล่าวมานอกจากจะเจ็บป่วยจากโรคโดยตรงแล้ว ยังมีอาการแทรกซ้อนที่ต้องระมัดระวังอีกด้วย ว่าแล้ว เราไปดูกันว่า ถ้าอยากเป็นผู้ชายสุขภาพดี ควรดูแลตัวเองอย่างไรกันค่ะ

ชวนคุณผู้ชาย เพิ่มภูมิชีวิตสู้โรค ผู้ชายส่วนมากไม่ค่อยอดทนกับโรคภัยไข้เจ็บมากนัก โดยเฉพาะเวลาที่เจ็บป่วย ผู้ชายมักไม่ค่อยยอมเสียเวลาให้กับสุขภาพที่ทรุดโทรมลง และต้องการแต่รักษาให้หายป่วยแบบวันนี้วันพรุ่ง และการที่ผู้ชายจะเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตที่ไม่ค่อยดีต่อสุขภาพ มาเป็น”คนรักสุขภาพ” ก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาพอสมควรทีเดียว แต่ถ้าคุณเพิ่มความรักให้ตัวเองขึ้นมาอีกนิด จะรู้ว่าการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องยากเลย เช่น

ลดอาหารไขมันสูง ไขมันนอกจากทำให้อ้วน ยังทำให้ระดับฮอร์โมนเพศสูง ซึ่งระดับฮอร์โมนเพศมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งในต่อมลูกหมากเช่นเดียว กับมะเร็งเต้านมในผู้หญิง

จำกัดอาหารประเภทเนื้อแดง เพราะในเนื้อแดงมีไขมันแทรกอยู่ไม่น้อย การกินเนื้อมาก แม้จะเป็นเนื้อไม่ติดมัน ก็ทำให้ได้รับไขมันเพิ่มขึ้นอีกด้วย ที่สำคัญงานวิจัยยังยืนยันว่าผู้ชายที่กินเนื้อแดงมากจะมีความเสี่ยงต่อโรค นี้มากขึ้นตามไปด้วย

กินถั่วเหลืองแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ถั่วเหลืองสามารถชะลอความรุนแรงของมะเร็งในต่อมลูกหมากได้ เพราะถั่วเหลืองมีฮอร์โมนพืชที่เรียกว่า ไฟโตเอสโตรเจน เพิ่มปริมาณเอสโตรเจนในชาย ทำให้เกิดสมดุลของฮอร์โมนเพศชาย

เน้นผัก ผลไม้ และเมล็ดธัญพืช มีหลักฐานมากมายยืนยันประโยชน์ของผักผลไม้ในการป้องกันมะเร็ง โดยเฉพาะผักผลไม้ที่อุดมด้วยสารแคโรทีนอยด์ เช่น ผักคะน้า ส้ม ส่วนธัญพืชและถั่วเมล็ดแห้งต่างๆมีสารไอโซฟลาโวนอยด์สูง ซึ่งช่วยลดการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากได้

กินมะเขือเทศ ในมะเขือเทศมีสารไลโคปีน มีผลในการป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเขือเทศที่ผ่านความร้อนในการปรุงอาหารจะปล่อยสารไลโคปีนออกจากผนังเซลล์ ได้ดีกว่ามะเขือเทศดิบ ทำให้ร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น

ลดอาหารเค็ม หรืออาหารที่มีโซเดียมสูง โซเดียมทำให้ร่างกายเราสูญเสียแคลเซียมไปกับปัสสาวะมากขึ้น และกระดูกยิ่งเปราะเร็วมากขึ้น คุณผู้ชายจึงควรพยายามลดอาหารที่มีส่วนผสมของโซเดียม เช่น เกลือ ซีอิ๊ว น้ำปลา เต้าเจี้ยว แหนม ไข่เค็ม ปลาเค็ม เต้าหู้ยี้ และอาหารขบเคี้ยวทอดกรอบ

ระวังน้ำหนักตัวและน้ำหนักพุง ลดของทอด แกงกะทิ เนื้อสัตว์ติดมัน ขนมทั้งหลาย จำกัดปริมาณการกิน เลือกอาหารที่มีแคลอรีต่ำและให้คุณค่าทางอาหารสูง ลดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ มีรายงานการวิจัยว่าเส้นรอบพุงจะเพิ่มขึ้นตามอายุ แม้ในคนค่อนข้างสุขภาพดีก็ตาม หลังอายุ 30 ขึ้นไปควรฝึกนิสัยการออกกำลังกายวันละ 30 นาที จะเป็นประโยชน์มหาศาลเมื่ออายุมากขึ้น

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

การรักษาน้ำหนัก!!!

อาหารที่เรารับประทานเข้าไปจะใช้เป็นพลังงานในการดำเนินชีวิต เช่นใช้หล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ใช้ในการเดิน การหายใจ การทำงาน แต่ถ้าหากเรารับประทานอาหารที่มีพลังงานมากกว่าที่เราใช้ส่วนเกินของพลังงาน จะสะสมในรูปไขมันผลทำให้น้ำหนักท่านเพิ่ม

ท่านผู้อ่านควรที่จะรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติคือดัชนีมวลกายอยู่ระหว่าง 20-20 กก./ตารางเมตร หากต่ำกว่านี้ร่างกายอาจจะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ หากมากกว่านี้อาจจะทำให้เกิดโรคต่างๆเช่น โรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง

โรคอ้วนทำให้เกิดโรคอะไร

คนอ้วนมักจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดโรค ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง ซึ่งปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวจะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนั้นโรคอ้วนยังเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งได้หลายชนิด

การลดน้ำหนัก

วิธีลดน้ำหนักที่ดีที่สุดคือการลดพลังงานจากอาหาร และการออกกำลังกายหรืออาจจะทำทั้งสองอย่างพร้อมกัน

ลดพลังงานจากอาหาร

รับประทานอาหารพวกผักผลไม้ให้มาก ไม่ปรุงอาหารด้วยไขมัน

ลดอาหารไขมัน เช่นอาหารทอด ผัด เช่นปาท่องโก๋ กล้วยทอด ไก่ทอด ฟิซซ่า โรตี กะทิ

ดื่มนมพร่องมันเนย งดเนย

ลดการบริโภคน้ำตาล ของหวาน

ลดสุรา

การออกกำลังกาย

ใช้การเดินแทนการนั่งรถ

ใช้บันไดแทนการขึ้นลิฟต์

ไปเล่นกับลูก ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน

ศุภณัฐฑ์ ม.ฟาร์ เลขที่ 42

10 วิธีเผาผลาญแคลอรี่

สำหรับสาว ๆ ที่ห่วงเรื่องน้ำหนักตัวทั้งหลาย จะให้ความสำคัญกับเรื่องของแคลอรี่มาก ๆ ค่ะ อะไรนิดอะไรหน่อยที่เขาว่า โลว์ แคลอรี่ ก็รีบไปซื้อไปหามากินกัน อะไรที่ไม่มีป้ายแคลอรี่ต่ำ ก็แทบจะไม่แตะต้องเอาเสียเลย แต่จริง ๆ แล้ว เราสามารถควบคุมแคลอรี่ของเราได้ ไม่เฉพาะการรับประทานค่ะ แต่เราควรจะให้ความสำคัญกับการเผาผลาญแคลอรี่ของร่างกายเราด้วย มาดูกันค่ะว่า กิจกรรมอะไรที่จะช่วยคุณได้บ้าง

ปั่นจักรยาย : ประมาณสัก 10 นาที อย่างต่อเนื่อง จะช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้ 100 แคลอรี่ค่ะ ยิ่งถ้าใครมีเด็กอยู่ที่บ้านล่ะก็ดีเลย พาเขาไปสูดอากาศ ปั่นจักรยานด้วยกัน ช่วยยืดเส้นยือสายกล้ามเนื้อขา พร้อม ๆ กับสร้างความแข็งแรงให้กับหัวใจค่ะ

วีดีโอออกกำลังกาย : ทำตามสัก 10-15 นาที สัก 4-5 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยเผาผลาญแคลอรี่พร้อม ๆ กับสร้างสรรค์กิจกรรมใหม่ ๆ ให้คุณไม่รู้สึกเบื่อ

เดิน : ประมาณ 15 นาที ง่าย และเบสิกมาก ๆ อย่างน้อยใน 1 สัปดาห์ คุณควรหาโอกาสเดินเล่นสักครั้ง แค่ 15 นาที ก็เผาผลาญแคลอรี่ได้ 100 แคลอรี่ค่ะ

กระโดด : เช่นการกระโดดเชือก ประมาณ 15 นาที นอกจากจะเผาผลาญแคลอรี่แล้ว ยังดีต่อปอด หัวใจ และขา เวลาทำให้ทำอย่างรวดเร็วและเข้มแข็ง รับรองคุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของร่างกายรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ

จ๊อกกิ้ง : ประมาณ 15 นาที ในครั้งแรก ๆ และค่อย ๆ เพิ่มครั้งละ 1-2 นาที ถ้าสามารถทำได้วันละ 2 ครั้ง จะช่วยเผาผลาญแคลอรี่ได้ 300 แคลอรี่ต่อวันค่ะ

ขึ้นบันได : ประมาณ 15 นาที พยายามใช้ให้บ่อย แทนการขึ้นลิฟต์ ทั้งที่บ้านและที่ทำงานค่ะ

เต้นรำ : 20 นาที แต่ไม่ต้องถึงขึ้นไปตามผับหรอกนะคะ เต้นไปรอบ ๆ ห้องนอนหรือที่บ้านก็พอแล้วค่ะ จะช่วยให้เลือดสูบฉีดได้ดีขึ้น และอารมณ์ก็จะดีขึ้นด้วย

ทำงานบ้าน : วิธีนี้ ได้ทั้งบ้านสะอาด ทั้งการเผาผลาญแคลอรี่อย่างดีเยี่ยมค่ะ ทุก ๆ 20 นาที จะเผาผลาญแคลอรี่ได้ 100 แคลอรี่ค่ะ

ล้างรถ : ใช้เวลาประมาณ 10-20 นาที ก็พอค่ะ ไม่ต้องไปเสียเงินใช้บริการตามสถานที่ล้างรถต่าง ๆ ด้วย ค่ะ ยิ่งถ้าบ้านไหนมีรถหลายคัน รับรองค่ะ ผอมแน่

ข้อมูลจาก

สำนักข่าวไทย อ.ส.ม.ท.

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์อีส เลขที่ 2

ท้องผูก Constipation

ภาวะท้องผูกเป็นอย่างไร

ไม่มีตัวเลขแน่นนอนว่าคนปกติควรจะถ่ายกี่วันครั้งหรือวันละกี่ครั้ง เนื่องจากความถี่ของการถ่ายขึ้นกับ ปริมาณอาหารที่รับประทาน ชนิดของอาหารที่รับประทาน รวมทั้งการออกกำลังกาย โดยเราถือว่าถ้าถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ และถ่ายลำบาก อุจาระแข็งเราจัดเป็นท้องผูก

การแก้ไขภาวะท้องผูก

1.รับประทานอาหารที่มีกากหรือใยอาหารให้มาก กากอาหารจะพบมากในผัก ผลไม้ และธัญพืช กากและใยอาหารจะทำให้อุจาระนุ่ม ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่มีกาก เช่น ครีม เนย เนื้อ มันทอด

2.ดื่มน้ำ น้ำผลไม้ และน้ำผักให้มาก น้ำจะทำให้อุจาระนุ่มและออกง่ายไม่ควรดื่มกาแฟ และแอลกอฮอล์เนื่องจากจะทำให้อุจาระแห้ง

3.ออกกำลังกายเป็นประจำจะทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น โดยอาจจะใช้เดินวันละ 20-30นาที

4.เวลาเข้าห้องน้ำอย่ารีบเร่งจนเกินไป ให้เวลากับการขับถ่ายบ้าง

5.ใช้ยาระบายตามแพทย์สั่งและใช้เท่าที่จำเป็น ผู้ป่วยส่วนใหญ่ถ้าปฏิบัติตัวดีก็หายเองได้ โปรดปรึกษาแพทย์ในการเลือกใช้ยาระบาย

6.หากท่านใช้ยาประจำโปรดปรึกษาแพทย์เพราะยาบางชนิดอาจจะทำให้เกิดอาการท้องผูก เช่น แคลเซียม ยาลดกรด ยาแก้ปวดบางชนิด ยาขับปัสสาวะ

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์อีส เลขที่ 2

การบริหารแขน

การบริหารแขนก็เพื่อให้แขนแข็งแรงและมีรูปทรงที่สวยงาม รูปที่แสดงเป็นการบริหารกล้ามเนื้อต้นแขนทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ควรจะทำเซตละ 12-15 ครั้งวันละ 3 เซต แต่ละเซตให้มีเวลาพักเล็กน้อย อุปกรณ์ที่ใช้อาจจะใช้วัสดุใกล้มือ เช่นไม้คาน กระป๋องผลไม้ ขวดน้ำ เป็นต้น

การใช้ไม้พลองหรือ bar curls

ท่านี้เหมาะสำหรับการบริหารกล้ามเนื้อต้นแขนด้านหน้า {bicep} ยืนกางเท้าให้มีความกว้างเท่ากับความกว้างของไหล่ เข่างอเล็กน้อย จับไม้พลองในท่าหงายมือ หลังตรง แขนส่วนบนแนบลำตัว ยกแขนขึ้นพร้อมกับงอข้อศอกให้ไม้พลองอยู่ในระดับไหล่ ปล่อยไม้พลองลงในท่าเริ่มต้น หากต้องการบริหารกล้ามเนื้อปลายแขนก็ให้งอข้อมือร่วมด้วย

การใช้ bar bell

ท่านี้เหมาะสำหรับการบริหารกล้ามเนื้อต้นแขนด้านหน้า ให้ยืนแยกเท้ากว้างระดับไหล่ เข่างอเล็กน้อย ต้นแขนอยู่แนบลำตัว มือทั้งสองถือ bar bell หรือวัสดุอื่น หงายมือ ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งยกลงสลับกัน การยกขึ้นลงต้องทำอย่างช้าๆ

การใช้เก้าอี้

ท่านี้เหมาะสำหรับการบริหารต้นแขนด้านหลังแขน วางเก้าอี้ชิดกำแพง มือวางบนเก้าอี้น้ำหนักตัวอยู่บนเท้าและฝ่ามือทั้งสองข้างหย่อนก้นลงให้ข้อศอกทำมุม 90 องศาแล้วค่อยดันมือเพื่อกลับสู่ท่าเริ่มต้น

ปาริชาติ กันทะวงค์ ม.ฟาร์ เลขที่ 10

โรคปวดกล้ามเนื้อหลัง (Musculotendinous Strain)

ลักษณะทั่วไป

โรคปวดกล้ามเนื้อหลัง เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของอาการปวดหลัง พบได้ตั้งแต่วัยหนุ่ม สาวเป็นต้นไป เป็นภาวะที่ไม่มีอันตรายร้ายแรง และมักจะหายได้เอง แต่อาจเป็นๆ หาย ๆ เรื้อรังได้

สาเหตุ

มักเกิดจากการทำงานก้ม ๆ เงย ๆ ยกของหนัก นั่ง ยืน นอน หรือยกของในท่าที่ไม่ถูกต้อง ใส่รองเท้าส้นสูงมากเกินไป หรือนอนที่นอนนุ่มเกินไป ทำให้เกิดแรงกดตรงกล้ามเนื้อสันหลังส่วนล่าง ซึ่งจะมีอาการเกร็งตัว ทำให้เกิดอาการปวดตรงกลางหลังส่วนล่าง คนที่อ้วน หรือหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ก็อาจมีอาการปวดหลังได้เช่นกัน

อาการ

ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดตรงกลางหลังส่วนล่าง (ตรงบริเวณกระเบนเหน็บ) ซึ่งอาจเกิดขึ้นเฉียบพลันหรือค่อยเป็นทีละน้อย อาการปวดอาจเป็นอยู่ตลอดเวลา หรือปวดเฉพาะในท่าบางท่า การไอ จาม หรือบิดตัว เอี้ยวตัวอาจทำให้รู้สึกปวดมากขึ้น โดยทั่วไปผู้ป่วยจะแข็งแรงดี และไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆร่วมด้วย

การรักษา

1.สังเกตว่ามีสาเหตุจากอะไร แล้วแก้ไขเสีย เช่น ถ้าปวดหลังตอนตื่นนอน ก็อาจเกิดจากที่นอนนุ่มไป หรือนอนเตียงสปริง ก็แก้ไขโดยนอนบนที่แข็งและเรียบแทนถ้าปวดหลังตอนเย็น ก็มักจะเกิดจากการนั่งตัวงอตัวเอียง หรือใส่รองเท้าส้นสูง ก็พยายามนั่งให้ถูกท่า หรือเปลี่ยนเป็นรองเท้าธรรมดาแทน ถ้าอ้วนไป ควรพยายามลดน้ำหนัก

2.ถ้ามีอาการปวดมากให้นอนหงายบนพื้น แล้วใช้เท้าพาดบนเก้าอี้ให้เข่างอเป็นมุมฉาก สักครู่หนึ่งก็อาจทุเลาได้ หรือจะใช้ยาหม่อง หรือน้ำมันระกำทานวด หรือใช้น้ำอุ่นประคบก็ได้ ถ้าไม่หายก็ให้ยาแก้ปวด เช่น แอสไพริน, พาราเซตามอล ครั้งละ 1-2 เม็ด จะกินควบกับไดอะซีแพมขนาด 2 มก.ด้วยก็ได้ ถ้ายังไม่หาย อาจให้ยาคลายกล้ามเนื้อ เช่น เมโทคาร์บา มอล , คาริโซม่า ครั้งละ 1 เม็ด ซ้ำได้ทุก 6-8 ชั่วโมง ผู้ป่วยควรนอนที่นอนแข็ง และหมั่นฝึก กายบริหารให้กล้ามเนื้อหลังแข็งแรง

3.ถ้าเป็นเรื้อรังหรือมีอาการชาที่ขา หรือขาไม่มีแรง อาจเกิดจากสาเหตุอื่น ควรแนะนำผู้ป่วยไปโรงพยาบาลอาจต้องเอกซเรย์หลัง หรือตรวจพิเศษอื่น ๆ และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

ข้อแนะนำ

อาการปวดหลังแบบนี้เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยในหมู่ชาวไร่ชาวนา กรรมกรที่ทำงานหนัก และในหมู่คนที่ทำงานนั่งโต๊ะนาน ๆ ซึ่งมักจะเข้าใจผิดว่าเป็นอาการของโรคไต โรคกษัย และซื้อยาชุด ยาแก้กษัย หรือยาแก้โรคไต กินอย่างผิดๆ ซึ่งบางครั้งอาจทำให้เกิดโทษได้ ดังนั้นจึงควรแนะนำชาวบ้านเข้าใจถึงสาเหตุของอาการปวดหลัง และควรใช้ยาเท่าที่จำเป็น โดยทั่วไปการปวดหลังเนื่องจากกล้ามเนื้อมักจะปวดตรงกลางหลัง ส่วนโรคไตมักจะปวดที่สีข้าง และอาจมีไข้สูง หนาวสั่น หรือปัสสาวะขุ่นหรือแดงร่วมด้วย

สาเหตุโรคปวดหลัง นั้นมีมากมาย ได้แก่ โดยกำเนิด, อุบัติเหตุ, เนื้องอก, ติดเชื้อ, อักเสบ, โรคเมตาบอลิก, โรคในช่องท้อง, โรค

กระดูกสันหลังเสื่อม แต่สาเหตุที่เป็นกันมาก และ สามารถป้องกันรักษาได้ คือ โรคกระดูกสันหลังเสื่อม น้ำหนักตัวมาก ท่าทางไม่เหมาะสม ขาดการออกกำลังกายทำให้ลงพุงเอวแอ่นมาก

ท่าทางที่ไม่เหมาะสม หลังจะค่อมทำให้เอวแอ่นมากขึ้น การที่เอว แอ่นมากขึ้น ทำให้ช่องทางออก ของเส้นประสาท แคบลง เส้นประสาท ถูกเบียดมากขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ปวดหลัง เอวแอ่นอยู่เป็นเวลานานๆ ทำให้ หมอนรองกระดูกรับน้ำหนักไม่สมดุลกัน จึงเกิดการเสื่อมของหมอนรอง กระดูก ซึ่งมีผลทำให้กระดูกสันหลังเสื่อมตามมา

คนที่ลงพุงน้ำหนักที่มากขึ้นกับพุงที่ยื่นมาด้านหน้า ทำให้กล้ามเนื้อ หลังต้องออกแรงดึงมากขึ้น การดึงเป็นเวลานานๆ ทำให้กระดูกสันหลัง เสื่อมเร็ว ทำให้ปวดหลังได้

ส่วนในวัยสูงอายุอาการปวดหลังมักมีสาเหตุจากการเสื่อมสภาพของกระดูกสันหลังเช่นกระดูกสันหลังงอกดทับเส้นประสาท หรือมีการเคลื่อนตัวของข้อกระดูกสันหลังออกจากตำแหน่งเดิม ซึ่งสามารถวินิจฉัยได้จากการซักประวัติ, ตรวจร่างกาย และเอ็กซเรย์ การรักษาเบื้องต้นก็ยังคงเป็นการรับประทานยา, ใส่เสื้อรัดเอว, ทำกายภาพบำบัดเสียก่อน ถ้าอาการไม่ดีขึ้นหรือเป็นมากขึ้น ก็อาจจะพิจารณาเรื่องการผ่าตัดรักษา

สาเหตุอื่นๆส่วนน้อย ที่ทำให้มีอาการปวดหลังได้ ก็คือ ปวดจากการร้าวของอวัยวะของช่องท้อง เช่น นิ่วที่ไต, ตับอ่อนอักเสบ ฯลฯ ซึ่งพบไม่บ่อยนัก จากประวัติอาการปวด, ตรวจร่างกาย, เอ็กซเรย์

การป้องกัน

โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยระวังรักษาท่านั่ง ท่ายืน ท่ายกของ ให้ถูกต้อง หมั่นออกกำลังกล้ามเนื้อหลังเป็นประจำ และนอนบนที่นอนแข็ง

การรักษาที่ดีที่สุด คือ ป้องกันสาเหตุ ได้แก่

ลดน้ำหนักตัว ไม่ใช่การอดอาหารแต่เป็นการกินอาหารให้ครบ 5หมู่งดเว้นการกินอาหารที่มีแคลอรี่สูงมากเกินความจำเป็น เช่น ดื่มน้ำหวาน

ท่าทางเหมาะสม

ท่ายืนที่ถูกต้อง คือ แขม่วท้องอกผายไหล่ผึ่งเอวแอ่นน้อยที่สุด ถ้าต้องยืนเป็นเวลานานควรมีที่พักเท้า การยืนห่อไหล่พุงยื่น ทำให้เอวแอ่น มากปวดหลังได้

ท่านั่งที่ถูกต้อง สันหลังตรงพิงพนัก เก้าอี้สูงพอดี และควรมีที่พักแขน การนั่งห่างจากโต๊ะมากทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานมาก ที่นั่งที่เหมาะสม ที่สุดในการพักผ่อน ควรเอียง 60 องศาจากแนวตั้ง มีส่วนหนุนหลัง มีที่วางแขน ทำด้วยวัสดุนุ่มแต่แน่น

ท่านั่งขับรถ ที่ถูกต้อง หลังพิงพนัก เข่างอเหนือระดับสะโพก การนั่งห่างเกินไป ทำให้เข่าต้องเหยียดออกกระดูกสันหลังตึง

ท่ายกของ ที่ถูกต้อง ควรย่อตัว ยกของให้ชิดตัว แล้วลุกด้วยกำลังขา การก้มลงหยิบของในลักษณะเข่าเหยียดตรง ทำให้ปวดหลังได้ท่าถือของ ที่ถูกต้องควรให้ชิดตัวที่สุด การถือของห่างจากลำตัว ทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานหนักปวดหลังได้

ท่าเข็นรถ ที่ถูกต้อง ควรดันไปข้างหน้า ออกแรงที่กล้ามท้อง การดึง ถอยหลังจะออกแรงที่กล้ามเนื้อหลังเป็นเหตุให้ปวดหลัง

ท่านอน ที่นอนควรจะแน่น ยุบตัวน้อยที่สุด ไม่ควรใช้ฟูกฟองน้ำ หรือเตียงสปริง เพราะหลัง จะจมอยู่ในแอ่ง ทำให้กระดูกสันหลังแอ่น มากปวดหลังได้

นอนคว่ำ จะทำให้กระดูกสันหลังแอ่นมากที่สุด โดยเฉพาะระดับเอว ทำให้ปวดหลังได้

นอนหงาย ทำให้หลังแอ่นได้เล็กน้อย ควรใช้หมอนข้างใบใหญ่ หนุนใต้ โคนขา จะช่วยให้กระดูกสันหลังไม่แอ่น

นอนตะแคง เป็นท่านอนที่ดี ควรให้ขาล่างเหยียดตรง ขาบนงอสะโพก และเข่ากอดหมอนข้าง

การออกกำลังกายกระดูกสันหลังปกติรับน้ำหนักมากอาจหลุดได้ แต่นักกีฬายกน้ำหนัก ได้มาก เพราะมีกล้ามเนื้อท้อง

แข็งแรง เปรียบเสมือนมีลูกบอลคอยช่วย รับน้ำหนักไว้ การออกกำลังกายที่จำเป็นต้องทำเป็นประจำ

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)เลขที่ 33

ทราบหรือไม่ว่าการเลิกกินเนื้อสัตว์ สามารถส่งผลดีต่อจิตใจได้ วันนี้มีเรื่องนี้มาฝาก...

1. จิตใจมีความสงบเยือกเย็น สุขุม เกิดเมตตาจิตเต็มเปี่ยมอารมณ์ไม่ฉุนเฉียว ไม่หุนหันพลันแล่น ไม่โกรธง่าย ซึ่งเป็นพื้นฐานเบื้องต้นที่จะช่วยเกื้อกูลส่งเสริมให้สามารถบำเพ็ญบารมีธรรมก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป

2. หยุดก่อหนี้บาป หยุดสร้างกรรมเวรใหม่ ทำให้ปราศจากศัตรู ทั้งมนุษย์และสัตว์ที่คิดจะมุ่งร้ายพยาบาทอาฆาตติดตามจองเวร

3. ทำให้มีสติมั่นคง ทั้งในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่และยามที่จิตวิญญาณออกจากร่างไป ไม่เป็นคนหวั่นไหวตื่นตกใจง่ายต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ

4. ตนเองและครอบครัวตลอดจนบริวาร จะบังเกิดความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต มีเหตุให้ได้เกิดอยู่ในอารยประเทศอันอุดมสมบูรณ์ ชีวิตไม่ต้องตกอยู่ท่านกลางการรบราฆ่าฟัน ไม่ประสบเหตุการณ์โหดเหี้ยมทารุณ

5. บรรดาเหล่าเทพ พรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงต่างสรรเสริญ ชื่นชม อำนวยอวยพรให้การอารักขาคุ้มครองตลอดเวลา

6. เป็นผู้ไม่ประมาทต่อเหตุการณ์ทั้งโลกนี้และโลกหน้า ความจริงบาปกรรม จากการกินเนื้อไม่ต้องรอชาติหน้าว่าจะไปพบกับอะไร เพราะในชาตินี้การกินเนื้อก็มีแต่โรคภัยร้ายแรงเบียดเบียนให้ได้รับทุกข์ทรมาน

การกินเนื้อสัตว์ก็มีประโยชน์กับร่างกาย แต่การเลิกกินเนื้อสัตว์ก็ให้ผลดีด้านจิตใจด้วยเหมือนกัน อันนี้ก็แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคนว่าอยากกินเนื้อสัตว์หรือไม่.

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์) 006

ใครที่ทานส้มโอแล้วทิ้งเปลือก วันนี้มีประโยชน์จากเปลือกส้มโอมาบอก...

เปลือกผลไม้หลายชนิด สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น นำไปกลบใต้ต้นไม้กลายเป็นปุ๋ย โดยไม่ต้องเน่าเสียไปเฉย ๆ หรือเปลือกทุเรียนสามารถนำไปตากแห้งเป็นเชื้อเพลิงได้ ส่วนเปลือกส้มโอก็เช่นเดียวกัน

วิธีที่จะนำไปใช้ประโยชน์ คือ นำมาต้มทิ้งไว้สักพัก จากนั้นก็นำด้านในของเปลือกส้มโอ มาขัดถูกภาชนะพวกอลูมิเนียม ตะหลิว ทัพพี ฯลฯ ก็จะทำให้สิ่งของเหล่านั้น เป็นเงางามเหมือนใหม่อีกครั้ง

ทานส้มโอครั้งหน้า อย่าลืมนำเปลือกส้มโอไปใช้ประโยชนกันดูได้.

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

กินอาหารที่มีสีสัน เพื่อสุขภาพที่ดี

กินอาหารที่มีสีสัน เพื่อสุขภาพที่ดี

ควรมองหาอาหารที่มีสีน้ำเงินเข้ม, ม่วง, แดง, เขียว, ส้ม, เหลือง เพราะประกอบด้วยสารคาโรตินอยด์ และแอนโทไซยานินส์ ซึ่งมีสารอาหารที่ช่วยบำรุงสุขภาพ ป้องกันร่างกายจากโรคหัวใจและมะเร็ง และเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันเซลล์เสียหาย และลดความเสี่ยงต่อโรคเกี่ยวกับความเสื่อมต่างๆของร่างกาย ผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ

สีเขียวเข้ม ผักก้านยาวอย่าง บรอกโคลีและคะน้า เป็นแหล่งของแคลเซียมที่มีประโยชน์ต่อกระดูกและฟัน

สีแดง มะเขือเทศและทับทิม เป็นแหล่งของแอนโทไซยานินส์และไลโคพีน ซึ่งอาจช่วยลดโอกาสการเป็นโรคหัวใจและมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งระบบทางเดินอาหาร

สีส้ม/เหลือง ฟักทอง แครอท และมันเทศ เป็นแหล่งสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถส่งเสริมสุขภาพปอดและต้านมะเร็งเซลล์ผิวหนัง

สีน้ำเงิน/ม่วง มะเขือม่วงและบลูเบอรี่ ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ โดยกระตุ้นตับให้ดูดซับคอเลสเตอรอลส่วนเกินและช่วยให้ความจำดีขึ้น

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

ผลเสียของการสูบบุหรี่!!!

ทุกปีจะมีผู้เสียชีวิตจากบุหรี่ปีละ 400000

คนหรืออาจจะมากว่านั้นแต่ละปีรัฐบาลต้องเสียงบประมาณเป็นค่ารักษาโรคที่เกิดจากบุหรี่มากมาย โทษของบุหรี่สมัยนี้มีมากว่าสมัยก่อนหลายเท่าเนื่องจากบุหรี่ปัจจุบันมีสารนิโคตินและ tar ต่ำทำให้คนสูดบุหรี่เข้าปอดให้ลึกๆ

ผู้ที่อยู่กับผู้ที่สูบบุหรี่ก็ได้รับผลเช่นเดียวกันเราเรียกกลุ่มนี่ว่าสูบบุหรี่มือสอง ควันที่ออกจากผู้สูบบุหรี่จะมีสารที่มีขนาดเล็กสามารถเข้าปอดของผู้สูบบุหรี่มือสองผลเสียของการสูบบุหรี่ได้แก่

โรคหัวใจ

การสูบบุหรี่จะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ผู้ที่สูบบุหรี่จะเพิ่มอัตราการเกิดโรหัวใจ 5 เท่าเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ ผู้ที่สูบบุหรี่จะมีระดับไขมัน HDL-Cholesterol(ไขมันซึ่งป้องกันหลอกเลือดแดงตีบ)ต่ำ และยังกระตุ้นระบบประสาทอัตโนมัติทำให้หัวใจและหลอดเลือดเกิดโรค ยิ่งสูบมากยิ่งมีโอกาสเกิดโรคมาก โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่สูบบุหรี่จะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจมากกว่าผู้ชายที่สูบบุหรี่เนื่องจาการสูบบุหรี่มีผลต่อระดับฮอร์โมน estrogen มีรายงานว่าผู้ที่สูบุหรี่มือสองเมื่ออยู่ในห้องที่สูบบุหรี่เพียงครึ่งชั่วโมงระดับของสารต้านอนุมูลอิสระในเลือดเช่นวิตามิน ซีจะมีระดับลดลง

โรคมะเร็ง

ร้อยละ30ของผู้ป่วยมะเร็งจะสูบบุหรี่ ผู้ป่วยมะเร็งปอดจะสูบุหรี่ร้อยละ85 ผู้ที่สูบบุหรี่มือสองจะมีการเพิ่มขึ้นของมะเร็งปอดร้อยละ 25 ผู้ที่สูบุหรี่ที่มีไส้กรองจะมีอุบัติการณ์ของมะเร็งปอดชนิด adenocarcinoma สูงเนื่องจากผู้ป่วยจะสูดเข้าแรงมากทำให้สารก่อมะเร็งเข้าสู่ปอด ผู้ที่สูบบุหรี่ที่ใส่ menthol ก็มีโอกาสเป็นมะเร็งปอดสูง นอกจากมะเร็งปอดแล้วบุหรี่ยังก่อให้เกิดมะเร็งที่คอ ปาก หลอดอาหาร ไตกระเพาะปัสสาวะ มดลูก

โรคอัมพาตและสมองเสื่อม

ผู้ที่สูบบุหรี่วันละซองจะมีโอกาสเสี่ยงต่อโรคอัมพาต2เท่าครึ่งเมื่อเทียบกับคนที่ไม่สูบ และยังพบว่าปัจจัยเสี่ยงยังคงมีอยู่หลังหยุดสูบบุหรี่ 14 ปี นอกจากนั้นยังพบโรคสมองเสื่อมเพิ่มในผู้ที่สูบบุหรี่

โรคปอด

ปีหนึ่งจะมีผู้ที่สูบบุหรี่เสียชีวิตจากโรคถุงลมโป่งพอง ปอดบวม หลอดลมอักเสบเป็นจำนวนมาก

การตั้งครรภ์และทารก

ผู้ที่สูบบุหรี่วันละซองโดยเฉพาะที่เริ่มสูบตั้งแต่อายุ 18 ปีจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรค เป็นหมัน ครรภ์นอกมดลูกและการแท้งและยังเพิ่มอัตราการตายในทารก การสูบบุหรี่จะไปลดกรดโฟลิก กรดโฟลิกจะมีส่วนช่วยป้องกันความพิการแต่กำเนิด ลูกที่เกิดจากแม่ที่สูบบุหรี่มักจะมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าปกติ

สำหรับเด็กที่เติบโตในสิ่งแวดล้อมที่พ่อหรือแม่ที่สูบบุหรี่จะมีอุบัติการณ์การเกิดโรคหอบหืด โรคหลอดลมอักเสบ ปอดบวม เพิ่มขึ้นร้อยละ50

การสูบบุหรี่กับสุขภาพช่องปาก

การสูบบุหรี่สามารถทำให้โรคมะเร็งในช่องปากและโรคเหงือก โดยควันบุหรี่จะทำลายเนื้อเยื่อที่ยึดระหว่างเหงือกและฟันทำให้เหงือกร่น ทำให้ดื่มน้ำร้อนหรือน้ำเย็นจะเสียว เกิดฟันผุ ทำให้แผลหายช้า มีกลิ่นปาก มีคราบบุหรี่ติดที่เหงือกและฟัน

การสูบบุหรี่กับโรคกระดูกและกล้ามเนื้อ

โรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่เป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ ผู้ที่สูบจะมีอายุสั้นกว่าผู้ที่ไม่สูบประมาณ 7-10ปี บุหรี่นอกจากจะทำให้เกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือดยังก่อให้เกิดโรคข้อและกระดูกดังนี้

โรคกระดูกพรุน การสูบบุหรี่จะลดเลือดที่ไปเลี้ยงกระดูก นิโคตินที่อยู่ในบุหรี่ยังลดการสร้างกระดูกและลดการดูดซึมแคลเซียมทำให้ผู้ที่สูบมีโรคกระดูกพรุน กระดูกหักง่าย

การสูบบุหรี่ทำให้กระดูกสะโพกหักง่ายเนื่องจากกระดูกพรุน

การสูบบุหรี่ทำให้เกิดการอักเสบของข้อและกระดูกจากการออกกำลังได้ง่าย มีการฉีกของเอ็นและกล้ามเนื้อ

การสูบบุหรี่ทำให้กระดูกที่หักต่อติดกันได้ยากและทำให้แผลหายช้า

การสูบบุหรี่ทำให้ประสิทธิภาพของนักกีฬาลดลงเนื่องจากการทำงานของปอดสู้ผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ไม่ได้ ผู้ที่สูบบุหรี่จะหายใจมากกว่าผู้ที่ไม่สูบ 3 ครั้ง

ผู้ที่สูบบุหรี่มีโรคปวดหลังมากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่

การสูบบุหรี่กับโรคทางเดินอาหาร

การสูบบุหรี่ทำให้เกิดโรคร้ายแรงมากมาย และมีการเปลี่ยนแปลงระบบต่างๆรวมทั้งระบบอาหาร โรคทางเดินอาหารที่สัมพันธ์กับบุหรี่มีดังนี้

Heartburn

หรือคนไทยเรียกร้อนใน ผู้ป่วยจะมีอาการจุกหน้าอก เกิดจาการที่บุหรี่ทำให้หูรูดที่กั้นระหว่างกระเพาะและหลอดอาหารหย่อนตัว กรดจากกระเพาะล้นเข้าไปยังหลอดอาหารทำให้เกิดการอักเสบ

Peptic Ulcer

เชื่อว่าบุหรี่ทำให้เกิดการติดเชื้อ Helicobacter pylori (H.pylori)ได้ง่าย เชื้อดังกล่าวเป็นสาเหตุของโรคกระเพาะอาหาร นอกจากนั้นการสูบบุหรี่ยังทำให้ตับอ่อนไม่สามารถสร้างด่างได้มากพอ กรดที่มาจากกระเพาะจึงมีความเป็นกรดมากจึงทำให้เกิดแผลโดยเฉพาะแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น duodenal ulcer และจะหายยากกว่าผู้ที่ไม่สูบบุหรี่

โรคตับ

ตับมีหน้าที่กำจัดของเสียออกจากร่างกาย มีหลักฐานว่าการสูบบุหรี่จะทำให้ความสามารถในการกำจัดของเสียลดลง

การออกกำลังกายที่หน้า (facial exercise) (มีกระจกดูด้วยก็จะดี)

1.เลิกคิ้วสูงๆ ค้างไว้ แล้วลง ปฏิบัติซ้ำ 2-3 หนๆ ละ 5-10 วินาที

2.อ้าปากกว้างสุดๆ แล้วหุบสลับกัน

3.ทำแก้มตุ่ย

4.เม้มปากแน่นและคลาย

5.ทำปากจู๋ เหมือนผิวปาก

6. ทำจมูกย่น

7. อ้าปาก แลบลิ้นออกมายาวๆ เหมือนพยายามไปแตะจมูกหรือคางจากนั้นให้แลบไปทางข้างซ้ายและข้างขวาสลับไปมา

น.ส.ริศรา สิงห์สุวรรณ์ (ม.ฟาร์)

วิธีรักษาอาการปวดต้นคอ

- พยายามใช้ท่าทางอย่างถูกต้องในการเคลื่อนไหว ขณะนั่งทำงาน หรือท่ายืน โดยไม่ก้มคอมากเกินไป

- ออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อบริเวณคอ

- พยายามใช้หมอนหนุน บริเวณต้นคอและศีรษะเวลานอน

- อาจสวมใส่เครื่องพยุงลำคอถ้ามีอาการปวดเกร็งที่ต้นคอมาก

- การทำกายภาพบำบัดโดยการประคบด้วยความร้อนและการดึงส่วนลำคอโดยนักกายภาพบำบัดจะช่วยบรรเทาอาการได้

- อาหารไม่มีบทบาทในการรักษาโรคปวดต้นคอ หรือทำให้เกิดอาการมากขึ้น

ดื่มน้ำน้อยเสี่ยงกับมะเร็ง

จากการสัมมนาทางวิชาการ จัดโดยสถาบันนานาชาติ ไลฟ์ ไซเอินซ์ (ILSI) ร่วมกับสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้เชี่ยวชาญได้ กล่าวว่า คนเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบ 60 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว ดังนั้น การดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ ต้องรักษาปริมาณ น้ำที่ดื่มในแต่ละวัน กับน้ำที่สูญเสียไปให้สมดุล ดังที่สถาบันยาในสหรัฐฯ แนะนำว่าผู้ชายที่ทำกิจกรรมตามปกติ ต้องดื่มน้ำ 3.7 ลิตรต่อวัน ส่วนผู้หญิงควรดื่ม 2.7 ลิตรต่อวัน

รศ.ดร.กัลยา กิจบุญชู สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า เด็กและผู้สูงอายุเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะตกอยู่ในภาวะขาดน้ำ เนื่องจากเด็กไทยมักจะใช้กำลังมากเกินไประหว่างเล่น ทำให้เกิดภาวะน้ำในร่างกายต่ำ สังเกตจากผิวกายที่เย็นลง อาการเฉื่อยชา ริมฝีปากแห้ง และมีรอยช้ำบนผิวหนัง การหมุน เวียนโลหิตช้าลง

ดร.ห่าวยิง จาง จากสถาบันเครื่องดื่มเพื่อ สุขภาพและการเป็นอยู่ที่ดี ประเทศจีน กล่าวว่า น้ำเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดของชีวิต และคนทั่วไปได้รับน้ำจากอาหารและเครื่องดื่ม การดื่มน้ำน้อยมีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ โรคนิ่วในไต ท่อปัสสาวะอักเสบ โรคเกี่ยวกับฟัน โดยเฉลี่ยน้ำที่คนเราได้รับแต่ละวัน 20% ได้จากอาหาร ส่วนที่เหลือ 80% มาจากน้ำดื่มหรือเครื่องดื่ม ซึ่งรวมถึง ชา กาแฟ น้ำผลไม้ น้ำอัดลม และเครื่องดื่มเกลือแร่ ทั้งหมดนี้สามารถคืนน้ำให้แก่ร่างกายได้เช่นกัน

แคลอรี คืออะไร

แคลอรี (Calorie ย่อว่า cal) คือ หน่วยวัดพลังงานที่ได้จากอาหาร แต่ค่า 1 แคลอรีนั้นน้อยมาก จึงใช้หน่วยที่ใหญ่กว่าคือ กิโลแคลอรี (kcal) ฉะนั้น เวลาพูดถึงพลังงานที่ได้จากอาหารต้องใช้หน่วยให้ถูก เช่น ข้าวหมูแดง 1 จาน ให้พลังงาน 537 กิโลแคลอรี ไม่ใช่ แคลอรี อย่างที่ชอบพูดกันผิดๆ

เดี๋ยวนี้คนบางส่วนเริ่มหันมาสนใจแคลอรีในอาหารกันมากขึ้นค่ะ อย่างบางรัฐ ในสหรัฐอเมริกา เขามีกฎหมายบังคับให้ร้านค้าภัตตาคารติดป้ายบอกแคลอรีเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับทราบข้อมูลก่อนเลือกซื้อบริโภคกันแล้ว (แต่ร้านอาหารบางแห่งในบ้านเรามาแปลกกว่า คือรอให้อิ่มก่อนค่อยแจ้งจํานวนแคลอรีให้ทราบ อย่างนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะช่วยได้สักแค่ไหน เพราะตอนกินก็มักเพลิดเพลินจนลืมนึกถึงแคลอรีเสียสนิท)

โดยเฉลี่ย ร่างกายคนเราต้องการแคลอรีต่อวันไม่มากมายอะไรเลย อย่างผู้หญิงก็แค่ 1,600 kcal/วัน ส่วนผู้ชายก็ราวๆ 2,000 kcal/วัน ถ้ามากกว่านั้น พลังงานส่วนเกินจะถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมทําให้อ้วน ซึ่งโอกาสที่คนเราจะได้รับแคลอรีเกินความต้องการนั้นเป็นไปได้ง่ายมาก ถ้ายังติดนิสัยชอบบริโภคบรรดาอาหารต้องห้ามต่างๆ ดังกล่าว

น.ส.สร้อยนภา กันทาแจ่ม (ม.ฟาร์)

กินเพื่อพิชิตอ้วน

1.กินอาหารสมดุล ควบคุมสัดส่วนปริมาณอาหาร กลุ่มข้าว-แป้ง วันละ 8-12 ทัพพี ผัก วันละ 4-6 ทัพพี (ไม่หวาน) วันละ 3-5 ส่วน เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน วันละ 6-10 ช้อนกินข้าว นมพร่องมันเนย วันละ 1-2 แก้ว

2.กินอาหารธรรมชาติไม่แปรรูป เช่น เมล็ดธัญพืชต่างๆ เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน งา ถั่วต่างๆ เป็นต้น

3.กินผักและผลไม้รสไม่หวานให้มากพอและครบ 5 สี คือ สีน้ำเงินม่วงแดง สีเขียว สีขาว สีเหลืองส้ม และสีแดง เพิ่มวิตามิน เกลือแร่ ใยอาหาร และพฤกษาเคมี สารเม็ดสีในผักผลไม้เพิ่มระบบภูมิคุ้มกันโรค

4.กินเป็น คือ รู้จักหลีกเลี่ยงอาหารมันจัด หวานจัด และเค็มจัด

5.กินอาหารพออิ่ม ไม่บริโภคจนอิ่มมากเกินไป

6.กินอาหารเช้าทุกวัน มื้อเช้าเป็นมื้อหลักที่สําคัญ

7.กินอาหารมื้อเย็นแต่วัน เวลาสําหรับอาหารมื้อเย็นควรอยู่ห่างอย่างน้อย 4 ชั่วโมง ก่อนนอน

น.ส.อนงค์ วงค์สุภา (ม.ฟาร์)

ฉี่บ่อย ระวัง โรคร้าย ถามหา

การปัสสาวะบ่อย ๆ นอกจากจะรบกวน การดำเนินชีวิตประจำวันแล้ว อาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายบางชนิดที่ทุกคนจะต้องพึงระวัง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.วสันต์ เศรษฐวงศ์ หน่วยศัลยกรรมระบบทางเดินปัสสาวะ กลุ่มงานศัลยศาสตร์ โรงพยาบาลเลิดสิน อธิบายว่า อาการปัสสาวะบ่อย ในทางการแพทย์ หมายถึง ปัสสาวะมากกว่า 6 ครั้งในตอนกลางวัน หรือ มากกว่า 2 ครั้งในตอนกลางคืนหลังเข้านอน

คนที่อายุมากขึ้น โอกาสพบปัสสาวะบ่อยก็มากขึ้นด้วย โดยคนที่อายุน้อยกว่า 40 ปี มีโอกาสพบ 4% ในขณะที่คนอายุมากกว่า 60 ปี มีโอกาสพบถึง 15% ซึ่งอาการปัสสาวะบ่อยในคนหนุ่มสาวมักจะหาสาเหตุได้ง่ายกว่าในผู้สูงอายุที่อาจเกิดจากหลายสาเหตุ

น.ส.แพรวนภา สุกใส (ม.ฟาร์)

ต้องปฏิบัติอย่างไรเพื่อให้มีสุขภาพช่องปากที่ดี

การดูแลที่คุณจะทำได้ทุกวันก็คือ การแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันเพื่อทำความ

สะอาดช่องปาก ซึ่งก็จะช่วยลดหรือหยุดยั้งปัญหาในช่องปากได้

• แปรงฟันให้สะอาดอย่างทั่วถึงและใช้ไหมขัดฟันวันละ 2 ครั้ง

• รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อเหงือกและฟัน ลดการบริโภคขนมขบเคี้ยว

• ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์

• ใช้น้ำยาบ้วนปากเมื่อทันตแพทย์แนะนำให้ใช้

• ให้เด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปีดื่มน้ำที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ หรือรับประทาน

สารฟลูออไรด์หากว่าอาศัยอยู่ในท้องถิ่นที่ห่างไกล

น.ส.ริศรา สิงห์สุวรรณ์ (ม.ฟาร์)

ปั่นจักรยานผลาญแคลอรี

อยากฟิตแอนด์เฟิร์มในยุคน้ำมันแพงอย่างนี้ต้องจ้อกกิ้ง หรือวิ่งทน เท่านั้นนะจ๊ะ เพราะไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรเลย เรียกว่า ประหยัดกันสุดๆ ... แต่ถ้ารู้สึกเบื่อ อาจลองมาปั่นจักรยานกันดูบ้างก็ได้นะ ก็เพราะจักรยานถือว่าเป็นพาหนะที่เหมาะมั่กๆ ในยุคนี้ เพราะมีคุณสมบัติ 3 ส. คือ สะดวก สิ้นเปลืองน้อย และ สุขภาพดี (คุ้ม คุ้ม) แต่ทุกวันนี้ในเมืองไทย ยังไม่ค่อย เห็นใครเอาปั่นจักรยานเพื่อออกกำลังกาย หรือแม้แต่การใช้เป็นพาหนะเดินทางระยะใกล้ๆ กันเลย

การปั่นจักรยานน่ะมีประโยชน์มั่กๆ เพราะทำให้กล้ามเนื้อขา โดยเฉพาะกล้ามเนื้อต้นขาหน้าและหลังมีความแข็งแรง เป็นการยืดเส้นยืดสาย โดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณเอว สะโพก ทำให้ป้องกันปัญหาปวดกล้ามเนื้อขาได้ นอกจากนี้ ยังช่วยในการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย ทำให้ลดอัตราการสะสมของไขมันที่ผนังหลอดเลือดได้เป็นอย่างดีและหากเราออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานอย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้หัวใจแข็งแรง กล้ามเนื้อหัวใจทำงานได้ดีขึ้น แหมก็แน่ล่ะเพราะการปั่นจักรยานเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่ช่วยอย่างมากต่อการไหลเวียนของเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกาย ซึ่งนั่นก็เท่ากับช่วยให้หัวใจของเราแข็งแรงไปด้วย ที่สำคัญคือตะกรันไขมันที่จับอยู่ตามเส้นเลือดของเราก็พลอยจะถูกกำจัดออกไปด้วย จึงสามารถป้องกันภาวะเส้นเลือดตีบตันได้อีกทางหนึ่ง ส่วนอวัยวะอื่นๆ ก็ไม่ต้องพูดถึง ย่อมส่งผลดีไปด้วยโดยเฉพาะปอดน่ะแข็งแรงชัวร์ๆปั่นจักรยานไป มองดูทิวศ์ทัศน์รอบๆ ตัว ไปท่ามกลางอากาศที่บริสุทธิ์ นอกจากจะทำให้เราผ่อนคลายแล้ว ยังช่วยให้ระบบหายใจแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนเพื่อนำไปสร้างเม็ดเลือดขาวในกระแสเลือดได้ดีขึ้น และส่งผลให้เราอารมณ์ดีจากการเพิ่มของระดับฮอร์โมนแอนเดอร์ฟินอีกด้วย

พูดถึงตรงนี้ หลายๆ คนคงอยากออกไปปั่นจักรยานกันบ้างแล้วใช่ไม๊ แต่เดี๋ยวก่อน คนที่เริ่มปั่นจักรยานใหม่ๆ อย่าลืมเลือกจักรยานที่เหมาะกับสรีระของตัวเอง เลือกที่นั่งที่ไม่นิ่มหรือแข็งจนเกินไป หากเลือกไม่ดีอาจทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าและปวดกล้ามเนื้อขาได้ง่ายๆ แค่นี้ก็จะได้ออกกำลังกายแบบอารมณ์ดีแล้ว

น.ส.สร้อยนภา กันทาแจ่ม (ม.ฟาร์)

รูปร่าง… บอกนิสัย

รูปร่างสูงผอม

อุปนิสัยของคนที่มีลักษณะรูปร่างออกไปทางสูงผอม ซึ่งถ้าเป็นผู้หญิงก็มักจะเรียกว่าหุ่นนางแบบนั่นเอง รูปร่างเช่นนี้บ่งบอกถึงความเป็นคนอ่อนไหวช่างรู้สึก รู้สึกง่ายหรือไวนั่นแหละ จะสามารถจับความรู้สึกความต้องการของคนได้เร็ว จนบางครั้งก็ทำให้กลายเป็นคนที่ระมัดระวังตัวสูง ในขณะเดียวกันก็เป็นคนช่างคิดและดูจะคิดมากจนเกินไป แต่ว่าก็เป็นแบบจิตใจดี มีน้ำใจเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ชอบช่วยเหลือคนรอบข้างอยู่เสมอ ๆ

รูปร่างสูงท้วม

สำหรับคนที่มีรูปร่างออกไปทางสูงและดูมีเนื้อหนังอยู่สักหน่อยนั้นอุปนิสัยมักจะเป็นคนที่ยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณีสูงมาก จะรักจะชอบใครก็มักจะทำตามขอบเขตกฎเกณฑ์ และค่อนข้างเป็นคนที่ต้องการความมั่นคงในชีวิตสูงทีเดียวแหละ นอกจากนี้ยังบ่งบอกถึงการเป็นคนรักบ้านและให้ความสำคัญกับครอบครัวมาก และให้คุณค่ากับวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม เช่น เด็กจะต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่เป็นต้น และมักไม่ชอบอยู่ว่างจะทำนั่นทำนี้ที่เป็นประโยชน์ต่อคนในครอบครัวเสมอ

รูปร่างสูงใหญ่

สำหรับคนที่มีรูปร่างสูงใหญ่บึกบืนประหนึ่งนักกีฬายกน้ำหนักทีมชาตินั้น มักเป็นคนที่มีพลังกระตือรือร้นจะไม่ค่อยเห็นคนที่มีรูปร่างแบบนี้อยู่นิ่งๆ ได้หรอก เพราะเขามักจะเคลื่อนไหวทำนั่นทำนี่อยู่เสมอ โดยเฉพาะการกระทำที่ได้ออกแรง ออกกำลังกาย นอกจากนี้ยังเป็นคนที่สามารถหาความสุขได้ง่าย ๆ จากทุกสิ่งรอบตัวมีความรื่นรมย์อยู่เป็นนิจ จนดูเหมือนคนที่ไม่รู้จักเดือดเนื้อร้อนใจกับใครเขาหรอกค่ะ แต่เชื่อเถอะว่าเขาคนนี้มั่นใจในตัวเองเต็มร้อยทีเดียว

รูปร่างเตี้ยผอม

สำหรับบุคคลที่มีรูปร่างเตี้ยผอมบอบบาง ซึ่งหุ่นแบบนี้โดยมากแล้วมักจะเป็นสรีระของชนชาติแถบเอเชีย เช่นคนไทยนั่นเอง สำหรับนิสัยใจคอของคนทีมีรูปร่างลักษณะดังกล่าวนี้เห็นอย่างนี้เถิด จริง ๆ แล้วจะเป็นคนที่มีความทรหดอดทนสูงมาก และมีความตั้งใจจริงในการกระทำสิ่งต่าง ๆ รวมทั้งหวังผลในการสำเร็จสูงเสียด้วย เรียกว่าจะทำอะไรก็ต้องทำให้สำเร็จนั่นเอง ไม่มีทางที่จะทำแล้วเลิกเสียกลางคันโดยเด็ดขาด เป็นคนชอบทำงานหนักและมีกำลังใจดีมาก

รูปร่างเตี้ยท้วม

สำหรับคนที่มีรูปร่างเตี้ยและท้วมนิด ๆ คือไม่ถึงกับผอมบางจนแทบจะปลิวตามลมนั่นแหละ นิสัยของคนที่มีรูปร่างลักษณะเช่นนี้ มักจะเป็นคนที่ชอบความสนุกสนานรื่นเริงบันเทิงใจอยู่เสมอ มักแสวงหาเวลาพักผ่อนให้กับตัวเองแทบทุกครั้งที่มีโอกาสไม่ชอบการเคร่งเครียดซีเรียสทำงานที่จริงจังขึงขังจนเกินไป นอกจากนี้ยังเป็นคนรักสงบ รักธรรมชาติแต่ในขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะหยิบยื่นมิตรภาพและไมตรีให้กับทุก ๆ คนโดยเท่าเทียมกัน

รูปร่างเตี้ยหนา

ส่วนคนที่มีรูปร่างเตี้ยหนา เต็มไปด้วยมัดกล้าม อย่างคนที่ชอบออกกำลังกายอยู่เสมอ ๆ นั้น มักมีนิสัยที่ชมชอบความตื่นเต้นและการผจญภัยและยังชอบเล่นกีฬาที่เต็มไปด้วยความผาดโผนเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย รวมทั้งการแข่งขันทุกชนิดที่น่าตื่นเต้นเร้าใจเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังเป็นคนที่มีใจคอเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ จนดูเป็นคนที่มุทะลุจนเกินไป แต่ในขณะเดียวกันจิตใจเบื้องลึกกลับอ่อนไหว ต้องการความอบอุ่นและความเข้าใจจากคนใกล้ชิดมาก ๆ

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)เลขที่ 33

ออกกำลังกาย ลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม

ผลการศึกษาจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติสหรัฐ พบสิ่งที่น่าสนใจว่า การออกกำลังกาย อย่างเหมาะสมในหญิงวัยหมดประจำเดือน ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งเต้านม

การออกกำลังกาย ที่ระบุว่ามีประโยชน์ ต้องทำ "อย่างหนักและจริงจัง" โดยเฉพาะ "ในสตรีที่น้ำหนักไม่เกิน" โดยการวิจัยครั้งนี้ คณะแพทย์จาก ศูนย์มะเร็ง นพ. ไมเคิล ลีซแมน กล่าวว่า "การออกกำลังกายอย่างหนัก ช่วยป้องกันมะเร็ง นอกเหนือจากช่วยทำให้ไม่อ้วน ซึ่งการไม่อ้วน ก็ช่วยในเรื่องป้องกันมะเร็งอยู่แล้ว"

การวิจัย ทำได้ โดยศึกษาย้อนหลังรายงานผู้ป่วย 32000 คน ในระยะ 11 ปี และพบว่า ในสตรีที่ออกกำลังกายอย่างหนัก จะสามารถป้องกันมะเร็งได้

การออกกำลังอย่างหนัก (vigorous) ต่างจาก ออกกำลังกายธรรมดา (moderate) อย่างไร ลองเปรียบเทียบกัน

อย่างหนัก

ถูพื้น ขัดพืน เช็ดกระจก

พรวนดินในสวนอย่างหนัก

ตัดไม้ ถูไม้ขัดไม้

ออกกำลังกายแบบแข่งขัน

วิ่ง

จ๊อกกิ้งเร็วๆ

แข่งเทนนิส

แอโรบิก

ปั่นจักรยานขึ้นเขา

เต้นจังหวะเร็ว

ออกกำลังธรรมดา

งานบ้านหรือออฟฟิส

ซักผ้า

ทาสี

เดิน

เล่นกีฬาเบาๆ

จ๊อกกิ้งช้าๆ

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์) 006

เทคนิคของการออกกำลังกายเป็นประจำ

จะต้องตระหนักว่าการออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตซึ่งจะขาดไม่ได้เหมือนการนอนหลับ หรือการรับประทานอาหาร

เลือกการออกกำลังกายที่ชอบที่สุด และสะดวกที่สุด

ครอบครัวอาจจะมีส่วนร่วมด้วยก็จะดี

ช่วงแรกๆของการออกกำลังกายไม่ควรจะหยุด ให้ออกจนเป็นนิสัย

บันทึกการออกกกำลังกายไว้

หาเป็นไปได้ควรจะมีกลุ่มเพื่อออกกำลังกายร่วมกันเพราะกลุ่มจะช่วยกันประคับประคอง

ตั้งเป้าหมายการออกกำลังและการรับประทานทุกเดือนโดยอย่าตั้งเป้าหมายสูงเกินไป

ติดตามความก้าวหน้าโดยดูจากสมุดบันทึก

ให้รังวัลเมื่อสามารถบรรลุเป้าหมาย(ห้ามการเลี้ยงอาหาร)

ที่สำคัญการออกกำำลังแม้เพียงเล็กน้อยดีกว่าการไม่ออกกำลังกาย

ขณะป่วยควรออกกำลังกายหรือไม่

ขณะที่เจ็บป่วยไม่ควรออกกำลังกายเพราะจะทำให้โรคเป็นมากขึ้นควรจะพักจนอาการดีขึ้น แต่ถ้าท่านเป็นโรคเรื้อรังควรปรึกษาแพทย์ในการออกกำลังกาย

จะรู้ได้อย่างไรว่าออกกำลังกายมากเกินไป

ท่านสามารถสังเกตขณะออกกำลังกายว่ามากไปหรือไม่โดยสังเกตจากอาการดังต่อไปนี้

หัวใจเต้นเร็วมากจนรู้สึกเหนื่อย

หายใจเหนื่อยจนพูดไม่เป็นประโยค

เหนื่อยจนเป็นลม

ไม่มีอาการปวดข้อหลังออกกำลังกาย

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

หมอแผนไทยยืนยัน

ดื่มฉี่วันละนิดสุขภาพดี!!!

หมอแผนไทยยืนยันน้ำปัสสาวะรักษาสารพัดโรค เผยอเมริกันหัวใสสกัดน้ำปัสสาวะรักษาอัมพาตขายทั่วโลก สร้างรายได้ 500 ล้านดอลลาร์ต่อปี

ด้านหนุ่มปักษ์ใต้คุยกรึ๊บฉี่มา 2 ปี จากที่เคยหัวล้าน ผมกลับดกดำ แถมหายปวดหลังชะงัด ดึงลูกเมียร่วมวงแข็งแรงถ้วนหน้า ชี้รสชาติปัสสาวะบ่งบอกถึงอาหารที่กิน ระบุถ้าเค็มดื่มน้ำน้อย ขมกินสารพิษ เปรี้ยวกินสารกันบูด เป็นการรรีเช็กไปในตัว

เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก มีการประชุมวิชาการเรื่อง "น้ำปัสสาวะรักษาโรคได้จริงหรือ" โดยมีวิทยากรผู้เข้าร่วมการประชุมคือพระครูดุษฎีจากสำนักสงฆ์วัดทุ่งไผ่ จ.ชุมพร และ น.พ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ทางเลือก

น.พ.บรรจบ กล่าวว่า คนทั่วไปคิดว่าน้ำปัสสาวะเป็นที่น่ารังเกียจ แต่ความจริงสามารถนำไปบำบัดโรคหลายชนิดได้ ซึ่งเรื่องนี้ได้เขียนไว้ในตำราแพทย์แผนจีนว่า การดื่มน้ำปัสสาวะเด็กผู้ชายที่ร่างกายแข็งแรงจะช่วยให้คนที่มีอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง มีแรงขึ้นมาได้

ในน้ำปัสสาวะประกอบด้วยน้ำ 95% ยูเรีย 2.5% และสารอื่นๆ อีก 2.5% ถ้าหากถามว่าการที่มีสารต่างๆ เพียงเท่านี้ จะรักษาโรคได้อย่างไร ต้องเรียนว่าการดื่มน้ำปัสสาวะรักษาโรคจะใช้หลักพิษล้างพิษ เช่นเดียวกับการฉีดเซรุ่ม ซึ่งโรคที่ทำการรักษามีตั้งแต่อาการปวดเรื้อรัง ได้แก่ ปวดหลัง ปวดข้อ ไมเกรน ปวดเมื่อยไม่มีสาเหตุ

โรคที่เกี่ยวกับภูมิต้านทาน เช่น โรคภูมิแพ้ ผื่นคัน สะเก็ดเงิน รูมาตอยด์ SLE ประเภทแผลต่างๆ เช่น แผลเบาหวาน แผลไฟไหม้ ส่วนโรคในระบบร่างกายคือ เบาหวาน มะเร็งลำไส้ ตกขาวจากเชื้อรา กลิ่นปาก กลิ่นตัว รวมทั้งยังดูแลผิวพรรณและเส้นผม โดยการรับประทานมีหลายวิธี เช่น นำปัสสาวะ 1 หยด ใส่ลงในน้ำ 1 ช้อนชา เขย่าประมาณ 50 ครั้ง หรือในวันแรกจะหยดปัสสาวะ 1-5 หยดในปาก วันต่อมาอาจจะหยด 6-10 หยด และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าเคยชิน

น.พ.บรรจบกล่าวต่อว่า สารยูเรียในปัสสาวะเปรียบเสมือนมอยส์เจอไรเซอร์ หรือสารทำความชื้นในเครื่องสำอาง ซึ่งเครื่องสำอางที่มีราคาสูงจะใส่ยูเรียเข้าไป แต่ถ้าราคาถูกจะใส่สารพาราฟิน นอกจากนี้ในปัสสาวะยังมีสารยูโรคีเนส ซึ่งทางการแพทย์จะฉีดให้ผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตเพื่อละลายลิ่มเลือด และรักษาเส้นเลือดอุดตัน ซึ่งมีบริษัทในประเทศสหรัฐได้นำเครื่องกรองปัสสาวะเพื่อกรองเอาสารตัวนี้ออกมาใช้ในวงการแพทย์ตั้งแต่ปี 1989 ดังนั้นหลังปีดังกล่าวที่รอดมาได้ก็ให้เข้าใจได้เลยว่าถูกฉีดสารจากปัสสาวะของคนสหรัฐมาแล้ว

น.พ.บรรจบ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ไม่ได้หมายความว่าจะให้คนไทยทุกคนลุกขึ้นมาดื่มน้ำปัสสาวะกันหมด ถ้ามีร่างกายปกติก็ไม่จำเป็น เพียงแต่ถ้าหมดหนทางในการรักษาก็สามารถทดลองได้ และที่ผ่านมาก็ไม่เคยปรากฏผลข้างเคียง แต่สำหรับคนที่เป็นโรคหนองในก็น่าจะรู้ว่าไม่ควร

ส่วนกรณีผู้ป่วยที่รับประทานยาและใช้เคมีบำบัด ตนคิดว่าน่าจะรับประทานได้ไม่เสียหายอะไร เพราะรับประทานเพียง 50-100 ซีซี ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนปัสสาวะในแต่ละวันประมาณ 3 ลิตร ส่วนกลุ่มประเทศที่นิยมดื่มคือประเทศแถบตะวันออก เช่น อินเดีย ที่ดื่มเป็นวัฒนธรรม ประเทศจีนก็มีดื่มจำนวนหลายล้านคน

ส่วนไทยน่าจะมีมากโดยเฉพาะผู้ปฏิบัติธรรม แต่ยังไม่มีการรวบรวมตัวเลขอย่างเป็นทางการ อย่างไรก็ตาม คิดว่าประเทศไทยควรจะมีการวิจัยว่าเรื่องนี้มีผลเสียหรือไม่ ถ้าไม่มีผลเสียก็ควรจะวิจัยผลดี เพราะอย่างสหรัฐก็มีการสร้างมูลค่าของปัสสาวะปีละ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ด้านพระดุษฎี กล่าวว่า ในพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ในนิสสัย 4 แนวปฏิบัติสำหรับการยังชีพของพระสงฆ์ว่า ต้องนุ่งห่มด้วยผ้า 3 ผืน นำมาจากผ้าห่อศพ ผ้าบังสุกุล ต้องหาอาหารที่อยู่โคนต้นไม้ ฉันอาหารที่ได้จากการบิณฑบาต และประการสุดท้ายคือ เมื่อเจ็บป่วยรักษาตนเองตามธรรมชาติ ฝึกสมาธิ ดื่มน้ำปัสสาวะ

ซึ่งบัญญัติไว้ในนิสสัย 4 กำหนดไว้ในพระไตรปิฎกว่า การดื่มน้ำปัสสาวะรักษาโรคจะช่วยให้คนคนนั้นระมัดระวังด้านการบริโภคอาหาร เพราะหากกินโปรตีน เนื้อสัตว์ ชา กาแฟ เบียร์ มีผลคือรสชาติ และตนเห็นว่าการดื่มน้ำปัสสาวะไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพราะไม่ต้องเปลืองค่าใช้จ่าย ดีกว่าซื้อสาหร่ายซึ่งมีราคาแพงอาจไม่ได้ผลก็ได้ นอกจากนี้ บางคนไม่ดื่มแต่อมบ้วนปากยังทำให้เหงือกและฟันทนทาน ซึ่งหลายคนทำมานับสิบปีแล้ว

ด้าน นายไพฑูรย์ เจียรณาสาธิต อายุ 36 ปี ชาวสวนปาล์ม กล่าวว่า ตนดื่มน้ำปัสสาวะมา 2 ปีแล้ว วันแรกที่ลองรู้สึกว่ารสชาติแย่มาก แต่พอดื่มทุกวันก็สามารถปรุงแต่งกลิ่น คือจะไม่รับประทานอาหารตอนเย็น แต่จะดื่มน้ำมากๆ แทน ซึ่งรสชาติที่ได้จะจืดเหมือนน้ำชา ไม่หอม ซึ่งตนคิดว่าทำอย่างไรจะให้ปัสสาวะหอมเหมือนฉี่เด็ก ก็ไปดูพฤติกรรมของเด็กซึ่งดื่มนม ดังนั้น การดื่มนมจะทำให้ปัสสาวะหอมเหมือนปัสสาวะเด็ก

"รสชาติของปัสสาวะจะบ่งบอกอาหารที่รับประทานเข้าไป ถ้ามีรสชาติเค็มแสดงว่าเราดื่มน้ำน้อย ถ้ามีรสขมแสดงว่ารับประทานสารพิษเข้าไปมาก และถ้ามีรสขมอมเปรี้ยวแสดงว่าร่างกายรับสารกันบูดเข้าไป แรงจูงใจที่ทำให้ผมดื่มปัสสาวะเพราะภูมิอากาศของภาคใต้จะทำให้เป็นหวัดและภูมิแพ้บ่อย หลังจากดื่มแล้วผมไม่ต้องกินยาแก้ไข้อีก แต่ผมจะไม่ดื่มตอนเย็น และจะดื่มตอนเช้าครั้งเดียว ถ้าช่วงไหนเจ็บคอจะดื่มตอนเย็นด้วย และนอกจากจะมีสรรพคุณดังกล่าวแล้ว การดื่มปัสสาวะยังทำให้ผมหายปวดหลัง และทำให้ผมบนศีรษะดกดำขึ้นมาอีกด้วย"

นายไพฑูรย์ยังกล่าวอีกว่า นอกจากตนจะดื่มแล้ว ภรรยาและลูกสาววัย 7 ขวบ ก็หันมาดื่มด้วยเช่นกัน และการที่ลูกสาวหันมาดื่มเพราะตนให้เลือกว่าเวลาไม่สบายจะยอมถูกฉีดยา หรือจะดื่มน้ำปัสสาวะป้องกัน 2 ปีที่ผ่านมาลูกไม่เคยเป็นหวัดเลย นอกจากนี้ มารดาของตนเป็นหวัดเรื้อรังมา 20 ปี ฉีดยามาตลอดไม่หาย ตนแนะนำให้ดื่มตอนนี้อาการดีขึ้นแล้ว.

ขวัญแรก ปันสา no.58 cmru sec 02

ท่าออกกำลังกายเพื่อหุ่นสวยกระชับ ขยัดพุง

ท่าที่ 1 ท่ายกตัว

1.นอนราบขาเหยียดตรงเอามือแตะที่หูหายใจเข้าเเกร่งกล้ามเนื้อหน้าท้องกดหลังราบไปกับพื้น

2.ค่อยๆยกศรีษะลำคอและหัวไหล่ขึ้นจากพื้นขณะที่หายใจออกโดยไม่ต้องขยับขา

3.จากนั้ยนจึงหายใจออกแล้วค่อยๆเอนตัวกับลงไปอยู่ในขั้นเริ่มต้นทำซำ 8 ชุด

ท่าที่ 2 ท่าเหียยดขา

1.นอนลงแล้วยกขาทั่งสองข้างขึ้นโดยง้อเข่าไว้

2.วางมือทั่งสองข้างลงบนหัวเข่ายกศรีษะและหัวไหล่ขึ้น

3.ยกค้างไว้เชิดคางไปข้างหน้าหายใจแล้วเหยียดขาขวาไปข้างหน้าหายใจออกแล้วหด ขาขวากลับขณะที่เหยียดขาซ้าออกไปทำซำโดยสลับขาที่ละข้าง 6 ชุด

ท่าที่ 3 ท่าลูกบอล

1.นั่งชันเข่าโดยหัวเข่าและเท้าทั่งสองข้างชิดกัน

2.ยกเท้าทั่งสองขึ้นจากพื้นและพยายามทรงตัวให้ได้

3.หดตัวเป็นวงกลมแล้วเอนตังลงบนหัวไหล่และหลังจากนั้นดันศรีษะเข้าหาต้นขาหายใจเข้าเมื่อล้มตัวลงหายใจออกเมื่อดันตัวขึ้นทำซำ 10 ชุด

นี่คือความคิดเห็นเกี่ยวกับรูปร่างและการรักษาสุขภาพ จาก GOSSIP EXTRA

น.ส.กิตติยา จำปาคำ ม.ฟาร์อีส เลขที่5

อาหารกับกระดูก

ช่วงอายุ 25-35 ปี กระดูกจะมีความแข็งแรงมากที่สุด หลังจากนั้นความแข็งแรงของกระดูก็จะค่อยๆลดลง ในขณะที่อายุคุณมากขึ้น คุณต้องดูแลกระดูกของคุณด้วยการหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้

1.อาหารขยะ จากสถิติพบว่า การมีน้ำหนักตัวน้อยกว่าที่ควร ทำให้กระดูกเสื่อม การอดอาหารมากเกินไปอาจทำให้ร่างากยได้รับไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายไม่เพียงพอ ซึ่งจะเป็นผลให้ประจำเดือนขาดหายไป และเป็นผลให้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและฮอร์โมนอื่นๆที่ผลิตในรังไข่มีปริมาณลดลง ฮอร์โมนเหล่านี้จำเป็นต่อการรักษาระดับความหนาแน่นของกระดูก คุณจึงควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และอุดมไปด้วยแคลเซียม

2.เครื่องดื่มที่มีฟองฟู่ เครื่องดื่มพวกคาร์บอเนตจะผสมกรดฟอสฟอริก ซึ่งสามารถทำให้กระดูกไม่แข็งแรง เพราะดึงเอาแคลเซียมออกมา ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทมีฟองที่ผสมด้วยคาเฟอีนด้วย เพราะคาเฟอีนจะทำให้แคลเซียมดูดซึมได้น้อยลง และเลือกดื่มแต่เครื่องดื่มที่มีประโยชน์ต่อกระดูก เช่น นมไขมันต่ำ นมถั่วเหลือง โยเกิร์ตปั่น

3.โปรตีนมากเกินไป โปรตีนจำเป็นต่อการเจริญเติบโตและซ่อมแซมส่วนสึกหรอกของร่างกาย แต่โปรตีนจากสัตว์มีผลเสียต่อความหนาแน่นของกระดูก ด้วยการเพิ่มความเป็นกรดในเลือด โปรตีนทำให้ร่างกายคุณ "ขโมย" แคลเซียมออกจากกระดูก เพื่อทำให้กรดเหล่านั้นมีความเป็นกลางเพิ่มขึ้น

4.สูบบุหรี่และดื่มเหล้า การสูบบุหรี่จะทำให้แคลเซียมดูดซึมได้น้อยลง และลดปริมาณของเอสโตรเจนนิโคตินจะไปขัดขวางออกซิเจนที่ไปเลี้ยงกระดูก และมีผลเป็นพิษต่อเซลล์กระดูกและมันยังทำให้เซลล์ที่ใช้ในการสร้างกระดูก (ออสติโอบลาส) มีการผลิตที่ช้าลง รวมทั้งยับยั้งขบวนการต่างๆของกระดูกด้วย จากการศึกษาพบว่า กระดูกของพวกที่สูบบุหรี่มีคุณสมบัติทางไบโอเคมีด้อยกว่ากระดูกของพวกที่ไม่สูบบุหรี่ ดังนั้นมันจึงหักง่าย การดื่มไวน์มากกว่าสองแก้วต่อวันก็สามารถทำให้กระดูกของคุณเปราะบางได้

5.ชีวิตที่เคร่งเครียด เพื่อที่จะต่อสู้กับความเครียด ร่างกายต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นในรูปของน้ำตาลกลูโคส ดังนั้นมันจึงปล่อยฮอร์โมนชื่อคอร์ติซอลออกมา "คอร์ติซอลทำให้กล้ามเนื้อของคุณปลดปล่อยโปรตีนออกมากเพื่อใช้ในการผลิตกลูโคส" สิ่งนี้จะนำไปสู่การที่กล้ามเนื้อค่อยๆเล็กลงและทำให้มีการสูญเสียแร่ธาตุของกระดูก ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องลดระดับความเครียดลง และออกกำลังกายช่วย

6.ยาบางชนิด ยาบางอย่างรบกวนการดูดซึมของแคลเซียม ซึ่งได้แก่ยาขับปัสสาวะ ยาแก้อักเสบที่มีส่วนผสมของสเตอรอยด์ ยารักษาโรคหืดหอบที่มีส่วนผสมของสเตอรอยด์ และยาปฎิชีววนะหลายชนิด การที่รับประทานยาตัวใหม่ๆให้หาดูว่ามันจะรบกวนการดูดซึมของแคลเซียมหรือไม่ ถ้าใช่ และคุณก็จำเป็นต้องใช้ ให้ปรึกษาแพทย์ดูว่าคุณจะหาอะไรที่ดีที่สุดแทนได้บ้าง

นที รินยานะ ม.ฟาร์ No.52

14 วิธีขับถ่ายปัสสาวะ เพื่อสุขภาพที่ดี

ไม่น่าเชื่อว่า แม้คนเราจะขับถ่ายปัสสาวะกันมาก ตั้งแต่แรกเกิด แต่หลายคนไม่ทราบวิธีที่ดีที่ทำให้ระบบขับถ่ายปัสสาวะเป็นปกติวันนี้จะขอเสนอ 14 อุปนิสัยที่ดีในการขับถ่ายปัสสาวะ

1. อย่ากลั้นปัสสาวะ เมื่อรู้สึกปวดต้องไปปัสสาวะ

2. เวลาปัสสาวะไม่ควรรีบร้อนเบ่งมาก เพราะอาจทำให้หูรูดปัสสาวะชำรุดได้

3. ควรถ่ายปัสสาวะให้เหลือน้อยที่สุดในหนึ่งครั้ง นั่นคือเมื่อรู้สึกถ่ายหมดแล้วให้เบ่งต่ออีกนิดหน่อย ปัสสาวะที่เหลือจะไหลออกมา

4. ไม่ควรบังคับให้ตนเองถ่ายปัสสาวะบ่อย เพราะจะติดเป็นนิสัย เวลาที่เหมาะสมคือ 2-4 ชั่วโมงควรถ่ายปัสสาวะหนึ่งครั้ง

5. ให้สังเกตการถ่ายปัสสาวะ และน้ำปัสสาวะของตนเองทุกครั้งว่า ต้องเบ่งมากผิดปกติหรือไม่น้ำปัสสาวะลำพุ่งดีหรือไม่ ลำน้ำปัสสาวะมีขนาดเล็กลงกว่าเดิมหรือไม่ น้ำปัสสาวะมีสีเหลืองใสหรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเป็นอาการผิดปกติที่สามารถบอกโรคได้

6. อาจจะล้างทำความสะอาดหลังปัสสาวะ แต่อย่าให้บริเวณนั้นเปียกชื้น เพราะอาจเกิดเชื้อราได้ทางที่ดีหลังปัสสาวะทุกครั้ง ควรซับให้แห้ง

7. เมื่อปัสสาวะไม่ออก ต้องหาสาเหตุโดยการไปพบแพทย์ อย่าซื้อยาขับปัสสาวะรับประทานเพราะจะเกิดอันตรายได้

8. เมื่อเข้าสู่วัยกลางคน การบริหารอุ้งเชิงกรานโดยการขมิบ (ฝ่ายหญิงขมิบช่องคลอด ฝ่ายชายขมิบทวารหนัก) วันละ 100 ครั้ง จะช่วยป้องกันอาการปัสสาวะเล็ด

9. ดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 10 แก้ว หรือหนึ่งลิตร จะช่วยให้น้ำปัสสาวะใส มีจำนวนพอดีและป้องกันภาวะปัสสาวะอักเสบ

10. ก่อนมีเพศสัมพันธ์ และหลังมีเพศสัมพันธ์ คุณผู้หญิงควรถ่ายปัสสาวะทิ้ง จะช่วยป้องกันการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

11. น้ำปัสสาวะจะต้องเป็นน้ำเท่านั้น ถ้ามีมูก หนอง น้ำเหลือง เลือดปนออกมา ถือว่าผิดปกติต้องไปพบแพทย์

12. การขับถ่ายปัสสาวะ ต้องขับถ่ายคล่องไม่มีอาการเจ็บปวด ถ้าปัสสาวะแสบขัดลำบากนับว่าเป็นอาการผิดปกติ ต้องไปพบแพทย์อีกเช่นกัน

13. คนเราทุกคนต้องปัสสาวะทุกวัน วันละ 4-6 ครั้ง ถ้าไม่ปัสสาวะเลย 1 วัน ถือว่าตกอยู่ในภาวะอันตราย ต้องไปพบแพทย์โดยด่วน

14. ก่อนเดินทางไกล ก่อนยกของหนัก ควรปัสสาวะทิ้งก่อนทุกครั้ง

อาจารย์ค่ะ..ลองคำนวณดูแล้วนะค่ะ

ไม่น่าเชื่อว่า..ตัวเองจะผอมไป

ทั้ง ๆ ที่คิดว่าตัวเองมีร่างกายที่พอดี..สมส่วนแล้วอะ

โห..อาจารย์

ไม่น่าเชื่อว่าร่างกายตัวเองจะเพอร์เฟ็กต์อะไรแบบนี้ค่ะ

ลองคำนวนดูแล้ว ..

ตอนแรกคิดว่าตัวเองอ้วนไปนะเนี่ยะ..

สีผสมอาหาร..ภัยใกล้ตัว

ในปัจจุบัน จะพบว่าอาหารส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นอาหารสด อาหารสำเร็จรูป และเครื่องดื่มต่างๆ ที่ขายอยูทั่วไป มักมีสีสันสดใสสวยงามดึงดูดใจชวนรับ ประทาน ทั้งสีแดง สีเขียว สีเหลือง ฯลฯ แต่คุณรู้บ้างหรือไม่ว่ามันแฝงด้วย อันตราย เนื่องจากผู้ผลิตมักใส่สีสังเคราะห์ทางเคมีลงไป โดยคาดหวังว่าอาหาร เครื่องดื่มที่มีอาหารสดใส สวยงาม จะเป็นที่ดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคได้ดี โดยเฉพาะเด็กๆ ซึ่งจะช่วยให้ขายดี และได้กำไรมากมาย ทำให้ผู้ผลิตมองข้ามพิษภัย ที่อาจจะเกิดขึ้นไป ดังนั้นในการเลือกซื้ออาหาร และเครื่องดื่มจำเป็นต้องคำนึงถึงอันตรายที่อาจเกิดจาสีผสมอาหารให้มากๆ และควรเลือกที่ปลอดภัยให้มากที่สุด เพราะสีผสมอาหารที่สังเคราะห์ทางเคมี จะมีส่วนผสมของโลหะหนัก ทั้งตะกั่ว ปรอท สารหนู โครเมียม และสังกะสี ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่มีผลเสียต่อร่างกายทั้งสิ้น

ซึ่งอันตรายที่มาจากสีผสมอาหารที่สังเคราะห์ทางเคมีก็มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิงเวียนศีรษะ เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน ถ้าสะสมมากขึ้นอาจมีอาการเป็นอัมพาต ที่แขน ขา หากร่างกายสะสมสารเหล่านี้เข้าไปมากๆ จะส่งผลต่อระบบประสาททั้งแบบเฉียบพลัน และเรื้อรังอีกด้วย

อันตรายจากสารพิษ

โลกของเราเต็มไปด้วยสีสันทั้งที่เป็นสีสันจากธรรมชาติ เช่น ดอกไม้ ต้นไม้ สี ของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ตลอดจนสีที่มนุษย์ปรุงแต่ง หรือสังเคราะห์ขึ้นเพื่อใช้ในกิจกรรมต่างๆ รวมไปถึงการแต่งสีสันให้อาหาร ที่เรารับประทานอยู่ทุกวัน เพื่อสร้างบรรยากาศที่สดใสมีชีวิต ชีวา สีผสม อาหารที่ใช้ปรุงแต่งอาหารให้สวยน่ารับประทานสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้

1.สีอินทรีย์ที่ได้จากการสังเคราะห์ ได้แก่

สีแดง ปองโซ 4 อาร์และ เออริโธรซิน

สีเหลือง - ตาร์ตาซีน, ซันเซ็ต เย็ลโลว์ เอฟ ซี เอฟ

สีเขียว - ฟาสต์ กรีน เอฟ ซี เอฟ

สีน้ำเงิน - อินดิโกคาร์มีน

2.สีอนินทรีย์ ได้แก่ ผลถ่านที่ได้จากการเผาพืช เช่น สีดำจากผงถ่านที่ได้จากการเผากาบมะพร้าวใช้ใส่ในขนมเปียกปูนให้มีสีดำ

3.สีที่ได้จากธรรมชาติ โดยการสกัดพืช และสัตว์ที่ใช้บริโภคได้โดยไม่เกิดอันตราย เช่น

สีแดง - จากครั่ง กระเจี๊ยบ ถั่วแดง

สีเหลือง - จากขมิ้น ฟักทอง ลูกตาล ดอกคำฝอย

สีเขียว - จากใบเตย

สีน้ำเงิน หรือม่วง - จากดอกอัญชัน

อันตรายจากสีผสมอาหาร

อันตรายที่เกิดจากการใช้สีผสมอาหารนั้นเกิดมาจากตัวสีเอง เนื่องจากในสีผสมอาหารแต่ละชนิด หรือแต่ละสีนั้นจะมีส่วนผสมของโลหะหนักอยู่ ในปริมาณที่กฎหมายกำหนด เช่น ตะกั่ว สารหนู โครเมียม สังกะสี ซึ่งหากผู้ผลิตอาหารใช้สีผสมอาหารในปริมาณที่กฎหมายกำหนด เช่น ตะกั่ว สารหนู โครเมียม สังกะสี ซึ่งหากผู้ผลิตอาหารใช้สีผสมอาหารในปริมาณที่มากเกินไป และผู้บริโภครับประทานอาหารที่ผสมสีดังกล่าวเป็นประจำอาจทำให้ร่างกายได้รับปริมาณโลหะหนักเป็นจำนวนมาก และเกิดการสะสมในร่างกาย พิษภัยจากโลหะหนักที่มีผสมอยู่ในสีผสมอาหารนั้น มีดังนี้ สารหนูเมื่อเข้าไปในร่างกายจะสะสมอยู่ตามกล้ามเนื้อ กระดูก ผิวหนัง ตับและไต การที่มีสารหนูสะสมในร่างกายมากจะทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย กล้ามเนื้ออ่อนแรง เกิดความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร โลหิตจาง ส่วนตะกั่ว จะมีพิษต่อระบบประสาททั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง อาจทำให้ถึงกับชีวิตใน 1-2 วัน ส่วนอาการพิษเรื้อรังนั้นจะพบเส้นตะกั่วสีม่วงคล้ำที่เหงือก มือตก เท้าตก เป็นอัมพาต เกิดอาการผิดปกติของทางเดินอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน และอาจพบอาการทางระบบประสาทได้ ฉะนั้นก่อนจะรับประทาน ลูกกวาด ขนมหวาน หรืออาหารจำพวกที่ต้องเติมแต่งสีสันให้สวยงาม ควรต้องเพิ่มความระมัดระวังในการเลือก และปริมาณที่บริโภคให้เหมาะสม เพื่อความปลอดภัยของชีวิต

อันตรายจากการใช้สี

สีสังเคราะห์เป็นสารแปลกปลอม เมื่อผสมอาหารและรับประทานเข้าไป ในร่างกาย ก็จะเกิดอันตรายได้ ทั้งนี้เนื่องจากสาเหตุ 2 ประการ คือ

1.อันตรายจากสีเอง เพราะสีทุกชนิดถ้าใช้มากเกินไป จะเป็นอันตรายต่อ ผู้บริโภคไม่มากก็น้อย เนื่องจากเป็นสารแปลกปลอมเข้าไปในร่างกาย หากร่างกาย ขับถ่ายออกไม่ทัน ก็จะสะสมอยู่ในร่างการแล้วอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายได้ เช่น สีพวก

โรห์ตามีน บี (Rhodamine B) เอารามีน (Auramine) มาลาไคท์ กรีน(Malachite green)และไวโอเลท บี เอ็น พี (Violet BNP) อาจทำให้เกิดผื่นที่ผิวหนัง หน้าบวม อาเจียน ท้องเดิน อาการชา เพลีย และอ่อนแรงคล้ายเป็นอัมพาต การทำงาน ของระบบทางเดินอาหาร ไต และตับเสีย สีบางอย่างอาจทำให้เกิดมะเร็งที่ต่อมน้ำเหลือง และอวัยวะอื่น ๆ สีตาร์ตราซีน (สีเหลือง) ถ้ารับประทานเกิน 7.5 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม จะจับอู่ตามเยื่อบุกระเพาะอาหาร และลำไส้ ทำให้การดูดซึมของอาหาร บกพร่องไป สำหรับสี ซันเซ็ต เย็ลโลว์ เอ็ฟ ซี เอ็ฟ (สีเหลือง) ถ้ารับประทานเกิน 5.0 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม จะทำให้ท้องเดิน น้ำหนักลด

2.อันตรายจากสารอื่น ที่ติดมาเนื่องจากการสังเคราะห์ หรือจากกระบวน การผลิตที่แยกเอาสารเจือปนออกไม่หมดสารดังกล่าว ได้แก่ โลหะหนักต่าง ๆ เซ่น โครเมียม แคดเมียม ปรอท ตะกั่ว สารหนู พลวง และเซเสเนียม เป็นต้น ซึ่งมีอยู่กับ สีย้อมผ้า แพร เสื่อและสีทาบ้าน โลหะหนักเหล่านี้จะเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ แม้ได้รับเพียงปริมาณเล็กน้อย อาการอาจเป็นทั้งอย่างฉับพลันและเรื้อรัง ซึ่งพิษ ของโลหะหนักนี้ถ้าเป็นมากอาจเป็นอันตรายแก่ชีวิตได้ นอกจากนั้นยังเป็นสาเหตุ ของมะเร็งที่อวัยวะอื่นๆ อีกด้วย จะเห็นได้ว่าสีผสมอาหารนั้นไม่ให้คุณค่าอะไรแก่ร่างกาย และก็ไม่มีความ จำเป็นใด ๆ ที่จะต้องใช้เลย กลับทำให้เกิดอันตรายได้อีกด้วย ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยง การใช้และบริโภคอาหารที่ไม่ได้ผสมสีเท่านั้น

ภัยจากแสงแดด และการป้องกัน

แสงอาทิตย์ประกอบด้วยรังสีต่าง ๆ ที่สามารถมองเห็นหรือไม่เห็นด้วยตา รังสีที่สำคัญ คือ Ultraviolet-A (UVA), Ultraviolet-B (UVB) ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตา และเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคทางผิวหนังบางชนิดได้

ผลกระทบจากแสงแดดต่อผิวหนัง

ผิวไหม้จากแดด ช่วงเวลา 10.00-15.00 น. เป็นเวลาที่แสงแดดมีความรุนแรงมากที่สุด หากต้องอยู่กลางแจ้งในช่วงเวลานี้นาน ๆ จะมีโอกาสผิวไหม้ แดง จากแดด บางคนอาจเกิดอาการบวม แดง พอง หรือมีไข้ คลื่นไส้ เป็นต้น

แพ้แดด อาการที่สำคัญคือผื่น หรือผื่นพอง โดยส่วนใหญ่เกิดจากปฏิกิริยาเสริม เช่น ยาหรือสารเคมีบางชนิด เช่น น้ำหอม เครื่องสำอาง เป็นต้น

มะเร็งผิวหนัง อันตรายที่น่ากลัวที่สุดจากแสงแดด คือ มะเร็งผิวหนัง หากได้รับแสงแดดแรงเกินไป หรือได้รับเป็นเวลานาน โดยไม่ได้ทาครีมป้องกันแสงแดด อาจก่อให้เกิดมะเร็งผิวหนังชนิดต่าง ๆ ได้แก่ Basal cell carcinoma, Squamous cell carcinoma, Melanoma

ตีนกา รอยย่น ตีนกาที่เกิดบนใบหน้า นอกจากการสูบบุหรี่ที่ส่งผลดังกล่าวแล้ว แสงแดดก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ได้ป้องกันด้วยการทาครีมกันแดด เมื่อต้องทำงานกลางแจ้ง จะทำให้ผิวหนังมีรอยย่น ตกกระ ดูแก่กว่าวัย ซึ่งการป้องกันควรทำตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปี

กระ มักพบในผู้ที่มีผิวขาว ผิวบาง และเกิดขึ้นกับบริเวณผิวหนังที่ถูกแสงแดดมาก เช่น ใบหน้า กระจะมีสีและต่างกัน กระไม่เป็นอันตรายต่อผิวหนัง เนื่องจากไม่กลายเป็นเนื้อร้าย แต่หากเกิดผื่นขึ้นควรปรึกษาแพทย์เพื่อวิเคราะห์ว่าเป้ฯมะเร็งผิวหนังหรือไม่ สาเหตุของกระมาจากแสงแดด และกรรมพันธุ์ สามารถป้องกันได้โดยการหลีกเลี่ยงแสงแดด และทาครีมป้องกันแดด

วิธีปกป้องผิวจากแดด

ทาโลชั่น หรือครีมกันแดดก่อนออกแดด อย่างน้อย 2 ชั่วโมง เนื้อครีมจะซึมซาบเข้าสู่ผิวเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันแดดให้สูงขึ้น และควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทีมีค่า SPF (Sun Protect Factor) อย่างน้อย 15 เท่า เพราะค่า SPF ที่สูงจะสามารถปกป้องคุณจากแสงแดดได้ดีกว่าครีมกันแดดที่มีค่า SPF ต่ำกว่า กรณีว่าน้ำควรเลือกผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดชนิดกันน้ำ

ผู้ที่ทำงานในที่ร่ม หรือในห้องปรับอากาศ ก็ควรทาครีมป้องกันแดด เพราะที่ที่มีแสงแดดลามเลียเข้ามาได้ย่อมมีรังสี UV อยู่เสมอ

สำหรับริมฝีปากควรทาลิปสติกที่มีสารกันแดด และควรสวมแว่นตากันแดดเพื่อถนอมสายตา

หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแจ้งช่วงเวลาแดดแรงจัดระหว่าง 10.00-15.00 น.

ผู้ที่หลงไหลในการอาบแดด หรือต้องการให้ผิวเป็นสีแทน ไม่ควรให้ส่วนใดส่วนหนึ่งโดนแสงแดดเพียงด้านเดียวเป็นเวลานานเกินไป

หากไม่สามารถหลบเลี่ยงการออกแดดได้ในขณะที่ไม่ได้ทาครีมกันแดด ควรทาครีมบำรุง (After sun) ทันทีเมื่อผิวเริ่มแดง สารบำรุงในเนื้อครีมจะช่วยสมานผิวได้

ความต้องการพลังงานของร่างกาย

ร่างกายนั้นขับเคลื่อนด้วยพลังงาน เหมือนรถ เรือ เครื่องบิน ที่ต้องเติมน้ำมัน อาหารก็เหมือนกับน้ำมันที่เติมลงไป ในแต่ละวันร่างกายใช้พลังงานในปริมาณเท่าๆ กันทุกวัน ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้ชีวิตแบบเป็นกิจจะลักษณะ คือทำอะไรซ้ำๆ กันทุกวัน

ปริมาณของพลังงานมีหน่วยเรียกว่า "แคลอรี่" ซึ่งโดยทั่วไปจะวัดกันที่หน่วย 1,000 แคลอรี่ ก็จะเท่ากับ 1 กิโลแคลอรี่ แต่จะเรียกกันง่ายๆ อย่างที่คุ้นหูกันอยู่ว่า แคลอรี่ เช่น อาหารชนิดนั้นชนิดนี้ให้พลังงานเท่านั้นเท่านี้แคลอรี่ และหากร่างกายได้รับพลังงาน มากเกินกว่าความจำเป็นที่ใช้ในแต่ละวัน ร่างกายก็จะสะสมพลังงานเหล่านั้น ไว้เป็นพลังงานสำรองเพื่อนำมาใช้ในยามขาดแคลน การเก็บพลังงานสำรองนี้เก็บไว้ในรูปของไขมัน ฝากไว้ตามพุง ตามหน้าท้อง แขน ขา ก้น ใบหน้า ซึ่งก็คือที่มาของ "ความอ้วน" นั่นเอง

เพื่อให้รู้เท่าทันความต้องการพลังงานของร่างกาย จึงควรทำความเข้าใจกับความต้องการใช้พลังงาน ของร่างกายในแต่ละวัน เพื่อจะได้สามารถกำหนดปริมาณอาหารที่รับประทานในแต่ละวันได้ถูกต้อง

จากผลการศึกษาของนักโภชนาการทั่วโลก ทำให้ทราบว่า ร่างกายต้องการพลังงานในวันหนึ่งๆ ประมาณ 1,600-2,800 แคลอรี่ ซึ่งก็จะมีความแตกต่างกันไปตามเพศ รูปร่าง วัย และกิจวัตรประจำวัน

ตัวอย่างเช่น

น้องแอน อายุ 25 ปี เป็นหญิงมั่น รูปร่างเล็กกระทัดรัด นิสัยกระตือรือร้น อาชีพพิธีกรและนักแสดง ออกกำลังกายเป็นประจำ น้องแอนจะต้องการพลังงานประมาณ 1,800-2,200 แคลอรี่ต่อวัน

ส่วนคุณกาญจนา อายุ 50 ปี รูปร่างเล็ก เกษียณตัวเองออกมาอยู่บ้าน กิจวัตรประจำวันคือ เลี้ยงสัตว์ เดินเล่น อ่านหนังสือ คุณกาญจนาจะต้องการพลังงานในแต่ละวันเพียง 1,600 แคลอรี่เท่านั้น ทั้งที่ทั้งสองมีรูปร่างใกล้เคียงกัน

เปรียบเทียบง่ายๆ ก็เหมือนรถยนต์ รถกำลังแรง คนขับวัยรุ่นเหยียบ 140 กม./ชม ตลอดระยะทางเชียงใหม่-กรุงเทพฯ รถก็จะซดน้ำมันมากกว่ารถยี่ห้อเดียวกัน ซึ่งขับโดยผู้ใหญ่ และขับด้วยความเร็วที่ 80 กม./ชม. ไปเรื่อยๆ ไม่เร่ง ไม่แซง ฉะนั้นการที่จะบอกถึง อัตราการกินน้ำมันของรถแต่ละคันได้ ก็จะขึ้นอยู่กับลักษณะของการใช้งานเช่นเดียวกับการกำหนดตัวเลขการใช้พลังงานของแต่ละคนที่ไม่อาจคำนวณเป็นตัวเลขที่แน่นอนตายตัวได้ แต่ก็สามารถประมาณตัวเลขการใช้พลังงานคร่าวๆ ได้ดังนี้

เด็กอายุ 2-6 ขวบ

ใช้พลังงานต่อวัน

1,600

แคลอรี่

วัยเด็กตอนปลาย วัยรุ่นตอนต้น

ใช้พลังงานต่อวัน

2,200

แคลอรี่

ผู้หญิงผู้ชายทำงานออฟฟิศ

ใช้พลังงานต่อวัน

2,200

แคลอรี่

เด็กผู้ชายวัยรุ่นและผู้ชายทำงานที่ต้องใช้แรง

ใช้พลังงานต่อวัน

2,800

แคลอรี่

ผู้ใหญ่วัยกลางคน

ใช้พลังงานต่อวัน

2,000

แคลอรี่

ผู้สูงอายุ ไม่มีกิจกรรมหนัก

ใช้พลังงานต่อวัน

1,600

แคลอรี่

ที่มาและข้อมูลเพิ่มเติม

http://www.elib-online.com/doctors46/food_obese008.html

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

วิธีรักษาอาการปวดต้นคอ

ใครที่รู้สึกปวดต้นคอ ทำอย่างไรก็ไม่หาย วันนี้มีวิธีการรักษาต้นคอโดยการปรับเปลี่ยนลักษณะกิจวัตรประจำวันมาฝาก...

- พยายามใช้ท่าทางอย่างถูกต้องในการเคลื่อนไหว ขณะนั่งทำงาน หรือท่ายืน โดยไม่ก้มคอมากเกินไป

- ออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อบริเวณคอ

- พยายามใช้หมอนหนุน บริเวณต้นคอและศีรษะเวลานอน

- อาจสวมใส่เครื่องพยุงลำคอถ้ามีอาการปวดเกร็งที่ต้นคอมาก

- การทำกายภาพบำบัดโดยการประคบด้วยความร้อนและการดึงส่วนลำคอโดยนักกายภาพบำบัดจะช่วยบรรเทาอาการได้

- อาหารไม่มีบทบาทในการรักษาโรคปวดต้นคอ หรือทำให้เกิดอาการมากขึ้น

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าไม่อยากปวดต้นคอ ก็ลองปรับเปลี่ยนลักษณะกิจวัตรประจำวันกันดูได้.

สวัสดีค่ะครูกั้ม ทางทีมงานได้ส่งอีเมลไปถึงคุณครู รบกวนตรวจสอบด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ

ในช่วงฤดูหนาวเราอาจเป็นไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ซึ่งเกิดจากเชื้อไวรัส บางคนที่เป็นโรคภูมิแพ้อยู่เดิม โดยเฉพาะแพ้สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในบ้าน เช่น ขนของสัตว์เลี้ยง ตัวไรในฝุ่น ก็อาจมีอาการแพ้มากขึ้น

โดยมีอาการจาม น้ำมูกไหล หรือบางคนที่เป็นโรคหอบหืด โรคปอดเรื้อรังอยู่ก่อนแล้วก็อาจมีอาการหอบมากขึ้นได้ โดยเฉพาะถ้าติดไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ร่วมด้วย นอกจากนั้นปัญหาเรื่องผิวหนังก็เป็นเรื่องที่พบได้บ่อย เช่น ผิวแห้งคันหลังอาบน้ำ ซึ่งพบบ่อยมากในผู้สูงอายุซึ่งมีไขมันใต้ผิวหนังน้อยและต่อมไขมันทำงานลดลงตามอายุ หรือคนที่ผิวแห้งอยู่เดิมก็อาจคันมากหรือผิวลอกไปเลย บางรายที่เป็นผื่นผิวหนังแพ้อากาศเย็นก็อาจทำให้มีผื่นแพ้อากาศเกิดขึ้นได้ในช่วงนี้

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดปัญหาเรื่องสุขภาพ

ไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งติดต่อได้ทางระบบหายใจ เช่น ไอ จาม ทำให้เชื้อโรคกระจายออกมาในอากาศ หรือจากการที่มีเสมหะ น้ำลายของผู้ป่วยเปื้อนอยู่ตามที่ต่าง ๆ เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได แก้วน้ำ แล้วมือเราไปสัมผัสมาแล้วเผลอไปจับจมูก จับหน้า ทำให้เชื้อโรคเข้าจมูกหรือตาได้ ส่วนอาการโรคภูมิแพ้เกิดจากการที่เรามีโอกาสมากขึ้นในการอยู่ใกล้ชิดกับสิ่งที่เราแพ้ เช่น พอฤดูหนาวเราและสัตว์เลี้ยงอาจอยู่ในบ้านมากขึ้น ถ้าเราแพ้ขนสัตว์อาจทำให้มีอาการมากขึ้น หรือเรานอนมากขึ้นในฤดูหนาวทำให้แพ้ตัวไรในฝุ่นตามที่นอน หมอน มุ้งมากขึ้น สำหรับอาการผื่นแพ้อากาศเย็นหรือคันตามผิว ผิวแห้งลอกนั้นเกิดจากอากาศที่เย็นโดยตรง

วิธีการรักษา

โรคไข้หวัดใหญ่โดยทั่วไปจะหายเองภายใน 1 - 2 สัปดาห์ หรือให้การรักษาตามอาการ คือช่วงที่มีไข้ก็รับประทานยาลดไข้พาราเซตามอล เช็ดตัวบ่อย ๆ พักผ่อนมาก ๆ ไม่ตรากตรำทำงานหนัก ดื่มน้ำอุ่นมาก ๆ ถ้าสูบบุหรี่หรือดื่มเหล้าอยู่ต้องงด และรับประทานยาลดอาการต่าง ๆ เช่น ถ้าไอก็รับประทานยาแก้ไอ มีน้ำมูกก็รับประทานยาลดน้ำมูก เป็นต้น

ในเด็กควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยาลดไข้แอสไพริน เนื่องจากอาจเกิดตับวายและสมองอักเสบได้

สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการมาก เช่น หอบเหนื่อย ซึม โดยเฉพาะในผู้สูงอายุซึ่งอาจมีไข้ อ่อนเพลีย แล้วมีอาการซึม สับสน ช่วยเหลือตัวเองได้น้อยลง อาจต้องรับการรักษาในโรงพยาบาลเพื่อให้การดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด ซึ่งอาการดังกล่าวจะพบเป็นส่วนน้อย สำหรับยาฆ่าเชื้อไข้หวัดใหญ่โดยเฉพาะมักไม่ต้องใช้ เพราะโรคจะหายได้เอง จึงใช้เฉพาะในรายที่อาการรุนแรงเท่านั้น

การดูแลสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะถ้าสุขภาพดีจะลดโอกาสการเจ็บป่วยลง โดยทั่วไปควรปฏิบัติดังนี้

1.รักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพียงพอและครบหมู่ ดื่มน้ำมาก ๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ตรากตรำทำงานหนักจนเกินไป

2.อยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเท ไม่เข้าไปในที่แออัด โดยเฉพาะช่วงที่มีการระบาดของไข้หวัดใหญ่

3.หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา และยาเสพติดต่าง ๆ เนื่องจากอาจทำให้สุขภาพร่างกายเสื่อมโทรม มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย

4.หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่ป่วยเป็นไข้หวัด และไม่ควรใช้ของร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ จาน ชาม ช้อน

5.ล้างมือบ่อยๆ เนื่องจากอาจไปสัมผัสเชื้อโรคที่อยู่ตามสิ่งของต่างๆ เช่น ราวบันได ลูกบิดประตู แก้วน้ำ เป็นต้น แล้วเผลอไปสัมผัสบริเวณหน้าได้ โดยล้างมือด้วยสบู่ธรรมดา 15-20 วินาที หรือใช้น้ำยาล้างมืออื่น ๆ

6.รักษาร่างกายให้อบอุ่นในช่วงฤดูหนาวหรือช่วงที่มีอากาศเปลี่ยนแปลง ในที่ที่หนาวมากควรสวมหมวกเพื่อลดการถ่ายเทความร้อนออกจากร่างกาย

7.หากเป็นไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ควรมีผ้าปิดปากและจมูกเวลาไอจาม ไม่คลุกคลีกับผู้อื่น และหมั่นล้างมือบ่อย ๆ

8.สำหรับปัญหาเรื่องผิวหนัง เราควรให้ร่างกายอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา ใส่เสื้อผ้าหนา ๆ ถ้าอากาศหนาวมาก ไม่อาบน้ำนาน ๆ ในที่ที่หนาวมากอาจไม่ต้องอาบน้ำวันละสองครั้งเหมือนฤดูอื่น หลังอาบน้ำเช็ดตัวหมาด ๆ ควรทาโลชั่นหรือน้ำมันทาผิว ในกรณีที่มีปัญหาริมฝีปากแตกควรทาด้วยลิปสติกมันและไม่เลียริมฝีปากบ่อยๆ

ทุกคนจึงควรหมั่นคอยดูแลสุขภาพให้ดีตลอดเวลา เพราะจะเป็นการป้องกันโรคที่คุ้มค่าที่สุด และไม่มีใครรู้ว่าความเจ็บป่วยจะเกิดขึ้นกับตัวเราเมื่อไหร่ หากเราป่วยอาจเป็นมากกว่าคนที่มีพื้นฐานสุขภาพที่ดี สำหรับผู้ที่อายุยังไม่มากก็ควรดูแลสุขภาพให้ดีเช่นเดียวกัน เพราะสุขภาพที่ดีในตอนอายุยังน้อยจะเป็นเกราะป้องกันโรคตอนอายุมากขึ้น

น้ำตาลทำลายผิว

- น้ำตาลเป็นตัวทำลายโครงสร้างอีลาสตินและคอลลาเจนจริงหรือเปล่า

น้ำตาลเป็นแค่ปัจจัยหนึ่งในการทำลายอีลาสตินและคอลลาเจนในผิวเท่านั้น ผิวของคนเรามีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการทำลายผิวอีกมากมายไม่ว่าจะเป็นอายุ สิ่งแวดล้อม หรือแม้กระทั่งอาหาร ก็สามารถเป็นสาเหตุของการทำลายโครงสร้างอีลาสตินและคอลลาเจนโดย สังเกตได้จากคนที่เป็นโรคเบาหวาน จะมีสภาพผิวที่ค่อนข้างกร้านกว่าคนทั่วไป และริ้วรอยที่เกิดขึ้นจะเห็นได้ชัดมาก เนื่องจากเอนไซม์และน้ำตาลได้เข้าไปทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในผิว

- น้ำตาลจะเข้าไปทำลายผิวตั้งแต่เมื่อไร

จริงๆ น้ำตาลจะเข้าไปทำลายผิวตั้งแต่วัยเด็กแล้ว แต่ด้วยกลไกลการทำงานของผิวในวัยเด็กจะถูกทดแทนทันทีหลังจากถูกทำลาย มีกระบวนการซ่อมแซมที่ดีกว่าผิวของผู้ใหญ่

- ผิวที่ถูกน้ำตาลทำลายโครงสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน จะมีลักษณะอย่างไร

น้ำตาลจะเข้าไปจับคอลลาเจนให้เกิดการแข็งตัว พอแข็งตัวก็จะแตกและเปราะหักง่าย หลังจากอีลาสตินและคอลลาเจนเปราะหักแล้ว ผิวตรงนั้นก็จะเกิดการยุบตัวลง ลักษณะจะเหมือนที่นอนสปริงที่เกิดการหัก เมื่อนอนตรงนั้นก็จะเกิดการยุบตัว ผิวของเราก็เช่นกัน เมื่อคอลลาเจนและอีลาสตินถูกทำลาย ผิวบริเวณนั้นก็จะยุบตัวทันที เมื่อเกิดการยวบตัวลง ถ้ามองจากภายนอก บริเวณนั้นจะเกิดเป็นริ้วรอย และริ้วรอยจะตื้นหรือลึกก็ขึ้นอยู่กับผิวของเราโดนทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินมากน้อยแค่ไหน

- เราจำเป็นต้องควบคุมน้ำตาลมากน้อยแค่ไหน

การควบคุมน้ำตาลจะช่วยในระดับหนึ่งเท่านั้นสำหรับการป้องกันเรื่องริ้วรอย แต่ไม่ได้แปลว่าคุณจะบริโภคน้ำตาลไม่ได้เลย เนื่องจากร่างกายของเรายังต้องการพลังงานจากน้ำตาล เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างพลังงาน เมื่อเราทานข้าว ขนมปัง ก็มีกลูโคส ซึ่งกลูโคสก็จะกลับมาในรูปพลังงานให้เรามีแรง แต่ถ้ารู้สึกกลัว ก็แค่บริโภคให้พอเหมาะกับความต้องการ และหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นเกราะป้องกัน เพราะการออกกำลังกายจะช่วยเผาผลาญเป็นผลให้ปริมาณน้ำตาลในร่างกายลดน้อยลง

- หันมาบริโภคน้ำตาลเทียมแทนจะช่วยได้หรือเปล่า

การบริโภคน้ำตาลเทียมไม่ได้ช่วยอะไร เพราะถ้าทุกคนยังทานอาหารที่มีส่วนผสมของแป้งอยู่ ไม่ว่าจะเป็นขนมปัง ข้าว หรือแม้กระทั่งเส้นก๋วยเตี๋ยว ล้วนแต่ทำมาจากแป้ง ซึ่งกระบวนการย่อยอาหารจำพวกแป้งจะทำหน้าที่เปลี่ยนแป้งให้เป็นกลูโคส กลูโคสถือเป็นหน่วยย่อยเล็กที่สุดของแป้งหรือของน้ำตาลที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ แต่พอมีกลูโคสมากเกินไปในร่างกายและไม่ได้เผาผลาญออกมา กลูโคสก็จะไปจับกับคอลลาเจนและอีลาสติน สุดท้ายก็จะส่งผลต่อผิวได้ในที่สุด

- การออกกำลังกายจะช่วยได้หรือเปล่า

การออกกำลังกายถือเป็นเรื่องดีที่สุดในการดูแลสุขภาพ ยิ่งบริโภคน้ำตาลมากไปเท่าไหร่ควรมีการเผาผลาญโดยการออกกำลังการมากขึ้นตามด้วย ระยะเวลาในการออกกำลังกายที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ เริ่มตั้งแต่ 30 นาทีขึ้นไป เพราะช่วงระยะเวลา15-20 นาทีแรก ร่างกายจะใช้พลังงานจากน้ำตาลก่อน หลังจากนั้นจะใช้จากไขมัน ถือว่าการออกกำลังกายเป็นทางออกที่ดีที่สุดของการปกป้องผิวจากน้ำตาล

กินวิตามิน..เกลือแร่แก้แพ้อากาศ

วิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยลดการแพ้อากาศ ได้แก่

- วิตามินซี ช่วยป้องกันและเสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือด ป้องกันหวัดและการแพ้อากาศ แหล่งที่พบมากได้แก่ ฝรั่ง ส้ม และสับปะรด

- วิตามินอี ช่วยสร้างภูมิคุ้นกัน ต้านอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรง แหล่งที่พบมากได้แก่ ธัญพืช ข้างกล้อง และรำข้าว

- วิตามินเอ ช่วยต้านอนุมูลอิสระและเสริมสร้างการทำงานของเซลล์เม็ดเลือด แหล่งที่พบมากได้แก่ ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง แครอท มะเขือเทศ ฟักทอง มะละกอ และน้ำมันตับปลา

- สังกะสี (Zinc) ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย และป้องกันอนุมูลอิสระ แหล่งที่พบมากได้แก่ อาหารทะเล ธัญพืช และผลิตภัณฑ์นม

- ซิลิเนียม (Selenium) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน แหล่งที่พบมากได้แก่ เนื้อสัตว์ ธัญพืช จมูกข้าว รำข้าว เห็ด และกะหล่ำปลี

สารพัดประโยชน์จาก...พริก

- พริกช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด

ช่วยให้ระบบการหายใจสะดวกสบายยิ่งขึ้น สารแคปไซซินที่อยู่ในพริกมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำมูกหรือลดปริมาณสารที่ขัดขวางระบบการหายใจ ในผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด ไซนัส หรือโรคภูมิแพ้ต่างๆ ช่วยบรรเทาอาการไอ สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของตัวยาหลายๆ ชนิด นอกจากนั้นสารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยป้องกันการติดเชื้อต่างๆ ในบริเวณเนื้อเยื่อบุผนังช่องปาก จมูก ลำคอ และปอด

- พริกช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด

หรือการเสียชีวิตอันเนื่องมาจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน การบริโภคพริกเป็นประจำจะช่วยลดอัตราความเสี่ยงจากการอุดตันของเส้นเลือด นับเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหัวใจล้มเหลว เนื่องจากพริกช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและช่วยลดความดัน เพราะว่าในพริกมีสารจำพวกเบตาแคโรทีนและวิตามินซี ซึ่งช่วยเสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรงเพิ่มการยืดตัวของผนังหลอดเลือด ทำให้ปรับตัวเข้ากับแรงดันระดับต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น

- พริกช่วยลดปริมาณสารคอเลสเตอรอล

สารแคปไซซินช่วยป้องกันมิให้ตับสร้างคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL-Low density lipoprotein) ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้มีการสร้างคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-high density lipoprotein) มากขึ้น ทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดต่ำลง เป็นผลดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค

- พริกช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง

เนื่องจากพริกเป็นพืชผักที่มีวิตามินซีสูง การบริโภคอาหารที่มีวิตามินซีมากๆ จะช่วยปกป้องการเกิดโรคมะเร็งได้ วิตามินซียับยั้งการสร้างไนโตรซามีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร วิตามินซีช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นส่วนประกอบของกระดูกอ่อน รวมถึงเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง กล้ามเนื้อและปอด คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่สามารถหยุดการแพร่กระจายของเซลล์เนื้อร้ายได้

------> นอกจากนี้ วิตามินซียังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) คือสามารถยุติหรือขัดขวางบทบาทของอนุมูลอิสระ (free radicals) ที่จะก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์จนเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด สารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยลดอัตราการเสี่ยงของโรคมะเร็งในปอด และในช่องปาก คนที่รับประทานผักที่มีสารเบตาแคโรทีนน้อย จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งมากกว่าคนที่รับประทานผักที่มีเบตาแคโรทีนสูงถึง 7 เท่า

-----> คุณสมบัติของสารเบตาแคโรทีนจะช่วยลดอัตราการกลายพันธุ์ของเซลล์และทำลายเซลล์มะเร็ง สำหรับพริกบางชนิดที่มีสีม่วงจะมีสารพวกแอนโทไซยานิน ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ คือ สามารถทำลายอนุมูลอิสระได้เช่นกัน

- พริกช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด

เช่น ลดอาการปวดฟัน บรรเทาอาการเจ็บคอ และการอักเสบของผิวหนัง เป็นต้น ในปัจจุบันมีการใช้สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบของขี้ผึ้ง ใช้บรรเทาอาการปวดอันเนื่องมาจากผดผื่นคันและอาการผื่นแดงบริเวณผิวหนัง รวมทั้งอาการปวดที่เกิดจากเส้นเอ็น โรคเกาต์ หรือโรคข้อต่ออักเสบ เป็นต้น นอกจากนี้ผลการทดลองใหม่ๆยังบ่งชี้ว่าสารแคปไซซินช่วยลดอาการปวดศีรษะและไมเกรนลงได้

- พริกช่วยเสริมสร้างสุขภาพและอารมณ์ดี

เนื่องจากสารแคปไซซินมีส่วนในการส่งสัญญาณให้ต่อมใต้สมองสร้างสาร เอนดอร์ฟิน (endorphin มาจากคำว่า endogenous morphine) ขึ้น สารเอนดอร์ฟินเป็นเปปไทด์ขนาดเล็ก (โปรตีนสายสั้นๆ) มีคุณสมบัติคล้ายมอร์ฟีน คือ บรรเทาอาการเจ็บปวด ในขณะเดียวกันก็สร้างอารมณ์ให้ดีขึ้น ยิ่งรับประทานเข้าไปมากเท่าใด ร่างกายก็จะสร้างเอนดอร์ฟินขึ้นมามากขึ้นเท่านั้น ปกติร่างกายของคนเราจะสร้างสารเอนดอร์ฟินขึ้นภายหลังการออกกำลังกาย ดังนั้นการออกกำลังกายแม้จะทำให้ร่างกายเมื่อยล้า แต่ผู้ออกกำลังกายจะรู้สึกสดชื่นแจ่มใส

----> Tips <-----

เกณฑ์วัดระดับความเผ็ดร้อนสากลของพริกหรือผักผลไม้ที่มีสารแคปไซซิน ซึ่งให้ความเผ็ดร้อนนี้เรียกว่า สโกวิลล์ (Seoville) เป็นคำที่ตั้งขึ้นตามชื่อของผู้คิดค้นวิธีการวัดระดับนี้ ซึ่งก็คือ วิลเบอร์ ลินคอร์น สโกวิลล์ นักเคมีชาวอเมริกัน โดยเขาได้คิดค้นระดับวัดความเผ็ดนี้ขึ้นในปี ค.ศ. 1912 ขณะทำงานอยู่ที่บริษัทผลิตยา พาร์ก เดวิส เพื่อวัดความฉุนหรือความเผ็ดร้อนของพริกต่างชนิดกัน

สำหรับความเผ็ดที่วัดได้จากพริกขี้หนูสวนบ้านเรานั้นจะอยู่ที่ 50,000-100,000 สโกวิลล์ ในขณะที่สารแคปไซซินบริสุทธิ์นั้นมีค่าประมาณ 15,000,000-16,000,000 สโกวิลล์ ส่วนพริกที่ได้รับการบันทึกลงในกินเนสส์บุ๊กว่าเผ็ดที่สุดในโลกก็คือ พริกฮาบาเนโร จากเรด ซาบีนา วัดค่าได้ถึง 350,000-577,000 สโกวิลล์

เบญจวรรณ หล้าแปง (ม.ฟาร์ เลขที่ 40)

อาหารเพื่อสุขภาพตา

เราจึงจำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่ช่วยรักษาสุขภาพตา คือ สารแอนติออกซิแดนท์ (วิตามินซี อี เบตาแคโรทีน ลูทีน ซีแซนทิน สังกะสี และไบโอเฟลโวนอยด์)

เบตาแคโรทีน เป็นสารอาหารที่ร่างกายเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ซึ่งช่วยในการมองเห็นในที่มืด และยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพตา ช่วยบำรุงรักษาดวงตาและป้องกันโรคตาหลายชนิด เช่น ต้อกระจก โรคตาบอดกลางคืน และยังช่วยให้ผิวเยื่อเมือกต่าง ๆ ในร่างกายชุ่มชื้นด้วย

ลูทีน (Luteine) และซีแซนทิน (Zeaxanthin) เป็นสารแคโรทีนอยด์ ชนิดหนึ่งมีสีเหลือง พบมากในพืชผักที่มีสีเหลืองและสีเขียวเข้ม เช่น ผักกาด คะน้า ปวยเล้ง ลูทีนและซีแซนทิน เป็นสารธรรมชาติที่พบมากในตาบริเวณจุดรับภาพและจอประสาทตา ทำหน้าที่ช่วยกรองหรือป้องกันรังสีจากแสงแดด ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตาไม่ให้ถูกทำลายโดยการลดอนุมูลอิสระที่ทำลายดวงตา และกรองแสงสีน้ำเงินที่จะทำลายดวงตา ร่างกายจำเป็นต้องได้รับสารลูทีนจากอาหาร ส่วนสารซีแซนทิน นอกจากจะได้จากอาหารส่วนหนึ่งแล้ว ร่างกายสามารถเปลี่ยนสารลูทีนในตาไปเป็นสารซีแซนทินได้ ปริมาณลูทิน 6 มก./วัน ช่วยลดความเสี่ยงจอประสาทตาเสื่อมถึงร้อยละ 50

ดังนั้นผู้ที่บริโภคผักผลไม้หลายๆ สีเป็นประจำสามารถลดความเสี่ยงโรคจอประสาทตาเสื่อม เนื่องจากผลไม้จะเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระดังกล่าว

ไบโอเฟลโวนอยด์ พบได้ในบลูเบอร์รี่หรือบิลเบอร์รี่ องุ่นแดง ส้ม และเครนเบอร์รี่ ไบโอเฟลโวนอยด์ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ คือ สารแอนโธไซยานิติน ช่วยป้องกันเลนส์ตาและสร้างความแข็งแรงให้กับสารคอลลาเจน

สารสกัดจากบิลเบอร์รี่ ได้รับความนิยมสูงมากรองจากลูทีน นอกจากจะช่วยป้องกันเลนส์ตาแล้ว ยังช่วยให้มองเห็นในที่มืดหรือที่มีแสงสลัว ๆ ได้ชัดเจนขึ้น บิลเบอร์รี่ เป็นพืชสมุนไพรที่ใช้กันมานานตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากนักบินทหารอากาศของอังกฤษสังเกตเห็นว่าการบริโภคแยมบิลเบอร์รี่ก่อนที่จะออกบินในเวลากลางคืน ช่วยให้สายตาทำงานในที่มืดดีขึ้น

บิลเบอร์รี่ เป็นผลไม้สมุนไพรที่มีความปลอดภัยและไม่พบพิษโดยผลจากการวิจัยต่างๆ ไม่พบผลข้างเคียง ดังนั้น นักวิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการมีสุขภาพดีของมนุษย์ด้วยการบำรุงรักษาอย่างถูกวิธี

ปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมที่จะทำลายเลนส์ตาและทำให้จอประสาทตาเสื่อมนั้น เป็นสิ่งที่สามารถปรับเปลี่ยนได้โดยการใช้แว่นกันแดดที่สกัดกั้นสารยูวี เลิกสูบบุหรี่ และบริโภคผักผลไม้ที่มีสารแอนติออกซิแดนท์และสารแอนโธไซยานิดินสูง การบริโภคผักและผลไม้วันละ 9 ส่วน ช่วยลดความเสี่ยงต้อกระจกและจอประสาทเสื่อม และเสริมสุขภาพด้านอื่นด้วยนะคะ

ถ้าคุณคิดว่าการทาครีมบำรุงผิวและครีมกันแดดปกป้องผิวของคุณได้ ขอบอกเลยค่ะว่าคุณคิดผิด เพราะล่าสุดได้มีการวิจัยของแบรนด์เครื่องสำอางดังหลายแบรนด์ ออกมาว่า น้ำตาล ถือเป็นตัวทำลายผิวของเราได้ด้วยเช่นกัน

 น้ำตาลเป็นตัวทำลายโครงสร้างอีลาสตินและคอลลาเจนจริงหรือเปล่า
น้ำตาลเป็นแค่ปัจจัยหนึ่งในการทำลายอีลาสตินและคอลลาเจนในผิวเท่านั้น  ผิวของคนเรามีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อการทำลายผิวอีกมากมายไม่ว่าจะเป็นอายุ สิ่งแวดล้อม หรือแม้กระทั่งอาหาร ก็สามารถเป็นสาเหตุของการทำลายโครงสร้างอีลาสตินและคอลลาเจนโดย สังเกตได้จากคนที่เป็นโรคเบาหวาน จะมีสภาพผิวที่ค่อนข้างกร้านกว่าคนทั่วไป และริ้วรอยที่เกิดขึ้นจะเห็นได้ชัดมาก เนื่องจากเอนไซม์และน้ำตาลได้เข้าไปทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในผิว

 น้ำตาลจะเข้าไปทำลายผิวตั้งแต่เมื่อไร

จริงๆ น้ำตาลจะเข้าไปทำลายผิวตั้งแต่วัยเด็กแล้ว แต่ด้วยกลไกลการทำงานของผิวในวัยเด็กจะถูกทดแทนทันทีหลังจากถูกทำลาย มีกระบวนการซ่อมแซมที่ดีกว่าผิวของผู้ใหญ่

ผิวที่ถูกน้ำตาลทำลายโครงสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน จะมีลักษณะอย่างไร
น้ำตาลจะเข้าไปจับคอลลาเจนให้เกิดการแข็งตัว พอแข็งตัวก็จะแตกและเปราะหักง่าย หลังจากอีลาสตินและคอลลาเจนเปราะหักแล้ว ผิวตรงนั้นก็จะเกิดการยุบตัวลง ลักษณะจะเหมือนที่นอนสปริงที่เกิดการหัก เมื่อนอนตรงนั้นก็จะเกิดการยุบตัว ผิวของเราก็เช่นกัน เมื่อคอลลาเจนและอีลาสตินถูกทำลาย ผิวบริเวณนั้นก็จะยุบตัวทันที เมื่อเกิดการยวบตัวลง ถ้ามองจากภายนอก บริเวณนั้นจะเกิดเป็นริ้วรอย และริ้วรอยจะตื้นหรือลึกก็ขึ้นอยู่กับผิวของเราโดนทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินมากน้อยแค่ไหน

 เราจำเป็นต้องควบคุมน้ำตาลมากน้อยแค่ไหน
การควบคุมน้ำตาลจะช่วยในระดับหนึ่งเท่านั้นสำหรับการป้องกันเรื่องริ้วรอย แต่ไม่ได้แปลว่าคุณจะบริโภคน้ำตาลไม่ได้เลย เนื่องจากร่างกายของเรายังต้องการพลังงานจากน้ำตาล  เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างพลังงาน เมื่อเราทานข้าว ขนมปัง ก็มีกลูโคส ซึ่งกลูโคสก็จะกลับมาในรูปพลังงานให้เรามีแรง แต่ถ้ารู้สึกกลัว ก็แค่บริโภคให้พอเหมาะกับความต้องการ และหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นเกราะป้องกัน เพราะการออกกำลังกายจะช่วยเผาผลาญเป็นผลให้ปริมาณน้ำตาลในร่างกายลดน้อยลง

 หันมาบริโภคน้ำตาลเทียมแทนจะช่วยได้หรือเปล่า
การบริโภคน้ำตาลเทียมไม่ได้ช่วยอะไร เพราะถ้าทุกคนยังทานอาหารที่มีส่วนผสมของแป้งอยู่ ไม่ว่าจะเป็นขนมปัง ข้าว หรือแม้กระทั่งเส้นก๋วยเตี๋ยว ล้วนแต่ทำมาจากแป้ง ซึ่งกระบวนการย่อยอาหารจำพวกแป้งจะทำหน้าที่เปลี่ยนแป้งให้เป็นกลูโคส กลูโคสถือเป็นหน่วยย่อยเล็กที่สุดของแป้งหรือของน้ำตาลที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ แต่พอมีกลูโคสมากเกินไปในร่างกายและไม่ได้เผาผลาญออกมา กลูโคสก็จะไปจับกับคอลลาเจนและอีลาสติน สุดท้ายก็จะส่งผลต่อผิวได้ในที่สุด

 การออกกำลังกายจะช่วยได้หรือเปล่า
การออกกำลังกายถือเป็นเรื่องดีที่สุดในการดูแลสุขภาพ ยิ่งบริโภคน้ำตาลมากไปเท่าไหร่ควรมีการเผาผลาญโดยการออกกำลังการมากขึ้นตามด้วย ระยะเวลาในการออกกำลังกายที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ เริ่มตั้งแต่ 30 นาทีขึ้นไป เพราะช่วงระยะเวลา15-20 นาทีแรก ร่างกายจะใช้พลังงานจากน้ำตาลก่อน หลังจากนั้นจะใช้จากไขมัน ถือว่าการออกกำลังกายเป็นทางออกที่ดีที่สุดของการปกป้องผิวจากน้ำตาล


 

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)เลขที่ 33

วิธีขับถ่ายปัสสาวะ เพื่อสุขภาพที่ดี

ไม่น่าเชื่อว่า แม้คนเราจะขับถ่ายปัสสาวะกันมาก ตั้งแต่แรกเกิด แต่หลายคนไม่ทราบวิธีที่ดีที่ทำให้ระบบขับถ่ายปัสสาวะเป็นปกติ วันนี้จะขอเสนอ 14 อุปนิสัยที่ดีในการขับถ่ายปัสสาวะ

-อย่ากลั้นปัสสาวะ เมื่อรู้สึกปวดต้องไปปัสสาวะ

-เวลาปัสสาวะไม่ควรรีบร้อนเบ่งมาก เพราะอาจทำให้หูรูดปัสสาวะชำรุดได้

-ควรถ่ายปัสสาวะให้เหลือน้อยที่สุดในหนึ่งครั้ง นั่นคือเมื่อรู้สึกถ่ายหมดแล้วให้เบ่งต่ออีกนิดหน่อย ปัสสาวะที่เหลือจะไหลออกมา

ไ-ม่ควรบังคับให้ตนเองถ่ายปัสสาวะบ่อย เพราะจะติดเป็นนิสัย เวลาที่เหมาะสมคือ 2-4 ชั่วโมงควรถ่ายปัสสาวะหนึ่งครั้ง

-ให้สังเกตการถ่ายปัสสาวะ และน้ำปัสสาวะของตนเองทุกครั้งว่า ต้องเบ่งมากผิดปกติหรือไม่ น้ำปัสสาวะลำพุ่งดีหรือไม่ ลำน้ำปัสสาวะมีขนาดเล็กลงกว่าเดิมหรือไม่ น้ำปัสสาวะมีสีเหลืองใสหรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเป็นอาการผิดปกติที่สามารถบอกโรคได้

-อาจจะล้างทำความสะอาดหลังปัสสาวะ แต่อย่าให้บริเวณนั้นเปียกชื้น เพราะอาจเกิดเชื้อราได้ ทางที่ดีหลังปัสสาวะทุกครั้ง ควรซับให้แห้ง

-เมื่อปัสสาวะไม่ออก ต้องหาสาเหตุโดยการไปพบแพทย์ อย่าซื้อยาขับปัสสาวะรับประทานเพราะจะเกิดอันตรายได้

-เมื่อเข้าสู่วัยกลางคน การบริหารอุ้งเชิงกรานโดยการขมิบ (ฝ่ายหญิงขมิบช่องคลอด ฝ่ายชายขมิบทวารหนัก) วันละ 100 ครั้ง จะช่วยป้องกันอาการปัสสาวะเล็ด

-ดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 10 แก้ว หรือหนึ่งลิตร จะช่วยให้น้ำปัสสาวะใส มีจำนวนพอดีและป้องกันภาวะปัสสาวะอักเสบ

-ก่อนมีเพศสัมพันธ์ และหลังมีเพศสัมพันธ์ คุณผู้หญิงควรถ่ายปัสสาวะทิ้ง จะช่วยป้องกันการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

-น้ำปัสสาวะจะต้องเป็นน้ำเท่านั้น ถ้ามีมูก หนอง น้ำเหลือง เลือดปนออกมา ถือว่าผิดปกติต้องไปพบแพทย์

-การขับถ่ายปัสสาวะ ต้องขับถ่ายคล่องไม่มีอาการเจ็บปวด ถ้าปัสสาวะแสบขัดลำบากนับว่าเป็นอาการผิดปกติ ต้องไปพบแพทย์อีกเช่นกัน

-คนเราทุกคนต้องปัสสาวะทุกวัน วันละ 4-6 ครั้ง ถ้าไม่ปัสสาวะเลย 1 วัน ถือว่าตกอยู่ในภาวะอันตราย ต้องไปพบแพทย์โดยด่วน

-ก่อนเดินทางไกล ก่อนยกของหนัก ควรปัสสาวะทิ้งก่อนทุกครั้ง

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์) 006

โดยทั่วไปเมื่อเป็นไข้หวัดแล้ว อาการจะหายได้เองประมาณ 1 สัปดาห์ โดยหมั่นจิบน้ำอุ่นอย่างต่อเนื่อง พักผ่อนให้มาก ๆ ห้ามกินยาปฏิชีวนะโดยพลการ เนื่องจากอาจสร้างปัญหาทำให้เชื้อดื้อยา โดยสิ่งที่เป็นเรื่องน่ารำคาญของโรคนี้คือ น้ำมูกไหล ไอ จาม เจ็บคอและหายใจลำบาก

จากการสำรวจพืชสมุนไพรพื้นบ้านของกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก พบว่ามีสมุนไพรที่สามารถนำมาใช้บรรเทาอาการหวัดได้ ในเรื่องนี้นางนิตยา จันทร์เรือง มหาผล โฆษกกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า มีสมุนไพร 8 ชนิดที่สามารถนำมาใช้บรรเทาอาการหวัด ลดอาการไอ การระคายคอจากเสมหะได้ ได้แก่ ขิง ดีปลี เมล็ดเพกา มะขามป้อม มะขาม มะนาว มะแว้งเครือ มะแว้งต้น ซึ่งสมุนไพรเหล่านี้มีอยู่ทุกภาคอยู่แล้ว และมีสรรพคุณต่างกัน เลือกใช้ได้ตามอาการ

การเผาผลาญแคลอรีสำหรับบางคนแล้วอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่สำหรับคนทั่วไป โดยเฉพาะคนที่ระบบเผาผลาญอาหารต่ำ และไม่มีเวลาออกกำลังกาย ต่อไปนี้คือ 30 วิธีที่จะทำให้คุณเผาผลาญแคลอรีได้ง่ายๆ (ไม่มากก็น้อย) ภายใน 30 วัน

1. ตื่นขึ้นมายืดเส้นยืดสาย โน้มตัวลงใช้มือแตะสลับเท้า รวมทั้งจัดเตียงและพับผ้าปูที่นอนให้เข้าที่เข้าทางและดูเรียบร้อยทุกวัน แค่ 20 นาที ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่สวย

2. ยืดเวลา "ยืน" แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันให้นานขึ้น

3. จัดห้องด้วยตัวเอง ถึงเวลาเสียทีสำหรับการตกแต่งห้องใหม่ เริ่มด้วยการย้ายรูปภาพ เลื่อนตำแหน่งโต๊ะ เก้าอี้ โซฟา โคมไฟ และอะไรก็ตามที่จะทำให้คุณเสียเหงื่อมากกว่าการนอนนิ่งอยู่บนโซฟา

4. ดูดฝุ่นด้วยตัวเอง เปลืองเวลาแค่ 20 นาทีครับ ทำตอนดึกๆ หรือหลังกลับจากที่ทำงานก็ได้

5. ตัดใจและจัดการทิ้งข้าวของที่ไม่ใช้ เช่น กระดาษ และแมกกาซีนกองโตที่ตั้งเรียงสูงเกือบถึงเพดาน

6. รักษาโลกสีเขียวของทุกคนด้วยการแยกขยะออกเป็นประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกระป๋อง แก้ว ขยะมีพิษ และขวดพลาสติก

7. เมิน "Car Care" หรือร้านล้างรถชั่วคราว แล้วหันมาล้างรถด้วยตัวเองที่บ้านของคุณ

8. ตกแต่งกิ่งก้าน ดึงวัชพืช รดน้ำต้นไม้ รวมถึงซ่อมรั้วที่คุณจดๆ จ้องๆ จะซ่อมมานาน

9. ถ้ามีสัตว์เลี้ยงอย่างสุนัข อย่าลืมพามันออกวิ่งและเที่ยวใกล้ๆ บ้าน ส่วนใครที่ไม่รักสัตว์ คุณยังมีเครื่องเล่น MP3 และเพลงเพราะๆ จากหูฟังดีๆ ที่จะช่วยให้คุณวิ่งหรือเดินได้นานขึ้นกว่าเดิม

10. ใช้รถเข็นซื้อข้าวของในซูเปอร์มาร์เก็ต ถ้าไม่เคยทำ เราอยากให้คุณลองซื้อของใช้เข้าบ้านสัปดาห์ละครั้ง ใช้เวลาเดินให้นานขึ้น ลองดูครับ เข็นแล้วเดินไปรอบๆ อย่างน้อย 20-30 นาที

11. จอดรถของคุณไว้ที่บ้าน แล้วเดินหรือใช้รถสาธารณะแทน

12. หนังสือที่ซื้อมาแล้วยังไม่ได้อ่าน แกะออกจากถุงดีกว่าครับ ใช้เวลานิดหน่อยจัดเรียง และถ้าชั้นวางของไม่พอก็วางแผนต่อชั้นวางใหม่ด้วยตัวเองเสียเลย

13. ถ้าเล่นดนตรีเป็น ลองเล่นดนตรีชิ้นโปรด โดยเฉพาะแซ็กโซโฟน เปียโน และกลอง แต่ถ้าไม่สะดวก ลองเปิดเพลงโปรดแล้วเต้นดูก็ได้ครับ หรือจะโค้งเชิญคนรู้ใจที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ให้ลุกขึ้นมาขยับด้วยก็ได้...ไม่ว่ากัน

14. หลังจากกดปุ่ม "Start" พยายามปลีกตัวออกมาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ของคุณ เดินไปไหนมาไหนในบ้านบ้าง บางครั้ง คุณก็ควรปล่อยวาง และใช้เวลา 25 นาทีก็เพียงพอแล้วสำหรับการเช็กอี-เมล์

15. อาสาล้างจานแทนสาวๆ หลังจบงานปาร์ตี้ที่บ้านของเธอ

16. ลุกขึ้นเลื่อนเก้าอี้ให้สุภาพสตรี

17. เดินทักทายเพื่อนร่วมงานหรือลูกน้องในแผนกในบางโอกาส

18. กินอาหารกลางวันนอกที่ทำงาน แทนการซื้อเข้ามา โดยไม่ได้ลุกออกไหนเลย

19. เดินดูสินค้าในแผนกเครื่องเสียงหรือแผนกไอที

20. ถ้าคุณมีความสามารถในด้านการทำอาหาร หรืออย่างน้อย ก็อุ่นอาหาร ใช้เวลาในการทำกิจกรรมนี้สักประมาณ 20 นาที

21. ในการขึ้น-ลงไม่กี่ชั้นในสำนักงาน คุณควรเลือกใช้บันได แม้แต่ในบ้านก็ใช้บันไดในการออกกำลังกายได้ด้วยการเดินขึ้น-ลงเป็นเวลาประมาณ 5 นาที

22. ในงานเลี้ยง การนั่งอยู่ที่โต๊ะโดยไม่ลุกไปไหน นอกจากจะทำให้คุณเป็นคนไม่น่าสนใจแล้ว ไขมันของคานาเป้ แซนด์วิชแฮมชีสและเบียร์ที่คุณดื่มยังทำให้ไขมันสะสมในร่างกายได้ง่าย ทางที่ดีคุณควรลุกขึ้นมาขยับและเริ่มบทสนทนาเดินคุยกับผู้คนหน้าใหม่ๆ หรือไม่ก็หันมาโชว์สเต็ปทันทีที่ได้ยินเพลงโปรดของตัวเอง

23. ถึงจะเป็นงานของผู้หญิง แต่คุณก็สามารถพับหรือรีดเสื้อผ้าที่คุณใช้อยู่เป็นประจำได้

24. ถ้าคุณเป็นคนชอบดูรายการโทรทัศน์ อย่าลืมลุกไปทำโน่นทำนี่ทุกครั้งที่มีโฆษณา

25. หาซื้ออุปกรณ์ง่ายๆ อย่างดัมเบลล์ หรือเสื่อโยคะติดบ้านไว้ อาจรวมถึงเครื่องชั่งน้ำหนัก สำหรับคนที่ต้องการกำจัดไขมันส่วนเกินอย่างจริงจัง

26. การบิด สะบัด และตากเสื้อผ้าเป็นวิธีการออกกำลังกายที่ดี แม้ว่าคุณจะซักด้วยเครื่องตามปกติ

27. เป็นสุภาพบุรุษเต็มตัว ด้วยการอาสาทำงานออกแรงที่สุภาพสตรีไม่ถนัด

28. เดาะบอลที่สนามหลังบ้าน หรือไม่ก็วิ่งบนลู่วิ่งเก่าเก็บที่ซื้อแล้วไม่ได้ใช้งาน

29. "ยืน" คุยโทรศัพท์กับเพื่อนเรื่องพรรคการเมือง "พรรคนั้น" เรื่องฟุตบอลแมตช์ที่ผ่านมา หรืออ่านบทความสำคัญใน Forbes ไปจนจบ ใช้เวลา 22 นาทีก็น่าจะลงตัว

30. และสำหรับข้อสุดท้ายที่หลายคนสนใจมีวิธีการง่ายๆ ต่อไปนี้ คือ คุณสามารถงีบหลับไปได้ 45 นาที ซึ่งจะช่วยเผาผลาญได้ถึง 50 แคลอรี จากการสูดอากาศหายใจ ก็อย่างที่คุณรู้น่ะครับ แค่ขยับ..ก็เท่ากับออกกำลังกาย

เสาวลักษณ์ เลขที่ 31 FAR

เรื่องง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน ที่ใครหลาย ๆ คนอาจจะคิดไม่ถึง หรือไม่ให้ความสำคัญกับมัน แต่จริง ๆ แล้ว กิจกรรมเหล่านี้ กลับทำให้ชิวิตของเรายืนยาวขึ้น จะมีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลยค่ะ

1. รับประทานอาหารเช้าทุกวัน : เพราะอาหารมื้อนี้เองแหละ ที่ช่วยกระตุ้นอัตราเมตาบอลิซึ่ม ให้เผาผลาญแคลอรี่ตลอดทั้งวัน ใครที่เคยคิด งดอาหารเช้าเพื่อลดความอ้วน ก็ขอให้ทราบว่าคิดผิดนะคะ เพราะอาหารเช้านี่แหละที่จะทำให้เราไม่อ้วนจนเกินไป อีกทั้งยังช่วยรักษาระดับ น้ำตาลในเลือดให้คงที่ได้อีกด้วยค่ะ

2. นอนหลับให้สนิท : อย่างน้อยวันละ 7-8 ชั่วโมง จะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราแข็งแรงขึ้น เซลร่างกายสร้างตัวได้ดีขึ้น สมองสดใส และน้ำหนักลดลงได้

3. ออกกำลังกายเป็นประจำ : สัปดาห์ละ 3 ครั้งเป็นอย่างน้อย ครั้งละ 20 นาที จะทำให้หัวใจทำงานได้ดีขึ้น เพื่อความยืดหนุ่นข้อต่อร่างกาย และลดอาการกระดูกพรุนเมื่อวัยทองได้อีกด้วย

4. ทานน้ำมันตับปลา : กรดไขมัน โอเมก้า 3 ในน้ำมันตับปลา เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อหัวใจ และช่วยลดคอเรสเตอรอลได้ด้วย หรืออาจจะทานเนื้อปลาที่มีไขมันสัก 3 มื้อต่อสัปดาห์ อย่างเช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอน และปลาซาร์ดีน ทำให้เราอิ่มแบบไม่อ้วนค่ะ

5. ทำสมาธิ : จะช่วยลดความเครียด ลดความดันเลือด เวลากำหนดลมหายใจเข้าลึก ๆ ยังช่วยให้อ๊อกซิเจนเข้าปอดได้อย่างเต็มที่

6. หัวเราะ : ความรู้สึกดี ๆ จะมีมา และร่างกายของเรายังหลั่งสารเอนดอรืฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขออกมาด้วย ความเครียด ความกังวลจะลดลงได้

7. แปรงฟัน และขัดฟันทุกวัน ลดแบคทีเรียในช่องปาก สุขภาพจะดีขึ้นอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

8. ทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ : อย่างเช่นผัก ผลไม้ ทั้งยังลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งด้วย

9. ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ วันละ 1 แก้ว แค่พอกระตุ้นหัวใจให้เลือดหมุนเวียนได้ดีขึ้น ถ้าจะให้ดีควรเป็นไวน์แดง

10. ดื่มชา : ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร รวมทั้งลดความเสี่ยงฌรคหัวใจด้วย ที่มา

เหตุผล 5 ประการที่ต้องเดิน

การเดินนับเป็นกิจวัตรประจำวันของคนเราทุกคน ซึ่งคงไม่มีใครปฏิเสธว่าเดินไม่เป็นยกเว้นเด็กเล็กที่วัยยังไม่ถึงขวบ

และตลอดทั้งวันที่เราต้องทำกิจกรรมต่างๆโดยอาศัยการเดินบางครั้งคุณอาจจะยังไม่รู้ตัวก็ได้ว่ากำลังสร้างสุขภาพที่ดีให้กับตนเอง ส่วนใครที่ชอบนั่งทำงานอยู่กับโต๊ะ นั่งจับเจ่าอยู่กับบ้าน ขอเวลาประมาณ 30 นาทีของทุกวันมาเดินกันดีกว่า แล้วจะรู้ว่าข้อดีจากการเดินดีอย่างไรจาก 5 เหตุผลสำคัญต่อไปนี้

เหตุผลที่ 1 การเดินเป็นการบริหารระบบหมุนเวียนโลหิตดีต่อหัวใจของคุณ ช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า ข้อนี้คนส่วนใหญ่ทราบกันดีอยู่แล้ว แต่คุณรู้หรือไม่ว่านอกจากจะทำให้สุขภาพของหัวใจแข็งแรงแล้วช่วยดีต่อสุขภาพจิตใจอีกด้วย เพราะในขณะที่เราออกกำลังกาย ร่างกายจะหลั่งสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุข

เราจึงรู้สึกสนุกสนานกับการทำสิ่งดีๆเพื่อตัวเอง นอกจากนี้การเดินเร็วเป็นเวลา 30 นาทีต่อวัน ยังสามารถป้องกันการเกิดหรือบรรเทาอาการเบาหวาน โดยเฉพาะผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากกว่าปกติ

เหตุผลข้อที่ 2 ช่วยในเรื่องของน้ำหนักความแข็งแรงของกระดูก โดยการเดินทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้มากขึ้น ช่วยป้องกันภาวะกระดูกพรุน

ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องมุ่งมั่นในการออกกำลังกายเพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับกระดูก เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกระดูกพรุนเมื่ออายุมากขึ้นๆ อีกทั้งการที่มีกล้ามเนื้อข้อต่อต่างๆของกระดูกแข็งแรงก็สามารถอาการปวดจากโรคไขข้ออักเสบได้ ซึ่งยังไม่รวมการเดินในน้ำอีกวิธีที่จะช่วยบรรเทาอาการไขข้ออักเสบเช่นเดียวกัน

เหตุผลข้อที่ 3 การเดินช่วยลดน้ำหนัก ซึ่งนับเป็นข้อดีข้อหนึ่งของการเดิน ที่จะช่วยคุณเผาผลาญไขมันส่วนเกินได้มากถึง 200-300 แคลอรี่ในการเดินเร็วเพียงแค่ 30 นาทีเป็นอย่างน้อย ดังนั้นหากอยากมีสุขภาพดีหุ่นฟิตแอนด์เฟิร์มก็เลือกการเดินเป็นตัวเลือกอันดับ 1 ได้เลย

เหตุผลที่ 4 อิสระได้ดั่งใจคุณแบบไม่ต้องกลัวหมดอายุ เพราะอยากจะไปเดินที่ไหน เมื่อไร ก็ได้ทุกเวลา

เหตุผลข้อที่ 5 ประการสุดท้ายที่ควรเลือกการเดินเพื่อสุขภาพ เนื่องจากการเดินมีประโยชน์สำหรับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ที่สะดวกและปลอดภัยที่สุด รับรองว่าคุณจะรู้สึกดีและดูดีกว่าเดิมอย่างแน่นอน ดังนั้นเรามาเริ่มต้นเดินออกกำลังกายกันเถอะ

อาหารนี่แหละเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิต หลักการง่ายๆ ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ รับประทานผักผลไม้ให้มากๆ หลายคนต่างรู้ดี แต่กลับบริโภคตามใจปาก ถ้าไม่ป่วยก็ไม่รู้ซึ้ง ดังนั้น มารู้จักการบริโภคอาหาร เพื่อป้องกันการเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้ากินน้อยจะตายยาก กินมากจะตายง่าย คุณจะเลือกแบบไหน

ชีวิตของคุณ ถูกกำหนดโดยอาหารที่คุณกิน ถังขยะหน้าบ้านบอกได้ว่า คุณทิ้งอะไรลงไป กินอะไรเข้าไป ชีวิตคุณจะเป็นอย่างไรต่อไป เราเอง คนที่ประสบปัญหาการรับประทานอาหารดีเกินไป แพงเกินไป มากเกินไป สุดท้ายผลลัพธ์ที่ได้ ก็คือ น้ำหนักตัวที่เกินมา โรคภัยไข้เจ็บที่ไม่ต้องการ ทุกอย่างน่าจะแก้ไขได้ทัน หากวันนี้ เราหันมาใส่ใจสุขภาพ เพราะอาหารนั้น สามารถกำหนดชะตาชีวิตของเราได้ อย่างน้อย ถ้าอยากมีสุขภาพกาย-ใจ ดี ผิวพรรณผ่องใสจากข้างใน เลือดลมเดินดี ไม่มีโรค โดยไม่ต้องอาศัยครีมหน้าเด้ง หรือยาลดความอ้วน หรือทำมาหาเลี้ยงหมอทุกเดือน ขั้นแรกต้องเป็นหมอดูแลเรื่อง อาหารการกินของตัวเราเองก่อน

1. ลองเช็คตัวเองซิว่า ตอนนี้สุขภาพเป็นอย่างไร

ถ้าเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นในตอนเช้า เราลุกจากเตียงเหมือนติดสปริงหรือเปล่า? ลุกขึ้นมาพร้อมกับความสดชื่นมีชีวิีตชีวาหรือไม่ ถ้าเสียงนาฬิกาปลุกดัง เรายังไม่ลืมตา เอามือไปกดแล้วนอนต่อ เพราะลุกไม่ไหว จนนาฬิกาปลุกตัวที่สองดังขึ้น นั่นเป็นสัญญาณแล้วว่า ต้องกลับมาดูแลตัวเอง เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดำรงชีวิตเสียใหม่ เริ่มต้นจากการกิน

จำไว้ว่า ถ้าเรากินน้อย จะตายยาก กินมากตายง่าย และอาหารที่เรากินทุกวันนี้ อาหารที่เสียหรือบูดเน่าง่าย กินแล้วตายยาก อาหารที่บูดเน่ายากๆ ใส่สารกันบูด กินแล้วตายง่าย

คนจีนโบราณเขาบอกว่า ตอนเช้าให้กินอย่างราชา กลางวันกินอย่างคนธรรมดา ตอนเย็นให้กินอย่างยาจก เพราะใกล้จะนอนแล้ว เป็นหลักดำรงชีวิตเพื่อสุขภาพ แต่คนเราใสปัจจุบันปฏิบัติกลับกัน ตอนเช้าไม่กินเลย กาแฟถ้วยเดียวแล้วรีบออกจากบ้าน พักกลางวัน 1 ชั่วโมงต้งรีบกิน มื้อเย็นไว้นัดเพื่อนฝูง กินมื้อใหญ่ เพราะเก็บกดมาทั้งวัน แล้วกลับบ้านไปนอนอืด ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมจึงมีสถาบันเสริมความงามลดน้ำหนัก ฟิตเนส ฯลฯ เกิดขึ้นมากมายราวกับดอกเห็ด

2. เริ่มต้นจากการทำใจ

ไม่จำเป็นต้องไปถือศีลกินเจ เคร่งจนวันหนึ่งตบะแตก เพียงแค่เริ่มต้นจากการค่อยๆ ลดสัตว์ใหญ่ ที่เราโปรดปราณ เช่น เนื้อวัว-ควาย ถ้าทำได้แล้ว ก็ลดเนื้อไก่-เป็ด ลดเนื้อปลาลงไปตามลำดับ หากทำใจไม่ได้ ก็อนุญาตให้หม่ำปลาต่อไป ตามด้วยผักผลไม้มากๆ เริ่มจากกินสัตว์ที่ตัวเล็กลงไปเรื่อยๆ ขอให้คิดว่า กินหมูดีกว่ากินวัว กินไก่ดีกว่ากินหมู กินปลาดีกว่ากินไก่ ทำได้ดังนี้ สุขภาพเรา ก็จะดีขึ้นไปเรื่อยๆ

3. คลอโรฟิลล์ในร่างกายมนุษย์

ผักผลไม้สังเคราะห์แสงจากดวงอาทิตย์ สีเขียวคือคลอโรฟิลล์ มนุษย์เองก็มีคลอโรฟิลล์ หากร่างกายสมบูรณ์สะอาดจากข้างใน หากมีสิ่งแปลกปลอม สารพิษต่างๆ ในร่างกายจะเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน และขับออกมาโดยอัตโนมัติ ไม่มีการเก็บสะสม

แล้วทำอย่างไรให้ร่างกายของเรามีคลอโรฟิลล์

ถ้าเราไม่กินสีเขียวๆ ของพืชผักผลไม้เลย ชีวิตคุณสั้นแน่ เพราะในนั้นมีคลอโรฟิลล์ มีคุณสมบัติในการฟอกเลือด สังเกตเลือดของคนที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ สีของเลือดจะสวย ใส ไม้ข้น เหมือนคนที่กินเนื้อสัตว์ เพราะเลือดมีสภาวะเป็นด่าง พืชผักผลไม้มีสารอาหาร ที่มีสภาวะเป็นด่าง แต่เนื้อสัตว์กับเลือดของสัตว์เป็นกรด ถ้ากินมาก เลือดเราจะไม่สมบูรณ์ หากเลือดข้นก็จะวิ่งตามเส้นเลือดไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ไม่สะดวก เป็นบ่อเกิดของโรคต่างๆ ได้

การวัดค่าของเลือด เรียกว่า คาโลทีนอย ว่าสูงสุด 20,000 - 49,000 มาตรฐานคนทั่วไปอยู่ที่ 20,000 - 40,000 คาโลทีนอยมาก มะเร็งจะไม่มีวันถามหา เพราะมีสารอาหารที่สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระ การที่เรากินผักและผลไม้มากเท่าไหร่ เราก็จะมีคาโลทีนอยมากขึ้นเท่านั้น ผักผลไม้จะมีสีสันต่างๆ มากมาย อย่างสีส้มในแครอท สีส้มในมะละกอ สีเหลืองในมะม่วงสุก พวกนี้จะมีเบต้าแคโรทีน สารสีเหล่านี้จะมีแอนตี้ออกซิแดนซ์ ถั่ว 5 สี จะทำให้อวัยวะหลักในร่างกาย เขาเรียกว่าเบญจธาตุมีความสมบูรณ์มากขึ้น ชีวิตจริง เราอาจจะกินถั่วไม่ครบ 5 สี แต่เรากินพืช ผัก ผลไม้ ครบ 5 สี แทนก็ได้เหมือนกัน

ถ้าจะเปรียบร่างกายเป็นประเทศชาติ ควรรับประทานข้าวกล้อง เพราะข้าวกล้องเป็น ราชาแห่งข้าว มีจมูกข้าวอุดมไปด้วยวิตามิน กล้วยน้ำว้า เป็นราชินี มีความหวานเป็นแป้งบริสุทธิ์ งาดำ-งาขาว เป็นขุนพล และดื่ม น้ำเต้าหู้ อย่างน้อยวันละแก้ว เพื่อล้างพิษต่างๆ ในร่างกาย ดื่มน้ำบริสุทธิ์มากๆ ตั้งแต่ตื่นนอน

4. ผัก 5 ชนิด ถั่ว 5 สี

ถั่ว 5 สี ช่วยบำรุงร่างกาย เช่น ถั่วแดง บำรุงหัวใจ รวมทั้งแตงโม, บีทรูต ฯลฯ จะช่วยบำรุงเลือด การไหลเ่ีวียนของโลหิต ถั่วดำ รวมไปถึง งาดำ ฯลฯ จะบำรุงเส้นผม ผิวหนัง ชุ่มชื้น มันวาว ผมดกดำมัน ผมร่วง เชื้อราบนหนังศีรษะ รากผมแข็งแรง ผิวพรรณไม่แห้งกร้าน ถั่วซีด หรือ ถั่วขาว เช่น ถั่วลิสง, ลูกเดือย, แมกคาเดเมีย บำรุงกระดูก ให้แคลเซียม บำรุงกระดูกข้อมือ บำรุงฟัน ถั่วเหลือง ให้โปรตีน ถั่วเขียว บำรุงอวัยวะภายในร่างกาย

ถั่ว 5 สีนี้ รวมทั้งผัก 5 สี ควรจะรับประทานให้ครบถ้วน มนุษย์รับประทานครบ ก็จะมีคลอโรฟิลล์อยู่ในร่างกาย และนมถั่วเหลือง มีประโยชน์ต่อร่างกาย นักวิทยาศาสตร์จีนเปิดเผยว่า ดื่มน้ำเต้าหู้สดๆ ที่ทำใหม่ๆ วันละ 1 แก้ว สามารถช่วยฟอกพิษในร่างกายได้ แต่ต้องไม่ใช่น้ำเต้าหู้พาสเจอร์ไรซ์ที่ใส่สารกันบูด ที่มีขายเป็นกล่องๆ โดยทั่วไป

อยากอายุยืน ผิวพรรณสดใส อ่อนวัยไปนานๆ คงต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการรับประทาน และสิ่งสำคัญคือ การออกกำลังกาย ตามแบบที่เราถนัด ไม่ว่าจะเป็นวิ่งเหยาะๆ เล่นโยคะ ว่ายน้ำ หรือแม้แต่การทำงานบ้านเพื่อให้เหงื่อออก โลหิตไหลเวียนสะดวก เพื่อขับของเสียออกจากร่างกาย แค่นี้ก็ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ที่ไม่จำเป็นในชีวิตอีกหลายอย่าง

กินปลา เพื่อสุขภาพ

1. ปลาสามารถแยกประเภทและชนิดได้อย่างไร

จริง ๆ วิธีแยกประเภทของปลา คงจะมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่า จะแยกเพื่อประโยชน์ประเภทใด แต่ในทางวิชาการแพทย์ หรือที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ก็คงจะแยกเป็นปลาน้ำจืด กับปลาน้ำเค็ม

2. ในเนื้อปลามีสารอาหารชนิดใดบ้างที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

ด้านหลัก : จะเป็นโปรตีน ซึ่งในเนื้อปลา จะเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย และมีประโยชน์ต่อร่างกาย ไขมันจะมีอยู่บ้าง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับประเภทของปลา อย่างในปลาน้ำจืด จะมีไขมันไม่มากนัก ยกเว้นพวกปลาสวาย หรือปลาสลิดตากแห้ง ส่วนปลาทะเล ก็จะมีไขมันอีกประเภท ซึ่งจะแตกต่างจากปลาน้ำจืด พวกที่เป็นกรดไขมัน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เราพบว่า มันมีคุณค่าในแง่ ของการลดการจับตัวของเกล็ดเลือด และอาจจะช่วยในการป้องกันโรคต่างๆ อาทิ โรคหลอดเลือดหัวใจ หรือไขมันในเลือดสูง นอกจากนั้น เครื่องใน ตับปลา ก็จะมีน้ำมันและวิตามิน ในกลุ่มที่ละลายได้ดีในไขมัน เป็น วิตามิน A D E K และ แร่ธาตุ โดยเฉพาะในตัวปลาบางชนิด ที่เรารับประทานได้ ก็จะได้แคลเซียมด้วย

3. ปกติเราควรรับประทานอาหารประเภทปลามากน้อยเพียงใดต่อวัน

ปกติร่างกายของคนเรา จะต้องการโปรตีนแตกต่างกันไป แล้วแต่ช่วงวัย เช่น วัยเด็กจะต้องการโปรตีนสูง 1.2 - 1.5 ต่อ น้ำหนักต่อ 1 กิโลกรัม ในผู้ใหญ่ 0.8-1 กรัม ต่อ กิโลกรัมต่อวัน ซึ่งในแต่ละวัน ก็ควรบริโภคเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ ด้วย

4. ในด้านประโยชน์ต่อสุขภาพมีอะไรบ้าง

ด้านหลัก : ก็จะได้โปรตีน เพราะโปรตีน เพราะโปรตีนในเนื้อปลา จะย่อยง่าย มีคุณค่าในแง่ของการบำรุงสมอง การพัฒนาสมองในเด็ก โดยเฉพาะปลาทะเล นอกจากจะได้โปรตีนแล้ว ยังจะได้แร่ธาตุไอโอดีน จะมีบทบาทในการพัฒนาสมอง โดยเฉพาะที่ไกลจากทะเล ก็จะมีความเสี่ยงก็จะเกิดโรคคอพอก ในกลุ่มผู้สูงอายุก็เป็นแหล่งโปรตีน ที่รับประทานง่าย ย่อยง่าย ก็จะเป็นประโยชน์ของปลา

5. ในกรณีที่แพ้อาหารทะเล ไม่สามารถรับประทานได้ จะมีวิธีแก้ไขอย่างไร

ถ้าขาดอาหารทะเล ก็สามารถรับประทานปลาน้ำจืดแทนได้ แต่ถ้าไม่สามารถรับประทานปลาได้เลย เช่น เหม็นคาวปลา ก็ยังสามารถได้ในแหล่งโปรตีนอื่นๆ เช่น เนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ ไข่ดาว ถั่ว งา ร่างกายก็ยังจะได้โปรตีนเพียงพอ

6. การรับประทานปลาให้ได้ประโยชน์ต่อร่างกาย

1. รับประทานปลาที่ปรุงสุก

2. เปลี่ยนประเภทของปลาไปเรื่อยๆ ลดปัญหาการปนเปื้อน

3. บริโภคร่วมกับอาหารอื่นๆ ให้ครบทุกชนิด คือ อาหารหลัก 5 หมู่

7. ที่เรียกกันว่า น้ำมันตับปลา หรือ น้ำมันปลา ควรรับประทานหรือไม่

ปัจจุบันที่มีขายอยู่ตามท้องตลาด จะมี 2 ประเภท คือ น้ำมันตับปลา หรือ น้ำมันปลา

น้ำมันตับปลา มีจำหน่ายมานานแล้ว ซึ่งผู้ใหญ่จะนำมาให้เด็กๆ ทาน เพื่อเป็นยาบำรุง ซึ่งจะมีวัตถุประสงค์ ก็จะต้องการเสริมวิตามิน ซึ่งจะละลายในไขมัน A D E K ก็จะสกัดจากปลา มีทั้งชนิดเม็ดและชนิดน้ำ

แต่ในปัจจุบันนี้ ที่นิยมกันมากขึ้น คือ น้ำมันปลา (Fish oil) เป็นสารสกัดไขมันจากปลาทะเล มีการศึกษาจากการเปรียบเทียบ เกี่ยวกับการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ในคนชาวเอสกิโม เมื่อเปรียบเทียบ กับชาวเอสกิโม จึงทำให้ชาวเอสกิโม มีอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจ น้อยกว่า นับว่าชาวเอสกิโม จะรับประทานปลามากกว่า จึงทำให้ได้รับสารอาหารกจากปลามากกว่า ซึ่งจะมีฤทธิลดกรดตัวของเกร็ดเลือด และลดไตรกีรเซอร์ไรด์ได้ดี ทำให้คนมีความสนใจมากขึ้น แต่จากการศึกษาทดลอง จากแพทย์สหรัฐอเมริกา พบว่า การบริโภคแต่น้ำมันปลาในรูปเม็ด ไม่สามารถป้องกันโรคหัวใจ และไม่ช่วยผู้ป่วย หายจากโรคหัวใจ

8. ข้อแนะนำช่วงท้ายรายการ : ข้อแนะนำเพื่อสุขภาพ

1. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่

2. รับประทานอาหารให้พอเหมาะ

3. รับประทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารมาก ช่วยควบคุมลำดับน้ำตาลและไขมันในเลือด

4. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหาร ที่มีไขมันในปริมาณมาก

5. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

6. งดการสูบบุหรี่ และดื่มสุรา

อาหารยอดเยี่ยม 5 ชนิดที่ปฏิเสธไม่ได้

สเปน : น้ำมันมะกอก

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่ามะกอกของไทยกับฝรั่งนั้นเป็นคนละพันธุ์กัน มะกอกของฝรั่งที่มีชื่อว่า โอลีฟ (olive) มีน้ำมันที่มีคุณประโยชน์มาก ซึ่งชาวสเปนถือเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมในการปรุงอาหาร ที่ได้รับการสืบทอดกันมานาน และบริโภคกันทุกมื้ออาหาร โดยสเปนถือเป็นประเทศที่มีกำลังการผลิตน้ำมันมะกอกมากกว่า 40% ของโลก

คุณประโยชน์ : น้ำมันกอกมีกรดไขมันชนิดที่เป็นประโยชน์กับร่างกายสูง นอกจากจะเป็นไขมันชั้นดีแล้ว ยังมีฤทธิ์เป็นสารแอนติออกซิแดนท์ ที่เป็นตัวควบคุมระดับคอเลสเทอรอลที่ไม่ดีในเลือด และเพิ่มระดับคอเลสเทอรอลที่ดี (เอชดีแอล) จึงช่วยป้องกันโรคหัวใจ ที่สำคัญในน้ำมันมะกอกยังประกอบด้วยวิตามินเอและอี ที่เป็นสารแอนติออกซิแดนท์ ที่ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซล และช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง นอกจากนั้นงานวิจัยใหม่ๆ ยังแสดงให้เห็นว่าน้ำมันมะกอกมีสารพฤกษเคมีตามธรรมชาติ ซึ่งมีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่คล้ายกับที่พบในยาแก้ปวด แก้อักเสบที่ไม่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ (ibuprofen)

ญึ่ปุ่น : ถั่วเหลือง

ถั่วเหลืองธัญพืชชั้นยอด ที่เป็นแหล่งของโปรตีนที่มีคุณภาพและมีไขมันที่ดี รวมทั้งยังมีส่วนประกอบของวิตามิน เกลือแร่ และพฤกษเคมีต่างๆ รวมทั้งไขมันโอเมกา 3 และไม่มีคอเลสเทอรอล ในประเทศญี่ปุ่นมีการใช้ถั่วเหลืองในการประกอบอาหารเกือบทุกชนิด ตั้งแต่ซอสถั่วเหลือง (แพร่หลายเหมือนกับซอสมะเขือเทศ) ไปถึงน้ำมันพืช เต้าหู้ และถั่วเหลืองหมักที่เรียกกันว่า มิโซะ

คุณประโยชน์ : สารไอโซฟลาโวนส์ (isoflavones) ในถั่วเหลืองมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโทรเจน มีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็งที่ขึ้นกับระดับฮอร์โมน (มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก) และภาวะกระดูกพรุน แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ งานวิจัยหลายๆ ชิ้นชี้แนะว่า ถั่วเหลืองมีผลดีต่อสุขภาพของหัวใจ

กรีซ : โยเกิร์ต

นมเปรี้ยวหรือโยเกิร์ต คือนมสดที่นำมาหมักกับเชื้อจุลินทรีย์ กระทั่งน้ำตาลแลคโตสในนมเปลี่ยนเป็นกรดแลคติก มีลักษณะข้นเป็นครีมและมีรสเปรี้ยว มีโปรตีนและแคลเซียมสูง โยเกิร์ตถือเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่ชาวกรีซบริโภคกันมานับพันๆ ปี

คุณประโยชน์ : โยเกิร์ตมีจุลินทรีย์ที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยในการย่อยน้ำตาลในนม เช่น แลคโตบาซิลัส แอซิโดฟิลัส เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง เพิ่มภูมิต้านทาน ลดความดัน เสริมสร้างสุขภาพในลำไส้และช่องคลอด และอาจมีผลช่วยป้องกันมะเร็งและช่วยลดน้ำหนักได้ นอกจากนี้โยเกิร์ตของชาวกรีซ ไม่ให้น้ำตาลมากเกินไปเหมือนโยเกิร์ตของประเทศอเมริกาด้วย

อินเดีย : ถั่วเลนทิล

เลนทิล (Lentils) เป็นเมล็ดถั่วมีลักษณะกลมๆ แบนๆ มีหลายสี เช่น น้ำตาล เขียว แดง และเหลือง เลนทิลมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์มาก ชาวอินเดียจึงนิยมบริโภคพร้อมกับข้าวหรือขนมปังในทุกๆ มื้ออาหารและอินเดียยังเป็นทั้งแหล่งผลิต และแหล่งบริโภคถั่วเลนทิลที่ใหญ่ที่สุดในโลก

คุณประโยชน์ : อาหารสุดยอดนี้ให้โปรตีนและไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ ซึ่งช่วยลดคอเลสเทอรอลลงได้ และยังให้ธาตุเหล็กมากกว่าพืชตระกูลถั่วอื่นๆ ถึง 2 เท่า และถั่วเลนทิลยังมีวิตามินบีและโฟเลตสูงอีกด้วย ซึ่งโฟเลตมีความสำคัญต่อหญิงวัยเจริญพันธุ์ เพราะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติของระบบสมองในเด็กทารกแรกคลอด

เกาหลี : กิมจิ

กิมจิ ผักกะหล่ำปลีดองที่มีส่วนผสมของเครื่องเทศที่ให้รสชาติเผ็ดๆ ถือเป็นอาหารประจำชาติของชาวเกาหลีที่จัดเป็นอาหารประเภท "เครื่องเคียง" ที่ขึ้นโต๊ะอาหารได้ทุกมื้อ ปกติชาวเกาหลีจะบริโภคกิมจิคนละประมาณ 20 กิโลกรัมต่อปี

คุณประโยชน์ : กิมจิ นอกจากกินอร่อยแล้วยังมีสารอาหารที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายมาก อาทิ อุดมด้วยเส้นใยอาหาร เต็มไปด้วยวิตามินเอ ซี บี และมีแคลอรีต่ำ แต่คุณประโยชน์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด คือ มีแบคทีเรียชนิดแลคโตแบซิไลที่ให้ประโยชน์ในการช่วยย่อยอาหาร

สมองและความจำดี ..... เริ่มต้นที่ “ อาหาร ”

สมองต้องการสารอาหารอย่างครบถ้วนเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งรวมถึงการจดจำข้อมูลต่างๆ เด็กที่ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ นอกจากจะทำให้ร่างกายไม่เจริญเติบโตแล้ว ในระยะเริ่มแรกเด็กจะขาดสมาธิ และเลี้ยงยาก ต่อมาในระยะยาวจะทำให้พัฒนาการทางด้านสติปัญญาช้ากว่าเด็กปกติ หรืออาจปัญญาอ่อนได้ ขึ้นกับความรุนแรงของการขาดสารอาหาร สมองต้องการอาหารดังนี้...

เนื้อสัตว์ เป็นแหล่งของโปรตีนที่เป็นโครงสร้างของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย รวมทั้งสมอง นอกจากนี้ยังใช้ในการสร้างสารสื่อประสาทที่ช่วยในการทำงานของสมอง มีกรดอะมิโน 2 ชนิดในเนื้อสัตว์ที่มีผลต่อการสร้างสารสื่อประสาท คือ ทริปโตแฟน ( tryptophan) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็น เนื่องจากร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้เอง จำเป็นต้องได้รับจากอาหาร เพื่อนำไปสร้างสารสื่อประสาทซีโรโตนิน และไทโรซีน (tyrosine) ที่ร่างกายสามารถผลิตขึ้นมาเองได้ โดยจะนำไปใช้ในการสร้างสารสื่อประสาทโดปามีน

อาหารที่มีปริมาณโปรตีนสูง มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ และมีไทโรซีนสูง เช่น อาหารทะเล ถั่วเหลือง เนื้อสัตว์ต่างๆ ไข่ และนม จะช่วยให้สมองมีพลัง กระฉับกระเฉง ตื่นตัว จึงเหมาะสำหรับเป็นอาหารในช่วงเช้า และกลางวัน ส่วนอาหารที่มีปริมาณคาร์โบไฮเดรตสูง มีโปรตีนต่ำ และมีทริปโตแฟนสูง เช่น ข้าว ถั่วเล็ดแห้งต่างๆ

งา และขนมหวาน จะช่วยให้เกิดความรู้สึกผ่อนคลายและอารมณ์ดี จึงเหมาะสำหรับเป็นอาหารในมื้อเย็น ที่ร่างกายต้องการพักผ่อนนอนหลับอย่างสุขสงบ

แป้งและน้ำตาล เมื่อถูกย่อยจะได้กลูโคสที่เป็นแหล่งพลังงานสำคัญของสมอง จึงควรพยายามรักษาระดับน้ำตาลในร่างกายให้คงที่ เพราะหากมีการเปลี่ยนแปลงมากเกินไปจะมีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้ระดับของสารสื่อประสาทไม่สมดุล ซึ่งจะทำให้เกิดอาการมึนหัว ง่วงนอน สับสน และอาจถึงกับเป็นลม ชัก หมดสติได้ แหล่งของแป้งและน้ำตาลควรมาจากข้าว ธัญพืชชนิดต่างๆ

ผักและผลไม้ ที่มีกากใยมากกว่าขนมหวานเพราะมีส่วนประกอบของน้ำตาลสูง เนื่องจากใยอาหารจะช่วยในการดูดซึมน้ำตาล ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่เพิ่มสูงเร็วเกินไป สำหรับอาหารที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบมาก หลังจากรับประทานจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างกายจะหลั่งอินซูลินออกมามากเพื่อรักษาระดับน้ำตาล และอาจทำให้ระดับน้ำตาลในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว จนมีผลกับการทำงานของสมองได้

ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกอยู่ในวัยเรียน จึงไม่ควรให้ลูกรับประทานขนมหวานมากเกินไป เพราะจะมีผลต่อสมาธิในการเรียน ความจำ และการทำงานของสมอง โดยเฉพาะในเด็กเล็กจะงอแงและเลี้ยงยาก

ไขมัน ส่วนประกอบของสมองมากกว่าร้อยละ 60 เป็นไขมันที่หุ้มเส้นใยประสาท ทำให้เพิ่มความเร็วในการขนส่งกระแสประสาทในสมอง และช่วยเพิ่มความจำด้วย กรดไขมันโอเมก้า- 3 ที่ประกอบด้วย EPA (eicosapentaenoic acid) และ DHA (docosahexaenoic acid) มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง โดยพบว่าผู้ที่ได้รับกรดไขมันโอเมก้า- 3 ไม่เพียงพอจะทำให้มีอาการซึมเศร้า ความจำและความสามารถในการเรียนรู้ลดลง IQ ต่ำ และอาจมีอาการทางจิตอื่นๆ ในทารกและเด็กที่กำลังเจริญเติบโตจะทำให้สมองมีพัฒนาการที่ไม่สมบูรณ์ โดยมีขนาดเล็ก และมีผลต่อการมองเห็น กรดไขมันโอเมก้า- 3 มีมากในปลาทะเลทุกชนิด เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน และปลาแมคเคอเรล เป็นต้น

ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีองค์ประกอบของไขมันที่ผ่านกระบวนการมาแล้ว (hydrogenated) เนื่องจากไขมันดังกล่าวได้มีการปรับโครงสร้าง เมื่อเข้าสู่สมองจะมีผลกระทบต่อการทำงาน และการส่งกระแสประสาทของเซลล์สมอง นอกจากนี้ไขมันที่ผ่านกระบวนการนี้ยังมีลักษณะเป็นไขมันอิ่มตัว ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเกาะและอุดตันเส้นเลือดได้ โดยหากไปอุดตันเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองจะทำให้สมองบริเวณนั้นตาย และเป็นอันตรายถึงชีวิต

ผักและผลไม้ อุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็นต่อการทำงานของสมอง โดยวิตามินบี ชนิดต่างๆ จะช่วยในกระบวนการสร้างพลังงาน วิตามินเอ ซี และอี จะมีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระและช่วยเพิ่มภูมิต้านทานของสมองต่อสารต่างๆ ที่เป็นมลพิษ โซเดียม โปแทสเซียม และแคลเซียมช่วยในการส่งสัญญาณประสาทและกระบวนการเก็บความจำ เหล็กมีผลต่อสมาธิและการเรียนรู้ พบว่าเด็กที่ได้รับธาตุเหล็กอย่างเพียงพอจะมีผลการเรียนที่ดี และสนใจอยู่กับบทเรียนได้นานขึ้น

อาหารกับโรคสมองเสื่อม (Alzheimer's disease)

ถึงแม้ว่าโรคสมองเสื่อมจะยังไม่สามารถรักษาให้หายได้ในปัจจุบัน แต่สามารถป้องกันหรือชะลอสภาวะการทำงานของสมองไม่ให้เสื่อมลงไปกว่าเดิมได้ โดยวิธีที่สามารถทำได้ง่ายๆ คือ การหลีกเลี่ยงจากมลพิษ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสมอง มีงานวิจัยมากมายพบว่าโรคสมองเสื่อมสามารถป้องกันได้ด้วยอาหารหลายชนิด เช่น ผักและผลไม้ที่มีวิตามินอี วิตามินซี ซึ่งมีอยู่มากในผักและผลไม้จำพวกมะเขือเทศ แครอท และ ผักขม ด้วยคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในอาหารเหล่านี้ ทำให้ช่วยป้องกันเซลล์สมองจากการถูกทำลายด้วยสารอนุมูลอิสระ (free radicals) นอกจากนี้แล้ว DHA ที่มีในไขมันจากปลาทะเล ก็ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับโครงสร้างของเซลล์สมองได้

สารอาหารเพื่อผิวสวย

วิตามินเอ

วิตามินเอ มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ เรตินอยด์ (retinoids) และแคโรทีนอยด์ (carotenoids) ตัวเรตินอยด์นั้นมีอยู่ในอาหารและร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ ส่วนแคโรทีนอยด์ นั้นร่างกายจะต้องเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของวิตามินเอเสียก่อน แคโรทีนอยด์ที่เรารู้จักกันดีคือ เบตาแคโรทีน (beta-carotene)

• ประโยชน์ต่อผิวหนัง : วิตามินเอเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งจะช่วยในเรื่องการป้องกันการเสื่อมอายุ ของผิวหนัง การซ่อมแซมผิวหนังที่เสียไป นอกจากนี้วิตามินเอยังมีความสำคัญต่อขบวน การเติบโตของผิวหนัง ( differentiation) และเป็นสารสำคัญที่ช่วยทำให้ผิวหนังมีการทำงานอย่างปกติ

• ประโยชน์ต่อร่างกายอื่นๆ : เนื่องจากวิตามินเอเป็นสารต้านอนุมุลอิสระก็จะช่วยในเรื่องของการป้องกันมะเร็งและทำให้มีสุขภาพตาที่ดีด้วย

• ความต้องการของร่างกายต่อวัน : ประมาณ 5,000 international units (IU) หรือเบตาแคโรทีน ประมาณ 3 มิลลิกรัม การได้รับวิตามินเอปริมาณมากไปอาจจะทำลายตับและเกิดเป็นพิษได้

• แหล่งอาหาร :

วิตามินเอ : ไข่ นม เนย ปลาแซลมอน ปลา halibut

แคโรทีนอยด์ : ผักใบเขียว เช่น บร็อคโคลี ผักโขม แอสพารากัส มะละกอ แคนตาลูป มะเขือเทศฟักทอง

วิตามินบี-คอมเพล็กซ์

• ประโยชน์ต่อผิวหนัง : วิตามินในกลุ่มนี้มีความสำคัญต่อสุขภาพผิวหนังเป็นอย่างมาก เป็นตัวช่วยในขบวนการผลิตพลังงานภายในเซลล์ วิตามินบี 2 จะช่วยในเรื่องการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ วิตามินบี 3 ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและทำให้ผิวหนังไม่ซีด วิตามินบี 12 ช่วยในการแบ่งเซลล์ วิตามินบี 9 (หรือกรดโฟลิค) ช่วยในเรื่องการแบ่งและเจริญเติบโตของเซลล์ นอกจากนี้กรดโฟลิคยังช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงด้วย

• ประโยชน์ต่อร่างกายอื่นๆ : กลุ่มวิตามินบีมีความสำคัญมากในขบวนการสร้างพลังงานของเซลล์ และช่วยทำให้เอนไซม์ต่างๆ ทำงานตามปกติ วิตามินบีช่วยในการเปลี่ยนแปลงน้ำตาลกลูโคส ใช้เป็นพลังงาน การขาดวิตามินตัวนี้จะมีผลต่อระดับความรู้สึก หัวใจ การหายใจ วิตามินบี 6 ช่วยลดการอักเสบ ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาว การสร้างอินซูลิน สร้างภูมิต้านทานโรค และช่วยเกี่ยวกับการควบคุมอารมณ์ความรู้สึก ส่วนวิตามินบี 12 ช่วยเกี่ยวกับเรื่องของระบบสมองและประสาท

• ความต้องการของร่างกายต่อวัน :

บี 1 = 1.1-1.2 มิลลิกรัม

บี 2 = 1.1-1.3 มิลลิกรัม

บี 3 = 14-16 มิลลิกรัม

บี 6 = 2 มิลลิกรัม

บี 9 ( กรดโฟลิค) = 180-200 ไมโครกรัม (400 ไมโครกรัม สำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์)

บี 12 = 2 ไมโครกรัม

ในคนที่อายุมากกว่า 40 ปี การดูดซึมวิตามินบีหลายตัวจะลดลงโดยเฉพาะวิตามินบี 6 และบี 12

• แหล่งอาหาร :

ผัก : บร็อคโคลี มันฝรั่ง เห็ด แครอท มะเขือเทศ กะหล่ำปลี ผักโขม

ผลไม้ : กล้วย แอปเปิล มะเขือ ผลไม้ในกลุ่มส้ม

สัตว์ : ไข่ ไก่ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า

อื่นๆ : ข้าว เมล็ดธัญพืช ถั่ว ถั่วลิสง ถั่ววอลนัท ถั่วอัลมอนด์

วิตามินซี

• ประโยชน์ต่อผิวหนัง : วิตามินซีเป็นตัวสำคัญในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกาย รวมทั้งผิวหนังของเรา นอกจากนี้ยังเป็นตัวสำคัญในการสร้างคอลลาเจนด้วย

• ประโยชน์ต่อร่างกายอื่นๆ : วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญมากตัวหนึ่ง และยังสามารถลดไขมันที่ไม่ดีในเลือด (LDL) และเพิ่มไขมันที่ดี (HDL) ด้วย ช่วยลดความดันโลหิตสูง ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย และโรคเกี่ยวกับระบบตาด้วย

• ความต้องการของร่างกายต่อวัน : ประมาณวันละ 60 มิลลิกรัม แต่ส่วนมากนักวิทยาศาสตร์ทางด้านอาหารจะแนะนำประมาณ 500-1000 มิลลิกรัม ต่อวันเพื่อให้เกิดประโยชน์ในแง่ Anti-aging ด้วย

• แหล่งอาหาร :

ผัก : ผักใบเขียว บร็อคโคลี กะหล่ำปลี มะเขือเทศ มันฝรั่ง หน่อไม้ฝรั่ง (แอสพารากัส)

ผลไม้ : ผลไม้แทบทุกชนิดมีวิตามินซี โดยเฉพาะในกลุ่มของส้ม มะละกอ ฝรั่ง แตงโม แตงเทศ

วิตามินอี

วิตามินอี มีอยู่ 2 กลุ่มคือ โทโคฟีรอล (tocopherol) และโทโคไตรอีนอล (tocotrienols) ซึ่งตัวหลังนี้เป็นตัวใหม่ซึ่งเพิ่งมีการค้นพบเมื่อไม่นานนี้และเชื่อกันว่าสามารถช่วยเรื่องการชะลอความแก่ชราได้ด้วย

• ประโยชน์ต่อผิวหนัง : ช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื้น ลดการอักเสบ และช่วยซ่อมแซมผิวหนัง

• ประโยชน์ต่อร่างกายอื่นๆ : วิตามินอี เป็นตัวต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญ เพราะมีส่วนช่วยลดไขมัน ป้องกันการเกิดการแข็งตัวของเลือด ป้องกันโรคมะเร็งและหัวใจ

• ความต้องการของร่างกายต่อวัน : ประมาณ 40 IU แต่นักวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์มักแนะนำประมาณ 200-400 IU ซึ่งปริมาณขนาดนี้ไม่สามารถรับประทานได้จากอาหารทั่วไปจำเป็นต้องใช้ในรูปอาหารเสริม

• แหล่งอาหาร :

ผัก : ผักใบเขียว บรอคโคลี มันฝรั่ง

ผลไม้ : มะม่วง

อื่นๆ : จมูกข้าวสาลี เมล็ดธัญพืช ถั่วอัลมอนด์ ถั่วเหลีอง น้ำมันพืช ปลาแซลมอนน้ำมันปลา

แร่ธาตุพวกทองแดง สังกะสี และซีลีเนียม

• ประโยชน์ต่อผิวหนัง : แร่ธาตุเหล่านี้จะทำงานกับวิตามินที่ต้านอนุมูลอิสระเพื่อที่จะทำให้ การกำจัดอนุมูลอิสระทำงานดีขึ้น นอกจากนี้ทองแดงยังช่วยในการสร้างคอลลาเจน สังกะสีช่วยในการซ่อมแซมคอลลาเจนที่สึกหรอ ส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลล์ และช่วยรักษาสิวด้วย

• ประโยชน์ต่อร่างกายอื่นๆ : การที่แร่ธาตุเหล่านี้ทำให้วิตามินที่ต้านอนุมูลอิสระทำงานดีขึ้นก็จะช่วยในการ ชะลอความแก่ชราและป้องกันโรคเรื้อรังบางชนิดด้วย นอกจากนี้ยังเป็นส่วนประกอบ ที่สำคัญของเอนไซม์และฮอร์โมนหลายชนิด

• ความต้องการของร่างกายต่อวัน : ทองแดง = 2 มิลลิกรัม , สังกะสี = 15 มิลลิกรัม , ซีลีเนียม = 70 ไมโครกรัม , ถ้าร่างกายได้รับแร่ธาตุเหล่านี้ในปริมาณมากเกินไปอาจเกิดพิษได้

• แหล่งอาหาร :

ผัก : บร็อคโคลี เห็ด

สัตว์ : เนื้อไก่ ปลา ไข่

อื่นๆ : โยเกิร์ต นม จมูกข้าวสาลี เมล็ดธัญพืช เต้าหู้ ถั่ว

Q 10

Q 10 นี้ถือว่าเป็น co-enzyme ที่สำคัญตัวหนึ่งในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระสำหรับขบวนการเสื่อม ของเซลล์ในร่างกายของคนเรา การที่มีระดับ Q10 ต่ำจะพบร่วมกับโรคที่เกี่ยวกับความชรา โดยปกติแล้วร่างกายเราสามารถสร้าง Q10 ได้เอง แต่เมื่ออายุมากขึ้นหรือเวลามีความเครียด ร่างกายก็จะสร้าง Q10 ได้น้อยลง

• ประโยชน์ต่อผิวหนัง : ช่วยป้องกันอนุมูลอิสระที่เกิดจากรังสี UV

• ประโยชน์ต่อร่างกายอื่นๆ : ช่วยสร้างอนุมูลอิสระที่เกิดภายในร่างกาย และเสริมสร้างขบวนการสร้างพลังงานระดับเซลล์ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันหัวใจและป้องกันการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง

• ความต้องการของร่างกายต่อวัน : โดยทั่วไปนักวิทยาศาสตร์ทางอาหารจะแนะนำให้รับประทาน 30-60 มิลลิกรัมต่อวัน

• แหล่งอาหาร : ถั่วลิสง น้ำมันถั่วเหลือง ปลาแซลมอน ไข่ เนื้อวัว ตับไต หัวใจ จมูกข้าวสาลี

กรดอัลฟาไลโปอิก (Alpha lipoic acid)

สารตัวนี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ร่างกายสามารถสร้างเองได้

• ประโยชน์ต่อผิวหนัง : นอกจากจะช่วยในแง่ของการต้านอนุมูลอิสระแล้ว สารนี้ยังช่วยในการสร้าง และซ่อมแซมคอลลาเจนของผิวหนังด้วย

• ประโยชน์ต่อร่างกายอื่นๆ : ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ ทำให้การทำงานของวิตามินซี และอี มีประสิทธิภาพมากขึ้น ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และอาจมีส่วนเกี่ยวกับเรื่องของระบบประสาท

• ความต้องการของร่างกายต่อวัน : ประมาณ 50-100 มิลลิกรัม ผู้ที่เป็นเบาหวานหรือมีปัญหาเรื่องระบบเส้นประสาท ควรปรึกษาแพทย์ก่อนจะรับประทานสารตัวนี้

จะเห็นได้ว่าวันนี้ผมได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวหนังในรูปแบบรับประทาน คราวนี้ทางแพทย์ผิวหนังก็พยายามนำสารเหล่านี้มาทำในรูปของครีมต่างๆ เพื่อให้ได้ประโยชน์ต่อผิวหนังโดยตรง แต่ปัญหาอยู่ตรงที่ความคงตัวของสาร ความสามารถของสารในการซึมผ่านผิวหนัง และประสิทธิภาพของสารเหล่านั้น ปัจจุบันเท่าที่ได้ผลดี คือ วิตามินเอ ส่วนสารอื่นๆ อาจใช้ได้ผลไม่มาก แต่ในอนาคตผมว่าเราคงเห็นสารต่างๆ ในรูปแบบของครีมที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยอาศัยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เช่น เรื่องของนาโนเทคโนโลยีต่างๆ กันครับ

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)เลขที่ 33

สุขบัญญัติ 6 ประการเพื่อสุขภาพที่ดี

สุขบัญญัติข้อที่ 1 คือ การควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์พอดี

สุขบัญญัติข้อที่ 2 คือการรับประทานอาหารที่ถูกต้อง

สุขบัญญัติข้อที่ 3 คือการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม

สุขบัญญัติข้อที่ 4 คือหลีกเลี่ยงการบริโภคสารที่อันตรายต่อร่างกาย

สุขบัญญัติข้อที่ 5 คือ รู้จักบริหารจัดการกับความวิตกกังวลและการพักผ่อนที่เพียงพอ

สุขบัญญัติข้อที่ 6 คือ การตรวจเช็คร่างกายตามระยะเวลาที่เหมาะสม

เบญจวรรณ หล้าแปง(ม,ฟาร์เลขที่ 40)

วิธีการถนอมดวงตา

วันหนึ่งนายแพทย์เบตส์กลับจากทำงานด้วยดวงตาอันอ่อนล้า เขานั่งลงที่โต๊ะทำงานในห้องที่ยังไม่ได้เปิดไฟวางข้อศอกทั้งสองข้างลงบนโต๊ะโค้งอุ้งมือทั้งสองวางครอบดวงตาของตนหลับตาพักผ่อนในท่านั้นอยู่สิบนาทีพอลืมตาขึ้นอีกครั้งหนึ่งเขารู้สึกว่าอาการปวดเมื่อยดวงตาหายไปแถมมองเห็นสิ่งต่างๆ ในห้องชัดเจนขึ้นกว่าเก่าอีกด้วย จากจุดเริ่มต้นดังกล่าวนายแพทย์เบตส์ได้ค้นคิดวิธีการฝึกสายตาอย่างธรรมชาติ เพื่อพักผ่อนกล้ามเนื้อตาและช่วยรักษาสายตาให้ดีขึ้น นายแพทย์เบตส์เขียนหนังสือชื่อ Perfect Sight without Glasses เป็นที่นิยมแพร่หลาย แม้ภายหลังเขาเสียชีวิต แต่วิธีการของนายแพทย์เบตส์ยังได้รับการเผยแพร่โดยแพทย์ทั้งหลายทั่วยุโรปและอเมริกา "วิธีของเบตส์" มี 7 ท่าด้วยกัน ท่าที่ 1 ครอบดวงตา โค้งอุ้งมือทั้งสองครอบดวงตาไว้เฉย ๆ ระวังอย่าให้อุ้งมือกดทับดวงตา นึกถึงบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เช่น วันพักผ่อนสุดสัปดาห์ตามป่าเขาหรือชายทะเลอยู่ในท่านี้สัก 10 นาที ท่าที่ 2 สร้างจินตภาพ ต่อจากท่าที่ 1 ยังคงครอบดวงตาอยู่ สร้างจินตภาพว่าตนเองกำลังมองวัตถุบางอย่างที่มีสีสันสดใสมีรายละเอียดต่างๆ ที่ชัดเจน เช่น มองเห็นดอกเบญจมาศสีเหลืองสวยเห็นกลีบดอกแต่ละกลีบละเอียดชัดเจนสายตาที่คมชัดจากจินตนาการของเราเองจะช่วยเยียวยาสายตาจริง ๆ ของเราได้เป็นอย่างดี ท่าที่ 3 กวาดสายตา มองแบบไม่ต้องจ้อง (คนสายตาสั้นมักจ้องและเขม้นตา) กวาดสายตาไปตามวัตถุที่อยู่ไกล ๆ ทางโน้นบ้างทางนี้บ้างทำให้ตาของเราได้ผ่อนคลาย ท่าที่ 4 กะพริบตา ฝึกนิสัยให้กะพริบตา 1-2 ครั้ง ทุก ๆ 10 วินาที ช่วยให้แก้วตาสะอาดและมีน้ำหล่อเลี้ยง โดยเฉพาะคนที่สวมแว่นหรือคอนแทคเลนส์ยิ่งจำเป็น ท่าที่ 5 โฟกัสภาพใกล้และไกล เหยียดแขนซ้ายไปให้ไกลที่สุด ตั้งนิ้วชี้มือซ้ายขึ้นเพื่อเป็นจุดโฟกัส ขณะเดียวกัน ตั้งนิ้วชี้มือขวาให้ห่างจากใบหน้าสัก 3 นิ้ว (7.5 ซม.) โฟกัสภาพที่แต่ละนิ้วสลับกันไปมา ทำบ่อย ๆ เมื่อโอกาสอำนวย ท่าที่ 6 ชโลมดวงตา ตื่นนอนทุกเช้าใช้มือวักน้ำชโลมดวงตาด้วยน้ำอุ่น สัก 20 ครั้ง สลับกับการวักน้ำเย็นชโลมดวงตาอีก 20 ครั้ง ทั้งนี้เพื่อช่วยให้เลือดหมุนเวียนมาเลี้ยงดวงตาดีขึ้น การจบด้วยน้ำเย็นทำให้กล้ามเนื้อตาและหนังตากระชับไม่หย่อนยาน ก่อนเข้านอนให้วักน้ำชโลมดวงตาอีกครั้งหนึ่งแต่คราวนี้ชโลมด้วยน้ำเย็นก่อนแล้วตามด้วยน้ำอุ่นจะทำให้กล้ามเนื้อตาและหนังตาได้ผ่อนคลายก่อนเข้านอน ท่าที่ 7 แกว่งตัว ยืนแยกเท้าเท่ากับช่วงไหล่ แกว่งตัวไปมาจากซ้ายไปขวาถ่ายน้ำหนักตัวบนขาแต่ละข้างสลับไปมา สายตามองไปไกล ๆ แต่ไม่ต้องจ้องปล่อยให้จุดที่เรามองแกว่งไปมาซ้ายขวาตามการแกว่งตัวท่านี้จะทำให้ดวงตาได้พักและมีการปรับตัวดีขึ้น ทำ บ่อย ๆ เมื่อมีโอกาส เปิดเพลงคลอไปด้วยก็ได้ "วิธีของเบตส์" ได้รับการยืนยันจากจักษุแพทย์จำนวนมากว่าเป็นการฝึกดวงตา ที่เป็นระบบช่วยรักษาสายตาคนไข้ได้เป็นจำนวนมาก ด้วยความปราถนาดีจากศูนย์แอ็ดวานส์เลสิค

วราภรณ์ สุตพลสันติกุล (ฟาร์) เลขที่ 34

โยเกิตทำเอง เพื่อสุขภาพที่ดี

โยเกิตนอกจากจะเป็นอาหารลดน้ำหนักยอดฮิตของหญิงสาวแล้ว โยเกิตยังเป็นอาหารคุณภาพเยี่ยมที่อุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัส ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง มีโปรตีน วิตามินบี 2 และบี 12 ที่ช่วยสร้างเม็ดเลือดและบำรุงระบบประสาท แต่เนื่องจากโยเกิตที่ขายตามท้องตลาดทั่วไปมักผสมน้ำตาล น้ำเชื่อมผลไม้ ซึ่งหากร่างกายไม่สามารถเผาผลาญได้หมดก็จะกลายเป็นแคลอรีให้สาวๆต้องปวดใจ (กับไขมันที่เพิ่มขึ้น) เพราะฉะนั้นมาทำโยเกิตเพื่อสุขภาพด้วยตัวเองแบบง่ายๆดีกว่าค่ะ

ส่วนผสม :

นมสดหรือนมพร่องมันเนย 2 ลิตร, โยเกิตสำเร็จรูปรสธรรมชาติ 1 ถ้วย

วิธีทำ :

1. เทนมใส่ภาชนะแก้วหรือเซรามิก นำไปตั้งไฟ พออุ่นยกลง

2. นำโยเกิตที่เตรียมไว้ผสมลงไปคนให้ละลายทั่วกัน ตักแบ่งใส่ถ้วยแล้วปิดฝาให้สนิท

3. นำไปวางเรียงในกระติกน้ำแข็งหรือกล่องโฟมใบใหญ่ ปิดฝาให้สนิท ตั้งทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องปกติประมาณ 8 ชั่วโมง

แล้วคุณจะได้โยเกิตแช่เย็นเก็บไว้รับประทานได้นาน 7 วันทีเดียวค่ะ

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์)006

รู้จักน้ำส้มสายชูกันดีแค่ไหน

น้ำส้มสายชูเป็นของที่อยู่คู่ครัวไทยมานานนับพันปีแล้ว เพราะที่ใดที่มีแอลกอฮอล์หรือน้ำตาลและน้ำอยู่ก็จะมีแนวโน้มที่จะมีน้ำส้มสายชูเกิดขึ้นได้ แม่บ้านไทยโดยทั่วไปมักจะคุ้นเคยกับน้ำส้มสายชูกลั่น 5% ที่ลักษณะเป็นสีใสๆบรรจุขวดแก้ว ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ซึ่งมักจะหมักมาจากเอทิลแอลกอฮอล์

น้ำส้มสายชูเป็นผลพลอยได้จากอุตสาหกรรมการผลิตไวน์หรือสุรา เนื่องจากเมื่อนำสุราหรือไวน์ที่มีความเข้มข้นของแอลกอฮอล์พอเหมาะมาตั้งทิ้งไว้ในสภาวะที่มีออกซิเจนสูง แอลกอฮอล์ก็จจะถูกเปลี่ยนเป็นกรดอะซิติก (Acetic Acid) และน้ำ ซึ่งในปัจจุบันนักวิจัยไทยกำลังจับจ้องให้ความสนใจกับเทคโนโลยีนี้ในเชิงอุตสาหกรรมอยู่ เนื่องจากเป็นขั้นตอนการผลิตที่ได้ผลิตภัณฑ์หลายอย่าง ตั้งแต่แอลกอฮอล์ (ไวน์หรือสุรา) น้ำส้มสายชูหรือกรดอะซิติก รวมถึงตัวยีสต์โปรตีนสูงที่ใช้หมัก ซึ่งสามารพนำมาทำแห้งและขายให้โรงงานอาหารสัตว์ได้อีกทาหนึ่ง เรียกได้ว่าใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่าและขายเป็นผลิตภัณฑ์ได้ทุกอย่างเลยทีเดียว

อันที่จริงน้ำส้มสายชูในโลกมีหลากหลายชนิด ความแตกต่างขึ้นกับการเลือกเอาวัตถุดิบอะไรมาใช้ ซึ่งน้ำส้มสายชูที่ได้ก็จะมีกลิ่นหอม รสชาติและมักจะมีสีของวัตถุดิบนั้นติดตัวมาด้วยเสมอ( น้ำส้มสายชูจาไวน์แดงก็มักจะมีรงควัตถุที่ให้สีแดงอมม่วงติดมาด้วย) โดยน้ำส้มชนิดที่ดีที่สุดและนิยมใช้มากที่สุดทำมาจากองุ่นหรือไวน์ (น้ำส้มสายชูจากไวน์ขาวหรือไวน์แดง) ซึ่งจะให้กลิ่นที่หอมและเข้ากับการปรุงอาหารประเภทต่างๆได้มากกว่า น้ำส้มสายชูที่ทำจากวัตถุดิบอื่นๆก็เช่นพวกที่ทำจากแอปเปิ้ล ข้าวมอลต์ ข้าวบาร์เล่ย์ ข้าวโอ๊ต หรือแม้กระทั่งวัตถุดิบที่ไทยมีมากอย่างเช่น ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว และมันสำปะหลัง ก็สามารถนำมาผลิตเป็นน้ำส้มสายชูได้

น.ส.ริศรา สิงห์สุวรรณ์ (ม.ฟาร์)

รักษาโรคหวัด ด้วยการดื่มน้ำผลไม้อุ่นๆ

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหวัด ต่างพากันยกนิ้วให้กับคำแนะนำของคนรุ่นย่ารุ่นยายที่สอนเอาไว้ว่า ให้ดื่มน้ำอุ่นจะได้หายเร็ว

นักวิจัยของศูนย์โรคหวัดธรรมดา มหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ สหภาพแอฟริกาใต้ได้พบในการศึกษาว่า เครื่องดื่มที่เป็นน้ำผลไม้ที่ไม่มีแอลกอฮอล์อุ่นสัก 1 เหยือกจะช่วยบรรเทาอาการไอและสำลักลงได้

ผู้อำนวยการศูนย์ ศาสตราจารย์รอน เอกเคิล จึงได้ฉวยโอกาสแนะนำให้ผู้ป่วยโรคหวัดธรรมดา หรือไข้หวัดใหญ่ให้ดื่มน้ำผลไม้อุ่นๆ จะได้บรรเทาอาการลงได้ “มันน่าแปลกอยู่เหมือนกัน ที่เพิ่งมีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ของผลดีในการดื่มเครื่องดื่มร้อน แก้หวัดขึ้นเป็นครั้งแรก” และเสริมว่าข้อดีของการดื่มน้ำผลไม้ นอกจากช่วยต่อสู้โรคภัยแล้ว มันยังถูกทั้งปลอดภัยและได้ผลดีอีกด้วย

รายงานผลการศึกษาเปิดเผยอยู่ในวารสารทางวิชาการ “นาสิกวิทยา” ของอังกฤษ กล่าวว่า ได้ทดลองให้อาสาสมัครที่เป็นหวัด 30 คนดื่มน้ำแอปเปิ้ลและแบ็คเคอแรนต์พบว่า มันช่วยบรรเทาอาการน้ำมูกไหล ไอจาม เจ็บคอ หนาวสั่นและเมื่อยล้า ลงได้ทันทีและคงอยู่นาน.

น.ส.แพรวนภา สุกใส(ม.ฟาร์)

ดูแลตัวเองตามกรุ๊ปเลือด

- คนที่มีกรุ๊ปเลือด A

จะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดเนื่องจากร่างกายจะผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือฮอร์โมนเครียดมาก ดังนั้นควรจะออกกำลังกายด้วยการจดจ่อต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาทิ โยคะ ไทชิ หรือนั่งสมาธิ เพื่อลดความเครียด หากออกกำลังกายก็อย่าหักโหมจึงไม่ควรบริโภคเนื้อสัตว์มากเกินไป เพราะผู้ที่มีหมู่เลือดนี้จะไม่ค่อยมีเอนไซม์และกรดที่ย่อยโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ควรงดการดื่มนมสดและผลิตภัณฑ์จากนม เพราะจะทำให้เกิดท้องอืด ท้องเฟ้อ ทางที่ดีควรรับประทานผัก อย่างฟักทอง แคร์รอต ผักโขม บร็อกโคลี่ และพืชตระกูลถั่ว โดยเฉพาะถั่วเหลือง ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่มีโปรตีนสูงและช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และควรดื่มชาเขียวเป็นประจำเพื่อช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ควรจำกัดน้ำตาล กาเฟอีน และแอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้จะไปเพิ่มความเครียด และทำให้กระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกายทำงานช้าลง

- คนที่มีกรุ๊ปเลือด B

เมื่อร่างกายไม่สมดุลระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจะเพิ่มสูงขึ้นทำให้มีโอกาสที่จะติดเชื้อ เกิดอาการเหนื่อยล้า จิตใจมัวหมอง ควรสร้างความสมดุลด้วยการออกกำลังกายในรูปแบบที่ท้าทายแต่ต้องใช้สมาธิควบคู่ไปดวย อาทิ เทนนิส ศิลปะการต่อสู้ ปั่นจักรยาน เดินทางไกล กอล์ฟ หรือไทชิเป็นการลดความเครียด ลดความดัน ทำให้ผ่อนคลาย สร้างสมดุลให้กับร่างกายคนเลือดกรุ๊ปนี้เหมาะกับการดื่มนมหรือผลิตภัณฑ์จากนม และเนื้อสัตว แม้คนหมู่เลือดนี้จะสามารถเผาผลาญโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ดีก็ตามแต่ก็ไม่ควรกินเนื้อสัตว์ที่ติดมัน ไม่ควรกินคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป และหลีกเลี่เกินไป และหลีกเลี่ยงเนื้อไก่

- คนที่มีกรุ๊ปเลือด AB

เป็นกลุ่มคนที่รักความเคลื่อนไหว ดังนั้นควรออกกำลังกายในรูปแบบที่ใช้แรงมากและต้องสร้างสมาธิได้ด้วย อย่างเช่นโยคะ หรือแอโรบิก คนเลือดกรุ๊ปนี้มีกรดไฮโดรคลอริกน้อยทำให้ย่อยอาหารได้ยาก จึงต้องจำกัดปริมาณเนื้อสัตว์ไม่ควรรับประทานเนื้อไก่ ควรหันมาบริโภคถั่วเหลือง ปลา ไข่ไก่ และผักแทนไม่ควรดื่มกาเฟอีนและแอลกอฮอล์มากเกินไปและไม่ควรอดอาหารเพราะจะทำให้เกิดความเครียด

- คนที่มีเลือดกรุ๊ป O

ควรจะออกกำลังกายโดยสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเต้นแอโรบิก วิ่ง หรือปั่นจักรยานจะช่วยปรับสภาวะสมดุลของอารมณ์ได้ คนเลือดกรุ๊ปนี้โปรตีนเป็นสิ่งสำคัญ แต่ควรจำกัดการบริโภคถั่วและหมู ส่วนนมและผลิตภัณฑ์จากนมให้บริโภคแต่น้อยเพราะร่างกายย่อยได้ยาก ควรจะหันมารับประทานผักผลไม้ให้มาก

นายเอกชัย สุริยะวงค์วรรณ์ No.38 ม.ฟาร์ 5001023025

การวิ่งระยะไกล

การวิ่งระยะไกล

เป็นการวิ่งระยะทางตั้งแต่ 3,000 เมตรขึ้นไป ลักษณะของนักกีฬาวิ่งระยะไกล มีรูปร่างค่อนข้างสูง น้ำหนักปานกลาง

กล้ามเนื้อหัวใจมีความแข็งแรง สิ่งสำคัญในการวิ่งระยะไกลคือ จังหวะในการวิ่ง จังหวะในการก้าวขา และการแกว่งแขน

ที่จะใช้กำลังให้น้อยที่สุด การก้าววิ่งเต็ม ฝีเท้าช่วงก้าวยาวสม่ำเสมอรักษาช่วงก้าว ให้เท้าสัมผัสพื้นในลักษณะลงด้วยส้นเท้าผ่อนลงสู่

ปลายเท้า ลำตัวตั้งมากกว่าการวิ่งระยะอื่น ไม่ปล่อยให้คู่แข่งวิ่งนำหน้ามากกว่า 40-50 เมตร ในการวิ่ง 3,000 เมตร

การออกวิ่งของการวิ่งระยะไกลใช้การยืนที่เส้นเริ่ม ให้เท้าใดเท้าหนึ่งอยู่ชิดหลังเส้นเริ่ม ก้มตัวลงเล็กน้อยพร้อมที่จะ

ออกวิ่งทันทีที่ได้ยินสัญญาณปล่อยตัว

การออมกำลังในการวิ่งระยะไกล นักกรีฑาต้องรู้จักวางแผนแบ่งระยะทางวิ่ง การเปลี่ยนความยาวของช่วงก้าว การเปลี่ยน

จังหวะหายใจ เพื่อให้สามารถวิ่งได้ตลอดระยะทางและทำเวลา ให้ดีที่สุด การเข้าเส้นชัย นิยมวิ่งผ่านแถบเส้นชัยโน้มตัวลง

ไปข้างหน้าเล็กน้อย

น.ส.อนงค์ วงค์สุภา(ม.ฟาร์)

วิธีรักษาอาการปวดต้นคอ

- พยายามใช้ท่าทางอย่างถูกต้องในการเคลื่อนไหว ขณะนั่งทำงาน หรือท่ายืน โดยไม่ก้มคอมากเกินไป

- ออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อบริเวณคอ

- พยายามใช้หมอนหนุน บริเวณต้นคอและศีรษะเวลานอน

- อาจสวมใส่เครื่องพยุงลำคอถ้ามีอาการปวดเกร็งที่ต้นคอมาก

- การทำกายภาพบำบัดโดยการประคบด้วยความร้อนและการดึงส่วนลำคอโดยนักกายภาพบำบัดจะช่วยบรรเทาอาการได้

- อาหารไม่มีบทบาทในการรักษาโรคปวดต้นคอ หรือทำให้เกิดอาการมากขึ้น

น.ส.สร้อยนภา กันทาแจ่ม (ม.ฟาร์)

สารพัดประโยชน์จาก...พริก

พริก...ช่วยลดปริมาณสารคอเลสเตอรอล สารแคปไซซินช่วยป้องกันมิให้ตับสร้างคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL-Low density lipoprotein) ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้มีการสร้างคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-high density lipoprotein) มากขึ้น ทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดต่ำลง เป็นผลดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค

พริก...ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง เนื่องจากพริกเป็นพืชผักที่มีวิตามินซีสูง การบริโภคอาหารที่มีวิตามินซีมากๆ จะช่วยปกป้องการเกิดโรคมะเร็งได้ วิตามินซียับยั้งการสร้างไนโตรซามีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร วิตามินซีช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นส่วนประกอบของกระดูกอ่อน รวมถึงเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง กล้ามเนื้อและปอด คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่สามารถหยุดการแพร่กระจายของเซลล์เนื้อร้ายได้

นอกจากนี้ วิตามินซียังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) คือสามารถยุติหรือขัดขวางบทบาทของอนุมูลอิสระ (free radicals) ที่จะก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์จนเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด สารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยลดอัตราการเสี่ยงของโรคมะเร็งในปอด และในช่องปาก คนที่รับประทานผักที่มีสารเบตาแคโรทีนน้อย จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งมากกว่าคนที่รับประทานผักที่มีเบตาแคโรทีนสูงถึง 7 เท่า

คุณสมบัติของสารเบตาแคโรทีนจะช่วยลดอัตราการกลายพันธุ์ของเซลล์และทำลายเซลล์มะเร็ง สำหรับพริกบางชนิดที่มีสีม่วงจะมีสารพวกแอนโทไซยานิน ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ คือ สามารถทำลายอนุมูลอิสระได้เช่นกัน

พริก...ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด เช่น ลดอาการปวดฟัน บรรเทาอาการเจ็บคอ และการอักเสบของผิวหนัง เป็นต้น ในปัจจุบันมีการใช้สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบของขี้ผึ้ง ใช้บรรเทาอาการปวดอันเนื่องมาจากผดผื่นคันและอาการผื่นแดงบริเวณผิวหนัง รวมทั้งอาการปวดที่เกิดจากเส้นเอ็น โรคเกาต์ หรือโรคข้อต่ออักเสบ เป็นต้น นอกจากนี้ผลการทดลองใหม่ๆยังบ่งชี้ว่าสารแคปไซซินช่วยลดอาการปวดศีรษะและไมเกรนลงได้

พริก...ช่วยเสริมสร้างสุขภาพและอารมณ์ดี เนื่องจากสารแคปไซซินมีส่วนในการส่งสัญญาณให้ต่อมใต้สมองสร้างสาร เอนดอร์ฟิน (endorphin มาจากคำว่า endogenous morphine) ขึ้น สารเอนดอร์ฟินเป็นเปปไทด์ขนาดเล็ก (โปรตีนสายสั้นๆ) มีคุณสมบัติคล้ายมอร์ฟีน คือ บรรเทาอาการเจ็บปวด ในขณะเดียวกันก็สร้างอารมณ์ให้ดีขึ้น ยิ่งรับประทานเข้าไปมากเท่าใด ร่างกายก็จะสร้างเอนดอร์ฟินขึ้นมามากขึ้นเท่านั้น ปกติร่างกายของคนเราจะสร้างสารเอนดอร์ฟินขึ้นภายหลังการออกกำลังกาย ดังนั้นการออกกำลังกายแม้จะทำให้ร่างกายเมื่อยล้า แต่ผู้ออกกำลังกายจะรู้สึกสดชื่นแจ่ม

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

อันตรายจากโรคอ้วน ภาวะอ้วนทำให้เกิดโรค และความผิดปกติต่าง ๆ ได้มาก หรือเร็วกว่าคนไม่อ้วน ได้แก่

ความดันโลหิตสูง : พบว่าถ้าลดน้ำหนักโดยยังมีปริมาณเกลือในอาหารเท่าเดิมก็ลดความดันโลหิตลงได้

เบาหวานชนิดไม่พึ่งพาอินซูลิน : ความอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานชนิดนี้ที่รุนแรงสุดกว่าปัจจัยใด ๆ

ไขมันในเลือดผิดปกติ

โรคหลอดเลือดตีบ (Atherosclerosis) เช่น หลอดเลือดสมองตีบ ทำให้เกิดอัมพฤกษ์อัมพาต โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยพบว่าความอ้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคนี้โดยตรง และยังเพิ่มความเสี่ยงโดยอ้อมจากภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ เบาหวาน และความดันโลหิตสูงด้วย

นิ่วถุงน้ำดี และถุงน้ำดีอักเสบ

โรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis) โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อสะโพก ข้อเข่า และยังเพิ่มโอกาสเกิดโรคข้ออักเสบจากเก๊าท์ด้วย

มะเร็งบางชนิด พบมากขึ้นในคนอ้วน และสัตว์ทดลองที่ถูกทำให้อ้วน จากการศึกษาของ American Cancer Society โดยอิงน้ำหนักที่คนไข้บอกเองพบว่าถ้าน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน 40% จะมีอัตรารายจากมะเร็งสูงขึ้น 1.33-1.55 เท่า ที่สำคัญ คือ มะเร็งเยื่อบุมดลูกเต้านม ต่อมลูกหมาก ลำไส้ใหญ่

พริก...ช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด ช่วยให้ระบบการหายใจสะดวกสบายยิ่งขึ้น สารแคปไซซินที่อยู่ในพริกมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำมูกหรือลดปริมาณสารที่ขัดขวางระบบการหายใจ ในผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด ไซนัส หรือโรคภูมิแพ้ต่างๆ ช่วยบรรเทาอาการไอ สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของตัวยาหลายๆ ชนิด นอกจากนั้นสารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยป้องกันการติดเชื้อต่างๆ ในบริเวณเนื้อเยื่อบุผนังช่องปาก จมูก ลำคอ และปอด

พริก...ช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด หรือการเสียชีวิตอันเนื่องมาจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน การบริโภคพริกเป็นประจำจะช่วยลดอัตราความเสี่ยงจากการอุดตันของเส้นเลือด นับเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหัวใจล้มเหลว เนื่องจากพริกช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและช่วยลดความดัน เพราะว่าในพริกมีสารจำพวกเบตาแคโรทีนและวิตามินซี ซึ่งช่วยเสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรงเพิ่มการยืดตัวของผนังหลอดเลือด ทำให้ปรับตัวเข้ากับแรงดันระดับต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น

พริก...ช่วยลดปริมาณสารคอเลสเตอรอล สารแคปไซซินช่วยป้องกันมิให้ตับสร้างคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL-Low density lipoprotein) ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้มีการสร้างคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-high density lipoprotein) มากขึ้น ทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดต่ำลง เป็นผลดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค

พริก...ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง เนื่องจากพริกเป็นพืชผักที่มีวิตามินซีสูง การบริโภคอาหารที่มีวิตามินซีมากๆ จะช่วยปกป้องการเกิดโรคมะเร็งได้ วิตามินซียับยั้งการสร้างไนโตรซามีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร วิตามินซีช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นส่วนประกอบของกระดูกอ่อน รวมถึงเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง กล้ามเนื้อและปอด คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่สามารถหยุดการแพร่กระจายของเซลล์เนื้อร้ายได้

นอกจากนี้ วิตามินซียังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) คือสามารถยุติหรือขัดขวางบทบาทของอนุมูลอิสระ (free radicals) ที่จะก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์จนเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด สารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยลดอัตราการเสี่ยงของโรคมะเร็งในปอด และในช่องปาก คนที่รับประทานผักที่มีสารเบตาแคโรทีนน้อย จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งมากกว่าคนที่รับประทานผักที่มีเบตาแคโรทีนสูงถึง 7 เท่า

คุณสมบัติของสารเบตาแคโรทีนจะช่วยลดอัตราการกลายพันธุ์ของเซลล์และทำลายเซลล์มะเร็ง สำหรับพริกบางชนิดที่มีสีม่วงจะมีสารพวกแอนโทไซยานิน ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ คือ สามารถทำลายอนุมูลอิสระได้เช่นกัน

พริก...ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด เช่น ลดอาการปวดฟัน บรรเทาอาการเจ็บคอ และการอักเสบของผิวหนัง เป็นต้น ในปัจจุบันมีการใช้สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบของขี้ผึ้ง ใช้บรรเทาอาการปวดอันเนื่องมาจากผดผื่นคันและอาการผื่นแดงบริเวณผิวหนัง รวมทั้งอาการปวดที่เกิดจากเส้นเอ็น โรคเกาต์ หรือโรคข้อต่ออักเสบ เป็นต้น นอกจากนี้ผลการทดลองใหม่ๆยังบ่งชี้ว่าสารแคปไซซินช่วยลดอาการปวดศีรษะและไมเกรนลงได้

พริก...ช่วยเสริมสร้างสุขภาพและอารมณ์ดี เนื่องจากสารแคปไซซินมีส่วนในการส่งสัญญาณให้ต่อมใต้สมองสร้างสาร เอนดอร์ฟิน (endorphin มาจากคำว่า endogenous morphine) ขึ้น สารเอนดอร์ฟินเป็นเปปไทด์ขนาดเล็ก (โปรตีนสายสั้นๆ) มีคุณสมบัติคล้ายมอร์ฟีน คือ บรรเทาอาการเจ็บปวด ในขณะเดียวกันก็สร้างอารมณ์ให้ดีขึ้น ยิ่งรับประทานเข้าไปมากเท่าใด ร่างกายก็จะสร้างเอนดอร์ฟินขึ้นมามากขึ้นเท่านั้น ปกติร่างกายของคนเราจะสร้างสารเอนดอร์ฟินขึ้นภายหลังการออกกำลังกาย ดังนั้นการออกกำลังกายแม้จะทำให้ร่างกายเมื่อยล้า แต่ผู้ออกกำลังกายจะรู้สึกสดชื่นแจ่มใส

ถ้าต้องการบรรเทาความเผ็ดของอาหารในปากควรดื่มแอลกอฮอล์ หรือรับประทานอาหารที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบมากกว่าการดื่มน้ำ เพราะการดื่มน้ำมีผลเพียงช่วยบรรเทาอาการแสบร้อนได้เท่านั้น แต่ความเผ็ดก็ยังไม่ได้ลดลง เนื่องจากว่า ‘น้ำ’ ละลายสารดังกล่าวได้ไม่ดี...นั่นเอง

นั่งสมาธิ...สวยจากภายในเพื่อสุขภาพ

ด้วยเวลาที่น้อยลง และการงานที่รับผิดชอบมากขึ้น ผู้หญิงหลายคนต่างพากันไปออกกำลังที่ฟิตเนส แต่น้อยคนที่จะรู้ว่าการออกกำลังกายที่ดีอีกอย่างหนึ่งคือการนั่งสมาธิ ฝึกจิตใจ และร่างกายให้ทำงานอย่างเป็นระบบ การนั่งสมาธิมีอยู่หลายแบบ หลากหลายเทคนิค และหลายเหตุผล และเพื่อให้การนั่งสมาธินำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ดี


อย่างแรกผู้เริ่มต้นนั่งสมาธิควรเลือกสถานที่ที่ผ่อนคลาย ไม่มีอะไรมารบกวน เพื่อทำให้จิตใจสงบให้มากที่สุด จากนั้นนั่งในท่าที่สบาย การเลือกท่าทางในการทำสมาธิเป็นสิ่งสำคัญมาก ควรเลือกท่าที่ตนเองชอบมากที่สุด ถ้าหากไม่ชอบนั่งหลังตรง ตัวตรง เพราะรู้สึกไม่สบาย คุณอาจจะเลือกท่านอน นั่งพิง หรือแม้แต่กำลังเดินก็ได้

การรวบรวมความสนใจ ไปที่จุดใดจุดหนึ่งซึ่งเป็นหัวใจของการทำสมาธิ และอย่าเครียดจนเกินไป ในการนั่งสมาธิ มีหลายครั้งย่อมมีเรื่องบางเรื่องที่ผ่านเข้ามาในใจ ถ้าหากเป็นเช่นนั้น คุณสามารถปล่อยใจให้คิดถึงมันได้บ้างเป็นระยะ หากเมื่อเรียบร้อยแล้ว ขอให้ดึงสมาธิกลับมาที่เดิมให้ได้

 

การนั่งสมาธิเพื่อสุขภาพ เปรียบได้กับการให้ยากับจิตใจ เพราะการนั่งสมาธิจะทำให้สมองปลอดโปร่ง

รวมทั้งทำงานอย่างเป็นระบบ ดังนั้น จึงพบว่าผู้ที่นั่งสมาธิเป็นประจำ จะมีความทรงจำที่ดี ในขณะที่การทำงานของร่างกายก็สัมพันธ์กันดียิ่งขึ้น ที่เห็นได้ชัดคือ ระบบต่าง ๆ ของร่างกายสามารถทำงานได้รัดกุมมากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของระบบประสาท รวมถึงเรื่องการทำงานของหัวใจ การหายใจ ระบบย่อยอาหาร ซึ่งจะดีขึ้นโดยอัตโนมัติ

นอกจากนั้น ยังช่วยให้สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีขึ้น ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม

คนที่เหมาะสมจะนั่งสมาธิ คงจะไม่พ้นผู้มีอาการเหนื่อยล้าโดยไม่มีสาเหตุ หดหู่ คิดมาก จิตใจไม่ค่อยสบาย รู้สึกเจ็บปวดตามร่างกายเป็นประจำ เคร่งเครียด นอนไม่หลับ หรือมีอาการอ่อนไหวมากจนเกินไปกับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

 

นักวิทยาศาสตร์จากสถาบัน NCCAM (National Center for Complementary and Alternative Medicine)
 
ได้รับรู้ถึงประโยชน์ของการนั่งสมาธิด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย พวกเขาศึกษาถึงส่วนสมองของมนุษย์ และความสัมพันธ์ของระบบทั้งสอง ได้แก่ Sympathetic Nervous System และ Para Sympathetic Nervous System ภายในร่างกายอย่างละเอียด พบว่าการโต้ตอบของร่างกายสัมพันธ์กับการทำงานเป็นอย่างมาก การนั่งสมาธิเปรียบเสมือนการพักผ่อน ผ่อนคลาย และสร้างความเป็นระบบให้กับร่างกาย
บทสรุปแล้ว นักวิทยาศาสตร์จึงเชื่อว่า การนั่งสมาธิส่งผลโดยรวมต่อองค์ประกอบของร่างกาย อันเป็นเรื่องสำคัญของสุขภาพโดยรวม

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

บัวบก บำรุงสมอง

ถ้าจะเอ่ยชื่อถึง ใบบัวบก หลายท่านคงรู้จักพืชชนิดนี้เป็นอย่างดี ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่าคนไทยรู้จัก และบริโภคพืชชนิดนี้กันมานาน ใบบัวบก หรือ Gotu Kola ชื่อพื้นเมืองมีมากมาย ไม่ว่าจะเป็นผักแว่น ผักหนอก ทางภาคเหนือ เรียกว่า ปะหนะ เอขาเด๊าะ

บัวบกเป็นพืชที่ปลูกได้ง่าย มีใช้ทั้งในตำราอายุรเวท และประเทศจีน รวมถึงในแพทย์แผนไทยด้วย พบมากในประเทศแถบยุโรป เรื่อยมาจนถึงแถบแอฟริกาใต้ อินเดีย ปากีสถาน และศรีลังกา มีประวัติการใช้ประโยชน์ในทางยามานาน พบว่าส่วนสำคัญที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ ส่วนของใบและราก

ใบบัวบก ได้ถูกนำมาใช้บำบัดอาการที่เกี่ยวข้องกับสมองมาเป็นเวลานาน และให้ผลเป็นที่น่าเชื่อถือจนได้ชื่อเรียกว่า อาหารสมอง เพราะคนสมัยก่อนเชื่อว่า การรับประทานจะช่วยส่งเสริมการทำงานของสมอง โดยทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานสำรองให้กับสมอง และได้ผลดีทั้งในแง่ของการรักษาส่วนของสมองที่ถูกทำลายแล้วให้ดีขึ้น และยังป้องกันไม่ให้สมองที่เป็นปกติอยู่ถูกทำลายหรือเสื่อมลงเร็วขึ้น

ปัจจุบัน ใบบัวบก ถือว่าเป็นสมุนไพรยอดนิยมของชาวตะวันตก ในเรื่องของประสิทธิภาพการผ่อนคลาย และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความทรงจำได้เป็นอย่างดี จากการศึกษาทางเภสัชวิทยาเพื่อค้นหาสารสำคัญ หรือหาสารออกฤทธิ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในใบบัวบก ทำให้เราค้นพบว่า ใบบัวบกจะให้สารไกลโคไซด์หลายชนิดที่ให้ผลต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ซึ่งส่งผลให้ลดความเสื่อมของเซลล์ อวัยวะต่างๆ ของร่างกายได้ ช่วยลดความเครียดจากการทำงานหนัก ปรับปรุงระบบการรับส่งกระแสประสาท ปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ หรือปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นรอบตัวเรา

นอกจากนี้ ยังเพิ่มความสามารถในการทำงาน ทั้งในแง่ของกำลังกาย และกำลังสมอง ควบคุมระดับแรงดันโลหิตให้เป็นปกติ ลดภาวะความเป็นหมัน ช่วยชะลอความแก่ หรือช่วยป้องกันร่างกายด้วยการกำจัดสารพิษตกค้างในร่างกาย แก้ช้ำใน บำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า ขับปัสสาวะ แก้อาการเริ่มเป็นบิด ท้องร่วง เป็นยาขจัดเลือดเสีย แก้โรคผิวหนัง แก้พิษงูกัด และระดูขาว

ยังพบว่าสารไกลโคไซด์ที่ได้จากใบบัวบก ยังส่งผลในช่วงเร่งการสร้างสารคอลลาเจน ที่เป็นโครงสร้างของผิว จึงถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการกระตุ้นให้แผลสมานตัวได้เร็วขึ้น และยังมีสาระสำคัญที่มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของหนอง สิว สมานแผล ยับยั้งแบคทีเรีย และเชื้อรา ช่วยเร่งการเจริญของเซลล์ เยื่อบุผิว ลดแผลเป็นให้มีขนาดเล็กลง ทำให้เลือดกระจายตัวได้ดีอีกด้วย

ภาวะที่ควรรับประทานใบบัวบก

1. ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อโรคความจำเสื่อม ได้แก่ ผู้สูงอายุ สตรีวัยทอง

2. ผู้ที่อยู่ในวัยทำงานที่ต้องใช้สมองอย่างมาก และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความทรงจำ

3. ผู้ที่มีความเครียดสูงจากการทำงานหนัก

4. ผู้ที่มีความผิดปกติทางผิวหนัง และกล้ามเนื้อ โดยมีอาการฟกช้ำ และผิวหนังอักเสบ

5. ผู้ป่วยหลังการผ่าตัด เพราะช่วยเร่งการสมานแผลให้เร็วยิ่งขึ้น

สรรพคุณของใบบัวบก ทางการแพทย์ที่น่าสนใจ

1. มีสารต้านอนุมูลอิสระ และมีสารต้านมะเร็ง

2. สามารถรักษาโรคกระเพาะได้ โดยสามารถลดขนาดของแผลในกระเพาะอาหาร (ทดลองในหนู ผลที่ได้มีนัยสำคัญ บอกถึงศักยภาพที่อาจจะทดลองนำมาใช้ในคนได้)

3. ลดความเครียด

4. มีคุณประโยชน์ในผู้ป่วยเบาหวาน โดยเพิ่มการไหลเวียนของเส้นเลือดฝอย การแลกเปลี่ยนออกซิเจนต่อเนื้อเยื่อ ทำให้ลดความเสี่ยงของการบวม เส้นประสาทเสื่อม เหน็บชา อ่อนแรง ในเบาหวาน

5. เพิ่มการไหลเวียนของเส้นเลือดฝอย การแลกเปลี่ยนออกซิเจนต่อเนื้อเยื่อ ทำให้ลดความเสี่ยงของการบวมในผู้สูงอายุ ผู้ที่มีแรงดันในเส้นเลือดดำสูง หรือโรคเลือดคั่ง ขาบวมในผู้ที่เดินทางนานๆ ในรถหรือเครื่องบิน

6. อาจลดความเสี่ยงของ โรคริดสีดวง และ เส้นเลือดขอดที่ขา บำรุงสมอง (งานวิจัยในระดับสัตว์ทดลอง ว่า ทำให้มีความคิดอ่านและโรคอัลไซเมอร์ดีขึ้นได้)

เอกชัย No.38 ม.ฟาร์ 5001023025

โรคที่มากับคนที่ไม่ออกกำลังกาย

กลุ่มโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจขาดเลือด

โรคอ้วน

โรคเบาหวานและไขมันในเลือดสูง

โรคเครียด

โรคภูมิแพ้

โรคปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ

โรคมะเร็ง

เอกชัย No.38 ม.ฟาร์ 5001023025

เทคนิคของการออกกำลังกายเป็นประจำ

จะต้องตระหนักว่าการออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตซึ่งจะขาดไม่ได้เหมือนการนอนหลับ หรือการรับประทานอาหาร

เลือกการออกกำลังกายที่ชอบที่สุด และสะดวกที่สุด

ครอบครัวอาจจะมีส่วนร่วมด้วยก็จะดี

ช่วงแรกๆของการออกกำลังกายไม่ควรจะหยุด ให้ออกจนเป็นนิสัย

บันทึกการออกกกำลังกายไว้

หาเป็นไปได้ควรจะมีกลุ่มเพื่อออกกำลังกายร่วมกันเพราะกลุ่มจะช่วยกันประคับประคอง

ตั้งเป้าหมายการออกกำลังและการรับประทานทุกเดือนโดยอย่าตั้งเป้าหมายสูงเกินไป

ติดตามความก้าวหน้าโดยดูจากสมุดบันทึก

ให้รังวัลเมื่อสามารถบรรลุเป้าหมาย(ห้ามการเลี้ยงอาหาร)

ที่สำคัญการออกกำำลังแม้เพียงเล็กน้อยดีกว่าการไม่ออกกำลังกาย

วุฒิชัย ทองเล็ก เลขที่ 32

8วิธีด้วยน้ำผึ้ง

เกร็ดความรู้วันนี้ขอเสนอ ความสวยที่ได้มาจากน้ำผึ้ง แต่ก่อนจะลงมือทำสวย เรามาทดสอบก่อนดีกว่าว่า น้ำผึ่ง ที่มีอยู่นั้น ของแท้หรือของเทียม เริ่มจาก นำน้ำผึ้งจากธรรมชาติที่ยังไม่ผ่านความร้อนใส่ไว้ในขวด ตั้งทิ้งไว้สักพัก ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้จากธรรมชาติจะสังเกตเหตุเกสรดอกไม้ลอยอยู่ด้านบน

หลังจากรู้แล้ว ก็เริ่มปฏิบัติเสริมสวยกันเลย...

1. น้ำผึ้งช่วยปรับสมดุลของร่างกายและควบคุมน้ำหนัก ใครที่มีปัญหาปวดข้อ ปวดกระดูก เป็นตะคริวอยู่บ่อย ๆ หรือแม้กระทั่งโรคอ้วน ก็สามารถดื่มน้ำผึ้ง เพื่อช่วยบรรเทาโรคต่าง ๆ ได้

วิธีคือ นำน้ำผึ้ง 3 ช้อนผสมกับน้ำส้มสายชูหมักแอ๊ปเปิ้ล (หรือ Apple Vinegar) 3 ช้อนชา ผสมน้ำเปล่า 1 แก้ว ดื่มทุกเช้าหลังตื่นนอนและระหว่างมื้อเป็นประจำทุกวัน จะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงและสดชื่น

2. หน้าแห้งแตกเป็นขุย สาวที่มีผิวหน้าแห้งกร้านเหมือนอีสานแล้ง ควรทำเป็นอย่างยิ่ง นำไข่แดง 1 ฟอง และน้ำผึ้ง 1ช้อนผสมให้เข้ากัน พอกหน้าทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

3. น้ำผึ้งสยบสิ้วเสี้ยนบนใบหน้า หลังล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น เช็ดหน้าให้แห้ง จากนั้นนำกล้วยหอมครึ่งลูก บดผสมกับน้ำผึ้ง นำมาทาบนใบหน้าทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก น้ำผึ้งมีเอนโซม์ที่ทำให้หน้าคุณชุ่มชื่นนุ่มนวลขึ้น และยังบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ด้วย

4. ผมหยาบกระด้างเกินเยียวยา ต้องลองสูตรนี้ หลังสระผมเสร็จ นำน้ำผึ้งผสมกับน้ำมันมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ ชโลมผมแล้วทิ้งไว้ 3-5 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผมคุณจะนิ่มและเงางามดุจเส้นไหม

5. ใครที่นอนไม่หลับ ฟังทางนี้ด่วน ผสมน้ำผึ้งกับน้ำอุ่น หรือนมร้อนดื่มก่อนนอน จะช่วยให้คุณหลับสบายขึ้น

6. สครับหน้าแบบง่าย ๆ เพียงนำน้ำผึ้งผสมกับแอ๊ปเปิ้ลมาปั่นรวมกัน ทาให้ทั่วใบหน้า พร้อมกับนวดเบา ๆ ความหยาบของแอ๊ปเปิ้ลจะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าให้ออกไปให้ผิวหน้าสดใสเปล่งปลั่งขึ้น

7. สูตรไล่ตีนกาออกจากหน้า นำแครอท 1 หัวเล็กมาปอกเปลือกและปั่นให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้ง และนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 5-10 นาที ริ้วรอยตีนเป็ดตีนกาทั้งหลายจะค่อย ๆ โบยบินออกจากหน้าของคุณในเร็ววัน

8. เสียงใสเหมือนระฆังเงิน หากใครเกิดอาการเจ็บคอ รู้สึกคอแห้งเสียงแหบร้องราคาโอเกะไม่สนุกละก็ เพียงผสมน้ำมะนาว 1 ลูก + น้ำผึ้ง 2-3 ช้อนโต๊ะ + น้ำเดือด 2 ช้อนโต๊ะ

จิบบ่อย ๆ แก้เจ็บคอ แต่หากกินไม่หมดก็นำมาทาหน้าได้ด้วย ทาทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผิวหน้าจะขาวใสและเต่งตึงขึ้นทันตาเห็น

วุฒิชัย ทองเล็ก เลขที่ 32

วิธีกำจัดสิวอย่างถูกวิธี

สาเหตุสิว

หากการทำงานของฮอร์โมนผิดปกติจะส่งผลให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป และเร่งการหลุดลอกของเซลล์ผิวบริเวณผิวชั้นบน และในรูขุมขนซึ่งสิ่งตกค้างเหล่านี้จะขัดขวางทางเดินของต่อมไขมัน และอุดตันรูขุมขนด้วย ซึ่งสภาพแบบนี้ช่วยให้แบคทีเรียชนิดโปรฟิโอแบคทีเรีย

แอ็คเน่ส์ที่แอบอยู่ในต่อมไขมันเจริญเติบโต และก่อให้เกิดตุ่มอักเสบระคายเคือง หรือสิวนั่นเอง และอีกเหตุผลที่ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็ทำให้เกิดสิวได้ก็คือ การระคายเคืองและการแพ้เครื่องสำอาง หรือยาและอาหารบางชนิด (แต่ก็ยังไม่มีงานวิจัยที่ยืนยันว่า อาหารใดก่อให้เกิดสิว)

ทำไมหัวขาว ทำไมหัวดำ

น้ำมันส่วนเกิน และเซลล์ผิวเก่าที่มีมากผิดปกติจะรวมตัวกันเป็นสารสีขาวนิ่มๆอุดรูขุมขนไว้ ถ้าส่วนบนของรูขุมขนถูกปิดด้วยผิว ก็จะเรียกว่า สิวหัวขาว (Whitehead/Milia) ถ้าไม่มีอะไรขวางรูขุมขน ส่วนบนของสารขาวๆที่ก่อตัวจะถูกอากาศจนกลายเป็นสีดำ เรียกว่า สิวหัวดำ (Blackhead)

สิวหัวขาวและหัวดำจะกลายเป็นสิวอักเสบเมื่อแบคทีเรียเติบโตในส่วนที่อุดตัน การอักเสบและน้ำมันส่วนเกินจะทำให้กำแพงของต่อมไขมันรั่ว และน้ำมัน เซลล์ผิวเก่า แบคทีเรียจะกระจายตัวไปทั่วเนื้อเยื่อผิวโดยรอบ ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจึงต้องเข้าไปต่อสู้ซ่อมแซมผิว จึงทำให้บวมเป็นตุ่มสิวอย่างที่เห็น

วิธีปราบสิว

ถ้ามัวแต่แก้ไขเฉพาะสิวที่เห็นภายนอกโดยไม่สนใจรักษาที่ต้นเหตุซึ่งอยู่ใต้ผิวหนัง การรักษาใดๆก็ไม่ได้ผล เช่นใช้ผลิตภัณฑ์ทำให้หัวสิวแห้งเพียงอย่างเดียว ซึ่งนอกจากสิวจะไม่ยุบและไม่สามารถดูดซับความมันบนหัวสิวแล้วยังระคายผิว และอาจก่อให้เกิดแผลเป็นอีกด้วย

ฉะนั้น วิธีปราบสิวที่ดีที่สุดคือ การขัดผิวเพื่อลดการสะสมตัวของเซลล์ผิวที่ตายทั้งบนผิวและในรูขุมขน การฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว การดูดซับความมันและสร้างสมดุลให้กับฮอร์โมนของร่างกายเพื่อควบคุมการผลิตน้ำมัน

ล้างหน้า :

ควรใช้เคลนเซอร์ที่ละลายน้ำและไม่ผสมสารที่ทำให้ระคายผิว เช่น สบู่ สครับ เพื่อเลี่ยงการกระตุ้นต่อมไขมัน ลดการอักเสบของผิว และความแห้งกร้าน

ส่วนเคลนเซอร์ที่ผสมสารขัดลอกเซลล์ผิว สารยับยั้งเชื้อแบคทีเรียหรือดูดซับน้ำมันส่วนเกินจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ เนื่องจากก่อนที่สารเหล่านี้จะออกฤทธิ์คุณก็ล้างออกเสียแล้ว

ขจัดเซลล์ผิว :

เพราะสิวเกิดขึ้นภายในรูขุมขน และเกี่ยวข้องกับการผลิตน้ำมัน ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ที่ผสมกรดซาลิไซลิกซึ่งละลายในไขมัน จึงสามารถเข้าขัดลอกเซลล์ผิวเก่าในรูขุมขนได้อย่างอ่อนโยน

แนะนำให้ใช้ประเภทเจลหรือโลชั่นเนื้อเบาๆ ซึ่งไม่ผสมสารสร้างความหนืดหรือสารให้ความชุ่มชื่นอันจะอุดตันรูขุมขน ส่วนสครับหรือกรด AHA มักไม่ค่อยได้ผล เนื่องจากตัวช่วยขัดลอกเซลล์ผิวเฉพาะภายนอก ไม่สามารถลงลึกถึงรูขุมขนได้

ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย :

แอลกอฮอล์หรือซัลเฟอร์เป็นสารฆ่าเชื้อที่ดีแต่ทำให้ผิวแห้งและระคายจนทำให้เกิดสิวใหม่ คุณจึงควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผสมน้ำมีทีทรีหรือเบนซอยล์เพอร๊อกไซด์

ที่มีความเข้มข้นประมาณ 2.5% 5% หรือ 10% ส่วนการกินยาแอนตี้บอดี้สามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียซึ่งก่อสิวได้จริง แต่จะทำลายแบคทีเรียตัวที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกายไปด้วย

เพิ่มการสร้างเซลล์ผิว :

คุณหมออาจใช้สารจำพวกเตรตินอยน์ ดิเฟอรีนและกรดอะเซลาอิก ซึ่งช่วยให้เจริญเติบโตได้ดี จนสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างของรูขุมขน และช่วยให้การขับน้ำมันสะดวกราบรื่น

ที่พึ่งสุดท้าย :

ถ้าหากสิวยังคงอยู่ทนแม้คุณจะทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ทุกรูปแบบแล้วก็ตาม คุณก็ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพราะยังมียารับประทานอีกตัวหนึ่งซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกแล้วว่าสามารถรักษาสิวได้ผลดีเยี่ยม นั่นก็คืออัคคูเทน ซึ่งเป็นวิตามินเอปริมาณสูง

มักใช้ในกรณีที่เกิดสิวรุนแรงและยังช่วยทำให้ผิวเนียนกระชับสวยขึ้นด้วย แต่ยาตัวนี้ควรเป็นทางเลือกสุดท้ายจริงๆและต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากยานี้มีผลข้างเคียงที่ค่อนข้างรุนแรง เช่น ก่อให้เกิดความผิดปกติในการตั้งครรภ์และปัญหาทางจิต

วุฒิชัย ทองเล็ก เลขที่ 32

"เคล็ดลับสาวหน้าใส"

ลองจัดเวลาพอกหน้าโดยใช้สูตรผลไม้สัปดาห์ละหนึ่งครั้งอย่างสม่ำเสมอสักระยะหนึ่ง คุณจะรู้สึกได้ถึงความแตกต่าง

สับปะรด คั้นสับปะรดสดๆเอาแต่น้ำมาชโลมพอกทาหน้า ทิ้งไว้ 20 นาที (ยกเว้นรอบดวงตาและริมฝีปาก) เหมาะกับผู้ที่มีใบหน้ามัน อีกทั้งน้ำสับปะรดจะช่วยลดเลือนจุดด่างดำและริ้วรอยต่างๆ

แอปเปิ้ล ปั้นเนื้อแอปเปิ้ลให้ข้น หรือฝานเป็นชิ้นบางๆนำมาวางแปะให้ทั่วหน้าหรือพอกทิ้งไว้ 20 นาที (ยกเว้นรอบดวงตาและริมฝีปาก) เหมาะกับสาวผิวแห้ง เพราะแอปเปิ้ลให้ความชุ่มชื้นกับใบหน้า ผู้ที่ต้องตากแดดตากลมบ่อยๆ ควรบำรุงผิวหน้าด้วยสูตรนี้

สตรอเบอร์รี่ ปั่นสตรอเบอร์รี่ประมาณ 15-20 ลูก หรือใช้ส้อมยีให้ละเอียด แล้วนำมาพอกหน้า (ยกเว้นรอบดวงตาและริมฝีปาก) ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออกให้สะอาด ทำสัปดาห์ละครั้ง จะช่วยให้ใบหน้าชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน ผิวหน้าขาวขึ้น นวลเนียน ช่วยลดเลือนริ้วรอยและจุดด่างดำ

มะละกอสุก (ผสมแป้งข้าวโพด) คัดเมล็ดทิ้ง ปั่นหรือยีให้เละด้วยส้อม แล้วพอกหน้าทิ้งไว้ 15-20 นาที (ยกเว้นรอบดวงตาและริมฝีปาก) จะช่วยให้ผิวหน้าที่แห้งแตกเป็นขุยๆ มีความนุ่มนวลและชุ่มชื้นขึ้น

มะนาว นำเปลือกมะนาวที่บีบน้ำออกแล้ว ถูคลึงเบาๆให้ทั่วใบหน้า (ยกเว้นรอบดวงตาและริมฝีปาก) จะช่วยลดความมัน ขจัดสิวเสี้ยน และช่วยให้ใบหน้าขาวนวล

มะเขือเทศ ฝานบางๆหรือปั่นละเอียด วางให้ทั่วใบหน้าหรือพอกทิ้งไว้ 20 นาที (ยกเว้นรอบดวงตาและริมฝีปาก) จะช่วยขจัดริ้วรอยบนใบหน้า ช่วยให้ใบหน้าขาวเนียนผุดผ่อง (ทำสัปดาห์ละครั้ง)

วุฒิชัย ทองเล็ก เลขที่ 32

เกลือ...เค็ม แต่ดี

ไม่ใช่โฆษณาขายสินค้าใดๆ แต่เกร็ดสุขภาพฉบับนี้มีเคล็ดลับเพื่อความงามจากเครื ่องปรุงในครัวอย่าง "เกลือ" มาฝากหนุ่มๆ สาวๆ ผู้รักผิวพรรณ ดังนี้ค่ะ

1. ลดรอยช้ำรอบดวงตา ด้วยวิธีง่ายๆ

โดยผสมเกลือ 1 ช้อนชาในน้ำร้อน 1/2 ถ้วย ใช้ผ้าหรือสำลีชุบน้ำเกลือ ปิดตาไว้สัก 5-10 นาที รอยช้ำรอบดวงตาจะค่อยๆ จางลง

2. ลดความมันบนใบหน้า

โดยเริ่มจากใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำร้อนพอหมาดมาอังปิดหน้า ไว้สัก 3-5 นาที เพื่อช่วยเปิดรูขุมขนก่อน แล้วจึงค่อยใช้เกลือ 1 ช้อนชา ผสมน้ำ ใส่ขวดสเปรย์ฉีดพ่นน้ำผสมเกลือให้ทั่วใบหน้า จากนั้นก็ใช้ผ้าขนหนูเช็ดหน้าให้แห้ง

3. เพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวพรรณ

โดยใช้เกลือ 1/2 ถ้วยผสมลงในอ่างอาบน้ำ แช่ตัวประมาณ 15-20 นาที จากนั้นเช็ดตัวให้แห้ง แล้วทาโลชั่นให้ทั่วร่างกาย เกลือจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้นยิ่งขึ้น

4. ขัดผิวให้สวยใส

โดยใช้เกลือผงถูตัว แล้วใช้ฟองน้ำหรือผ้าขนหนูขัดตัวให้ทั่ว จะช่วยให้เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วหลุดออกมา ขณะเดียวกันก็กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในร่างกายด้ วย

5. ผ่อนคลายอาการเมื่อยล้าที่เท้า

โดยผสมเกลือประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะลงในน้ำอุ่น แล้วแช่เท้าทั้งสองข้าง ช่วยให้รู้สึกคลายความเมื่อยล้าได้

แล้วต่อไปหากคุณจะมีขวด "เกลือ" สักขวดไว้บนโต๊ะเครื่องแป้งคงไม่ผิดแล้วล่ะค่ะ

วุฒิชัย ทองเล็ก เลขที่ 32

"อาหารที่กิน แล้วช่วยให้อารมณ์ดี"

1. แซลมอน เพราะว่าเต็มไปด้วยโอเมก้าสาม และวิตามินดี มีประโยชน์สุดๆ

2. ผักขม เป็นป๊อปอายกันเหอะ เค้าว่ากันว่ามันเต็มไปด้วยไฟเบอร์ กินแล้วจะทำให้ร่างกายย่อยได้ดี

และทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกตินะ

3. นม แน่นอน ไม่มีอะไรจะดีกว่านมอุ่นๆ สักแก้ว ในยามเครียด ลองดื่มนมก่อนนอนนะ

รับรองว่าหลับสบาย แถมได้วิตามินดี และบี 12 ด้วย

4. ใบปอ โห ได้ยินแล้วออกจะงงนะ ไม่น่าเชื่อเลย ใบปอที่กินกับข้าวต้มเนี่ย

เค้าว่ากันว่าได้ทั้งไฟเบอร์ โอเมก้า 3 ไขมัน แล้วก็โฟลิค แอซิดด้วย

5. แบล็คเบอร์รี่ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่นี้ดีจริงๆ มีทั้งไฟเบอร์ โฟลิค แอซิด และสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย

6. ไข่ แน่นอนว่าไข่เนี่ย ดีจริงๆ มีวิตามินมากมาย ครบถ้วนเลยทีเดียว

7. ซาร์ดีน ปลาซาร์ดีนเค้าว่ากันว่ามีสารอาหารเยอะมาก กินแล้วได้อะไรเยอะ

ทั้งวิตามินดี แล้วก็โอเมก้าสามด้วย

8. ถั่วเหลือง นี่แหละดีจริงๆ พืชตระกูลถั่วเนี่ย กินแทนโปรตีนได้ ไม่อ้วน และรสดีด้วย

9. เมล็ดทานตะวัน อันนี้ นอกจากกินแล้วได้ประโยชน์แล้ว ยังกินง่าย สนุกด้วยนะ

วุฒิชัย ทองเล็ก เลขที่ 32

มาทำความรู้จักกับ “วิตามินซี” กับบทบาทสำคัญ ...

คุณสมบัติที่โดดเด่นของวิตามินซี ก็คือ ความเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) นั่นเอง โดยประโยชน์หลักๆ เมื่อร่างกายได้รับวิตามินซีเป็นประจำ คือ เพิ่มภูมิต้านทานแก่ร่างกาย ป้องกันการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง บำรุงผิวพรรณหรือชะลอความแก่ ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันหรือเหงือกอักเสบ

ในทางกลับกัน หากร่างกายเราขาด “วิตามินซี” หรือมีปริมาณวิตามินซีน้อยเกินไป อาจส่งผลทำให้เกิดอาหารเหล่านี้ได้

- เป็นหวัดง่าย ภูมิต้านทานโรคและความสามารถในการกำจัดพิษลดลง

- ผิวหนังขาดความยืดหยุ่น เกิดจุดด่างดำ ฝ้า มีเลือดออกตามไรฟัน

- อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง ประสาทสัมผัสด้อยลง

- มีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะ ตับ และส่วนอื่นๆ

- ประสิทธิภาพของต่อมหมวกไตลดลง เป็นภูมิแพ้ได้ง่าย

- เป็นโรคโลหิตจาง หรือโรคต่างๆ ง่าย บาดแผลหายยาก หากขาดมากจะเป็นโรค โลหิตเป็นพิษ

- เกิดโรคลักปิดลักเปิด

สำหรับผู้ที่กำลังกลุ้มใจ เพราะไม่รู้ว่าจะหาวิตามินซีมาทานได้จากที่ไหน ... อยากจะบอกว่า ความจริงแล้วแหล่งของวิตามินซี เราสามารถหาได้จาก อาหารที่มีอยู่ในธรรมชาติทั่วไป แต่แหล่งที่มีมาก คือ ผักสดและผลไม้ต่างๆ โดยเทียบง่ายๆ จากประเภทของอาหาร (100 กรัม) และวิตามินซี (มิลลิกรัม)

ดังนี้ มะขามป้อม 276, ฝรั่ง 160, พุทรา 154, มะขามเทศ 133, มะปรางสุก 107, มะละกอสุก 73,แคนตาลูป 33, มะนาว 25 และมะยม 8

อย่างไรก็ตาม พึงตระหนักไว้ว่า “วิตามินซี” เป็นวิตามินที่มีความสำคัญเช่นเดียวกับวิตามินอื่นๆ และร่างกายไม่สามารถผลิตขึ้นได้เอง ดังนั้น ทุกคนจึงควรบริโภควิตามินซี แต่จะมากหรือน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับความต้องของแต่ละบุคคล

วุฒิชัย ทองเล็ก เลขที่ 32

ผิวสาวถ้าจะให้ดูมีชีวิตชีวา ต้องขาวแบบมีเลือดฝาดไม่ใช่ขาวซีดเหมือนกระดาษ

ยิ่งหน้าหนาวผิวสาวโดนลมหนาวพัดผ่านละเลียดผิว... ถ้าสาว ๆ คนไหนมีผิวแก้มเนียนชมพูใสมีเลือดฝาดระเรื่อ ก็ย่อมมีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะแลดูเป็นสาวน่ารักเปล่งปลั่งและสุขภาพดี

มีเคล็ดลับดี ๆ มาฝาก ให้คุณสาว ๆ ได้เป็นเจ้าของผิวหน้าสวยใสอมชมพูค่ะ

สดใสมีเลือดฝาดด้วยเบียร์สด...

ให้คุณสาว ๆ นำเบียร์สด 1/2 ถ้วยเล็ก น้ำผึ้งแท้ 2 ช้อนโต๊ะ และไข่ไก่ 1 ฟอง

นำส่วนผสมทั้งหมดมาปั่นให้เป็นเนื้อครีมละเอียดเนียน แล้วนำเนื้อครีมเบียร์สดนี้มาพอกหน้าที่สะอาด พอกทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดหรือใช้โฟมล้างหรือสบู่อ่อน ๆ ก็ได้ค่ะ

วุฒิชัย ทองเล็ก เลขที่ 32

อย่าอาบน้ำร้อนที่ร้อนจัดเกินไป

การอาบน้ำร้อนในหน้าหนาวควรปรับอุณหภูมิให้อยู่ในระดับต่ำๆ อย่าให้ร้อนจัดเกินไป เพราะช่วงหน้าหนาวผิวจะแห้งกว่าปกติ ถ้าอาบน้ำร้อนเกินไป ผิวหนังก็จะแห้งมาก อาจทำให้ผิวแตกลอกเป็นขุยและเกิดอาการคันได้

อย่าถูสบู่มากเกินไป

การอาบน้ำในช่วงหน้านี้ไม่ควรถูสบู่มากเกินไป ควรถูเฉพาะบริเวณแขน รักแร้ ขาหนีบ ซอกพับ และหลัง เพราะสบู่จะทำให้ผิวหนังแห้งมากขึ้น และจะเกิดอาการคันได้ง่าย สบู่ที่เหมาะควรเป็นสบู่ที่มีค่า ph ประมาณ 5 เพราะจะไม่ทำให้ผิวหนังแห้งมากจนเกินไป อาจจะเป็นสบู่เด็กหรือสบู่เหลวก็ได้

อย่าอาบน้ำนานเกินไป

สำหรับผู้ที่ชอบการอาบน้ำนานๆ หรือนอนแช่ในอ่างนานๆ แม้จะเป็นการแช่ในอ่างน้ำอุ่นก็ตาม เพราะการอาบน้ำนานเกินไปจะทำให้ผิวหนังแห้งมากขึ้น ควรจะใช้เวลาอาบน้ำไม่เกิน 10 นาที

ทาครีมบำรุงทุกครั้งหลังอาบน้ำ

เพื่อช่วยลดอาการแห้งของผิวหนัง ทำให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้น และจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการคันและอาการอักเสบของผิวหนังได้อีกด้วยเพียงเท่านี้คุณจะมีผิวสวยๆ ไว้ไปอวดเพื่อนๆ ให้อิจฉาในหน้าหนาว

วุฒิชัย ทองเล็ก เลขที่ 32

ถ้าพูดถึงมะพร้าว สาวๆ จอมไดเอ็ทคงจะต้องร้องยี้ เพราะดันนึกไปถึงความมันๆ ของเจ้ากะทิกันแน่ๆ ใช่มั้ยคะ อ๊ะๆ แต่ขอบอกว่าอย่าเพิ่งเหมารวมไปซะหมด เพราะในมะพร้าวยังมีสิ่งดีๆ ที่มีประโยชน์สุดๆ ซ่อนอยู่ นั่นก็คือ ‘น้ำมะพร้าว’ ยังไงล่ะ เลยขอนำประโยชน์ของน้ำมะพร้าวมาฝากกันสักหน่อย เผื่อครั้งหน้าจะสั่งน้ำผลไม้มาดื่มชิลๆ จะได้ไม่มองข้ามเจ้าน้ำวิเศษนี้ไปไงล่ะ

+ อุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด

น้ำมะพร้าวถือเป็นเครื่องดื่มเกลือแร่จากธรรมชาติ (Natural Mineral Drink) เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์ และวิตามินบี แถมยังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้เป็นพลังงานได้ทันทีอีกด้วย

+ ชะลออาการอัลไซเมอร์

คงคิดไม่ถึงละสิว่าการดื่มน้ำมะพร้าวทุกวันจะช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์ได้ จากผลงานวิจัยของ ดร.นิซาอูดะห์ ระเด่นอาหมัด อาจารย์ประจำภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พบว่า ในน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจนสูง ซึ่งมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง นอกจากนี้ การดื่ม น้ำมะพร้าวเป็นประจำทุกวันยังสามารถช่วยสมานแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้นกว่าปกติ และไม่ทิ้งรอยแผลเป็นให้กวนใจอีกด้วยค่ะ

+ ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง

การปรนนิบัติผิวสวยด้วยการดื่มน้ำมะพร้าวถือเป็นจุดเด่นที่ไม่ควรมองข้าม เพราะน้ำมะพร้าวสามารถช่วยเสริมสร้างความสวยใสของผิวพรรณ ทำให้เปล่งปลั่งและขาวนวลขึ้นจากภายในสู่ภายนอก เพราะในน้ำมะพร้าวมีเอสโตรเจนอยู่ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัยได้ค่ะ ไม่เพียงเท่านี้นะคะ ในน้ำมะพร้าวยังสามารถกระตุ้นการเจริญเติบโตและแบ่งเซลล์ได้ดี แถมยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ขับของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกาย (คล้ายๆ กับการดีท็อกซ์นั่นแหละ) จึงช่วยให้ผิวพรรณผ่องใส อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำมะพร้าวยังช่วยปรับสมดุลของร่างกายในช่วงที่มีความเป็นกรดสูง ทำให้กลไกการทำงานของระบบภายในเป็นปกติ ส่งผลให้มีสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอก

+ สปอร์ตดริ๊งค์จากธรรมชาติ

เนื่องจากน้ำมะพร้าวมีปริมาณเกลือแร่ที่จำเป็นสูง รวมทั้งมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาความอ่อนเพลียเนื่องจากอาการท้องเสียหรือท้องร่วงได้ จึงจัดเป็นสปอร์ตดริ๊งค์ (Sport Drink) สามารถดื่มหลังการสูญเสียเหงื่อจากการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกาย นอกจากนี้ ในประเทศไต้หวันและประเทศจีน ยังนิยมดื่มน้ำมะพร้าวเพื่อลดอาการเมาหลังการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อีกด้วย

วุฒิชัย ทองเล็ก เลขที่ 32

ผลไม้ล้างพิษ

ในปัจจุบันมีหลายปัจจัยที่ทำให้เราต้องเลือกรับประทาน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้าสู่ร่างกายแล้วย่อมมีผลตามมาทั้งสิ้น อาหารชนิดเดียวกันบางครั้งก็มีทั้งคุณทั้งโทษ และวันนี้เราจะมาแนะนำผลไม้ซึ่งสามารถหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดและที่สำคัญยังสามารถล้างพิษในร่างกายเราได้อีกด้วยนะคะ

แอปเปิ้ล : เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดสำหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกาย สารเปกตินในแอปเปิ้ลจะช่วยนำสารพิษไปกำจัดทิ้ง ทั้งยังป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้เกิดการบูดเน่า

แอปเปิ้ลยังมีเส้นใยมากจะทำหน้าที่เป็นไม้กวาด ทำความสะอาดลำไส้ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น กระตุ้นน้ำย่อย นอกจากนี้ยังมีวิตามินและเกลือแร่ และยังเหมาะกับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักอีกด้วยค่ะ

องุ่น : เป็นสารฟอกล้างสำหรับผิวหนัง ตับ ลำไส้และไตโดยเฉพาะ เนื่องจากองุ่นมีคุณสมบัติรักษาน้ำมูกที่จะออกมาจากเยื่อเมือกต่างๆในร่างกาย องุ่นยังให้พลังงานสูงและนำไปใช้ได้ง่าย เกลือแร่อุดม ดังนั้นจึงช่วยบำรุงเลือดและซ่อมสร้างเซลล์ในร่างกาย

สับปะรด : มีเอนไซม์โปรเมลินสูง เอนไซม์ตัวนี้จะช่วยการทำงานของกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะ และช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น

เชื่อกันว่าสับปะรดช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหาร ช่วยในการซ่อมแซมส่วนต่างๆที่สึกหรอ ช่วยการทำงานของต่อมไร้ท่อและช่วยกำจัดน้ำมูก

มะละกอ มะม่วง แตงโม : มีลักษณะคล้ายคลึงกันแต่มะม่วงมีสารสำคัญน้อยกว่ามะละกอเล็กน้อย ผลไม้ทั้งสองชนิดมีเอนไซม์ชื่อปาเปน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหาร

ดังนั้นมันจึงช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้นเช่นเดียวกับโปรเมลิน ทั้งมะละกอและมะม่วงดีสำหรับทำความสะอาดลำไส้และช่วยย่อยอาหาร เชื่อกันว่ามะละกอยังช่วยลดอาการซึมเศร้าได้อีกด้วย แตงโมมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ

ดังนั้นจึงช่วยฟอกล้างร่างกายได้เป็นอย่างดี ใช้รักษาแผลในกระเพาะ ลดความดันเลือดสูง ทำให้สบายท้อง น้ำคั้นจากเปลือกของแตงโมและเมล็ด หากดื่มก่อนกินเนื้อแตงโมในมื้ออาหารสักครึ่งชั่วโมง จะทำให้ได้ประโยชน์สูงสุด เนื่องจากเปลือกของแตงโมอุดมด้วยคลอโรฟิลล์และเมล็ดอุดมด้วยวิตามิน

ผลไม้มีประโยชน์ มากคุณค่า แถมทำให้เราไม่อ้วนด้วย อย่างนี้น่าจะลองหาผลไม้ติดบ้านไว้ แทนขนมขบเคี้ยว หรือขนมหวานก็จะดีไม่น้อยเลยนะคะ

วุฒิชัย ทองเล็ก เลขที่ 32

ใครที่ชอบทานผลไม้ ทราบหรือไม่ว่าควรทานตอนไหนบ้าง วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...

- ผลไม้นั้นควรกินในขณะท้องว่าง ไม่ใช่เป็นของหวาน หลังอาหารอย่างที่กินกันประจำ ถ้ากินผลไม้ในขณะท้องว่าง มันจะช่วยเรา ในการล้างพิษจากร่างกาย ให้พลังงานสำหรับช่วงลดน้ำหนัก และกิจกรรมอื่นในชีวิตประจำวัน

- ถ้ากินขนมปังแล้วตามด้วยผลไม้ ถ้าทำอย่างนี้ขอให้เปลี่ยนพฤติกรรม เนื่องจากผลไม้ย่อยได้เร็วกว่าขนมปัง ชิ้นผลไม้จะถูกย่อยอย่างรวดเร็ว และพร้อมที่ผ่านกระเพาะไปสู่ลำไส้ แต่เส้นทางของมันถูกขวางไว้โดยขนมปัง ซึ่งใช้เวลาย่อยนานกว่า

รู้อย่างนี้แล้ว ควรกินผลไม้ขณะท้องว่างจะดีที่สุด.

น.ส.กิตติยา จำปาคำ ม.ฟาร์อีส เลขที่ 5

การดื่มน้ำเมื่อท้องว่าง

การดื่มน้ำเมื่อท้องว่างผ่านกระเพาะอาหาร เพื่อรักษาสุขภาพที่ดี ในประเทศญี่ปุ่นทุกวันนี้ เป็นที่นิยมดื่มน้ำทันที หลังจากตื่นนอนตอนเช้า (ก่อนแปรงฟัน) เพื่อการรักษาสุขภาพที่ดี มีการทดรองทางวิทยาศาสตร์ พบว่าน้ำสามารถใช้ชะลอความแก่ และสามารถบำบัดรักษาโรคเหล่านี้ได้ผล 100% (แบบค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้ระยะเวลา) ปวดหัว ปวดตามตัว โรคระบบหัวใจ โรคไขข้ออักเสบ โรคหัวใจเต้นเร็ว โรคลมบ้าหมู โรคอ้วน โรคหลอดลมอักเสบ โรคหืด วัณโรค อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ โรคไตและยูริก โรคแสลงคลื่นไส้ต่างๆ โรคกระเพาะ โรคท้องร่วง โรคริดสีดวงทวาร โรคเบาหวาน โรคอาการท้องผูก โรคตา โรคภายในสตรี มะเร็ง รอบเดือนไม่ปกติ โรคคอ หู จมูก

วิธีการปฏิบัติ

1. ตื่นนอนตอนเช้า ก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำ 4 แก้ว ( 640 ซีซี )

2. หลังจากนั้นสามารถและล้างหน้าอาบน้ำได้ แต่ต้องไม่ดื่ม หรือรับประทานอะไร จนกว่า 45 นาทีผ่านไป จึงจะรับประทานได้ตามปกติ

3. หลังรับประทานอาหารเช้า กลางวัน เย็น ไปแล้ว 15 นาที ไม่ควรดื่มน้ำหรือรับประทานอะไร จนกว่า 2 ชั่วโมงผ่านไป

4. ผู้ป่วย หรือคนชรา ที่ไม่สามารถดื่มน้ำ 4 แก้ว ก็ให้ค่อยๆ ดื่ม ค่อยเป็นค่อยไปเรื่อยๆ จนได้ครบ 4 แก้ว

ข้อปฏิบัติ 4 ข้อดังกล่าว จะช่วยบำบัดรักษาโรคที่เป็นอยู่ค่อยๆเบาและหายขาดได้ในที่สุด ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น และไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่อาจปัสสาวะบ่อยขึ้น แลหลังดื่มน้ำไปแล้วประมาณ 1-2 ชั่วโมง จะปวดปัสสาวะ

จากสถิติข้อมูลโรคที่บำบัดรักษา ทำให้หายได้ภายในเวลา ดังนี้

1. โรคความดันโลหิตสูง 30 วัน

2. โรคกระเพาะ 10 วัน

3. โรคเบาหวาน 30 วัน

4. โรคท้องผูก 10 วัน

5. โรคมะเร็ง 180 วัน

6. โรควัณโรค 90 วัน

7. โรคไขข้ออักเสบจะเห็นผลภายใน 3 วัน

น.ส.กิตติยา จำปาคำ ม.ฟาร์อีส เลขที่ 5

ดื่มน้ำเย็นจัดลดขีดความสามารถสมอง

วารสารนิวไซเอินทิสต์ ได้ตีพิมพ์ผลงานวิจัยของทีมนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยบริสตอลในอังกฤษ พบว่า คนที่ดื่มน้ำเย็นจัดในยามที่ร่างกายไม่ได้เกิดความรู้สึกกระหายน้ำนั้น จะทำให้ขีดความสามารถในการทำงานของสมองลดลงไปทันที

โดยน้ำเย็นจัดเพียงแค่แก้วเดียวก็มากพอที่จะทำให้สมรรถภาพทางจิตใจของบางคนลดลงไปถึง 15% โดย ดร.ปิเตอร์ โรเจอร์ นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยบริสตอลและทีมงาน ได้ทดสอบผลกระทบของน้ำต่อกลุ่มอาสาสมัครจำนวน 60 คน ก่อนการทดสอบนั้น กลุ่มอาสาสมัครส่วนหนึ่งไม่ดื่มน้ำอะไรเลย และอีกส่วนหนึ่งดื่มน้ำก๊อก แช่เย็นจัดที่อุณหภูมิ 10 องศาเซลเซียส ในปริมาณ 1 แก้ว หรือ 300 มิลิลิตร

ปรากฏว่าคนที่หิวกระหายน้ำก่อนการทดสอบและดื่มน้ำเข้าไป สามารถทำแบบทดสอบได้ดีกว่าคนที่ไม่ได้ดื่มอะไรประมาณ 10% ส่วนกลุ่มที่ไม่รู้สึกกระหายน้ำ แต่ดื่มน้ำเย็นจัดปรากฏว่าขีดความสามารถ ในการทำแบบทดลองลดลงไปถึง 15%

สรุปว่า การดื่มน้ำเย็นจัดมากเกินไปจะมีผลกระทบต่อขีดความสามารถในการขับรถ หรือทำงานที่ต้องใช้สมอง หรือความคิดมาก ๆ โดยอุณหภูมิของน้ำดื่มอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อสมอง

นส.สุภาพร สิงห์วิเศษ (FEU)

6 วิธีเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน

ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกายบอกว่า ยุทธวิธีที่เราจะใช้ต่อสู้กับไขมันส่วนเกินในร่างกาย มีอยู่ 3 ข้อใหญ่ๆ คือ 1. ลดปริมาณอาหาร 2. เพิ่มการออกกำลังกาย 3. เพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงาน

และต่อไปนี้ คือเทคนิค 6 ประการที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเผาผลาญพลังงานหรือไขมันส่วนเกินในร่างกาย

1.เพิ่มการเล่นแบบ Interval ให้กับการเล่นแบบ Cardio :

เพราะการเล่นเป็นจังหวะ (Interval Training) จะช่วยให้เกิดการเผาผลาญพลังงานได้มากกว่าการเล่นแบบคงที่ (Steady-state Training) ในระยะเวลาที่เท่ากัน คุณสามารถเล่นได้หนักขึ้น ออกกำลังกายได้เพิ่มขึ้น และเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้นด้วย

การใช้เทคนิคนี้ก็ไม่ยาก หากโปรแกรม Cardio ของคุณคือการจ๊อกกิ้ง ก็ให้เพิ่มการวิ่งเร็ว (Sprint) เข้าไปสัก 1 นาที แล้วกลับมาจ๊อกกิ้งอีกระยะ และวิ่งเร็วขึ้นอีก 1 นาที หรือหากโปรแกรม Cardio ของคุณคือการเดินเร็ว ก็ให้เพิ่มการจ๊อกกิ้งเข้าไป เดินเร็วๆ 1 นาที จ๊อกกิ้งอีก 1 นาที กลับมาเดินเร็วแล้วกลับไปจ๊อกกิ้งอีก วนไปเรื่อยๆ จนจบโปรแกรม วิธีนี้จะช่วยได้มากทีเดียว

2. เพิ่มน้ำหนักในการเล่นเวท 5 – 10 % :

การปรับเปลี่ยนน้ำหนักที่เล่น จะทำให้ร่างกายพบกับภาวะที่ไม่ได้คาดเดาไว้ก่อน การเพิ่มน้ำหนักเวทที่ใช้อีก 5 -10% นอกจากจะช่วยในการเผาผลาญพลังงาน ยังช่วยให้คุณมีความมุ่งมั่น มีเป้าหมายที่ไม่หยุดนิ่ง และสนุกกับเป้าหมายใหม่ๆ ในแต่ละครั้ง

3. เล่น Cardio ให้หลากหลาย :

เพราะการเล่น Cardio เพียงอย่างเดียว ร่างกายจะใช้กล้ามเนื้ออยู่ลักษณะเดียว ในรูปแบบเดิมๆ เช่นวิ่งลู่วิ่งอย่างเดียว ก็จะใช้กล้ามเนื้อในรูปแบบที่การวิ่งลู่วิ่งใช้เท่านั้น หากเพิ่มการปั่นจักรยาน การเล่น Step หรือเครื่อง Ski เข้าไปบ้าง ก็จะเพิ่มการใช้งานกล้ามเนื้อในกลุ่มอื่นๆ จุดอื่นๆ ให้หลากหลาย และยังเพิ่มการเผาผลาญพลังงานได้อีกด้วย

4. หลีกเลี่ยงการพักนานกว่า 1 วัน :

แม้จะเป็นเรื่องถูกต้อง ที่เราควรพักร่างกายบ้าง หลังจากออกกำลังกายมาแล้ว 3-4 วัน แต่การพักนั้นไม่ควรนานเกินไป ถ้าให้ดีก็ไม่ควรเกิน 1 วัน เพราะถ้าพักติดต่อกันนานเกินไป อัตราการเผาผลาญพลังงานจะลดลง เพื่อรักษาอัตราการเผาผลาญพลังงาน และการฟื้นตัวของกล้ามเนื้อให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด การออกกำลังกาย 3 วัน พัก 1 วัน เป็นระยะเวลาที่นิยมใช้โดยทั่วไป

5. แบ่งการเล่นเวทเป็นสองช่วง :

ถ้าเป็นวันที่มีเวลาเหลือเฟือ แทนที่จะเล่นรวดเดียว ชั่วโมงครึ่งถึงสองชั่วโมง ให้แบ่งการเล่นออกเป็น 2 ช่วงๆ ละ 45-60 นาที เช้ารอบหนึ่ง เย็นรอบหนึ่ง จะช่วยกระตุ้นอัตราการเผาผลาญพลังงานได้ถึงสองรอบต่อวัน แทนที่จะเกิดการกระตุ้นเพียงครั้งเดียว อีกทั้งการเล่นรอบเดียวยาวๆ ในช่วงท้ายมักไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ เนื่องจากร่างกายอ่อนล้ามากแล้ว การแบ่งการเล่นเป็นสองช่วง จะช่วยฟื้นร่างกาย และช่วยให้การเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นด้วย

6. กินอาหารเผ็ดร้อนบ้าง :

อาหารเผ็ดร้อนช่วยกระตุ้นอัตราการเผาผลาญพลังงานได้จริง แต่ต้องระวังปริมาณที่กินด้วย เพราะบางคนแทนที่จะกินได้น้อย เวลาเจออาหารเผ็ดกลับกินได้มากขึ้น ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นเทคนิคนี้ก็ไม่ควรใช้

นส.สุภาพร สิงห์วิเศษ (FEU)

ฟิตหุ่นหลากวิธี เพื่อรูปร่างดีและดูอ่อนวัย

1. ลุกขึ้นมาวิ่ง

เป็นการออกกำลัง ที่ช่วยให้ขาและน่องแข็งแรงได้รูปส่วน โดยเฉพาะสาวน่องทู่ หรือต้นขาโต เต็มไปด้วยเซลลูไลต์ล่ะก็เหมาะมาก เพราะการวิ่งเป็นวิธีที่ช่วยรีดไขมันได้ดีทีเดียว นอกจากนี้ในขณะที่วิ่งหากมีแกว่งแขนไปด้วย จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อหน้าอกไปในตัวใครที่พะวงว่า วิ่งแล้วจะทำให้เต้าคล้อย หย่อนยาน ก็เลิกกังวลได้แล้ว ข้อดีของการวิ่งอีกอย่าง ก็คือ ช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนและเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกระดูกค่ะ

คำแนะนำสำหรับนักวิ่งมือใหม่ : เริ่มต้นวิ่งครั้งแรก ไม่ควรหักโหม อาจเริ่มต้นที่ระยะทาง 100 เมตรก่อน แล้วจึงค่อย ๆ เพิ่มขึ้น

2. ลงน้ำ

การว่ายน้ำ และการแอโรบิคในน้ำ ไม่เพียงเป็นการออกกำลังกาย ที่ช่วยกระชับกล้ามเนื้อได้ทุกส่วน และทำให้รู้สึกผ่อนคลายแล้ว น้ำยังช่วยโอบอุ้มให้เกิดความละมุนละไมต่อผิวได้มากกว่าการออกกำลังชนิดอื่น ส่วนการเลือกว่ายท่าไหน ก็แล้วแต่ความชอบ และความถนัดค่ะ เพราะแต่ละท่าก็มีข้อดีไปคนละอย่าง

ท่ากบ ช่วยกระชับกล้ามเนื้อหน้าอก ต้นแขน และต้นขาด้านใน

ท่าผีเสื้อ ช่วยบริหารไหล่

ท่าฟรีสไตล์ ช่วยบริหารกล้ามเนื้อขา

แต่ข้อเสียของการว่ายน้ำ ก็คือ ไม่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกได้ดีเท่ากับการวิ่ง หรือ การกระโดด

3. เดิน เดิน เดิน

การเดินเล่น เดินไปเดินมา เดินขึ้นลงบันได ก็เป็นการออกกำลังกายได้เช่นกัน แต่หากได้เดินท่ามกลางธรรมชาติ อากาศที่สดชื่น ก็ย่อมช่วยสร้างความสบายกาย สบายใจได้มากขึ้น การเดินนั้น เป็นการออกกำลังกายที่ทำได้ง่าย แต่ได้ผลไม่น้อยทีเดียวนอกจาก จะช่วยบริหารปอดและหัวใจให้แข็งแรงแล้ว การเดินยังช่วยกระชับกล้ามเนื้อและลดไขมันต้นขาอีกด้วย

คำแนะนำสำหรับมือใหม่ : เรื่มต้นแค่ 15 นาที เดินให้ได้ระยะทาง 1.5 กิโลเมตร แล้วจึงค่อย ๆ เพิ่มเวลาขึ้น สัปดาห์ละ 15 นาที จนสามารถเดินได้ 45 นาทีในสัปดาห์ที่ 3 ได้ระยะทาง 5 กิโลเมตร สำหรับคนที่ไม่มีเวลานัก แค่คุณเดินมากหน่อย(ไม่กี่ป้ายรถเมล์เอง) หรือเดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟท์ในชีวิตประจำวันของคุณเท่านั้น ก็สามารถช่วยบริหารหัวใจ และทำให้ขาสวยได้แล้วค่ะ

4. กระโดดเชือก

เป็นท่าบริหารง่าย ๆ ที่ใช้แค่ห้องที่กว้างพอจะไม่กระโดดไปโดนเฟอร์นิเจอร์ แต่เป็นวิธีออกกำลังที่ให้ประโยชน์ไม่น้อยเลย เพราะนอกจากจะช่วยกระชับกล้ามเนื้อต้นขาและสะโพกแล้ว ยังช่วยกำจัดน้ำหนัก ส่วนเกินได้ (กระโดด 25 นาที เผาผลาญแคลอรี่ได้ 350 แคลอรี่) นอกจากนี้ การออกกำลังด้วยการกระโดด ยังเป็นวิธีเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกระดูกที่ได้ผลดี ทำให้คุณห่างไกลจากโรคกระดูกผุบางในยามแก่ตัว

5. ปั่นจักรยาน

จะปั่นบนเนิน ขึ้นเขา หรือบนสนามหญ้า ก็ดีทั้งนั้นค่ะ เหมาะมากสำหรับคนที่ต้องการลดบั้นท้าย และต้นขา

6. โยคะ...ยิ่งฝึกยิ่งอ่อนวัย

โยคะ เป็นการออกกำลังกายที่นุ่มนวล และยืดหยุ่น โยคะไม่เพียงทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย แต่ยังทำให้ดูอ่อนวัย ผิวพรรณสดใส สบายทั้งกายและใจ และยังช่วยบำบัดอาการเจ็บป่วยได้ด้วย เช่น อาการปวดหลัง นอนไม่หลับ และบรรเทาอาการปวดประจำเดือน

หากได้ผสมผสานการออกกำลังกายหลายรูปแบบ นอกจากจะทำให้เพลิดเพลิน ไม่เบื่อแล้ว ยังดีต่อกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายอีกด้วย และคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ จะทำให้ผิวพรรณสดใส ดูอ่อนวัยอยู่เสมอด้วยค่ะ

นงนุช คำแปง เลขที่ 77 วิทย์ออก

สวัสดีค่ะวันนี้จะมาเสนอเรื่องเกี่ยวกับผิวใครอยากมีผิวสวยก็เชิญอ่านเลยนะค่ะ

ผิวสวยไร้เซลลูไลต์กับ 7 ขั้นตอนง่ายๆ ที่คุณทำเองได้

ในหนึ่งวัน ตั้งแต่เช้าจรดเย็น เราต้องเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นมากมาย ไม่ต่างอะไรกับผิวที่ต้องผจญกับเรื่องราวและสิ่งแวดล้อมรอบตัวพร้อมไปกับการมีอายุที่มากขึ้น ด้วยเหตุนานาประการ ร่างกายและผิวของเรา

จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเกินคาด

สาวๆส่วนใหญ่มักมีปัญหาหนักใจกับรูปร่างที่ไม่ได้สัดส่วนและเซลลูไลต์ที่ทำให้ผิวของสาวๆ ไม่กระชับ ไม่เรียบเนียน ทำให้สาวๆหลายคนสูญเสียความมั่นใจ ไม่กล้าใส่กระโปรงโชว์เรียวขาสวย

หลายปีที่ผ่านมาจึงมีการคิดค้นวิธีการนวดด้วยวิธีแบบใหม่ๆ เพื่อสาวๆที่หันมาดูแลผิวพรรณและรูปร่างตัวเองอย่างถูกวิธี

ถึงวันนี้เราจึงคิดค้นวิธีการนวดตัว อย่างง่ายๆ สามารถทำเองได้ที่บ้านเพื่อช่วยขจัดเซลลูไลต์ สิ่งที่คุณสาวๆ ไม่พึงปรารถนา

>>>>>>เริ่มจากนวด และกด ตั้งแต่บริเวณหัวเข่าจนถึงบริเวณต้นขาอย่างรวดเร็วโดยใช้ฝ่ามือนวดเป็นทางยาว ตั้งแต่ต้นขาไล่กดลงมาถึงหัวเข่า

>>>>>>จากนั้นใช้นิ้วมือ และฝ่ามือนวดเป็นวงกลม และกดด้วยนิ้วโป้ง ตั้งแต่หัวเข่า ไล่ไปจนถึงต้นขา โดยเน้นที่บริเวณหัวเข่า

ถ้ามีความรู้สึกเมื่อยล้า จะช่วยให้ผ่อนคลาย

>>>>>>และใช้ฝ่ามือถูบริเวณหน้าท้องเป็นวงกลมตามเข็มนาฬิกา และลูบบริเวณเดียวกัน ด้วยน้ำหนักมือที่คงที่ โดยให้ฝ่ามือจนถึงข้อมือสัมผัสกับผิวหนังบริเวณหน้าท้อง

>>>>>>กางมือทั้ง 2 ข้างให้หัวนิ้วโป้งติดกันและนวดออกทางด้านข้างลำตัวนวดลักษณะเดียวกับการนวดต้นขาด้านหน้า

โดยใช้อุ้งมือนวดไล่ขึ้นไปตามทิศทางที่ต้องการ

>>>>>>วางฝ่ามือให้ขนานกันและนวดขึ้นไปถึงบริเวณต้นขาด้านหลังและด้านข้างของต้นขาให้นวดเป็นลักษณะวงกลมและใช้ฝ่ามือกด พร้อมนวดเบาๆบริเวณสะโพก

>>>>>>ใช้ฝ่ามือโกยเนื้อด้านข้างสะโพกแต่ละข้างและนวดในลักษณะเดียวกับการนวดบริเวณหน้าท้อง

>>>>>>ใช้ฝ่ามือนวดเป็นวงกลม และใช้มือทั้ง 2 ข้างกดบริเวณเอวด้านข้างเป็นขั้นตอนสุดท้าย

นางสาว ฐิติรัตน์ ใจดี เลขที่ 74 sec 02 วิทย์ออก

* นมเปรี้ยวไม่ทำให้ผอม *

นมเปรี้ยวกำลังเป็นที่นิยมดื่มในหมู่สาวๆ ที่กลัวอ้วน อยากลดน้ำหนัก ทั้งพ่อแม่ก็นิยมซื้อให้ลูกดื่มด้วยเข้าใจว่ามีประโยชน์เหมือนดื่มนมสด แถมยังเข้าใจว่าดื่มแล้วไม่อ้วนอีกด้วย ซึ่งก็เป็นผลจากภาพโฆษณาที่ใช้นางแบบรูปร่างผอมบาง จึงชวนให้เชื่อว่าดื่มแล้วผอมเหมือนนางแบบ

นมเปรี้ยวเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการนำนม มาหมักด้วยจุลินทรีย์ที่ไม่ทำให้เกิดโรค จุลินทรีย์จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น และทำปฏิกิริยากับน้ำตาลแลคโตส ซึ่งเป็นน้ำตาลธรรมชาติในน้ำนม เกิดกรดแลคติคที่มีรสเปรี้ยว ได้นมที่มีลักษณะเป็นครีมข้นๆ เรียกว่า โยเกิร์ตชนิดรสธรรมชาติ แต่ในบ้านเรานิยมเติมน้ำตาล น้ำเชื่อม ผลไม้เชื่อมลงไป หรือทำให้เหลวแล้วเติมน้ำตาล และแต่งรสผลไม้เป็นนมเปรี้ยวชนิดดื่ม ซึ่งเป็นชนิดที่นิยมกันมาก

แต่นมเปรี้ยวชนิดดื่มที่นิยมกันอย่างมากในปัจจุบันนั้น ส่วนใหญ่มีนมเป็นส่วนประกอบเพียงร้อยละ 35-50 และที่สำคัญนมเปรี้ยวชนิดดื่มเหล่านี้ รวมทั้งชนิดไลท์ที่ทำมาจากนมพร่องมันเนย มีน้ำตาลผสมสูงถึงร้อยละ 8-20 สูงกว่านมหวานอย่างมาก และสูงใกล้เคียงกับน้ำอัดลมทีเดียว

"ดื่มนมเปรี้ยว 1 กล่อง (180 มล.) จึงได้น้ำตาล 3 ช้อนชา บางยี่ห้อมีน้ำตาลสูงถึง 7 ช้อนชา ในขณะที่แนะนำให้กินน้ำตาลไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา ดื่มนมเปรี้ยววันละ 2 กล่อง จึงหมดโควตาแล้ว จึงไม่ต้องสงสัยว่ายิ่งดื่มนมเปรี้ยวมาก วันละหลายกล่อง แทนที่จะผอมลง กลับน้ำหนักเพิ่มขึ้น เพราะนมเปรี้ยวที่มีน้ำตาลสูงเหล่านี้ให้พลังงานพอๆ กับนมสดรสจืด และสูงกว่านมจืดพร่องมันเนย แต่มีโปรตีน แคลเซียม วิตามิน และแร่ธาตุอื่นเพียงครึ่งเดียว และไม่ต้องหวังว่าจะได้ประโยชน์จากจุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิต เนื่องจากกระบวนการผลิตนมเปรี้ยวชนิดดื่มแบบยูเอชที จุลินทรีย์ตายหมดแล้ว

จึงควรเข้าใจเสียใหม่ว่านมเปรี้ยวไม่ได้ช่วยให้ผอม ควรดื่มนมจืดพร่องมันเนย ถ้าดื่มนมสดแล้วไม่สบายท้องหรืออยากเปลี่ยนรสชาติบ้าง ก็ให้เลือกโยเกิร์ตรสธรรมชาติ หรือเพลนโยเกิร์ต จะดีกว่า คนที่ไม่อ้วนถ้าอยากดื่มนมเปรี้ยวให้เลือกชนิดที่มีส่วนผสมเป็นนมวัวสูง และมีน้ำตาลต่ำ

เบญจมาศ โมงยาม เลขที่78 sec 02

การทานอาหารทุกอย่างเป็นปัญหาสำหรับคนที่มีรูปร่างอ้วนแต่มีเคล็บไม่ลับมาบอกต่อว่ารู้ไหมของที่เราทานเข้าไปมีพลังงานเท่าไหร่ ตัวอย่าง เช่น

สำหรับปริมาณพลังงาน (แคลอรี่) ที่จะได้รับจากอาหาร เช่น

ผลแอปเปิ้ลขนาดใหญ่ 1 ลูก ให้ 101 kcal,

เบคอน 2 ชิ้นให้ 96 kcal

เบียร์ 1 แก้ว ให้ 114 kcal

ขนมปังทาเนย ให้ 78 kcal

ไก่ทอด ครึ่งชิ้นหน้าอก ให้ 232 kcal

ไข่ทอด ให้ 110 kcal

แฮม 2 ชิ้น ให้ 167 kcal

ส้ม 68 kcal

แฮมเบอร์เกอร์ 350 kcal

เมื่อรู้อย่างนี้ก็ให้นำไปพิจารณาก่อนทานแล้วกันนะคะ

เบญจมาศ โมงยาม เลขที่78 sec 02

★★++**ทุเรียน กินอย่างไรไม่อ้วน** ++★★

คงสงสัยกันสิค่ะว่า กินกันอย่างไรล่ะที่ไม่ให้อ้วน

ตำราไทยบอกไว้ให้กินเป็นยาถ่ายพยาธิปฏิบัติไม่ยากเลยค่ะ ง่ายๆ เพียงแค่ตื่นนอนตอนเช้าๆ ยามรุ่งอรุณ ก็ราวๆ ประมาณ 05.00 น. หลังจากล้างหน้า แปรงฟัน เรียบร้อย เริ่มกินทุเรียนได้ทันที กินพอประมาณ อาจสักครึ่งลูกย่อม ๆ หรืออาจมาก-น้อยกว่านั้น ตามน้ำหนัก หรือความอ้วน ความผอม คือ อ้วนก็มากหน่อย ผอมก็น้อยลง ไม่ใช่กินเพื่ออิ่ม แต่กินเป็นยา แล้วดื่มน้ำ ควรกินสองวันติดต่อกันและงดอาหารในทั้งสองเช้านั้น

ความร้อนในสารกำมะถันธรรมชาติ และกากใย จากพูทุเรียน จะออกฤทธิ์ชำระล้างขยะในลำไส้ออกได้อย่างเกลี้ยงเกลา รวมทั้งเป็นยาถ่ายพยาธิต่าง ๆ อีกทั้งยังเป็นยาถ่ายในผู้ป่วยน้ำเหลืองเสีย ซึ่งมักเกิดแผลจากแมลงกัดอยู่เสมอ

นายสมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 #50324547 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์

วิธีออกกำลังกายให้สนุก

เคล็ดลับอย่างหนึ่งที่คนหุ่นดีทั้งหลายบอกมาก็คือต้องออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ที่สำคัญต้องทำให้การออกกำลังกายกลายเป็นเรื่องน่าสนุกให้ได้ และนี่คือวิธีที่จะสามารถเปลี่ยนความคิด (เบื่อกับการออกกำลังกาย) ของคุณอย่างได้ผล

หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ซ้ำซากจำเจ จัดตารางการออกกำลังกาย ของคุณให้มีความหลากหลาย อาจปรับให้มีทั้งการออกกำลังแบบที่ได้เรื่องระบบ การหายใจและสมาธิ เช่น โยคะ สลับกับการออกกำลังที่ให้ผลดีกับหัวใจ อย่างการว่ายน้ำ วิ่ง ฯลฯ ร่วมกับการออกกำลังที่ต้องทำร่วมกับหมู่เพื่อน เช่น แบดมินตัน เทนนิส นอกจากจะไม่รู้สึกเบื่อแล้ว ยังจะได้ประโยชน์รอบด้านจากความหลากหลายด้วย

สำรวจตัวเองหลังออกกำลังกาย ด้วยการยืนนิ่ง ๆ สัก 2-3 นาที แล้วคิดว่าวันนี้เรารู้สึกดีแค่ไหน สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้แค่ไหนแล้ว รวมถึง ประโยชน์ที่ได้กับตัวเองในวันนี้ด้วย

ควรจัดให้มีวันพักบ้าง ไม่ต้องกลัวว่าจะสูญเสียความฟิตไป เพราะกล้ามเนื้อของคุณจะยังกระชับและแข็งแรงแม้ในวันที่งดออกกำลังกาย ดังนั้นควรจัดให้มีวันพักบ้างในแต่ละสัปดาห์

ดูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อตัวเอง อย่าเพิ่งตกใจถ้าพบว่าน้ำหนักตัวคุณเพิ่มขึ้น เมื่อคุณเริ่มต้นออกกำลังกายอย่างจริงจัง เพราะผลที่ได้ก็คือกล้ามเนื้อที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งโดยปกติจะมีน้ำหนักมากกว่าไขมันอยู่แล้ว ดังนั้นน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นก็คือน้ำหนักของกล้ามเนื้อที่คุณได้สร้างให้กับร่างกายนั่นเอง และสิ่งที่จะวัดได้ถึงความกระชับก็คือเสื้อผ้าซึ่งจะมีพื้นที่เหลือมากขึ้นกว่าเดิม

ทั้งสนุกและมีผลลัพธ์ที่ดีอย่างนี้จะไม่ให้สนุกกับการออกกำลังกายได้

นายสมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 #50324547 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์

เทรนด์การออกกำลังกาย

ลดน้ำหนักด้วยเฝือก

สาวแซมบ้ากำลังเห่อวิธีลดน้ำหนักแบบใหม่ ที่พอกส่วนที่มีไขมันไม่พึงประสงค์ด้วยเฝือกปูน ได้ข่าวมาว่าวิธีนี้สามารถลดเซลลูไลท์และลดน้ำหนักได้ผลทันตา ชนิดที่ว่าแฟรนไชส์สถานเสริมความงามต้นตำรับระบาดจากบราซิลเข้าชิลีแล้ว

การลดน้ำหนักแบบกิ๊บเก๋นี้ ประกอบด้วยการฉาบปูนทำเฝือกเข้าที่อวัยวะส่วนที่คนไข้ต้องการลด ซึ่งเฝือกชนิดพิเศษนี้แม้ดูเผินๆ จะเหมือนกับเฝือกที่ใช้กันตามโรงพยาบาล แต่จริงๆ แล้วมีส่วนผสมที่ทำจากสมุนไพร บวกกับเชื้อรา และส่วนผสมที่เป็นความลับบางอย่าง

Maria Contreras ผู้คิดค้นวิธีนี้บอกว่า คนไข้ต้องเข้าเฝือกราว 30 นาที ในนั้นจะค่อนข้างอุ่น ทำให้ช่วยลดเซลลูไลท์และลดน้ำหนักได้ ที่สำคัญเธอบอกว่า ใครสนใจจะทำเฝือกที่บนใบหน้าก็ยังไหว

สถานเสริมความงามด้วยเฝือกเปิดตัวครั้งแรกที่บราซิล และล่าสุดก็แพร่ระบาดไปทั่วจนลามเข้าไปถึงเพื่อนบ้านอย่างประเทศชิลีแล้ว

วิดีโอเกมส์เพื่อคนรักการออกกำลัง

เตรียมหยอดกระปุกกันได้แล้ว หากคุณคิดว่าการออกกำลังกายธรรมดาน่าเบื่อเต็มทน นี่คือปรากฎการณ์ใหม่จาก Nintendo กับ Wii Fit วีดีโอเกมส์ตัวใหม่ล่าสุดที่กำลังจะออกจำหน่ายทั่วประเทศญี่ปุ่นในต้นเดือนธันวาคมนี้ โดยจะมาพร้อมอุปกรณ์เสริมที่เรียกว่า Wii Balance Board ลักษณะเป็นแผ่นเซ็นเซอร์จับแรงกดและจับการเคลื่อนน้ำหนักในการเคลื่อนไหว ใช้สำหรับเกมจำพวกสเก็ตบอร์ด สกี สโนว์บอร์ด เต้นแอโรบิค รวมถึงฝึกโยคะ แถมยังมีความสามารถในการวัดค่าดัชนีมวลกาย(BMI) ได้อีกด้วย ที่สำคัญราคาแค่ 8,800 เยน หรือประมาณ 2,500 บาทเท่านั้น สำหรับการวางขายในประเทศอื่นยังไม่มีการกล่าวถึง แต่คาดว่าคงจะถึงบ้านเราในอีกไม่นานเกินรอ

กล้ามใหญ่ด้วยโกโก้

นักวิจัยชาวเดนมาร์กฝากข่าวถึงคนอยากกล้ามใหญ่ โดยไม่ต้องอาศัยยาหรือเครื่องดื่มบำรุงกำลัง แต่ให้ดื่มนมโกโก้ทันทีหลังการออกกำลังกาย แค่นี้ก็สร้างกล้ามได้ง่ายๆ สบายๆ นักวิจัยชาวเดนมาร์กทำการศึกษากลุ่มชายสูงอายุ 2 กลุ่ม ที่ออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ในศูนย์ออกกำลังกายของศูนย์วิจัยยาสำหรับกีฬา พวกเขาให้ชายสูงอายุกลุ่มหนึ่งดื่มเครื่องดื่มผสม ซึ่งประกอบไปด้วยนมผงพร่องมันเนย น้ำ น้ำตาล และโปรตีน หรือเทียบได้กับนมโกโก้ไขมันต่ำทันทีหลังการฝึก และให้อีกกลุ่มหนึ่งรอ 2 ชั่วโมงก่อนจะดื่มเครื่องดื่มผสมดังกล่าว ผลปรากฎว่าชายกลุ่มแรกมีอัตราการเติบโตของกล้ามเนื้อเฉลี่ย 7% และบางคนมีกล้ามเนื้อโตขึ้นถึง 20% ขณะที่ชายกลุ่มที่สองไม่พบการเติบโตของกล้ามเนื้อเลย แม้ว่างานวิจัยนี้จะสรุปผลจากกลุ่มตัวอย่างผู้สูงอายุ แต่นักวิจัยเชื่อว่าน่าจะให้ผลอย่างเดียวกันนี้กับคนทุกวัย

Top 10 Workout Songs

Jeanette Jenkins เพอร์ซันนัลเทรนเนอร์ของเหล่าเซเลบริตี้(ควีน ลาติฟาห์, คาร์เมน อีเลคตร้า ฯลฯ) ยืนยันว่า เพลงช่วยกระตุ้นให้บรรดาลูกค้าของเธอออกกำลังกายได้มากขึ้นจริงๆ ใครที่กำลังมองหาเพลงมันๆ อยู่ ลองฟัง 10 เพลงใหม่ที่เธอจัดมาให้ดู รับรองจะช่วยกระตุ้นอารมณ์ให้อยากเวิร์คเอาท์ขึ้นมาทันที

1 Glamorous จาก Fergie

2 Meneater จาก Nelly Furtado

3 My Love จาก Justin Timberlake

4 Hollywood จาก Jay-Z featuring Beyonc?

5 Entourage จาก Omarion

6 Ever Blazin’ จาก Sean Paul

7 Money Maker จาก Ludacris

8 So Excited จาก Janet Jackson

9 Tell Me จาก P. Diddy featuring Christina Aguilera

10 Hood Boy จาก Fantacia

ระบำเปลื้องผ้าเสริมความมั่นใจ

อาจจะฟังดูทะแม่งหูจนถึงขั้นน่าตกใจอยู่ไม่น้อย กับวิธีสอนให้ผู้หญิงมีความมั่นใจของหญิงชาวไต้หวันที่ชื่อว่า Nina Chen ที่นำการเต้นระบำเปลื้องผ้ามาเป็นเครื่องมือผ่านเวิร์คช็อปที่ชื่อ How to Look and Feel Sexy Workshop ซึ่งนักเพศศึกษาวัย 30 ผู้นี้เปิดคลาสสอนมาได้ 6 เดือนแล้ว และคุยว่าสามารถทำให้ผู้หญิงเกิดความรู้สึกดีๆ กับเรือนร่างของตัวเอง และทำให้ผู้หญิงมีความมั่นใจในตัวเองกันมากขึ้น นักเรียนของเธอมีทั้งนักศึกษา สาวออฟฟิศ หรือแม้แต่นางแบบ แม่บ้านวัยกลางคน ต่างมาร่วมหัดกันเต้นรำ โยกย้ายส่ายสะโพกไปตามจังหวะดนตรี พร้อมกับค่อยๆ เปลื้องเสื้อผ้าออกทีละชิ้น จนกระทั่งเหลือแต่ “ชุดชั้นใน” ที่จะถูกสลัดทิ้งจากร่างกายเป็นชิ้นสุดท้าย ต่อหน้ากระจกในห้องเรียนทั้งคลาสเวิร์กช็อปนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในหลักสูตรของโรงเรียน Sex Energy School ที่เธอร่วมกับนักเพศศึกษาอีกคนเปิดขึ้น นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรสอนนวด สอนโยคะสำหรับคู่รัก คู่สามีภรรยา ตลอดจนถึงคลาสการวิเคราะห์ความฝัน

Chillates ดีวีดีแนวเต้นรำแผ่นใหม่ล่าสุด

เพื่อการออกกำลังกายที่ไม่น่าเบื่อ สาวๆ ลองมองหา Chillates ดีวีดีเพื่อการออกกำลังกายแนวเต้นรำใหม่ล่าสุด คิดค้นโดยคลับชื่อดัง Ministry of Sound ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากพิลาทิส โยคะ และการเต้นรำ ผสมผสานกับท่วงทำนองเร่าร้อนของดนตรีแดนซ์อันทันสมัย และดนตรีสบายๆ แนวชิลล์เอาท์ในช่วงคูลดาวน์ นอกจากความสนุกสนานของเพลงแล้ว ท่าบริหารยังสามารถเรียกเหงื่อได้เป็นอย่างดี โดยประกอบไปด้วยท่าวอร์มอัพ ท่าบริหารกระชับกล้ามเนื้อ แอโรบิค และการทำสมาธิในช่วงปิดท้าย เรียกว่าได้ประโยชน์ทั้งร่างกายและจิตใจไปพร้อมๆ กัน สั่งซื้อได้ที่ www.amazon.co.uk

Stiletto Strength คลาสใหมุ่สุดฮิตจากฟิตเนสดังในนิวยอร์ก

Crunch ฟิตเนสคลับสุดฮิตของชาวนิวยอร์ก จัดคลาสชื่อ Stiletto Strength โปรแกรมออกกำลังกายรูปแบบใหม่เอาใจสาวรักการเต้นท่ามกลางแสง สี และเสียงดนตรีกระหึ่มราวกับอยู่ในผับสุดหรู และจากที่เคยหอบหิ้วรองเท้ากีฬามาพร้อมชุดวอร์ม คราวนี้เทรนเนอร์แนะนำให้สาวๆ หยิบรองเท้าส้นสูงคู่โปรด กับเสื้อกล้าม และกางเกงขาสั้นมาแทน เขาบอกว่าการใส่รองเท้าส้นสูงเต้นจะช่วยกระชับกล้ามเนื้อน่องได้เป็นอย่างดี และยังช่วยปรับท่วงท่าให้เดินเหินได้อย่างสง่างามมากยิ่งขึ้นด้วย

Technogym Equipment อุปกรณ์ฟิตเนสดีไซน์ล้ำ

เห็นแล้วอึ้งกับเครื่องออกกำลังกายหน้าตาเจริญจาก Technogym ผู้ผลิตอุปกรณ์ฟิตเนสชื่อดังของอิตาลี โดยเฉพาะเจ้าเครื่อง Kinesis Personal ที่ออกแบบโดยดีไซเนอร์ Antonio Citterio ช่วยให้คุณบริหารร่างกายได้ทั่วทุกส่วนด้วยการเคลื่อนไหวแบบอิสระตามต้องการ นอกจากนี้ยังมีเซตเครื่องมือ Wellness Tools ที่ประกอบไปด้วย Wellness Bag, Wellness Pad, Wellness Weight, Wellness Ball และ Wellness Rack ทุกชิ้นดีไซน์เรียบเท่ บริหารได้หลายท่วงท่า แถมขนาดยังกะทัดรัดอย่างไม่น่าเชื่อ (www.technogym.com)

Speed Up!

ข่าวดีสำหรับคนที่อยากมีกล้ามเนื้อสวยกระชับอย่างรวดเร็ว โดยการทดลองด้านสรีรวิทยาจาก School of Physiotherapy เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย พบว่าภายในระยะเวลา 6 สัปดาห์ ของผู้เข้าทดลองจำนวน 115 คน ที่เล่นเวทเพื่อบริหารกล้ามเนื้อแขนด้านหน้า(Biceps) แบบจังหวะเร็วจะพัฒนากล้ามเนื้อได้มากกว่าคนที่เล่นจังหวะช้า ทั้งนี้ Joanne Munn ผู้ศึกษาการทดลองนี้กล่าวว่า การเล่นซ้ำๆ เร็วๆ จะไปกระตุ้นกล้ามเนื้อให้ขยับขึ้นลงได้มากครั้งขึ้น อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่ไม่ต้องการผลเร็วจะเล่นช้าๆ ต่อไปก็ได้ เพราะในระยะยาวแล้วจังหวะไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่เป็นจำนวนเซตที่ทำต่างหาก

Women's Bike

แบรนด์อุปกรณ์กีฬาสัญชาติอเมริกัน K2 ส่งจักรยานรุ่นใหม่ T:Nine ออกมาเอาใจสาวๆ ที่รักการปั่นจักรยาน เหมาะสำหรับขี่ตามท้องถนน ไปจนถึงผจญภัยตามภูเขา หน้าตาอาจดูเรียบๆ แต่ความจริงมีการปรับเปลี่ยนดีไซน์ให้เข้ากับสรีระของผู้หญิงมากขึ้น เป็นต้นว่าผู้หญิงมีช่วงขายาวแต่ลำตัวสั้นกว่าผู้ชาย เจ้าจักรยาน T:Nine จะช่วยปรับระยะห่างระหว่างแฮนด์กับอานนั่งให้ใกล้กันมากขึ้น รวมทั้งมีพื้นที่นั่งที่เพิ่มขึ้นมากกว่าด้วย

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)เลขที่ 33

การสร้างเสริมสุขภาพและการป้องกันโรคเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และมีประโยชน์สูงสุดไม่ว่าประเทศนั้นจะรวยมากแค่ไหน เพราะการสร้างเสริมสุขภาพนั้นใช้งบประมาณน้อยมาก ได้ผลมากที่สุด ไม่เหมือนกับการรักษา ซึ่งเป็นการแก้ปลายเหตุ แพง และอาจช่วยอะไรไม่ได้มากนักการมีสุขภาพที่ดีขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของเราเป็นส่วนใหญ่ แต่กรรมพันธ์อาจมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย เช่น ถ้าบิดามารดาเป็นโรคเบาหวาน เป็นโรคหัวใจ ผู้นั้นอาจมีสิทธิ์เป็นโรคนี้มากกว่าผู้ที่มีบิดามารดาที่ไม่เป็นโรคต่างๆ เหล่านี้ พฤติกรรมที่สำคัญคือ การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ โภชนาการที่เหมาะสม การไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ การไม่ใช้ยาเสพติด การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย การไม่เล่นการพนัน การเดินสายกลางในชีวิต และการตรวจสุขภาพตามที่แพทย์แนะนำสุขภาพที่ดี สุขภาพที่ดี คือ ดีทั้งกาย ใจ สังคม จิตวิญญาณ สขภาพที่ดีจะต้องดีทั้ง 4 ส่วนที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ทางด้านกาย นอกจากจะไม่เป็นโรคภายนอก ที่มีอาการแล้ว ถ้าเป็นไปได้ยังควรที่จะไม่มีพยาธิสภาพของโรคภายในร่างกายด้วย เช่น ไม่มีอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและอุดตัน (ซึ่งมักจะมีเมื่อหลอดเลือดตีบไปแล้ว 50-70%) และยังไม่ควรมีการตีบของหลอดเลือดอีกด้วยถึงแม้จะยังไม่มีอาการ การป้องกันโรคต่างๆจึงจำเป็นและเป็นสิ่งที่สำคัญมาก สุขภาพทางใจก็มีความสำคัญ ถ้ากายดี แต่ใจไม่ดีก็อาจทำให้ไม่สบายได้ เช่น ปวดหัว ปวดท้อง เบื่ออาหาร นอกจากนั้นทางด้านสังคมก็มีความสำคัญ เช่น ควรมีความเป็นอยู่ที่ดี มีงานทำ มีรายได้พอสมควร มีบ้านอยู่ มีครอบครัวที่อบอุ่น มีนิสัยใจคอที่หนักแน่น รู้จักเดินสายกลาง มีความพอดี เป็นคนดี มีศีลธรรม จริยธรรมที่ดี ฯลฯ

ปัญหาของการที่มีสุขภาพที่ดี คือ

1) การเสื่อมตามธรรมชาติของร่างกาย ตั้งแต่อายุ 30 ปีขึ้นไป เอ็น เอ็นข้อต่อ กล้ามเนื้อ กระดูก(ตั้งแต่ 35 ปี) จะเสื่อมลงตามธรรมชาติ การเสื่อมจะยิ่งเร็วขึ้นถ้าไม่ออกกำลังกาย แต่ถ้าออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เป็นระยะๆ จะยับยั้งการเสื่อมตามธรรมชาติของร่างกาย

2) โรคที่ทำให้ประชาชนชาวไทยเสียชีวิตมากที่สุดตามลำดับ คือ โรคหัวใจและหลอดเลือด อุบัติเหตุและสารเป็นพิษ โรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง อัมพฤกษ์ อัมพาต

3) ปัญหาของประเทศในปัจจุบันนี้ คือ โรคติดเชื้อเอช ไอ วี (1 ล้าน) ยาเสพติด (2 ล้าน) โรคตับอักเสบจากไวรัสตับชนิดบี (3 ล้าน!) ซึ่งป้องกันได้ทั้งสิ้น

4) ผู้สูงอายุมีมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะนี้มีผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปี ถึง 8%(2543) และคาดว่าอีก 20 ปีจะเป็น 15% ฉะนั้นจะต้องมีการเตรียมการดูแลผู้สูงอายุอย่างดี และให้ผู้สูงอายุต่างๆเหล่านี้สูงอายุอย่างมีคุณภาพในทุกๆด้าน

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์) 006 เลขที่ 30

สุขภาพที่ดี คือการห่างไกลจากโรคภัย ร่างกายมนุษย์ สามารถสร้างกรดไขมันทุกชนิดได้เองยกเว้น โอเมก้า 3 และ โอเมก้า 6 กรดไขมันเหล่านี้ จำเป็นต่อสุขภาพ ในระยะยาว และมีความจำเป็นต่อร่างกาย จึงเป็นเหตุผลที่เราเรียกรดไขมันเหล่านี้ว่า กรดไขมันที่จำเป็น ซึ่งเป็นส่วนประกอบพื้นฐานของเยื่อหุ้มเซลล์ ช่วยสร้างเนื้อเยื่อของสมอง และเส้นประสาท มีความสำคัญทำให้เซลล์ เนื้อเยื่อต่อมและอวัยวะต่างๆ ทำงานได้ตามปกติ กรดไขมันที่จำเป็นช่วยซ่อมแซมเซลล์ที่เสื่อมสภาพและ ให้พลังงานที่เสถียรกับร่างกาย ในระยะยาว และยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานตามปกติ น้ำมันจากเมล็ดลินินช่วยสร้างกระบวนการเผาผลาญอาหารในทุกเซลล์ของร่างกาย โดยกระบวนการเผาผลาญอาหารก็เหมือนกับไฟ ที่เมื่อจุดแล้วเซลล์ก็จะยิ่งให้ความร้อนและเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้น หรือแคลอรีนั่นเอง สารอาหารจากน้ำมันลินินจะเพิ่มปริมาณการใช้ออกซิเจนในระดับเซลล์ ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า ประโยชน์ ช่วยปรับสภาพผิวให้ดีขึ้นดูสวยใส มีสุขภาพดี จากภายในสู่ภายนอก ช่วยให้มีสุขภาพจิตที่ดี ช่วยบำบัดโรคสมาธิสั้นและความพิการในการอ่านเขียน ช่วยให้เล็บแข็งแรง ผมสวยเป็นเงางามและสุขภาพดี ช่วยแก้ปัญหาผิวหนังที่น่ารำคาญใจ เช่น ผิวแห้งและหยาบกร้าน ช่วยกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญและกระบวนการอื่นๆ ของร่างกาย เพื่อให้น้ำหนักลดลงหรือคงที่ตามธรรมชาติ

วราภรณ์ สุตพลสันติกุล เลขที่ 34

ว่านชักมดลูก - กระชายดำ - กาแฟสมุนไพร - มุกดำ มุกทอง - ขมิ้นชัน - พลูคาว - รสแย่ - ยาบำรุงร่างกาย /ยาบำรุงกล่องแดง(สูตรพิเศษ) - ยาสมุนไพรเผาผลาญไขมัน - สมุนไพรหน้าขาว - ยาหอมน้ำแก้ลม - ยาบำรุงโลหิต. หมอเส็ง สร้างสำนักงานใหญ่ใหม่เป็นของเราเอง บนทำเลทองย่านคลองหลวง ตรงข้าม ม.ธรรมศาสตร์ บนเนื้อที่กว่า 10 ไร่ ทุ่มทุนสร้างกว่า พันล้านบาท เพื่อเป็นอาณาจักรของพวกเราชาวหมอเส็ง ให้พวกเราเป็นแหล่งทำมาหากินตลอดไป ชั่วลูกชั่วหลาน หากคุณเป็นอีกผู้หนึ่งที่กำลังมองหาโอกาสดีๆให้กับชีวิต @ เป็นงานอิสระรายได้ดีมั่นคง โอนเป็นมรดกให้ลูกหลานได้ @ มีอิสระภาพไม่กระทบงานประจำ @ ผลตอบแทนสูง จ่ายเร็ว คุ้มค่า จ่าย 1,000-20,000 บาท/วัน 600,000 บาท/เดือน มีโบนัสรายเดือนให้ด้วย จุดเด่นของแผนการรับรายได้ -นับคะแนนจากยอดขาย 2 ฝัง ลึกไมกำหนดจำนวนชั้น -ตำแหน่งขึ้นแล้วไม่มีตก -ไม่ต้องรักษายอดส่วนตัวและยอดกลุ่ม -สะสมยอดไว้ได้ตลอดแม้คุณสมบัติส่วนตัวไม่ครบ

สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 #50324547 ภาคพิเศษ จันทร์-ศุกร์

เราควรออกกำลังกายเวลาไหนดี? เช้า-กลางวัน-เย็น

เชื่อหรือไม่ว่าเวลาในการออกกำลังกายมีผลต่อการเผาผลาญไขมันในร่างกายแตกต่างกันในขณะที่ใช้เวลาออกกำลังกายเท่ากัน

เวลาที่ดีที่สุดของการออกกำลังกายขึ้นอยู่กับกับเป้าหมายว่าออกกำลังกายเพื่ออะไร

ต้องการลดน้ำหนัก- ต้องตอนเช้าดีที่สุด เพราะร่ายกายจะดึงเอาคาร์โบไฮเดรตจากอาหารมื้อเย็นของเมื่อวานมาใช้เป็นพลังงาน  หลักง่ายๆของการลดน้ำหนัก "กินน้อยๆ  ใช้(พลังงาน)เยอะๆ"

ต้องการกล้ามเนื้อที่แข็งแรง-ต้องช่วงบ่าย ครับ  มีวิจัยออกมาแล้วมากมายว่า กล้ามเนื้อจะใช้งานได้ดีที่สุดตั้งแต่หลังเที่ยงเป็นต้นไป

ต้องการผ่อนคลายความตึงเครียด-ช่วงบ่ายเช่นกันครับ  จะช่วยให้นอนหลับในตอนกลางคืนดีขึ้น  ทำให้ไม่เครียดอีกด้วย

ต้องการเลือกอุณหภูมิ- เช้าหรือเย็นก็ได้ครับ หลายคนคงไม่ชอบอากาศร้อน เพราะฉะนั้นเลือกได้เลยครับจะเช้าหรือเย็นก็ได้ช่วงที่อากาศไม่ร้อน 

เพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์-ต้องเช้าเท่านั้นครับ  อากาศบริสุทธิ์ยามเช้า ร่างกายจะได้นำออกซิเจนไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

แต่อย่าลืมว่าอาหารมีผลต่อการออกกำลังกายเช่นกัน   หากเลือกกินผิดประเภท ก็มีผลต่อการเผาผลาญไขมัน ถึงแม้คุณจะออกกำลังกายเป็นประจำอยู่แล้วก็ตาม  ดังนั้นต้องเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ควบคู่กับการออกกำลังกายสม่ำเสมอด้วยนะครับ

สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 #50324547 ภาคพิเศษ จันทร์-ศุกร์

ออกกำลังกายอย่างไรหัวไหล่ไม่พัง

ช่วงนี้มีการเน้นเรื่องการออกกำลังกายกลางแจ้งที่ต้องอาศัยการเหวี่ยงแขน เช่นกอล์ฟ และเทนนิสกันมาก ผมเลยหยิบคำแนะนำดี ๆ จากมหาวิทยาลัยพิตสเบอร์ก มาให้ทราบเกี่ยวกับข้อไหล่

ข้อไหล่ ถือเป็นข้อที่แปลกข้อหนึ่ง ของร่างกาย เพราะเป็นข้อที่หมุนได้รอบตัวมากที่สุด และอุดมไปด้วยกล้ามเนื้อและเอ็นยึดจำนวนมาก ความแข็งแรงของข้อ ขึ้นกับความแข็งแรงของเอ็นและกล้ามเนื้อโดยรอบที่เรียกว่า Rotator cuff

การออกกำลังที่มีการขว้างแขน เช่นเบสบอล ซอฟท์บอล หรือการแกว่งแขนอย่างรุนแรงโดยเฉพาะต้องหมุนแขนขึ้นเหนือหัว ถ้ากระทำบ่อย ๆ สามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อข้อไหล่ได้ง่าย หรือแม้กระทั่งถ้าผิดท่า ครั้งเดียวก็อาจเกิดอันตรายได้

วิธีที่ดีที่สุดคือการป้องกัน
ค่อย ๆ เริ่มออกกำลัง อย่าเพิ่งหักโหมทันที
ค่อย ๆ เพิ่มการออกกำลังอย่างช้า ๆ ถ้าเริ่มเจ็บให้หยุด

การออกกำลังที่ป้องกันการอักเสบของกล้ามเนื้อและเอ็นข้อไหล่

-ยกแขนสองข้างขึ้นด้านบนเหยียดให้สุด และเอนตัวไปทางซ้าย และขวา อย่างละ 10-20 วินาที
-เอามือทั้งสองไขว้หลังจับกันและพยายามยกแขนทั้งสองขึ้นให้สูงเท่าที่จะทำได้ ประมาณ 20 วินาที
-เอาแขนข้างขวา ยกให้ได้ระดับในแนวราบแล้วพยายามเอื้อมมาจับไหล่อีกข้างให้ได้ไกลที่สุด ประมาณ 10-20 วินาที ถ้ามีอาการปวดไหล่นานกว่า 10-14 วัน ให้หยุดออกกำลังและพบแพทย์

เปลือกผักผลไม้มีประโยชน์

ใครที่ชินกับการกินผักผลไม้ที่ต้องปอกเปลือกให้เกลี้ยงบ้าง อย่าง แตงกวา มันฝรั่ง มะนาว มะกรูด เป็นต้น ทราบหรือไม่ว่า เปลือกที่ปอกทิ้งไปนั้นก็มีประโยชน์เหมือนกัน วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์คลีย์ ทำวิจัยไว้ว่า

- เปลือกแอ๊ปเปิ้ล เชื่อว่ามีผลในการต่อต้านมะเร็ง ตามที่นักวิจัยพบว่าเปลือกของแอ๊ปเปิ้ลแดงผลหนึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่าวิตามินซี 820 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นปริมาณที่ได้จากน้ำส้มคั้นถึง 2 ควอตช์ เลยทีเดียว

- เปลือกมันฝรั่ง อุดมไปด้วยใยอาหาร (fiber) ธาตุเหล็ก โปแตสเซียม และวิตามินบี มากกว่าที่ได้จากเนื้อมันเสียอีก เมื่อเทียบปริมาณเท่า ๆ กันแล้ว

- ผิวส้ม มะนาว หรือมะกรูด มีสาร ดี-ไลโมนีน (น้ำมันหอมระเหยชนิดหนึ่ง) เทอปีน เฮสเพอริดีน (ยาป้องกันการตกเลือดโดยลดความเปราะของเส้นเลือด) คูมาริน (สารต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย) และแคโรทีนอยด์ (สารสีเหลืองช่วยต้านอนุมูลอิสระ) ซึ่งดีต่อสุขภาพ

รู้อย่างนี้แล้ว ก็ลองหันมาทานผักผลไม้พร้อมทั้งเปลือกดู แต่ก่อนทานก็อย่าลืมล้างให้สะอาดก่อนแล้วกัน

สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 #50324547 ภาคพิเศษ จันทร์-ศุกร์

9 วิธีออกกำลังกายที่ไหนก็ได้

ถ้าพูดถึงเรื่องการออกกำลังกาย  หลายคนคงนึกถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม  สถานที่  อุปกรณ์ที่จะใช้  ทำให้หลายๆคนบ่นว่าไม่สะดวกเพราะติดเรื่องเวลา  สถานที่ เป็นต้น  แต่ถ้าเรามีวิธีที่สามารถออกกำลังกายได้ทุกๆที่ ไม่เกี่ยงเวลาและสถานที่ล่ะ  ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนคุณก็สามารถออกกำลังกายได้ด้วย 9 วิธีง่ายๆ

1.เกร็งหน้าท้องและค่อยๆคลายกล้ามเนื้อเป็นระยะ ขณะที่คุณนั่งรอประชุม  อยู่ในโรงภาพยนตร์  นั่งอยู่ในรถ หรือแม้กระทั่งนอนอยู่บนเตียง  ทำบ่อยๆคุณก็จะมีหน้าท้องแบนราบ

2.เวลาเดินลองเขย่งเท้าเดินดูบ้าง เป็นการบริหารกล้ามเนื้อขาให้แข็งแรง

3.ยืดตัวยาวๆไปรับโทรศัพท์ นึกถึงเวลาแมวเหยียดตัวนะครับ นั่นล่ะเป็นการผ่อนคลายกล้ามเนื้อช่วงตัวและแผ่นหลังได้เป็นอย่างดี

4.ขณะนั่งบนเก้าอี้ วางมือบนที่นั่งแล้วยกตัวขึ้น เป็นการบริหารหัวไหล่

5.เมื่อมีโอกาสเดินกระแทกให้ส้นเท้าแตะพื้นบ้าง ทำทุกครั้งเมื่อมีโอกาส เป็นการบริหารส้นเท้า

6.เช็ดตัวแรงๆหลังอาบน้ำ เป็นการกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตของร่ายกาย

7.พยายามนั่งตัวตรง การนั่งที่ถูกสุขลักษณะจะช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อและเพื่อสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์

8.เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ยกขาขึ้นให้ข้อเท้าขนานพื้น แล้วพยายามขาให้เป็นรูปวงกลมประมาณ5รอบ เป็นการบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องและกล้ามเนื้อขา

9.จำไว้ว่าอย่ากลั้นลมหายใจขณะออกกำลังกาย  เมื่อต้องการอากาศเพิ่มขึ้นขณะออกกำลังกาย ควรสูดลมหายใจเข้าทั้งทางปากและจมูก  ไม่จำเป็นว่าจะต้องหายใจเข้าทางจมูกเพียงอย่างเดียว

สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 #50324547 ภาคพิเศษ จันทร์-ศุกร์

โปรแกรมสร้างหุ่นสวย 4 รูปร่าง

1.รูปร่างแบบแอ๊ปเปิ้ล: Android shape คือคนที่มีรูปร่างใหญ่ และมีไขมันสะสมทั้งตัว

ท่าออกกำลังกายที่เหมาะสม
-ท่าบิดตัวแบบนอน : นอนหงาย  กางแขนออก  เท้าทั้ง2ข้างเหยียดตรง  หายใจเข้า ยกขาขวาข้ามมาขาซ้าย

 หายใจออก  งอเข่า กดเข่าลงติดพื้น  บิดลำตัวและหันหน้าไปทางขวา ค้างไว้ประมาณ30วินาที-1นาที  สลับทำอีกข้า ถือเป็น1รอบ ทำซ้ำ5รอบ

-ท่าเรือ :  นั่งหลังตรง เหยียดเท้า แขนยันพื้นข้างสะโพก ปลายนิ้วชี้ไปข้างหน้า หายใจ ออก เอนลำตัวไปข้างหลัง ยกขาขึ้นจากพื้นทำมุมประมาณ 45 องศา
หายใจเข้า ยกแขนขึ้นระดับหัวไหล่ ขนานกับพื้น หลังเหยียดตรง ทิ้งน้ำหนักลง สะโพก หายใจออก ค้างไว้10-20 วินาที และทำซ้ำ 5 ครั้ง

2.รูปร่างแบบลูกแพร์ : Gynaeoid shape คือคนที่รูปร่างช่วงตัวบนเล็กมีไขมันสะสมช่วงล่าง เอว สะโพก ก้นต้นขามาก เหมือนรูปชมพู่ หรือลูกแพร์

ท่าออกกำลังกายที่เหมาะสม
-ท่าสะพาน :
นอนหงาย ชันเข่าขึ้น  แยกเท้าออกจากกันกว้างประมาณสะโพก  ทิ้งน้ำหนักลงฝ่าเท้า ศรีษะ ไหล่และแขนเหยีดตรงข้างตัว
หายใจเข้า  ดันตัวยกช่วงสะโพกขึ้นให้หลังลอยสูงมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ค้างไว้ประมาณ 1 นาที แล้วลดตัวลง  ทำซ้ำ 10 ครั้ง

3.รูปร่างผอมเก้งก้าง : Thyroid shape คือคนที่รูปร่างผอมบาง  โครงกระดูกเล็ก  ไขมันสะสมตามตัวน้อย

ท่าออกกำลังกายที่เหมาะสม
-ท่านักรบ :
ยืนตรงเท้าชิดแขนแนบลำตัว  หายใจเข้า-ออก ช้าๆ แยกเท้าออกประมาณ3-4 ฟุต  กางแขนขนานพื้น หมุนเท้าซ้ายไปทางซ้าย 90 องศา   เท้าขวาเฉียงมาทางซ้ายเล็กน้อย
งอเข่าซ้ายลงให้สะโพกอยู่ระดับข้อเท้า  ขาขวาตึง  กางแขนทั้ง2ขนานกับพื้น  หันหน้าไปทางซ้ายมองปลายนิ้ว
หายใจเข้าโน้มตัวไปทางซ้ายให้มากที่สุด ค้างไว้ 1 นาที  หายใจออกคลายท่า  สลับข้าง ทำซ้ำ 10ครั้ง

4.รูปร่างทรงกระบอก : Lymphatic shape พบมากในสาวเอเชีย ไม่มีส่วนโค้งส่วนเว้า เวลาอ้วนจะดูหนาทั้งตัว

ท่าออกกำลังกายที่เหมาะสม
-ท่าสามเหลี่ยม :
ยืนตรง แขนแนบลำตัว กางแขน ปลายเท้าแยกห่างกัน ตำแหน่งปลายเท้าตรงกับประมาณข้อมือ  ปลายเท้าซ้ายหันออกด้านข้าง หันหน้ามองมือซ้าย
สูดลมหายใจเข้า-ออก  เหยียดตัวและแขนไปให้ได้มากที่สุด  ลดมือซ้ายวางที่พื้น หรือจับที่ข้อเท้า  แขนวาเหยียดขึ้นด้านบน  บิดหน้ามองตามมือขวา ค้างไว้ 1นาที  หายใจเข้าออก ทำซ้ำ10ครั้ง

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์ เลขที่ /

ออกกำลังกาย เวลาไหนดี

1. ออกกำลังเพื่อลดน้ำหนัก

ถ้าออกกำลังเพื่อพิฆาตความอ้วน เวลาเช้าๆ นี่ล่ะเหมาะที่สุด เพราะเป็นเวลาที่ร่างกายจะนำคาร์โบไฮเดรต จากอาหารมื้อเย็นของเมื่อวานมาใช้เป็นพลังงาน จึงสลายไขมันและเผาผลาญแคลอรีได้ดีกว่าการออกกำลังกายในตอนเย็นเยอะ

2. ออกกำลังเพื่อฟิตกล้ามเนื้อ

สงสัยหนุ่มๆ คงชอบทำข้อนี้มากกว่าสาวๆ เวลาที่ดีที่สุดสำหรับการฟิตกล้ามคือเวลาในช่วงบ่ายเพราะมี ผลการวิจัยบอกว่า กล้ามเนื้อของเราจะพร้อมและใช้งานได้ดีที่สุดตั้งแต่เวลาเที่ยงเป็นต้นไป ส่วนช่วงเช้า กล้ามเนื้อจะยังตื่นตัวไม่เต็มที่นัก

3. ออกกำลังเพื่อผ่อนคลาย

ถ้าอยากออกแรงเพื่อสลายความเครียด ขอแนะนำให้ไปอัพแอนด์ดาวน์เอาตอนบ่ายๆ หรือจะเย็นไปเลยก็ได้ เพราะการออกกำลังกายช่วงนี้จะทำให้หลับสบายในตอน กลางคืน แต่ถ้าไปออกแรงหนักๆ อย่างนี้ในตอนเช้า เดี๋ยวไปง่วงนอนตอนบ่ายแล้วเจ้านายค้อนเอาไม่รู้ด้วย

4. ออกกำลังเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์

ก็เป็นเวลาเช้าอยู่แล้ว เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่าเวลานี้เป็นช่วงที่อากาศแจ่มใสที่สุดของวัน การออกกำลังกายเล็กๆ น้อยๆ จะทำให้สมองและร่างกายทุกส่วนรับออกซิเจนได้มากขึ้น จึงจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาก

สมดุลของน้ำในร่างกาย

น้ำเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสิ่งที่มีชีวิต มักมีผู้กล่าวไว้ว่าถ้าปราศจากน้ำก็ปราศจากสิ่งมีชีวิต โดยทั่วไปคนสามารถอดอาหารได้หลายสัปดาห์ แต่ถ้าอดน้ำจะเสียชีวิตภายใน 2–3 วัน การศึกษาวิจัยที่ผ่านมาพบว่าน้ำมีประโยชน์มากมายแก่ร่างกายของสิ่งมีชีวิต นอกเหนือจากคุณสมบัติที่เด่นที่สุดของโมเลกุลน้ำที่เป็นตัวทำละลายที่ดีและมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด

น้ำเป็นองค์ประกอบของชีวิต

ร่างกายมนุษย์มีน้ำเป็นส่วนประกอบประมาณร้อยละ 70 ในเลือดมีน้ำเป็นองค์ประกอบร้อยละ 92 ในสมองมีน้ำเป็นองค์ประกอบร้อยละ 85 ถ้าพิจารณาในแต่ละเซลล์จะมีน้ำเป็นองค์ประกอบร้อยละ 60 จริงๆแล้วน้ำเป็นส่วนประกอบสำคัญและจำเป็นของเซลล์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเซลพืช เซลล์สัตว์ และเซลล์มนุษย์ ทุกเซลล์ล้วนประกอบด้วยน้ำทั้งนั้น ในเซลล์มนุษย์และเซลล์สัตว์มีน้ำประมาณ 2 ใน 3 ของน้ำหนักร่างกาย ในพืชบกมีน้ำประมาณร้อยละ 50–75 ถ้าเป็นพืชน้ำอาจมีน้ำมากกว่าร้อยละ 95 โดยน้ำหนัก

หน้าที่สำคัญที่สุดของน้ำ คือ เป็นตัวกลางในการเกิดปฏิกิริยาเคมีทุกชนิดในกระบวนการเมตาบอลิซึมของร่างกาย ปฏิกิริยาเคมีในร่างกายทุกชนิดต้องอาศัยน้ำ เซลล์จะไม่สามารถทำงานได้ถ้าไม่มีน้ำ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน ได้แก่ กระบวนการการย่อยอาหาร กระบวนการดูดซึมอาหาร และกระบวนการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย

น้ำที่เป็นของเหลวของเลือดทำหน้าที่ขนส่งอาหารและออกซิเจนให้แก่เซลล์ อีกทั้งนำของเสียและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากเซลล์มาขับถ่ายออกจากร่างกาย กระบวนการไหลเวียนเลือดและกระบวนการขับถ่ายของเสียในร่างกายไม่สามารถเกิดขึ้นได้ถ้าปราศจากสมดุลของสารน้ำในร่างกาย

น้ำช่วยให้การขับถ่ายกากอาหารในลำไส้ใหญ่เป็นไปโดยสะดวก ความผิดปกติของการถ่ายอุจจาระเกิดขึ้นเนื่องจากขาดสมดุลของการดูดซึมน้ำกลับเข้าสู่เซลล์ลำไส้ เชื้อโรคที่เป็นสาเหตุให้เกิดโรคอุจจาระร่วงหลายชนิดสร้างสารพิษที่มีผลต่อกลไกการควบคุมสมดุลสารน้ำภายในลำไส้

สารพิษ รวมทั้งสารเคมีในร่างกายที่อาจเป็นพิษ ถูกกำจัดออกจากร่างกายโดยอาศัยน้ำ เลือดทำหน้าที่ขนส่งสารเหล่านั้นไปทั่วร่างกายซึ่งสารนั้นละลายในน้ำ ตับเป็นอวัยวะสำคัญในการทำลายหรือเปลี่ยนแปลงสารพิษด้วยกลไกทางเคมีมากมายหลายชนิด บางคนกล่าวเปรียบเทียบว่าตับเป็นโรงงานผลิตเอนไซม์ที่ทรงพลังมากกว่าโรงงานใดๆในโลก กระบวนการขับถ่ายสารพิษเกิดขึ้นร่วมกับการขับถ่ายทางปัสสาวะและอุจจาระ

น้ำช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย และช่วยรักษาระดับความเป็นกรดด่างของเลือดรวมทั้งของเหลวต่างๆ ในร่างกาย น้ำช่วยระบายความร้อนของร่างกายในรูปของเหงื่อ ซึ่งถือเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพยิ่ง

ร่างกายได้รับน้ำหลายทางด้วยกัน

1.น้ำดื่ม เครื่องดื่ม

2.น้ำที่เป็นส่วนประกอบในอาหาร

3.น้ำที่ได้จากการเผาผลาญสารอาหารคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน

ปกติคนเราดื่มน้ำวันละประมาณ 1.5 – 2.0 ลิตร และได้รับจากเครื่องดื่มและอาหารทั้งภายในและภายนอกร่างกายอีกประมาณวันละ 1 – 2 ลิตร

ร่างกายสูญเสียน้ำ

1.ผิวหนัง มีทั้งที่เรามองเห็นออกมาในรูปของเหงื่อ และน้ำที่ระเหยไปโดยที่เรามองไม่เห็น

2.ปอด โดยการหายใจออก

3.ทางอุจจาระ

4.ทางปัสสาวะ

รวมทั้งสิ้นในวันหนึ่งร่างกายสูญเสียน้ำประมาณ 3–5 ลิตร ซึ่งใกล้เคียงกับปริมาณที่ได้รับ

ปริมาณของน้ำในร่างกายคนไม่แน่นอน ขึ้นกับอายุ ปริมาณของไขมันในร่างกาย และกิจกรรมของแต่ละคน คนที่ทำงานหนักกลางแจ้งอาจสูญเสียน้ำ 5 – 12 ลิตรต่อวัน หรือคนที่มีโรคภัยไข้เจ็บก็อาจเสียสมดุลของน้ำในร่างกายได้ง่าย

กลไกควบคุมสมดุลของสารน้ำ

1.สมองส่วนไฮโปทาลามัสทำหน้าที่ควบคุมปริมาณสารน้ำในร่างกาย

2.เมื่อร่างกายมีการสูญเสียน้ำ สมองส่วนไฮโปทาลามัส ซึ่งมีศูนย์ควบคุมการกระหายน้ำ จะสั่งการให้เกิดการดื่มน้ำทดแทน โดยจะรู้สึกกระหายน้ำ และเมื่อมีการกลืนน้ำเข้าไปก็จะช่วยบรรเทาความกระหายได้อย่างรวดเร็ว

3.ถ้าร่างกายขาดน้ำประมาณ 3 วัน ก็จะทำให้เสียชีวิตได้ สำหรับภาวะขาดน้ำเรื้อรัง ซึ่งเกิดจากการดื่มน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ

ลักษณะของน้ำดื่มที่ดี

1.น้ำดื่มที่ดีต้องปราศจากสารปนเปื้อนทางเคมีและสารอินทรีย์ต่างๆ อาทิเช่น เชื้อจุลินทรีย์ โลหะหนัก รวมทั้งสารเคมี

2.ประกอบด้วยแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย ได้แก่ โปแตสเซียม แมกมีเซียม แคลเซียม เป็นต้น

3.โครงสร้างโมเลกุลขนาดเล็กช่วยให้แทรกซึมสู่เซลล์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถนำพาสารอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างทั่วถึง รวมทั้งนำพาของเสียออกมาจากเซลล์ไปทิ้งได้

4.น้ำดื่มที่ดีควรมีความกระด้างของน้ำปานกลาง มีประจุไฟฟ้าสูงและเป็นสื่อนำความร้อนที่ดี

5.ความเป็นด่างอ่อน ๆ โดยมีค่าความเป็นกรด-ด่างระหว่าง pH 7.25 - 8.50 เพื่อช่วยกำจัดความเป็นกรดและของเสียในร่างกาย ช่วยทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะสมดุล

6.ควรมีปริมาณออกซิเจนเจือปนอยู่ด้วยสูง สามารถตรวจวัดค่าได้ประมาณ 5 มิลลิกรัมต่อลิตรหรือมากกว่า

ลักษณะของน้ำดื่มบางชนิด

1.น้ำอ่อนเป็นน้ำที่ไม่มีแร่ธาตุ

2.น้ำกลั่นเป็นน้ำที่ไม่มีแร่ธาตุที่มีประโยชน์ละลายอยู่เลย

3.น้ำดื่มบรรจุขวดที่อาจมีสารปนเปื้อนและไม่ได้มาตรฐาน ร้อยละ 25 ของน้ำดื่มบรรจุขวดนำน้ำประปามาใส่ขวด และปรับปรุงคุณภาพเล็กน้อยเท่านั้น

4.น้ำประปามีคลอรีนซึ่งช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย แต่อาจจะก่อให้เกิดสารออกฤทธิ์ไม่พึงประสงค์ซึ่งเกิดจากคลอรีนทำปฏิกิริยากับสารอินทรีย์ในธรรมชาติซึ่งละลายอยู่ในน้ำ

5.น้ำอัดลมทำมาจากน้ำกลั่นหรือน้ำอ่อนที่ไม่มีแร่ธาตุ

6.น้ำหวานและน้ำผลไม้สำเร็จรูปเป็นน้ำตาลกับสีผสมน้ำ โดยแต่งกลิ่นธรรมชาติเข้าไปและอาจเติมวิตามินหรือแร่ธาตุปะปนอยู่บ้าง

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์ เลขที่ 2

โรคอ้วนเสี่ยงต่อโรคใดบ้าง?

คนอ้วนมีโอกาสเป็นโรคต่อไปนี้ได้ง่ายนั่นเอง

1.โรคความดันโลหิตสูง

2.โรคหัวใจขาดเลือด

3.โรคโคเลสเตอรอลสูงในเลือด

4.โรคไตรกลีเซอไรด์สูงในเลือด

5.โรคเบาหวาน

6.โรคนิ่วในถุงน้ำดี

7.กระดูกและข้อเสื่อมเร็วกว่าคนปกติ

8.ระบบทางเดินหายใจทำงานไม่สะดวก

9.โรคที่เกี่ยวกับปัญหาด้านจิตใจ

แต่ละโรคที่กล่าวมาแล้ว ล้วนแล้วแต่มีความร้ายแรงและยากต่อการรักษาพยาบาลเป็นอย่างยิ่ง ถ้าท่านยังไม่อ้วนและสามารถควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดได้ตลอดเวลา ท่านจะมีโอกาสเกิดโรคดังกล่าวน้อยมาก ส่วนท่านที่อ้วนแล้ว ท่านจะต้องตั้งใจอย่างแน่วแน่ เพื่อค่อยๆ ลดน้ำหนักลงมาให้อยู่ในเกณฑ์ปกติฑ์ให้ได้

การออกกำลังกาย

การออกกำลังกายเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้มีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง อดทน มีพละกำลังในการทำงาน มีอารมณ์และจิตใจที่แจ่มใสเบิกบาน กระฉับกระเฉงตลอดเวลา มีความคิดที่ฉับไว ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว และพร้อมเสมอที่จะเผชิญกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในแต่ละวัน การออกกำลังกายยังช่วยให้บุคลิกภาพ รูปร่างสง่างามทุกย่างก้าว เพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง เมื่อรูปร่างได้สัดส่วนสวยงาม

การสร้างแรงจูงใจในการออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญเริ่มต้นต้องมีกำลังใจที่แน่วแน่ ควรให้กำลังใจซึ่งกันและกัน สร้างความรู้สึกที่ดีให้กับเพื่อน ชักชวนไปออกกำลังกายด้วยกัน ความสุขจากการออกกำลังกายหาได้ไม่ยาก เพียงแค่สร้างความพร้อมที่จะเริ่มต้นออกกำลังกายอย่างถูกต้อง

ทดสอบสมรรถภาพก่อนออกกำลังกาย

การทดสอบสมรรถภาพร่างกาย รวมทั้งการตรวจสุขภาพร่างกาย เป็นสิ่งที่พึงกระทำก่อนการออกกำลังกาย เพราะการออกกำลังกายนั้น ร่างกายจะต้องทำงานมากว่าภาวะปกติ ผลการทดสอบสมรรถภาพร่างกายก่อนการออกกำลังกายจะเป็นตัวชี้วัดว่าควรออกกำลังกายแบบใด หนักแค่ไหน ใช้เวลาเท่าไร บ่อยแค่ไหน และควรมีผู้เชี่ยวชาญแนะนำหรือจัดโปรแกรมการออกกำลังกาย จะทำให้สามารถออกกำลังกายได้อย่างมั่นใจและถูกต้องตามหลักวิชาการมากขึ้น

การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ควรมุ่งหวังให้เกิดการเพิ่มสมรรถภาพร่างกายทั้ง 5 ด้าน ได้แก่

1.ประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจและปอด โดยถ้าหัวใจ ปอด และระบบไหลเวียนของเลือดสมบูรณ์แข็งแรง จะช่วยให้ไม่เหนื่อยง่าย จึงป้องกันและรักษาโรคหัวใจขาดเลือดได้

2.ความแข็งแรงของข้อต่อและเส้นเอ็น โดยต้องการให้ข้อต่อและเอ็นที่ยึดข้อต่ออ่อนตัวและยืดหยุ่น ป้องกันการติดยึดของข้อต่อและภาวะข้อเสื่อมเมื่อถึงวัยกลางคนและวัยสูงอายุ

3.ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

4.ความอดทนของกล้ามเนื้อ เพื่อลดอาการเมื่อยล้าในชีวิตประจำวัน

5.การมีสัดส่วนของร่างกายที่เหมาะสม รวมทั้งสัดส่วนไขมันของร่างกายที่ไม่มากเกินไป

ออกกำลังกายแค่ไหนจึงจะดี

การออกกำลังกายควรเริ่มด้วยการออกกำลังกายแบบเบาๆ และค่อยๆเพิ่มความหนักขึ้นโดยใช้ชีพจรเป็นตัวกำหนดความหนัก ซึ่งชีพจรสูงสุดของแต่ละคนสามารถคำนวณได้โดยนำ 220-อายุ นั่นคือชีพจรสูงสุดซึ่งเท่ากับ 100% ควรเริ่มต้นออกกำลังกายที่ความหนัก 60% หรือขนาดเบาก่อน เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัวรับงานที่ค่อยๆ หนักขึ้นได้ แต่ไม่ควรหนักเกินไปเพราะจะเกิดการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยได้ การออกกำลังกายที่เบาเกินไป เช่นไม่ถึง 50% ของชีพจรสูงสุดก็ไม่เกิดผลที่ดีต่อร่างกายเพราะร่างกายไม่เกิดการปรับตัว

ปกติร่างกายจะมีขบวนการการใช้พลังงาน การกำจัดของเสียที่เกิดจากการเผาผลาญพลังงาน เป็นขั้นตอนตามความหนักเบา จากกระบวนการใช้ออกซิเจนไปจนถึงกระบวนการไม่ใช้ออกซิเจน ซึ่งอัตราการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 85-92% จนถึงจุดที่ร่างกายต้องใช้พลังงานมาจากการสลายไขมันซึ่งให้พลังงานต่อกรัมมากที่สุด พบว่าความสามารถในการใช้พลังงานในระดับนี้มีปัจจัยทางพันธุกรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง

ขั้นตอนการออกกำลังกาย

โดยทั่วไปการออกกำลังกายสามารถแบ่งได้ 3 ขั้นตอน

ขั้นตอนที่ 1 - ช่วงอบอุ่นร่างกาย ก่อนที่จะออกกำลังกาย ต้องอบอุ่นร่างกายก่อน เช่น ถ้าจะออกกำลังกายด้วยการวิ่ง ก็ไม่สมควรที่จะลงวิ่งทันที่ เมื่อไปถึงสนามควรจะอุ่นร่างกาย มีอุณหภูมิสูงขึ้นก่อนอย่างช้าๆ เช่น การเคลื่อนไหวร่างกาย สะบัดแข้ง สะบัดขา แกว่งแขน วิ่งเหยาะอยู่กับที่ช้าๆ ชั่วระยะเวลาหนึ่งก่อน แล้วจึงออกวิ่ง การอุ่นร่างกายก่อนออกกำลังกายเป็นขั้นตอนแรกที่จะต้องกระทำ

ขั้นตอนที่ 2 - ช่วงการออกกำลังกาย เลือกใช้กิจกรรมที่ชอบและเหมาะสมกับสภาพร่างกาย เช่น การเดินเร็ว ตะกร้อ ฟุตบอล บาสเกตบอล ฯลฯ ซึ่งช่วงของการออกกำลังกายนี้จะใช้เวลาประมาร 20 - 30 นาที และพยายามให้ความหนักหรือชีพจรถึง 60% ของชีพจรสูงสุด หรือให้รู้สึกว่าเหนื่อยพอประมาณ แต่อย่าให้หนักเกินไป ควรตรวจเช็คชีพจรเป็นระยะ หรือใช้การสังเกตอาการเหนื่อยอย่างสบาย ก็ถือว่าไม่หนักเกินไป แต่ถ้าออกกำลังกายแล้วหายใจไม่ทัน หรือพูดไม่ออก แสดงว่า การออกกำลังกายหนักเกินไป อาจจะทำให้เกิดอันตรายได้ การออกกำลังกายที่เพียงพอ จะช่วยทำให้ร่างกายเกิดการเผาไหม้อาหารในร่างกาย โดยใช้ออกซิเจนในอากาศที่หายใจเข้าไปเพื่อทำให้เกิดพลังงาน การที่จะออกกำลังกายได้ถึงระดับนี้ เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ออกกำลังกายจะต้องเข้าใจให้ถูกต้อง

ขั้นตอนที่ 3 - ช่วงการผ่อนคลาย อาจจะใช้กิจกรรมเหมือนกับการอบอุ่นร่างกาย คือ การวิ่งเหยาะๆ และการบริหารกายยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ใช้เวลาประมาณ 5 -10 นาทีเช่นเดียวกัน ควรจะค่อยๆ ผ่อนการออกกำลังกายลงที่ละน้อย แทนการหยุดการออกกำลังกายโดยทันที ทั้งนี้เพื่อให้เลือดที่คั่งอยู่ตามกล้ามเนื้อได้มีโอกาสกับคืนสู่หัวใจ

การเปลี่ยนแปลงของร่างกาย

ปฎิกิริยาต่อการออกกำลังกายเกิดขึ้นในหลายส่วนของร่างกายและมีลักษณะต่างๆ กัน ได้แก่

1.กล้ามเนื้อ การออกกำลังทุกครั้งต้องอาศัยกล้ามเนื้อหดตัวดึงกระดูกซึ่งประกอบเป็นแขนขาและส่วนอื่นที่เกี่ยวข้อง

การออกกำลังกายทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงและทำหน้าที่ได้ดียิ่งขึ้น

2.หัวใจและหลอดเลือด เมื่อมีการออกกำลัง หัวใจจะได้รับการกระตุ้นทางระบบประสาทให้เต้นเร็วและแรงขึ้น สูบฉีดเลือดได้ปริมาณมากขึ้นหากต้องทำการเช่นนี้บ่อย ๆ หัวใจก็จะปรับตัวโดยเพิ่มขนาดของเส้นใย ทำให้ผนังห้องหัวใจหนา มีแรงสูบฉีดและกำลังสำรองมากขึ้น การออกกำลังกายจะทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจเพิ่มขึ้น ช่วยให้หัวใจสะสมพลังงานไว้ใช้เมื่อเวลาหัวใจต้องทำงานหนัก และเพิ่มความแข็งแรงในการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ นอกจากนี้ยังลดระดับไขมันในเลือด เพิ่มระดับไขมันที่ดี ลดระดับความดันโลหิต ลดการเต้นของหัวใจ ทำให้หัวใจทำงานน้อยลง

3.ปอดและการหายใจ ในการหายใจตามปกติ ศูนย์ควบคุมการหายใจซึ่งอยู่ภายในสมอง จะสั่งการให้กล้ามเนื้อซี่โครงและกะบังลมหดตัว ทำให้ทรวงอกขยาย อากาศภายนอกดันผ่านจมูก หลอดลมคอ และหลอดลมปอดเข้าไปในถุงลม การออกกำลังกายช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของระบบหายใจ

4.ระบบประสาท ขณะออกกำลังสมองจะสั่งให้กล้ามเนื้อหดตัว จนเมื่อถึงขีดหนึ่งศูนย์สั่งการในสมองก็ถูกกดและเข้าสู่ระยะเหนื่อยจนหมดแรง อัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมองจะลดลงร้อยละ 30 เมื่อออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอกจากนี้การออกกำลังกายยังทำให้มีความสุข และรู้สึกสบายใจจากสารเอ็นดอร์ฟินที่หลั่งออกมาจากสมองขณะออกกำลังกาย

5.ระบบและส่วนอื่นๆ

o กระดูกที่ถูกกล้ามเนื้อดึงจะมีผิวหนาและแข็งแรงขึ้น ในเด็กกระดูกบางชิ้นจะยาวขึ้นด้วย ทำให้ร่างกายสูงใหญ่่

o สารฮีโมโกลบินและจำนวนเม็ดเลือดแดงมากขึ้น ปริมาตรเลือดสำรองที่เก็บไว้ในม้ามและที่อื่นๆ จะมากขึ้น

o ต่อมไร้ท่อ เช่น ต่อมหมวกไต ต่อมใต้สมอง ถูกกระตุ้นให้หลั่งมากขึ้น ตับอ่อนทำงานดีนั้น ผู้ที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะมีโอกาสการเกิดโรคเบาหวานลดลงร้อยละ 40

o มีการสะสมสารเคมีบางอย่างไว้สำหรับใช้ระหว่างการออกกำลังกาย การออกกำลังกายหนักปานกลาง จะช่วยให้อายุขัยเพิ่มขึ้น 1-2 และลดอุบัติการการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรลงร้อยลง 60

o ระบบควบคุมอุณหภูมิกายจะมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งได้ร้อยละ 30

บัญญัติ 10 ประการในการออกกำลังกาย

1.ออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วันน

2.ออกกำลังกายครั้งละ 15-30 นาที

3.ออกกำลังกายแบบค่อยเป็นค่อยไป อย่าหักโหม

4.ควรอบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลังกายและผ่อนกายก่อนเริ่มออกกำลังกาย

5.ออกกำลังกายให้เหมาะสมกับวัย

6.ออกกำลังกายที่ให้ความสนุกสนาน

7.แต่งกายให้เหมาะสมกับกับชนิดของการออกกำลังกาย

8.ออกกำลังกายในสถานที่ปลอดภัย

9.ควรออกกำลังกายหลากหลายชนิด

10.ผู้สูงอายุ หญิงมีครรภ์ ผู้มีโรคประจำตัว ต้องตรวจสุขภาพก่อนออกกำลังกาย

ข้อแนะนำบางประการ

1.การรับประทานอาหาร ควรกระทำก่อนออกกำลังกายอย่างน้อย 2 -3 ชั่วโมง เพราะถ้ารับประทานอาหารอิ่มใหม่ๆ กระเพาะจะขยายตัว เลือดต้องไปเลี้ยงกระเพาะมากเป็นพิเศษและทำให้ปอดและกะบังลมขยายตัวไม่ได้เต็มที่ อาจมีอาการจุกเสียดอาหารที่รับประทาน ควรเป็นอาหารที่ย่อยง่ายๆ เช่น จำพวกแป้ง คาร์โบไฮเดรต ส่วนอาหารจำพวกไขมันและโปรตีน ไม่ควรรับประทานก่อนการออกกำลังกายเพราะต้องใช้เวลาย่อยนาน และให้พลังงานช้า

2.น้ำเป็นสิ่งจำเป็นมากในการออกกำลังกาย เพราะน้ำจะทำให้ร่างกายอยู่ในสภาวะสมดุล ทำให้ร่างกายทำงานได้อย่างปกติ แม้จะทำงานหนักขึ้น โดยเฉพาะสภาพอากาศที่ร้อน ร่างกายจะเสียน้ำมากจึงต้องได้รับการชดเชย โดยมีหลักการให้น้ำแก่ร่างกายดังนี้

o ก่อนออกกำลัง 15 นาที ควรดื่มน้ำ 1 แก้ว

o ขณะออกกำลังกาย ควรดื่มน้ำ 1 แก้ว ทุกๆ 15 -20 นาที เพื่อชดเชยกับน้ำที่ร่างกายสูญเสียไปกับเหงื่อ

o ถ้าออกกำลังกายนานเกิน 1 ชั่วโมง และเสียเหงื่อมาก ควรชดเชยด้วยน้ำและเกลือแร่ควบคู่กันไป

3.บางครั้งอาจเกิดการบาดเจ็บขึ้นได้จากการที่ไม่ได้อบอุ่นร่างกายให้เพียงพอ หรือออกกำลังกายหนักเกินไป การบาดเจ็บที่พบบ่อยๆ เช่น

o เป็นลม เพราะเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายไม่เพียงพอ หรือออกกำลังกายหนักเกินไป การปฐมพยาบาลเบื้องต้น คือ ให้พักในที่ร่ม คลายเสื้อผ้าให้หลวม นอนราบยกเท้าสูง ใช้ผ้าเช็ดตามร่างกาย

o เอ็นข้อต่อฉีกขาด เพราะข้อพลิก หรือข้อรับน้ำหนักมากเกินไป การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ให้พักใช้น้ำแข็งห่อผ้าประคบตรงข้อที่เจ็บ ยกส่วนที่เจ็บให้สูงและใช้ผ้ายืดพ้นป้องกันการบวม

o กล้ามเนื้อฉีกขาด จากการที่กล้ามเนื้อยืดตึง มากเกินไป หรือออกแรงแบบกระตุกทันทีทันใด การปฐมพยาบาลยืดกล้ามเนื้อที่เป็นตะคริวอย่างช้าๆ และหยุดการออกกำลังกาย

4.เมื่อมีการบาดเจ็บและเกิดการบวมขึ้น เพราะเส้นเลือดของส่วนที่ได้รับบาดเจ็บหรือมีการฉีกขาด เลือดออกมาตรงตำแหน่งนั้น การใช้ความเย็นร่วมกับการออกแรงกดส่วนที่บวมนั้น ความเย็นจะไปช่วยทำให้เส้นเลือดหดตัวและจะช่วยทำให้เลือดออกน้อยลง ดังนั้นอาการบวมก็จะน้อยลง การดูดซึมกลับของร่างกายเพื่อให้ยุบบวมก็จะใช้เวลาน้อยลง ซึ่งตรงกันข้ามกับการใช้ความร้อน หรือสิ่งที่นวดแล้วเกิดความร้อนในเบื้องต้น จะทำให้เส้นเลือดขยายตัว รวมทั้งไปนวดคลึงตำแหน่งที่ได้รับบาดเจ็บ จะยิ่งทำให้เลือดออกและบวมมากขึ้น การดูดซึมกลับก็จะใช้เวลานานขึ้น

5.ควรออกกำลังกายด้วยความสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวัน หรืออย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งจะใช้สถานที่ที่ไหนก็ได้ที่เราสามารถไปได้ แม้กระทั่งที่บ้าน โดยเลือกกิจกรรมให้เหมาะสมกับสถานที่สภาพดินฟ้าอากาศ สภาพร่างกาย และการแต่งกาย

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์ เลขที่ 2

เผาผลาญแคลอรี

(1) หากอยากกินขนม ให้ดื่มน้ำแทน เอาให้อิ่มไปเลย

(2) พยายามให้ตู้เก็บอาหารของเราว่างเปล่า เพื่อจะไม่ได้มีสิ่งยั่วยวนให้เราตบะแตก

(3) ติดรูปนางแบบ หรือ นายแบบ ที่เราฝันอยากจะเป็น เพื่อสร้างแรงจูงใจ ในการลดความอ้วน

(4) กินของที่มีรสชาติร้อนแรง เช่น พริกป่น ขิง ซอสพริก จากรายงานของ มหาวิทยาลัยเกียวโต ญี่ปุ่น พบว่ามันจะกระตุ้นการเผาผลาญแคลอรีได้ประมาณ 25%

(5) หลับเพื่อลดความอ้วน เมื่อคุณหลับโอกาสที่จะหาของกินย่อมมีน้อยลง

(6) เป็นนักช็อปที่ฉลาด มีรายชื่อข้าวของที่คุณต้องการที่จะซื้อ และให้ซื้อเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกิดกิเลสไปซื้อของอ้วนๆมากิน

(7) กินข้าวเช้าเถอะที่รัก เพราะมันจะไม่ทำให้คุณหิวมากตอนช่วงกลางวัน

(8) ฟังเพลงที่มีสุนทรียรส (พวกเพลงอกหัก อย่าฟัง) นักวิจัยพบว่า สมองเราทำงานเมื่อเวลาฟังเพลงดีๆ เหมือนกับตอนที่เราหม่ำอาหารที่ชอบ

(9) อย่ากินจนกว่าจะนั่ง

(10) ดื่มชาเขียว มหาวิทยาลัยสวิสเซอร์แลนด์พบว่าการดื่มชาเขียวจะช่วย เผาผลาญแคลอรี พยายามดื่ม 3 ถ้วยต่อวัน

(11) เวลากินก็สนใจในสิ่งที่ตนเองกิน หากตอนที่เราดูทีวี อ่านหนังสือ หรือดู internet ก็อย่ากิน

(12) พยายามหาเวลาไปเดิน เพราะนอกจากจะช่วยเผาผลาญแคลอรีแล้ว แสงแดดยังช่วยทำให้ลดความอยากอาหารด้วย

(13) พยายามหมั่นแปรงฟัน เพราะมันช่วยลดความอยากของคุณได้

(14) กินพออิ่ม เหลือก็ช่างมันเถอะ อย่าเสียดาย ให้คิดเสียว่าหากกินเข้าไป เวลาจะลด อาจจะเสียเงินมากกว่า

(15) อย่าใจร้อนจะลดความอ้วนภายในพริบตา เพราะนอกจากมันจะทำไม่ได้แล้ว คุณจะเสียกำลังใจไปเปล่าๆ

(16) เดินขึ้นบันไดแทนการขึ้นลิฟท์

(17) ซื้อเชือกกระโดด มันเป็นการออกกำลังกายที่ดี และไม่เปลืองที่อีกด้วย

(18) บริหารก้น เมื่อคุณยืนรอรถเมล์ หรือ นั่งทำงาน ลองพยายามเกร็งกล้ามเนื้อที่ก้นแล้วก็คลาย มันไม่เพียงแต่ทำให้ก้นคุณกระชับ แต่มันทำให้เราผ่อนคลายด้วย (เอ้อ ดีแฮะ)

(19) ไปซื้อดัมเบลล์มาเล่นที่บ้าน เวลาว่างก็เอามันมายกขึ้นยกลง

(20) ลองขึ้นบันได้ทีละสองขั้น

(21) บ้านไหนมีสวน ก็ไปขุดดิน ตัดหญ้าบ้าง เอาแคลอรีออกไป

(22) ไปซื้อวิดีโอออกกำลังกาย เปลี่ยนบ้านให้เป็น ฟิตเนสเลย

วีระวัฒน์ (ภาคค่ำ) เลขที่ 12

การเริ่มต้นออกกำลังกาย

หลายท่านไม่เคยออกกำลังมาก่อนเมื่อเริ่มออกกำลังอาจจะทำให้เหนื่อยง่ายวิธีดีที่สุดของการเริ่มต้นออกกำลังกาย คือให้เริ่มออกกำลังกายจากกิจวัตรประจำวันเช่น

1.ใช้การเดินหรือขี่จักรยานเมื่อไปที่ไม่ไกล

2.หยุดใช้รถหนึ่งวันแล้วใช้การเดินไปทำงานสำหรับผู้ที่บ้านและที่ทำงานไม่ไกล

3.ใช้บันไดแทนการขึ้นลิฟต์หรือบันไดเลื่อน

4.ขี่จักรยานรอบหมู่บ้าน

5.ทำงานบ้าน เช่นทำสวน ล้างรถ ถูบ้าน

<<<<----ควบคุมน้ำหนักอย่างไรให้ดูดี---->>>>

•--- พยายามดื่มน้ำให้มากเข้าไว้ เพราะน้ำไม่ได้ให้พลังงานแต่จะช่วยเพิ่มการเผาผลาญอาหาร และทำให้ผิวพรรณดูสดชื่น

•--- เพิ่มการรับประทานวิตามินรวม (Multi-vitamin/mineral) เสริมในมื้ออาหาร เพื่อป้องกันสภาวะการขาดสารอาหาร และเสริมภูมิต้านทานของคุณ

•--- ออกกำลังกายพอประมาณแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ Weight-Training และ Aerobic Training โดยไม่ต้องหักโหม เพียงแค่วันละ 1 ชั่วโมงก็เพียงพอ (Weight-Training 30-45 นาที และ Aerobic Training 15-30 นาที)

•--- ควบคุมปริมาณสารอาหาร คุณไม่จำเป็นต้องอดอาหาร เพียงแต่เลือกรับประทานชนิดของอาหารให้ถูกต้องเพิ่มโปรตีนให้สูงขึ้น ลดอาหารจำพวกแป้ง และน้ำตาล และพยายามงดอาหารจำพวกไขมัน

•--- เลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารให้เหมาะสมกับโปรแกรมควบคุมน้ำหนัก เช่น Cromium Piclinate, L-Carnitine, HCA, ไฟเบอร์ชนิดต่าง ๆ และกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว เช่น Omega 3 และ 6 เป็นต้น

วีระวัฒน์ (ภาคค่ำ) เลขที่ 12

ทำกิจวัตรเหล่านั้นทุกวันเป็นเวลา 2-3 เดือน หลังจากเพิ่มกิจกรรมได้พักหนึ่งจึงเริ่มต้นเพิ่มการออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น เช่น

1.เดินให้เร็วขึ้นสลับกับเดินช้า

2.ขี่จักรยานนานขึ้น

3.นบันไดหลายชั้นขึ้น

4.ขุดดิน ทำสวนนานขึ้น

5.ยน้ำ

6.เต้น aerobic แต่ไม่ต้องมาก

7.เต้นรำ

8.เล่นกีฬา เช่น แบดมินตัน เทนนิส ปิงปอง ฯลฯ

มีต่อนะคับ

พัชรินทร์ (ภาคค่ำ) 47322814

ใยอาหารช่วยลดน้ำหนักตัวอย่างไร?

หลายๆ ท่านในวงการลดน้ำหนัก ให้เครดิตต่อใยอาหารไว้ค่อนข้างสูงกว่า ใยอาหารจะเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการนำมาใช้ลดน้ำหนักตัวของคนเรา เพราะใยอาหารไม่ได้ให้พลังงานใด ๆ เลยแม้แต่ แคลอรี่เดียว ใยอาหารเป็นส่วนหนึ่งของพืช ผัก ผลไม้ ที่เมื่อเรารับประทานเข้าไป จะไม่ถูกย่อยสลายโดยน้ำย่อยของคนเรา ใยอาหารที่เรารับประทานเข้าไป เมื่อตกถึงกระเพาะมันมีแนวโน้มที่พองตัวขึ้น จึงทำให้เราอิ่มเร็วกว่าปกติ ดังนั้น วงการลดน้ำหนักในปัจจุบัน จึงมีผู้ใช้ใยอาหารกันมากมายในท้องตลาด แต่ท่านคงต้องศึกษาหรือปรึกษาผู้รู้ก่อนว่า ใยอาหารชนิดใดเหมาะสมสำหรับท่าน เนื่องจากปกติใยอาหารมักจะไม่ค่อยมีรสชาด ใยอาหารบางยี่ห้อจึงอาจใส่สารเพิ่มรสชาดเข้าไปด้วย ซึ่งจะมีแคลอรี่เพิ่ม และบางทีท่านอาจจะต้องรับประทานสารอาหารที่จำเป็น เช่นพวกวิตามินเพิ่มเติมเข้าไป ถ้าหากเห็นว่าใยอาหารที่เลือกใช้ อาจขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย

ดังนั้น ถ้าท่านเลือกใยอาหารที่ได้จากพืชผักและผลไม้สด มารับประทานเพื่อลดน้ำหนัก จะทำให้ท่านไม่ขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย และในขณะที่น้ำหนักของท่านลดลงเรื่อยๆ ท่านก็จะไม่อ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปด้วย

วีระวัฒน์ (ภาคค่ำ) เลขที่ 12

ออกกำลังกายอย่างปลอดภัย

ถ้าหากท่านได้เตรียมความพร้อมที่จะออกกำลังกายแล้วอยากจะฟิตร่างกายท่านสามารถทำได้ทันที แต่หากมีอาการหรือโรคต่อไปนี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฟิตร่างกาย

1.ถ้าท่านอายุมากกว่า 45ปี

2.หรือมีโรคประจำตัวเช่นโรคความดันโลหิตสูง

3.โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง

4.สูบบุหรี่

หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ

5.มีอาการเจ็บหน้าอก เหนื่อยมาก

6.มีอาการหน้ามืด

<<<วิธีเตรียมตัวก่อนและในระหว่างดื่ม>>>

หลายคนไม่ใช่นักดื่มโดยกิจวัตร แต่อาจมีโอกาสพิเศษให้ต้องจิบนั่นนิด กรึ๊บนี่หน่อย เมื่อต้องออกงานสังสรรค์บันเทิง โดยเฉพาะในช่วงปลายปีอย่างนี้ ดูจะมีอยู่หลายงานทีเดียวที่เครื่องดื่มประเภทฮาร์ดดริ๊งค์เป็นหนึ่งในรายการหลัก ที่บริการในรูปแบบต่างๆ ทั้งแบบรินชงจากขวด และแบบค็อกเทล พั้นช์ บางชนิดไม่มีกลิ่น แถมยังดื่มเพลินเสียด้วย เอาเป็นว่า ถ้าต้องตกกระไดพลอยดื่ม ก็อยากให้คุณๆ ได้เตรียมตัวกันสักนิด จะได้ไม่เสียจริตและสุขภาพ และนี่คือทิปส์ดีๆ ที่นำมาฝากกัน

1. อย่าดื่มเมื่อท้องว่าง

เพราะร่างกายจะดูดซับแอลกอฮอล์ได้ไวและมากกว่าปกติ ทำให้เมาเร็ว ทางที่ดีก่อนดื่มเหล้าประมาณ 1 ชั่วโมง ควรกินอาหารประเภทข้าว นม และไข่ รองท้องไว้ก่อน ถ้าเป็นไปได้ ควรทำแกงประเภทจับฉ่าย ซึ่งมีกะหล่ำปลีเยอะๆ กินไปก่อนจากบ้าน

2.เลือกชนิดอ่อน

การดื่มในงานสังสรรค์ปาร์ตี้มักใช้เวลานานอย่างน้อยก็ 2-3 ชั่วโมง ดังนั้นเพื่อการมีส่วนร่วมตลอดงาน ควรเลือกดื่มแอลกอฮอล์ที่มีดีกรีต่ำ อย่างเครื่องดื่มผสมจากน้ำผลไม้ หรือเบียร์ ดีกว่าวิสกี้

3.หนักแน่นในปริมาณที่จำกัด

อย่าให้เสียงเชียร์รอบข้างทำให้คุณต้องดื่มมากเกินควบคุมสติ

4.อย่าดื่มรวดเดียวหมด

ค่อยๆ ดื่มทีละนิดจนหมดแก้ว หรือเลือกดื่มเครื่องดื่มที่ผ่านการผสมกับมิกเซอร์ จะทำให้คุณดื่มได้นาน และได้รับปริมาณแอลกอฮอล์น้อยกว่า

5.เลือกเหล้าขาวๆ

หรือสีจางไว้ก่อน ควรจะผสมน้ำ ไม่ควรผสมโซดา เพราะโซดาจะทำให้การดูดซึมแอลกอฮอล์ผ่านไปถึงสมองเร็วขึ้น

6.ดื่มไปกินไป

ควรดื่มแล้วพัก สลับกับการพูดคุย และกินกับแกล้มบ่อยๆ ที่ไม่ใช่จำพวกของทอด เพราะอาหารมันไม่ช่วยดูดซับแอลกอฮอล์ในกระเพาะอาหาร แนะนำให้กินอาหารประเภทโปรตีนอย่างถั่ว ชีส และ ไข่

7.อย่าดื่มผสม

ถ้าดื่มแอลกอฮอล์ประเภทไหนก็ควรดื่มชนิดเดียวไปจนจบปาร์ตี้ การดื่มผสมเหล้าบ้าง เบียร์บ้าง หรือไวน์ แล้วมาแชมเปญ จะทำให้คุณเมาหนัก และปวดหัวเมื่อตื่น

8.พักเมื่อมึนเบลอ

ถ้าเริ่มรู้สึกหนักหัว หรือเบลอ ให้เดินออกมาสูดอากาศข้างนอก ดื่มน้ำเปล่า และพักสักสิบนาที

9.หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ระหว่างดื่ม เพราะนั่นจะยิ่งทำให้คุณเมาเร็ว และแฮ็งหนักในตอนเช้า

10.อย่าปล่อยให้แก้วเต็มและพร่องมาก

ควรเว้นปริมาณเครื่องดื่มอยู่ที่ประมาณครึ่งแก้วเสมอดีที่สุด เพราะไม่อย่างนั้น คุณจะถูกเชียร์ให้ดื่มอยู่ตลอดเวลา

11.พกวิตามิน บี 6 ติดกระเป๋า

ระหว่างการดื่มก็กินวิตามินสักครั้งหนึ่ง เพราะหลังจากงานเลิกคุณจะไม่มีอาการมึนเมา หรือถ้ามีก็ไม่มากจนทำให้คุณควบคุมตัวเองไม่ได้ ซึ่งเมื่อคุณตื่นเช้าขึ้นมา มันจะช่วยไม่ให้คุณทรมานจากอาการปวดหัวเนื่องจากเมาค้าง นอกจากนั้นตอนกินเหล้าควรจะกินของหวานไปด้วย เพื่อเป็นการชดเชยน้ำตาลในร่างกายที่สูญเสียไป

พัชรินทร์ (ภาคค่ำ) 47322814

---หลากวิธีบำรุงผม---

ผมธรรมดา

สาว ๆ ที่มีเส้นผมธรรมดา ควรแปรงและจัดแต่งทรงผมด้วยแปรงที่ทำมาจากขนสัตว์ธรรมชาติ และใช้แชมพูชนิดอ่อน ๆ ที่อุดมไปด้วยสารสกัดจากเปลือกไม้ปานามา ว่านหางจระเข้ และกรดมะนาวเพื่อให้ผมสะอาดและคงสภาพเส้นผม สาวผมธรรมดาไม่ควรที่จะแปรงผมมากเกินไป เพราะจะทำให้ผมขาดง่าย นอกจากนี้ยังไม่ควรใช้ไดร์เป่าผมที่มีความร้อนจัด ไม่ควรดัดและเปลี่ยนสีผมบ่อย ๆ

ผมมัน

ควรแปรงผมในขณะที่ผมแห้งด้วยแปรงขนธรรมชาติ เพื่อกำจัดฝุ่นละออง น้ำมันและสิ่งสกปรกที่เกาะติดอยู่ออก ควรสระผมไม่เกินวันละครั้ง และควรใช้ครีมบำรุงผมเฉพาะบริเวณปลายผมเท่านั้น

ผมแห้ง

ควรปกป้องเส้นผมทุกครั้งที่เผชิญกับแสงแดด หรืออากาศเย็นจัด สระผมด้วยแชมพูสำหรับผมแห้งโดยเฉพาะ และใช้น้ำเย็นล้างผมเสมอ ข้อห้ามสำหรับสาวผมแห้งก็คือ อย่าดัดหรือเปลี่ยนสีผมบ่อย อย่าหวีผมแรงๆ และอย่าใช้ความร้อนในการเป่าผมด้วย

ผมเส้นเล็ก

ควรใช้ครีมนวดผมทุกวัน และใช้แชมพูที่สกัดจากโรสแมรี่และเลซิติน เพื่อช่วยเคลือบแกนเส้นผม รักษาความสมดุลของความชุ่มชื้น และควรดูแลผมเป็นพิเศษเมื่อต้องเผชิญกับแสงแดดและอากาศที่เย็นจัด ทั้งนี้สาวผมเล็กลีบไม่ควรหวีผมมากเกินไป เพราะจะทำให้เส้นผมของคุณแห้งและแตกหักง่าย

การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพคืออะไร

คือ การออกกำลังกายเพื่อเพิ่ม หรือคงไว้ซึ่งความทนทานของระบบไหลเวียน

โลหิตและปอด โดยมีขบวนการใช้ออกซิเจน ในขบวนการเผาผลาญ เพื่อให้

เกิดพลังงานสำหรับการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง จึงมีชื่อเรียกการออก

กำลังกายชนิดนี้ว่า AEROBIC EXERCISE

ประโยชน์ต่อสุขภาพ

1. ระบบไหลเวียนโลหิต

1.1 ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงมากขึ้น สามารถสูบฉีดโลหิตได้ปริมาณ

มากขึ้น

1.2 เพิ่มหลอดโลหิตฝอยมาเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจมากขึ้น

1.3 ลดอัตราการเต้นของหัวใจ ทั้งในขณะพัก และออกกำลังกาย ทำให้ไม่

เหนื่อยง่าย

1.4 ลดแรงต้านทานส่วนปลายของหลอดโลหิตฝอยทำให้ความดันโลหิตลดลง

ทั้งขณะพัก และออกกำลังกายลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิต

สูง

2. ระบบหายใจ

2.1 ความจุปอดเพิ่มขึ้น ทำให้การแลกเปลี่ยนออกซิเจนมากขึ้น

2.2 เพิ่มปริมาณโลหิตไปสู่ปอด ทำให้การไหลเวียนของปอดดีขึ้น

2.3 เพิ่มประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนก๊าซที่ปอด ทำให้ประสิทธิภาพการ

หายใจดีขึ้น

3. ระบบชีวเคมีในเลือด

3.1 ลดปริมาณคอเลสเตอรอล (Cholesterol) และไตรกลีเซอไรด์

(Triglyceride) จึงลดอัตราเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน และ

โรคหลอดเลือดสมองอุดตัน

3.2 เพิ่ม HDL Cholesterol ซึ่งช่วยลดการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน

3.3 ลดน้ำตาลส่วนเกินในเลือด เป็นการช่วยป้องกันโรคเบาหวาน

4. ระบบประสาทและจิตใจ

4.1 ลดความวิตกกังวลและคลายความเครียด

4.2 มีความสุขและรู้สึกสบายใจจากสาร Endorphin ที่หลั่งออกมาจาก

สมองขณะออกกำลังกาย

ขั้นตอนและหลักในการปฏิบัติ

ถ้ามีอายุมากกว่า 35 ปี ควรตรวจสุขภาพ ว่ามีโรคหัวใจหรือไม่ก่อน

การออกกำลังกายชนิดนี้ ควรรู้วิธีเหยียดและยืดกล้ามเนื้อ รวมทั้งอุ่นเครื่อง

(Warm up) และเบาเครื่อง (Cool down) หลักในการปฏิบัติ เป็นการใช้

กล้ามเนื้อมัดใหญ่อย่างน้อย 1 ใน 6 ส่วนของร่างกาย ออกกำลังอย่างสม่ำ

เสมอ

คำศัพท์

Frequency (F) หมายถึงความถี่ในการออกกำลังกายใน 1 สัปดาห์ อย่าง

น้อย 3 วัน อย่างมาก 6 วัน

Intensity (I) หมายถึงความหนักในการออกกำลังกาย ใช้อัตราการเต้น

ของชีพจรเป็นเกณฑ์ ให้ได้ประมาณระหว่างร้อยละ 70-90 ของอัตราเต้น

สูงสุดของหัวใจ ซึ่งสามารถคำนวนได้จากการนำอายุไปลบออกจากเลข 220

ตัวอย่างเช่น ชายอายุ 20 ปี จะใช้ความหนักในการออกกำลังกายชนิดนี้เท่า

ใด

คำตอบคือ (220-20)x 70 ถึง 90 หาร 100 เท่ากับ 140 ถึง 180 ครั้งต่อนาที

Time (T) หมายถึง ช่วงเวลาในการออกกำลังกายในแต่ละวัน อย่างน้อย

10-15 นาที ใน 6 วัน อย่างมาก 30-45 นาทีใน 3 วัน

รูปแบบการออกกำลังกาย

มีหลากหลายชนิดเช่น วิ่งเหยาะ, เดินเร็ว, ขี่จักรยาน, ว่ายน้ำ, เต้นแอโรบิค,

ฟุตบอล, บาสเก็ตบอล, เทนนิส, แบดมินตัน, ตระกร้อข้ามตาข่าย, วอลเลย์

บอล เป็นต้น

ข้อควรระวัง

ควรงดการออกกำลังกาย ในขณะเจ็บป่วย มีไข้ พักผ่อนไม่พอควรออกกำลัง

กายก่อนอาหารหรือหลังอาหารหนักผ่านไป 3-4 ชั่วโมง และดื่มน้ำอย่างเพียง

พอ ควรหลีกเลี่ยงสภาพอากาศที่ร้อนจัด หนาวจัด ฝนฟ้าคะนอง มลภาวะมาก

สวมเสื้อผ้าที่เหมาะสมควรพักหากมีอาการแน่นหน้าอก คลื่นไส้ อาเจียน

และไปพบแพทย์

การรักษาสุขภาพ

1. งีบทุกวัน วันละ 15 นาที Dr.Bill Anthony of Boston University กล่าวว่า การงีบจะช่วยทำให้ประสิทธิภาพ และสมาธิในการทำงานดีขึ้น

2. กินกล้วยวันละ 2 ใบ ลดความเสี่ยงในการเกิด stroke ลงได้ 20% (stroke คือ การเป็นลม เนื่องจากสมองขาดเลือด)

3. ทาน ช็อคโกแลต 3 ชิ้นต่อเดือน อายุยืนขึ้น 1 ปี เพราะ chocolate แสดงออกถึงประสิทธิภาพในการลด LDL Cholesteral

4. เปลี่ยนไส้แซนวิชของคุณ จากแฮมเป็นปลาทูน่าลดอัตราการเกิดโรคหัวใจได้ 25%

5. จูบลาแฟนคุณทุกเช้า และทักเธอทันทีเมื่อถึงบ้าน ทำชีวิตสมรสคุณให้ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ Dr.Dave M. Davis, Director of the Piedmont Psychiatric Clinic in Atlanta in U.S. กล่าวว่า ผมเห็นคนไข้หลายคนที่มีความสัมพันธ์ในชีวิตสมรสดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงเวลาสั้นๆ หลัง จากที่ได้ทำตามคำแนะนำง่ายๆ นี้

6. ลดการทำงานลงวันละ 1 ชั่วโมง ชะลอการตายของคุณออกไป จากการศึกษาในประเทศญี่ปุ่น พบว่า ผู้ชายที่ทำงานมากกว่า 11 ชั่วโมงต่อวัน มีโอกาสหัวใจวายมากกว่าคนปกติที่ทำงานถึง 9 ถึง 11 ชั่วโมงต่อวัน ถึง 2.5 เท่า

7. เดินไปส่งเอกสารให้เพื่อนร่วมงาน แทนการส่ง e-mail ลดน้ำหนักลงได้ 0.5 ก.ก. ต่อปี

8. เริ่มเก็บเงินวันละ 100 บาท เพื่อใช้ตอนที่คุณเลิกทำงาน เมื่อผ่านไป 20 ปี คุณจะมีเงินเก็บทั้ง สิ้น 3,740,000 บาท (สมมติได้ผลตอบแทน 15 % ต่อปี)

9. หลังจากออกกำลังกายอย่างหนัก ให้ทานวิตามินซี ลดความเสี่ยงในการเป็นหวัดลง 50%

10. กินอาหารเช้าทุกวัน ลดน้ำหนักได้ทันที Franca Alphin จาก Duke University Diet and Fitness Centre in the US กล่าวว่า ทั่วไปแล้วผู้ชายที่เว้นกินอาหารเช้าจะทานอาหาร มากกว่านั้นในช่วงต่อมา และมักจะเลือกอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันและ kilojules

11. ดื่มน้ำเย็นวันละ 4.5 ลิตร ทุกวัน ลดน้ำหนักลงได้ 0.5 ก.ก. ทุกๆ 4 สัปดาห์ ทั้งนี้ เนื่องจากร่างกายของคุณจะใช้พลังงาน 516 kilojules ในการทำให้น้ำดื่มอุณหภูมิเป็น 22.7 องศาเฃลเฃียส เมื่อคุณดื่มเข้าไป

12. เหยียดขา (hamstring) ของคุณออกไปเต็มที่ค้างไว้ 30 วินาที วันละ 5 ครั้ง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและปรับปรุงความสามารถในการยืดหยุ่นของคุณอีก 37%

13. บ้วนปากทันทีทุกครั้งหลังกินอาหาร ลดแบคทีเรียในช่องปากลงได้ 30% และที่สำคัญที่สุด คือช่วยลดความเสี่ยงของฟันผุ

14. กินแอปเปิลวันละ 2 ลูก ลด 4.5 kg ได้ภายใน 1 ปี เส้นใยอาหารในแอปเปิลช่วยในการลดน้ำหนัก ด้วยการช่วยขัดขวางการย่อยไขมันและโปรตีนในร่างกาย

15. ทำความสะอาดอ่างล้างจานของคุณทุก ๆ 2 วัน กำจัด E.coli และ samonella bacteria จากสถานที่ที่มันชอบซ่อนตัวอยู่เป็นประจำ

16. เปลี่ยนแปลงจากเนยมาทาน low fat magerine แทนการลดปริมาณ cholesteral (LDL cholesteral เป็นชนิดที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย) ที่ร่างกายคุณจะได้รับ

17. ดื่มเบียร์ประเภท stout แทนการดื่มประเภท soft drink เมื่อคุณกิน berger ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง เบียร์จะเป็นตัวป้องกันคุณจาก carcinogens ที่มีอยู่ในเนื้อย่างสุก

อย่างที่พวกเราทราบกันดีอยู่แล้วว่า โปรตีนเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ร่างกายจึงขาดโปรตีนไม่ได้

มีผู้ที่สงสัยอยู่เสมอว่าทำไมคนที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ซึ่งมีสารอาหารโปรตีนอยู่มาก จึงอยู่ได้อย่างสบาย เช่น ท่านที่รับประทานอาหาร ประเภทพืชผัก ผลไม้ หรือที่เราเรียกกันว่า มังสวิรัติ คำตอบก็คืออาหารประเภทมังสวิรัติเหล่านี้ เช่น ถั่วเมล็ดแห้ง ข้าว ข้าวสาลี ข้าวโพด จะมีสารอาหารโปรตีนเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถั่วเมล็ดแห้ง จำพวกถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำและถั่วลิสงจะมีปริมาณของโปรตีนที่สูงพอสมควร

แต่เมื่อเปรียบเทียบกับโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เราจะพบว่า โปรตีนจากพืชส่วนใหญ่จะมีปริมาณน้อยกว่าต่อน้ำหนักที่เท่ากัน ยกเว้นพวกถั่วเมล็ดแห้ง และคุณภาพของโปรตีนในพืชจะด้อยกว่าของในสัตว์ เพราะโปรตีนที่ได้จากพืชจะมีสารที่จำเป็นไม่ครบถ้วน แต่อย่างไรก็ตาม โปรตีนจากพืชก็ยังมีความสำคัญ เพราะมีราคาถูกกว่า และเป็นอาหารหลักของประเทศที่กำลังพัฒนา เพียงแต่ต้องให้ความรู้ความเข้าใจว่าควรจะต้องได้รับโปรตีนจากสัตว์เพิ่มจากที่เป็นอยู่ เพราะจะทำให้เพิ่มทั้งปริมาณและคุณภาพของโปรตีนที่รับประทานในแต่ละวัน แต่มีข้อสังเกตบางประการที่ท่านควรทราบว่าเวลาเรารับประทานเนื้อสัตว์ สิ่งที่เราหลีกเลี่ยงได้ยากที่สุด คือเรามักจะได้ไขมันที่ปนอยู่เข้าไปด้วย ซึ่งส่วนใหญ่เป็น ไขมันชนิดอิ่มตัว

นอกจากนี้ มีคนศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ป่วยโรคหัวใจและโรคมะเร็ง พบว่าผู้ป่วยเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่บริโภคเนื้อสัตว์ มากกว่าผู้ที่รับประทานอาหารประเภทมังสวิรัติ

ต่อไปนี้เราอาจได้ใช้ชุดทดสอบหวัดโดยทำนายว่า ในไม่ช้าเราจะเป็นหวัดหรือไม่ เพื่อให้มีโอกาสตั้งตัวรับมือกับหวัด

ชุดทดสอบหวัดของนักวิทยาศาสตร์จากมหา วิทยาลัยลัฟโบโรห์ ประเทศอังกฤษนี้ จะวัดระดับโปรตีนในน้ำลาย ถ้าพบว่าโปรตีน "อิมมูโนโกล บูลิน เอ หรือ IgA" ซึ่งมีหน้าที่ต่อสู้กับแบคทีเรีย ลดลงอยู่ในระดับต่ำ โอกาสที่คนผู้นั้นเป็นหวัดจะสูงมาก และมีการทดลองกับนักเล่นเรือยอชต์ชาวอเมริกันจำนวน 38 คนมาแล้วว่า 3 ใน 4 ของผู้เล่นเรือยอชต์นี้มีระดับ "IgA" ต่ำ ก่อนเป็นหวัดไม่นาน แม้ว่าขณะทดสอบผู้เล่นเรือจะมีร่างกายแข็งแรงดี

ดร.เวอร์นอน เนวิล กล่าวว่า "เมื่อพบ IgA ต่ำเราสามารถป้องกันการเป็นหวัดโดยนอนเยอะๆ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชน ล้างมือบ่อยๆ เพื่อเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันของร่างกาย"

วิธีรักษาสุขภาพมาฝากจ้า...

1. การเปลี่ยนแปลงสิ่งที่คุณได้งีบทุกวัน วันละ 15 นาที Dr.Bill Anthonyof Boston University

กล่าวว่า การงีบจะช่วยทำให้ประสิทธิภาพและสมาธิในการทำงาน

2. ทานกล้วยวันละ 2 ใบ ลดความเสี่ยงในการเกิด stroke

ลงได้ 20% (strokeคือ อาการขาดเลือดเลี้ยงสมองหรือหัวใจอย่างเฉียบพลันเพราะหลอดเลือดตีบหรืออุดตัน)

3. ทาน chocolate 3 ชิ้นต่อเดือน อายุยืนขึ้น 1 ปี

เพราะ chocolateแสดงออกถึงประสิทธิภาพในการลด LDL Cholesteral

4. กวาดใบไม้ที่บ้านด้วยตัวคุณเอง เผาผลาญพลังงานไป 420 kj ทุกๆ 20 นาทีนั่นเท่ากับการออกวิ่ง 1500 m

5. ล้างจานด้วยมือแทนที่จะเป็นเครื่องล้างจานเผาผลาญพลังงานได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 395 kilojoules /วัน หรือเท่ากับ 4.5 kg ตลอดระยะเวลา 1 ปี

6. เปลี่ยนไส้แซนวิชของคุณ จาก ham มาเป็น tuna

อาทิตย์ละ 2 ครั้งลดอัตราการเกิดโรคหัวใจได้ 25%

7. จูบลาแฟนคุณทุกเช้า และทักเธอทันทีเมื่อถึงบ้าน

ทำชีวิตสมรสคุณให้ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์

Dr.Dave M. Davis, Director ofthe Piedmont Psychiatric Clinic in Atlanta in U.S.

กล่าวว่าผมเห็นคนไข้หลายคนที่มีความสัมพันธ์ในชีวิตสมรสดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากที่ได้ทำตามคำแนะนำง่ายๆ นี้

8. ลดการทำงานลงวันละ 1 ชั่วโมง

ชะลอการตายของคุณออกไปจากการศึกษาในประเทศญี่ปุ่น

พบว่าผู้ชายที่ทำงานมากกว่า 11 ชั่วโมงต่อวัน

มีโอกาสหัวใจวายมากกว่าคนปกติที่ทำงานถึง 9 ถึง 11 ชั่วโมงต่อวัน ถึง 2.5 เท่า

9. เดินไปส่งเอกสารให้เพื่อนร่วมงาน แทนการส่ง e-mail ลดน้ำหนักลงได้ 0.5 kg ต่อปี

10. เริ่มเก็บเงินวันละ 100 บาท เพื่อใช้ตอนที่คุณเลิกทำงาน เมื่อผ่านไป 20 ปี คุณจะมีเงินเก็บทั้งสิ้น 3,740,000 บาท (สมมติได้ผลตอบแทน 15 % ต่อปี)

11. ดื่ม wine แดงที่มาจาก Chile แทนที่จะเป็นฝรั่งเศสลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง - Chilean Cabernet และ Sauvignonมีสารที่มีประโยชน์ เช่น flavomoids, antioxidants(ลดการเกิดมะเร็งโดยการลดอนุมูลอิสระ) มากกว่าใน wine ของฝรั่งเศสถึง 38%รักษาไข้ให้หายเร็วที่สุด ตัดโอกาสที่คุณจะป่วยไข้ลงมากถึง 90%

12. หลังจากออกกำลังกายอย่างหนัก ให้ทานวิตามิน C ลดความเสี่ยงในการเป็นหวัดลง 50%

13. ทานอาหารเช้าทุกวัน ลดน้ำหนักได้ทันที Franca Alphin จาก DukeUniversity Diet and Fitness Centre in the US กล่าวว่า

ทั่วไปแล้วผู้ชายที่เว้นทานอาหารเช้าจะทานอาหารมากกว่านั้นในช่วงต่อมาและมักจะเลือกอาหารที่อุดมไปด้วยไขมันและ kilojules

14. ดื่มน้ำเย็นวันละ 4.5 ลิตร ทุกวัน ลดน้ำหนักลงได้ 0.5 kg. ทุกๆ 4สัปดาห์ทั้งนี้ เนื่องจากร่างกายของคุณจะใช้พลังงาน 516 kilojulesในการทำให้น้ำดื่มอุณหภูมิเป็น 22.7c

เมื่อคุณดื่มเข้าไป

15. เหยียดขา (hamstring) ของคุณออกไปเต็มที่ค้าไว้ 30 วินาที วันละ 5 ครั้งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและปรับปรุงความสามารถในการยืดหยุ่นของคุณอีก 37%

16. บ้วนปากทันทีทุกครั้ง หลังทานอาหาร ลด bacteria ในช่องปากลงได้ 30%และที่สำคัญที่สุด

คือ ช่วยลดความเสี่ยงของฟันผุ

17. ทาน apple วันละ 2 ลูก ลด 4.5 kg ได้ภายใน 1 ปี เส้นใยอาหารใน appleช่วยในการลดน้ำหนัก ด้วยการช่วยขัดขวางการย่อยไขมันและโปรตีนในร่างกาย

18. ทำความสะอาดอ่างล้างจานของคุณทุกๆ 2 วัน กำจัด E.coli และ samonellabacteria จากสถานที่ที่มันชอบซ่อนตัวอยู่เป็นประจำ

19. เปลี่ยนแปลงจากเนยมาทาน low fat magerine แทนการลดปริมาณ cholesteral(LDL cholesteral เป็นชนิดที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย) ที่ร่างกายคุณจะได้รับ

20. ดื่มเบียร์ประเภท stout

แทนการดื่มประเภท soft drink เมื่อคุณทานberger

ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง เบียร์จะเป็นตัวป้องกันคุณจาก carcinogensที่มีอยู่ในเนื้อย่างสุก Good luck & Good Health !!!

ภัยใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อสุขภาพปลอดภัย

น้ำมันที่ผ่านการทอดซ้ำหลายๆ ครั้งจะมีคุณสมบัติที่เสื่อมลง ทั้งสี กลิ่น รสชาติ ในระหว่างการทอดจะมีสารโพลาร์ที่เกิดจากการแตกตัวของน้ำมันเกิดขึ้น ซึ่งสารโพลาร์ที่เกิดขึ้นนี้สามารถสะสมในร่างกายและส่งผลกระทบต่อการทำงานของเซลล์

การศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่า

สารที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของน้ำมันทองอาหารเป็นสารก่อกลายพันธุ์และทำให้เกิดมะเร็งบนผิวหนังเกิดเนื้องอกในตับ ปอด และก่อให้เกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาวในหนูทดลอง นอกจากนี้สารโพลาร์ยังใช้เป็นตัวชี้วัดการเสื่อมสภาพของน้ำมันโดยรวมได้

การสำรวจตัวอย่างน้ำมันทอดอาหารปี 2548 จากร้านแผงลอยและรถเข็น 529 ตัวอย่าง พบสารโพลาร์เกินข้อกำหนด 21 ราย คิดเป็นร้อยละ 3.97

ผลกระทบต่อสุขภาพของน้ำมันทอดซ้ำ

ทำให้เกิดการเจริญเติบโตลดลง ตับและไตมีขนาดใหญ่ มีการสะสมไขมันในตับ การหลั่งน้ำย่อยทำลายสารพิษในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นไขมันที่ถูกออกซิไดซ์ปริมาณสูงอาจทำให้ไลโปโปรตีนชนิดแอลดีแอลมีโอกาสเกิดอนุมูลอิสระมากขึ้น จึงมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

ส่วนไอระเหยจากน้ำมันทอดอาหาร หากสูดดมเป็นระยะเวลานานอาจมีอันตรายต่อสุขภาพ เนื่องจากพบความสัมพันธ์ระหว่างการเกิดโรคมะเร็งที่ปอด

คำแนะนำในการใช้น้ำมันทอดอาหาร

• ไม่ใช้น้ำมันทอดอาหารซ้ำเกินสองครั้ง หากต้องใช้ซ้ำให้เทน้ำมันเก่าทิ้งหนึ่งในสาม และเติมน้ำมันใหม่ก่อนเริ่มการทอดอาหารครั้งต่อไป หากน้ำมันทอดอาหารมีกลิ่นเหม็นหืน เหนียวข้น สีดำ ฟองมาก เป็นควันง่ายและเหม็นไหม้ ไม่ควรใช้ต่อไป

• ไม่ทอดอาหารไฟแรงเกินไป และรักษาระดับน้ำมัน ในกระทะให้เท่าเดิมเสมอ

• ซับน้ำส่วนเกินบริเวณผิวหน้าอาหารดิบก่อนทอดเพื่อชะลอการเสื่อมสลายตัวของน้ำมัน และทอดอาหารครั้งละไม่มากเกินไป เพื่อลดเวลาใสการทดลอง และหมั่นกรองกากอาหารทิ้งระหว่างและหลังการทอดอาหาร

• เปลี่ยนน้ำมันทองอาหารบ่อยขึ้น หากทอดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่มีส่วนผสมของเกลือหรือเครื่องปรุงรสปริมาณมาก

• ปิดแก๊สทันทีหลังทอดอาหารเสร็จหากอยู่ระหว่างช่วงพักการทอด ควรราไฟลงหรือปิดเครื่องทอดเพื่อชะลอการเสื่อมสลายตัวของน้ำมันทอดอาหาร

• เก็บน้ำมันที่ผ่านการทอดอาหารไว้ในภาชนะสแตนเลสหรือแก้วปิดสนิทในที่เย็น และไม่โดนแสงสว่าง

• ล้างทำความทำสะอาดกระทะหรือเครื่องทอดอาหารทุกวัน น้ำมันเก่ามีอนุมูลอิสระของกรดไขมันอยู่มากจะไปเร่งการเสื่อมสภาพของน้ำมันทอดอาหารใหม่ที่เติมลงไป

• หลีกเลี่ยงการใช้กระทะเหล็ก ทองแดง ทองเหลือง หรืออลูมิเนียมในการทอดอาหาร เพราะจะไปเร่งการเสื่อมสลายของน้ำมันทอดอาหาร

• จะเห็นว่าเรื่องภัยน้ำมันทอดซ้ำเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก หากเรามีความรู้และเข้าใจถึงอันตรายจากน้ำมันทอดซ้ำแล้ว ก็ควรที่จะหลีกเลี่ยงจากการใช้น้ำมันทอดซ้ำเพื่อสุขภาพและความปลอดภัย

จะเห็นว่าเรื่องภัยน้ำมันทอดซ้ำเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก หากเรามีความรู้และเข้าใจถึงอันตรายจากน้ำมันทอดซ้ำแล้ว ก็ควรที่จะหลีกเลี่ยงจากการใช้น้ำมันทอดซ้ำเพื่อสุขภาพและความปลอดภัย

เคล็ดลับการรักษาสุขภาพเบื้องต้น

*** เคล็ดลับการรักษาสุขภาพเบื้องต้น ***

ความลับของการมีสุขภาพดีและยืนยาวได้ ไม่ได้อยู่ที่การได้กินยาอายุวัฒนะจากท้องทะเลลึก หรือการใช้สารสกัดจากดอกไม้ล้านปีแห่งยอดเขาหิมาลัย หรือการดื่มโสมพันปีจากเทือกเขาลี้ลับ แต่ได้จากการดำรงชีวิตและการกินอยู่อย่างง่าย ๆ เพียงไม่กี่อย่างในชีวิตประจำวันเท่านั้นก็สามารถที่จะทำให้ความสุขอยู่กับสุขภาพดี มีพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย หรือเป็นโรคฮิตที่นำความพิการและความจำกัดมาสู่ชีวิต

เป็นเรื่องน่าสนใจที่การศึกษาเกี่ยวกับสุขภาพดีจำนวนมากมักจะแสดงผลที่บ่งชี้ ให้เห็นถึงการปฏิบัติง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างหนึ่งของการศึกษาที่โด่งดังมีผลการศึกษาเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในกลุ่มนักวิชาการสาธารณสุข คือ การศึกษาของ น.พ.เบลล็อค และ เบรสโล จากแคลิฟอร์เนีย ได้ศึกษาถึงปัจจัยที่ทำนายความยืนยาวของอายุและปัจจัยส่งเสริมให้มีสุขภาพดี 7 ประการ โดยพบว่า หากเราได้ปฏิบัติสิ่งเหล่านี้จริงจัง จะส่งผลดีต่อสุขภาพและมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น

*** ปัจจัยดังกล่าวประกอบด้วย ***

1) นอนหลับวันละ 7-8 ชั่วโมง

2) รับประทานอาหารเช้าเป็นประจำ

3) ไม่รับประทานอาหารจุกจิกระหว่างมื้อ

4) รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

5) ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

6) ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ งดดื่มแอลกอฮอล์

7) ไม่สูบบุหรี่

จะเห็นว่าพฤติกรรมสุขภาพเหล่านี้ ทุกคนสามารถทำได้ตลอดเวลาทุกสถานที่และทุกฐานะ สิ่งที่คุกคามสุขภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนเรา ปัจจุบันนี้จึงไม่ได้อยู่ที่การขาดวิตามิน หรือ สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ แต่เกิดจากการประเมินค่าความสำคัญของการปฏิบัติที่สุขภาพดีต่ำเกินไป จึงมีคนนำข้อควรปฏิบัติไปใช้ในชีวิตประจำวันน้อยจนถึงไม่สนใจเลย ในบางตัวอย่างหรือปัจจัยที่ได้จากการศึกษาที่กล่าวถึงประการหนึ่งในชีวิตประจำวัน หากเราสามารถทำได้จนเป็นนิสัยแล้ว จะก่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ จะทำให้เห็นความแตกต่างของพละกำลังกับความอ่อนเพลีย

ระหว่างความสดชื่นกับความหดหู่ ระหว่างสุขภาพและความเจ็บป่วย คือ การดื่มน้ำอุ่น 1-2 แก้วหลังตื่นนอนตอนเช้า เหตุผลคือ ในตอนกลางคืนขณะหลับอุณหภูมิของร่างกายลดลง เลือดจะถูกดึงจากแขน-ขา หรือเรียกว่าส่วนปลายของร่างกายเข้าสู่ส่วนกลางอันเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกายและผิวหนัง การดื่มน้ำอุ่น 1-2 แก้วหลังตื่นตอนจะส่งผลให้มีการแผ่กระจายตัวของอุณหภูมิ ทำให้เส้นเลือดส่วนปลายซึ่งหดเล็กลงในตอนกลางคืนขยายตัวออก ช่วยให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น และทำให้ผิวหนังอุ่นขึ้น เหตุผลอีกอย่างที่สำคัญคือ ช่วยลดภาวะท้องผูกโดยเฉพาะสตรีตั้งครรภ์และผู้สูงอายุ ที่มักจะประสบภาวะท้องผูก การดื่มน้ำอุ่นในตอนเช้า จะกระตุ้นการทำงานโดยเฉพาะ การเคลื่อนไหวของลำไส้ ช่วยให้การขับถ่ายได้สะดวก ผลระยะยาวจะทำให้เกิดความสดชื่น มีการทำงานที่ดีของร่างกาย กระเพาะอาหาร และลำไส้มีความพร้อมในการทำงาน คือการย่อยและดูดซึมเมื่อถึงมื้ออาหาร ผู้ที่ปฏิบัติอยู่เป็นประจำจะบอกได้ถึงความแตกต่างที่กล่าวถึง

การเริ่มต้นดื่มน้ำอุ่นในตอนเช้าของคนที่ไม่เคยปฏิบัติมาก่อน อาจจะเริ่มด้วยการดื่มน้ำอุ่นแก้วเล็ก ๆ แล้วค่อยเพิ่มปริมาณขึ้น จนได้ขนาดแก้วละ 250 ซีซี หรือมากกว่า ถ้ายังทำไม่ได้ตามแผน อาจจะต้องเขียนโน้ตติดไว้หน้ากระจกเตือนตัวเองว่าวันนี้คุณดื่มน้ำหรือยัง หรือจะให้น่าดื่มและเชิญชวนให้ดื่มได้มากขึ้น อาจจะบีบน้ำมะนาวลงไปเล็กน้อย หรือจะเป็นชาสมุนไพรก็ไม่มีข้อห้ามแต่อย่างใด

แค่นี้คุณก็มีสุขภาพดีได้ตั้งแต่ตอนเช้า ลองหันมาปฏิบัติอย่างจริงจังทุกวัน แล้วเพิ่มข้อปฏิบัติอื่น ๆ ที่กล่าวไว้ติดตามมาก็จะทำให้คุณมีสุขภาพดี อายุยืนยาว ไม่ต้องหันไปพึงยาหรือสารสกัดใดให้เสียเงินโดยไม่จำเป็น........

พิกุล ทุนอินทร์ ม.ฟาร์(45)

อย่างที่พวกเราทราบกันดีอยู่แล้วว่า โปรตีนเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ร่างกายจึงขาดโปรตีนไม่ได้

มีผู้ที่สงสัยอยู่เสมอว่าทำไมคนที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ซึ่งมีสารอาหารโปรตีนอยู่มาก จึงอยู่ได้อย่างสบาย เช่น ท่านที่รับประทานอาหาร ประเภทพืชผัก ผลไม้ หรือที่เราเรียกกันว่า มังสวิรัติ คำตอบก็คืออาหารประเภทมังสวิรัติเหล่านี้ เช่น ถั่วเมล็ดแห้ง ข้าว ข้าวสาลี ข้าวโพด จะมีสารอาหารโปรตีนเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถั่วเมล็ดแห้ง จำพวกถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำและถั่วลิสงจะมีปริมาณของโปรตีนที่สูงพอสมควร

แต่เมื่อเปรียบเทียบกับโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เราจะพบว่า โปรตีนจากพืชส่วนใหญ่จะมีปริมาณน้อยกว่าต่อน้ำหนักที่เท่ากัน ยกเว้นพวกถั่วเมล็ดแห้ง และคุณภาพของโปรตีนในพืชจะด้อยกว่าของในสัตว์ เพราะโปรตีนที่ได้จากพืชจะมีสารที่จำเป็นไม่ครบถ้วน แต่อย่างไรก็ตาม โปรตีนจากพืชก็ยังมีความสำคัญ เพราะมีราคาถูกกว่า และเป็นอาหารหลักของประเทศที่กำลังพัฒนา เพียงแต่ต้องให้ความรู้ความเข้าใจว่าควรจะต้องได้รับโปรตีนจากสัตว์เพิ่มจากที่เป็นอยู่ เพราะจะทำให้เพิ่มทั้งปริมาณและคุณภาพของโปรตีนที่รับประทานในแต่ละวัน แต่มีข้อสังเกตบางประการที่ท่านควรทราบว่าเวลาเรารับประทานเนื้อสัตว์ สิ่งที่เราหลีกเลี่ยงได้ยากที่สุด คือเรามักจะได้ไขมันที่ปนอยู่เข้าไปด้วย ซึ่งส่วนใหญ่เป็น ไขมันชนิดอิ่มตัว

นอกจากนี้ มีคนศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ป่วยโรคหัวใจและโรคมะเร็ง พบว่าผู้ป่วยเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่บริโภคเนื้อสัตว์ มากกว่าผู้ที่รับประทานอาหารประเภทมังสวิรัติ

ต่อไปนี้เราอาจได้ใช้ชุดทดสอบหวัดโดยทำนายว่า ในไม่ช้าเราจะเป็นหวัดหรือไม่ เพื่อให้มีโอกาสตั้งตัวรับมือกับหวัด

ชุดทดสอบหวัดของนักวิทยาศาสตร์จากมหา วิทยาลัยลัฟโบโรห์ ประเทศอังกฤษนี้ จะวัดระดับโปรตีนในน้ำลาย ถ้าพบว่าโปรตีน "อิมมูโนโกล บูลิน เอ หรือ IgA" ซึ่งมีหน้าที่ต่อสู้กับแบคทีเรีย ลดลงอยู่ในระดับต่ำ โอกาสที่คนผู้นั้นเป็นหวัดจะสูงมาก และมีการทดลองกับนักเล่นเรือยอชต์ชาวอเมริกันจำนวน 38 คนมาแล้วว่า 3 ใน 4 ของผู้เล่นเรือยอชต์นี้มีระดับ "IgA" ต่ำ ก่อนเป็นหวัดไม่นาน แม้ว่าขณะทดสอบผู้เล่นเรือจะมีร่างกายแข็งแรงดี

ดร.เวอร์นอน เนวิล กล่าวว่า "เมื่อพบ IgA ต่ำเราสามารถป้องกันการเป็นหวัดโดยนอนเยอะๆ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชน ล้างมือบ่อยๆ เพื่อเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันของร่างกาย"

เคล็ด(ไม่)ลับกับการรักษาสุขภาพ

อาหาร 7 อย่างต่อไปนี้จะช่วยชะลอสัญญาณแห่งวัยดึก ทั้งผมร่วง ผิวแห้ง เฉื่อยชาให้ ดูอ่อนเยาว์ขึ้นภายใน 3 - 6 เดือน

หยุดผมร่วง รับประทานกล้วย ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินบี มีสรรพคุณป้องกันผมร่วงได้ดี การรับประทาน กล้วยเข้าไปในปริมาณที่เพียงพอ จะช่วยรักษาเส้นผมให้อยู่คู่กับหนังศีรษะได้นานวัน

ลดผิวมัน รับประทานธัญญาหารทุกเช้า ซึ่งอุดมด้วยวิตามินบี 2 ที่ช่วยหยุดยั้งการผลิตน้ำมันส่วนเกิน ของต่อมผลิตภายในร่างกายที่เป็นสาเหตุหนึ่งของเส้นผมบางและมัน

หยุดการลอกของผิวหนัง รับประทานปลาแซลมอนใส่เกลือรมควัน อาหารทะเล หรือสลัดผักสดก็ได้

ผิวเนียนใสเหมือนเด็ก มะม่วงมีเบต้าแคโรทีนที่ช่วยทำให้ผิวมีสุขภาพดี โดยช่วยกระตุ้นการสร้าง ผิวหนัง รวมทั้งหนังศีรษะเพื่อทดแทนของเดิมที่หยาบแห้งและขรุขระ ให้กลับมีความชุ่มชื่นและนุ่มเนียน

ชะลอผมหงอก รับประทานถั่วลิสงอบเนยรวมกับเกล็ดขนมปังที่อบมาร้อน ๆ ก่อนมื้ออาหาร ถั่วลิสงมี วิตามินบีที่สามารถหยุดการเปลี่ยนสีผมให้เป็นสีดอกเลาได้ และยังทำให้ผิวหนังดูดีขึ้นอีกด้วย

ดูหนุ่มสาวขึ้นอีก 5 ปี รับประทานฝรั่ง หรือน้ำฝรั่งซึ่งอุดมด้วยวิตามินซี เพราะจะช่วยเก็บรักษา คอลลาเจนที่เป็นบ่อเกิดแห่งโปรตีนภายใต้ผิวหนัง หรือรับประทานมะละกอ ส้ม ลูกเกดสีดำอบแห้ง ร่วมกับ ผลไม้ประจำวันก็จะช่วยเพิ่มวิตามินซีเช่นกัน

ปกป้องใบหน้าจากมลพิษ วิตามินบีในอะโวคาโดช่วยทำให้ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย และร่างกายเกิดความ ต้านทานจากการทำลายในรูปแบบต่างๆ ทั้งนี้รวมถึงการถูกทำลายจากบรรยากาศที่มลภาวะเป็นพิษ

การรักษาผิวพรรณ

แสงแดดมีคุณค่าและประโยชน์ต่อสรรพสิ่งต่าง ๆ บนโลกใบนี้แต่เมื่อมีคุณค่าและประโยชน์แล้ว ในทางกลับกัน ก็สามารถทำลายได้เช่นกัน ยิ่งสำหรับผิวพรรณแล้ว แสงแดดเป็นศัตรูร้ายเชียวล่ะค่ะ

เพราะถ้าหากคุณทำงานที่ต้องอยู่กลางแดดนาน ๆ ผิวของคุณจะไหม้เกรียมและเป็นสาเหตุให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ดูแก่ก่อนวัย นอกจากนี้ยังไปกระตุ้นให้เกิดฝ้า เท่านั้นยังไม่พออีกนะคะ...ยังจะมากระตุ้นให้เกิดกระขึ้นอีก

สำหรับคนที่เป็นกระอยู่ก่อนแล้ว หากโดนแสงแดดเข้าอีกก็จะยิ่งทำให้สีของเจ้ากระตัวนี้เข้มขึ้นไปอีก และก่อนที่หมอจะแนะนำวิธีการรักษากระ เรามาทำความรู้จักกับเจ้ากระก่อนดีกว่า

โดยทั่วไปแล้วได้แบ่ง กระ ไว้เป็น 4 ชนิดด้วยกันนะคะ

1. กระตื้น ลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลเล็ก ๆ มีขนาดไม่เกิน 0.5 เซนติเมตร ขอบเขตไม่ชัดเจน และมักพบกระจายทั่วใบหน้า ถ้าโดนแดดสีมักจะเข้มขึ้น แต่ถ้าไม่โดนแดดนาน ๆ สีมักจะจางลงได้เอง

2. กระลึก ลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลเทา ๆ เห็นเป็นเงาส่วนใหญ่อยู่บริเวณโหนกแก้ม 2 ข้าง

3. กระเนื้อ มีลักษณะเป็นตุ่มสีน้ำตาล หรืออาจเป็นสีดำเป็นก้อนเล็ก ๆ ผิวเรียบหรือขรุขระก็ได้ บางครั้งดูคล้ายหูด มักพบบริเวณใบหน้า คอ หรือลำตัวก็ได้

4. กระแดด มีลักษณะเป็นดวงสีน้ำตาล ผิวเรียบ ส่วนใหญ่พบในคนสูงอายุหรือคนที่ต้องทำงานอยู่กลางแสงแดดเป็นเวลานาน

สาเหตุใหญ่ ๆ ที่ทำให้เกิดกระ คือ พันธุกรรม ก็คือรับมรดกจากบรรพบุรุษนั่นแหละ ถ้าปู่ ย่า ตา ยาย รักคุณมาก. มาก ก็ได้มากค่ะ และอีกตัวการคือ แสงแดด ในชีวิตประจำวันเรามีโอกาสที่จะเผชิญกับแสงแดดอยู่เสมอ จึงควรหลีกเลี่ยงและหาทางป้องกัน เช่น ใช้ครีมกันแดด สวมหมวก กางร่ม หรือสวมเสื้อแขนยาว เป็นต้น

ปัญหาของกระควรได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง เนื่องจากกระแต่ละชนิดมีวิธีในการดูแลรักษาที่แตกต่างกันไป โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้ตรวจและวินิจฉัยว่าเป็นประเภทใด เพื่อที่จะได้ใช้วิธีการรักษาผิวพรรณที่เหมาะสม เช่น

1. กระตื้น สามารถรักษาโดยใช้ยาทา จี้ด้วยน้ำยา TCA หรือรักษาด้วยเลเซอร์

2. กระลึก สามารถรักษาโดยใช้ยาทา หรือรักษาด้วยเลเซอร์

3. กระเนื้อ สามารถรักษาโดยใช้เครื่องจี้ไฟฟ้า หรือเลเซอร์

4. กระแดด สามารถรักษาโดยใช้เลเซอร์

เมื่อคุณได้รับการรักษาจากแพทย์แล้ว เพื่อให้การรักษาได้ผลดีเป็นที่น่าพอใจ หลังการรักษาคุณควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ดังนี้

1 การรักษาด้วยการจี้ TCA การจี้ด้วยเครื่องจี้ไฟฟ้า หรือการจี้ด้วยเลเซอร์ จะทำให้เกิดสะเก็ด ซึ่งจะหลุดเองภายใน 5 - 7 วัน ห้ามแกะสะเก็ดโดยเด็ดขาดเพราะอาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นได้

2. ควรหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดจัด ๆ เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นอีก

3. ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 15 ขึ้นไปเป็นประจำ

4. ควรดูแลบริเวณที่ทำการรักษาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะกรณีที่ใช้เลเซอร์

หากได้รับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้ว และปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างถูกต้องก็จะไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ จากการรักษา แต่ถ้าปฏิบัติไม่ถูกต้อง เช่น แกะสะเก็ดที่เกิดจากการรักษาก็อาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นได้นะคะ

หากหลีกเลี่ยงแสงแดดได้ก็ควรทำ เพราะเป็นการรักษาผิวพรรณของคุณไม่ให้หมองคล้ำ เกิดจุดด่างดำขึ้นอีกนะคะ แล้วอย่าลืมวิธีที่หมอแนะนำหลังการรักษากระเสียนะคะ คุณจะได้ไม่ต้องมาให้หมอจัดการซ้ำอีก

"เคล็ดลับ"

คุณเคยรู้สึกเมื่อยล้าดวงตา เนื่องจากการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆหรือไม่ เชื่อว่าคนทำงานส่วนใหญ่ต้องเคยสัมผัสกับอาการเหล่านั้นแน่นอน ซึ่งวันนี้เราก็มีเคล็บลับสำหรับผู้ที่ต้องใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์มาฝาก เพื่อรักษาดวงตาคู่สวยของคุณให้ใสปิ๊งอยู่ตลอด

1. หมั่นกระพริบตาให้บ่อยขึ้น อาการตาแห้งเกิดจากเมื่อเรามีสมาธิขณะทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ อัตราการกระพริบตาจะลดลงจาก 20-22ครั้ง ต่อนาที เหลือเพียง 6-8 ครั้ง ต่อนาที ถ้าไม่อยากตาแห้ง ก็ต้องกระพริบตาบ่อยขึ้น

2. จัดวางคอมพิวเตอร์ให้เหมาะสม ปรับความสูงของจอให้เหมาะสม โดยระยะห่างระหว่างจอภาพกับตัวเรา ควรอยู่ระหว่าง 20-28 นิ้ว หรือประมาณ 1 ช่วงแขน จุดศูนย์กลางของคอมพิวเตอร์ควรอยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 4-9 นิ้ว ไม่ควรอยู่สูงหรือต่ำกว่านี้มากนัก และควรจะตั้งตรงหน้า ตำแหน่งการวางคอมพิวเตอร์ควรจะให้หน้าต่างอยู่ด้านข้างของโต๊ะ เพื่อป้องกันไม่ให้แสงตกสะท้อนหน้าจอ

3. ปรับตัวอักษรให้ใหญ่ขึ้น

4. เลือกแว่นที่ใช้กับคอมพิวเตอร์ ควรใช้เลนส์สีชมพูอ่อน จะช่วยให้สบายตาขึ้นภายใต้แสงจากหลอดไฟฟ้าฟลูออเรสเซนต์ สำหรับคนที่ใส่แว่นควรปรึกษาจักษุแพทย์

5. เบรกซะบ้าง ทุกๆชั่วโมง ควรลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายสัก 10 นาที เพื่อพักสายตา และป้องกันไม่ให้เกิดความเมื่อยล้า

6. เปลี่ยนจอใหม่ เลือกใช้จอชนิดLCD (จอแบน) แม้ราคาจะแพงกว่าจอธรรมดา (CRT) แต่ช่วยถนอมตาได้มาก

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

ล้างหน้าที่ดี ต้องถูกวิธีนะจ๊ะสาว ๆ !!!

การล้างหน้าถือเป็นการทำความสะอาดผิวหน้า ที่ทุก ๆ คนสมควรจะกระทำเป็นประจำอยู่แล้ว เพราะในแต่ละวันเรามักจะต้องเจอฝุ่นควันต่าง ๆ ไหนจะเครื่องสำอางค์ต่าง ๆ อีก ดังนั้นการล้างหน้าจึงเป็นการชำระล้างสิ่งสกปรกต่าง ๆ ที่อยู่บนผิวหน้าให้หมดไป

แต่การล้างหน้าที่ดีนั้น ก็จำเป็นที่จะต้องทำตามวิธีที่ถูกต้อง จึงจะได้ประโยชน์ ในทางกลับกันหากคุณล้างหน้าไม่ถูกวิธี แม้ว่าใบหน้าของคุณจะสะอาดจริง แต่ก็อาจจะเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาผิวอย่างอื่นตามมา ซึ่งการล้างหน้าที่ถูกต้องทำได้ดังนี้

เริ่มจากการล้างหน้าวันละ 2 ครั้งคือตอนตื่นนอนตอนเช้ากับตอนอาบน้ำตอนเย็น ไม่ควรล้างหน้าบ่อย เพราะจะทำให้หน้าแห้งได้ เว้นเสียแต่ว่าคุณไปทำกิจกรรมที่ต้องเสียเหงื่อมาก ๆ เช่น หลังจากการเล่นกีฬา หรือ ทำไร่ทำสวน ซึ่งอาจจะทำให้ใบหน้าของคุณสกปรก อันนี้อนุโลมให้ล้างหน้าได้ค่ะ

น้ำเปล่าธรรมดาที่ไม่ร้อน ไม่เย็นจนเกินไป คือน้ำที่เหมาะที่จะใช้ล้างหน้ามากที่สุด ในขณะที่ล้างหน้าควรล้างอย่างเบามือที่สุด ไม่เช็ด หรือถูหน้าแรง ๆ เด็ดขาด นอกจากนี้คลีนเซอร์หรืออุปกรณ์ล้างหน้าอื่นๆ นั้นแนะนำสำหรับคนที่แต่งหน้าเป็นประจำ แต่ถ้าคุณไม่ได้แต่งหน้า สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ก็แทบจะไม่มีความจำเป็นเลยค่ะ

คนที่ล้างหน้าบ่อย ๆ และใช้โทนเนอร์เช็ดหน้าบ่อย ๆ นั้นส่วนใหญ่มักจะมีปัญหาผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะหลายคนมักจะเข้าใจว่า ขี้ไคลเป็นสิ่งสกปรกดังนั้นหลาย ๆ คนจึงเช็ดถูผิวหน้าจนเกลี้ยง แบบว่าขี้ไคลก็ไม่เหลือแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นก็ดูจะเป็นความเข้าใจที่ผิดไปสักหน่อย เพราะขี้ไคล คือ ชั้นหนังกำพร้าที่เกาะติดอยู่กับผิวหนังชั่นบน ควบคู่ไปกับชั้นน้ำมันเคลือบผิวที่คอยเป็นเกราะคุ้มกัน ปกป้องผิวจากฝุ่นละอองเชื้อโรค และสารเคมีไม่ให้ซึมฝ่าลงไปทำร้ายผิวได้ หากคุณทำความสะอาดใบหน้ามากจนเกินไปอาจจะทำให้ผิวหน้าเราขาดภูมิคุ้มกันธรรมชาติไปได้ และนั่นอาจจะเป็นส่วนหฯึ่งที่ทำให้ผิวของคุณแพ้ง่าย

โดยธรรมชาติแล้ว ผิวหนังกำพร้าของคนเรา จะหลุดออกมาเองทุกวัน และจะพาเอาแป้งและฝุ่นออกมาด้วย โดยไม่จำเป็นต้องออกแรงถูเลยทีเดียว แต่เพราะเดี๋ยวนี้สาว ๆ หลายคนมักจะแต่งหน้ากันเป็นประจำทุกวัน จึงทำให้การล้างหน้าต้องมีขั้นตอนที่ยุ่งยากเพิ่มขึ้นมา

แต่ถ้าวันไหนที่คุณอยู่บ้านเฉย ๆ ก็แนะนำว่าให้อยู่บ้านโดยไม่แต่งหน้าดูนะคะ ถือเป็นการพักผ่อนใบหน้า แถมยังไม่ต้องเสียเวลายุ่งยากในการล้างหน้าด้วยค่ะ

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

ปากแห้งแตกเป็นขุย...รักษาได้อย่างไร !!!

ปากหวานคืออาการของคนพูดจาไพเราะ ฟังเพราะเสนาะโสต แต่ถ้าหากเกิดอาการปากแห้งขึ้นมา ขอบอกให้คุณทราบก่อนเลยว่า ไม่เกี่ยวกับปากหวานเป็นแน่ แล้วปากแห้งเกิดจากอะไรล่ะ?

อาการปากแห้ง นั้นเกิดจากการดื่มน้ำน้อย ความเครียด การพูดเป็นเวลานานๆ การรับประทานยารักษาโรคบางชนิด หรือการรับรังสีเพื่อการรักษาโรค

เมื่อคุณมีอาการริมฝีปากแห้งต้องรีบรักษา เพราะปากมีไว้เจรจาเป็นอวัยวะที่มีเสน่ห์สร้างความประทับใจ หากปล่อยทิ้งไว้ให้อาการรุนแรงจนริมฝีปากแห้งแตกลอกเป็นขุย หนักเข้าจนปากเริ่มเจ่อบวมแดง นอกจากจะก่อให้เกิดอาการเจ็บแสบในยามที่คุณแย้มยิ้ม หรือในขณะรับประทานอาหารรสชาติร้อนแรงแล้วนั้น ยังเป็นตัวการสำคัญที่จะทำลายบุคลิกภาพของคุณโดยไม่รู้ตัวเพราะในคนที่มีอาการริมฝีปากแห้งจนเป็นคราบขาว ปากแห้งมากจนน้ำลายเหนียว เจ้าเชื้อโรคตัวร้ายในช่องปากจะเติบโตเป็นจำนวนมาก ก่อให้เกิดกลิ่นปากตามมาได้ (แล้วอย่างนี้ใครล่ะจะกล้าจุมพิต)

เมื่อปากแห้งแตกเป็นขุย...รักษาได้อย่างไร?

สิ่งสำคัญที่สุดคือคุณควรดื่มน้ำสะอาดให้มากๆ หรือจิบน้ำอุ่นๆ บ่อยๆ จะเป็นการดี หากปากแห้งมากจนลอกเป็นขุย ให้ใช้น้ำอุ่น ผสมเกลือป่นเล็กน้อย แล้วใช้สำลีหรือทิชชูชุบน้ำอุ่นผสมเกลือป่นให้เปียกพอหมาดๆ แล้วใช้ปากคาบทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาที หรือเช็ดไล้เบาๆ ไปบนริมฝีปาก ก็จะช่วยให้ขุยต่างๆ หลุดลอกออกไปได้ หมั่นทาลิปมันที่มีส่วนผสมของสารบำรุง หรือถ้าปากแห้งมากแนะนำให้ใช้ปิโตเลี่ยมเจล (มีลักษณะเป็นเจลใสคล้ายขี้ผึ้ง) ทาบนริมฝีปากได้บ่อยครั้งตามต้องการ

ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่คุณพึงพอใจปฏิบัติเพื่อเรียวปากสวยยวนใจ สุขภาพดีได้ในไม่ช้าค่ะ...

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)เลขที่ 33

วิธีสร้างสมาธิเพื่อการเรียนที่ดี

สาเหตุของการไม่มีสมาธิ

๑. ขาดความสนใจในสิ่งที่ทำ

๒. สนใจในสิ่งที่ทำมากจนเกินไป

๓. สนใจหลายเรื่องในเวลาเดียวกัน

๔. ความเป็นคนหัวดี ปัญญาดี ทำให้คิดไปที่อื่นเร็ว

๕. จิตครอบงำด้วยนิวรณ์

การสร้างนิสัยให้มีสมาธิในชีวิตประจำวัน

๑. สร้างนิสัย “ลงมือทำทันที”

๒. สร้างนิสัย “เรียนล่วงหน้า” มิใช่แค่ “เรียนตาม”

๓. สร้างนิสัยมุ่งมั่นว่า “ถ้าทำไม่เสร็จจะไม่ใส่ใจอะไรอื่น”

๔. จัดลำดับของเรื่องที่จะทำก่อนลงมือ

๕. หัดคิดทีละเรื่อง โดยให้เจาะลึกในเรื่องนั้นๆ อย่าผิวเผิน

๖. สร้างสิ่งแวดล้อมที่เหมาะแก่การมีสมาธิ

๗. รู้จักพักเป็นช่วงๆ

๘. สร้างความเต็มใจและจริงใจที่จะทำสิ่งนั้นๆ

๙. พยายามหัดคิดในเรื่องสร้างสรรค์

๑๐. เลิกนิสัยมากเรื่องในการจะทำอะไรสักอย่าง

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน ได้แนะนำวิธีการทำสมาธิในห้องเรียนว่า

๑. หาที่นั่งที่สามารถมองเห็นครูและกระดานได้ชัดเจน

๒. เมื่อครูเดินเข้ามา ส่งจิตไปรวมที่ครูผู้สอน

๓. จับใจความให้ได้ตามที่ครูต้องการ

๔. เวลาว่างแทนที่จะนั่งคิดสิ่งอื่น ก็นำบทเรียนมาคิด

๕. ให้สติรู้ตัวทุกอิริยาบถ ในการทำ พูด คิด

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์) 006 เลขที่ 30

10 ประการ เพื่อเร่งการเผาผลาญอาหาร

1. พยายามสร้างมวลกล้ามเนื้อ

2. เคลื่อนไหวอยู่เสมอ

3. กินเป็นปกติ อย่าได้อดอาหารเป็นอันขาด

4. ละเว้นน้ำตาล

5. ไม่อดอาหารเช้า

6. กินเผ็ดเข้าไว้

7. ดื่มชาเขียว

8. อย่าลืมดื่มน้ำ

9. หลีกเลี่ยงความเครียด

10. นอนหลับมาก ๆ

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์ เลขที่ 2

แค่หายใจก็ลดความอ้วนได้

วิธีทำก็ง่ายคือ นั่งบนเก้าอี้ พยายามให้หลังตรง จากนั้นชูมือทั้งสองข้างขึ้นจนสุด ค่อยๆ ลดแขนลงพร้อมกับหายใจออกยาวๆ จากนั้นหายใจเข้าตามสบาย วางข้อมือทั้งสองข้างไว้ที่ใต้ท้อง หายใจออกแล้วก้มร่างกายท่อนบนลงมา ผ่อนกำลังลงและหายใจเข้าตามสบาย หรือจะเลือกใช้วิธีที่สอง คือหายใจโดยกำหนดสะดือเป็นศูนย์กลาง เริ่มจากนั่งไขว้ขา วางปลายนิ้วมือทั้งสองไว้ใต้หน้าอก หายใจออกช้าๆ ยาวๆ พร้อมกับให้ส่วนบนของร่างกายงอไปข้างหน้าเล็กน้อย กะให้ศีรษะตรงกับตำแหน่งของสะดือ แล้วใช้ปลายนิ้วมือวางไว้ที่ปลายหน้าอกนั้นกดลงไป เมื่อหายใจออกจนหมด ให้ยกส่วนบนขึ้นตรงแล้วหายใจเข้าตามปรกติ ในขณะที่ปฏิบัติจะรู้สึกช่วงล่างใต้สะดือจะมีการเคลื่อนไหว เป็นเพราะส่วนท้องไหลเวียนมีการดูดรับและขับของเสียออกทางท่อของลำไส้ใหญ่ ไต และตับอย่างมีประสิทธิภาพ

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์ เลขที่ 2

เมนูห้ามรับประทานขณะท้องว่าง

ก่อนที่จะรับประทาน ควรเลือกชนิดของอาหารเสียก่อน เพราะบางทีอาหารที่เราทานลงไปทั้งๆ ที่มีประโยชน์แต่ไม่ถูกเวลา ก็อาจส่งผลเสียบางอย่างที่เราคาดไม่ถึงก็ได้ ไปดูกันว่าอาหารที่ไม่ควรรับประทานขณะท้องว่างมีชนิดใดบ้าง

นมและนมถั่วเหลือง

แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหารมีสารประเภทแป้งอยู่

เหล้า

หากดื่มเหล้าในขณะท้องว่าง จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบและเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

น้ำตาลหรืออาหารหวาน

ไม่ควรรับประทานอาหารหวานหรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะหากรับประทานขณะท้องว่างจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิดและลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต

ชาที่แก่เกินไป

ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงานของระบบย่อยอาหารลดลงและเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะมือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ

ลูกพลับ

ไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้ว จะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร

กล้วย

เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วยขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไปเป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือด

หัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

กระเทียม

เพราะจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารได้รับการกระตุ้น เกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง

ผัก

การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปกติ

นอกจากนั้นยังไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกายด้วยเช่นกัน เพราะการอาบน้ำและการออกกำลังกายในขณะที่ท้องว่าง จะทำให้เกิดอาการช็อกเนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย อย่าลืมสิ่งใดที่มีคุณอนันต์ก็อาจมีโทษมหันต์เช่นกัน ถ้าคุณปฏิบัติอย่างผิดวิธี

อาหารต้องห้ามกับ 4 อาการป่วย

คุณเคยสังเกตไหมคะว่า เวลาที่ไม่สบาย เรามักจะได้ยินผู้ใหญ่บอกห้ามทานโน่นทานนี่ เพราะว่าเป็นของแสลง แล้วคุณเคยสงสัยไหมว่า ทำไมถึงห้ามกินของเหล่านี้ เรามาค้นหาคำตอบคลายความสงสัยกัน ดังนี้ค่ะ

1. ไข้หวัดหรือมีไข้สูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่เย็นมากๆ อาหารทอด และอาหารมัน ซึ่งเป็นอาหารที่ย่อยยาก และทำให้เกิดความร้อนสะสม ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการเติมน้ำมันเข้าไปในกองไฟ ทำให้เรามีไข้สูงและตัวร้อนยิ่งขึ้น

2. โรคหัวใจและโรคไต ควรหลีกเลี่ยงอาการรสเค็มจัด เพราะจะทำให้มีการเก็บกักน้ำ การไหลเวียนเลือดจะช้า ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น และไตต้องทำงานขับเกลือแร่มากขึ้น ส่วนอาหารรสเผ็ดก็ควรหลีกเลี่ยงเช่นเดียวกันค่ะ

3. โรคตับและถุงน้ำดี หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อาหารมัน เนื้อติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทอด อาหารหวานจัด เพราะตับและถุงน้ำดีมีความสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหาร การรับประทานอาหารประเภทดังกล่าวมากเกินไป จะทำให้ประสิทธิภาพของการย่อยอาหารอ่อนแอลง และเกิดโทษต่อตับและถุงน้ำดีอีกต่อหนึ่งได้

4. โรคริดสีดวงทวารหรือท้องผูก หลีกเลี่ยงอาหารประเภทหอม กระเทียม ขิงสด พริกไทยและพริก เพราะอาหารเหล่านี้อาจทำให้ท้องผูก หลอดเลือดแตก และอาการริดสีดวงทวารกำเริบได้

 กินซะ ... แก้ปัญหา เส้นเลือดขอด

เส้นเลือดขอดถือเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่สาว ๆ มักจะหนักใจ เพราะเส้นเลือดขอดนั้นถือเป็นหนึ่งในอุปสรรคความสวของผู้หญิงเราเลยทีเดียว


ก่อนหน้านี้เคยแนะนำเพื่อน ๆ ที่นี่ไปแล้วว่า เมื่อเรียวขาสวยเกิดปัญหาไม่น่ามองเพราะเส้นเลือดขอด ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเดิมๆ เช่น เลิกสวมใส่เสื้อผ้ารัดแน่น ไม่นั่งไขว้ห้างหรือยืนเป็นเวลานาน ไม่ยกของหนัก


วันนี้ก็เลยจะหยิบเอาตัวอย่างอาหารที่จะช่วยลดปัญหานี้มาฝากเพิ่มเติมกันด้วยค่ะ โดยอาหารต่าง ๆ เหล่านี้ จะช่วยลดเส้นเลือดขอดได้


...  ... ใยอาหารไม่ละลายน้ำ เช่น ยอดแค มะเขือพวง ถั่วเมล็ดแห้ง ทับทิม ช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ ลดการปวดเกร็งซึ่งส่งผลให้เกิดเส้นเลือดขอด


...  ... วิตามินซี เช่น แขนงผัก บรอกโคลี พริก ผลไม้ตระกูลส้ม ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง


...  ... ผัก ผลไม้ที่มีสารฟลาโวนอยด์ เช่น เบอร์รี่ องุ่น ธัญพืช ทำงานร่วมกับวิตามินซีเสริมความแข็งแรงและลดรอยรั่วของหลอดเลือด


ทราบอย่างนี้แล้ว เพื่อน ๆ ที่นี่ก็อย่าลืมหามาทานกันนะคะ จะได้ช่วยลดเส้นเลือดขอด เพื่อจะได้หมดปัญหามากวนใจความสวย

เคล็ดลับการรักษาสุขภาพเบื้องต้น

*** เคล็ดลับการรักษาสุขภาพเบื้องต้น ***

ความลับของการมีสุขภาพดีและยืนยาวได้ ไม่ได้อยู่ที่การได้กินยาอายุวัฒนะจากท้องทะเลลึก หรือการใช้สารสกัดจากดอกไม้ล้านปีแห่งยอดเขาหิมาลัย หรือการดื่มโสมพันปีจากเทือกเขาลี้ลับ แต่ได้จากการดำรงชีวิตและการกินอยู่อย่างง่าย ๆ เพียงไม่กี่อย่างในชีวิตประจำวันเท่านั้นก็สามารถที่จะทำให้ความสุขอยู่กับสุขภาพดี มีพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย หรือเป็นโรคฮิตที่นำความพิการและความจำกัดมาสู่ชีวิต

เป็นเรื่องน่าสนใจที่การศึกษาเกี่ยวกับสุขภาพดีจำนวนมากมักจะแสดงผลที่บ่งชี้ ให้เห็นถึงการปฏิบัติง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างหนึ่งของการศึกษาที่โด่งดังมีผลการศึกษาเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในกลุ่มนักวิชาการสาธารณสุข คือ การศึกษาของ น.พ.เบลล็อค และ เบรสโล จากแคลิฟอร์เนีย ได้ศึกษาถึงปัจจัยที่ทำนายความยืนยาวของอายุและปัจจัยส่งเสริมให้มีสุขภาพดี 7 ประการ โดยพบว่า หากเราได้ปฏิบัติสิ่งเหล่านี้จริงจัง จะส่งผลดีต่อสุขภาพและมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น

*** ปัจจัยดังกล่าวประกอบด้วย ***

1) นอนหลับวันละ 7-8 ชั่วโมง

2) รับประทานอาหารเช้าเป็นประจำ

3) ไม่รับประทานอาหารจุกจิกระหว่างมื้อ

4) รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

5) ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

6) ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ งดดื่มแอลกอฮอล์

7) ไม่สูบบุหรี่

จะเห็นว่าพฤติกรรมสุขภาพเหล่านี้ ทุกคนสามารถทำได้ตลอดเวลาทุกสถานที่และทุกฐานะ สิ่งที่คุกคามสุขภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนเรา ปัจจุบันนี้จึงไม่ได้อยู่ที่การขาดวิตามิน หรือ สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ แต่เกิดจากการประเมินค่าความสำคัญของการปฏิบัติที่สุขภาพดีต่ำเกินไป จึงมีคนนำข้อควรปฏิบัติไปใช้ในชีวิตประจำวันน้อยจนถึงไม่สนใจเลย ในบางตัวอย่างหรือปัจจัยที่ได้จากการศึกษาที่กล่าวถึงประการหนึ่งในชีวิตประจำวัน หากเราสามารถทำได้จนเป็นนิสัยแล้ว จะก่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ จะทำให้เห็นความแตกต่างของพละกำลังกับความอ่อนเพลีย

ระหว่างความสดชื่นกับความหดหู่ ระหว่างสุขภาพและความเจ็บป่วย คือ การดื่มน้ำอุ่น 1-2 แก้วหลังตื่นนอนตอนเช้า เหตุผลคือ ในตอนกลางคืนขณะหลับอุณหภูมิของร่างกายลดลง เลือดจะถูกดึงจากแขน-ขา หรือเรียกว่าส่วนปลายของร่างกายเข้าสู่ส่วนกลางอันเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกายและผิวหนัง การดื่มน้ำอุ่น 1-2 แก้วหลังตื่นตอนจะส่งผลให้มีการแผ่กระจายตัวของอุณหภูมิ ทำให้เส้นเลือดส่วนปลายซึ่งหดเล็กลงในตอนกลางคืนขยายตัวออก ช่วยให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น และทำให้ผิวหนังอุ่นขึ้น เหตุผลอีกอย่างที่สำคัญคือ ช่วยลดภาวะท้องผูกโดยเฉพาะสตรีตั้งครรภ์และผู้สูงอายุ ที่มักจะประสบภาวะท้องผูก การดื่มน้ำอุ่นในตอนเช้า จะกระตุ้นการทำงานโดยเฉพาะ การเคลื่อนไหวของลำไส้ ช่วยให้การขับถ่ายได้สะดวก ผลระยะยาวจะทำให้เกิดความสดชื่น มีการทำงานที่ดีของร่างกาย กระเพาะอาหาร และลำไส้มีความพร้อมในการทำงาน คือการย่อยและดูดซึมเมื่อถึงมื้ออาหาร ผู้ที่ปฏิบัติอยู่เป็นประจำจะบอกได้ถึงความแตกต่างที่กล่าวถึง

การเริ่มต้นดื่มน้ำอุ่นในตอนเช้าของคนที่ไม่เคยปฏิบัติมาก่อน อาจจะเริ่มด้วยการดื่มน้ำอุ่นแก้วเล็ก ๆ แล้วค่อยเพิ่มปริมาณขึ้น จนได้ขนาดแก้วละ 250 ซีซี หรือมากกว่า ถ้ายังทำไม่ได้ตามแผน อาจจะต้องเขียนโน้ตติดไว้หน้ากระจกเตือนตัวเองว่าวันนี้คุณดื่มน้ำหรือยัง หรือจะให้น่าดื่มและเชิญชวนให้ดื่มได้มากขึ้น อาจจะบีบน้ำมะนาวลงไปเล็กน้อย หรือจะเป็นชาสมุนไพรก็ไม่มีข้อห้ามแต่อย่างใด

แค่นี้คุณก็มีสุขภาพดีได้ตั้งแต่ตอนเช้า ลองหันมาปฏิบัติอย่างจริงจังทุกวัน แล้วเพิ่มข้อปฏิบัติอื่น ๆ ที่กล่าวไว้ติดตามมาก็จะทำให้คุณมีสุขภาพดี อายุยืนยาว ไม่ต้องหันไปพึงยาหรือสารสกัดใดให้เสียเงินโดยไม่จำเป็น........

สารพัดประโยชน์จากน้ำส้มสายชู 

            น้ำส้มสายชู เป็นสารประกอบของกรดน้ำส้มกับน้ำ ได้จากการหมักน้ำผลไม้จนเกิดแอลกอฮอล์ ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ หมักแล้วถ้าอยากได้น้ำส้มใช้เร็วๆ ก็หมั่นคนบ่อยๆ ให้ออกซิเจนลงไปทำการเปลี่ยนแปลงทางเคมีไม่ขาดตอน

            ประโยชน์ของน้ำส้มสายชู  ส่วนใหญ่เน้นเรื่องการดูแล ป้องกันรักษาสุขภาพและโรคภัย เช่น ใช้น้ำส้มสายชูผสมต้นโทงเทงสด หรือผักคราดหัวแหวนสดๆ คั้นเอกน้ำชุบสำลีอมไว้ข้างแก้มค่อยๆ กลืนทีละนิด แก้ฝีในคอ หรือต่อมทอนซิลอักเสบได้ดี
            ยามไปเที่ยวทะเล ขอให้พกพาน้ำส้มสายชูไปด้วยทุกครั้ง หากเคราะห์หามยามร้าย เจอแมงกะพรุนไฟเข้าก็อย่าตกใจ ราดน้ำส้มตรงบริเวณถูกแมงกะพรุนทันที จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนได้ทันใจผิวที่เจอแดดจัดๆ จนเป็นรอยเกรียม ลูบด้วยน้ำส้มสายชู ผิวที่ไหม้จะไม่พองให้คุณปวดแสบทรมานได้อีก


            ด้านการถนอมอาหาร สมัยก่อนมีการดองเปรี้ยวผักต่างๆ ด้วยน้ำส้มไว้บริโภคนานๆ เช่น ต้นหอม ผักเสี้ยน กระเทียม ขิง


            ในแง่ของการขจัดรอยเปื้อน  น้ำส้มสายชูก็เป็นมือโปรสำหรับแม่บ้านได้ยอดเยี่ยม เลือกใช้ได้ตามอาการต่อไปนี้
            

   — รองเท้าหนัง รองเท้ายาง หรือสารสังเคราะห์ใดๆ ก็ตาม หากเปื้อนน้ำมันให้เช็ดด้วยน้ำส้มสายชูแล้วจะหมดรอย
            
—  กระจกบานเกล็ดสกปรก ล้างด้วยน้ำส้มสายชูผสมน้ำสะอาดรับรองเงางาม สะอาดใส
            
—  หม้ออะลูมิเนียมเป็นคราบดำ น้ำส้มสายชุละลายขี้เถ้าใต้เตาถ่าน ขัดถูก็สะอาดเอี่ยมในพริบตา
            
—  ภาชนะทองแดง ทองเหลือง ขัดด้วยน้ำส้มผสมเกลือในอัตราส่วนเท่ากัน ผ้านุ่มๆ จุ่มพอหมาดเช็ดถูแล้วจะแวววาวขึ้น
            
—  ของใช้พลาสติก ตลอดจนภาชนะอื่นๆ ในครัวเปื้อนไขมันมากจนเป็นรอยดำ ให้แช่ในน้ำอุ่นผสมน้ำส้มสายชู รอยเปื้อนจะหายไปพร้อมกับกลิ่นอาหาร
            
— ปัญหาของเตาอบ ถาดอบเครื่องครัวสแตนเลส และพื้อนครัวเป็นคราบสกปรกล้างยาก ใช้น้ำส้มเช็ดถู คราบฝังแน่นกับเศษอาหารตามพื้นจะหลุดง่าย ไม่เปลืองแรงขัด
            
—  เฟอร์นิเจอร์ ฝาผนังบ้านต่างดำ มีคราบนิ้วมือของสมาชิกตัวเล็กผ้านุ่มๆ ชุบน้ำส้มสายชูร้อนๆ เช็ดปุ๊บหายปั๊บ
            
—  อ่างล้างมือ อ่างอาบน้ำ ราวโครเมียมสกปรก เป็นสนิม น้ำส้มสายชูกับน้ำสบู่ เช็ดถู ทุกอย่างเงางามสะอาดตา
            
—  เสื้อผ้าบริเวณรักแร้เป็นคราบเหลือง นั้น น้ำส้มสายชูทาตรงรอยเปื้อนให้ชุ่ม หากได้แช่เสื้อผ้าในน้ำส้มสายชุสักครู่ก่อนซักตามปกติ กลิ่นเปรี้ยวและเหม็นอับจากเหงื่อจะหายพร้อมรอยเปื้อน

  

            น้ำส้มสายชูยังมีคุณสมบัติ ขจัดกลิ่น ได้ไร้เทียมทาน กลิ่นอาหาร กลิ่นผลไม้แรงๆ อย่างทุเรียนที่ติดตามภาชนะพลาสติกนั้น ให้เช็ดด้วยน้ำส้มสายชูตามด้วยน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง
            
—  ท่อระบายน้ำภายในอาคารบ้านเรือนที่มักสกปรกเร็ว ตามด้วยกลิ่นเหม็นรุนแรง รบกวนความสุข ให้เทผงฟูลงท่อน้ำร่องไปก่อน 1 กำมือ สักครู่ตามด้วยน้ำส้มสายชูอีก 1 ถ้วย ทิ้งไว้สักพัก ลองเปิดน้ำระบายดุอีกที
            
—  เนื้อสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะเนื้อวัว เนื้อควาย ถ้าแช่น้ำเกลือผสมน้ำส้มสายชูก่อนเก็บเข้าตู้เย็น กลิ่นคาวจะไม่ออกมารบกวนอาหารอื่นๆ ด้วย

         

    การแก้ปัญหาภายในบ้าน


            
—  ฝักบัวในห้องน้ำเกิดอุดตันใช้ไม่สะดวก น้ำที่ไหลกะปริบกะปรอย ลองถอดชิ้นส่วนออกมาแช่น้ำส้มสายชูปัดเศษฝุ่นด้วยแปรง แทงตามรูด้วยเข็มหมุด ล้างให้สะอาด ประกอบเข้าที่เดิม คราวนี้ฝักบัวไหลฉลุยแน่นอน
            
—  ขวด แจกัน คนโทที่ปากแคบคอดเล็ก  ทำความสะอาดยาก กรอกน้ำส้มสายชุ ผสมเปลือกไข่ทุบพอละเอียด แช่ไว้ แล้วเขย่าๆ เศษคราวสกปรกจะหลุดโดยง่าย
            
—  หม้อและกาต้มน้ำชา กาแฟทั้งหลาย ใช้ไปนานๆมักมีตะกรันหินปูนจับหนา น้ำส้มสายชูผสมน้ำอย่างละถ้วย เทลงในภาชนะ ต้มให้เดือด แล้วทิ้งให้เย็นค้างไว้ 1 คืน ตะกอนทั้งหลายจะหลุดเป็นกระบิทีเดียว

            
—  ท่านสุภาพสตรีที่มีปัญหาม้วนผม หรือเซ็ทผมแล้วไม่อยู่ตัว หรือหยิกไม่ทนนาน โกรกผมด้วยน้ำส้มสายชูทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง เมื่อสระและเซ็ทตามปกติ ผมจะหยิกเป็นลอยสลวย ทนนานสะใจหลายวัน
            
—  ไข่สดและใหม่มากเกินไป เวลาทำไข่ต้มมักมีปัญหาปอกเปลือกยาก ไข่เป็นรอยขรุขระไม่น่ารับประทาน ลองเติมน้ำส้มสายชูครึ่งช้อนชาลงในน้ำต้มไข่ ไข่ขาวจะไม่ติดเปลือก ปอกง่ายขึ้นกว่าเดิม
            
—  ต้มแปรงสีฟันขนแข็งๆ ในน้ำส้มสายชู ขนจะนุ่มไม่ทิ่มเหงือกให้เจ็บปากอีก
            
—  ปัญหาหินปูนจับตามเครื่องซักผ้า เครื่องล้างชาม แก้ด้วยน้ำส้มสายชู 1 ถ้วย เทใส่เครื่องพร้อมน้ำ ปิดฝา เปิดเครื่องให้ทำงานตามปกติจะเห็นเครื่องสะอาดทันตา

 

 

            น้ำส้มสายชูกับเคล็ดลับบางประการ

            —  อยากรับประทานผัดไทย หอยทอด ขนมจีน กับถั่วงอกอวบอ้วน ขาวกรอบละก็ แช่น้ำผสมน้ำส้มสายชูไว้สักครู่
            
—  ดอกกุหลาบช่อใหญ่ อยากให้สดอยู่นานๆ น้ำส้มสายชู 1 ถ้วย น้ำตาลทราย 5 กรัม ผสมน้ำสะอาด 5 ถ้วย ด้วยสูตรนี้รดกุหลาบทั้งช่อ
            
—  หม้อหุงข้าวไฟฟ้าใช้ไปนานๆ เกิดอาการน่าเป็นห่วง ก้นหม้อเปลี่ยนจากขาวเป็นดำ ผสมคราบไคลน้ำข้าวจับหนาเตอะ อย่าใช้ฝอยขัดหม้อหรือใยเหล็กไปขัดเข้านะ เดี๋ยวหม้อเป็นรอยขีดข่วน หมดสวย ซ้ำพาเอาคุณภาพเสื่อม สารเคลือบผิวออกไปด้วย

สูตรเด็ดเคล็ดไม่ลับ ก็น้ำส้มสายชูเจ้าเดิมครึ่งส่วน ผสมน้ำ 1 ส่วน เติมลงหม้อ เสียบปลั๊ก รอจนเดือดปุดๆ จึงถอดปลั๊ก เทน้ำทิ้ง แล้วล้างตามปกติคุณจะได้หม้อที่สะอาดเหมือนเดิม
            
—  หยดน้ำส้มสายชูลงบนแว่นตาเช็ดด้วยผ้านุ่ม รอยขีดข่วนจะหายไป พร้อมคราบเหงื่อไคล
            
—  เสื้อผ้าสีขาวสะอาด มักกลายเป็นสีขาวขุ่นเข้าทุกที เมื่อใช้ไปนานๆ เพียงผสมน้ำส้มสายชูลงขณะซัก วิธีนี้ผ้าจะขาวสะอาดยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องใช้น้ำยาซักผ้าขาวให้ผ่าเปื่อยก่อนเวลา 
            
—  ลองใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำสะอาดชำระล้างผมในน้ำครั้งสุดท้าย ดูสักครั้งจะพบว่า ความเปรี้ยวของน้ำส้มสายชู ช่วยล้างแชมพูออกได้สะอาดหมดจดเส้นผมเป็นเงางาม มีน้ำหนัก ปราศจากรังแคด้วย

 

 

 

 

สาธิยา พงษ์ไพรวัน วิทย์ออก 2 เลขที่ 82 sec 02

การรักษาน้ำหนัก

อาหารที่เรารับประทานเข้าไปจะใช้เป็นพลังงานในการดำเนินชีวิต เช่นใช้หล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ใช้ในการเดิน การหายใจ การทำงาน แต่ถ้าหากเรารับประทานอาหารที่มีพลังงานมากกว่าที่เราใช้ส่วนเกินของพลังงาน จะสะสมในรูปไขมันผลทำให้น้ำหนักท่านเพิ่ม

ท่านผู้อ่านควรที่จะรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติคือดัชนีมวลกายอยู่ระหว่าง 20-20 กก./ตารางเมตร หากต่ำกว่านี้ร่างกายอาจจะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ หากมากกว่านี้อาจจะทำให้เกิดโรคต่างๆเช่น โรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง

โรคอ้วนทำให้เกิดโรคอะไร

คนอ้วนมักจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดโรค ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง ซึ่งปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวจะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนั้นโรคอ้วนยังเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งได้หลายชนิด

การลดน้ำหนัก

วิธีลดน้ำหนักที่ดีที่สุดคือการลดพลังงานจากอาหาร และการออกกำลังกายหรืออาจจะทำทั้งสองอย่างพร้อมกัน

ลดพลังงานจากอาหาร

รับประทานอาหารพวกผักผลไม้ให้มาก ไม่ปรุงอาหารด้วยไขมัน

ลดอาหารไขมัน เช่นอาหารทอด ผัด เช่นปาท่องโก๋ กล้วยทอด ไก่ทอด ฟิซซ่า โรตี กะทิ

ดื่มนมพร่องมันเนย งดเนย

ลดการบริโภคน้ำตาล ของหวาน

ลดสุรา

การออกกำลังกาย

ใช้การเดินแทนการนั่งรถ

ใช้บันไดแทนการขึ้นลิฟต์

ไปเล่นกับลูก ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน

อยากทราบรายละเอียดเกี่ยวกับโรคอ้วนคลิกที่นี่ ผู้ที่อ้วนลงพุงจะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจสูงกว่าพวกอ้วนธรรมดา

กินอย่างไรไม่ให้อ้วน

     รักษาหุ่นแบบไม่ต้องอดอาหารและไม่ต้องกินยา  ใครว่าเป็นไปไม่ได้  เพียงแค่คุณรู้จักเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์  และไม่เหลือเป็นส่วนเกินไปพอกพูนอยู่บนสัดส่วนของคุณ

      คนที่เคยหรือกำลังลดน้ำหนักด้วยการอดอาหาร  รู้ดีว่าความหิวเป็นอย่างไร  แต่เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจว่า  หลังจากรับประทานอาหาร  ขนมเค้กชิ้นโตเข้าไปหนึ่งชิ้น  จะทำให้เรารู้สึกอิ่มได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น  ผิดกับการรับประทานแค่โยเกิร์ตเพียงหนึ่งถ้วย หรือปลาเพียงหนึ่งชิ้น  กลับทำให้เรารู้สึกอิ่มไปได้ตั้งนาน  จากความรู้สึกที่เกิดขึ้นนี้  ทำให้ค้นพบวิธีการลดน้ำหนักที่จะไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ

 

 

โปรตีนจะช่วยหยุดความหิวได้ดีที่สุด

         ตามหลักการแล้วโปรตีนเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก  และทำให้เรารู้สึกอิ่มได้ดีที่สุด  ทั้งยังมีแคลอรี่ต่ำเมื่อเทียบกับไขมัน  กล่าวคือ  โปรตีน  1 กรัม  ให้พลังงานเพียง  4 แคลอรี่  ซึ่งพอๆ กับคาร์โบไฮเดรต  ในขณะที่ไขมัน  1 กรัม  ให้พลังงานถึง  9 แคลอรี่ทีเดียว

 

 

คาร์โบไฮเดรตให้พลังงานยาวนานต่อเนื่อง 

         เราจะพบคาร์โบไฮเดรตในอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล  สารอาหารชนิดนี้มีประโยชน์ต่อร่างกายยิ่งกว่าไขมัน  และช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มที่ยาวนานต่อเนื่อง  แต่ไม่ทำให้อ้วนฉุอย่างรวดเร็วเท่ากับกินอาหารที่มีแต่ไขมัน  อย่างไรก็ดี  แหล่งอาหารแต่ละแหล่งที่ให้คาร์โบไฮเดรตนั้น  มีคุณสมบัติแตกต่างกัน  ทางที่ดีคุณควรเลือกรับประทานอาหารที่ให้ทั้งคาร์โบไฮเดรตและกากใยอาหาร  ที่ช่วยให้คุณรู้สึกอิ่มและดีต่อระบบขับถ่ายไปพร้อมๆ กัน  ซึ่งได้แก่  ข้าวกล้อง  ข้าวซ้อมมือ  เผือก  มัน  เมล็ดพืชชนิดต่าง ๆ  รวมทั้งในผลไม้ก็จะมีคาร์โบไฮเดรตในรูปของน้ำตาลซูโครสและฟรุตโตสอยู่

 

 

อาหารยอดฮิตสำหรับคนที่คิดจะลดน้ำหนัก

         อาหารที่เหมาะกับคนลดน้ำหนัก  จะต้องเป็นอาหารที่กินอิ่มอยู่ท้องนาน  ไม่ทำให้คุณรู้สึกหิวบ่อย  และต้องไม่มีโคเลสเตอรอลสูง  กรรมวิธีในการปรุงควรจะใช้วิธีต้ม  ปิ้ง  ย่าง  หรือเผาให้สุก  ไม่ใช่ทอดชุ่มน้ำมัน  ส่วนอาหารประเภทเนื้อสัตว์ก็ควรจะรับประทานประเภทปลาและสัตว์ปีก  ถ้าหากต้องการจะรับประทานเนื้อวัวหรือเนื้อหมูควรจะเอามันออก  ควรดื่มน้ำสะอาดมาก ๆ  หรือดื่มนมรสจืดที่มีไขมันต่ำ  และควรพยายามหลีกเลี่ยงของทอด  ของหวาน  หรือน้ำอัดลมและน้ำหวานชนิดต่างๆ

 

พัชรินทร์ (ภาคค่ำ) 47322814

ทราบหรือไม่ว่า กินอย่างไรให้สุขภาพดี

- กินอาหารเช้า จะทำให้กินอาหารในมื้ออื่น ๆ น้อยลง

- ดื่มน้ำให้มากขึ้น ควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย จะทำให้สดชื่นตลอดวัน

- เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว

- กินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง

- ควรดื่มน้ำชา เพราะในชามีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ

- ธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

- กินให้ครบทุกอย่างที่ธรรมชาติมี พยายามรับประทานผักผลไม้ต่าง ๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบร็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน

สาธิยา พงษ์ไพรวัน วิทย์ออก 2 เลขที่ 82 sec 02

อาหารเพื่อสุขภาพ

ทุกคนคงปฏิเสธไม่ได้กับการรับประทานอาหารที่เราจำเป็นต้องบริโภคทุกวันๆ ซึ่งในแต่ละวันหลายคนคงไม่ได้คำถึงคุณภาพอาหารกันสักเท่าใดนัก ซึ่งอาหารเพื่อสุขภาพร่างกายของเรามีหลากหลาย ไม่จำเพาะเจาจงในเมนูอาหารใดอาหารหนึ่งเท่านั้น อาหารสุขภาพ อาจจะจัดหมวดหมู่เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ ของเราในแต่ละวันได้ เพื่อการรักษาสุขภาพ อาจทำเป็นตารางอาหารประจำวันไว้ เพื่อทำให้ง่ายและสะดวกในแต่ละวัน ที่ต้องคิดว่า … วันนี้เราจะทานอาหารสุขภาพอะไรดี

ซึ่งเราได้นำตัวอย่างอาหารสุขภาพ มาแนะนำ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นเคล็ดลับสุขภาพ โดยการจัดทำเมนูอาหารเพื่อสุขภาพประจำวัน การรักษาสุขภาพ ในแต่ละมื้อ ในหนึ่งวัน ว่าควรจะทานอาหารประเภทไหนกันดี ท่านอาจนำไปประยุกต์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์และโอกาสในแต่ละคนได้

เมนูอาหารเพื่อสุขภาพ

อาหารเช้า

-ออมเล็ททำจากไข่ขาว 7 ฟอง, สลัดนำ้ใส, มะเขือเทศและผักโขม

-ขนมปังโฮลวีทปิ้งครึ่งชิ้น หรือข้าวต้มที่ทำจากข้าวกล้อง 1 ถ้วย

-ส้มโอ 1/4 ลูก

หรือโปรตีนเชคที่ใส่ผลไม้สดเพิ่มเข้าไป

อาหารกลางวัน

-อกไก่ย่างสองชิ้นโดยใส่เครื่องปรุงรส ทานกับขนมปัง

-สลัดผักเขียวใส่มะเขือเทศ แครอท และ ครีมสลัดไขมันตำ่

-ผลไม้สด 1 ถ้วย

ข้อแนะนำ : เปลี่ยนการทานขนมปังขาวมาเป็นขนมปังโฮลวีท

อาหารค่ำ

-ปลาย่างขนาด 250 กรัม เสริฟพร้อมกับ พริกหยวกย่าง,หอมหัวใหญ่และมะเขือยาว

-บร๊อคโคลี่นึ่งและกะหล่ำดอก

-ข้าวกล้องครึ่งถ้วย

-แอปเปิ้ลอบ 1 ลูก

ข้อแนะนำ : ในการปรุงอาหารประเภทเนื้อ, ปลา หรือไก่ให้ใช้เตาย่างแทนการทอด โดยไม่ควาย่างจนไหม้เกรียม หรือใช้การอบ,นึ่งแทน

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์ เลขที่ 2

4 สูตรหน้าใส ง่ายๆ ทำได้ด้วยตัวเอง

1. สูตรเพิ่มความสดชื่นเปล่งปลั่งให้ผิวหน้า

ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นจนสะอาด แล้วนำแอปเปิ้ลไม่ปลอกเปลือกสัก ครึ่งผล ปั่นให้ละเอียด พอกหน้าเว้นเปลือกตา ทิ้งไว้ประมาณ 25 นาที แล้วล้างออก

2. สูตรลดริ้วรอย ทำให้หน้านวลใส

นำแอปเปิ้ลครึ่งผลมาปั่น พอละเอียดได้ที่ก็คั้นมะนาวเอาแต่น้ำสัก 1 ช้อนชาใส่ลงไป คนให้เข้ากัน แล้วพอกชโลมให้ทั่ว เว้นบริเวณรอบดวงตาไว้ ทิ้งไว้ 10 นาที ล้างออก

3. สูตรหน้าเด้ง ไม่หยาบกร้าน

เตรียมโยเกิร์ต 3 ช้อนโต๊ะ และมะเขือเทศลูกเล็กๆ สัก 3 ลูก ปั่นโยเกิร์ตกับมะเขือเทศให้ละเอียด แล้วนำพอกหน้าให้ทั่ว โดยเว้นรอบดวงตา ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออก

4. สูตรขัดหน้าขาว และลดริ้วรอยหมองคล้ำ

ผสมโยเกิร์ต 1 ถ้วย กับเกลือป่นละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ ให้เข้ากัน ชโลมให้ทั่วใบหน้า แล้วขัดๆ ถูๆ ให้ทั่ว ขัด 5 นาที ทิ้งไว้อีก 5 นาที แล้วล้างออก ทำเดือนละครั้งกำลังดี

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)เลขที่ 33

วันนี้ (19 ธ.ค.) นพ.นรา นาควัฒนานุกูล อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้สภาพอากาศประเทศไทยกำลังหนาวเย็น

โรคที่ประชาชนมักป่วยกันมากในฤดูนี้ ได้แก่ โรคระบบทางเดินหายใจ มากที่สุด คือ ไข้หวัด เนื่องจากอากาศมีความชื้นน้อย มีปริมาณฝุ่นละอองมากกว่าฤดูอื่น จึงทำให้เกิดระคายเคืองระบบทางเดินหายใจได้ง่ายขึ้น โดยทั่วไปเมื่อเป็นไข้หวัด อาการจะทุเลาไปเองประมาณ 1 สัปดาห์ ไม่ต้องกินยา ในระหว่างที่ป่วยให้จิบน้ำอุ่น พักผ่อนให้มาก ๆ

แต่สิ่งที่เป็นเรื่องน่ารำคาญของโรคนี้ คือ น้ำมูกไหล ไอ จาม เจ็บคอ และหายใจลำบาก

โดยจากการสำรวจพืชสมุนไพรพื้นบ้านของกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ พบว่า มีสมุนไพรไทยพื้นบ้านหลายชนิดที่บรรเทาอาการ แต่มี 8 ชนิด ที่นิยมใช้เพื่อบรรเทาอาการไข้หวัด ลดอาการไอ ลดการระคายเคืองคอจากเสมหะ ได้แก่ ขิง ดีปลี เมล็ดเพกา มะขามป้อม มะขาม มะนาว มะแว้งเครือ และมะแว้งต้น ซึ่งสมุนไพรเหล่านี้มีอยู่ตามพื้นบ้านทุกภาคอยู่แล้ว มีสรรพคุณต่างกัน สามารถเลือกใช้ได้ตามอาการ.

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์) 006 เลขที่ 30

โรคแพ้โทรศัพท์มือถือ

แพทย์โรคผิวหนังสมาคมแห่งอังกฤษ กล่าวเตือนว่า การพูดโทรศัพท์มือถือมากเกินไป อาจทำให้เกิดการแพ้โลหะนิกเกิล มีผื่นขึ้นที่แก้มและใบหูได้

สมาคมแจ้งว่า โลหะนิกเกิลมักมีอยู่ที่ตัวเครื่องและแป้นตัวเลขต่างๆ โดยเฉพาะยิ่งเป็นสตรีที่เคยแพ้นิกเกิลที่มีอยู่ตามเครื่องประดับเพชรพลอย จะยิ่งน่าห่วงหนักขึ้น แพทย์สมาชิกของสมาคม เคยเจอคนไข้อาการแบบนี้มาบ้างแล้ว ส่วนอาการแพ้โทรศัพท์มือถือเพิ่งเคยพบ หลังจากที่ได้พบคนไข้ที่เกิดผื่นขึ้นตามหน้าและใบหู โดยไม่ทราบสาเหตุ จนตรวจสอบโดยใกล้ชิด ถึงได้รู้ว่าเป็นอาการแพ้นิกเกิล ที่มีผสมอยู่ตามตัวเครื่องและแป้นต่างๆ เฉพาะอย่างยิ่งในเครื่องรุ่นเป็นที่นิยมกันอยู่มากที่สุด

“อาการผิวหนังอักเสบเพราะโทรศัพท์มือถือ ตามปกติจะมีผื่นขึ้นอยู่ตามแก้มหรือใบหู ขึ้นอยู่ที่ผิวหนังตรงไหนโดนส่วนที่เป็นโลหะของเครื่องเข้าที่ตรงไหน และตามทฤษฎี ก็อาจเป็นที่นิ้วมือด้วยก็ได้ หากว่าใช้ในการกดแป้นโลหะเพื่อส่งข้อความมากๆ หากผู้ใดเกิดมีอาการดังกล่าวก็ควรจะไปปรึกษาแพทย์

วราภรณ์ สุตพลสันติกุล เลขที่ 34

พิษสารเคมีกระจาย เปลี่ยนเพศสัตว์จากชายเป็นหญิง

จำนวนสารเคมีที่ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางเพศในสัตว์ป่า สัตว์มีกระดูกสันหลัง รวมทั้งมนุษย์ เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ

ซึ่งรายงานนี้ทำโดย นางเกวน ลียองส์ ที่ทำให้กับกลุ่ม "เคมทรัสต์" ที่พิทักษ์สิ่งแวดล้อม ในรายงานเปิดเผยว่า สารเคมีที่ทำให้สัตว์เปลี่ยนเพศกลายเป็นหญิง พบมากในกล่องบรรจุอาหาร น้ำยาทำความสะอาด พลาสติก สีทาบ้าน ขยะ เนื่องจากมีสารเคมี เช่น "ไบฟีนอล เอ" และ "ฟธาเลทส์" มีความคล้ายคลึงกับฮอร์โมนเอสโตรเจนของหญิง

สารเคมีเหล่านี้แพร่ลงไปตามชั้นดิน แม่น้ำ ลำคลอง ทะเล อากาศ ทำให้อวัยวะเพศผิดปกติ จำนวนอสุจิลดลง หรือแม้แต่เปลี่ยนเพศชายให้กลายเป็นเพศหญิง

อย่างสัตว์ป่าที่ได้รับผลกระทบแล้วมีทั้ง หมี ปลา นกอินทรี วาฬ นอกจากนี้ในการศึกษาอื่นยังพบว่า ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา จำนวนอสุจิของชาวตะวันตกลดลง 30% ประเทศที่มีมีสารเคมีคล้ายเอสโตรเจนตกค้างมากอย่าง รัสเซีย อิตาลี และแคนาดา มีจำนวนทารกเพศหญิงเกิดมากกว่าทารกเพศชายถึง 2 เท่า ปลาเพศผู้กว่าครึ่งหนึ่งของอังกฤษที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ต่ำมีการพัฒนาของไข่ ปลาเพศผู้บางตัวกลายเป็นเพศเมียไปเลย หลังจากได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนจากยาคุมกำเนิดที่เข้าไปปนเปื้อนในแม่น้ำ นกตัวผู้ร้องเพลงนานกว่าเดิมและร้องคล้ายกับนกตัวเมีย 40% ของคางคกยักษ์ในรัฐฟลอริดาพัฒนาอวัยวะเพศทั้ง 2 เพศ

ป้องกันสมองเสื่อม

หลาย ๆ คนอาจจะกำลังกังวลถึงความจำของตัวเองที่หลัง ๆ เริ่มจะมีอาการขาด ๆ หาย ๆ บ้างไปบางระยะ

เท่า นั้นยังไม่พอความจำที่เคยจำได้ดีก็ไม่เหมือนก่อน ฉะนั้นถ้าคุณอยากมีความจำดี ก็จำเป็นต้องหาวิธีที่จะดูแลป้องกันไม่ให้ โรคสมองเสื่อมมาเยือน วันนี้มีวิธีง่าย ๆ ป้องกันสมองเสื่อม มาฝากกันครับ

1. กินอาหารที่มีประโยชน์ การกินผักและผลไม้เป็นประจำจะทำให้ร่างกายได้วิตามินบีหลายตัว ผักใบเขียวจัด ๆ ยังมีสารโคลีนที่สามารถซึมเข้าไปได้ถึงสมองโดยตรง ร่างกายของเราจะอาศัยสารที่มีประโยชน์จากผักใบเขียวนี่แหละไปสร้างสื่อ สัญญาณประสาท ทำให้สมองของเราทำงานไม่ติดขัด ความจำดี นอกจากนี้แล้วการกินผักผลไม้ จะทำให้ร่างกายเราได้รับวิตามินที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย

ผัก และผลไม้ที่เป็นแหล่งของวิตามิน บี 6 ซึ่งเป็นสารอาหารจำเป็นสำหรับการทำงานของสมอง ได้แก่ ใบบัวบก กระหล่ำดอก บร็อกโคลี แคนตาลูป ถั่วเหลือง ถั่วลิสง เป็นต้น ดังนั้นพืชผักเหล่านี้จึงสมควรกินเป็นประจำ

2. ออกกำลังกาย เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับคนที่อยากมีสุขภาพดี เช่น การวิ่ง การปั่นจักรยาน หรือ แอโรบิก ช่วยให้ระบบไหลเวียนของเลือดทำงานดีขึ้น และช่วยกำจัดไขมันที่เกาะตามเส้นเลือด นั่นหมายความว่าเลือดจะสามารถนำออกซิเจนและสารอาหารไปหล่อเลี้ยงสมองได้ดี ยิ่งขึ้นนั่นเอง การออกกำลังกายยังช่วยให้คุณนอนหลับสนิท ทำให้สมองได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ไม่ต้องถึงขนาดวิ่งวิบากก็ได้ แม้แต่การฝึกชี่กง โยคะ ก็ช่วยให้พัฒนาสมองได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นกัน แต่อย่าลืมดื่มน้ำหลังการออกกำลังกายด้วย เพราะการขาดน้ำอาจทำให้สมองทำงานได้ไม่เต็มที่

3. บริหารสมอง หากต้องการชะลอความเสื่อมของสมอง คนเราจะต้องรู้จักใช้สมองในหลายขอบเขต แตกต่างกันไป เช่น ถ้าคุณมีความสามารถในเรื่องของการคิดเลขเร็ว คุณอาจจะต้องหัดรู้จักศิลปะด้วย ทั้งนี้เพื่อเป็นการกระตุ้นสมองอีกด้านหนึ่ง ไม่ให้ทำงานด้านเดียวจนเกินไป เพราะว่าการที่เราหัดทำอะไรที่เราไม่เคยทำมาก่อน จะเป็นการกระตุ้นให้เราสามารถใช้สมองได้อย่างเต็มที่ สมองของเราก็จะเสื่อมช้ากว่า อายุก็จะยืนยาวมากกว่า

4. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ นึกถึงตอนที่คุณเมาจนจำไม่ได้ว่าเมื่อคืนคุณทำตัวน่าอายแค่ไหนนั่นแหละครับ แม้จะเป็นเพียงแก้วสองแก้ว แอลกอฮอล์ก็สามารถไปรบกวนการสร้างความจำระยะยาว (Long-term memories) ได้เหมือนกัน การวิจัยอีกหลายชิ้นก็ชี้ว่า ยิ่งดื่มแอลกอฮอล์มากเท่าไรก็ยิ่งเสี่ยงต่อการทำลายความจำมากขึ้น เห็นแบบนี้แล้วอย่าใช้มันเป็นข้ออ้างในการดื่มเพื่อลืมเธอเลยนะคุณ ใจก็เสียไปแล้ว อย่าให้สมองเสียไปอีกเลย

พิมพา ฟาร์อีสเทิร์น

รักแร้ดำ ทำอย่างไรดี

ปัญหาใกล้ๆตัว อย่างรักแร้ดำคล้ำที่พบได้บ่อยในวัยรุ่นนี้ อาจเกิดจากหลายสาเหตุร่วมกัน เช่น มีผิวคล้ำอยู่แล้วตามกรรมพันธุ์ การเช็ดถูแรงๆ และการเสียดสีเป็นเวลานาน รวมทั้งอาการระคายเคืองหรือแพ้สารเคมีที่สัมผัสผิวอย่างต่อเนื่อง เช่น สบู่ โรลออนระงับกลิ่นกาย หรือน้ำหอม บางครั้งการติดเชื้อแบคทีเรียก็เป็นอีกสาเหตุของรักแร้ดำได้ เรามี 4 วิธีช่วยแก้ไขปัญหารักแร้ดำคล้ำให้กลับมาขาวเนียนดังเดิม มาฝากคุณๆ กันค่ะ

1. หลีกเลี่ยงการเช็ดถูแรงๆ บริเวณผิวใต้วงแขนที่บอบบาง

2. หยุดใช้สารเคมีที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือแพ้ทันที เช่น หากแพ้น้ำหอม ควรเปลี่ยนไปใช้โรลออนชนิดที่ไม่มีสารสร้างกลิ่นหอมที่ระบุว่า "Fragrance-Free" โดยสังเกตส่วนประกอบสำคัญบนฉลาก หากมีชื่อสารที่แพ้ ควรหลีกเลี่ยงไปใช้ยาระงับกลิ่นแบบอื่นแทน

3. ถ้าดำมากหรืออาการไม่ดีขึ้นให้ปรึกษาแพทย์ทันที เช่น ในกรณีที่รักแร้ดำและนูนเหมือนกำมะหยี่ ซึ่งมักพบในคนเป็นโรคเบาหวาน หรือโรคจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Erythrasma เป็นต้น

4. มาลองใช้สูตรสมุนไพรธรรมชาติ เพื่อช่วยให้ใต้วงแขนขาวเนียน ดังนี้ค่ะ

* มะขาม พืชพื้นบ้านที่เรารู้จักกันดี โดยนำมะขามเปียกผสมกับน้ำผึ้งนิดหน่อยมาทาทิ้งไว้ 5 นาที แล้วล้างออก นอกจากทำให้ผิวขาวใสแล้ว ยังช่วยให้ผิวเนียนนุ่มได้อีกด้วย

* มะนาว ที่เหลือจากก้นครัว ใช้มะนาวเอามาถูรักแร้ทิ้งไว้ 2-3 นาที จึงล้างน้ำออก ส่วนที่เหลือของมะนาวยังใช้ถูตามข้อพับ หัวเข่า ข้อศอกที่ดำๆ ได้อีกด้วย

* เกลือสปา ใช้เกลือขัดผิวถูเบาๆ เน้นว่าเบาๆ นะคะ ไม่เช่นนั้นเกลืออาจจะบาดรักแร้เอาได้

ลองทำดูนะคะ ที่สำคัญอย่าลืมว่าต้องดูแลสุขภาพให้ดีจากภายใน แล้วคุณจะรู้ว่าความสวย ความหล่อในแบบฉบับของคุณเป็นเช่นไรค่ะ

พิมพา ฟาร์อีสเทิร์น

เรื่องของ เท้า ที่สาวๆ อาจไม่เคยรู้

สำหรับหญิงสาวแล้ว เท้าคือหนึ่งในส่วนประกอบที่สำคัญของชีวิต ดังนั้น เท้าจึงเป็นอวัยวะที่ต้องสัมผัสกับรองเท้าตลอดเวลา เท้าจึงควรได้รับการดูแลอยู่เสมอเช่นกัน

มีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการดูแลเท้ามาฝากสาวๆ ที่อาจเคยได้ยินความเชื่ออะไรผิดๆ เรื่องเท้ามา

ประเดิมความเข้าใจผิดอย่างแรกเกี่ยวกับเท้า คือ “รองเท้าส้นสูงทำให้เกิดโรคตาปลา” เพราะการสวมรองเท้าส้นสูงอาจทำให้เท้าของคุณเจ็บปวดก็จริง แต่มันไม่ใช่เรื่องของกระดูกบิดเบี้ยวผิดรูป และไม่ใช่เรื่องของการที่ข้อต่อตรงนิ้วโป้งเจริญเติบโตผิดปกติ อย่างไรก็ตาม ถ้าหากไม่อยากเป็นตาปลา คุณควรสวมรองเท้าส้นเตี้ย ที่ไม่ได้รัดนิ้วเท้ามากเกินไป หรือถ้าจะสวมรองเท้าส้นสูง ขนาดของรองเท้าก็ควรจะสวมสบาย มีที่ทางพอจะขยับได้ ไม่บีบรัดหรือทำให้รู้สึกเจ็บเวลาที่เดิน และทราบไว้เลยว่า “มันไม่ปลอดภัยที่จะตัดตาปลาทิ้งด้วยตัวเอง” เพราะการตัดตาปลาเป็นเรื่องที่ต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญโดยตรง เพราะส่วนมากแล้ว มันมักมีลักษณะเป็นแผ่นหนา และติดเชื้อ ถ้าหากตัดด้วยตัวเอง อาจทำให้แผลยิ่งอักเสบมากขึ้นด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าเท้าสามารถบ่งบอกว่าคุณจะเป็นโรคกระดูกพรุนหรือเปล่า เพราะ “จุดเริ่มของกระดูกพรุน ดูได้จากเท้า”

แม้ว่าส่วนใหญ่แล้ว โรคกระดูกพรุนจะเกิดขึ้นที่กระดูกสะโพกหรือกระดูกสันหลัง แต่ในระยะแรก ผู้ป่วยมักเกิดอาการข้อเท้าหัก ซึ่งเป็นสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่า เขาหรือเธอกำลังประสบปัญหากระดูกพรุนนั่นเอง ส่วนความคิดที่ว่า “เอ็นฝ่าเท้าอักเสบ คือโรคเดียวกับหูด” นั้นเป็นเรื่องที่ผิด แท้จริงเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ สาเหตุมาจากการทำงานที่ผิดพลาดภายในร่างกาย ไม่ใช่โรคผิวหนังอย่างหูด ที่เกิดขึ้นภายนอก อย่างไรก็ตาม โรคนี้เกิดขึ้นได้ในวัยที่เพิ่มมากขึ้น และทางแก้ คือ การพยายามยืดคลายกล้ามเนื้อที่ฝ่าเท้า หรือไปพบแพทย์โดยตรง

ท้ายสุด ใครที่คิดว่า “นิ้วเท้าหัก เดี๋ยวก็หายเอง” คุณคิดผิด เพราะกระดูกนิ้วเท้าไม่อาจซ่อมแซมได้ง่ายดายอย่างที่คิด นอกจากนี้ ถ้ารักษาไม่ถูกวิธี ยังอาจทำให้เกิดโรคไขข้ออักเสบ หรืออาการบิดเบี้ยวผิดรูปได้ด้วย ถ้าหากสงสัยว่านิ้วเท้าหักหรือมีปัญหาเจ็บปวด ขอให้ไปพบแพทย์โดยตรง เพื่อทำการรักษาอย่างถูกต้อง อย่าปล่อยทิ้งไว้หรือแค่เอาผ้าพัน เพราะมันไม่มีทางหายเองได้ง่ายๆ

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)เลขที่ 33

เมื่อน้ำมันมีกลิ่นจะทำอย่างไรดี

น้ำมัน ถ้าพูดถึงคนสมัยก่อนแต่โบราณก็จะเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นสักเท่าไหร่ น้ำมันกับสมัยยุคปัจจุบันนั้นจำเป็นอย่างยิ่ง ทุกบ้าน จำเป็นต้องมีติดครัวเรือนขาดไม่ได้ วัน ๆ หนึ่ง น้ำมันนั้นมีมากมายหลายชนิดถึงจะรู้ ว่ารับประทานกันเข้าไปมาก ๆ นั้นไม่ค่อยดีกับสุขภาพแต่ก็มักจะขาดกันไม่ได้ ถึงน้ำมันจะมีประโยชน์น้อย ถ้าเรารับประทานเข้าไปมาก ๆ ก็จะสะสมอยู่ภายในร่างกายของเราจนทำให้เราอ้วนและเป็นโรค แต่ถ้าบ้านไหนรับประทานอย่างถูกหลักอนามัย ก็สามารถลดปัญหาตรงนี้ไปได้เยอะทีเดียว บางครอบครัวจะใช้น้ำมันเยอะ ถึงกับว่าเวลาซื้อก็จะซื้อเป็นลัง ๆ เก็บไว้รับประทานเยอะ ๆ แต่ว่าเก็บไว้นาน ๆ ก็จะมีกลิ่นเหม็นเวลาเอามาปรุงอาหาร ถ้าน้ำมันที่ใช้แล้วก็จะมีกลิ่นที่ชวนไม่พึงประสงค์ เพียงใช้หนเดียวเท่านั้น วิธีที่จะแนะนำรับรองว่าดับกลิ่นน้ำมันได้ดี โดยการใช้ใบเตยไปทอดกับน้ำมันก็จะไม่มีกลิ่นให้รบกวนเลย ไม่ว่ากลิ่นเหม็นแค่ไหน ฉุนมาก ๆ ก็แก้ได้ หรือจะใช้อีกวิธีก็ได้ คือ การทุบหัวหอมแดงลงไปคลุกเคล้ากับน้ำมันเวลาปรุงอาหาร หัวหอมแดงจะช่วยดับกลิ่นอยู่ชะงัดเหมือนกัน ลองทำกันดูนะคะ

น้ำมันที่ทอดอาหารสกปรกแล้วทำให้สะอาดและใส

อาหารทอด เป็นอาหารยอดนิยมและเป็นอาหารนานาชาติเลยก็ว่าได้ ทั้งอาหารไทย อาหารฝรั่ง ต่างก็มีอาหารทอดเป็นอาหารที่เป็นเมนูประจำร้าน ไม่ว่าร้านประเภทฟาสต์ฟู้ดต่าง ๆ ที่มีขึ้นมากมายหรืแม้แต่ร้านขายแผงลอยตามชุมชน ต่าง ๆ อาหารทอดส่วนใหญ่นิยมนำเนื้อสัตว์มาเป็นวัตถุดิบหลักในการทอด เช่น หมูทอด ไก่ทอด ปลาทอด และย่อมจะมีน้ำมันที่เหลือและมีเศษของเนื้อสัตว์ที่ตกค้างอยู่ในน้ำมัน ซึ่งจะทำให้น้ำมันมีสีดำและขุ่น เมื่อทอดไก่หรือเนื้อสัตว์เพียงแค่ครั้งเดียว น้ำมันก็เริ่มดำและขุ่นแล้ว แต่ถ้าเราจะนำมาใช้ทอดอาหารใหม่อีกครั้งหนึ่ง เราควรนำน้ำมันมากรองบนกระดาษทิชชูที่รองอยู่บนกระชอน แล้วนำน้ำมันเทลงบนกระดาษทิชชู น้ำมันก็จะไหลลงแต่ยังเหลือเศษเนื้อสัตว์ และตะกอนของน้ำมันเกาะอยู่บนกระดาษทิชชู น้ำมันที่กรองแล้วก็จะใสเหมือนเดิม แต่ควรกรองตอนที่น้ำมันยังร้อน ๆ อยู่นะคะ แล้วจึงนำน้ำมันที่กรองแล้วไปทอด เนื้อสัตว์อื่น ๆ ได้อีกครั้ง

น้ำมันเก่านำมาใช้ใหม่อีกรอบ

น้ำมันที่ใช้ทอดอาหารแล้ว 1 ครั้ง ก็มักจะมีกลิ่นของอาหารที่ทอดติดอยู่ตามชนิดของอาหารนั้น ๆ ว่ามีมากหรือน้อย คุณแม่บ้านก็มักจะทิ้งไปเพราะถ้านำกลับมาใช้ใหม่ก็กลัวว่าจะมีกลิ่นเหม็นหืน เรามีวิธีแก้ง่าย ๆ ค่ะ คือนำน้ำมันตั้งไปให้ร้อนแล้วนำใบเตยหั่นสัก 10 ท่อน ลงไปทอดในน้ำมันแล้วเอาชื้น ใบเตยนั้นจะช่วยดับกลิ่นอาหารเก่าที่อยู่ในน้ำมัน คราวนี้ก็สามารถนำน้ำมันเก่ามาใช้ทอดอาหารใหม่ได้อีกครั้ง โดยไม่ต้องกลัวกลิ่นเหม็นหืนของน้ำเก่าอีก

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์) 006 เลขที่ 30

ดื่มน้ำมากดี"ไม่ป่วย-อายุยืน"

หลายร้อยปีมาแล้วมีผู้พยายามคิดค้นหาทางทำให้อายุยืน มีสุขภาพดี ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ซี่ง ดร.มิฮาอิล ชีพินอฟ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ เชื่อว่าวิธีที่ทำให้อายุยืนอาจเป็นวิธีง่ายๆ แค่ดื่มน้ำ

ดร.ชีพินอฟอธิบายว่า ในน้ำมี "ดิวทีเรียม" รูปแบบของไฮโดรเจนชนิดหนึ่งที่หายาก และมีน้ำหนักมากกว่าไฮโดรเจนปกติถึง 2 เท่า "ดิวทีเรียม" นี้ช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ในร่างกายเสื่อมสภาพ เมื่อเซลล์ถูกสารเคมีที่เกิดขึ้นจากการย่อยอาหารแปรเปลี่ยนเป็นพลังงาน โดยเซลล์ที่เสื่อมสภาพนี้ต่อไปอาจกลายเป็นเซลล์มะเร็ง

จากการทดลองของ ดร.ชีพินอฟ ที่ทำกับไส้เดือนและแมลงหวี่พบว่า เมื่อไส้เดือนได้รับ "ดิวทีเรียม" อายุของไส้เดือนเพิ่มขึ้น 10% ส่วนแมลงหวี่อายุเพิ่มขึ้น 30% นอกจากการเพิ่มจำนวน "ดิวทีเรียม" ในน้ำเพื่อไว้ในการดื่มกินแล้ว ดร.ชีพินอฟยังแนะว่า อาจเพิ่ม "ดิวทีเรียม" ในอาหารต่างๆ เช่น เนื้อหมู เนื้อวัว ได้ด้วย

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

สวยสั่งได้ด้วยบันได 9 ขั้น !!!

1. ทำตัวให้ไฮเปอร์ เคล็ดลับสำคัญไม่ใช่การเข้าฟิตเนส แต่เป็นการใช้ร่างกายทำกิจกรรมต่างๆ ลดการใช้เครื่องทุ่นแรง เช่น เดินขึ้นบันไดแทนลิฟต์ และหากิจกรรมสนุกๆ กลางแจ้งทำเสมอ

2. สร้างนิสัยใหม่ในการกิน เปลี่ยนมากินอาหารจำพวก โฮลเกรน ธัญพืชไม่ขัดสี ผัก ผลไม้ และวางแผนควบคุมจำนวนแคลอรีเป็นประจำ แล้วคุณจะคงความสาวและรูปร่างได้ไฉไล

3. แสดงอารมณ์ทางสีหน้าแบบเนิบนาบ ทุก ครั้งที่คุณเลิกคิ้ว หรืออ้าปากหวอ จะทำให้ผิวบริเวณหางตาเกิดริ้วรอย ไม่ใช่ให้ทำหน้าตายนะคะ แค่ทำมันแบบช้าๆ เพื่อที่กล้ามเนื้อจะได้ไม่ถูกกระตุกกระชาก หรือดีกว่าคือเปลี่ยนวิธีแสดงอารมณ์เช่น ออกเสียงแทนสีหน้า

4. แต่งหน้าอินเทรนด์ในแบบธรรมชาติ แน่นอนว่าคุณสามารถสวยได้ตามฤดูกาล แต่แทนที่จะเลือกเฉดสีโดดเด่นในแบบสุดโต่ง ลองหาโทนที่อ่อนลงมาหน่อยจะดีกว่า แต่ถ้าอดใจไม่ไหวอยากเน้นสีสด ก็เล่นกับปากดีที่สุด

5. ไฮไลท์ผมรับเทรนด์ ความยาวแบบครึ่งกลางๆ อาจเอื้อให้ทำทรงได้หลากหลาย แต่ถ้าจะเปรี้ยวล้ำต้องชัดเจน ข้อสำคัญคือ การเลือกช่างที่มีความสร้างสรรค์ในการดัดแปลงทรงผมพื้นฐานจากบ็อบ ม็อด ให้ดูร่วมสมัย ด้วยการซอยปลายให้ปัดชี้ และมีการทำไฮไลท์สีผมในโทนน้ำตาล ไม่ว่าคุณจะมีสีผมเข้มหรือดำ การทำไฮไลท์กำลังมาแรงในปลายปีนี้ จะช่วยทำให้หน้าตาของคุณให้อ่อนเยาว์ลง และยังช่วยเพิ่มดีกรีความสวยเปรี้ยวให้คุณได้มากถึง 50% เลยเชียว

6. แปลกตาด้วยผิวสีน้ำผึ้ง ถ้าเบื่อผิวขาวหมวยก็ไปลองอาบแดด หรือเข้าคอร์สทำผิวแทน จากนั้นแต่งหน้าด้วยกลุ่มสีโทนส้มและชมพูกุหลาบ จากนั้นปัดแก้มสีพีชลงบนพวงแก้ม รับรองว่าสวยเริด…เจิดจรัส

7. สวยไม่ขัดตา ต้องจ่ายเงินขัดฟัน แค่สีฟันขาวสว่างขึ้น ใบหน้าของคุณก็จะดูน่ามองมากขึ้นถึง 30% การขัดฟันไม่เพียงทำให้คุณดูสวยขึ้น แต่ยังเพิ่มความมั่นใจ และทำให้คุณขยันยิ้มจนกลายเป็นคนอารมณ์ดีอีกด้วย

8. อินเทรนด์ด้วยสีม่วง ออทั่มวินเทอร์นี้ ไม่มีสีไหนเจิดจรัสชัชวาลเท่าสีม่วงอีกแล้ว ลองแต่งตัวด้วยสีในโทนนี้ ถ้าคุณมั่นว่ารูปร่างดีก็ใส่มันทั้งชุดเลย แต่ถ้าไม่ ก็ขอแนะนำให้หยอกสีกับกระเป๋า รองเท้า หรือเจาะเป็นเรียวเล็บก็เก๋

9. ปากแดงๆ ไว้ใจได้ เลือกแต่งหน้าในโทนสีนู้ด หรือแบบที่ให้ความเรียบเนียนด้วยโทนสีเดียวกับผิว และปัดแก้มบางๆ ด้วยสีบลัชออนเฉดเดียวกับริมฝีปากด้านใน เพื่อความเป็นธรรมชาติ ลิปสติกสีแดงกำลังกลับมาในกระแสอีกแล้ว เพราะฉะนั้นเลือกโทนสีอมแดงไว้ดีที่สุด

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

มีการดูแลตัวเองตามกรุ๊ปเลือดมาบอก

- คนที่มีกรุ๊ปเลือด A

จะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดเนื่องจากร่างกายจะผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือฮอร์โมนเครียดมาก ดังนั้นควรจะออกกำลังกายด้วยการจดจ่อต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาทิ โยคะ ไทชิ หรือนั่งสมาธิ เพื่อลดความเครียด หากออกกำลังกายก็อย่าหักโหม

จึงไม่ควรบริโภคเนื้อสัตว์มากเกินไป เพราะผู้ที่มีหมู่เลือดนี้จะไม่ค่อยมีเอนไซม์และกรดที่ย่อยโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ควรงดการดื่มนมสดและผลิตภัณฑ์จากนม เพราะจะทำให้เกิดท้องอืด ท้องเฟ้อ ทางที่ดีควรรับประทานผัก อย่างฟักทอง แคร์รอต ผักโขม บร็อกโคลี่ และพืชตระกูลถั่ว โดยเฉพาะถั่วเหลือง ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่มีโปรตีนสูงและช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และควรดื่มชาเขียวเป็นประจำเพื่อช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ควรจำกัดน้ำตาล กาเฟอีน และแอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้จะไปเพิ่มความเครียด และทำให้กระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกายทำงานช้าลง

- คนที่มีกรุ๊ปเลือด B

เมื่อร่างกายไม่สมดุลระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจะเพิ่มสูงขึ้นทำให้มีโอกาสที่จะติดเชื้อ เกิดอาการเหนื่อยล้า จิตใจมัวหมอง ควรสร้างความสมดุลด้วยการออกกำลังกายในรูปแบบที่ท้าทายแต่ต้องใช้สมาธิควบคู่ไปดวย อาทิ เทนนิส ศิลปะการต่อสู้ ปั่นจักรยาน เดินทางไกล กอล์ฟ หรือไทชิเป็นการลดความเครียด ลดความดัน ทำให้ผ่อนคลาย สร้างสมดุลให้กับร่างกาย

คนเลือดกรุ๊ปนี้เหมาะกับการดื่มนมหรือผลิตภัณฑ์จากนม และเนื้อสัตว แม้คนหมู่เลือดนี้จะสามารถเผาผลาญโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ดีก็ตามแต่ก็ไม่ควรกินเนื้อสัตว์ที่ติดมัน ไม่ควรกินคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป และหลีกเลี่ยงเนื้อไก่

- คนที่มีกรุ๊ปเลือด AB

เป็นกลุ่มคนที่รักความเคลื่อนไหว ดังนั้นควรออกกำลังกายในรูปแบบที่ใช้แรงมากและต้องสร้างสมาธิได้ด้วย อย่างเช่นโยคะ หรือแอโรบิก คนเลือดกรุ๊ปนี้มีกรดไฮโดรคลอริกน้อยทำให้ย่อยอาหารได้ยาก จึงต้องจำกัดปริมาณเนื้อสัตว์ไม่ควรรับประทานเนื้อไก่ ควรหันมาบริโภคถั่วเหลือง ปลา ไข่ไก่ และผักแทนไม่ควรดื่มกาเฟอีนและแอลกอฮอล์มากเกินไปและไม่ควรอดอาหารเพราะจะทำให้เกิดความเครียด

- คนที่มีเลือดกรุ๊ป O

ควรจะออกกำลังกายโดยสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเต้นแอโรบิก วิ่ง หรือปั่นจักรยานจะช่วยปรับสภาวะสมดุลของอารมณ์ได้ คนเลือดกรุ๊ปนี้โปรตีนเป็นสิ่งสำคัญ แต่ควรจำกัดการบริโภคถั่วและหมู ส่วนนมและผลิตภัณฑ์จากนมให้บริโภคแต่น้อยเพราะร่างกายย่อยได้ยาก ควรจะหันมารับประทานผักผลไม้ให้มาก

อาหารยอดเยี่ยม 5 ชนิดที่ปฏิเสธไม่ได้

น้ำมันมะกอก

คุณประโยชน์ : น้ำมันกอกมีกรดไขมันชนิดที่เป็นประโยชน์กับร่างกายสูง นอกจากจะเป็นไขมันชั้นดีแล้ว ยังมีฤทธิ์เป็นสารแอนติออกซิแดนท์ ที่เป็นตัวควบคุมระดับคอเลสเทอรอลที่ไม่ดีในเลือด และเพิ่มระดับคอเลสเทอรอลที่ดี (เอชดีแอล) จึงช่วยป้องกันโรคหัวใจ ที่สำคัญในน้ำมันมะกอกยังประกอบด้วยวิตามินเอและอี ที่เป็นสารแอนติออกซิแดนท์ ที่ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซล และช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง นอกจากนั้นงานวิจัยใหม่ๆ ยังแสดงให้เห็นว่าน้ำมันมะกอกมีสารพฤกษเคมีตามธรรมชาติ ซึ่งมีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่คล้ายกับที่พบในยาแก้ปวด แก้อักเสบที่ไม่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ (ibuprofen)

ถั่วเหลือง

ถั่วเหลืองธัญพืชชั้นยอด ที่เป็นแหล่งของโปรตีนที่มีคุณภาพและมีไขมันที่ดี รวมทั้งยังมีส่วนประกอบของวิตามิน เกลือแร่ และพฤกษเคมีต่างๆ รวมทั้งไขมันโอเมกา 3 และไม่มีคอเลสเทอรอล ในประเทศญี่ปุ่นมีการใช้ถั่วเหลืองในการประกอบอาหารเกือบทุกชนิด ตั้งแต่ซอสถั่วเหลือง (แพร่หลายเหมือนกับซอสมะเขือเทศ) ไปถึงน้ำมันพืช เต้าหู้ และถั่วเหลืองหมักที่เรียกกันว่า มิโซะ

คุณประโยชน์ : สารไอโซฟลาโวนส์ (isoflavones) ในถั่วเหลืองมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโทรเจน มีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็งที่ขึ้นกับระดับฮอร์โมน (มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก) และภาวะกระดูกพรุน แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ งานวิจัยหลายๆ ชิ้นชี้แนะว่า ถั่วเหลืองมีผลดีต่อสุขภาพของหัวใจ

โยเกิร์ต

นมเปรี้ยวหรือโยเกิร์ต คือนมสดที่นำมาหมักกับเชื้อจุลินทรีย์ กระทั่งน้ำตาลแลคโตสในนมเปลี่ยนเป็นกรดแลคติก มีลักษณะข้นเป็นครีมและมีรสเปรี้ยว มีโปรตีนและแคลเซียมสูง โยเกิร์ตถือเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่ชาวกรีซบริโภคกันมานับพันๆ ปี

คุณประโยชน์ : โยเกิร์ตมีจุลินทรีย์ที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยในการย่อยน้ำตาลในนม เช่น แลคโตบาซิลัส แอซิโดฟิลัส เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง เพิ่มภูมิต้านทาน ลดความดัน เสริมสร้างสุขภาพในลำไส้และช่องคลอด และอาจมีผลช่วยป้องกันมะเร็งและช่วยลดน้ำหนักได้ นอกจากนี้โยเกิร์ตของชาวกรีซ ไม่ให้น้ำตาลมากเกินไปเหมือนโยเกิร์ตของประเทศอเมริกาด้วย

ถั่วเลนทิล

เลนทิล (Lentils) เป็นเมล็ดถั่วมีลักษณะกลมๆ แบนๆ มีหลายสี เช่น น้ำตาล เขียว แดง และเหลือง เลนทิลมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์มาก ชาวอินเดียจึงนิยมบริโภคพร้อมกับข้าวหรือขนมปังในทุกๆ มื้ออาหารและอินเดียยังเป็นทั้งแหล่งผลิต และแหล่งบริโภคถั่วเลนทิลที่ใหญ่ที่สุดในโลก

คุณประโยชน์ : อาหารสุดยอดนี้ให้โปรตีนและไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ ซึ่งช่วยลดคอเลสเทอรอลลงได้ และยังให้ธาตุเหล็กมากกว่าพืชตระกูลถั่วอื่นๆ ถึง 2 เท่า และถั่วเลนทิลยังมีวิตามินบีและโฟเลตสูงอีกด้วย ซึ่งโฟเลตมีความสำคัญต่อหญิงวัยเจริญพันธุ์ เพราะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติของระบบสมองในเด็กทารกแรกคลอด

กิมจิ

กิมจิ ผักกะหล่ำปลีดองที่มีส่วนผสมของเครื่องเทศที่ให้รสชาติเผ็ดๆ ถือเป็นอาหารประจำชาติของชาวเกาหลีที่จัดเป็นอาหารประเภท "เครื่องเคียง" ที่ขึ้นโต๊ะอาหารได้ทุกมื้อ ปกติชาวเกาหลีจะบริโภคกิมจิคนละประมาณ 20 กิโลกรัมต่อปี

คุณประโยชน์ : กิมจิ นอกจากกินอร่อยแล้วยังมีสารอาหารที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายมาก อาทิ อุดมด้วยเส้นใยอาหาร เต็มไปด้วยวิตามินเอ ซี บี และมีแคลอรีต่ำ แต่คุณประโยชน์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด คือ มีแบคทีเรียชนิดแลคโตแบซิไลที่ให้ประโยชน์ในการช่วยย่อยอาหาร

กินอาหาร ให้เหมาะกับการออกกำลังกาย

พลังกายหรือพลังงานจากอาหารที่เรากินเข้าไปนั้น ร่างกายของนักกีฬาจะดึงพลังงานออกมาใช้ ได้ ขึ้นอยู่กับการออกกำลังกายหรือกีฬาที่เล่น พลังงานที่ใช้ก็จะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละประเภทของกีฬา

การออกกำลังกายประเภท ยกน้ำหนัก ขว้างจักร วิ่ง - ว่ายน้ำ 100 เมตร เป็นการใช้พลังงานเร่งด่วนและ ระยะสั้น แหล่งพลังงานจะมาจากสารอาหารที่อยู่ในกระแสเลือด และใช้พลังงานที่ได้จากการหด - คลายของกล้ามเนื้อ ทำให้นักกีฬาเกิดอาการเมื่อยล้า เป็นลมได้ ถ้าหากมีการออกกำลังกายต่อ เพราะที่กล้ามเนื้อมีสารอาหารที่เรียกว่า ไกลโคเจน (Glycogen) สะสมไว้ไม่เพียงพอแก่การดึงมาใช้งาน

ส่วนการใช้พลังงานที่ติดต่อกันเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 20 นาที เช่น เตะฟุตบอล เล่นเทนนิส ตีปิงปอง เล่นวอลเล่ย์บอล ฯลฯ ก็จำเป็นต้องมีการสะสมพลังงานสำรองไว้ที่กล้ามเนื้อให้เต็มที่ จากนั้นจะใช้พลังงานจากไขมันและโปรตีนเป็นแหล่งพลังงานต่อถ้าไม่พอ จึงอดนึกถึงกลุ่มที่ออกกำลังกายเพื่อ ลดน้ำหนักไม่ได้ กลุ่มนี้ถ้าต้องการลดน้ำหนักจริง ๆ ต้องจำกัดอาหารและออกกำลังกายติดต่อกันไม่น้อยกว่า 20 นาที จุดมุ่งหมายเพื่อนำไขมันที่สะสมมาใช้นั่นเอง

การใช้พลังงานจะขึ้นอยู่กับ เพศ วัย ประเภทที่ออกกำลังกาย และเวลาที่ใช้

พลังงานที่ร่างกายต้องการแตกต่างกันตาม เพศและวัย

ผู้ที่ต้องการพลังงาน 1,850 กิโลแคลอรี/วัน เหมาะสำหรับ เด็กชาย-หญิง อายุ 10 - 12 ปี และเด็กหญิงอายุ 16 - 19 ปี

ผู้ที่ต้องการพลังงาน 2,000 กิโลแคลอรี/วัน เหมาะสำหรับ เด็กหญิงอายุ 13 - 15 ปี และผู้ใหญ่ที่เป็นหญิง

ผู้ที่ต้องการพลังงาน 2,500 กิโลแคลอรี/วัน เหมาะสำหรับ เด็กชาย-หญิง อายุ 16 - 19 ปี

ผู้ที่ต้องการพลังงาน 2,800 กิโลแคลอรี/วัน เหมาะสำหรับ ผู้ใหญ่ที่เป็นชาย

ทั้งหมดนี้ เป็นพลังงานที่ยังไม่ได้เพิ่มเติมสำหรับการจะเป็นนักกีฬา

คิดพลังงานเพิ่มเติมที่ใช้ในการออกกำลังกาย

ให้คิดตามจำนวนพลังงานที่ใช้ / นาที / ประเภทกีฬา เช่น นักกีฬาเทนนิส ที่มีน้ำหนักตัว 68 ก.ก. ใช้เวลาออกกำลังกาย 60 นาที (7.4 x 60) ดังนั้นต้องการพลังงานเพิ่ม 444 กิโลแคลอรี

* นำข้อ 1. และข้อ 2. มารวมกัน จะได้พลังงานที่ร่างกายต้องใช้ในการออกกำลังกาย

เลือกกินอาหารอย่างไรจึงเหมาะสม

เมื่อคำนวณได้แล้วว่าเราจะออกกำลังกายแบบใด และต้องการพลังงานทั้งหมดเท่าไร จากนี้ก็มาเลือกกินอาหารให้ร่างกายได้สารอาหารและพลังงานที่เหมาะสมดังนี้

อาหารหลัก 5 หมู่

สารอาหารหลักของนักกีฬา คือ อาหารหลัก 5 หมู่ของคนไทยนั่นเอง ปกติอาหารก็เหมือนกับคนทั่วไป แต่มีปริมาณเพิ่มขึ้น สัดส่วนของข้าวแป้งในปริมาณมากกว่าอาหารหมู่อื่น ๆ ไขมันไม่เกิน 30% เพื่อป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โปรตีนพอดีๆ 1 - 1.5 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมก็เพียงพอแล้ว (โปรตีนจากพืชและสัตว์รวมกัน) โดยเน้นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ต้องมาจากเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ปลา ถั่วเมล็ดแห้ง เครื่องในสัตว์ (สัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง) กินไข่ไม่เกินวันละ 1 ฟอง นมควรเป็นนมไขมันต่ำ นมเปรี้ยว ผลไม้และผักจะช่วยเพิ่มใยอาหาร ขับถ่ายสะดวก เน้นผักใบเขียวเข้ม สีส้มสีเหลือง ควรกินน้ำตาล ของหวาน น้ำมัน เกลือ แต่น้อยเท่าที่จำเป็น

ส่วนคาร์โบไฮเดรตจากข้าวแป้งจะมีสัดส่วนที่มากกว่า ดังนั้นนอกจากข้าว ก๋วยเตี๋ยว ที่เป็นอาหารหลักแล้ว ควรออกมาในรูปของอาหารว่างระหว่างมื้อ ได้แก่ กล้วยปิ้ง ข้าวโพดคลุก ข้าวโพดต้ม มันต้ม แซนด์วิช ขนมกุหยช่าย เป็นต้น

วิตามินและเกลือแร่

วิตามินและเกลือแร่เป็นหัวใจในการแข่งขัน ได้แก่ วิตามินซีจากผักสดและผลไม้ ช่วยโปรตีนสร้างเนื้อเยื่อให้แข็งแรง โฟเลทจากเครื่องในสัตว์ ไข่แดง ช่วยสร้างเม็ดเลือดขนส่งออกซิเจนให้มีประสิทธิภาพ แคลเซียม แมกนิเซียมจากนมช่วยในการทำงานของกล้ามเนื้อ รวมไปถึงวิตามิน บี เอ ดี อี ด้วย

นักกีฬาที่ได้รับสารอาหารครบถ้วนแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเสริมวิตามินและเกลือแร่ในรูปของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอีก เพราะอาจทำให้ไปขัดขวางการทำงานของวิตามินและเกลือแร่ตัวอื่นได้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

น้ำเปล่า ๆ เย็น ๆ

การเสียเหงื่อในการออกกำลังกาย ควรดื่มน้ำมากๆ ก่อนการแข่งขัน 2 - 3 วัน เพื่อให้เนื้อเยื่อสำรองน้ำให้เพียงพอ ในระหว่างการออกกำลังกาย อย่ารีรอเมื่อรู้สึกกระหายน้ำ การดื่มน้ำที่มีประสิทธิภาพ คือดื่ม 2 ชั่วโมงก่อน การออกกำลังกายไม่เกิน 3 แก้ว จากนั้น 10 - 15 นาทีก่อนการออกกำลังกาย ไม่เกิน 2 แก้ว และทุกๆ 15 - 30 นาทีระหว่าง การออกกำลังกายไม่เกิน 1 แก้ว ขอแนะนำน้ำดื่มสะอาด แช่เย็น ก็เพียงพอแล้ว เพราะน้ำสะอาดสามารถเข้าสู่เนื้อเยื่อได้ง่าย และความเย็นจะทำให้รู้สึกสดชื่น

Sport Drink

เครื่องดื่มเกลือแร่ที่ขายอยู่ถ้าคิดว่าราคาแพง ลองทำเองก็ได้ง่ายเช่นกัน โดยใช้เกลือ 1/3 ช้อนชา ผสมในน้ำ 500 ซี.ซี. อาจจะบีบมะนาวหรือเติมน้ำหวาน 1/2 ช้อนชา เพื่อเพิ่มความอร่อย หรืออีกสูตรจะใช้น้ำผลไม้ 1/2 แก้วผสมน้ำสะอาดอีก 1/2 แก้ว แต่ทั้ง 2 สูตรควรแช่เย็นและไม่ควรผสมนานเกิน 6 ชั่วโมง เพราะอาจเสียได้

นอกจากนี้เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนก็สามารถดื่มได้ ไม่เกิน 2 แก้วต่อวัน ถ้าดื่มเบียร์จะทำให้ปัสสาวะบ่อย มีผลต่อช่วงเวลาการแข่งขันและประสิทธิภาพของตัวนักกีฬา

อาหารก่อน - ระหว่าง - หลัง การแข่งขัน

ควรกินอาหารก่อนการแข่งขัน 3 ชั่วโมง และงดอาหารแข็ง รสจัด เครื่องเทศมากๆ คาเฟอีน แอลกอฮอล์ อาหารย่อยยาก เช่น อาหารทอด อาหารเนื้อสัตว์ในปริมาณมาก เน้นอาหารย่อยง่าย ใยอาหารปานกลาง มีพลังงานตามที่ ต้องการ เน้นอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตเพื่อสะสมไกลโคเจนไว้ที่กล้ามเนื้อให้เป็นพลังงานสำรองอย่างพอเพียง

ระหว่างการแข่งขันสามารถดื่มเครื่องดื่มได้แต่ไม่ควรมีปริมาณน้ำตาลมากเกินไป จะทำให้เกิดอาการ ท้องอืด แน่น จุกเสียด จากปัญหาการดูดซึมได้

การกินอาหารหลังการแข่งขันเพื่อชดเชยพลังงานที่ใช้ไปตลอดการออกกำลังกาย โดยเน้นคาร์โบไฮเดรต สูงจากข้าวแป้งและปริมาณเกลือแร่ให้เพียงพอ ซึ่งต้องปฏิบัติตามอย่างต่อเนื่องเพื่อการสร้างและสะสมไกลโคเจนใน กล้ามเนื้อให้กลับคืนสู่สภาพเดิม

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์ เลขที่ 2

กรุ๊ปเลือด กับอาหารต้องห้าม

กรุ๊ป O

ถือว่า เป็นเลือดกรุ๊ปแรกของมนุษย์เราเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นมนุษย์กลุ่มแรกของโลกที่ดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์เป็นอาหาร ดังนั้น คนที่มีเลือดกรุ๊ป O จะมีสุขภาพแข็งแรงดี สามารถรับประทานเนื้อสัตว์ได้ทุกชนิด เพราะน้ำย่อยในกระเพาะอาหารมีความเป็นกรดสูง สามารถย่อยโปรตีนได้ง่ายแต่มักมีปัญหาเลือดแข็งตัวช้า ทำให้ระบบเผาผลาญพลังงานไม่ดีนัก ดังนั้น อาหารที่เลือกรับประทาน ได้แก่ เนื้อสัตว์ที่ไม่มีไขมันมาก โดยเฉพาะเนื้อหมู ซึ่งร่างกายสามารถย่อยได้ง่ายอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคแผลเน่าเปื่อย หรือเกิดการอักเสบได้ง่ายกว่าคนที่มีเลือดกรุ๊ปอื่นๆ อีกด้วย ดังนั้น การรับประทานเพื่อบำรุงจึงขาดกันไม่ได้ ควรเลือกรับประทาน ผักใบเขียวเพื่อได้รับวิตามินเค จะช่วยทำให้เลือดแข็งตัวเร็วขึ้น นอกจากผักใบเขียวแล้ว คนกรุ๊ปเลือดนี้ ควรรับประทาน มะเขือเทศ แครอท และน้ำผลไม้รวม เพื่อเพิ่มเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยบำรุงสายตา และควรออกกำลังกายที่ใช้พลังงานมาก เช่น การแอโรบิค ว่ายน้ำ จะทำให้ช่วยคุมน้ำหนักให้คงที่ได้เป็นอย่างดี

กรุ๊ป A

กลุ่มเลือดนี้เกิดขึ้นในช่วงหมดยุคสมัยแห่งการล่าสัตว์ มนุษย์เริ่มตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งและรู้จักการเพราะปลูกพืชเพื่อเป็นอาหารแทนเนื้อสัตว์ ดังนั้น คนกรุ๊ปเลือดนี้จึงเหมาะกับอาหารประเภทข้าว แป้ง และผัก ผลไม้เป็นที่สุด ข้อควรจำ คือคนเลือดกรุ๊ป A จะอ่อนไหวต่อโรคมะเร็งมากกว่า หมู่อื่นๆ ควรลดหรือละเว้น นม เนื่องจากแอนติเจนที่อยู่ในเซลล์ของเลือดกรุ๊ป A เอง และเนื่องจากน้ำย่อยในกระเพาะอาหารมีความเป็นกรดต่ำ คนกรุ๊ปเลือดนี้ จึงไม่ควรรับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ และอาหารสำเร็จรูปที่มีสารไนไตรท์มาก อาหารที่ควรเลือกรับประทานได้แก่ อาหารทะเล ผักต่างๆและธัญพืช เช่น ซีเรียลโฮลวีท ที่มีใยอาหาร ช่วยในการทำงานของระบบย่อยอาหาร วิตามินบี เพื่อช่วยการทำงานของระบบประสาท และเม็ดเลือดแดงให้แข็งแรง ข้อควรระวังสำหรับคนกรุ๊ปเลือดนี้ คือความเครียด การออกกำลังกาย ที่ใช้พลังงานมาก กลับยิ่งเพิ่มความเครียดให้กับระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้น จึงควรฝึกโยคะ นั่งสมาธิ ตีกอลฟ์ หรือเต้นระบำเพื่อรักษาสมดุลตามธรรมชาติ

กรุ๊ป B

พวกที่อยู่ในกลุ่มเลือดกรุ๊ป B ถือว่าเป็นเลือดที่ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นอันดับสามของมนุษย์ เป็นช่วงที่มนุษย์เริ่มทำการเกษตรเป็นแล้ว ก็เริ่มนำสัตว์มาเลี้ยงและรับประทานเนื้อ ดังนั้น คนกรุ๊ปเลือดนี้ จึงรับประทานได้หลากหลาย ทั้งเนื้อ นม ไข่ ผัก ผลไม้ แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีไปเสียหมด เพราะจุดอ่อนอยู่ตรงที่มักมีปัญหาเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ ดังนั้นจึงควรเสริมอาหารที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย เช่น ผักใบเขียว ผลไม้สด ข้าวกล้อง นมและผลิตภัณฑ์จากนม อย่างการรับประทานผลิตภัณฑ์ที่ ทำจากนม สามารถทำได้โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าท้องไส้จะปั่นป่วน หรือท้องเฟ้อเรอเหม็น เปรี้ยว อย่างคนกรุ๊ปเลือด A ส่วนการออกกำลังกาย สามารถทำได้หลากหลายเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น แอโรบิค ว่ายน้ำ กอล์ฟ หรือแม้แต่โยคะ

กรุ๊ป AB

มาถึงเลือดกรุ๊ปสุดท้ายที่เกิดขึ้นในหมู่มนุษย์เรา พบว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 1,000 กว่านี้เอง จะมี 2 ลักษณะในตัว คือเป็นได้ทั้ง แบบกรุ๊ป A และกรุ๊ป B จึงสามารถรับประทานได้ทั้ง 2 กรุ๊ปเลือดตามใจชอบ แต่ควรที่จะหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันมาก และเนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก เนื่องจากน้ำย่อยมีความเป็นกรดต่ำ จึงทำให้ย่อยโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ไม่ค่อยดีนัก มักจะมีกรดเกิดขึ้นมาก ในท้องส่วนล่าง หรือลำไส้ใหญ่ อาจสังเกตได้ง่ายๆ ถ้ามีอาการผิดปกติ คือ จะเบลอบ่อย อาหารที่ควรรับประทาน เช่น อาหารทะเล ผักสด เต้าหู้ ผลไม้จำพวกส้มโอ องุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโยเกิร์ต เนื่องจากจะช่วยในการย่อย กระเพราะอาหารไม่ต้องทำงานหนักมากเกินไป และควรดื่มน้ำสะอาดมากๆ เพื่อขับไล่ของเสียในร่างกายที่มีมากกว่าคนกรุ๊ปอื่น ซึ่งเป็นเพราะความซับซ้อนทางด้านชีวเคมี ส่วนการออกกำลังกาย เลือกที่ทำให้จิตใจสงบมีสมาธิ อย่างเช่น โยคะ ยิงธนู เป็นต้น

รู้อย่างนี้แล้ว อย่าลืมพิจารณาก่อนส่งอาหารจานอร่อยเข้าปาก และดำเนินชีวิตให้เกิดสมดุลตามธรรมชาติ เพราะปัญหาสุขภาพเรื้อรัง บางชนิด ไม่อาจรักษาให้หายขาดด้วยยาแผนปัจจุบัน แต่ทำได้ง่ายๆ ด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคเสียใหม่ ...

   ลดต้นขาสู่ขาเรียวสวย

        ขาจะเรียวสวยหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ตั้งแต่ลักษณะโครงสร้างของร่างกาย การควบคุมน้ำหนัก การออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อดู firm อยู่เสมอหรือไม่ หญิงใดได้ฉายา ขาใหญ่ ย่อมมิเป็นที่ถูกใจอย่างยิ่งยวด มาเริ่มบริหารต้นขากันด้วยท่าต่างๆ ที่คุณสามารถบริหารเองได้ที่บ้านกันดีกว่า

      ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจสรีระของต้นขา ซึ่งประกอบไปด้วย ต้นขาด้านหน้าเป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่มีส่วนในการใช้เดิน ต้นขาด้านข้างเป็นเนื้อ และต้นขาด้านหลังเป็นแหล่งสะสมของไขมัน การที่จะลดต้นขาให้ firm และได้สัดส่วนเรียวงามขึ้นควรจะบริหารทั้ง 3 ส่วนเท่าๆ กัน นอกจากผลที่ได้กับต้นขาแล้ว คุณยังจะได้รับผลข้างเคียงต่อหน้าท้องที่จะลดตามไปด้วยในตัว
ก่อนที่จะเข้าสู่ท่าการบริหารต้นขาคุณจะต้องปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดในการ warm up ร่างกายทุกครั้ง เพื่อป้องกันและหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บ
หัวใจสำคัญของการออกกำลังกาย
  • Warm up เพื่อเตรียมความพร้อม ให้ระบบร่างกายทุกส่วนได้เคลื่อนไหวอย่างช้าๆ เพื่อปรับอุณหภูมิในร่างกายให้ค่อยๆ สูงขึ้น จนทำให้โลหิตหมุนเวียนทั่วร่างกาย ออกซิเจนไหลเวียนดี ร่างกายจึงพร้อมออกกำลังกายอย่างปลอดภัย การ Warm up สามารถใช้ความร้อนช่วยเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นก็ได้ เช่น อบไอน้ำ เซาว์น่า ระยะเวลาในการบริหารทั่วไปประมาณ 10 นาที
  • Stretching บริหารเพื่อยืดเอ็น กล้ามเนื้อให้ยืดหยุ่นก่อนที่จะออกกำลังกายได้นานๆ สามารถป้องกันการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อเอ็น และข้อในขณะออกกำลังได้ถึง 80 % ระยะเวลาในการ Stretching ที่พอเหมาะควรจะไม่มากหรือน้อยเกินไป เช่นถ้า warm up 10 นาที ควร Stretching 5 นาที หรือสลับเวลากันก็ได้
  • Warm down สำหรับคนทั่วไปเพื่อให้หัวใจเต้นช้าลงหลังจากการออกกำลังกาย มาอยู่ที่ระดับปกติ คือประมาณ 120 ครั้ง/นาที ส่วนผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี การ Warm down สามารถทำได้โดยการเดินช้าๆ เพื่อให้ระดับหัวใจเต้นช้าลงมาที่ระดับ 100 ครั้ง / นาที
เทคนิคและท่าบริหารต้นขา
บางท่าของการบริหารต้นขาแต่ละส่วนมีให้เลือก 2 ท่า คุณสามารถเลือกท่าที่คุณถนัดได้ หรือจะบริหารทุกท่าเลยก็ได้

บริหารต้นขาด้านหน้า 1
1. นอนหงายราบลงบนพื้น สอดมือทั้งสองข้างรองไว้ที่ก้น งอเข่าซ้ายเข้าหาอก แล้วเหยียดขาขวาตรงขึ้นข้างบนอย่างช้าๆ
2. เมื่อเหยียดขาขวาได้สุดแล้ว ให้นิ่ง และหายใจตามปกติ
3. ให้รู้สึกได้ถึงความตึงที่ต้นขาด้านหน้า และด้านหลังของลำขาทั้งหมด
4. กลับสู่ท่าเริ่มต้นใหม่ โดยให้เข่าขวางอเข้าหาหน้าอก แล้วเหยียดขาซ้ายตรงขึ้นข้างบนบ้าง ทำสลับกันเช่นนี้ ให้ได้ข้างละ 10-15 ครั้ง (1 เซ็ท)
5. ควรปฏิบัติ 3 เซ็ท / วัน 3-5 วัน / สัปดาห์
บริหารต้นขาด้านหลัง 1
1. นอนคว่ำหน้าลงบนหลังมือทั้งสองข้าง โดยมีเบาะรองพื้น
2. กดสะโพกให้แนบติดพื้น ขณะเดียวกันก็เกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องเอาไว้
3. ค่อยๆ งอขาขวาเข้าหาก้นอย่างช้าๆ โดยต้นขาด้านหน้ายังแนบติดกับพื้นเบาะ
4. นิ่งสักครู่ก่อนที่จะลดเท้าลงเหมือนเดิม จะรู้สึกได้กับกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลังในขณะปลายเท้างอเข้าใกล้กัน
5. สลับขาข้างซ้ายในทำนองเดียวกัน ทำเช่นนี้ให้ได้ข้างละ 10-15 ครั้ง (1 เซ็ท)
6. ควรปฏิบัติ 3 เซ็ท/วัน 3-5 วัน /สัปดาห์
ข้อแนะนำ : ควรควบคุมจังหวะในการบริหารให้สม่ำเสมอ ร่างกายส่วนบนต้องนิ่ง ยกขาขึ้นในแนวตรง ไม่เอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง กดสะโพกแนบพื้นอยู่เสมอ


บริหารต้นขาด้านนอก 1
1. นอนตะแคงเอียงข้างซ้าย(หรือขวาก็ได้ตามแต่จะถนัด)ลงบนเบาะ ร่างกายอยู่ในแนวเส้นตรง หนุนศีรษะด้วยฝ่ามือด้านซ้าย โดยต้นแขนวางราบยันพื้นไว้
2. มือขวาวางอยู่บนพื้นด้านหน้า เพื่อช่วยพยุงน้ำหนักตัว ขาซ้ายงอเล็กน้อย
3. สะโพกตรง เกร็งกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องไว้
4. ค่อยๆ ยกขาขวาขึ้นอย่างช้าๆ โดยไม่ต้องเกร็งหัวเข่า
5. เมื่อยกได้สูงสุดแล้วให้นิ่งไว้สักครู่ จากนั้นค่อยๆ ลดขาลง แล้วหยุดอยู่เหนือพื้นเล็กน้อย
6. จะรู้สึกได้ถึงความตึงของต้นขาด้านนอกขณะที่ยกขาขึ้น
7. สลับขาข้างซ้ายในทำนองเดียวกัน ทำเช่นนี้ให้ได้ข้างละ 10-15 ครั้ง (1 เซ็ท)
8. ควรปฏิบัติ 3 ชุด / วัน 3-5 วัน / สัปดาห์

บริหารต้นขาด้านใน 1
1. นอนตะแคงข้างซ้ายบนเบาะ หนุนศีรษะด้วยฝ่ามือด้านซ้าย โดยต้นแขนวางราบยันพื้นไว้
2. งอเข่าขวาชี้ตรงมาด้านหน้า ท่อนล่างทำมุมฉากกับต้นขา โดยวางเข่าขวาบนพื้น หรือยกพ้นพื้นเล็กน้อย
3. ขาซ้ายเหยียดตรง พยายามดึงกล้ามเนื้อจากเท้าขึ้นตามแนวของต้นขา
4. ยกขาซ้ายขึ้นสูงให้เป็นแนวเส้นตรง แล้วลดลง
5. จะรู้สึกได้กับความตึงของต้นขาด้านใน ขณะที่ยกขาขึ้นจากพื้น
6. สลับขาข้างซ็ายในทำนองเดียวกัน ทำเช่นนี้ให้ได้ข้างละ 10-15 ครั้ง ( 1 เซ็ท)
7. ควรปฏิบัติ 3 เซ็ท / วัน 3-5 ครั้ง / สัปดาห์


ข้อควรระวังหลังออกกำลังกาย และเกิดการเหนื่อยเต็มที่
  • ห้ามหยุดนิ่งทันที ถ้าต้องหยุดยืนควรขยับเท้าช้าๆ เพื่อให้ชีพจรค่อยๆ เต้นช้าลงทีละน้อย
  • ห้ามนั่งลงทันที
เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์ เลขที่ 2

ปัญหาใกล้ๆตัว อย่างรักแร้ดำคล้ำที่พบได้บ่อยในวัยรุ่นนี้ อาจเกิดจากหลายสาเหตุ คือ

- มีผิวคล้ำอยู่แล้วตามกรรมพันธุ์

- การเช็ดถูแรงๆ

- การเสียดสีเป็นเวลานาน

- อาการระคายเคือง

- แพ้สารเคมีที่สัมผัสผิวอย่างต่อเนื่องเช่น สบู่ โรลออนระงับกลิ่นกาย หรือน้ำหอม

- การติดเชื้อแบคทีเรียก็เป็นอีกสาเหตุของรักแร้ดำได้

4 วิธีช่วยแก้ไขปัญหารักแร้ดำคล้ำให้กลับมาขาวเนียนดังเดิม มาฝากคุณๆ

1. หลีกเลี่ยงการเช็ดถูแรงๆ บริเวณผิวใต้วงแขนที่บอบบาง

2. หยุดใช้สารเคมีที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือแพ้ทันที เช่น หากแพ้น้ำหอม ควรเปลี่ยนไปใช้โรลออนชนิดที่ไม่มีสารสร้างกลิ่นหอมที่ระบุว่า "Fragrance-Free" โดยสังเกตส่วนประกอบสำคัญบนฉลาก หากมีชื่อสารที่แพ้ ควรหลีกเลี่ยงไปใช้ยาระงับกลิ่นแบบอื่นแทน

3. ถ้าดำมากหรืออาการไม่ดีขึ้นให้ปรึกษาแพทย์ทันที เช่น ในกรณีที่รักแร้ดำและนูนเหมือนกำมะหยี่ ซึ่งมักพบในคนเป็นโรคเบาหวาน หรือโรคจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Erythrasma เป็นต้น

4.สำหรับสมุนไพร ขอเสนอใช้สูตรสมุนไพรธรรมชาติ เพื่อช่วยให้ใต้วงแขนขาวเนียน ดังนี้

- มะขาม พืชพื้นบ้านที่เรารู้จักกันดี โดยนำมะขามเปียกผสมกับน้ำผึ้งนิดหน่อยมาทาทิ้งไว้ 5 นาที แล้วล้างออก นอกจากทำให้ผิวขาวใสแล้ว ยังช่วยให้ผิวเนียนนุ่มได้อีกด้วย

- มะนาว ที่เหลือจากก้นครัว ใช้มะนาวเอามาถูรักแร้ทิ้งไว้ 2-3 นาที จึงล้างน้ำออก ส่วนที่เหลือของมะนาวยังใช้ถูตามข้อพับ หัวเข่า ข้อศอกที่ดำๆ ได้อีกด้วย

- เกลือสปา ใช้เกลือขัดผิวถูเบาๆ ไม่เช่นนั้นเกลืออาจจะบาดรักแร้เอาได้

1. ออกกำลังเพื่อลดน้ำหนัก

ถ้าออกกำลังเพื่อพิฆาตความอ้วน เวลาเช้าๆ นี่ล่ะเหมาะที่สุด เพราะเป็นเวลาที่ร่างกายจะนำคาร์โบไฮเดรต จากอาหารมื้อเย็นของเมื่อวานมาใช้เป็นพลังงาน จึงสลายไขมันและเผาผลาญแคลอรีได้ดีกว่าการออกกำลังกายในตอนเย็น

ออกกำลังกายอย่างปลอดภัย

ถ้าหากท่านได้เตรียมความพร้อมที่จะออกกำลังกายแล้วอยากจะฟิตร่างกายท่านสามารถทำได้ทันที แต่หากมีอาการหรือโรคต่อไปนี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฟิตร่างกาย

ถ้าท่านอายุมากกว่า 45ปี

หรือมีโรคประจำตัวเช่นโรคความดันโลหิตสูง

โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง

สูบบุหรี่

หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ

มีอาการเจ็บหน้าอก เหนื่อยมาก

มีอาการหน้ามืด

การออกกำลังกายเป็นเรื่องแปลกสำหรับผู้หญิงและผู้ชาย การบริหารของผู้ชายมักจะเน้นกล้ามเนื้อส่วนบนของร่างกาย เช่นกล้ามเนื้อหน้าอก แขนเป็นต้น แต่สำหรับผู้หญิงจะเน้นเรื่องสะโพก ก้น และขา การออกกำลังกายแบบaerobic นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังทำให้ร่างกายมีกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น แต่ที่เป็นปัญหาของคุณผู้หญิงส่วนใหญ่คือต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อบางส่วน และต้องการลดกล้ามเนื้อบางส่วน เพื่อให้ดูได้รูปทรงสวยงาม การยกน้ำหนักก็กลัวว่ากล้ามเนื้อจะเป็นมัด แต่การบริหารด้วยการใช้น้ำหนักที่พอเหมาะจะทำให้กล้ามเนื้อกระชับได้รูปทรง ดูแข็งแรงมีเสน่ห์ และยังทำให้มีการเผาผลาญอาหารเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้น้ำหนักลดลงเร็วขึ้น ก่อนบริหารกล้ามเนื้อท่านต้องอบอุ่นร่างกายก่อน และการยืดกล้ามเนื้อ ตัวอย่างการบริหารเพิ่มให้ร่างกายมีสัดส่วนดูดีขึ้น

พัชรินทร์ (ภาคค่ำ) 47322814

กาแฟกับสุขภาพ

        หลังจากตื่นนอนตอนเช้าได้กาแฟหอมๆสักแก้วจะรู้สึกกระชุ่มกระชายตลอดทั้งเช้า บางท่านรับกาแฟและขนมบางอย่างเป็นอาหารเช้า หลังจากทำงานก็ยังมี coffee break บางท่านยังดื่มหลังอาหารเที่ยงและตอนสายๆ ยิ่งต้องเข้าประชุมกาแฟหอมๆสักแก้วจะทำให้สดชื่นหายง่วง ปัจจุบันการดื่มกาแฟเป็นที่นิยมการอย่างแพร่หลายตามปั้มน้ำมัน ตามห้างสรรพสินค้ามีการขายอย่างมากมาย จะเห็นได้ว่ากาแฟเป็นส่วนหนึ่งหรือบางคนอาจจะเป็นส่วนสองส่วนสามของชีวิตประจำวัน แต่จะมีใครกังวลหรือไม่ว่าที่เราดื่มทุกวันวันละหลายแก้วแล้วมันมีโทษ หรือคุณประโยชน์อะไรบ้าง หากคุณเป็นคอกาแฟคุณควรจะอ่านบทความนี้

ส่วนประกอบที่สำคัญของกาแฟ

      ส่วนประกอบที่สำคัญของกาแฟคือ caffeine หรือมีชื่อทางเคมีว่า 1,3,7-trimethylxanthine ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของยาขยายหลอดลม theophylline caffeine สามารถพบได้ในหลายชนิดได้แก่ เมล็ดคา เมล็ดกาแฟ ใบชา โคลา caffeineถูกผสมลงในน้ำอัดลม ยาแก้หวัดบางชนิด ยาแก้ปวด ยาลดน้ำหนัก

       กาแฟจะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วหลังจากที่เราดื่มกาแฟและจะถูกขับออกไปครึ่งหนึ่งในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมงกาแฟจะไม่สะสมในร่างกายโดยจะถูกทำลายและขับออกหมด ผู้ที่สูบบุหรี่จะมีการขับถ่ายกาแฟมากกว่าผู้ที่ไม่สูบดังนั้นคนที่สูบบุหรี่หากต้องการการกระตุ้นของกาแฟจะต้องดื่มกาแฟบ่อยกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ คนท้องและผู้ที่กินยาคุมกำเนิดจะมีการขับกาแฟน้อยกว่าคนทั่วไป กาแฟจะออกฤทธิ์โดยการกระตุ้นสมองทำให้รู้สึกสดชื่นและมีสมาธิ

      ปริมาณcaffeine ที่มีในเครื่องดื่มแต่ละชนิดขึ้นกับความเข้มข้น ตารางข้างล่างเป็นตัวอย่างปริมาณกาแฟ

Milligrams of Caffeine

ชนิดของเครื่องดื่ม

ปริมาณ

Range*

Coffee (150ml cup)
ต้ม, drip method
เครื่องต้มกาแฟ
กาแฟสำเร็จ
Decaffeinated
Espresso (30ml cup)


115

80
65
3
40


60-180

40-170
30-120
2-5
30-50

Teas (150ml cup)
ชาที่ต้ม
ชาเป็นซอง
ชาเย็น (240ml glass)


40

30
45


20-90

25-50
45-50

น้ำอัดลม (180ml)

18

15-30

Cocoa beverage (150ml)

4

2-20

นมรสChocolate  (240ml)

5

2-7

Chocolateนม (30g)

6

1-15

Dark chocolate, semi-sweet (30g)

20

5-35

Cooking chocolate (30g)

26

26


        นักวิทยาศาสตร์ประมาณว่าวันหนึ่งๆเราจะรับสาร caffeine ประมาณ 250-600 มก.ซึ่งไม่เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย

ผลดีของกาแฟ

กาแฟจะกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางทำให้ไม่ง่วง สมาธิในการทำงานดีขึ้น ผู้ที่ดื่มกาแฟจะทำให้ไม่ง่วงนอน มีสมาธิในการทำงาน และยังทำให้ความสามารถในการทำงานดีขึ้น และยังลดอาการปวดเมื่อยเนื่องจากไขหวัด

ผลต่อสมรรถภาพของร่างกายดีขึ้น เช่นการขี่จักรยาน การว่ายน้ำ เล่นกีฬาได้นานขึ้น

ผลดีของกาแฟจะทำให้ไม่ง่วงนอนโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเป็นกะ และช่วยลดอุบัติเหตุขณะขับรถ

กระตุ้นอวัยวะของร่างกายและเพิ่มการเผาผลาญไขมันและช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย กาแฟจะมีฤทธิ์ขับปัสสาวะอ่อนๆดังนั้นขณะออกกำลังกายหรือหลังออกกำลังกายไม่ควรรับเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาแฟเพราะจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ

                                    

ดื่มนานๆจะติดกาแฟหรือไม่

       องค์การอนามัยโลกกล่าวว่าไม่มีหลักฐานว่ากาแฟจะเป็นสารซึ่งหากดื่มนานๆแล้วจะเสพติด การดื่มกาแฟจะเป็นนิสัยมากกว่าเสพติดเนื่องจากไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณของกาแฟ และเมื่อหยุดกาแฟบางคนก็เกิดอาการปวดหรือมึนศีรษะเพียงเล็กน้อย

ผลดีของกาแฟต่อสุขภาพ

  • โรคหอบหืด มีรายงานว่าการดื่มกาแฟวันละ 3 แก้วจะลดอาการหอบหืด หากดื่มมากกว่า 6 แก้วการทดสอบสมรรถภาพปอดจะดีขึ้น  
  • กาแฟก็เหมือนกับพืชอื่นๆมีสาร flavanoid ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ  
  • การดื่มกาแฟจะลดอาการง่วงนอน และทำให้มีสมาธิในการทำงานดีขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเป็นกะ และลดอุบัติเหตุขณะขับขี่  
  • กาแฟช่วยลดอาการซึมเศร้าและคลายความวิตกกังวล  
  • การดื่มกาแฟเป็นประจำจะลดอุบัติการณ์การเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ และยังลดอุบัติการณ์ของนิ่วในถุงน้ำดี  
  • มีหลักฐานพอจะเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่เมื่อดื่มวันละ 4 แก้ว

กาแฟกับสุขภาพสตรี

  • กาแฟกับการตั้งครรภ์ The Food Standards Agency ก่อนหน้านี้มีความเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะเป็นผลเสียต่อการตั้งครรภ์ แต่จากหลักฐานยังไม่พบผลเสียดังกล่าว ประเทศอังกฤษได้แนะนำว่าการดื่มวันละ 3-4 แก้วขณะตั้งครรภ์ไม่เกิดผลเสีย สำหรับผู้ที่ตั้งท้องหากงดได้ก็น่าจะงด  
  • การเป็นหมัน พบว่าหากดื่มกาแฟมากกว่า 1แก้วจะมีโอกาสเกิดการเป็นหมันเพิ่มขึ้น

กาแฟกับโรคกระดูกพรุน

  • ยังมีรายงานทั้งสนับสนุนว่าการดื่มกาแฟทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน บางรายงานก็กล่าวว่าไม่เกิดโรค ผู้ที่เกิดโรคกระดูกพรุนมักจะได้รับแคลเซียมไม่พอแนะนำว่าควรจะดื่มนมเริมสำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 2 แก้วขึ้นไป

กาแฟกับโรคมะเร็ง

  • มีรายงานจากWorld Cancer Research Fund ว่าการดื่มกาแฟปริมาณปานกลางไม่มีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็ง  
  • มีรายงานกล่าวว่าการดื่มกาแฟมีผลดีต่อการป้องกันมะเร็งตับอ่อนเล็กน้อย  
  • มีรายงานว่าการดื่มกาแฟอาจจะมีผลป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ๋

กาแฟกับโรคหัวใจ

  • เท่ามีรายงานขณะนี้พบว่าการดื่มกาแฟวันละ 4 แก้วไม่มีความสัมพันธ์กับโรคหัวใจ  
  • การดื่มกาแฟเป็นประจำไม่ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น การดื่มกาแฟครั้งแรกจะทำให้ความดันขึ้นชั่วคราว

กาแฟกับโรคเบาหวาน

  • จากการศึกษาพบว่าการดื่มกาแฟจะทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินเพิ่มขึ้น 15 % กรดไขมันในเลือดเพิ่มขึ้น ฮอร์โมน epinephrineเพิ่มสูงขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

อันตรายจากการสักเจาะ!!!

ขณะนี้วัยรุ่นนิยมแฟชั่นสักและเจาะตามร่างกายกันมาก โดยเฉพาะขณะนี้เกิดกระแสนิยมสักรูปมังกรเพื่อฉลอง

สหัสวรรษใหม่ ซึ่งหากเครื่องมือไม่สะอาดพอ อาจมีอันตรายต่อชีวิตได้

เคยมีรายงานวัยรุ่นไปเจาะจมูกและเชื้อแบคทีเรียจากช่องจมูกซึ่งเป็นบริเวณที่สกปรกมาก ลอยไปติดที่ลิ้นหัวใจทำให้ลิ้นหัวใจอักเสบและต่อมาก้อนเลือดและเชื้อโรคได้ไปอุดตันเส้นเลือด ในสมอง ทำให้เกิดฝีในสมองและมีอาการแขนขาอ่อนแรง สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคโลหิตออกไม่หยุดที่เรียกว่า ฮีโมฟีเลีย โรคลิ้นหัวใจพิการ โรคผิวหนังแพ้และพุพองได้ง่าย ผู้ที่มีประวัติแพ้เครื่องประดับคือ แพ้โลหะนิกเกิล หรือผู้ที่เกิดแผลเป็นนูนโตที่เรียกว่า คีลอยด์ได้ง่าย เหล่านี้ควรงดเว้นการสักและการเจาะ นอกจากนั้น การสักและการเจาะหากใช้เครื่องมือที่ไม่สะอาด อาจเกิดติดเชื้อโรคได้เช่น เชื้อแบคทีเรียทำให้เป็นฝีหนอง , โรคบาดทะยัก, ไวรัสตับอักเสบ, วัณโรคผิวหนัง, ซิฟิลิส แม้กระทั่งโรคเอดส์ได้ พบว่าเข็มที่เผาไฟจนแดงก็ฆ่าเชื้อไวรัสตับอักเสบไม่ได้ ขณะนี้พบว่าคนไทย นับ 6 ล้านคน ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งอาจนำไปสู่โรคตับแข็ง และเป็นมะเร็งของตับในที่สุด การติดต่อไวรัสตับอักเสบชนิดบีนั้นมี 3 ทางที่สำคัญคือ

1. ทางเลือด โดยการใช้เข็มร่วมกัน เช่น การสัก

การเจาะหู การเสพยา

2. ทางเพศสัมพันธ์

3. จากมารดาสู่ทารก

การสักไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีมานานนับ 4,000 ปี โดยที่เดิมเป็นการสักแสดงความเชื่อ ต่อมาเป็นการสักเพื่อแสดงสัญลักษณ์ของกลุ่ม แต่ปัจจุบ้นเป็นการสักตามสมัยนิยมซึ่งจัดว่าน่าเป็นห่วงมากเพราะแฟชั่นนั้นเปลี่ยนแปลงไป

ได้ตลอดเวลา ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนคือเรื่องการสักคิ้วถาวร ที่เมื่อ 3 - 4 ปีก่อนนิยมกันมาก แต่ปัจจุบันเริ่มเบื่อและต้องหันมาลบคิ้วกันแทน พบเสมอว่าผู้ที่ไปรับการสักการเจาะเมื่อยัง เป็นวัยรุ่นต่อมามีอายุมากขึ้นหรือต้องการไปสมัครงานก็ต้องหัน มาลบรอยสัก หรือเย็บปิดรอยเจาะกัน การลบรอยสักนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายมากกว่าการสักเองหลายเท่านัก และมักมีแผลเป็นหลังลบรอยสัก นอกจากนั้น บางคนแพ้เม็ดสีที่ใช้สัก เช่น สีแดง สีเขียว อาจเกิดผื่นบวมแดง คัน เป็นก้อนตะปุ่มตะป่ำ

นอกจากจะเกิดอันตรายได้ สังคมส่วนใหญ่ก็ยังไม่ยอมรับ วัยรุ่นหญิงบางคนไปสักที่ข้อมือ ต่อมาเกิดความอายต้องใส่นาฬิกาบังไว้ ที่สำคัญคือเมื่อแฟชั่นเปลี่ยนไปตัวเองก็จะเบื่อ ในกรณีของการสักนั้นอาจใช้รูปลอกติดแทนก็ได้ซึ่งอาจอยู่ได้นานถึง 7 วัน หรือใช้การเพ้นท์ส ีแทนการสัก ส่วนในกรณีการเจาะอาจใช้ต่างหูวงแหวนชนิดหนีบหรือต่างหูแม่เหล็กแทนก็ได้ สำหรับผู้ที่ต้องการเจาะหูต้องแน่ใจในความสะอาดของเครื่องมือ ถ้าใช้ต่างหูที่ทำด้วยเงินสเตอริงหรือสเตนเลส สตีล จะลดอาการแพ้ลงได้ ต่างหูโลหะทั่วไป ทองขาว และเงินเยอรมัน มีส่วนผสมของนิกเกิลซึ่งทำให้แพ้ได้ค่ะ

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

ผักผลไม้ 7 อย่าง ที่คุณผู้หญิง ไม่ควรพลาด

เพื่อสุขภาพพลานามัยที่ดีของคุณสาวๆ ขอแนะนำผักผลไม้ 7 ชนิด สำหรับคุณผู้หญิง ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีสารที่เป็นประโยชน์แก่หญิงทุกวัย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงาม และยังช่วยชะลอความชราได้อีกด้วย ดังนี้

ลูกพรุน (Prunes)

ลูกพรุน เป็นแหล่งที่ดีของโปแตสเซียม เหล็กและไฟเบอร์ที่สำคัญพรุน ช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด ผู้หญิงเราเมื่อผ่านช่วงสดใสของชีวิต คือวัยยี่สิบห้า ร่างกายก็จะเริ่มเสื่อมโทรม ไขมันเริ่มเข้าสะสมตามที่ต่างๆ มากมาย ใบหน้าที่เคยอวบอิ่มด้วยเลือดฝาด ก็เริ่มหมองคล้ำผิวพรรณจะเป็นสีชมพู- ระเรื่อหรือซีดโทรม เกิดได้หลายสาเหตุ เช่นผิวมีความหนามากขึ้นตามวัย จนมองไม่เห็น เลือดฝาด หรือเลือดไม่มีให้ฝาด คือเป็นโรคโลหิตจางนั่นเอง พรุนเป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดี พรุนแห้งหนึ่งขีดมีธาตุเหล็ก 2.78มิลลิกรัมและมีวิตามิน ซี ซึ่งช่วยในการดูดซึมธาตุต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นหากคุณผู้หญิงอยากมีร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ริมฝีปากแดงสดเหมือนสตรอเบอรี่ แก้มแดงใสเหมือนลูกเชอรี่ โดยไม่ต้องใช้เครื่องสำอางดู เป็นคนที่มีสุขภาพดีสมบูรณ์ด้วยเลือดฝาด ลองรับประทานลูกพรุนสดๆ หรือลูกพลัมดูสิค่ะไม่เลวเลยทีเดียว

ถั่ว

ผู้หญิงทุกคนอยากมีหุ่นสวยเพรียว ไม่มีไขมันส่วนเกินสะสม“ถั่วช่วยคุณได้ค่ะ ถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็ก วิตามินบี นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่า เมื่อคุณรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ ชนิดที่ละลายน้ำได้ (ซึ่งถั่วมีอยู่แล้วมากมาย) ไฟเบอร์จะเคลือบผิวกระเพาะ ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและอิ่ม-นานความอยากอาหารจะลดลง ซึ่งแน่นอนว่ามีประโยชน์กับคุณสุภาพสตรี ที่ต้องการลดความอ้วนเป็นอย่างมาก

บรอคโคลี่

เป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะอย่างยิ่ง สำหรับคุณสุภาพสตรีทั้งหลาย เพราะบรอคโคลี่เป็นแหล่งซีลีเนียมตามธรรมชาติ ซึ่งเจ้าตัวซีลีเนียมนี้แหละค่ะ ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ (ซีลีเนียม จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง จึงทำให้ผิวดูอ่อนวัยนุ่มนิ่ม มีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว ) แถมยังช่วยลบริ้วรอยเหี่ยวย่นอีกด้วย

แอปเปิ้ล

มีสารสำคัญ คือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ “เพคติน”แต่ที่น่าสนใจสำคัญคุณผู้หญิงทั้งหลายคือ เจ้าตัว “เพคติน”นี้มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนัก และลดโคเลสเตอรอลหากคุณหิวจนตาลาย แต่ยังไม่ถึงเวลาอาหารแอปเปิ้ลสักลูก จะช่วยลดความหิวได้ เพราะแอปเปิ้ลมีแป้งและน้ำตาล ในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึง 75 % ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึม น้ำตาลพิเศษชนิดนี้ได้รวดเร็ว และนำไปใช้ประโยชน์ได้ ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนั้น ความอยากอาหารจึงลดลงทำให้คุณไม่รู้สึกหงุดหงิด หรือ อ่อนเพลีย แอปเปิ้ล 2-3 ผลต่อวัน ช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดได้ เพราะแอปเปิ้ลมีเพคตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ ผลจากการวิจัยชี้ว่า เมื่อกรดในทางเดินอาหารย่อยสลายไขมัน และแยกโคเลสเตอรอลออกมาเสร็จสิ้นแล้ว เพคตินจากแอปเปิ้ล จะไปคอยดักจับโคเลสเตอรอลเหล่านั้น และพาไปทิ้งก่อนที่จะถูกดูดกลับเข้าร่างกาย

กล้วยไข่

กล้วยทุกชนิดดีต่อสุขภาพ แต่กล้วยไข่ดีเป็นพิเศษ ในเรื่องของสารต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักกันดี คือ เบต้าแคโรทีนโดยธรรมชาติ เมื่อเราอายุพ้นยี่สิบสองไปแล้ว ความเจริญเติบโตของร่างกาย จะเริ่มหยุดชะงัก ความเสื่อมในส่วนต่างๆ ของร่างกายก็จะเริ่มมาเยือนอย่างช้าๆ ขณะนั้นเองมีสองสิ่งที่สำคัญเกิดขี้นในร่างกายของเรา ซึ่งก็คือ สิ่งแรก เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์จะผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้น สิ่งที่สองความสามารถในการซ่อมแซม ส่วนที่สึกหรอของร่างกายจะลดลงเรื่อยๆ พร้อมกันนั้นความสามารถ ในการจำกัดอนุมูลอิสระ ( Detoxification )ก็ลดลงอย่างน่าตกใจเช่นกัน ดังนั้น กลยุทธ์ที่คุณจะสู้กับความแก่ด้วยตนเอง ก็คือ คุณต้องรับประทานอาหาร ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระให้มาก ซึ่งสารนี้เรารู้จักในชื่อที่ เรียกว่า แอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidants) ซึ่งในกล้วยไข่ 1 ขีด มีสารเบต้าแคโรทีนถึง 492 มิลลิกรัม

ฝรั่ง

คุณผู้หญิงทั้งหลายทราบหรือไม่คะว่าฝรั่ง 1 ขีดมีวิตามินซีสูงถึง180 มิลลิกรัม วิตามินซี มีบทบาทในการสร้างคอลลาเจน ที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณเต่งตึง ไม่แก่ก่อนวัยวิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเจ้าตัวสารต้านอนุมูลอิสระนี้เอง ที่ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมสภาพ ผิวหนังแห้งเหี่ยว เกิดริ้วรอยตีนกาวิตามินซี มีความสำคัญต่อการสร้าง และบำรุงเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (ConnectiveTissue) เซลล์นับล้านๆ ตัวเกาะเกี่ยวกันเป็นร่างกายได้ ด้วยเนื้อเยื่อที่เรียกว่า คอลลาเจนมันคือคอลลาเจนตัวเดียวกันกับคอลลาเจน ที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณผู้หญิงทั้งหลายเต่งตึงนั่นเอง และเพราะฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามินซีนั่นเอง คุณๆ ทั้งหลายที่อยากคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวให้แก่ผิวสวยไว้นานๆ น่าจะลองหันมารับประทานฝรั่งเป็นประจำนะคะ

ส้ม

แหล่งวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรมชาติ การรับประทานส้มโดยไม่คายกาก จะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่ง เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็ว เป็นประโยชน์สำหรับ คนที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างดีทีเดียวค่ะ นอกจากนี้ หากรู้สึกหิวก่อนเวลา แทนที่จะนึกถึงเค้กก้อนโต หรือโดนัทชิ้นใหญ่ ให้ลองหยิบส้มสักลูกเข้าปากแทน จะได้ประโยชน์มากกว่าในราคาที่ถูกกว่าด้วยนะคะ

ผักและผลไม้ทั้ง 7 ชนิดที่กล่าวมาข้างต้นนั้น เป็นเพียงแนวทางเบื้องต้นสำหรับคุณๆ ผู้หญิงทุกท่านที่ต้องการรักษาสุขภาพ นอกจากผักผลไม้ทั้งเจ็ดนี้แล้ว ผักและผลไม้อื่นๆ ก็มีคุณประโยชน์ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน สถาบันโภชนาการแห่งชาติอเมริกา จึงได้แนะนำขนาดในการรับประทานผักผลไม้ในแต่ละวันว่า ควรจะรับประทานรวมกันให้ได้ วันละครึ่งกิโล หรือ 5 ขีดจะช่วยให้คุณๆ ทั้งหลาย มีสุขภาพแข็งแรง แจ่มใส ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บมารบกวนค่ะ

"ผิวเปลือกส้ม" หรือ "เซลลูไลท์" แก้ไขได้...

 

 

ปรากฏการณ์เซลลูไลท์คืออะไร?
       ปรากฏการณ์เซลลูไลท์ หรือลักษณะของผิวหนังที่ขรุขระคล้ายผิวเปลือกส้ม เกิดจากสาเหตุสำคัญคือ เซลล์ไขมันที่สะสมตัวเป็นก้อนอยู่บริเวณใต้ชั้นหนังแท้มีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างผิดปกติ จนทำให้ผนังหุ้มเซลล์เกิดการบิดเบี้ยวเพราะถูกดึงรั้งอยู่ใต้ผิวหนัง และเกิดเป็นรอยตะปุ่มตะป่ำคล้ายผิวของเปลือกส้มที่อาจมองเห็นได้ชัดเจนจากผิวหนังชั้นนอก การสะสมตัวอย่างผิดปกติของเซลล์ไขมันนี้ยังทำให้เกิดปัญหาในระบบไหลเวียนโลหิต ทำให้โลหิตและน้ำเหลืองไหลเวียนได้ช้า เป็นเหตุให้ระบบแลกเปลี่ยนสารต่าง ๆ ระหว่างเซลล์เสียสมดุล ทำให้โครงสร้างเนื้อเยื่อของเซลล์ใต้ผิวหนังเสื่อมสภาพและเสียความยืดหยุ่นไปอย่างรวดเร็ว ระบบการกำจัดของเสียบกพร่อง และเกิดการสะสมของเซลล์ไขมันและน้ำในเซลล์ไขมันเพิ่มขึ้น


วิทยาการเพื่อช่วยลดเซลลูไลท์
         แม้จะมีผู้พยายามคิดค้นวิธีขจัดเซลลูไลท์มาแล้วหลายรูปแบบในอดีต ไม่ว่าจะเป็นการกำจัดเซลลูไลท์ด้วยการลดน้ำหนัก หรือแม้แต่รีดออกด้วยเครื่องไฟฟ้า แต่ก็ยังไม่มีวิธีใดที่ได้รับการยืนยันทางการแพทย์ว่าทำแล้วได้ผล
          เมื่อ 20 ปีก่อน วงการเสริมสวยเริ่มรู้จักและให้คำจำกัดความเซลลูไลท์ว่าคือของเสียหรือสารพิษที่จับตัวอยู่ในเซลล์ไขมัน หากวงการแพทย์กลับบอกว่าเซลลูไลท์คือไขมันของผู้หญิงที่กลายมาเป็นเหตุของโรค สิ่งที่แน่นอนเกี่ยวกับเซลลูไลท์คือ มันเชื่อมโยงกับฮอร์โมนเพศหญิง จะปรากฏหรือกำเริบขึ้นด้วยแรงขับของฮอร์โมนที่มากกว่าปกติ เช่น ฮอร์โทนในวัยรุ่น ขณะตั้งครรภ์ หรือเมื่อใช้ยาบางชนิด ผู้หญิงจะมีเซลลูไลท์เพราะเอสโตรเจนหรือฮอร์โมนเพศหญิงกระตุ้นร่างกายให้เก็บไขมันสำรองบริเวณขาอ่อน สะโพก ในเวลาที่มีเด็กอยู่ในท้อง หรือกำลังให้นมบุตร เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กหรือแม่ของเด็กขาดสารอาหาร

 

เซลลูไลท์ประกอบด้วยอะไรบ้าง
      นักวิจัยได้ทำการวิเคราะห์ไขมันที่ได้จากผู้หญิง 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่มีเซลลูไลท์และกลุ่มที่ไม่มี พบว่าไม่มีความแตกต่างกันเลย แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ทำไมเซลลูไลท์จึงไม่ดูเรียบเหมือนไขมันที่เรามีอยู่ใต้ผิว ในทรวงอก และใบหน้า? 

       ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าบางทีอาจเป็นไปได้ว่าเพราะไขมันและเซลลูไลท์มีวิธีการเก็บที่ต่างกัน ปกติไขมันจะมีแถบเนื้อเยื่อหลาย ๆ แถบยึดจับไว้ ทำให้ถูกแบ่งเป็นห้อง ๆ โดยปริยาย เมื่อไขมันเพิ่มขึ้น ๆ แถบเนื้อเยื่อจะตึงเพราะต้องพยายามรัดดึงไขมันจำนวนมากจนโป่งนูนขึ้น แต่ว่าในแต่ละห้องไม่ได้มีเฉพาะไขมันบรรจุอยู่เท่านั้น ถ้าการหมุนเวียนโลหิตไม่ดี อาหารการกิน สภาพแวดล้อมเลวร้าย และมีความเครียด เหล่านี้ทำให้ผนังเซลล์เต็มไปด้วยของเสียที่เป็นพิษสะสมอยู่ ของเหลวส่วนเกินไม่สามารถถ่ายเทออกมาได้ ลักษณะที่กล่าวมานี้เอง ส่งผลให้ไขมันจับตัวกันเป็นก้อนนูน ทำให้พื้นผิวไม่เรียบ

 

วิธีขจัดเซลลูไลท์
       ไม่ว่าคุณจะโทษว่าเซลลูไลท์เกิดจากของเสียหรือเชื่อมั่นว่ามันเป็นเพียงไขมันธรรมดาก็ตาม ความเป็นจริงก็คือ ผู้หญิงกว่า 80% มีไขมันสะสมอยู่ที่สะโพกและขาอ่อน และเราเรียกมันว่า "เซลลูไลท์" ฉะนั้นมาดูวิธีกำจัดเซลลูไลท์กันดีกว่า

เครื่องมือละลายไขมัน

       ร้านเสริมสวยหรือคลีนิคจะทำการรักษาด้วยเครื่องไฟฟ้า โดยวางเครื่องลงบนบริเวณที่มีเซลลูไลท์ แล้วเพิ่มแรงกดหรือเขย่าลงบนเซลลูไลท์เพื่อสลายเซลล์ไขมัน
>>> ร้านเสริมสวยหลายร้านบอกว่า เครื่องมือสามารถช่วยให้ดีขึ้น แต่ก็ไม่รับประกันว่าจะได้ผล และยังย้ำอีกด้วยว่าเซลลูไลท์จะกลับมาอีกแน่นอนถ้าขาดการออกกำลังกายและรับประทานอาหารอย่างขาดหลักเกณฑ์

ฝังเข็ม

        ผู้เชื่ยวชาญจะฝังเข็มที่ปราศจากเชื้อโรคลงบนบริเวณเซลลูไลท์ ประมาณ 3-5 มิลลิเมตรใต้ผิวหนัง เข็มเหล่านี้จะเชื่อมกับขั้วไฟฟ้าซึ่งจะส่งถ่ายกระแสไฟฟ้าเพื่อทำลายเซลล์ไขมันและแพร่กระจายของเหลว
>>> หลังการรักษา ประมาณ 80% พบว่าขาเรียวขึ้น แต่การรักษาแบบนี้ต้องแน่ใจในเรื่องความสะอาดของเข็ม และจะใช้ไม่ได้ผลกับผู้หญิงที่มีเซลลูไลท์จำนวนไม่มากนัก และถ้ายังไม่เปลี่ยนแปลงการรับประทานอาหารให้ถูกวิธีและได้สัดส่วนที่เหมาะสม ไขมันก็จะกลับมาอีก

พันต้นขา

        พันต้นขาหรือก้น ด้วยพลาสติกให้แน่น เพิ่มความร้อนเข้าสู่บริเวณดังกล่าว เพื่อให้เหงื่อออก และลดปริมาณเซลลูไลท์ได้หลายเซนติเมตร
>>> วิธีนี้ไม่ได้ผลอะไรเลย เซลลูไลท์ไม่สามารถไหลออกมาเป็นเหงื่อได้ หลายเซนติเมตรที่สูญเสียไปไม่ใช่เซลลูไลท์ แต่เป็นของเหลว (น้ำ) การรักษาแบบนี้ใช้ไม่ได้ผลและไม่ได้ประโยชน์อะไร เมื่อดื่มน้ำตามปกติต้นขาของคุณก็จะกลับคืนสู่สภาพเดิม ที่สำคัญเราไม่ควรงดดื่มน้ำเด็ดขาดเพราะจะมีผลเสียต่อสุขภาพร่างกายและผิวพรรณตามมามากมาย

การขัดผิว

        ขัดผิวด้วยแปรงหรือใยขัดผิวระหว่างอาบน้ำ จะช่วยกระตุ้นการหมุนเวียนโลหิตและช่วยปรับปรุงบริเวณที่เป็นเซลลูไลท์ให้ดูดียิ่งขึ้น ผู้เชี่ยวชาญด้านความงามบอกว่าการขัดผิวในลักษณะเคลื่อนที่เป็นวงกลมช่วยได้ (ขัดติดต่อกัน 5 นาที สัปดาห์ละครั้ง จะดีกว่าการขัดในเวลาสั้น ๆ หลาย ๆ ครั้ง) นอกจากนี้ควรใช้เจลอาบน้ำหรือสบู่ที่มีส่วนผสมของน้ำมันด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้ผิวแห้งหรือระคายเคือง
>>> ศัลยแพทย์ด้านความงามกล่าวว่า การหมุนเวียนโลหิตไม่ดีจะทำให้เลือดสะสมอยู่ที่ต้นขาและสะโพก และส่งผลให้ไขมันในบริเวณดังกล่าวโป่งออกมาได้ วิธีแก้คือควรจะทำตัวให้กระฉับกระเฉง หลีกเลี่ยงการกระทำที่จะทำให้ระบบหมุนเวียนโลหิตช้าลง เช่น การสวมเสื้อผ้าที่คับมาก และใส่รองเท้าส้นสูงเป็นเวลานาน ๆ

ออกกำลังกาย

        การออกกำลังกายเบา ๆ เป็นเวลาติดต่อกันนาน ๆ จะช่วยปรับปรุงบริเวณที่ได้รับผลกระทบจากเซลลูไลท์ได้ การออกกำลังดังกล่าว ได้แก่ การเดินออกกำลัง ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน ครั้งละ 1 ชั่วโมง 3 ครั้ง ต่อ 1 สัปดาห์
>>> วิธีนี้ใช้เวลาอยู่บ้างเหมือนกัน ถ้าจะใช้วิธีนี้ต้องใจเย็น ๆ

เซลลูไลท์ครีมและโลชั่น

       ใช้ครีมหรือโลชั่นทาผิว คล้าย ๆ กับการบำรุงผิวทั่ว ๆ ไป แต่ให้ผลในเรื่องการสลายเซลลูไลท์ โดยไม่ต้องตบหรือตีลงบนผิว
>>> ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ได้รับการทดสอบแล้วว่า สามารถทำให้เซลลูไลท์ดูเบาบางลงได้ และช่วยปรับปรุงสภาพผิวด้วย วิธีนี้ง่าย สามารถทำเองได้ที่บ้าน และประหยัดกว่าไปทำที่ร้าน

        สถานเสริมความงามบางแห่ง คลีนิคและหนังสือหลายเล่ม แนะนำให้ต่อสู้กับเซลลูไลท์ด้วยการอดอาหาร เพื่อลดน้ำหนักและการสะสมของเสียในเซลล์ แต่ถ้าใครแนะนำให้คุณลดน้ำหนักแบบกินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตแต่น้อยก็อย่าใส่ใจ เพราะการลดน้ำหนักแบบนี้จะลดได้เร็วก็จริง แต่ที่คุณสูญเสียไปส่วนใหญ่คือของเหลว และในไม่ช้าน้ำหนักตัวของคุณก็จะกลับมาอีก นอกจากนี้การลดน้ำหนักแบบนี้ในระยะยาวจะทำให้การเผาผลาญช้าลงและลดน้ำหนักตัวได้ยาก อาหารที่จะช่วยคุณลดน้ำหนักและเซลลูไลท์ได้อย่างถาวรก็คือ อาหารที่ให้ธาตุอาหารครบทั้ง 5 หมู่อย่างสมดุลนั่นเอง...


พัชรินทร์ 47322814 (ภาคค่ำ)

ชาเขียวดื่มเพื่อสุขภาพ

 

ถ้าจะถามว่า เครื่องดื่มที่คนนิยมดื่มกันมากที่สุดในปัจจุบันคืออะไร คนส่วนใหญ่คงนึกถึงกาแฟ แต่จริง ๆ แล้ว เครื่องดื่มที่มีผู้ดื่มมากที่สุดในโลกรองจากน้ำเลยทีเดียว ก็คือ ชา

ชาเป็นเครื่องดื่มที่มีกลิ่นหอม คนจึงนิยมดื่มกันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นชาวเอเชีย เช่น จีน ญี่ปุ่น หรือชาวยุโรป ชาที่นิยมดื่มในปัจจุบันอาจแบ่งได้เป็น 3 ชนิดใหญ่ๆ คือ ชาจีน ชาเขียว และชาฝรั่ง ซึ่งชาแต่ละชนิดจะต่างกัน ตรงกรรมวิธีในการผลิต

 

แต่ชาที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากก็คือ ชาเขียว (geen tea)

 

ซึ่งเป็นชาที่ไม่ผ่านการหมัก ทำให้ไม่สูญเสียองค์ประกอบ ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพไปในระหว่างการหมักเหมือนชาฝรั่ง

ชาเขียวได้จากการทำใบชาให้แห้งที่อุณหภูมิสูงอย่างรวดเร็ว จึงทำให้ใบชาแห้งยังคงมีสีเขียวและมีคุณภาพเช่นเดียวกับใบชาสด ซึ่งเมื่อชงน้ำร้อนแล้วจะได้น้ำชาสีเขียวหรือเหลืองอมเขียว ไม่มีกลิ่น มีรสฝาดกว่าชาจีน นิยมแต่งกลิ่นด้วยพืชหอม เช่น มะลิ บัวหลวง เป็นต้น ชาเขียวมี 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ชาเขียวแบบญี่ปุ่นและชาเขียวแบบจีน ซึ่งแตกต่างกันตรงที่ ชาเขียวแบบจีนจะมีการคั่วด้วยกระทะร้อน แต่ชาเขียวแบบญี่ปุ่นไม่ต้องคั่ว

ใบชาเขียวมีสารอาหารพวกโปรตีน, น้ำตาลเล็กน้อย และมีวิตามินอีสูง แต่อย่างไรก็ดี มีรายงานว่า วิตามินเอและวิตามินอีที่มีอยู่ในใบชา จะสูญเสียไปเกือบหมดถ้าใช้ระยะเวลาในการชงนานจนเกินไป ส่วนปริมาณของแคลเซียม เหล็ก และวิตามินซี จะสูญเสียไปประมาณครึ่งหนึ่ง

แต่ก็มีรายงานจากประเทศญี่ปุ่นว่า ถ้าเราสามารถรับประทาน ใบชาเขียวแห้ง 6 กรัมต่อวัน จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินอีและวิตามินเอ ถึงร้อยละ 50 และ 20 ของปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันตามลำดับ ในประเทศญี่ปุ่นจึงมีการผลิตชาเขียวในรูปผงสำเร็จบริโภคขึ้น ซึ่งสามารถเติมลงในอาหารหลายชนิด ตั้งแต่อาหารญี่ปุ่นจนถึงสเต๊ก แฮมเบอร์เกอร์ สปาเกตตี้ และสลัด

ใบชาเขียวมีสารสำคัญ 2 ชนิด

ชนิดแรกคือ กาเฟอีน (caffein)

ซึ่งมีอยู่ในชาเขียวประมาณร้อยละ 2.5 โดยน้ำหนัก ซึ่งสารชนิดนี้เองที่ทำให้น้ำชาสามารถกระตุ้น ให้สมองสดชื่นแจ่มใส หายง่วง เนื่องจากกาเฟอีนมีฤทธิ์กระตุ้นประสาท เพิ่มการเผาผลาญ เพิ่มการทำงานของหัวใจและไต แต่อย่างไรก็ตามเด็ก ๆ และผู้ป่วยโรคหัวใจก็ไม่ควรดื่มชา เนื่องจากกาเฟอีนมีคุณสมบัติในการกระตุ้นประสาทและบีบหัวใจ ถ้าต้องการดื่มจริง ๆควรดื่มชาที่สกัดกาเฟอีนออกแล้ว ในการชงชานั้นพบว่า 3 นาทีแรกจะได้กาเฟอีนออกมาในปริมาณสูง โดยทั่วไปในชาเขียว 1 ถ้วย (ประมาณ 6 ออนซ์) จะมีกาเฟอีนอยู่ 10-50 มิลลิกรัม สารที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับกาเฟอีนชนิดอื่น ๆ ยังช่วยในการขับปัสสาวะ โดยไปกระตุ้นไตให้ขับน้ำปัสสาวะมากขึ้น และช่วยขยายหลอดลมอีกด้วย

 

ชนิดที่สองคือ แทนนิน หรือ ฝาดชา (tea tannin)

ซึ่งมีอยู่หลายชนิด พบในใบชาแห้งประมาณร้อยละ 20-30 โดยน้ำหนัก เป็นสารที่มีรสฝาดที่ใช้บรรเทาอาการท้องเสียได้ ดังนั้นหากต้องการดื่มชาเขียวให้ได้รสชาติที่ดีจึงไม่ควรทิ้งใบชาค้างไว้ ในกานานเกินไป เพราะแทนนินจะละลายออกมามาก ทำให้ชาเขียวมีรสขม แต่ถ้าหากดื่มชาเขียวเพื่อจุดประสงค์ ในการบรรเทาอาการท้องเสียก็ควรต้มใบชานาน ๆ เพื่อให้มีปริมาณแทนนินออกมามากแทนนินยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ของกล้ามเนื้อหัวใจและขยายผนังหลอดเลือด จึงทำให้ชาเขียวเหมาะสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงด้วย นอกจากนี้ยังพบว่า สารแคซิทิน (catecihns) ซึ่งเป็นสารแทนนินชนิดหนึ่งในชาเขียว มีฤทธิ์เป็นสารต้านการเกิดมะเร็ง

โดยมีรายงานว่า แคซิทินมีส่วนช่วย ในการป้องกันมะเร็งในกระเพาะอาหาร โดยป้องกันการสร้างสารก่อมะเร็ง โดยทีมนักวิทยาศาสตร์จากศูนย์กลางการวิจัยโรคมะเร็ง ในบริติชโคลัมเบีย รายงานว่า ชาสามารถยับยั้งการสร้างไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งรุนแรงได้ ซึ่งไนโตรซามีนนั้นเป็นสารที่เกิดจาก สารพวกดินประสิวในอาหารทำปฏิกิริยากับสารจำพวกโปรตีน ที่มีในเนื้อสัตว์และอาหารทะเลกลายเป็นไนโตรซามีนซึ่งก่อมะเร็งได้หลายชนิด ดังนั้นถ้านิยมบริโภคอาหารจำพวกเนื้อสัตว์มากก็ควรดื่มน้ำชาไปพร้อม ๆ กันด้วย ก็จะช่วยลดการสร้างสารก่อมะเร็งลง

มีรายงานการแพทย์ทั่วประเทศญี่ปุ่น ในปี ค.ศ.1982 และ 1987 พบว่าในแถบจังหวัดชิซูโอกะ ซึ่งเป็นท้องถิ่นที่มีการดื่มชาเขียวกันมาก มีอัตราการเกิดมะเร็งในกระเพาอาหารอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย นอกจากนี้นักวิจัยชาวญี่ปุ่นยังได้รายงานไว้ว่า สารแคซิทินในชา ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดของหนูได้ โดยทำให้หนูขับถ่ายไขมัน และคอเลสเตอรอลออกทางอุจจาระเพิ่มขึ้นแต่กลไกยังไม่ทราบแน่ชัด จากผลการวิจัยนี ้จึงเชื่อว่า สารชนิดนี้น่าจะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้

 

โดยสรุปแล้วฤทธิ์ของชานั้นจะขึ้นกับสารสำคัญทั้งสองชนิดดังที่กล่าวมาแล้ว ข้างต้นสารเหล่านี้จะถูกดูดซึมสู่ทางเดินอาหารได้ถึงร้อยละ 90 แล้วแผ่กระจายไปยังเนื้อเยื่อต่างๆภายใน 5 นาทีและยังคงออกฤทธิ์อยู่ในช่วงเวลา 6-14 ชั่วโมง นอกจากนี้ในใบชายังมีปริมาณแร่ธาตุฟูลออไรด์สูง ซึ่งแร่ธาตุชนิดนี้เป็นส่วนในการเสริมสร้างกระดูกและฟัน ให้แข็งแรง นักวิจัยจากศูนย์ทันตกรรมฟอร์ซีธในบอสตัน ยังได้แนะนำว่า การดื่มชาตอนเช้าช่วยในการป้องกันฟันผุได้ โดยถ้าคุณแช่ถุงชาหรือใบชาไว้นาน 3 นาทีก่อนดื่ม ชาจะสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียซึ่งทำให้ฟันผุได้ถึงร้อยละ 95 จะเห็นได้ว่าการดื่มชาเขียวจึงน่าจะมีส่วนช่วยในการป้องกันฟันผุได้

แต่ทั้งนี้การดื่มชาเขียวก็มีข้อควรระมัดระวัง คือ การดื่มชาเขียว ในปริมาณสูงอาจมีผลในการลดการดูดซึมวิตามิน B1 และธาตุเหล็กได้

จากที่กล่าวมาทั้งหมดแล้วจะเห็นได้ว่า ชาเขียวมีคุณประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ ดังนั้นถ้าคุณคิดจะดื่มเครื่องดื่มสักชนิดหนึ่ง ชาเขียวก็น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่ง ซึ่งคุ้มค่ากับการลงทุนเพื่อสุขภาพที่ดีของคุณตลอดไปแต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การดื่มชาเขียวก็ควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสมจึงจะได้คุณประโยชน์อย่างเต็มที่ สำหรับผู้ที่ไม่ชื่นชอบในการดื่มชาเขียว อาจบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารชนิดอื่น ๆ ที่ใช้ชาเขียวเป็นส่วนผสมในการปรุงแต่งกลิ่น รส ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ไอศกรีม หมากฝรั่ง(ดับ-กลิ่นปาก)และลูกอม เป็นต้น

 

 

"วิตามินซี" เพื่อสุขภาพ

มาทำความรู้จักกับ “วิตามินซี” กับบทบาทสำคัญ ... คุณสมบัติที่โดดเด่นของวิตามินซี ก็คือ ความเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) นั่นเอง โดยประโยชน์หลักๆ เมื่อร่างกายได้รับวิตามินซีเป็นประจำ คือ เพิ่มภูมิต้านทานแก่ร่างกาย ป้องกันการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง บำรุงผิวพรรณหรือชะลอความแก่ ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันหรือเหงือกอักเสบ

ในทางกลับกัน หากร่างกายเราขาด “วิตามินซี” หรือมีปริมาณวิตามินซีน้อยเกินไป อาจส่งผลทำให้เกิดอาหารเหล่านี้ได้

- เป็นหวัดง่าย ภูมิต้านทานโรคและความสามารถในการกำจัดพิษลดลง

- ผิวหนังขาดความยืดหยุ่น เกิดจุดด่างดำ ฝ้า มีเลือดออกตามไรฟัน

- อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง ประสาทสัมผัสด้อยลง

- มีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะ ตับ และส่วนอื่นๆ

- ประสิทธิภาพของต่อมหมวกไตลดลง เป็นภูมิแพ้ได้ง่าย

- เป็นโรคโลหิตจาง หรือโรคต่างๆ ง่าย บาดแผลหายยาก หากขาดมากจะเป็นโรค โลหิตเป็นพิษ

- เกิดโรคลักปิดลักเปิด

สำหรับผู้ที่กำลังกลุ้มใจ เพราะไม่รู้ว่าจะหาวิตามินซีมาทานได้จากที่ไหน ... อยากจะบอกว่า ความจริงแล้วแหล่งของวิตามินซี เราสามารถหาได้จาก อาหารที่มีอยู่ในธรรมชาติทั่วไป แต่แหล่งที่มีมาก คือ ผักสดและผลไม้ต่างๆ โดยเทียบง่ายๆ จากประเภทของอาหาร (100 กรัม) และวิตามินซี (มิลลิกรัม)

ดังนี้ มะขามป้อม 276, ฝรั่ง 160, พุทรา 154, มะขามเทศ 133, มะปรางสุก 107, มะละกอสุก 73,แคนตาลูป 33, มะนาว 25 และมะยม 8

อย่างไรก็ตาม พึงตระหนักไว้ว่า “วิตามินซี” เป็นวิตามินที่มีความสำคัญเช่นเดียวกับวิตามินอื่นๆ และร่างกายไม่สามารถผลิตขึ้นได้เอง ดังนั้น ทุกคนจึงควรบริโภควิตามินซี แต่จะมากหรือน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับความต้องของแต่ละบุคคล

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์ เลขที่ 2

4 วิธีชะงัดอาการปวดหลัง

01 ฝึกพิลาทีส

พิลาทีสถือเป็นการออกกำลังกายที่ประสานกันระหว่างจิตใจ ร่างกายและวิญญาณ ซึ่งจะเน้นไปที่การสร้าง ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และลำตัว กล้ามเนื้อท้องและหลังส่วนลึก จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยพยุง กระดูกสันหลัง ส่งผลให้ลดอาการปวดหลัง และยังมีผลในการลดความเครียดและ กระตุ้นให้เกิดพลังงาน

สำหรับท่าต่างๆ เพื่อลดอาการปวดหลังโดยตรง ได้แก่ ท่ายกเชิงกราน ท่าหนีบหมอน และท่าหมุนข้อเท้า แต่ละท่าประกอบไปด้วย จังหวะการหายใจที่เป็นรูปแบบเฉพาะตัว เคล็ดลับคือ เมื่อหายใจเข้าต้องเอาอากาศ เข้าไปเต็มปอด ซึ่งจะรู้สึกว่าสะดือถูกยกขึ้น และค่อยๆ หายใจออกทางปาก และกดสะดือ ลง ให้จินตนาการว่า มีเทียนอยู่ข้างหน้า และการหายใจออกเปรียบเสมือนการเป่าเทียนให้ดับ

02 ว่ายน้ำ

การว่ายน้ำถือเป็นการออกกำลังกายที่เหมาะสำหรับโรคปวดหลังอย่างมากเพราะไม่สร้างแรงกด แรงกระ แทก แต่ควรงดการทำ ท่ากบ เพราะต้องแอ่นหลังมาก

03 ปรับเปลี่ยนท่านอน

ห้ามนอนคว่ำเพราะจะทำให้กระดูกสันหลังแอ่นมาก ซึ่งทำให้ ปวดหลังได้มากที่สุด และท่านอนหงาย เหยียดขาตรง แม้กระดูกจะไม่โก่งเท่าท่านอนคว่ำแต่ก็ทำให้ปวดหลังได้เช่นกัน หากนอนหงายควรใช้หมอน ข้างใบใหญ่หนุนโคนขาจะทำให้สะโพกและเข่างอเล็กน้อย ซึ่งช่วยให้กระดูกสันหลังหายแอ่นและแบนติดที่ นอนซึ่งเป็นลักษณะ หลังตามธรรมชาติ การนอนตะแคงเป็นท่าที่ดีที่สุด แต่ต้องระวังเพราะอาจทำให้กระดูก สันหลังแอ่นก็ได้ แบนก็ได้ ฉะนั้นควรนอนโดยให้ขาล่างเหยียดตรง ขาบนงอ สะโพกและเข่ากอดหมอนข้างไว้ ทำให้หลังโก่งเล็กน้อย

04 หยิบจับถูกสรีระ

ไม่ก้มตัวลงหยิบของในลักษณะเข่าเหยียดตรง การยกของหนัก ใช้วิธีเดียวกับการหยิบของ เมื่อย่อตัวแล้ว ให้ยกของหนักมาชิดตัว แล้วลุกขึ้นยืนด้วยกำลังขา ขณะที่อุ้มของหนักให้ของชิดตัวตลอดเวลา เมื่อจะวางของ ลงให้ทำเช่นเดียวกับตอนยกขึ้น

ผลไม้ล้างพิษ

             ในปัจจุบันมีหลายปัจจัยที่ทำให้เราต้องเลือกรับประทาน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้าสู่ร่างกายแล้วย่อมมีผลตามมาทั้งสิ้น อาหารชนิดเดียวกันบางครั้งก็มีทั้งคุณทั้งโทษ และวันนี้เราจะมาแนะนำผลไม้ซึ่งสามารถหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดและที่สำคัญยังสามารถล้างพิษในร่างกายเราได้อีกด้วยนะคะ

             แอปเปิ้ล : เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดสำหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกาย สารเปกตินในแอปเปิ้ลจะช่วยนำสารพิษไปกำจัดทิ้ง ทั้งยังป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้เกิดการบูดเน่า

             แอปเปิ้ลยังมีเส้นใยมากจะทำหน้าที่เป็นไม้กวาด ทำความสะอาดลำไส้ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น กระตุ้นน้ำย่อย นอกจากนี้ยังมีวิตามินและเกลือแร่ และยังเหมาะกับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักอีกด้วยค่ะ

            องุ่น : เป็นสารฟอกล้างสำหรับผิวหนัง ตับ ลำไส้และไตโดยเฉพาะ เนื่องจากองุ่นมีคุณสมบัติรักษาน้ำมูกที่จะออกมาจากเยื่อเมือกต่างๆในร่างกาย องุ่นยังให้พลังงานสูงและนำไปใช้ได้ง่าย เกลือแร่อุดม ดังนั้นจึงช่วยบำรุงเลือดและซ่อมสร้างเซลล์ในร่างกาย

           สับปะรด : มีเอนไซม์โปรเมลินสูง เอนไซม์ตัวนี้จะช่วยการทำงานของกรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะ และช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น

            เชื่อกันว่าสับปะรดช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหาร ช่วยในการซ่อมแซมส่วนต่างๆที่สึกหรอ ช่วยการทำงานของต่อมไร้ท่อและช่วยกำจัดน้ำมูก

            มะละกอ มะม่วง แตงโม : มีลักษณะคล้ายคลึงกันแต่มะม่วงมีสารสำคัญน้อยกว่ามะละกอเล็กน้อย ผลไม้ทั้งสองชนิดมีเอนไซม์ชื่อปาเปน ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับน้ำย่อยเปปซินในกระเพาะอาหาร

            ดังนั้นมันจึงช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้นเช่นเดียวกับโปรเมลิน ทั้งมะละกอและมะม่วงดีสำหรับทำความสะอาดลำไส้และช่วยย่อยอาหาร เชื่อกันว่ามะละกอยังช่วยลดอาการซึมเศร้าได้อีกด้วย แตงโมมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ

           ดังนั้นจึงช่วยฟอกล้างร่างกายได้เป็นอย่างดี ใช้รักษาแผลในกระเพาะ ลดความดันเลือดสูง ทำให้สบายท้อง น้ำคั้นจากเปลือกของแตงโมและเมล็ด หากดื่มก่อนกินเนื้อแตงโมในมื้ออาหารสักครึ่งชั่วโมง จะทำให้ได้ประโยชน์สูงสุด เนื่องจากเปลือกของแตงโมอุดมด้วยคลอโรฟิลล์และเมล็ดอุดมด้วยวิตามิน

                         โภชนาการรักษาโรคแบบง่าย ๆ 


1.   ปวดหัว กินปลามากๆ ทั้งปลาทะเล ปลาน้ำจืด   น้ำมันจากปลามีสรรพคุณป้องกันการปวดหัว กินพร้อม ๆ กับขิง จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวลง 

2.   แพ้ละออง เป็นแพ้ทั้งฝุ่นและเกสรดอกไม้   ให้กินโยเกิร์ต หรือนมเปรี้ยว

3.   โรคหัวใจ ดื่มชาเขียว เป็นประจำ   สารในชาเขียวช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันไปจับตัวตามผนังหลอดเลือด

4.   โรคนอนไม่หลับ ดื่มน้ำผึ้ง เป็นประจำ   สารในน้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาททำให้นอนหลับฝันดี

5.   โรคหืดหอบ กินหอม ต้นหอม หรือ หัวหอม ก็ได้มีตัวยาทำให้หลอดลมปลอดโปร่ง

6.   โรคไขข้ออักเสบ กินปลาเท่านั้น แก้ไขเป็นปกติได้ ได้แก่   ปลาแซลมอน ปลาทูน่า   ( ปลาโอ )   ปลาแมคเคอเรล ปลาซาดีนส์   (   ปลากระป๋อง   )   น้ำมันปลาทำให้โรคไขข้ออักเสบบรรเทาลง

7.   ท้องผูก ท้องอืด ให้กินกล้วย หรือ ขิง กล้วยทำให้ไม่ท้องผูก   และขิงทำให้อาการคลื่นไส้ในตอนเช้าหายไป

8.   ติดเชื้อในถุงกระเพาะปัสสาวะ ให้ กินน้ำคั้นจากลูกแคนเบอรี   ( ไม้เมืองหนาว )   กรดเข้มข้นในลูกไม้ฆ่าแบคทีเรียได้

9.   โรคหงุดหงิด ฟุ้งซ่านโดยเฉพาะเกิดในผู้หญิงสูงอายุด้วย   ให้กินข้าวโพดช่วยบรรเทาอาการเครียด วิตกกังวล และความคิดสับสนได้

10.   โรคกระดูกพรุน ทั้งกระดูกเปราะและแตกง่าย แก้ไขได้โดยให้กินสับปะรด   ซึ่งมีสารแมงกานีสอยู่มาก ช่วยให้กระดูกแข็งแรงได้

11.   ความจำเสื่อม แก้ไขโดย กินหอยนางรม หอยแครงหรือหอยอื่น ๆ   ซึ่งในเนื่อหอยมีสารสังกะสีช่วยบำรุงสมองได้ดี

12.   เป็นหวัด กินกระเทียม ทำให้จมูกโปร่ง สมองโล่ง   กระเทียมช่วยลดไขมันในเลือดได้อีกด้วย

13.   ไอ จาม กินพริกแดง สารที่นำมาทำยาแก้ไอนั้นสกัดมาจากพริกแดง

14.   มะเร็งเต้านม กินข้าวสาลี รำข้าว และกะหล่ำปลีจะช่วยป้องกันได้ดี

15.   มะเร็งปอด กินส้ม และ ผักใบเขียว มีวิตามินเอ   อยู่มากจะช่วยป้องกันการก่อพิษของสารเบต้าแคโรทีน

16.   แผลในกระเพาะอาหาร กินกะหล่ำปลี   ซึ่งมีสารเคมีช่วยทำให้แผลเรื้อรังในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กหายขาดได้

17.   โรคท้องร่วง กินแอปเปิ้ลสดทั้งเปลือก

18.   เส้นเลือดตีบ กินผลอโวคาโด แก้ได้เพราะไขมันดี   “ โมโรอันแซตเทอเรต “

19.   ความดันโลหิตสูง กินผลโอลีฟ และผักขึ้นฉ่ายพืชทั้งสองชนิดนี้มีสารเคมี

20.   น้ำตาลในเลือดไม่สมดุล กินผักบร็อกโรลี่ และถั่วลิสง คุณประโยชน์ของพืชสมุนไพร

อาหารเช้าป้องกัน "โรค+อ้วน

มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด เพราะไม่เพียงเติมพลังงานให้ร่างกายและสมองให้พร้อมที่จะทำงานอย่างมี ประสิทธิภาพตลอดวัน อาหารเช้ายังป้องกันโรคเบาหวาน หัวใจและโรคอ้วนได้อีก

อาหารเช้าลดน้ำหนัก

ใครที่ลดน้ำหนักอยู่ และคิดว่าการงดอาหารเช้าจะช่วยให้ผอมได้ คุณกำลังทำสิ่งที่ตรงกันข้าม การงดอาหารเช้าทำให้ร่างกายลดระบบเผาผลาญลง สมองจะหลั่งสารเคมีที่ชื่อว่า นิวโรเพปไทด์ วาย (neuropeptide Y) ซึ่งจะส่งสัญญาณให้คุณกินโดยไม่รู้ตัว มีภาวะที่เรียกว่า " อาการกินกลางคืน " (night eating syndrome) คือเมื่อเริ่มกินมื้อกลางวันแล้ว คุณจะหยุดไม่ได้จนกระทั่งเข้านอน

คนที่งดอาหารเช้ามักกินจุบจิบและเลือกอาหารที่กินสะดวก ซึ่งอาจมีไขมัน น้ำตาลและแคลอรีสูง นักวิจัยจากโรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ดยืนยันว่า ไม่ว่าหญิงหรือชายที่กินอาหารเช้าทุกวันจะอ้วนยากกว่าคนที่งดอาหารเช้า นอกจากนี้ นักวิจัยจากโรงเรียนแพทย์แมทสาชูเสทยังพบว่า คนที่งดอาหารเช้าบ่อยๆ มีแนวโน้มจะอ้วนได้มากกว่าคนที่กินอาหารเช้าเป็นประจำถึง 450% ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ กลุ่มผู้หญิงที่กินอาหารเช้าที่มีแคลอรีมากกว่ามื้ออื่นๆ จะลดน้ำหนักลงได้ดีกว่า และ 78% ของคนที่ลดความอ้วนแล้วสามารถประคับประคองน้ำหนักให้คงที่ได้ เป็นพวกที่กินอาหารเช้าทุกวัน ทำไมการกินอาหารเช้าทำให้น้ำหนักลดได้ ยังไม่มีคำตอบชัดเจน รู้แต่เพียงว่า อาหารเช้าช่วยให้หิวน้อยตลอดวัน อย่างไรก็ตามคุณภาพและปริมาณอาหารเช้ามีความสำคัญ ควรจัดให้มีความสมดุลของสารอาหาร และเพื่อลดน้ำหนักจะต้องไม่กินมากเกินไป

อาหารเช้าลดโรค

การกินอาหารเช้าช่วยป้องกันโรคหัวใจ และน้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งเป็นอาการเตือนของโรคเบาหวาน นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการอ่อนเพลียได้อีกด้วย จากผลการวิจัยคนที่กินธัญพืชไม่ขัดสีทุกวันเป็นอาหารเช้ามานานกว่า 5 ปี จะมีอายุยืนขึ้น เพราะธัญพืชไม่ขัดสีมีสารแอนติออกซิแดนท์ ใยอาหารและปัจจัยอื่นช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยลดคอเลสเทอรอลในเลือดและความดันโลหิต ส่งเสริมให้ร่างกายใช้กลูโคสและฮอร์โมนอินซูลินได้ดีขึ้น ธัญพืชที่มีโปรตีนถั่วเหลืองผสมจะให้ประโยชน์ต่อร่างกายเพิ่มขึ้น เพราะโปรตีนถั่วเหลืองช่วยลดระดับคอเลสเทอรอลในเลือดได้ ส่วนอาหารที่มีองค์ประกอบของกรดโฟลิค วิตามินบี 6 และวิตามินบี 12 จะช่วยลดสารโฮโมซิสเตอีนในเลือดซึ่งเป็นอันตรายต่อหลอดเลือด

อาหารเช้าเพิ่มพลังสมอง

ระหว่างที่นอนหลับร่างกายเรายังคงใช้พลังงานตามปกติ พลังงานเหล่านั้นมาจากกลูโคสที่ร่างกายเก็บสะสมไว้ กว่าจะถึงเช้ากลูโคสมากกว่าครึ่งจะถูกใช้ไป ร่างกายจึงต้องการเติมพลังงาน ซึ่งอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตจะเป็นตัวเริ่มขับเคลื่อนพลังงานให้กับร่างกาย ได้ดีที่สุด

สมองของคนเราก็ใช้กลูโคสเป็นพลังงานด้วยเช่นกัน แต่สมองไม่สามารถเก็บสะสมกลูโคสส่วนที่เหลือได้เหมือนกับการที่ร่างกายสะสม พลังงาน ฉะนั้นอาหารเช้าจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยให้สมองเราทำงานได้เฉียบไว หากงดอาหารเช้า คุณอาจไม่รู้สึกอะไร เพราะมีพลังงานสำรองจากการพักผ่อน แต่พอใช้หมดไปร่างกายจะเข้าสู่ภาวะเครียด และแม้ว่าจะกินชดเชยในมื้อเที่ยง ก็สายเกินไป เพราะเวลาที่ร่างกายต้องการพลังงานส่วนนั้นได้ผ่าน

กินอะไรดีที่สุดสำหรับสมอง

นักวิจัยได้ลองให้ชาย - หญิง 22 คน อายุ 60-70 ปี ดื่มเครื่องดื่มที่มีคาร์โบไฮเดรตล้วนๆ โปรตีนล้วน ไขมันล้วน เครื่องดื่มทั้ง 3 ชนิดให้พลังงานช่วยให้การทำข้อสอบเกี่ยวกับความจำระยะสั้นดีขึ้น แต่ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มคาร์โบไฮเดรตทำได้ดีที่สุด ในการทบทวนความจำหลังจากดื่มไป 1 ชั่วโมง ชี้ให้เห็นว่าคาร์โบไฮเดรตมีความสำคัญต่อการทำงานของสมอง

เมื่องดอาหารเช้า เราจะไม่ได้สารอาหารสำคัญที่ช่วยความจำตลอดวัน แม้แต่การขาดสารอาหารเพียงเล็กน้อย ประเภทกรดโฟลิค วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 ก็จะลดความจำลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออายุมากขึ้น คนสูงอายุจะดูดซึมวิตามินบี 12 ได้น้อยลง เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้คนที่อายุ 50 ปีขึ้นไปเสริมกรดโฟลิค ซึ่งมีมากในธัญพืชไม่ขัดสี ผักใบเขียวจัด ถั่ว น้ำส้มคั้น ฯลฯ

อาหารเช้าที่ควรใส่ใจ

ถ้าต้องการให้ร่างกายได้ประโยชน์จากอาหารเช้ามากขึ้น ควรพิจารณาเลือกชนิดอาหารที่มีองค์ประกอบดังนี้

คาร์โบ ไฮเดรตเชิงซ้อน ดีที่สุดสำหรับอาหารเช้า เพราะจะค่อยๆ ปลดปล่อยกลูโคสให้กับสมองโดยใช้เวลานานขึ้นในการย่อยและดูดซึม แนะนำให้เลือกธัญพืชไม่ขัดสีและผลไม้

โปรตีน อาหารทะเลให้กรดอะมิโน เพื่อผลิตสารสื่อข่าวสมอง ไข่อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามินบีและโคลีนช่วยการทำงานเกี่ยวกับความจำ แม้ไข่มีคอเลสเทอรอลสูง แต่ไข่วันละฟองในมื้ออาหารที่สมดุลนั้น ข้อมูลการวิจัยเปิดเผยว่าไม่เป็นผลเสีย

อาหาร แคลเซียมสูง เช่น นม โยเกิร์ต นมถั่วเหลือง หรือธัญพืชเสริมแคลเซียม น้ำส้มเสริมแคลเซียม ช่วยในการเผาผลาญไขมันและลดการสะสมไขมันในร่างกาย

7 เคล็ดลับ รักษาความจำให้ยืนยาว

1.กินอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ โดยเลือกอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวต่ำ แต่อุดมไปด้วยผักและผลไม้ รวมทั้งกลุ่มวิตามินบีที่เป็นประโยชน์ต่อสมอง รับประทานปลาซึ่งมีกรดไขมันโอเมก้า-3

2.ออกกำลังกายเป็นประจำ การเดิน การเต้นรำ ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ หรือทำสวน อย่างน้อยวันละ 30 นาที 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดไปสู่สมองมีผลให้สุขภาพทำงานได้ดีตลอดเวลา

3.ไปพบแพทย์เป็นประจำและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เนื่องจากการตรวจร่างกายเป็นประจำมีความจำเป็นที่จะช่วยให้สุขภาพดีตลอดเวลา

4.นอนหลับให้เพียงพอ การนอนน้อยกว่า 7-8 ชั่วโมงในหนึ่งวัน ทำให้ความจำและสมาธิถดถอย

5.ลดความเครียด ซึ่งมีผลทำให้สมาธิลดลง รวมทั้งทำให้การเรียนรู้และความจำลดลงเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ ยังเป็นเหตุของการนอนไม่หลับ ซึ่งการออกกำลังกาย สวดมนต์ และการทำสมาธิจะช่วยลดความเครียดได้

6.การคิดและการใช้สมอง ยิ่งใช้สมองมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้สมองทำงานได้ดีขึ้น ควรหากิจกรรมต่างๆ ให้สมองได้ทำเรื่อยๆ เช่น การอ่านหนังสือ เล่นเกมส์คอร์สเวิร์ด อภิปรายกลุ่ม และเข้าเรียนคอร์สพัฒนาตนเอง เช่นภาษา หรือดนตรีเป็นต้น

7.การเข้าสังคม ซึ่งการใช้เวลาร่วมกับผู้อื่นจะช่วยทำให้สมองเกิดการตื่นตัว เช่น การพบเพื่อนใหม่ๆ การเข้าเป็นสมาชิกหรืออาสาสมัคร กระทั่งการทำงานนอกเวลาก็ช่วยได้

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์ เลขที่ 2

กลวิธีคลายเครียด

จดบันทึกประจำวัน

• จดบันทึกประจำวันสักหนึ่งสัปดาห์ ให้สังเกตดูว่าเหตุการณ์หรือสถานการณ์ใดที่เราตอบสนองทางกาย ใจ หรืออารมณ์ในทางลบ และให้จดวันเวลาของเหตุการณ์ไว้ด้วย เขียนบรรยายเหตุการณ์เอาไว้ย่อๆ เราอยู่ในเหตุการณ์ตรงไหน มีใครเกี่ยวข้องบ้าง อะไรเป็นสาเหตุของความเครียด และบรรยายถึงการตอบสนองของเราต่อความเครียดนั้นด้วย อาการทางกายของเราเป็นอย่างไร เช่น หัวใจเต้นแรง ใจสั่น เหงื่อแตก ความรู้สึกของเราเป็นอย่างไร เราพูดอะไร หรือทำอะไรลงไปบ้าง เสร็จแล้วให้คะแนนความเครียดของเราจาก 1 ถึง 5 (น้อยไปมาก)

• จดบันทึกรายการของสิ่งหรือสถานการณ์ต่างๆ ที่บีบคั้นเราให้ใช้เวลาและพลังงานกับมันในหนึ่งสัปดาห์ว่ามีอะไรบ้าง ตัวอย่างเช่น การงานที่เราทำอยู่ งานอาสาสมัคร ขับรถพาลูกไปเรียนพิเศษ ดูแลพ่อหรือแม่ที่แก่เฒ่า เสร็จแล้วให้คะแนนความมากน้อยของความเครียดที่ เราประสบจาก 1 ถึง 5 เหมือนข้างบน หลังจากนั้นเราก็มานั่งพิจารณาสิ่งที่เราจดบันทึกไว้ พิจารณาสิ่งที่เราคิดว่าทำให้เราเครียดมากๆ แล้วเลือกขึ้นมาอย่างหนึ่งเพื่อทำการวิเคราะห์โดยใช้เทคนิคที่ใช้แก้ปัญหาดังนี้

ปรับปรุงทักษะการใช้เวลาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ทักษะนี้สามารถทำให้คุณเก่งในการแยกแยะเป้าหมาย และให้ความสำคัญก่อนหลัง ของสิ่งที่เราต้องทำซึ่งจะช่วยลดความเครียดในชีวิตได้ ให้ใช้ทักษะต่างๆ ดังต่อไปนี้ช่วยลด ความเครียด

• สร้างความคาดหมายที่เป็นไปได้จริงและขีดเส้นตายให้กับงานที่เราจะทำและทำการตรวจสอบความก้าวหน้าเป็นประจำ

• จัดระเบียบบนโต๊ะทำงาน กำจัดกระดาษที่ไม่มีความสลักสำคัญโดยการโยนมันทิ้งไป

• เขียนรายการแม่บทของสิ่งที่เราต้องทำก่อนหลังประจำวันแล้วทำตามนั้น

• ตลอดทั้งวันที่ทำงานหมั่นเช็ครายการ แม่บทที่เราทำไว้ ว่าเราได้ทำเสร็จไปตามลำดับก่อนหลังที่ตั้งใจไว้หรือเปล่า

• หัดใช้สมุดนัดที่เขาเรียกว่าแพลนเนอร์เพื่อจดบันทึกสิ่งที่เราวางแผนจะทำล่วงหน้า เป็นวัน เป็นเดือน หรือเป็นปี หรือเขียนรายการแม่บทตามที่กล่าวข้างบนนั้นเป็นรายการที่ต้องทำก่อน-หลังประจำวัน ลงบนแพลนเนอร์ด้วย แล้วทำไปตามนั้น และทำการประเมินผลประจำวัน จะเกิดผลดี ไม่เกิดความยุ่งยาก สับสน ผิดนัด ใช้แพลนเนอร์เก็บเบอร์โทรศัพท์และที่อยู่ของคนสำคัญหรือลูกค้าเพื่อความสะดวกใน การค้นหาติดต่อ ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพ ผิดพลาดเสียเวลาน้อยลง มีเวลาทำงาน อย่างอื่นหรือรื่นเริงมากขึ้น

• สำหรับการทำงานหรือโครงการที่มีความสำคัญมากให้กันเวลาที่ห้ามใครมารบกวนไว้ต่างหากเพื่อ การทำงานที่ต่อเนื่องและเป็น ความลับ

หลีกเลี่ยงความเบื่อหน่ายหมดไฟในการทำงาน

ถ้าคุณมีความรู้สึกหมดไฟ ไม่อยากทำงาน หรือเครียดมากเป็นเวลานานเป็นสัปดาห์ ความรู้สึกนี้จะมีผลต่อความสัมพันธ์ในทางอาชีพและในชีวิตส่วนตัวหรือในการทำมาหากินของคุณได้ ความอัดอั้นตันใจที่มากล้น ความรู้สึกเมินเฉยต่อการงาน ความหงุดหงิดรำคาญใจเป็นเวลายาวนาน ความขุนเคืองใจ และมีความโน้มเอียงที่จะโต้เถียงเป็นประจำ สิ่งเหล่านี้เป็นตัวชี้บ่งถึงอาการหมดไฟในการทำงาน ซึ่งจำเป็นต้อง ได้รับการจัดการเยียวยาให้มันดีขึ้น ผู้เชี่ยวชาญเขาแนะนำกลยุทธในการต่อสู้ดังนี้

• ดูแลตัวเองให้สุขภาพดี กินอาหารให้ครบห้าหมู่ กินให้ครบทุกมื้อรวมทั้งอาหารเช้า กินในขนาดที่พอประมาณ (ไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่ม) นอนให้เพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอให้พอเหมาะสิ่งเหล่านี้จะทำให้ร่างกายของท่านแข็งแรง สามารถสู้กับความเครียดทางกายและใจได้ดี

• สร้างสัมพันธไมตรีกับเพื่อนในที่ทำงานและนอกที่ทำงาน หาเพื่อนสนิทที่เราสามารถบ่นเรื่องคับข้องใจปรับทุกข์เรื่องการงานให้ฟังได้ ทำให้มีหนทางในการแก้ปัญหาที่ก่อความเครียดของเราได้ หลีกเลี่ยงการคบค้ากับคนที่เรามีความรู้สึกไม่ดี คนไม่จริงใจ ไม่เป็นกัลยาณมิตรเพราะจะยิ่งจะตอกย้ำความรู้สึกย่ำแย่ให้มากขึ้น ในมงคลสูตรก็กล่าวไว้ให้คบคนดี หลีกหนีคนพาล มองหากัลยาณมิตร

• รู้จักลาพักผ่อน ลาพักร้อน วาเคชั่น บางคนอาจจะลาไปปฏิบัติธรรมฝึกวิปัสสนากรรมฐาน หรือปลีกวิเวก สำหรับคนที่ทำได้มันจะทำให้คลายเครียดลงได้มาก แน่นอน และสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่ลาได้ไม่มากก็อาจจะมีการเบรคพักคลายเครียดชั่วครู่ในเวลาทำงานก็จะช่วยได้บ้าง

• ในบางกรณีจำเป็นต้องฝึกการปฏิเสธ หัด “Say No” กับเพื่อนที่มาชวนไปทำโน่นทำนี้ที่ทำให้เราเครียด เช่น เป็นสาวเป็นแส้เที่ยวแร่ไปตามที่อโคจรไปนั่งตามผับตามบาร์ ดื่มเหล้าสูบยาซึ่งเป็นท่าทีเชิญชวนให้ หนุ่มเหน้าเข้ามาโอภาปราศรัยอยากได้ปลื้ม

• หัดยับยั้งชั่งใจไม่โต้เถียงกับใครๆ โดยไม่เลือก พยายามใจเย็น มีสติ สัมปชัญญะ เถียงเฉพาะเรื่องที่มีความสลักสำคัญจริง (ไม่ใช่เรื่องทักษิณออกไป) แต่ที่ดีที่สุดคือหุบปากไม่เถียงกับใครเลย ทุกครั้งที่เถียงกันจะมีการหลั่งของฮอร์โมนความเครียดความดันเลือดพุ่งขึ้นทุกที

• ทางออกของความเครียดที่ควรหัดมีไว้คือ การอ่านหนังสือที่เราชอบ ทำงานอดิเรกที่เรารัก ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาที่เราสนุก ทำให้รู้สึกชื่นมื่นเพราะเอนดอร์ฟิน (สารสร้างสุข) หลั่งออกมา

ถ้าสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่มีผลดีต่อคุณ ก็จำเป็นต้องหาที่พึ่ง เช่น เข้าหาปรึกษาพระที่เราเคารพนับถือ เอาธรรมะเข้าข่ม หรือใช้มืออาชีพอย่างนักจิตวิทยา หรือให้จิตแพทย์ช่วยก็จะดีที่สุด อย่าลืมว่าความเครียดอาจจะทำให้ถึงตายได้ อย่าปล่อยให้มันเรื้อรังนะ

พัชรินทร์ 47322814 (ภาคค่ำ)

อาหารแสลงกับโรคต่าง ๆ นั้นมีอะไรกันบ้าง

คนที่เป็นไข้หวัด ไข้สูง ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่สุก อาหารที่เย็นมาก หรืออาหารทอด อาหารมัน ซึ่งล้วนแต่ทำให้ย่อยยาก ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อนสะสม เปรียบเสมือน "อาหารเชื้อเพลิง"  หรือการเติมน้ำมันเข้าไปในกองไฟ

คนที่เป็นโรคความดันเลือดสูง
โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาหลอดเลือดแข็งตัว (ตามภาวะความเสื่อมของร่างกาย) ทำให้หลอดเลือดเสียความยืดหยุ่น ควรหลีกเลี่ยงอาหารมัน อาหารที่มีโคเลสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น ตับ สมอง ถั่ว น้ำมันหมู ไขกระดูก ไข่ปลา โกโก้ น้ำมันเนย รวมทั้งเหล้า เพราะอาหารเหล่านี้จะทำให้เกิดความร้อนชื้นสะสมในร่างกาย (ความชื้นมีผลให้เกิดความหนืดของการไหลเวียนต่อร่างกายทุกระบบ ความร้อนทำให้ภาวะร่างกายถูกกระตุ้น ทำให้ความดันสูง) 

 นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด (ฤทธิ์กระตุ้น) หรืออาหารหวานมาก เช่น ลำไย ขนุน ทุเรียน ฯลฯ (คุณสมบัติร้อน)  เราคงได้ยินบ่อย ๆว่า มีคนที่เป็นโรคความดันสูง แล้วไปกินทุเรียนร่วมกับเหล้า แล้วหมดสติ เสียชีวิต จากภาวะเส้นเลือดในสมองแตกก็สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลดังกล่าว


คนที่เป็นโรคตับหรือโรคเกี่ยวกับถุงน้ำดี ควรหลีกเลี่ยงอาหารพวกเหล้า เครื่องดื่มแอลกอฮอล์อาหารมัน เนื้อติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทอด ๆ มัน ๆ อาหารหวานจัด เพราะแผนแพทย์จีนถือว่าตับ ถุงน้ำดี มีความสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหาร ซึ่งเป็นระบบพื้นฐานของการรับสารอาหารเพื่อบำรุงเลี้ยงร่างกาย ให้เกิดเลือด พลัง การได้อาหารประเภทดังกล่าวมากเกินไปจะทำให้เกิดความร้อนความชื้น ทำให้สมรรถภาพของการย่อยอาหารอ่อนแอ ซึ่งจะทำให้เกิดโทษต่อตับและถุงน้ำดีอีกต่อหนึ่ง

 

คนที่นอนหลับไม่สนิท ควรหลีกเลี่ยงอาหารพวกชา กาแฟ หรือการสูบบุหรี่ โดยเฉพาะเวลาก่อนนอน เพราอาหารเหล่านี้มีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาท ทำให้ไม่ง่วงนอน หรือทำให้หลับไม่สนิท

คนที่เป็นโรคริดสีดวงทวารหรือท้องผูก
ต้องหลีกเลี่ยงอาหารประเภท กระเทียม หอม ขิงสด พริกไทย พริก ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทำให้มีความร้อนในตัวสะสมมาก ทำให้ท้องผูก ทำให้เส้นเลือดแตกและอาการริดสีดวงทวารกำเริบ

คนที่มีอาการลมพิษ ผิวหนังอักเสบเรื้อรัง หรือเป็นโรคหอบหืด
ควรเลี่ยงเนื้อแพะ เนื้อปลา กุ้ง หอย ปู ไข่ ผลิตภัณฑ์นมหรือสิ่งกระตุ้นอื่นๆ รวมทั้งรสเผ็ด เพราะสารเหล่านี้มีฤทธิ์กระตุ้นและทำให้มีอาการผื่น ผิวหนังกำเริบ

 

 

 

 

 

พัชรินทร์ 47322814 (ภาคค่ำ)

12 สุขลักษณะ การนอนที่ดี

 

 

       1. จัดห้องนอนให้เหมาะแก่การนอนหลับ อาทิ ไม่ร้อนหรือหนาวเย็นจนเกินไป ไม่ควรมีเสียงดังอึกทึก ควรมีบรรยากาศเงียบสงบ หรืออาจมีเสียงเพลงเพราะๆ คลอเบาๆ 

      2. ใช้ห้องนอนสำหรับการนอนเท่านั้น งดเว้นกิจกรรมอื่นในห้องนอน เช่น ทานอาหาร หรือเล่นเกมต่างๆ 

      3. การดื่มนมอุ่นๆ สักแก้ว หรือกล้วยสักผลช่วยให้หลับได้ดีขึ้น

      4. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่กระตุ้นสมองทุกชนิด เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง ในตอนบ่าย ตอนเย็น หรือช่วงก่อนนอน

      5. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ทุกชนิด เพราะจะมีสารเคมีที่ออกฤทธิ์ต่อสมองทำให้นอนไม่หลับ แม้ว่าเราจะเคยได้ยินมาว่า แอลกอฮอล์ช่วยให้หลับง่าย แต่ถ้าดื่มอย่างต่อเนื่องก็เป็นผลร้ายต่อการนอนเหมือนกัน ดังนั้นไม่ดื่มดีที่สุด

      6. การออกกำลังกายในช่วงเช้าอย่างสม่ำเสมอในทุกๆ วันจะช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น ไม่ควรออกกำลังกายหนักในช่วงเย็นหรือก่อนนอน

       7. พยายามตื่นนอนให้เป็นเวลาเดียวกันทุกวัน รวมไปถึงวันหยุดสุดสัปดาห์และวันหยุดพิเศษอื่นๆ ด้วย เพราะวิธีนี้จะทำให้วงจรการหลับ-ตื่นของเราทำงานได้ดี

      8. หลีกเลี่ยงการดูภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ หรือเล่มเกมคอมพิวเตอร์ ที่มีความตื่นเต้นในช่วงก่อนเข้านอน

      9. พยายามไม่ดื่มน้ำมากในตอนเย็น เพื่อกลางดึกจะได้ไม่ต้องลุกไปเข้าห้องน้ำ

      10. คนที่โกรธหรือหงุดหงิดเพราะตัวเองนอนไม่หลับนั้น ไม่ควรที่จะข่มตาบังคับให้หลับอีกต่อไป ควรลุกขึ้นออกจากห้องนอนมาหากิจกรรมอย่างอื่นทำ อาทิ อ่านหนังสือธรรมะสักเล่ม (ไม่ควรทำอะไรที่ตาสว่าง) เมื่อรู้สึกง่วงจึงกลับไปนอน

      11. ถ้ารู้สึกว่าตัวเองตื่นมากลางดึกแล้วคอยดูเวลาอยู่เรื่อยๆ ก็ให้เก็บนาฬิกานั้นไปไว้ที่อื่น

      12. ไม่ควรทานยานอนหลับ เพราะอาจส่งผลไปถึงการเป็นโรคสมองเสื่อม

 

สวยด้วยน้ำผึ้ง

 

ก่อนอื่นก็มาดูว่าน้ำผึ้งที่เรามีนั้นเป็นของแท้รึเปล่า  โดยเริ่มจากการนำน้ำผึ้งจากธรรมชาติที่ยังไม่ผ่านความร้อนใส่ไว้ในขวด ตั้งทิ้งไว้สักพัก ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้จากธรรมชาติจะสังเกตเห็นเกสรดอกไม้ลอยอยู่ด้านบน

หลังจากที่เรารู้แล้วว่ามันเป็นของแท้ ก็เริ่มทำกันเลย...

      น้ำผึ้งช่วยปรับสมดุลของร่างกายและควบคุมน้ำหนัก ใครที่มีปัญหาปวดข้อ ปวดกระดูก เป็นตะคริวอยู่บ่อย ๆ หรือแม้กระทั่งโรคอ้วน ก็สามารถดื่มน้ำผึ้ง เพื่อช่วยบรรเทาโรคต่าง ๆ ได้   โดยการนำน้ำผึ้งมาสัก 3 ช้อน ผสมกับน้ำส้มสายชูหมักแอปเปิ้ล (หรือ Apple Vinegar) 3 ช้อนชา ผสมน้ำเปล่า 1 แก้ว ดื่มทุกเช้าหลังตื่นนอนและระหว่างมื้อเป็นประจำทุกวัน จะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงและสดชื่น

      หน้าแห้งแตกเป็นขุย สาวที่มีผิวหน้าแห้งกร้าน  ควรจะทำเป็นอย่างยิ่ง ให้นำไข่แดง 1 ฟอง และน้ำผึ้ง 1ช้อนผสมให้เข้ากัน พอกหน้าทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

      น้ำผึ้งสยบสิ้วเสี้ยนบนใบหน้า หลังล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น เช็ดหน้าให้แห้ง จากนั้นนำกล้วยหอมครึ่งลูก บดผสมกับน้ำผึ้ง นำมาทาบนใบหน้าทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก น้ำผึ้งมีเอนโซม์ที่ทำให้หน้าคุณชุ่มชื่นนุ่มนวลขึ้น และยังบำรุงผิวหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ด้วย

      ผมหยาบกระด้างเกินเยียวยา ต้องลองสูตรนี้ หลังสระผมเสร็จ นำน้ำผึ้งผสมกับน้ำมันมะกอกอย่างละ 3 ช้อนโต๊ะ ชโลมผมแล้วทิ้งไว้ 3-5 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผมคุณจะนิ่มและเงางามดุจเส้นไหม

      ใครที่นอนไม่หลับ ฟังทางนี้ด่วน ผสมน้ำผึ้งกับน้ำอุ่น หรือนมร้อนดื่มก่อนนอน จะช่วยให้คุณหลับสบายขึ้น

      สครับหน้าแบบง่าย ๆ เพียงนำน้ำผึ้งผสมกับแอ๊ปเปิ้ลมาปั่นรวมกัน ทาให้ทั่วใบหน้า พร้อมกับนวดเบา ๆ ความหยาบของแอ๊ปเปิ้ลจะช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าให้ออกไปให้ผิวหน้าสดใสเปล่งปลั่งขึ้น

      สูตรไล่ตีนกาออกจากหน้า นำแครอท 1 หัวเล็กมาปอกเปลือกและปั่นให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้ง และนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 5-10 นาที ริ้วรอยตีนเป็ดตีนกาทั้งหลายจะค่อย ๆ โบยบินออกจากหน้าของคุณในเร็ววัน

      เสียงใส เหมือนระฆังเงิน หากใครเกิดอาการเจ็บคอ รู้สึกคอแห้งเสียงแหบ  เพียงผสมน้ำมะนาว 1 ลูก + น้ำผึ้ง 2-3 ช้อนโต๊ะ + น้ำเดือด 2 ช้อนโต๊ะ จิบบ่อย ๆ แก้เจ็บคอ แต่หากกินไม่หมดก็นำมาทาหน้าได้ด้วย ทาทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ผิวหน้าจะขาวใสและเต่งตึงขึ้นทันตาเห็น

สุดยอดอาหารเพื่อเส้นผม



ไข่   : ไข่เป็นแหล่งอาหารที่อุดมด้วยกรดอะมิโนแอซิดที่มีกำมะถันเป็นองค์ประกอบ และช่วยในด้านความแข็งแรงของเส้นผม

ปลา   : อุดมด้วยโปรตีนและกรดไขมันโอเมก้า-3 ช่วยให้เส้นผมแข็งแรง และมีประกายเงางาม

ถั่ว   : มีกรดไขมันจำเป็นหลายชนิด ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้เส้นผมแห้ง ขาดความชุ่มชื้น

ธัญพืช   : ธัญพืชมีแร่ธาตุซิลิก้าสูง โดยเฉพาะในข้าวโอ๊ต หรือมูสลี่ จะช่วยให้ผมที่ดูหมองไม่สดใสกลับคืนความเงางามอีกครั้งหนึ่ง

ผลไม้   : ผลไม้สีสันสดใสจะอุดมด้วยวิตามินนานาชนิด ช่วยคืนชีวิตชีวาและความแข็งแรงให้กับเส้นผม

ผัก   : อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนซึ่งร่างกายจะทำการแปลงให้เป็นวิตามินเอ ซึ่งเป็นสารอาหารสำคัญต่อสุขภาพเส้นผม

น้ำ   : น้ำไม่ได้ทำหน้าที่ให้ความชุ่มชื่นแก่ร่างกายและผิวหนังเท่านั้น แต่ยังช่วยรักษาความชุ่มชื่นให้แก่เส้นผมด้วย ซึ่งจะส่งผลให้เส้นผมมีความยืดหยุ่นและเป็นมันเงา

                             4 วิธีแก้เมาแบบฉับพลัน

 

 

เพื่อนๆคนไหน ที่ท่องราตรีแล้วเกิดอาการเมาค้าง หรือแฮงค์ วันนี้เรามีเกร็ดความรู้สำหรับเมาค้างมาฝากกัน...

1. ดื่มชาสมุนไพรร้อนๆ     (เช่น ดอกคำฝอย, ลูกใต้ใบ เป็นต้น) สัก 2-3 แก้ว ก่อนนอนกินของว่าง เช่น ขนมปังกรอบทาแยมหรือ น้ำผึ้ง และเมื่อตื่นเช้าควรอาบน้ำเย็น แล้วดื่มน้ำหรือดื่มชาสมุนไพรจำพวกน้ำมะนาวคั้น หลังจากนั้นกินแอปเปิ้ล 1 ลูก ตอนสายๆ ตามด้วยแกงเลียงร้อนๆ

2. สมุนไพรแก้แฮงค์...     รางจืด แก้เมาได้ชะงัด หากดื่มสุราจัดเกินขนาดแล้วเกิดอาการแฮงค์โอเวอร์หรือเมาค้าง รางจืดใช้ได้ทั้งการกินสดๆ และแห้ง คือ เอาใบสด 4-5 ใบ ใส่ครกตำผสมน้ำ ถ้าได้น้ำซาวข้าว ยิ่งดี แล้วคั้นเอาน้ำดื่ม หรือจะใช้ส่วนที่เป็นรากและเถารางจืดสดตำคั้นก็ได้ ส่วนวิธีแห้งซึ่งเป็นที่นิยมในเวลานี้คือ การนำใบแห้งมาชงกับน้ำดื่มเหมือนชงชาจีน

 

3. กาแฟแก้เมา    ให้เอากาแฟผงชนิดใดก็ได้เพียง 2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำเดือด 1 แก้วใหญ่ (ห้ามใส่น้ำตาล) คนให้ละลายรอจนอุ่น ดื่มจนหมดแล้วนอนพัก อาการจะดีขึ้นใน 15 นาที

 

4. สร่างด้วยน้ำมะนาว     ใช้มะนาว 1 ลูก คั้นเอาแต่น้ำ แล้วดื่มจนหมด ประมาณ 10 นาทีคุณอาจจะอาเจียน เมื่ออาเจียนเสร็จให้นอนพักสักครู่ อาการเมาก็จะหายไป

         

ลดอาการผิวแห้งด้วยผลไม้สด

ทราบหรือไม่ว่า นอกจากผลไม้สดจะให้ประโยชน์แก่ร่างกายแล้ว ยังสามารถลดอาการผิวแห้งได้ด้วย วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเรื่องนี้มาฝาก...

ผลไม้สดอร่อยๆ มีให้เลือกกินมากมาย แต่อย่าปล่อยให้ความสดหวานผ่านลงท้องไปเพียงอย่างเดียว ผลไม้สดนั้นยังสามารถนำมาใช้พอกผิวเพิ่มความเนียนใส ไร้จุดแห้งกร้านได้ด้วย

วิธีคือ คัดผลไม้สดๆ อย่าง องุ่น กล้วย เอาแบบสุกพอดีๆ อย่างอมเกินไป พร้อมด้วยโยเกิร์ตรสธรรมชาติ นมสด และ น้ำผึ้งอย่างละพอประมาณ มาปั่นรวมกันจนได้เป็นครีม พอกนวดให้ทั่วผิวกาย เน้นที่จุดแห้งกร้านอย่างข้อศอก หัวเข่า เท้า แล้วทิ้งไว้สักประมาณ 15 นาที ค่อยล้างออก

เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื่น น่าสัมผัสเชียว

พัชรินทร์ 47322814 (ภาคค่ำ)

 

เครื่องดื่มตามกรุ๊ปเลือด

 

 

             เลือดกรุ๊ปโอ

จะมีกรดในกระเพาะอาหารสูง สามารถย่อยอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่ควรกินอาหารจำพวกแป้งมากเกินไป เพราะจะย่อยยาก และเมื่อเกิดการสะสมแป้ง ร่างกายจะเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาล และจะกลายเป็นโรคเบาหวานและทำให้อ้วนง่าย อาหารที่ควรทานคืออาหารจำพวกสาหร่าย เกลือไอโอดีน อาหารทะเล และควรกินตับ กินบลอกโคลี ผักโขม เพราะจะช่วยในเรื่องประสิทธิภาพการเผาผลาญมากขึ้น เครื่องดื่มที่เหมาะกับเลือดกรุ๊ปโอคือ น้ำสัปปะรด น้ำลูกพรุน แต่ไม่ควรดื่มน้ำแอบเปิล น้ำส้ม น้ำกระหล่ำปลี

            เลือดกรุ๊ปเอ

กรุ๊ปนี้จะตรงข้ามกับกรุ๊ปโอแทบจะทุกอย่าง เพราะเลือดกรุ๊ปนี้จะมีกรดในกระเพาะอาหารต่ำ จึงเหมาะกับอาหารมังสวิรัติและควรหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ เพราะหากกินมากเกินไปร่างกายจะไม่ยอมย่อย ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ เช่นโรคหัวใจและโรคมะเร็ง หากต้องการกินเนื้อจริง ๆ ควรบริโภคแค่เนื้อไก่เพราะไม่มีไขมันมาก หรือกินถั่วเหลืองแทนเพื่อทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ แล้วควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกอาหารสำเร็จรูป เช่นไส้กรอก แฮม เพราะอาหารจำพวกนี้มีสารดินประสิวที่ไปกระตุ้นให้เกิดมะเร็งในกระเพาะอาหาร ควรหันมากินผักและอาหารจากถั่วเหลือง เพื่อช่วยในเรื่องของระบบย่อยอาหารให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เครื่องดื่มที่เหมาะสมกับคนเลือดกรุ๊ปเอก็คือ น้ำแอปปริคอต น้ำแครอต น้ำเซเลรี น้ำเกรปฟรุต น้ำสัปปะรด น้ำมะนาว เพราะมีวิตามินซีสูง แต่ไม่ควรดื่มน้ำส้ม น้ำมะละกอ และน้ำมะเขือเทศ

            เลือดกรุ๊ปบี

เป็นกรุ๊ปเลือดที่สามารถต้านทานโรคมะเร็งและโรคหัวใจได้ แต่ยังมีปัญหาเรื่องภูมิคุ้มกันของร่างกาย จึงควรกินอาหารจำพวกผักใบเขียว ตับ ไข่ นมไขมันต่ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญ และ ควรดื่มน้ำกระหล่ำปลี น้ำแครนเบอร์รี่ น้ำองุ่น น้ำมะละกอ น้ำสัปปะรด แต่ไม่ควรดื่มน้ำมะเขือเทศ

            เลือดกรุ๊ปเอบี

คนเลือดกรุ๊ปนี้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหาร จึงควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินซี เช่น บรอกโคลี เชอร์รี่ ส้มโอ เกรปฟรุต กะหล่ำปลี และดื่มน้ำแครอต น้ำเซเลรี น้ำแครนเบอร์รี่ น้ำองุ่น และน้ำมะละกอ เพราะช่วยต้านมะเร็งได้ แต่ไม่ควรดื่มน้ำส้มเพราะทำให้ย่อยยาก

พัชรินทร์ 47322814 (ภาคค่ำ)

บำรุงหน้าตามลักษณะผิว

 

           ผิวหน้าหยาบกร้าน    ใช้มะละกอสุกบด 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำผึ้งและนมสดอย่างละ 1 ช้อนชา พอกทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก


           
ผิวแห้ง     ใช้แตงกวาบด 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา และน้ำมะนาว 1 ช้อนชา พอกทิ้งไว้ 15-20 นาทีแล้วล้างออก


      
      ผิวเป็นสิว    ใช้ขมิ้นผง 1 ช้อนชาผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนชาและโยเกิร์ต 1 ช้อนชา พอกทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น

            ผิวหน้ามีฝ้าและจุดด่างดำ    ใช้หัวไชเท้าบด 1 ช้อนชา น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา พอกทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก


           
ผิวรูขุมขนกว้าง     ใช้มะเขือเทศบด 1 ช้อนโต๊ะ ผสมโยเกิร์ตและน้ำผึ้งอย่างละ 1 ช้อนชา พอกทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก

พัชรินทร์ 47322814 (ภาคค่ำ)

โรควูบ (Fainting) และหมดสติ (Syncope) ภัยใกล้ตัวเรา

 

 


โรควูบ คือ อาการลมเกือบหมดสติ หรือบางรายหมดสติไป (Syncope) เป็น ภาวะที่พบได้บ่อย สาเหตุของการเป็นลมเกือบหมดสติหรือหมดสติ มีได้หลายสาเหต ุมากมาย หนึ่งในสาเหตุเหล่านั้น อาจเกิดจากความผิดปกติทางหัวใจได้ ผู้ป่วยที่มีประสบการณ์กับตนเอง รวมถึงคนใกล้ชิดผู้ป่วยจะเกิดความวิตกกังวล สูญเสียความมั่นใจ เนื่องจากไม่แน่ใจว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดจะเป็นลมหมดสติอีกเมื่อไหร่ ถ้าเกิดขณะ ขับรถ ข้ามถนน หรือขณะเล่นกีฬา จะทำอย่างไร จะฟื้นหรือไม่ จะดูแลในเบื้องต้นอย่าง ไร เรามาทำความรู้จักอาการวูบ หรือหมดสติกันดีกว่าการเป็นลมหมดสติ เกิดขึ้นเมื่อสมองขาดเลือดไปเลี้ยงในระดับรุนแรง ทำให้ศูนย์ควบคุมความรู้สึกตัวเสียการทำงาน ไป


สาเหตุที่สำคัญ คือ
     1. ภาวะตกใจหรือเสียใจรุนแรง
     2.
ไอหรือจามแรงมากเกินไป
     3.
ขณะยืนถ่ายปัสสาวะ หรือหลังถ่ายปัสสาวะ หลังจากที่กลั้นมานาน
     4.
ออกกำลังกายมากเกินไป
     5.
หลังอาหารมื้อหนัก
     6.
เส้นประสาทสมองที่ 5,9 อักเสบ
     7.
เป็นโรคสมองเสื่อมหรือสมองฝ่อ
     8.
โรคพาร์คินสันบางราย ที่มีระบบประสาทอัตโนมัติผิดปกติร่วมอยู่ด้วย
     9.
โรคเบาหวาน ในรายที่เส้นประสาทโดนทำลายจากเบาหวาน
     10.
จากยาบางชนิดเช่น รับประทานยาลดความดันมากเกินไป
     11.
ดื่มสุรามากเกินไป
     12.
จุดกำเนิดไฟฟ้าของหัวใจเสื่อมสภาพ
     13.
เสียเลือดมาก หรือเสียน้ำออกจากร่ายกายมากเกินไป เช่น ท้องร่วงรุนแรง อาเจียนรุนแรง
     14.
มีการกระตุ้นในระบบทางเดินอาหาร เช่น ล้วงคอ อาเจียน เบ่งถ่ายอุจจาระ ปวดท้องรุนแรง
     15.
ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะอย่างรุนแรง
     16.
ระบบทางเดินไฟฟ้าในหัวใจเสื่อมสภาพหรือผิดปกติ
     17.
สาเหตุจากการเสียสมดุลของระบบประสาทอัตโนมัติที่ควบคุมหัวใจและหลอดเลือด
     18.
ภาวะเสียเลือดจากหัวใจอุดตัน ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะรุนแรง
     19.
โรคกล้ามเนื้อหัวใจหนาผิดปกติ
     20.
เนื้องอกในห้องหัวใจ
     21.
ลิ้นหัวใจตีบรุนแรง
     22.
ภาวะที่มีน้ำในเยื่อหุ้มหัวใจมากและมีการกดการทำงานของหัวใจ
     23.
ภาวะเสียเลือดใหญ่ที่ออกจากหัวใจแตก หรือมีการฉีกขาดรุนแรง
     24.
มีลิ่มเลือดใหญ่ไปอุดตันเส้นเลือดในปอด
     25.
ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำหรือสูงมากเกินไป


ควรปฏิบัติตัวอย่างไร เมื่อกำลังจะเป็นลมหมดสติ
     บางคนก่อนจะเป็นลมหมดสติ จะมีอาการเตือนนำมาก่อน เช่น คลื่นไส้ อาเจียน มวนท้อง อยากถ่าย เหงื่อแตก ตัวเย็น ถ้าเป็นจากโรคหัวใจ อาจมีใจสั่นนำมาก่อน หรืออาจไม่มีอาการเตือนเลยก็ได้ ขณะหมดสติอาจมีอาการเกร็ง กระตุกได้ ให้รีบล้มตัวลงนอนทันที เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้มากขึ้น และลดการเกิดการบาดเจ็บ ถ้าขับรถอยู่ ควรจอดทันที แล้วปรับที่นั่งให้อยู่ในท่านอนราบถ้าอยู่ในรถโดยสารควรหาที่นั่ง/นอนในรถ แจ้งคนรอบข้างว่ากำลังจะเป็นลม ไม่ควรรีบลงจากรถ เพราะอาจหมดสติตรงทางลงทำให้เกิดอันตรายได้

สาเหตุมีพุงแต่ไม่ใช่ไขมัน!!

 

สาเหตุของพุงป่องไม่ใช่จากการรับประทานเพียงอย่างเดียว และคนพุงป่องก็ไม่ได้แปลว่าอ้วนด้วย แต่อาจเป็นเพียงอาการบวมน้ำเท่านั้น เพื่อนๆชาวที่นี่ มีใครรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อ้วนแต่มีพุงบ้าง เรามาดูสาเหตุที่ทำให้มีพุงแต่ไม่ได้อ้วนกันดีกว่าค่ะ

 

1. การแพ้อาหาร
บางครั้งอาการท้องบวมอาจเกิดจากอาการระคายเคืองหรือการติดเชื้อของระบบย่อยอาหารในช่องท้อง หรืออาจรวมถึงการรับประทานยาบางชนิดที่ทำให้บวมน้ำและยังรวมไปถึงการมีรอบเดือนด้วย แต่ถ้ารู้สึกว่าหน้าท้องบวมขึ้นผิดปกติหลัง ทานอาหารบางชนิด ให้สันนิษฐานได้ว่าน่าจะมีอาการแพ้อาหารเข้าให้แล้ว จากสถิติพบว่าอาหารจำพวกแป้งและนมมีโอกาสทำให้เกิดอาการแพ้และบวมมากที่สุด


2. อาหารลดน้ำหนัก
คนที่ชอบหวังพึ่งอาหารลดน้ำหนักจำพวกโลว์-แฟ้ต หรือแฟ้ต-ฟรีมักจะมีปัญหาพุงป่อง เนื่องจากคิดว่ามันเป็นอาหารแคลอรี่ต่ำ จึงสามารถกินมากกว่าปกติ อาหารพวกนี้อาจมีพลังงานน้อยกว่าปกติ แต่มันก็ไม่ได้น้อยขนาดนั้น ทางที่ดีหันมารับประทานผักผลไม้ให้มากขึ้นจะดีกว่า รวมทั้งรับประทานอาหารที่มีเอนไซม์ช่วยย่อย อาทิ น้ำมะนาว น้ำส้มสายชูสกัดจากแอ๊ปเปิ้ล หรือผักสดต่าง ๆ


3. กินช้า ๆ แต่บ่อย ๆ
ค่อย ๆ เคี้ยวอาหารช้า ๆ เพื่อให้ประสาทรับรู้ค่อย ๆ รู้สึกอิ่ม และในแต่ละมื้ออย่ากินให้เยอะจนอิ่มแน่นท้อง ควรแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อย่อย ๆ แต่อย่ากินขนมจุบจิบจำพวกขนมนมเนยต่าง ๆ เลือกกินผลไม้หรือธัญพืช เมื่อหิวระหว่างมื้อจะดีกว่า

 

4.ขจัดสารพิษ
แอลกอฮอล์ คาเฟอีน และนิโคตินในบุหรี่มีผลร้ายต่อระบบเผาผลาญอาหารของร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายบวมน้ำและยังก่อให้เกิดเซลลูไลท์อีกด้วย ดังนั้นเมื่อรู้เหตุดังนี้แล้วก็แค่ลดละเลิกการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และคาเฟอีนต่าง ๆ และเลิกสูบบุหรี่ไปซะด้วยเลยในเวลาเดียวกัน

 

5.หัดกินสักนิด
ในกระเพาะจะมีแบคทีเรียอาศัยอยู่เพื่อช่วยในการย่อยอาหาร แต่บางครั้งแบคทีเรียเหล่านี้ก็อาจถูกกำจัดไปจากสภาวะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วยหรือการรับประทานอาหารบางชนิด แนะนำให้รับประทานโยเกิร์ตรสธรรมชาติเป็นประจำเพื่อปรับสมดุลแบคทีเรียกลุ่มที่เป็นประโยชน์ จะช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นและช่วยให้หน้าท้องบวมน้อยลงด้วย

 

6. ดื่มน้ำให้มาก
อาการบวมน้ำนี้ ควรดื่มน้ำให้ได้อย่าง ต่ำ 8 แก้วต่อวัน แต่วิธีการดื่มนั้นอย่าดื่มหมดแก้วในคราวเดียวควรจิบ น้ำบ่อย ๆ เรื่อย ๆ เพราะการที่ดื่มน้ำแก้วใหญ่ในคราวเดียว จะทำให้กระเพาะปัสสาวะขยายใหญ่ ถ้าจะให้ดีลองเลือกดื่มชาสมุนไพร อาทิ ชาเป็ปเปอร์มินต์ หรือชาคาโมไมล์แทนน้ำเปล่า โดยเฉพาะการดื่มในช่วงหลังอาหาร จะช่วยให้อาหารที่รับประทานเข้าไป ย่อยได้ดีขึ้นด้วย

 

7. บริหารกล้ามเนื้อหัวใจ
ผู้หญิงหลายคนเชื่อว่าการซิตอัพทุกวันจะช่วยให้หน้าท้องแบนเรียบแต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลย แม้ว่าการซิตอัพจะช่วยสร้างกล้ามท้อง แต่ถ้าร่างกายนั้นยังปกคลุมด้วยชั้นไขมัน หน้าท้องเรียบตึงก็จะไม่มีวันโผล่มาให้เห็นหรอก ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เป็นประจำอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน อย่างต่ำ 3 วันต่อสัปดาห์เพื่อให้ร่างกายได้เผาผลาญไขมันออกไป บวกกับการซิตอัพ คราวนี้รับรองสวยตึงแน่นอน

 

8. หายใจลึก ๆ
เมื่อหายใจเข้าออกแบบลึก ๆ จะช่วยให้ร่างกายจะคลายความตึงเครียดออกมา รวมทั้งยังช่วยในการเติมอ็อกชิเจนและพลังชีวิตให้ร่างกายด้วย ทุกครั้งที่หายใจให้พยายามหายใจให้ลึกเข้าไปยังท้อง อย่าหยุดเพียงแค่เก็บลมไว้ในช่องอกการหายใจเข้าออกจากท้องเป็นนิสัยจะช่วยกระชับให้กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรงมากยิ่งขึ้น

 

9. นวดกระชับหน้าท้อง
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการนวด ช่วยได้ จริงๆ เนื่องจากการนวดท้องนั้น ช่วยไล่ลมที่กักเก็บไว้ในช่องท้องได้ และช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นด้วย ณ วิธีการนวดก็ไม่ยาก เพียงวางฝ่ามือลงบนท้องแล้วนวดวนตามเข็มนาฬิกา ถ้าอยากเห็นผลลัพธ์เร็วขึ้น อาจใช้ครีมจำพวกกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องร่วมด้วยก็ได้

เครื่องดื่มยามเช้า!!

 

 

 

           น้ำมะนาว 
          ลองหาน้ำมะนาวมาดื่มตอนเช้า  เพราะในน้ำมะนาวจะมีกรดซิตริก มีวิตามินซีที่นอกจากจะช่วยขับเสมหะ แก้อาการเจ็บคอแล้วยังช่วยให้ร่างกายสดชื่น  แถมกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากเปลือกที่โดนคั้นยังช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายได้ดีอีกด้วย  

 

          

           น้ำขิง 
         
สำหรับคนที่มีอาการเมาค้าง คลื่นไส้ อยากอาเจียน  ก็ขอแนะนำน้ำขิงร้อน ๆ  สักแก้ว  เพราะในขิงมีสารเคมีชนิดหนึ่งที่เรียกว่า จินเจอรอล (Gigerol) ที่เป็นสารเคมีประเภทน้ำมันหอมระเหยที่ให้รสและกลิ่นพิเศษไม่เหมือนใคร จัดอยู่ในกลุ่มแอลกอฮอล์ที่ไม่ทำให้เรารู้สึกมึนเมา แถมยังแก้อาการเมาได้ดี  การทำน้ำขิงให้อร่อยนั้น ควรบุบหัวขิงที่ไม่แก่จัดจนเกินไป ต้มด้วยน้ำร้อนพอเดือด อย่าต้มนานเกินไป เพราะขิงจะเสียรสและกลิ่นไปได้

 

 

 

          น้ำผักหรือน้ำผลไม้ 
          เป็นเครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยวิตามินหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินซี วิตามินเอ โฟลิคแอซิด และแร่ธาตุ เช่น โซเดียม โปแตสเซียม สังกะสี นอกจากนั้นในน้ำผักและน้ำผลไม้ยังมีส่วนผสมของน้ำตาลโดยธรรมชาติ  ซึ่งสามารถให้พลังงานแก่ร่างกาย ช่วยให้เราหายเหนื่อย หายเพลีย ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น 

 

 

 

          น้ำหวาน 
         
คนที่นอนดึกส่วนใหญ่ยามเช้าของคุณจะมีอาการปวดหัว มึนศีรษะ เกิดอาการเครียดทางประสาท ซึ่งอาจเป็นเพราะร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ควรรับประทานอาหารเช้าที่มีแป้งและน้ำตาลซึ่งจะสามารถช่วยได้  โดยเฉพาะน้ำตาลนั้นจะถูกดูดซึมได้ดีและง่าย   ดังนั้นน้ำหวานจะทำให้จิตใจสงบ  คลายอาการเครียดและมึนงงได้อย่างดี

 

 

 

          นมถั่วเหลือง
          ปัจจุบันนมถั่วเหลืองหาซื้อได้ง่าย และเหมาะสำหรับคนที่รักสุขภาพ  เพราะนมถั่วเหลืองเป็นเครื่งดื่มที่ให้โปรตีนที่มีคุณสมบัติเหมือนโปรตีนจากเนื้อสัตว์

 

 

 

          กาแฟ
         
กาแฟเป็นเครื่องดื่มยามเช้าของคนทำงาน เพราะกาแฟช่วยกระตุ้นความสดชื่นและความกระปี้กระเปร่าก่อนลงมือทำงาน  นอกจากนี้ยังสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่ ลดอาการหอบในผู้ที่เป็นโรคหอบหืด และเป็นผลดีต่อนักกีฬาในการเพิ่มความทนทานและความอึดในกีฬาที่ต้องใช้เวลานาน

 

15 นาทีเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น

  

การดูแลสุขภาพอาจดูเป็นเรื่องน่าเบื่อและยุ่งยาก แต่ที่จริงช่วงเวลาเล็กๆ น้อยๆ แค่ 5 -15 นาที ก็ช่วยให้ร่างกายดีขึ้นได้แบบง่ายๆ เป็นของขวัญวันต้นปีที่ดีที่สุดสำหรับตัวคุณเอง โดยแบ่งเวลาก่อนหรือหลังกิจกรรมที่คุณทำอยู่แล้วประจำวัน แล้วเพิ่มรายละเอียดที่เราแนะนำเข้าไปอีกนิด เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นค่ะ

Health & Exercise

  • ดื่มน้ำ 1 นาที ตอนตื่นนอน เมื่อตื่นนอนแล้วควรดื่มน้ำ1-2 แก้ว เพื่อกระตุ้นการทำงานของอวัยวะ และระบบขับถ่าย ทำให้รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้น หากกลัวลืมให้วางขวดและแก้วน้ำไว้ที่หัวเตียงก่อนนอน เพื่อที่จะดื่มได้ทันทีที่ตื่นขึ้น
  • หัวเราะ 15 นาที ก่อนอาหารเย็น ผลัดกันเล่าเรื่องตลกกับคนในครอบครัวคนละ 1 เรื่องทุกวัน และหัวเราะเต็มเสียงให้ลมผ่านปาก ลำคอ ปอด กระเพาะ ลำไส้ใหญ่ - เล็ก จนรู้สึกว่าอวัยวะทุกส่วนเคลื่อนไหว หรือจนรู้สึกเกร็งหน้าท้อง  เพื่อให้ร่างกายได้ออกซิเจนมากขึ้น ฟอกปอด ป้องกันการเวียนหัว อ่อนเพลีย แถมยังเพิ่มความผูกพันในครอบครัวให้แน่นแฟ้นขึ้นด้วย  
  • เดินเพิ่มขึ้น 15 นาที ก่อนเริ่มงาน เปลี่ยนจากใช้ลิฟท์เป็นเดินขึ้น-ลงบันไดแทน หรือขยับไปจอดรถไกลขึ้นอีกหน่อย เพื่อให้เดินไกลขึ้น โดยเดินให้เร็วขึ้นกว่าปกติ และเพิ่มระยะทางการเดินขึ้นเรื่อยๆ ทุกวัน หากมีเวลาอาจไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ นอกจากได้ออกกำลังกายแล้ว ยังได้รับอากาศบริสุทธิ์ด้วย วิธีนี้เหมาะสำหรับคนทำงานที่ต้องนั่งโต๊ะทั้งวันจะช่วยให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวและออกแรงบ้าง
  • กะพริบตาทุก 15  นาที เมื่ออยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์ กะพริบตาเพิ่มขึ้น 1-2 ครั้ง ทุก 15 นาที และเมื่อเลิกใช้คอมพิวเตอร์ให้กระพริบตาถี่ๆ เพื่อให้แก้วตาสะอาดและมีน้ำหล่อเลี้ยงมากขึ้น โดยเฉพาะคนที่ใส่แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ยิ่งจำเป็นเพราะจะช่วยให้ตาไม่แห้งเกินไป    
  • ล้างมือ 1 นาที ก่อนเข้าห้องน้ำ มีงานวิจัยพบว่าคนเข้าห้องน้ำโดยไม่ล้างมือมีโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูกมากว่าคนที่ล้างมือก่อนเข้าห้องน้ำ แม้ยังไม่ได้ข้อสรุปชัดเจน แต่การล้างมือก่อนเข้าห้องน้ำก็ช่วยให้มือคุณสะอาดจากเชื้อโรคหากต้องสัมผัสกับจุดซ่อนเร้นและไม่ก่อโรคให้ตัวเองแบบไม่ตั้งใจ ที่สำคัญออกจากห้องน้ำแล้วอย่าลืมล้างมืออีกครั้ง
  • หยุดกิน 5 นาที ก่อนอิ่มจริง ทุกครั้งเวลากินอาหารมื้อหลัก ให้หยุดกินก่อนอิ่มจริง นาที และควรกินอาหารแค่  "เกือบอิ่ม" เท่านั้น กระเพาะอาหารจะได้ไม่ทำงานหนักเกินไป
  • ทำความสะอาดฟัน 10 นาที หลังอาหาร สุขภาพฟันสำคัญมากกว่าที่คิด ดังนั้นควรทำความสะอาดฟันทุกครั้งหลังกินอาหาร โดยเตรียมอุปกรณ์ติดไว้ที่ทำงานเสมอ เช่นแปรงสีฟัน ไหมขัดฟัน หากไม่สะดวกแค่บ้วนปากก็ยังดี
  • ดื่มน้ำ 1 นาที หลังอาหาร 1 ชั่วโมง หากทำงานในห้องแอร์ ควรดื่มน้ำให้ได้วันละ 6 -8 แก้ว เพราะอากาศแห้งร่างกายสูญเสียน้ำได้ง่าย ทำให้ผิวแห้งไม่สดใส เป็นตะคริวและรู้สึกอ่อนเพลีย โดยดื่มชั่วโมงละ 1 แก้ว  แต่ไม่ควรดื่มน้ำมากๆ ก่อนและหลังมื้ออาหารทันที เพราะน้ำจะไปลดประสิทธิภาพของระบบย่อยอาหาร ควรดื่มน้ำหลังมื้ออาหารไปแล้ว 1-2 ชั่วโมง เพื่อให้น้ำย่อยทำงานได้อย่างเต็มที่ และถ้าระหว่างกินอาหารรู้สึกอยากดื่มน้ำ ให้เปลี่ยนเป็นจิบน้ำแทน
  • เดินเล่น 5 นาทีระหว่างรดน้ำต้นไม้ ช่วงเวลาเช้า - เย็นที่แดดไม่จัดเกินไป อย่าลืมออกไปรดน้ำต้นไม้เพื่อรับวิตามินดีจากแสงแดด และออกกำลังกายโดยเดินเท้าเปล่าให้เท้าสัมผัสกับสนามหญ้า และละอองน้ำด้วย จะยิ่งรู้สึกสดชื่นขึ้น ทั้งยังช่วยกระตุ้นประสาทสัมผัสและการทรงตัวของฝ่าเท้าอีกด้วย
  • นอนสมาธิ 10 นาที ก่อนนอน มื่อกำลังจะเข้านอนทุกคืนให้สวดมนต์และนอนหลับตาทำสมาธิไปเรื่อยๆ สัก 10 นาที  หรือจนกว่าจะหลับโดยนอนหงายวางมือบนท้อง กำหนดความรู้สึกไว้ที่การกระเพื่อมขึ้นลงของหน้าท้อง จิตใจจะสงบช่วยให้หลับสบาย และหลับได้ลึกขึ้น

 

 

Organize time

  • วางแผน Weekly Planning ทุกคืนวันอาทิตย์ ในแต่ละสัปดาห์ จัดลำดับความสำคัญของงานว่าอะไรที่ต้องทำก่อนหลัง นอกจากจะช่วยให้ชีวิตเป็นระบบมากขึ้น ยังทำให้การทำงานง่ายขึ้น ผลพลอยได้คือคุณมีเวลาเหลือพอที่จะทำกิจกรรมอื่นๆ ได้อีกด้วย
  • นัดหมายงานทุกวันจันทร์ 9.00 น. หากต้องนัดเจรจาธุรกิจควรนัดวันนี้เวลา 9.00 -10.00 น. เพราะหลังอาหารเช้า 1-2 ชั่วโมง สมองของคุณกำลังได้รับอาหารอย่างเต็มที่ แถมยังได้คิดงานมาคร่าวๆ แล้วในช่วงสุดสัปดาห์ จึงมีทั้งกำลังสมองและแผนการดีกว่าวันอื่นๆ ที่สำคัญการนัดหมายในวันเริ่มต้นสัปดาห์จะช่วยให้คุณมีเวลาทำงานนานขึ้นด้วย
  • ดินเนอร์มื้อเย็นวันพุธ และพฤหัสบดี เมื่อต้องออกไปคุยงานต่อตอนเย็นหรือมีนัดดินเนอร์ควรเลือกวันพุธหรือพฤหัสบดี เพราะช่วงวันกลางสัปดาห์ร้านอาหารมักว่าง คุยงานสะดวกขึ้น แล้วถ้าคุณอยากไปเที่ยวต่อคนก็ไม่เยอะเกินไปด้วย
  • จดรายการสินค้า 5 นาที ก่อนไปจ่ายตลาด จดรายการสินค้าที่ต้องการ เพื่อไม่ให้หลงลืมรายการใดๆ และกำหนดว่าต้องมีผัก ผลไม้ตามฤดูกาลที่มีในท้องถิ่นมากขึ้น เพื่อให้ร่างกายมีภูมิต้านทานกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนไป
  • ออกกำลัง 17.00 น.  เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายตื่นตัวเต็มที่  คุณจึงรู้สึกสนุกและมีแรงเป็นพิเศษ  การออกกำลังแค่วันละ 45 นาที ถึง 1 ชั่วโมงเท่านั้น  จะทำให้ร่างกายไม่ตื่นตัวเกินไปและหลับสบายด้วย 
  • อย่านอนตื่นสายในวันเสาร์ -อาทิตย์ หากคุณรู้สึกไม่อยากลุกจากเตียงในวันเสาร์แล้วนอนยาวไปเรื่อยๆ จะทำให้ไม่อยากลุกจากที่นอนในวันอาทิตย์และส่งผลยาวมาถึงวันจันทร์ด้วย  ดังนั้นอย่ามัวแต่นอนบิดขี้เกียจอยู่เลย ลุกขึ้นมาทำเช้าวันเสาร์ - อาทิตย์ให้สดใสกันดีกว่าค่ะ 
วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

8 เคล็ด (ไม่ลับ) หลับสบาย

นอนไม่หลับ นับเป็นอาการยอดฮิตของหลายๆ คน ที่ส่วนมากเกิดจากความเครียด โดยเฉพาะวัยเรียนและวัยทำงาน ที่กังวลเกี่ยวกับงานและเรื่องต่างๆ มากเกินไป จนกลายเป็นความคิดมาก เครียด และนอนไม่หลับ

บ่อยครั้งในระหว่างวันจะรู้สึกง่วงนอนและอ่อนเพลีย ส่งผลให้การเรียนการทำงานขาดประสิทธิภาพ

เกร็ดน่ารู้ มี Tips ง่ายๆ ช่วยให้หลับสบายมาฝากกัน

1.ตื่นและนอนให้เป็นเวลา โดยใน 1 วัน ควรนอนให้ได้ 8 ชั่วโมง และทำให้เป็นประจำทุกวัน

2.ฝึกนั่งสมาธิก่อนนอน เพื่อไม่ให้จิตใจฟุ้งซ่าน

3.วางแผนงานที่จะสะสางในวันพรุ่งนี้ให้เป็นระบบ เพื่อลดการคิดซ้ำซาก

4.อย่ากังวลกับงานจนเกินไป เมื่อถึงเวลานอนก็ควรนอนให้หลับสนิท เพื่อพักสมอง และเตรียมลุยงานในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะเป็นผลดีกับประสิทธิภาพของงาน

5.หากลิ่นหอมอ่อนๆ จากน้ำมันหอมระเหยวางในห้อง จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและหลับง่ายขึ้น

6.ดื่มนมอุ่นๆ ก่อนนอน จะช่วยคลายเครียด ผ่อนคลายประสาท

7.หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เนื่องจากมีคาเฟอีนกระตุ้นทำให้นอนไม่หลับ

8.เปิดเพลงเบาๆ ฟังสบายๆ จะให้ความรู้สึกสงบ

เพราะ...การหลับสนิทเป็นการพักผ่อนที่ช่วยชาร์จพลังที่ดีที่สุด ดังนั้น การสร้างสุขลักษณะการนอนที่ดี รู้จักผ่อนคลายเรื่องเครียดกังวล จะส่งผลดีต่อร่างกาย-สติปัญญา และช่วยบอกลาอาการนอนไม่หลับได้.

น.ส. ผ่องใส ตรีเรืองโรจน์ เลขที่ 10 ( ภาคค่ำวันพุธ) 49334315

จากการคำนวณค่าน้ำหนัก BMI ของข้าพเจ้า

พบว่า++อยู่ในระดับอ้วนเกินไป

ทำให้ข้าพเจ้าตระหนักว่า

จะต้องลดความอ้วน

เพื่อให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น

น.ส. ผ่องใส ตรีเรืองโรจน์ เลขที่ 10 ( ภาคค่ำวันพุธ) 49334315

ข้าพเจ้ามีความตั้งใจที่จะเริ่มออกกำลังกาย

เช่น ตีแบด กระโดดเชื่อก เดินเร็ว

ซึ่งจะช่วยให้สุขภาพดีขึ้น

นอกจากนี้ข้าพเจ้าจะควบคุมการกินอาหาร

โดยจะเลือกอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

และรับประทานผักและผลไม้มากขึ้น

น.ส. ผ่องใส ตรีเรืองโรจน์ เลขที่ 10 ( ภาคค่ำวันพุธ) 49334315

จริงหรือไม่ค่ะ

ที่มีคนบอกว่าน้ำมะขามป้อมจะช่วย

ลดอาการแก้ไอ

น.ส.ปาริชาติ กันทะวงค์ เลขที่10 มฟาร์อีสเทอร์น

โรคท้องร่วง

สาเหตุ

ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ปนเปื้อนมากับอาหาร

เนื่องจากอาหารไม่สุก จัดเก็บไม่ดี หรือคนทำอาหารมีสุขภาพอนามัยไม่ดี

อาจปนเปื้อนเชื้อไปกับอาหารได้ อาหารกระป๋องที่หมดอายุก็มีโอกาส

ทำให้ท้องเสียได้เช่นกัน หรืออาจจะเป็นอาหารที่เราไม่คุ้นเคย เช่น

เนื้อสัตว์ป่า เห็ดป่าบางชนิด เป็นต้น

อาการที่มักพบได้บ่อยๆ

1. คลื่นไส้ อาเจียน

2. ท้องเสีย ถ่ายบ่อย อาจจะถ่ายเป็นน้ำหลายๆ ครั้ง ถ้าเกิดจากพิษของแบคทีเรีย

หรือ ถ่ายเป็นมูกเลือด ถ้าเกิดจากเชื้อแบคทีเรียนั้นทำลายผนังลำไส้โดยตรง

3. ปวดท้องมักจะปวดเป็นพักๆปวดจนตัวงอ เนื่องจากผนังลำไส้บีบตัวอย่างรุนแรง

4. มีไข้ได้ ถ้ามีลำไส้อักเสบ

5. อ่อนเพลีย เนื่องจากสูญเสียน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไปกับการถ่ายอุจจาระท้องเสีย….ท้องร่วง….ท้องเดิน

มีคำโบราณกล่าวไว้ว่า กองทัพเดินด้วยท้อง ซึ่งเมื่อท้องอิ่ม พลังในการขับเคลื่อนทำกิจกรรมต่างๆ ก็จะติดตามมา แต่ถ้าเกิดท้องเดินขึ้นมาคงเป็นเรื่องแย่แน่ สำหรับนักเดินทางท่องป่า..... เพราะในภายในป่านั้นอยู่ไกลจากแหล่งชุมชน และโรงพยาบาล เพราะฉะนั้นการป้องกันไม่ให้ ท้องเสียดูจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด แต่ถ้าถึงคราวท้องเสียขึ้นมา......เรื่องที่ควรรู้มากที่สุด

คำว่าท้องเดิน ท้องร่วง หรือ ท้องเสียหมายถึง ภาวะที่คนเราถ่ายอุจจาระออกมาเป็นน้ำ หรือถ่ายเหลวมากกว่า 3 ครั้งต่อวันแต่ปกติอาจจะ ถ่ายอุจจาระเหลวบ่อยๆครั้งได้ ....

แต่ถ้าถ่ายเป็นน้ำ บ่อยครั้งกว่าที่เคยเป็น ก็อาจจะเป็นภาวะของท้องเดินได้การดูแลตัวเองเบื้องต้นที่สำคัญที่สุด คือการทดแทนน้ำที่สูญเสียไปกับการถ่ายอุจจาระ โดยการให้ดื่มผงน้ำตาลเกลือแร่ละลายน้ำซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วๆไป เนื่องจากเป็นยาสามัญประจำบ้านแต่ถ้าไม่มีผงเกลือแร่อาจจะเตรียมเองได้ โดยใช้เกลือป่าครึ่งช้อนชา กับน้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะผสมในน้ำต้มสุก 1 ขวดน้ำปลา (ประมาณ 1000 ซีซี) โดยดื่มทดแทนตามปริมาณที่ถ่าย หรือ ดื่มต่อถ้ายังอ่อนเพลียอยู่ ควรรับประทานอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย โดยเน้นอาหารที่มีข้าว หรือ แป้ง เป็นหลัก เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม สำหรับยานั้นจะให้ เพื่อรักษาตามอาการ อาจจะให้ยาแก้อาเจียนได้ถ้ามีอาการ หรือยาแก้ปวดลดไข้

สำหรับยาหยุดถ่ายนั้น ไม่แนะนำให้ใช้ เพราะถ้ากินมากไปจะทำให้ท้องอืด ปวดแน่นท้องมากแต่ถ้าจำเป็นจริงๆ เพราะต้องเดินทาง หรือยังห่างไกลจากโรงพยาบาล อาจกินได้ 1-2 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมง

น.ส. ผ่องใส ตรีเรืองโรจน์ เลขที่ 10 ( ภาคค่ำวันพุธ) 49334315

มีคุณหมอบางท่าน

แนะนำให้คนไข้ที่ปวดหลัง

ไปฝังเข็ม

เพื่อจะบรรเทาอาการปวด

แต่ไม่แน่ใจ ว่าจะมีผลข้างเคียงต่อคนไข้หรือเปล่าค่ะ

น.ส. ผ่องใส ตรีเรืองโรจน์ เลขที่ 10 ( ภาคค่ำวันพุธ) 49334315

ดิฉัน

เคยกินยาลดความอ้วน

เป็นเวลา 2 สัปดาห์

หลังจากเลิกยา

น้ำหนักข้าพเจ้าเพิ่มขึ้นจากเดิม 20 กิโล

ผลมาจาก โย่โย่ effect

ซึ่งข้าพเจ้า

ไม่แนะนำให้คนที่คิดจะทานยาลดความอ้วน

เพราะจะเกิดผลที่ตามมา เหมือนข้าพเจ้า

น.สเบญจวรรณ หล้าแปง(ม.ฟาร์)เลขที่ 40

ผมสวยด้วยสมุนไพร

การสร้างเสน่ห์ให้กับตนเองด้วยการดูแลรักษาร่างกายให้สะอาด ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เป็นสิ่งที่ทุกคนทำเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว แต่การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ในการดูแลรักษาความสะอาดของร่างกาย ต้องคำนึงถึงเป็นพิเศษ เพราะของดีราคาถูกนั้น มักจะไม่ค่อยพบได้ง่ายนัก และแทบจะหาตัวอย่างไม่ค่อยได้ด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นสบู่ แป้ง ยาสีฟัน ยาสระผม ครีมนวดผม

ถ้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีราคาถูกมากกว่าผลิตภัณฑ์อื่น ที่มีวางขายอยู่ในท้องตลาด เราควรมีข้อคิด และควรจะดูให้ดี เพราะผลิตภัณฑ์นั้นอาจจะหมดอายุ หรือมีคุณภาพไม่ดี อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้

การดูแลความสะอาดของเส้นผมก็เช่นเดียวกัน เราควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ดูลักษณะสี กลิ่น ส่วนประกอบ จนกระทั่งวันเดือนปีที่ผลิต ผู้ผลิต ว่าเชื่อถือได้หรือไม่ การเลือกผลิตภัณฑ์ที่จะมาดูแลเส้นผมซึ่งได้แก่ ยาสระผม ครีมนวดผม น้ำมันแต่งผม หรืออื่นๆ จะต้องมีความละเอียดรอบคอบ

ถ้าเราเลือกของที่คุณภาพไม่ดี นอกจากจะทำให้สุขภาพเส้นผมเสียแล้ว บางครั้งก็เป็นอันตรายต่อหนังศีรษะ ใบหู ใบหน้า บางคนอาจจะมีอาการแพ้เป็นเม็ดผื่นขึ้นตามบริเวณศีรษะ และบริเวณใกล้เคียง ซึ่งถ้าเกิดอาการเหล่านั้นแล้ว การรักษาก็มักจะต้องยุ่งยาก ใช้เวลา เสียทั้งงาน เสียทั้งเงิน เสียบุคลิก และทำให้เราขาดความมั่นใจได้

ในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นคนไทย หรือคนต่างประเทศ ต่างก็สนใจ และหันกลับมาศึกษาธรรมชาติมากขึ้น ทั้งด้านอาหาร ยา เครื่องใช้ต่างๆ ว่าภูมิปัญญาดั้งเดิมนั้น เขาใช้อะไรในการดูแลเส้นผม เพราะคนในสมัยโบราณคงไม่มีโรงงานผลิตแชมพู หรือผลิตภัณฑ์เสริมความงามเช่นปัจจุบัน แต่เขาก็สามารถดูแลสุขภาพผม ผิวหน้ากันมาได้ และค่อนข้างดีไม่มีภาวะอื่นแทรกซ้อนอย่างเช่นปัจจุบัน

การศึกษาค้นคว้า และหันกลับไปสนใจการใช้ชีวิตประจำวัน ของคนสมัยโบราณตามหนังสือ ตำรา คัมภีร์เก่าๆ ที่มีการบันทึกไว้ ตลอดจนการซักถามจากบรรพบุรุษ หมอพื้นบ้าน ถึงการดูแลเส้นผมสมัยนั้น เขาก็นำเอาพืชสมุนไพรที่มีอยู่ใกล้ตัวมาทำเป็นยาสระผม เพื่อให้ผมสะอาดปราศจากรังแค ทำให้ผมดำ รักษาโรคของหนังศีรษะ เช่น ชันนะตุ การรักษาเหาในเด็ก ส่วนใหญ่นำสมุนไพรที่หาง่ายในท้องถิ่นมาใช้ทั้งนั้น

นั่นก็เป็นอีกประการหนึ่งที่ทำให้เราหันกลับมาศึกษา และสนใจสมุนไพรในการดูแลรักษาเส้นผมอีกครั้งหนึ่ง อีกประการหนึ่งอันตรายจากสารเคมีที่มีผสมอยู่ในยาสระผม หรือผลิตภัณฑ์ในปัจจุบัน ก็ทำให้เกิดอาการแพ้ มีรังแค และที่สำคัญมีราคาค่อนข้างสูง เนื่องจากมีการแข่งขันกันด้านการตลาด การโฆษณามีบริษัทที่เป็นคู่แข่งมากมาย บริษัทต่างๆ เหล่านี้ก็พยายามที่จะนำเอาสมุนไพร ที่เป็นสารธรรมชาติมาผสมในผลิตภัณฑ์ เพื่อช่วยในการเพิ่มรายได้ เพิ่มความสนใจของประชาชนในยุคปัจจุบัน

สมุนไพรที่มีคนโบราณนำมาใช้ในการดูแลเส้นผม และหนังศีรษะนั้น เป็นสมุนไพรใกล้ตัวปลูกไว้ริมรั้วบ้าน หาได้ง่าย นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น มะกรูด อัญชัน ว่านหางจระเข้ มะคำดีควาย เป็นต้น สมุนไพรที่ใช้ในการดูแลสุขภาพผม และหนังศีรษะส่วนใหญ่เป็นสมุนไพรที่หาได้ง่ายมีอยู่ทั่วไป ราคาถูกที่ใช้บ่อย ได้แก่

มะกรูด

ชื่ออื่น :

มะกรูด มะหูด (หนองคาย) ส้มมั่วผี (ภาคใต้)

ชื่อวิทยาศาสตร์ :

Citrus hystrix DC.

สรรพคุณ :

ผลของมะกรูดมีน้ำมันหอมระเหย น้ำมะกรูดมีรสเปรี้ยวช่วยให้ผมสะอาดเป็นเงางาม ทำให้ผมนิ่ม แก้คันศีรษะ ป้องกันการเกิดรังแค

วิธีใช้ : นำผลของมะกรูดปิ้งไฟให้สุก ผ่าครึ่งนำผลมะกรูดที่ผ่าครึ่งถูบริเวณศีรษะ หรือนำไปผสมกับน้ำอุ่น เมื่อสระผมเสร็จแล้วเอาน้ำมะกรูดสระซ้ำ โดยใช้มะกรูดครึ่งซึกขยี้ไปบนผม น้ำมะกรูดเป็นกรดอ่อนๆ จะช่วยให้ผมสะอาด น้ำมันหอมระเหยจะทำให้ผมชุ่มชื้นเป็นเงางามและจัดทรงง่าย

มะคำดีควาย (ประคำดีควาย)

ชื่ออื่น :

ส้มป่อยเทศ (ภาคเหนือ) มะชัก ชะแช ชะเหล่เด่ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)

ชื่อวิทยาศาสตร์ :

Sapindus rark A.DC.

สรรพคุณ :

ใช้ผล มีรสขม แก้ชันตุ แก้รังแค

วิธีใช้ : ใช้ผลมะคำดีควายทุบพอแหลก ต้มในน้ำให้เดือด นำน้ำที่ได้สระผมสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง จะทำให้หนังศีรษะสะอาด ป้องกันการเกิดรังแค แก้โรคชันตุ

ว่านหางจระเข้

ชื่ออื่น :

ว่านไฟไหม้ (ภาคเหนือ) หางตะเข้ (ภาคกลาง)

ชื่อวิทยาศาสตร์ :

Aloe barbadensis Mill.

สรรพคุณ :

วุ้นในใบว่านหางจระเข้ที่แก่มีสาร Aloeemodin, Aloesin, Aloin ช่วยรักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก แผลเรื้อรัง และช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร นอกจากนี้ วุ้นในใบมีสรรพคุณรักษาแผล ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย

วิธีใช้ : นำว่านหางจระเข้ที่แก่มาปอกเปลือก เอาแต่ส่วนที่เป็นวุ้น นำมาบดแล้วเอาวุ้นประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ เวลาสระผมหยดน้ำวุ้นจากว่านหางจระเข้ขยี้ผมให้ทั่วทิ้งไว้ประมาณ 3-5 นาทีแล้วล้างออกให้สะอาด ช่วยบำรุงหนังศีรษะ ช่วยลดอาการคัน

ดอกอัญชัน

ชื่ออื่น :

แดงชัน (เชียงใหม่) เอื้องชัน (ภาคเหนือ)

ชื่อวิทยาศาสตร์ :

Clitoria ternatea Linn.

สรรพคุณ :

ใช้กลีบดอกสด ตำให้ละเอียด นำน้ำที่ได้ชะโลมผม จะช่วยให้ผมดกดำเป็นเงางาม

วิธีใช้ : ใช้กลีบดอกสดของดอกอัญชันตำให้ละเอียดผสมกับน้ำ กรองกากออก นำน้ำที่ได้ชะโลมผมทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออก จะช่วยให้ผมดำเป็นเงางาม ในสมัยก่อนคนชอบนำดอกอัญชันสดมาเขียนคิ้วเด็กอ่อน เพราะเชื่อว่าจะทำให้คิ้วดก และดำ

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์) 006 เลขที่ 30

6 พิษอันตรายของผงชูรส

เคยรับประทานอาหารนอกบ้าน แล้วมีอาการชาตามมือ และร้อนวูบวาบที่ปาก ลิ้น ใบหน้า และรู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก บางครั้งอาจมีผื่นแดงขึ้นตามตัวบ้างหรือไม่ อาการเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันดีในนาม โรคภัตตาคารจีน (Chinese Restaurant Syndrome) หรือโรคแพ้ผงชูรส

นอกจากจะมีอาการข้างต้นแล้ว หากคุณรับประทานอาหารที่มีปริมาณผงชูรสมากๆ เป็นประจำย่อมเกิดอันตรายต่อสุขภาพของตัวคุณได้ ดังนี้

ทำลายระบบประสาทตา สายตาเสียหรือเกิดตาบอดได้

ทำลายกระดูกและไขกระดูก ซึ่งผลิตเม็ดเลือดแดงในร่างกาย อาจทำให้เกิดโรคโลหิตจางได้

ทำให้วิตามินในร่างกายลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินบี6 ทำให้เป็นโรคผิวหนังได้ง่าย

ทำลายสมองส่วนหน้าหรือไฮโปทาลามัส ทำให้การเจริญเติบโตช้า ปัญญาอ่อน และเป็นหมัน

ทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เป็นโรคประสาทได้ง่ายขึ้น

สำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์ ถ้ากินผงชูรสมากๆ จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครโมโซมของทารกในครรภ์ ทำให้ร่างกายของเด็กเกิดความผิดปกติ ปากแหว่ง แขนขาพิการได้

ก่อนสั่งอาหารมื้อหน้าอย่าลืมระบุ อาหารที่ไม่ใส่ผงชูรส หรือทางที่ดีลองทำน้ำซุปแบบชีวจิตไว้ช่วยปรุงรสชาติแทนผงชูรสได้ค่ะ อย่างน้ำซุปแครอท ฟักเขียว เป็นต้น

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)เลขที่ 33

ข้อแนะนำในการใช้สมุนไพรรักษาโรคและอาการ

การใช้สมุนไพรเพื่อดูแลรักษาโรคหรืออาการขั้นพื้นฐาน แม้จะมีความปลอดภัยในการใช้รักษากว่ายาแผนปัจจุบัน อย่างไรก็ตามการใช้สมุนไพรในการปรุงยาสมุนไพรก็มีข้อควรระวังด้วยเช่นกัน เพราะบางคนที่ใช้สมุนไพรชนิดเดียวกันอาจจะไม่แพ้ บางคนอาจจะแพ้ ดังนั้นการปรุงยาสมุนไพรใช้เองในครอบครัว การใช้สมุนไพรจึงควรยึดหลักการง่ายๆ คือ

1. ใช้ให้ถูกต้น พืชสมุนไพรมีชื่อเรียกต่างกันในแต่ละภาคหรือท้องถิ่น ต้นเหมือนกันเรียกชื่อต่างกัน ต้นต่างกันมีเรียกชื่อเหมือนกัน การจะนำมาใช้ทำยาใช้ต้องปรึกษาผู้รู้เกี่ยวกับต้นไม้ ผู้เชี่ยวชาญ เช่น นักพฤกษศาสตร์ หมอแผนโบราณ หมอพื้นบ้าน เป็นต้น

2. ใช้ให้ถูกส่วน พืชสมุนไพรแต่ละชนิดตามตำราหรือจากหมอพื้นบ้านใช้สืบต่อกันมา ใช้ส่วนที่มาทำเป็นยาไม่เหมือนกัน เช่น ตามตำราบอกว่าใช้ราก ใช้ใบ ใช้ดอก ใช้ผล ต้องนำส่วนที่เป็นยามาใช้ให้ตรง เพราะฤทธิ์ของยาในส่วนต่าง ๆ ของพืชสมุนไพรมีฤทธิ์ทางยาไม่เท่ากัน

3. ใช้ให้ถูกขนาด การนำสมุนไพรมาใช้ต้องคำนึงถึงขนาดของสมุนไพร เช่น หนักกี่บาท หนักกี่กรัม ควรจะนำมาใช้ให้ถูกต้อง ถ้าขนาดของยามากไปอาจจะเป็นอันตราย น้อยไปก็จะทำให้รักษาไม่ได้ผล

4. ใช้ให้ถูกวิธี ตามตำราระบุไว้ให้ใช้สด ต้ม ดองเหล้า ชง ให้สกัดน้ำมัน ให้ทำเป็นขี้ผึ้ง การทำเป็นลูกกลอน การพอก ต้องใช้ให้ถูกวิธี

5. ใช้ให้ถูกกับโรค การใช้ให้ถูกกับโรค เช่น เป็นไข้ก็ใช้ยาแก้ไข้ ท้องเสียใช้สมุนไพรที่มีฤทธิ์ฝาดสมาน ท้องผูก ใช้สมุนไพรมีฤทธิ์ช่วยระบาย

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์ เลขที่ 2

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ "ตกขาว"

ตกขาว หมายถึง สิ่งที่ถูกขับออกมาจากช่องคลอด และสิ่งนั้นไม่ใช่เลือด ตกขาวจึงมีสีอะไรก็ได้แต่ส่วนใหญ่จะสีขาว ตกขาวนี่เองที่เป็นอาการที่ผู้ป่วยมาหาหมอถึงหนึ่งในสามของผู้ป่วยที่มาตรวจภายใน ตกขาวเป็นคำเรียกที่รู้จักกันทั่วไป แต่บางคนก็เรียก ระดูขาว (ไม่ใช่ฤดูขาวนะคะ) หนังสือบางเล่มก็เรียก มุตกิต ก็มี ตกขาวไม่ใช่โรคแต่เป็นอาการ ซึ่งอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คัน มีกลิ่น หรือเจ็บปวด

ชนิดของตกขาว

ตกขาวกับผู้หญิงเป็นของคู่กัน เป็นผู้หญิงก็ต้องมีตกขาว การมีตกขาวไม่ได้หมายถึง การเป็นโรคหรือเป็นมะเร็ง หรือผิดปกติ นั่นก็หมายถึงว่า การมีตกขาวอาจเป็นปกติ หรือไม่ปกติก็

ตกขาวปกติ

เป็นตกขาวที่พบได้ในภาวะปกติ ตกขาวแบบนี้มีสีขาว คล้ายแป้งเปียก มีปริมาณไม่มาก ไม่คัน กลิ่นออกเปรี้ยวเล็กน้อย ไม่เหม็น อย่างไรก็ตามในบางช่วงอาจมีปริมาณมากขึ้นเล็กน้อย เช่น ช่วงก่อนมีรอบเดือน หลังมีรอบเดือน ช่วงไข่ตก หรือในภาวะตั้งครรภ์

ในตกขาวมีสารอะไรบ้าง

อย่างที่บอกตกขาวหมายถึง สารที่ถูกขับออกจากช่องคลอด ซึ่งมีทั้งสิ่งที่ถูกขับออกจากต่อมต่างๆ ในระบบสืบพันธ์ ซึ่งได้แก่

1. น้ำที่หลั่งจากต่อมใต้ผิวหนัง บริเวณช่องคลอด จากต่อมสกีน (Skene's gland) ต่อมบาร์โธลิน เพื่อหล่อลื่นปากช่องคลอด

2. เซลล์เยื่อบุผนังช่องคลอดที่หลุดลอกออกมา

3. มูกจากต่อมที่ปากมดลูก

4. โปรตีน, เกลือแร่ ที่มาจากผนังช่องคลอด เยื่อบุโพรงมดลูก และหลอดมดลูก

5. กรดแลคติคซึ่งแบคทีเรียในช่องคลอดสร้างจากกลัยโคเจน ของเยื่อบุผนังช่องคลอด

ตกขาวที่ไม่ปกติ

ก็คือ ตกขาวที่ตรงข้ามกับตกขาวปกติ กล่าวคือ มีปริมาณมาก บางครั้งไหลโจ๊กยังกะมีรอบเดือนยังไงยังงั้น มีกลิ่นเหม็น ลักษณะอาจเป็นหนอง มูกปนหนอง ปนเลือด มีฟอง และมักมีอาการอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น คัน แสบ ออกร้อนที่บริเวณปากช่องคลอด หรือมีปวดท้องน้อยร่วมด้วยก็ได้

ต้นเหตุที่ทำให้ตกขาวผิดปกติ ที่พบบ่อย 3 อันดับแรกคือ

1. จากเชื้อแบคทีเรีย (bacterial vaginosis) พบได้ร้อยละ 30-35

2. จากเชื้อรา, ยีสต์ (vulvovaginal candidiasis) พบได้ร้อยละ 20-25

3. จากเชื้อพยาธิ trichomoniasis พบได้ร้อยละ 10

ในจำนวนนี้มีผู้ป่วยที่พบเชื้อสองชนิดหรือมากว่าสองชนิด อยู่ร้อยละ 15-20 เรียกว่า ได้หนึ่งแถมหนึ่งว่างั้นเถอะ

เชื้อ 3 ตัวนี้พบร้อยละ 90 ของผู้ป่วยตกขาวผิดปกติ

สาเหตุของการตกขาวผิดปกติ แบ่งตามตำแหน่งที่เกิดคือ

1. ช่องคลอดอักเสบ ที่พบบ่อยคือ

- แบคทีเรีย (bacterial vaginosis)

- เชื้อพยาธิ (trichomonas)

- เชื้อรา (candida)

- เชื้อไวรัส เช่น โรคเริม

- เชื้อแบคทีเรียอื่นๆ

2. ปากมดลูกอักเสบ

- การติดเชื้อหนองใน

- การติดเชื้อคลามิเดีย

- การติดเชื้อเริม

3.ปากมดลูกมีแผล, เป็นเนื้องอก

4.สิ่งแปลกปลอมในช่องคลอด เช่น เศษกระดาษทิชชู, สำสี, ผ้าก็อซ, เมล็ดผลไม้, ถุงยางอนามัย เป็นต้น

5.เนื้องอกและมะเร็งมดลูก, ปากมดลูก ซึ่งตกขาวจะมีกลิ่นเหม็นมาก

6.สตรีวัยหมดระดู ขาดฮอร์โมน ก็ทำให้เกิดช่องคลอดแห้งอักเสบ มีตกขาวได้

งา ธัญพืชต้านโรค

งา เป็นธัญพืชที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อุดมไปด้วยวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 วิตามินบี 9 และวิตามินไบโอติน โคลีน ไอโนสิตอล กรดพาราอะมิโนแบนโซอิค สารเหล่านี้จะช่วยบำรุงประสาทให้เป็นไปอย่างปกติ นอกจากนี้ในงายังมีกรดไขมันไลโนลีอิกอยู่มากด้วยเช่นกัน ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเจริญเติบโตและสามารถเก็บความชุ่มชื้นของผิวหนังได้ดี

หากท่านที่มีอาการเกิดจากระบบประสาท เช่น นอนไม่หลับ อ่อนเปลี้ยเพลียแรง เป็นเหน็บชา ปวดเส้นตามตัว แขน ขา เบื่ออาหาร ท้องผูก หรือเมื่อยสายตา ควรหันมารับประทานงาเป็นประจำนะคะ เพราะสามารถป้องกันโรคเหล่านี้ได้ นอกจากนี้แล้วงายังเป็นอาหารต้านมะเร็งและช่วยชะลอความชราให้ช้าลงไปอีกด้วย

งาเป็นแหล่งโปรตีนและแร่ธาตุ

ธาตุเหล็ก บำรุงเลือด

ธาตุไอโอดีน ป้องกันโรคคอพอก

ธาตุสังกะสี บำรุงผิวหนัง

ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส บำรุงกระดูกและฟัน

ประโยชน์ที่ได้จากงา

ทางการแพทย์ถือว่า งาเป็นอาหารที่สามารถบำรุงกำลังได้เป็นอย่างดีและยังให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย ช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า นอกจากนี้ยังป้องกันโรคเหน็บชา ป้องกันอาหารท้องผูก บำรุงกระดูก บำรุงรากผม รักษาอาการนอนไม่หลับ และยังช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลไม่ให้มีมากเกินไป ป้องกันไม่ให้หลอดเลือดแข็งตัว ป้องกันโรคหัวใจและโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดบางชนิด

Tricks

เด็กที่กำลังอยู่ในวัยเจริญเติบโต หากได้รับประทานงาเป็นประจำร่างกายจะมีการเจริญเติบโต และยังสามารถเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง

สุภาพสตรีวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากผู้หญิงที่หมดประจำเดือนแล้ว ฮอร์โมนเอสโตรเจนจะลดน้อยลงอย่างมาก ทำให้มีการดึงแคลเซียมอกจากกระดูกมาใช้แทน ดังนั้นโอกาสที่จะเป็นโรคกระดูกเสื่อมจึงมีสูง ฉะนั้นควรหันมาบริโภคงามาก ๆ เพราะจะได้ช่วยเพิ่มแคลเซียมให้กับร่างกายอีกทางหนึ่ง

Tips

ใช้น้ำมันงาดิบนวดตัวในตอนเช้าก่อนอาบน้ำ ช่วยปรับระบบประสาทและระดับฮอร์โมนให้เข้าสู่สภาวะสมดุล ทำให้จิตใจสงบ ผ่อนคลายความตึงเครียด

ใช้น้ำมันงาดิบนวดตัว เพื่อขจัดอาการปวดเมื่อย คลายกล้ามเนื้อ บรรเทาอาการปวดเข่า เคล็ดขัดยอก ทำให้กล้ามเนื้อไม่เหี่ยวย่น ดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ เนื่องจากน้ำมันงาดิบสามารถซึมผ่านผนังได้ทุกชั้น

การกินผลไม้ กินแล้วดี มีประโยชน์มากมาย แต่บางครั้งก็ต้องเลือกกิน และกินในปริมาณที่พอดี เพราะมีผลไม้บางชนิดที่มีน้ำตาลสูง ซึ่งอาจจะทำให้อ้วนได้นะคะ
          
ผลไม้ที่กิน แล้วอ้วนสุด ๆ คือ 
กล้วยไข่ 
          
อันดับ 2 คือ
กล้วยน้ำว้า
          
อันดับ 3 คือ
ขนุน
          
อันดับ 4 คือ
กล้วยหอม 
          
อันดับ 5 คือ
มะม่วงน้ำดอกไม้สุก


อันดับ 6 คือ ลำไยกะโหลกเขียว
          
อันดับ 7 คือ ลองกอง
          
อันดับ 8 คือ เงาะ
          
อันดับ 9 คือ ลางสาด
          
อันดับสุดท้ายน้ำตาลน้อยสุด คือ ละมุด
         
แต่ ทุเรียน ก็เป็นผลไม้ ที่ขึ้นชื่อว่ามีน้ำตาลสูงมาก ๆ ใครที่กินรับรองอ้วนแน่ ส่วนผลไม้ที่กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ได้แก่ แอปเปิ้ล ชมพู่ ฝรั่ง มะม่วงดิบ มะละกอ และ แตงโม

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าไม่อยากอ้วนจนเกินไป ลองหาผลไม้ที่กินแล้วไม่อ้วนมากินกันดีกว่า หรือบริโภค 10 อย่างนี้แต่พอควรดีกว่านะคะ

 

เพลงช่วยขยายหลอดเลือด เป็นคุณแก่จิตใจและ ร่างกาย

นักวิจัยมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ที่อเมริกา พบในการศึกษา ว่า คนไข้ที่ได้ฟังเพลงโปรดวันละครึ่งชั่วโมง นอกจากจะทำให้ สบายใจแล้ว ยังเป็นคุณแก่ร่างกายอีกด้วย เพราะช่วยให้หลอดเลือดขยายและโล่งขึ้น

การใช้ดนตรีเข้าช่วยในการรักษา ได้ทำกันอยู่ในอเมริกาหลายแห่ง และผู้เชี่ยวชาญของอังกฤษ ก็รู้สึกเห็นดีเห็นงามด้วย

เป็นที่เชื่อว่าเสียงเพลงคงจะไปช่วยให้กลไก ของการปล่อยไนตริกออกไซด์เข้าสู่กระแสเลือดทำงาน ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้ เลือดจับตัว รวมทั้งคอเลสเทอรอลที่เป็นภัยด้วย

นักวิจัยเคยทราบมาแล้วว่า เพลงของวง เรด ฮอต ชิลลี่ เปปเปอร์ และมาดอนนา ช่วยสร้างความทรหดขึ้นได้ และเพลงซิมโฟนีสมัยศตวรรษที่ 18 ก็มีผลทำให้สมาธิดีขึ้น และในการศึกษาคราวนี้ ก็ได้พบว่าหลอดเลือดที่ต้นแขนของอาสาสมัคร ได้ขยายตัวขึ้นอีกถึงร้อยละ 26 หลังจากที่ได้ฟังเพลงที่ตนชอบ แต่ก็ได้เสริมด้วยว่า การฟังดนตรีแบบซีเรียส เช่น พวกเพลงเฮฟวี เมทอล และแร็พ กลับมีผลทำให้หลอดเลือดหดตัวลงได้ถึง ร้อยละ 6

หมอไมเคิล มิลเลอร์ ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันโรคหัวใจ มหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ ผู้ทำการศึกษากล่าวบอกว่า อิทธิพลของดนตรีที่มีต่อกระแสเลือด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับชนิดของดนตรี หากแต่ ต้องเป็นเพลงโปรด แม้มันจะมีผลกับกระแสโลหิตเพียงชั่วแค่ สองสามวินาที แต่ผลที่มันสะสมอยู่ จะเป็นผลดีกับคนทุกชั้นทุกวัย และเผยว่า “เรากำลังมองหาเครื่องมือที่ไม่ใช่หยูกยา และมีราคาถูก เพื่อมาช่วยยกระดับสุขภาพของคนไข้ และเชื่อว่าก็คงจะเป็นดนตรีนี้”.

สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547

ล้างพิษใน 1 วัน ที่คุณทำเองได้


ล้างพิษใน 1 วัน ที่คุณทำเองได้

       คงจะรู้ กันมาบ้างแล้วว่าการล้างสารพิษที่หมักหมมในตัวออกไป จะทำให้ร่างกายแข็งแรง เลือดลมเดินสะดวก ถ้าทำเป็นประจำก็จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพและรักษาโรคร้ายแรงอย่างมะเร็ง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หอบหืด เบาหวาน รวมทั้งลดความอ้วนได้ด้วย

       หัวใจ สำคัญในการล้างพิษใน 1 วัน คือ จะต้องกินให้ได้แคลอรี่น้อยกว่า 800 กิโลกรัม เพื่อให้ระบบย่อยและตับได้พัก ต่อจากนั้นตับจะขับสารพิษออกมาได้และอาหารที่คุณจะทานในวันนั้นจะต้องไม่มี เนื้อสัตว์เข้ามาปะปนเด็ดขาด เข้าใจกันดีแล้วต่อไปเรามาเข้าสู่กระบวนการล้างสารพิษกันเลยดีกว่า

       1. เลือกผลไม้ที่คุณชอบมา 1 อย่าง เช่น มะละกอ ฝรั่ง แคนตาลูป แอปเปิ้ล ส้มโอ ชมพู่ มะม่วง ฯลฯ ยกเว้นอยู่ 2 อย่าง คือ ทุเรียนและสับปะรด เพราะทุเรียนมีแคลอรีสูงเกินไปและย่อยยาก ทานแล้วจะเป็นภาระกับระบบย่อย ส่วน สับปะรดนั้นมีกรดสูงมาก ถ้ากินทั้งวันท้องก็จะอืดได้

        2. ทานแต่ผลไม้ชนิดเดียวตลอดทั้งวัน โดยอาจจะปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ เช่น ถ้าเลือกมะละกอก็อาจจะทานเป็นเนื้อมะละกอสุก หรือส้มตำ (มะละกอดิบ) ที่ใส่แต่มะละกอกับน้ำปลามะนาวเท่านั้น ไม่ใส่เครื่องประกอบอย่างอื่นเด็ดขาด

       3. พอมาถึงมื้อกลางวันก็ทานมะละกออีก แต่อาจจะเป็นน้ำมะละกอปั่นใส่น้ำตาลน้อยที่สุด หรือน้ำมะละกอคั้นสดก็ได้

       4. มื้อเย็นก็ยังต้องทานมะละกออีกครั้งเป็นมื้อสุดท้ายของวัน โดยอาจจะบีบมะนาวลงไปด้วยนิดหน่อยเพื่อเพิ่มรสชาติให้ไม่เลี่ยนเกินไป

       5. วันรุ่งขึ้นก่อนที่จะเริ่มมื้อเช้า คุณจะต้องดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นประมาณ 2 ขวดก่อน เพราะเมื่อเราล้างสารพิษ ตับจะขับสารพิษให้มารวมกันอยู่ที่ลำไส้เล็กส่วนต้น จึงต้องดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวเข้าไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว เพื่อให้สารพิษถูกดันออกมากับอุจจาระ หลังจากที่ดื่มน้ำอุ่นแล้วคุณจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำทันที แต่ถ้าไม่มีการดื่มน้ำกระตุ้นและไปทานอาหารเช้า สารพิษก็จะถูกดูดกลับเข้าไปในกระแสเลือดเหมือนเดิม ทำให้การอดอาหารล้างพิษของเราต้องเสียเปล่าไป

วิธีเตรียมน้ำอุ่นผสมมะนาว

อุปกรณ์

       1. ขวดน้ำขนาด 1 ลิตร 2 ขวด

       2. มะนาว 4 ลูก

       3. เกลือป่น 2 ช้อนชา แต่ห้ามใช้เกลือไอโอดีน

วิธีทำ

       1. ใส่น้ำดื่มให้เต็มขวดจากนั้นบีบมะนาวใส่ลงไปขวดละ 2 ลูก และเกลือ 1 ช้อนชา เขย่าให้เข้ากัน

       2. มะนาวจะไปกระตุ้นให้ลำไส้ทำงาน ส่วนเกลือก็จะช่วยอุ้มน้ำไว้ ไม่ให้ถูกร่างกายดูดซึมไปหมด น้ำจะได้เหลือไปจนถึงทวารหนักเพื่อขับอุจจาระ  

       3. หลังจากดื่มน้ำมะนาวประมาณ 10-20 นาที คุณจะรู้สึกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ นั่นคือ อาการปกติ หลังจากถ่ายท้องเรียบร้อยแล้วก็เริ่มทานอาหารได้

       กระบวนการล้างพิษจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นถ้าหากทำเป็นประจำสัก 2 อาทิตย์ ต่อหนึ่งครั้ง

สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547

                     “โรคอ้วน” ภัยร้ายที่ควรระวัง


<!-- /* Font Definitions */ @font-face {font-family:"Angsana New"; panose-1:2 2 6 3 5 4 5 2 3 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:roman; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:16777219 0 0 0 65537 0;} @font-face {font-family:Tahoma; panose-1:2 11 6 4 3 5 4 4 2 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:swiss; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:1627421319 -2147483648 8 0 66047 0;} /* Style Definitions */ p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal {mso-style-parent:""; margin:0cm; margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:12.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-fareast-font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Angsana New";} @page Section1 {size:612.0pt 792.0pt; margin:72.0pt 90.0pt 72.0pt 90.0pt; mso-header-margin:36.0pt; mso-footer-margin:36.0pt; mso-paper-source:0;} div.Section1 {page:Section1;} -->

               แปร้นนนแปร้นน…  ช้างน้ำมาแร้น  หลายคนคงไม่อยากให้มีใครแซวแบบนี้  แต่นั่นเป็นสัญญาณบอกให้เรารู้ว่าเราอ้วนแค่ไหน  แล้วจะแก้ไขอย่างไร

                ในปัจจุบันคนไทยเป็นโรคอ้วนมากขึ้นจากแต่เดิมที่มีการสำรวจก่อนหน้านี้พบ ว่ามีไม่ถึง 10 ล้านคน  แต่ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 12 ล้านคน  ปัจจัยสำคัญมาจากพฤติกรรมการบริโภค  การดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนไป 

 

โรคอ้วน  คืออะไร

               โรคอ้วน  หมายถึง   ภาวะที่มีไขมันในร่างกายมากกว่าปกติและยังส่งผลเสียต่อสุขภาพ  เพราะฉะนั้นคนที่มีน้ำหนักตัวมากอาจไม่ได้หมายความว่าอ้วน  เพราะอาจจะมีกล้ามเนื้อหรือมีโครงสร้างร่างกายที่ใหญ่

               นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันลิกกินส์ ในเมืองโอ๊คแลนด์ของนิวซีแลนด์  กล่าวว่า  มนุษย์แต่ละรายมีพัฒนาการด้านชีวภาพที่แตกต่างกันไป โดยพัฒนาการดังกล่าวจะเกิดขึ้นตั้งแต่เป็นทารกอยู่ในครรภ์มารดา 

               จากผลการศึกษาของคณะนักวิทยาศาสตร์ชุดนี้ชี้ว่า ทารกที่เกิดกับมารดาที่มีภาวะโภชนาการไม่สมบูรณ์เมื่อตั้งครรภ์  คาดการณ์ว่าจะเผชิญกับภาวะโภชนาการไม่สมบูรณ์ในอนาคตด้วย  และจะปรับระบบพัฒนาการทางชีวภาพเพื่อให้ระบบการเผาผลาญอาหารในร่างกายสามารถ เก็บกักตุนไขมันได้มากขึ้น  ซึ่งนำไปสู่การเกิดปัญหาโรคอ้วนในที่สุด

               นอกจากนี้โรคอ้วนยังเกิดจากพฤติกรรมการขาดการออกกำลังกาย  ชอบนั่งดูทีวีหรือเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ทั้งวันและยังบริโภคอาหารประเภทขนม กรุบกรอบ  น้ำหวาน  อาหารสำเร็จรูปเกินจำเป็น   ชอบรับประทานของทอด  ของมัน  ทานเกินปริมาณความต้องการของร่างกาย  ฯลฯ

               โรคอ้วนโดยมากพบได้ทั้งในเด็กวัยเรียนและในผู้ใหญ่วัยทำงาน  ส่วนช่วงวัยรุ่นอาจเป็นช่วงที่กำลังมีความเจริญเติบโตจึงไม่ค่อยพบ  แต่ในอนาคตช่วงวัยนี้อาจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเนื่องจากเด็กที่กำลังเป็นโรค อ้วนนั้นกำลังจะไล่ขึ้นมา

 

จะพิจารณาได้อย่างไรจึงจะเรียกว่า อ้วน 

               สามารถดูได้จากน้ำหนักตัวที่มากกว่าควรจะเป็น  นั่นคือผู้ที่มีปริมาณไขมันในร่างกายสูงกว่าเกณฑ์ปกติ  ซึ่งตามหลักสากลกำหนดไว้ว่า  ผู้ชายไม่ควรมีปริมาณไขมันในตัวเกินกว่า  12-15  %  ของน้ำหนักตัว  ส่วนผู้หญิงไม่ควรมีปริมาณไขมันในตัวเกินกว่า  18-20 %  ของน้ำหนักตัว

               วิธีการวัดค่าในปัจจุบันเรียกว่า  “ดัชนีมวลของร่างกาย” (Body Mass Index)  เรียกย่อว่า  BMI  โดยหาค่าได้จาก


BMI = น้ำหนัก (Kg.) / ส่วนสูง (M) ยกกำลังสอง
ยกตัวอย่างเช่น  วรรณา  สูง  160  ซ.ม.  หนัก  80 Kg.
BMI = 80 / (1.6) ยกกำลังสอง 31.25  Kg../M ?

               จากค่าที่ได้นำมาเทียบจากมาตรฐานชาวเอเชียควรมี  BMI  อยู่ระหว่าง  18.5-22.9 Kg../ M  ยกกำลังสอง  ถ้าสูงกว่าถือว่าเริ่มอ้วนแล้ว  แต่ถ้าต่ำกว่านี้ก็จะถือว่าผอมไปค่ะ

ภัยร้ายที่มาพร้อมกับความอ้วน

<!-- /* Font Definitions */ @font-face {font-family:"Angsana New"; panose-1:2 2 6 3 5 4 5 2 3 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:roman; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:16777219 0 0 0 65537 0;} @font-face {font-family:Tahoma; panose-1:2 11 6 4 3 5 4 4 2 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:swiss; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:1627421319 -2147483648 8 0 66047 0;} /* Style Definitions */ p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal {mso-style-parent:""; margin:0cm; margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:12.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-fareast-font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Angsana New";} @page Section1 {size:612.0pt 792.0pt; margin:72.0pt 90.0pt 72.0pt 90.0pt; mso-header-margin:36.0pt; mso-footer-margin:36.0pt; mso-paper-source:0;} div.Section1 {page:Section1;} -->

               ยิ่งอ้วนมากเท่าไร  น้ำหนักเกินเท่าไรยิ่งจะทำให้หัวใจทำหน้าที่นำเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายทำ งานหนักมากขึ้นเท่านั้น  มีผลทำให้หลอดเลือดเกิดความผิดปกติเป็นต้นเหตุของโรคอื่นๆ มากมาย  อาทิ  โรคความดันโลหิตสูง  โรคเบาหวาน ซึ่งหากเป็นแล้วต้องกินยาเป็นระยะเวลา 10-15 ปี  อาจจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนซึ่งเป็นโรคที่มีค่าใช้จ่ายแพงที่สุดคือโรคไต  นอกจากนี้คนอ้วนจะมีอัตราเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด  มะเร็ง  และโรคข้อกระดูกเสื่อม  มากกว่าคนปกติอีกด้วย

 

แนวทางการควบคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนัก


 

<!-- /* Font Definitions */ @font-face {font-family:"Angsana New"; panose-1:2 2 6 3 5 4 5 2 3 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:roman; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:16777219 0 0 0 65537 0;} @font-face {font-family:Tahoma; panose-1:2 11 6 4 3 5 4 4 2 4; mso-font-charset:0; mso-generic-font-family:swiss; mso-font-pitch:variable; mso-font-signature:1627421319 -2147483648 8 0 66047 0;} /* Style Definitions */ p.MsoNormal, li.MsoNormal, div.MsoNormal {mso-style-parent:""; margin:0cm; margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:12.0pt; mso-bidi-font-size:14.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-fareast-font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Angsana New";} @page Section1 {size:612.0pt 792.0pt; margin:72.0pt 90.0pt 72.0pt 90.0pt; mso-header-margin:36.0pt; mso-footer-margin:36.0pt; mso-paper-source:0;} div.Section1 {page:Section1;} -->

ลดข้าวหรือแป้งลงจากเดิม 1 ใน 3 ลดการบริโภคผลไม้ลงโดยบริโภคไม่เกิน  6-10  คำต่อมื้อ  แล้วแต่หวานมากน้อย  ควรบริโภคใบหรือก้านผักเพิ่มขึ้น  งดทานอาหารระหว่างมื้อและการออกกำลังกายก็ไม่ควรบริโภคอาหารเพิ่มจากเดิม  อีกทั้งควรบริโภคโปรตีนให้เพียงพอร่วมด้วย

               อีกวิธีหนึ่งคือ  ให้ยึดมื้อเช้าเป็นมื้อหลัก  แต่ละมื้อควรกินแค่พออิ่ม  มื้อเย็นควรกินให้ห่างจากเวลานอนไม่น้อยกว่า ชั่วโมง  เพื่อให้ระบบการย่อยทำงานได้เต็มที่และระบบการทำงานอื่นๆ มีเวลาพักผ่อน

สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547

                         ผลไม้ที่ช่วยล้างพิษ

        ผลไม้นอกจากจะมีรส ชาติทีอร่อยเป็นที่ถูกปากถูกใจของหลายๆท่านแล้ว ผลไม้ยังมีคุณสมบัติพิเศษช่วยขับล้างสารพิษต่างๆที่ตกค้างในร่างกายของเรา ได้เป็นอย่างดี เรามาดูกันว่าผลไม้แต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติในการขับสารพิษอย่างไรกันบ้าง

        1. แอปเปิล  เป็นผลไม้ที่ดีที่สุดสำหรับการขจัดของเสียออกจากร่างกาย แอปเปิลมีสารสำคัญหลายชนิด  เช่น เบตาแคโรทีน วิตามินซีและเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำที่ชื่อเพกทิน  ซึ่งสารนี้จะช่วยกำจัดสารพิษทั้งยังป้องกันไม่ให้โปรตีนในลำไส้เกิดการบูด เน่า แอปเปิลยังมีเส้นใยมาก ซึ่งจะทำหน้าที่ทำความสะอาดลำไส้ ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดี

         2. แตงโม  แตงโมมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ดังนั้นจึงช่วยฟอกล้างไตได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังใช้รักษาแผลในกระเพาะอาหาร ลดความดันโลหิต และทำให้สบายท้อง

       3. องุ่น  เป็นสารฟอกล้างสำหรับผิวหนัง ตับ ลำไส้ และไตโดยเฉพาะ เนื่องจากองุ่นมีคุณสมบัติรักษาน้ำมูกที่ออกมาจากเยื่อเมือกต่างๆในร่าง กายองุ่นยังให้พลังงานสูงและนำไปใช้ได้ง่าย อุดมด้วยเกลือแร่ ดังนั้นจึงช่วยบำรุงเลือดและซ่อมสร้างเซลล์ในร่างกาย

         4. สับปะรด  มีเอนไซม์โบรมีลินสูง เอนไซม์นี้ช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น เชื่อกันว่าสับปะรดช่วยรักษาอาการอักเสบในทางเดินอาหาร ช่วยในการซ่อมแซมส่วนต่างๆที่สึกหรอ ช่วยการทำงานของต่อมไร้ท่อ และช่วยกำจัดน้ำมูก

        5. มะละกอและมะม่วง  ทั้งสองอย่างนี้มีลักษณะคล้ายกัน ผลไม้ทั้งสองชนิดมีเอนไซม์ชื่อปาเปน ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับน้ำย้อยเพปซินในกระเพาะอาหาร จึงช่วยทำให้ของเสียที่เป็นโปรตีนแตกตัวได้เร็วขึ้น ทั้งมะละกอและมะม่วงดีสำหรับทำความสะอาดลำไส้และช่วยย่อยอาหาร เชื่อกันว่ามะละกอยังช่วยลดอาการซึมเศร้าได้อีกด้วย


ยินดีด้วยกับสุขภาพที่ดีของท่าน!!

สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547

นอนกรนแก้ไขได้

 

นอนกรน 

                เป็นภาวะผิดปกติอย่างหนึ่งของการนอนที่ไม่ควรละเลย  เพราะผลกระทบจากการนอนกรนสร้างปัญหาต่อการดำเนินชีวิตและปัญหาเกี่ยวกับ สุขภาพมากมาย  การนอนกรนมีทั้ง

ประเภทที่อันตรายและไม่อันตราย ซึ่งมีลักษณะดังนี้

               1. ประเภทที่ไม่อันตราย  คือ การกรนที่ทำให้เกิดเสียงรบกวน  ซึ่งจัดเป็นชนิดไม่อันตราย  ไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ เพียงแต่ก่อให้เกิดความรำคาญแก่ผู้ที่อยู่ใกล้  กลุ่มนี้มักมีการอุดกั้นทางเดินหายใจเพียงเล็กน้อย 

               2. ประเภทที่อันตราย  เกิด จากการที่มีทางเดินหายใจแคบมากเวลาหลับ ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีเสียงกรนไม่สม่ำเสมอ  เมื่อยังหลับไม่สนิทจะยังเป็นการกรนที่สม่ำเสมอ  แต่เมื่อหลับสนิทจะเกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจ  มีเสียงกรนที่ไม่สม่ำเสมอ  โดยจะมีช่วงที่กรนเสียงดังและค่อยสลับกันเป็นช่วงๆ และจะกรนดังขึ้นเรื่อยๆ  แล้วจะมีช่วงหยุดกรนไปชั่วระยะหนึ่ง  ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการหยุดหายใจ

อันตรายจากการนอนกรนที่มีการหยุดหายใจขณะหลับ

               1. ร่างกายอ่อนเพลีย  รู้สึกนอนไม่พอ ทำให้เกิดอาการง่วงนอน ซึ่งเป็นผลเสียต่อการเรียน การทำงาน หรือเกิดอุบัติเหตุในการขับรถหรือการควบคุมเครื่องจักรกล

               2. ไม่มีสมาธิในการทำงาน  ความสามารถในการจดจำลดลง หงุดหงิด อารมณ์เสียง่ายกว่าปกติ

               3. มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคต่างๆ มากขึ้ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดในสมอง เช่น อัมพาต โรคหัวใจขาดเลือด (อาจทำให้เสียชีวิตทันที เพราะหัวใจทำงานผิดปกติขณะเกิดภาวะหยุดหายใจในช่วงนอนหลับ ซึ่งชาวบ้านเรียกว่าไหลตาย)ได้มากกว่าคนปกติ เป็นเหตุให้เสียชีวิตก่อนวัยอันคว

               4. หย่อนสมรรถภาพทางเพศ

การรักษาการนอนกรน

               1. ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินเกณฑ์

               2. ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายและกล้ามเนื้อแข็งแรง

               3. หลีกเลี่ยงการนอนหงาย โดยพยายามนอนในท่าตะแคงข้าง และนอนศีรษะสูงเล็กน้อย

               4. หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือยานอนหลับ หรือยากล่อมประสาทก่อนนอน

               5. กรณีที่เป็นการนอนกรนชนิดอันตรายที่มีการหยุดหายใจร่วมด้วย รักษาโดย

                    -  เครื่องช่วยหายใจ เป็นเครื่องครอบจมูกขณะหลับ เพื่อทำให้หายใจสะดวกขึ้น วิธีนี้ปลอดภัยและได้ผลดีในผู้ป่วยเกือบทุกราย

                         -  จี้กระตุ้นให้เพดานอ่อนหดตัวลง โคนลิ้นหดตัวลง

                         -  การผ่าตัดเอาส่วนที่ยืดยานออก

        

               อาการ นอนกรนไม่ได้เป็นเพียงการส่งเสียงที่สร้างความรำคาญเท่านั้น แต่อันตรายจากการนอนกรนอาจรุนแรงถึงขั้นหยุดหายใจและนำมาซึ่งการเสียชีวิต ได้  หากสังเกตุเห็นคนใกล้ตัวมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับการนอนกรนควรพบแพทย์เพื่อทำ การวินิจฉัยและเข้ารับการรักษา

พิมพา ฟาร์อีสเทิร์น

มีอาหารกินแล้วสูงหรือไม่

เราจะเลือกรับประทานสูตรอาหารเฉพาะอาหารเพิ่มความสูงไม่ได้ แต่จะขอแนะนำรายการอาหารที่มีแคลเซียมสูงให้นอกจากนม และคนที่ดื่มนมไม่ได้ เพราะบางคนดื่มนมแล้วมีอาการท้องเดิน ให้ทานผักที่มีสีเขียวมากๆ ทานปลาทอดกรอบ เพื่อที่จะได้ทานก้างด้วย ผักคะน้า ยอดแค ใบชะพลู ผักบุ้ง ผักตำลึง ล้วนมีแคลเซียมทั้งนั้นค่ะ พวกยำใส่กุ้งแห้ง เมี่ยงคำ ผักจิ้มน้ำพริก ทำให้ได้ทานผัก กุ้งแห้ง กะปิ ซึ่งมีทั้งโปรตีน แคลเซียม และวิตามินต่างๆ อาหารพวกนี้ ไม่ใส่น้ำมันรับประทานได้มากโดยไม่ต้องกลัวอ้วน นอกจากจะสร้างกระดูก เพิ่มความสูงแล้วอาหารที่มีผักมาก ยังช่วยบำรุงผิวให้สวยอีกด้วย

นอกจากนี้การนอนหลับเป็นวงจรหนึ่งของชีวิตประจำวันที่ร่างกายต้องการเพื่อปรับสมดุลย์ของเซลล์ต่างๆหลังจากที่ทำงานไปแล้วตลอดทั้งวัน Growth hormone จะหลั่งออกมาในขณะนอนหลับ และลดต่ำลงเมื่อตื่น ในเด็กที่กำลังเจริญเติบโต การนอนจึงมีความสำคัญต่อการพัฒนาของเด็ก ในคนที่โตเต็มที่แล้ว การนอนหลับเป็นไปเพื่อการพักผ่อนและการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอเพื่อปรับให้สมดุลย์ใหม่ จึงเป็นวงจรที่สำคัญในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นในชีวิตประจำวัน การทำงาน การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย และการนอนหลับพักผ่อน จึงควรอยู่ในภาวะที่สมดุลย์ ไม่ตึงหรือหย่อนอย่างใดอย่างหนึ่งเกินไป

อ้างอิงจาก www.seabuckthornthai.com

น.ส.ปาริชาติ กันทะวงค์ เลขที่10 มฟาร์อีสเทอร์น

เป็นโรคตับจะปฏิบัติอย่างไร

คำถามนี้เป็นคำถามที่ผู้ป่วย ซึ่งเป็นโรคตับมักจะถามแพทย์เสมอ นอกจากทานยาตามที่แพทย์สั่งสม่ำเสมอแล้ว ความจริงคำว่าโรคตับมีความหมายค่อนข้างกว้าง อาจจะหมายถึงผู้ที่เป็นพาหะของโรคตับอักเสบบี ซึ่งสภาพตับโดยทั่วไปแล้ว ไม่ได้แตกต่างจากคนปกติทั่วไปเท่าไรนัก ไปจนถึงผู้ที่เป็นโรคตับแข็ง ซึ่งอาจจะมีอาการดีซ่าน บวม หรือท้องมานก็ได้ ซึ่งหมายถึงมีการเสื่อมสภาพของตับไปมาก สำหรับผู้ป่วยที่เป็นตับแข็ง คงต้องการการดูแลเป็นพิเศษ แนวทางการดูแลผู้ป่วยโรคตับเหล่านี้พอจะแบ่งออกได้เป็นหัวข้อสำคัญๆ 6 อ. คือ

1. อาหาร

สำหรับผู้ที่เป็นโรคตับเพียงเล็กน้อย เช่น เป็นพาหะของเชื้อไวรัสบี ผู้ป่วยเหล่านี้สามารถรับประทานอาหารได้ทุกชนิด ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงอาหารอย่างใดอย่างหนึ่ง ในผู้ป่วยที่เป็นตับอักเสบเฉียบพลัน การรับประทานน้ำหวานมาก ๆ ไม่มีรายงานว่าทำให้การดำเนินของโรคดีขึ้นกว่าการไม่ได้รับประทานน้ำหวาน อย่างไรก็ตามในผู้ป่วยบางรายไม่สามารถบริโภคอาหารได้ เนื่องจากมีคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ในกรณีเช่นนี้การรับประทานอาหารที่ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรทพวกแป้ง และน้ำตาล เป็นหลักจะทำให้ย่อยอาหารได้ง่าย และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง สำหรับผู้ป่วย ซึ่งเริ่มมีอาการตับแข็งแล้ว อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงคือ อาหารที่มีรสเค็มจัด เนื่องจากการรับประทานอาหารเค็มสามารถทำให้อาการบวม หรืออาการท้องมานเลวลงได้ โดยทั่วไปแล้วในผู้ป่วยที่มีอาการบวม หรือท้องมาน แพทย์จะแนะนำให้รับประทานเกลือได้ไม่เกินวันละ 2 กรัม หรือเทียบเท่ากับเกลือป่นประมาณเศษหนึ่งส่วนสามช้อนชาต่อวันเท่านั้น ผู้ป่วยที่เป็นตับแข็งควรรับประทานอาหารที่สะอาดปรุงขึ้นใหม่ ไม่ควรรับประทานอาหารที่เก็บค้างคืน หรืออาหารที่ประกอบขึ้นสุก ๆ ดิบ ๆ เช่น การลวก การย่าง เพราะบ่อยครั้งทีเดียวที่ผู้ป่วยโรคตับแข็งมาพบแพทย์ด้วยอาการติดเชื้อจากทางระบบทางเดินอาหาร ซึ่งบางครั้งสามารถเป็นรุนแรงจนเสียชีวิตได้ ผู้ป่วยตับแข็งที่ไม่มีอาการซึม หรืออาการทางสมอง สามารถรับประทานโปรตีนได้ตามปกติเหมือนกับคนปกติทั่วไป ผู้ที่มีอาการทางสมองร่วมกับภาวะตับแข็ง ผู้ป่วยเหล่านี้ควรจำกัดปริมาณโปรตีนที่ได้จากสัตว์ อย่างไรก็ตามสามารถเสริมโปรตีนได้ในรูปของโปรตีนได้ในรูปของโปรตีนจากพืช หรือถั่ว เป็นต้น ผู้ป่วยควรรับประทานอาหารที่เป็นผัก และผลไม้ให้เพียงพอเพื่อป้องกันมิให้เกิดอาการภาวะท้องผูก การรับประทานอาหารเสริมที่เป็นโปรตีนที่มีกิ่ง (Branch Chains Amino Acid) อาจทำให้ภาวะโภชนาการของผู้ป่วยดีขึ้นได้ อย่างไรก็ตามอาหารเสริมดังกล่าวยังมีราคาแพง และทดแทนได้ด้วยการรับประทานโปรตีนจากพืช ปัจจุบันยังไม่มีรายงานที่ชัดเจนว่า อาหารเสริมต่าง ๆ ที่มีจำหน่ายอยู่ในท้องตลาดจะมีประโยชน์โดยแท้จริงกับผู้ป่วยโรคตับนอกจากการรับประทานอาหารที่ถูกต้องร่วมกับพืช ผัก และผลไม้ที่สะอาดในปริมาณที่พอเพียงจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ร่างกาย การรับประทานอาหารเผ็ด หรือเปรี้ยวไม่มีผลเสียโดยตรงอย่างไรต่อตับ

2. แอลกอฮอล์

ผู้ป่วยที่เป็นโรคตับควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มทุกชนิดที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ ผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี อาจจะพบรับประทานได้บ้าง แต่ในผู้ป่วยที่เป็นโรคตับอักเสบชนิดบีแบบเรื้อรัง มีหลักฐานชัดเจนพบว่าการรับประทานแอลกอฮอล์ มีส่วนสัมพันธ์โดยตรง ทำให้การดำเนินของโรคลุกลามเร็วขึ้น ถึงแม้ว่าการสูบบุหรี่จะไม่มีผลโดยตรงกับโรคตับ แต่การสูบบุหรี่มีผลเสียต่อร่างกาย รวมทั้งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญในการเกิดมะเร็งในหลาย ๆ ส่วนของร่างกาย นอกจากปอด ดังนั้น เพื่อให้สุขภาพแข็งแรงควรจะงด และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ด้วย

3. อัลฟาท๊อกซิน (Aflatoxin)

สารอัลฟาท๊อกซินเป็นสารที่สร้างจากเชื้อรา Aspergillus ซึ่งเป็นเชื้อราตระกูลเดียวกัลที่พบตามขนมปังที่เก็บไว้นาน ๆ นั่นเอง เชื้อรา Aspergillus บางตระกูลสามารถสร้างสารพิษที่เรียกว่า อัลฟาท๊อกซินขึ้น ซึ่งสารพิษนี้สามารถชักนำให้เกิดมะเร็งตับได้ เชื้อราชนิดนี้สามารถเกิดขึ้นได้ในอาหารบางอย่าง ซึ่งเก็บอย่างไม่ถูกวิธี และมีความชื้น เช่น ถั่ว พรกป่น ข้าวโพด ข้าวสารเป็นต้น การศึกษาจากประเทศจีนตอนใต้พบว่า อุบัติการณ์ของการเกิดมะเร็งตับในผู้ป่วยที่เป็นตับอักเสบแบบบีเรื้อรัง ในหมู่บ้านที่มีสารอัลฟาท๊อกซินปนเปื้อนในอาหารสูงกว่ากลุ่มประชากรที่เป็นตับอักเสบบีแบบเรื้องรัง ที่บริโภคอาหารที่ไม่ได้ปนเปื้อนด้วยสารอัลฟาท๊อกซินอย่างชัดเจน ดังนั้นผู้ป่วยที่เป็นโรคตับจึงควรหลีกเลี่ยงอาหารดังที่กล่าวมาแล้ว

4. อารมณ์ และการพักผ่อน

บ่อยครั้งทีเดียวทีแพทย์พบผู้ป่วยที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบแบบเรื้อรัง หรือเป็นโรคตับแข็งที่มีอาการทั่วไปสบายดีมาตลอด แต่เมื่อผู้ป่วยได้รับการพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือตรากตรำงานมากเกินไป ทำให้ร่างกายไม่แข็งแรงมีส่วนชักนำให้ตับอักเสบเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยอาจมาพบแพทย์ด้วยอาการดีซ่าน หรือบางครั้งรุนแรงจนเกิดภาวะตับวายเกิดขึ้นได้ นอกจากการพักผ่อนที่เพียงพอแล้ว การมีจิตใจที่เบิกบานแจ่มใสก็มีความสำคัญทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้นด้วย

5. ออกกำลัง

ผู้ป่วยที่เป็นโรคตับแข็ง และมีอาการที่บ่งว่ามีสภาพการทำงานของตับเหลืออยู่น้อย เช่น ดีซ่าน ท้องมาน ผู้ป่วยเหล่านี้ควรงดออกกำลังกาย และหลีกเลี่ยงการเดิน หรือนั่งนาน ๆ ผู้ป่วยที่มีประวัติเส้นเลือดขอดในหลอดอาหาร ไม่ควรออกกำลังที่จะต้องเบ่ง หรือเกร็งกล้ามเนื้อท้อง เข่น การยกน้ำหนัก เนื่องจากจะกระตุ้นให้ความดันเส้นเลือดขอดในหลอดอาหารแตกได้ อย่างไรก็ตามผู้ที่เป็นตับแข็งในระยะเริ่มต้นที่ไม่มีอาการผิดปกติสามารถออกกำลังได้ตามปกติ แต่ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังที่หักโหม เช่น การวิ่งมาราธอน หรือกีฬาที่ต้องแข่งขัน การออกกำลัง เข่น การเดิน วิ่งเบา ๆ ดูจะเป็นการออกกำลังที่เหมาะสม

6. อัลฟาฟีโตโปรตีน

(Alpha feto-protein) เป็นสารซึ่งสร้างขึ้นโดยเซลล์ตับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่มีการแบ่งตัวของเซลล์ตับ เราพบสาร Alpa feto-protein สูงขึ้นในเด็กแรกเกิด อย่างไรก็ตาม ในผู้ป่วยซึ่งเป็นมะเร็งตับอาจมีการเพิ่มขึ้นของ Alpha feto-protein ซึ่งใช้เป็นเครื่องแจ้งเตือนมะเร็งของตับได้ ในผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 45 ปี ตลอดจนผู้ที่เป็นตับแข็ง ไม่ว่าจากสาเหตุใดก็ตาม ถือว่าเป็นประชากรที่มีปัจจัยเสี่ยงสูงในการเกิดมะเร็งของตับได้ทั้งสิ้น การตรวจพบมะเร็งตับในระยะเริ่มต้น สามารถให้การรักษาที่เหมาะสม และมีโอกาสหายขาดได้ ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคตับควรมาพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอตามแพย์นัด และตรวจ Alpha feto-protien ตามที่แพทย์เห็นสมควร

การรับประทานยาในผู้ป่วยโรคตับเป็นสิ่งที่ควรระมัดระวังอย่างยิ่ง

เนื่องจากยาหลายชนิดต้องถูกกำจัด โดยผ่านตับการที่ตับมีการทำงานบกพร่อง เนื่องจากโรคต่าง ๆ เช่น ตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง อาจทำให้มีการสะสมของยาจนเกิดโทษได้ ท่านควรแจ้งให้แพทย์ทราบเสมอว่าท่านมีปัญหาโรคตับ เพื่อแพทย์จะได้เลือก ยาที่ปลอดภัยให้ หรือถ้าสงสัยอาจปรึกษาแพทย์ เฉพาะทางดูก่อน ผู้ที่เป็นโรคตับแข็งไม่ควรรับประทานยาลดไข้พวก paracetamol เกินกว่าวันละ 1500 mg หรือทานติดต่อกันนานเกิน 3 วัน อย่างไรก็ตามในผู้ที่เป็นตับอักเสบเล็กน้อย หรือพาหะของตับอักเสบบี สามารถทาน paracetamol ได้ในขนาดปกติ สำหรับยาแก้ปวดนั้นผู้ที่เป็นตับแข็งควรหลีกเลี่ยงยาแก้ปวด พวกที่เป็นแอสไพรินทั้งหลาย เนื่องจากยากลุ่มนี้มีผลทำให้เลือดที่ไปเลี้ยงใตลดลงจนอาจทำให้มีการเสื่อมหน้าที่ของไต หรือไตวายได้ ควรหลีกเลี่ยงไปใช้ยาแก้ปวดกลุ่มอื่นแทน

ถึงแม้ว่าจะมีพืช อาหาร และสมุนไพรหลายอย่างที่อ้างว่ามีสรรพคุณป้องกันการเกิด และรักษาโรคตับได้ แต่ยังไม่มีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่ดีเพียงพอที่จะแนะนำให้ผู้ป่วยรับประทาน นอกจากนั้นสมุนไพรบางตัวอาจมีผลข้างเคียงต่อตับได้ เช่น บอระเพ็ด ใบขี้เหล็ก จึงควรระมัดระวัง

พิมพา ฟาร์อีสเทิร์น

5 วิธีกำจัดความอยากกินอาหาร!เพื่อลดน้ำหนัก

ข้อมูลจาก April's Mayo Clinic Health Letter เมโยคลินิค ที่โด่งดังในสหรัฐ สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก

1.ใช้จานเล็ก ถ้วยเล็ก ช้อนเล็ก จากการวิจัย พบว่า คนจะกินอาหารเยอะ เมื่อจานช้อนใหญ่ขึ้น (เคยกินอาหารที่ร้านอาหารหรูๆ จานใหญ่มาก ๆ)

2.ถ้ามีการเก็บของที่มีมัน ไขมันสูงเช่น คุ๊กกี้ ขนม ให้เก็บในที่หายาก ๆ ใส่กล่องทึบ ให้มองไม่ให้เห็น หรือใต้ตู้ไปเลย อย่าวางไว้ให้สวยงามบนเคานเตอร์

3.จะซื้อของ อย่าซื้อ แพคใหญ่ ๆ

4.อย่าวางของกินไว้บนโต๊ะกินข้าว กินเสร็จแล้วเก็บออกไปเลย

กินอย่างไรจึงจะเลี่ยงโรคร้าย

โรคกระดูกพรุน คือ ภาวะพร่องของแร่ธาตุในกระดูก ทั้งด้านความหนาแน่น ปริมาณ และความแข็งแรง ภาวะดังกล่าวนี้จะทำให้กระดูกบางลงเพิ่มความสี่ยงที่กระดูกจะหัก

ประมาณกันว่ามีชาวอเมริกันถึง 20 ล้านคน โดยเฉพาะผู้หญิงวัยทองเป็นโรคนี้หรือเสี่ยงต่อโรคนี้ แม้ว่ากระบวนการเสริมสร้างกระดูกที่แข็งแรงอาจต้องใช้เวลาตลอดทั้งชีวิต แต่ช่วงที่เสี่ยงต่อโรคนี้ส่วนใหญ่คือวัยผู้ใหญ่ตอนปลาย อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ในระยะแรกอาการของโรคแทบจะไม่ปรากฏ แต่กระนั้นโรคนี้ก็ร้ายแรงถึงขนาดที่ว่าสามารถทำให้กระดูกสันหลังหรือสะโพกแตกร้าว ซึ่งน้อยคนนักที่รอดชีวิตมาได้หากอาการลุกลามไปถึงขั้นนั้น

การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ สามารถช่วยให้เราป้องกันหรือชะลอการบุกรุกของโรคนี้ได้ โดยบริโภคอาหารเหล่านี้เป็นประจำ

• ผลไม้และผักใบเขียวที่ปลูกแบบปลอดสารพิษ

• ผลิตภัณฑ์นม (ถ้าคุณแพ้นม หรือรับประทานนมไม่ได้ ให้ดื่มนมถั่วเหลืองเสริมวิตามิน D แทน)

• กุ้ง, ปลาคอด

• เต้าหู้ หรือผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองอื่นๆ

• ปลาทะเล

• แอปเปิ้ล

• หลีกเลี่ยง กาแฟ น้ำอัดลม น้ำตาลฟอกขาว เนื้อสัตว์ และเกลือ

โรคหอบหืด คือ ภาวะที่ช่องทางสำหรับลำเลียงอากาศเข้าสู่ปอดไม่ปกติ อาการจะเกิดขึ้นเมื่อเซลล์กล้ามเนื้อที่อ่อนนุ่มล้มเหลวในการขนถ่ายอากาศ จนเส้นทางดังกล่าวปิดในที่สุด จึงยากที่อากาศจะเข้าหรือออกจากปอด นำไปสู่อาการหายใจขัดหรือหายใจลำบาก ถ้าอาการเหล่านี้ดำเนินต่อไปเป็นเวลาชั่วระยะหนึ่ง อาจทำให้ผู้ป่วยหมดสติหรือเสียชีวิตจากการขาดอากาศหายในได้

แม้ว่าผู้ป่วยด้วยโรคนี้จะมีช่วงเวลาที่ไม่ปรากฏอาการ แต่พวกเขาก็ต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวว่า อาการอาจจะกำเริบขึ้นมาในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง โชคดีที่อย่างน้อยก็ยังมีอาหารจำพวกหนึ่งที่ช่วยลดการปะทุของโรค และบรรเทาอาการที่เกิดจากสภาวะอ่อนเพลียนี้ สิ่งที่ควรรับประทานได้แก่

• ผักและผลไม้ปลอดสารพิษ

• ปลาทะเล เช่น ปลาคอด แซลมอน แมคเคอเรล แฮริ่ง

• น้ำมันมะกอก

• โรสแมรี่ ขิง

• ลดการบริโภคนมและผลิตภัณฑ์จากนม ซึ่งเป็นตัวเพิ่มความรุนแรงของอาการหอบหืด

โรคมะเร็งลำไส้ สามารถเกิดขึ้นที่ส่วนใดก็ได้ของลำไส้ ไม่ว่าจะเป็นลำไส้เล็กหรือลำไส้ใหญ่ มะเร็งลำไส้ก่อตัวขึ้นเมื่อเซลล์ของลำไส้สัมผัสกับสารเคมีหรือสารก่อมะเร็งจน DNA ของเซลล์ถูกทำลาย ซึ่งนำไปสู่การผ่าเหล่า (mutation) ในเซลล์ และเซลล์เหล่านี้จะแบ่งตัวอย่างปราศจากการควบคุมและกระจายไปทั่วร่างกาย จนอวัยวะเสียหายและถึงแก่ชีวิตในที่สุด แม้ว่าพันธุกรรมจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคนี้ แต่นักวิจัยเชื่อว่า 90% มีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหารของแต่ละคน ดังนั้น วิธีป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ที่ดีที่สุด คือ รับประทานอาหารให้เหมาะสม ซึ่งมีดังต่อไปนี้

• ผักและผลไม้ที่ปลูกแบบออร์แกนิค โดยเฉพาะ แอปเปิ้ล แครนเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่

• น้ำมันมะกอก

• แป้งไม่ขัดขาวเพื่อเพิ่มเส้นใย

• ปลาทะเล เช่น แซลมอน ทูน่า แฮริ่ง แมคเคอเรล เพื่อเพิ่มกรดไขมัน โอเม้า-3

• หัวหอม กระเทียม ต้นหอม ขมิ้น ขิง

• โยเกิร์ต

• บร็อคโคลี่ กะหล่ำปลี

• ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง

• ส้ม มะนาว หรือผลไม้รสเปรี้ยว

• หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ กรดไขมันโอเมก้า-6 ไขมันอิ่มตัว น้ำตาลฟอกขาว และแอลกอฮอล์

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์ เลขที่ 2

ผิวแบบไหน...ดูแลอย่างไร

ผิวของแต่ละคน มีลักษณะที่ต่างกัน จึงย่อมต้องการดูแลที่ไม่เหมือนกันก่อนอื่นมาตรวจสอบกันก่อนว่า คุณมีผิวชนิดใด

ล้างหน้าให้สะอาด แล้วทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ถ้าทำการตรวจสอบทันทีหลังล้างหน้า อาจทำให้คลาดเคลื่อนได้ เพราะแม้แต่คนที่หน้ามันสุด ๆ ยังดูแห้งได้หลังจากล้างหน้าใหม่ ๆ จึงควรทิ้งเวลาออกไป เพื่อดูการทำงานของต่อมไขมัน โดยใช้กระดาษนุ่ม ๆ บาง ๆ ปิดหน้า ถ้ากระดาษติดหน้าแสดงว่าผิวมัน ถ้าไม่ติดหน้าเลยแสดงว่าผิวแห้ง ถ้ากระดาษติดหน้าเพียงบางส่วนโดยเฉพาะบริเวณทีโซน แสดงว่าคุณมีผิวปกติ

ผิวแห้ง เป็นผิวที่ไม่สามารถรักษาความชุ่มชื้นไว้ได้ ทำให้ใบหน้าดูไม่มีชีวิตชีวา และมีโอกาสเกิดรื้วรอยเหี่ยวย่นได้ง่ายกว่าผิวประเภทอื่น ๆลักษณะของคนผิวแห้ง ...บริเวณแก้มด้านล่างที่ต่อกับคาง และผิวใต้ตาจะดูแห้ง บางครั้งจะลอกเป็นขุย

วิธีดูแล หลีกเลี่ยงการใช้โลชั่นเช็ดผิว เพราะจะทำให้ผิวแห้งมากขึ้นทางทีดีควรใช้น้ำเปล่าล้างหน้าในช่วงเช้า ส่วนช่วงเย็น ซึ่งต้องล้างเครื่องสำอางออก ควรเลือกใช้ ครีมล้างหน้าที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ ซึ่งจะรู้สึกผิวลื่น ๆหลังล้างหน้า ส่วนก่อนนอนควรบำรุงผิวหน้าด้วยครีมบำรุง เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าสำหรับคนที่หน้าแห้งมาก จนแตกเป็นลายงา ให้เพิ่มมอยเจอร์ไรเซอร์ในช่วงเช้าและกลางวัน แต่คนผิวแห้งก็มีข้อดี คือ รูขุมขน มักกระชับมองดูหน้าเนียนและไม่ค่อยมีปัญหาใบหน้ามันย่อง จนทำให้แต่งหน้าไม่ติดทน

ผิวมัน ผิวประเภทนี้ จะมีความมันกระจายอยู่ทั่วใบหน้า และจะมีความมันมากเป็นพิเศษบริเวณทีโซน...หรือแถวหน้าผาก คาง และจมูก คนผิวมันดูเหมือนว่า จะเกิดริ้วรอยได้ยากกว่าคนผิวแห้ง แต่ก็ทำความสะอาดได้ยากกว่า และเนื่องจากต่อมไขมันทำงานมากกว่าปกติ จึงทำให้รูขุมขนใหญ่ ผิวหน้าดูหยาบกว่าคนผิวแห้ง ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของคนผิวมัน คือ เมื่อไขมันออกมาเคลือบใบหน้ามาก ๆ เข้า ทำให้ใบหน้าดูมันย่อง หน้าตาไม่สดใส แต่งหน้าก็มักไม่ติดทน

ขั้นตอนการดูแล เลือกใช้สบู่อ่อน ๆ หรือเจลใสล้างหน้า และไม่จำเป็นต้องล้างหน้าบ่อย ๆ ถ้าหน้ามันมาก ให้ใช้กระดาษซับหน้า คอยดูดซับน้ำมันออก จะช่วยให้ผิวหน้าผ่องขึ้นได้ ส่วนเครื่องสำอาง เลือกใช้ชนิด

Oil-free เพื่อไม่ให้ใบหน้าดูมันเยิ้ม

ผิวปกติ จริง ๆ แล้วคนส่วนใหญ่ มักมีผิวลักษณะนี้ คือ จะมีน้ำมันเคลือบผิวบาง ๆ บริเวณทีโซน คือส่วนของหน้าผาก และจมูกจะมีความมันมากกว่าส่วนของแก้ม ในขณะที่ผิวรอบดวงตาและส่วนของแก้มลงมาจนถึงคอ จะดูแห้งกว่าบริเวณทีโซน

ขั้นตอนการดูแล ควรล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน ๆ และไม่ควรใช้โลชั่นทีมีส่วนผสมของแอลกฮอล์ เพราะจะทำให้คุณเป็นคนผิวแห้งได้ ส่วนการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ ให้เลือกทาเฉพาะส่วนของของแก้ม และผิวรอบดวงตา เพื่อป้องกันการเกิดริ้วรอย

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์ เลขที่ 2

การบริหารเพื่อการกระชับต้นแขนและลำตัว

1.ยืนตรงแล้วแยกเท้าออกจากกันประมาณความกว้างของช่วงไหล่ ถือขวดน้ำไว้ในมือทั้งสองข้างเสร็จแล้วงอแขนแนบลำตัว โดยให้ฝ่ามืออยู่ระดับไหล่.

2.ก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้า ทำพร้อมหมุนแขนไปข้างหน้าและโน้มตัวไปข้างหน้า.

3.ยืนแยกเท้าออกจากกันให้มากๆ งอเข่าเล็กน้อย แล้วเหยียดแขนทั้งสองข้างให้อยู่เหนือศรีษะ.

4.ยืนเท้าชิดกัน แล้วปล่อยแขนแนบชิดลำตัว.

5.ทำซ้ำตั้งแต่ท่าที่ 1-4 ทำจนครบ 24 ครั้ง (พักสักครู่เมื่อทำครบ 12 ครั้ง)

เมื่อคุณได้บริหารร่างกายตามขั้นตอนต่างๆ ทั้งหมดนี้เป็นประจำทุกวัน คุณก็จะมีต้นแขนและลำตัวที่กระชับได้สัดส่วน รูปร่างก็จะสวยเข้ารูปไม่เสียทรง กล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวก็จะแข็งแรงขึ้นอีกด้วย.

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

การบริหารดวงตา !!!

ท่าที่ 1 ครอบดวงตา

โค้งอุ้งมือทั้งสองครอบดวงตาไว้เฉย ๆ ระวังอย่าให้อุ้งมือกดทับดวงตา นึกถึงบรรยากาศที่ผ่อนคลาย เช่น

วันพักผ่อนสุดสัปดาห์ตามป่าเขาหรือชายทะเลอยู่ในท่านี้สัก 10 นาที

ท่าที่ 2 สร้างจินตภาพ

ต่อจากท่าที่ 1 ยังคงครอบดวงตาอยู่ สร้างจินตภาพว่าตนเองกำลังมองวัตถุบางอย่างที่มีสีสันสดใสมีรายละเอียดต่างๆ ที่ชัดเจน เช่น มองเห็นดอกเบญจมาศสีเหลืองสวยเห็นกลีบดอกแต่ละกลีบละเอียดชัดเจนสายตาที่คมชัดจากจินตนาการของเราเองจะช่วยเยียวยาสายตาจริง ๆ ของเราได้เป็นอย่างดี

ท่าที่ 3 กวาดสายตา

มองแบบไม่ต้องจ้อง (คนสายตาสั้นมักจ้องและเขม้นตา) กวาดสายตาไปตามวัตถุที่อยู่ไกล ๆ ทางโน้นบ้างทางนี้บ้างทำให้ตาของเราได้ผ่อนคลาย

ท่าที่ 4 กะพริบตา

ฝึกนิสัยให้กะพริบตา 1-2 ครั้ง ทุก ๆ 10 วินาที ช่วยให้แก้วตาสะอาดและมีน้ำหล่อเลี้ยง โดยเฉพาะคนที่สวมแว่นหรือคอนแทคเลนส์ยิ่งจำเป็น

ท่าที่ 5 โฟกัสภาพใกล้และไกล

เหยียดแขนซ้ายไปให้ไกลที่สุด ตั้งนิ้วชี้มือซ้ายขึ้นเพื่อเป็นจุดโฟกัส ขณะเดียวกัน ตั้งนิ้วชี้มือขวาให้ห่างจากใบหน้าสัก 3 นิ้ว (7.5 ซม.) โฟกัสภาพที่แต่ละนิ้วสลับกันไปมา ทำบ่อย ๆ เมื่อโอกาสอำนวย

ท่าที่ 6 ชโลมดวงตา

ตื่นนอนทุกเช้าใช้มือวักน้ำชโลมดวงตาด้วยน้ำอุ่น สัก 20 ครั้ง สลับกับการวักน้ำเย็นชโลมดวงตาอีก 20 ครั้ง

ทั้งนี้เพื่อช่วยให้เลือดหมุนเวียนมาเลี้ยงดวงตาดีขึ้น การจบด้วยน้ำเย็นทำให้กล้ามเนื้อตาและหนังตากระชับไม่หย่อนยาน ก่อนเข้านอนให้วักน้ำชโลมดวงตาอีกครั้งหนึ่งแต่คราวนี้ชโลมด้วยน้ำเย็นก่อนแล้วตามด้วยน้ำอุ่นจะทำให้กล้ามเนื้อตาและหนังตาได้ผ่อนคลายก่อนเข้านอน

ท่าที่ 7 แกว่งตัว

ยืนแยกเท้าเท่ากับช่วงไหล่ แกว่งตัวไปมาจากซ้ายไปขวาถ่ายน้ำหนักตัวบนขาแต่ละข้างสลับไปมา สายตามองไปไกล ๆ แต่ไม่ต้องจ้องปล่อยให้จุดที่เรามองแกว่งไปมาซ้ายขวาตามการแกว่งตัวท่านี้จะทำให้ดวงตาได้พักและมีการปรับตัวดีขึ้น ทำ บ่อย ๆ เมื่อมีโอกาส เปิดเพลงคลอไปด้วยก็ได้"วิธีของเบตส์" ได้รับการยืนยันจากจักษุแพทย์จำนวนมากว่าเป็นการฝึกดวงตา ที่เป็นระบบช่วยรักษาสายตาคนไข้ได้เป็นจำนวนมาก

น.ส.ปาริชาติ กันทะวงค์ เลขที่10 มฟาร์อีสเทอร์น

ความหมายของสุขภาพ

คำว่าสุขภาพ มาจากคำว่า Health ซึ่งมีความ หมาย 3ประการคืิอความปลอดภัยความไม่มีโรค หรือทั้งองค์การอนามัยโลกได้ให้ความหมายของสุขภาพแตกต่างกันไปซึ้งความหมายของสุขภาพที่แตกต่างกันนี้จะนำไปสู่เป้าหมายและวิธีการกระทำเพื่อสุขภาพแตกต่างกันได้

นิยามคำว่า สุขภาพขององค์การอนามัยโลก Health is complete physical mental,social and spiritual well being"ซึ่งหมายถึง สุขภาวะที่สมบูรณ์ทางกาย ทางจิต ทางสังและทางจิตวิญญาน

สุขภาวะที่สมบูรณ์ทางร่างกาย หมายถึง ร่างกายที่สมบูรณื แข็งแรง คล่องแคล่ว มีกำลังไม่้เป็นโรค ไม่พิการ มีเศรษฐกิจหรือปัยจัยที่จำเป็นพอเพียง ไม่มีอุปัทอันตรายมีสิ่งแวดล้อมที่สร้างเสริมสุขภาพซึ่งคำว่ากายในที่นี้หมายถึงทางกายในที่นี้หมายถึงทางกายภาพด้วย สุขภาวะที่สมบูรณ์ทางจิต หมายถึง จิตใจที่มีความสุข รื่นเริง คล่องแคล่ว ไม่ติดขัดมีความเมตตาสัมผัสกับความงามตามสรรพสิ่ง มีสติ มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา รวมถึงลดความเห็นแก่ตัวลงไปด้วย เพราะตราบใดที่ยังความเห็นแก่ตัว จะมีสุขภาวะที่สมบูรณ์ทางจิตไม่ได้

สุขภาวะที่สมบูรณ์ทางสังคม หมายถึง มีการอยู่ร่วมกันได้ดี มีครอบครัวอบอุ่น ชุมชนเข้มแข็ง สังคมมีความยุติธรรม มีความเสมอภาค มีสันติภาพ มีความเป็นประชาสังคมมีระบบบริการที่ดี และระบบบริการเป็นกิจการทางสังคม

สุขภาวะที่สมบูรณ์ทางจิตวิยญาน (Spirtu well-being) หมายถึงสุขภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อทำความดีหรือจิตสัมผัสกับสิ่งที่มีคุณค่าอันสูงสุด เช่นการเสียสละ การมีความเมตตากรุณา การเข้าถึงพระรัตนตรัย หรือเข้าถึงพระผู้เป็นเจ้า เป็นต้น

ความสุขทางวิญญานเป็นความสุขซึ่งไม่ขึ้นอยู่กับการเห็นแก่ตัว แต่เป็นสุขภาวพะที่เกิดขึ้นเมื่อมนุษยืหลุดพ้นจากความมีตัวตน จุงมีอิสรภาพ มีความผ่อนคลายอย่างยิ่ง เบาสบายมีความปิติแผ่ซ่านทั่วไป มีความสุขอันปราณีตและล้ำลึก หรือความสุขอันเป็นทิพยื มีผลดีต่อสุขภาพทางกาย ทางและทางสังคม

สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547

                                               สุขภาพดีเป็นไฉน                    

 สุขภาพดี หมายถึงสุขภาพดีทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการดำเนินชีวิต การมีสุขภาพและ พลานามัยที่ดี ย่อมส่งผลให้เกิดสมรรถภาพและประสิทธิภาพในการประพฤติปฏิบัติในทางที่ดีงามตามมา ควรยึดหลักดังต่อไปนี้
              1. กินให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย จะกินอย่างไรโดยให้พิจารณาจากปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้
                        1.1 สภาพของร่างกาย โดยดูจากโครงสร้างของร่างกาย สัดส่วน เพศ และการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เช่น เพศหญิงมีความต้องการสารอาหารมากกว่าผู้ชาย
                        1.2 อายุ วัยเด็กที่อยู่ในวัยเจริญเติบโตต้องการสารอาหามากกว่าผู้ใหญ่

               2. กินอาหารให้ครบ ถูกส่วน และกินอาหารที่มีคุณภาพ อาหารที่เหมาะสมกับกีฬายังคงยึดหลักการเดียวกับคนปกติ โดยกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ได้แก่ แป้ง, เนื้อสัตว์, ไขมัน, วิตามิน, เกลือแร่ และน้ำ
               3. กินอาหารให้ครบทุกมื้อ โดยแบ่งเป็น 3 - 4 มื้อต่อวัน ไม่ควรอดเป็นบางมื้อ ช่วงที่อดอาหาร ร่างกายจะใช้สารอาหารในกล้ามเนื้อ ซึ่งถ้าใช้เวลาแข่งขันนาน ๆ จะทำให้สมองสั่งให้ร่างกายพักผ่อนทำให้ความคิดไม่แว่บใส ในแต่ละมื้อควรเฉลี่ยให้กินอาหารครบทุกประเภท โดยจัดเป็น 4 ประเภท ดังนี้
                       - นมและผลิตภัณฑ์จากนม 2 มื้อ
                       - อาหารเนื้อสัตว์ 2 มื้อ
                       - แป้งหรือข้าว 4 มื้อ
                       - ผักและผลไม้ 4 มื้อ

               4. จัดให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ต้องเป็นอาหารที่นักกีฬากินได้และคุ้นเคย ซึ่งจะทำให้กินได้ครบถ้วนในปริมาณที่เพียงพอ
 

                       

ความสมบูรณ์ทางกายและสมรรถภาพทางกาย

                   ความสมบูรณ์ทางกาย หมายถึง การมีสุขภาพและสมรรถภาพที่ดี สุขภาพดีเป็นภาวะที่ ปราศจากโรค สามารถปฏิบัติภารกิจประจำวันได้อย่างราบรื่น สุขภาพดีจึงเป็นรากฐานที่ดีของสมรรถภาพ ผู้มีสุขภาพดีจะสามารถฝึกซ้อมกีฬาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และร่างกายมีสมรรถภาพดีขึ้นจนถึงจุดสูงสุด ถ้าสุขภาพไม่ดี จะมีผลให้การฝึกซ้อมกีฬา ตลอดจนการทำงานในชีวิตประจำวันขาดประสิทธิภาพ และยังอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยขึ้นได้

                   สมรรถภาพทางกาย หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการควบคุมและสั่งการให้ร่างกายปฏิบัติภารกิจต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับปริมาณงานและเวลา โดยการปฏิบัติภารกิจนั้น ไม่เป็นเหตุให้กิดความทุกข์มานต่อร่างกาย อีกทั้งยังสามารถประกอบกิจกรรมอื่นๆ นอกเหนือจากภารกิจประจำวันได้อีก ด้วยความกระฉับกระเฉง ปราศจากอาการเมื่อยล้าและอ่อนเพลีย

สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547
ปัญหาผิวหน้าหนาว


กรมอุตุนิยมวิทยาเตือนว่า ฤดูหนาวคราวนี้จะยาวนาน

หน้า หนาว ความชื้นในอากาศลดลง ทำให้น้ำระเหยออกจากผิวของเราได้ง่าย หลายคนมีปัญหาผิวแห้งเป็นผื่นคัน ปากแตก ส้นเท้าแตก รังแครังควาน ฯลฯ ปัญหาเหล่านี้เป็นแค่อาการ เป็นแล้วทำให้รำคาญ ไม่ได้เป็นโรค คนส่วนใหญ่ก็เลยมักจะไม่ค่อยมาหาหมอ แต่มักจะไปหาซื้อครีมหรือยามาใช้เองมากกว่า

จริงอยู่อาการพวกนี้ บางทีถ้าคุณซื้อครีมหรือยาจากร้านขายยามาทามาใช้ ก็อาจจะทำให้อาการหายไปได้เอง แต่ในบางราย บางทีใช้ยาไปตั้งเยอะแล้วอาการก็ยังไม่ดีขึ้น แถมดูเหมือนจะยิ่งแย่ลงด้วยซ้ำ...

อย่ากระนั้นเลย หมอคิดว่าน่าจะบอกถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาแบบ “หนูทำได้” หรือ “ทำเองก็ได้ง่ายจัง” ให้คุณสาวๆ หนุ่มๆ เอาไว้ดูแลตัวเอง เวลาที่ผิวมีปัญหาในหน้าหนาว พร้อมกับจะบอกวิธีสังเกตอาการสำคัญที่คุณควรรู้และพึงตระหนักว่า อาการอย่างนี้ถึงเวลาต้องไปพบแพทย์ผิวหนังแล้วล่ะ

ไล่กันไปทีละปัญหาเลยนะคะ


ผิวหนัง, ดูแลผิว
ปัญหาที่ 1 เป็นสิวแดงๆ บริเวณ 2 ข้างแก้มและที่หน้าผาก

คุณ อาจจะแปลกใจว่า เอ๊ะ! หน้าหนาว ผิวน่าจะแห้ง แต่ทำไมสิวยังเห่อได้อีก ลองสำรวจตรวจตราดูนะคะ ว่าอากาศหนาวทำให้คุณเข้านอนโดยไม่ล้างหน้า ทั้งๆ ที่ยังมีเครื่องสำอางอยู่บนใบหน้าบ้างรึเปล่า

ถ้าใช่ คุณก็ควรจะล้างหน้าด้วยสบู่ หรือเจลล้างหน้าแบบอ่อนๆ ไม่ควรใช้สบู่ยาที่แรงเกินไปมาล้าง และอาจจะต้องใช้ยาทารักษาสิวร่วมด้วย เช่น ยาทากลุ่มเบนซอยล์เปอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) ที่ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย หรือกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) ที่จะช่วยทำให้หัวสิวละลายหลุดออกไปได้ง่ายขึ้น

แต่ก่อนที่คุณจะไป ซื้อยามาใช้เอง หมออยากให้คุณพินิจพิจารณาดูดีๆ บางทีรอยแดงๆ 2 ข้างแก้มของคุณ อาจจะไม่ได้เป็นแค่สิว แต่เป็น Rosacea เป็นปัญหาของผิวหนัง ซึ่งเป็นผลมาจากเส้นเลือดขยายใต้ผิวหนัง ทำให้เห็นเป็นจ้ำๆ แดงๆ ในตอนแรก และเมื่อเป็นมากขึ้นอาจจะมีการอักเสบเป็นเม็ดเล็กๆ มองดูคล้ายสิว และผื่นสิวเหล่านี้ จะยิ่งกำเริบเมื่อโดนกระตุ้นด้วยปัจจัยบางอย่าง เช่น อากาศหนาว เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรืออาหารรสจัด เป็นต้น ถ้าคุณมีอาการอย่างนี้ คุณควรไปพบแพทย์ดีกว่าค่ะ แพทย์จะให้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และอาจแนะนำให้ทำเลเซอร์เพื่อลดการอักเสบของเส้นเลือดไปพร้อมๆ กันด้วยค่ะ

เห็น มั้ยคะ ว่าสิ่งที่คุณวินิจฉัย (เอาเอง) ว่าเป็นสิว จริงๆ แล้วอาจจะเป็นอาการอย่างอื่นก็ได้ค่ะ เพราะฉะนั้น มาให้หมอวินิจฉัยจะดีกว่านะคะ



ปัญหาที่ 2 ริมฝีปากแห้งแตก

ใน หน้าหนาวหลายคนมีอาการปากแห้ง ซึ่งเมื่อเลียริมฝีปากบ่อยๆ ก็จะยิ่งทำให้ปากแห้งแตกมากยิ่งขึ้น ถ้าเป็นมากปากอาจจะลอกเป็นขุยหรือเป็นแผ่นได้ ห้ามแกะ ห้ามจิก ทึ้งดึงหนังที่ลอกโดยเด็ดขาดนะคะ เพราะจะทำให้เลือดออกซิบๆ ได้ ให้ใช้ลิปบาล์ม วาสลีน ปิโตรเลียมเจล หรือขี้ผึ้งทา จะช่วยลดอาการปากแตกได้ค่ะ

แต่ถ้าอาการปากแห้งแตกของคุณ มีลักษณะบวมเจ่อ ปากลอกเป็นขุย หรือมีตุ่มขึ้น หรือมีอาการอักเสบแดงด้วยแล้วละก็ คุณอาจจะไม่ได้แค่ปากแห้งเพราะอากาศหนาว แต่ริมฝีปากอักเสบเพราะแพ้เครื่องสำอาง แพ้ลิปสติก แพ้น้ำยาบ้วนปาก ยาสีฟัน หรือแพ้สารเคมีอื่นๆ ซึ่งคุณควรไปพบหมอผิวหนัง เพื่อให้หมอทำการรักษา และทดสอบดูด้วยค่ะว่าคุณแพ้อะไรแน่ จะได้หลีกเลี่ยงจากปัจจัยนั้นๆ วันหลังจะได้ไม่เป็นอีกค่ะ



ปัญหาที่ 3 ศีรษะเป็นรังแค

อากาศหนาวไม่มาก แต่เอ๊ะ...ทำไมมีหิมะมาเยือน มองไปมองมาอ้าว...นี่ศีรษะเรามีรังแคนี่นา...

สาเหตุของรังแคเกิดจากเชื้อยีสต์บนศีรษะมีมากผิดปกติ จนเกิดเป็นสะเก็ดขาวๆ หลุดลอก หรือเป็นขุยติดอยู่ที่เส้นผมและหนังศีรษะ

อัน ที่จริงปัญหารังแคเกิดขึ้นได้ทุกฤดูกาล แต่การเปลี่ยนแปลงของอากาศในหน้าหนาว ทำให้รังแคกำเริบได้เหมือนกัน ซึ่งถ้าเป็นแค่รังแคธรรมดา คุณก็สามารถดูแลรักษาเองได้ โดยสระผมด้วยแชมพูที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิค (Salicylic Acid) ซิงค์ไพริไทโอน (Zinc Pyrithione) หรือคีโตโคนาโซล (Ketoconazole) ซึ่งส่วนผสมพวกนี้จะมีฤทธิ์ต้านเชื้อยีสต์ เชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อรา สาเหตุของการเกิดรังแค

อีกอย่างแชมพูพวกนี้จะช่วยผลัดเซลล์ที่ตาย แล้วบนหนังศีรษะออกไป ก่อนที่เซลล์พวกนี้จะจับตัวรวมกันเป็นแผ่น หรือบางชนิดก็ช่วยชะลอการผลัดตัวของเซลล์ ไม่ให้ผลัดตัวเร็วมากเกินไป ทำให้เซลล์ไม่สะสมกลายเป็นขุย ร่วงหล่นเป็นรังแคให้หลุดหรือรำคาญใจ

แต่ ถ้าใช้แชมพูแล้ว อาการรังแครังควานยังไม่ดีขึ้น กลับมีรอยแดงบนศีรษะ และมีแผ่นขาวๆ หนาขึ้น แถมยังลุกลามไปที่ใบหน้าบริเวณหัวคิ้วและบริเวณทีโซน โดยจะเกิดการลอกเป็นขุยๆ และมีอาการคัน อันนี้อาจเป็นภาวะผิวหนังอักเสบที่เรียกว่า เซบเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis) ค่ะ

ถ้าคุณเป็นเซบเดิร์ม คุณควรไปพบแพทย์ผิวหนัง แพทย์จะแนะนำให้ใช้แชมพูที่ผสมด้วยน้ำมันดินสระผม เพื่อลดสะเก็ดที่หลุดลอก ร่วมกับการใช้ยาน้ำหรือโลชันทา หรือให้ยากินที่มีส่วนผสมของสารแก้แพ้ หรืออาจจะเป็นคอร์ติโคสเตียรอยด์เพื่อระงับอาการคันและผื่นแดงค่ะ ซึ่งการใช้ยาสเตียรอยด์ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ เพราะถ้าทามากๆ ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ จะทำให้ผิวบางลง และอักเสบง่ายมากขึ้นด้วยค่ะ



ผิวหนัง, ดูแลผิว
ปัญหาที่ 4 เล็บเปราะ เล็บฉีก ผิวหนังที่โคนเล็บบวมแดง

การล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำยาต่างๆ โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาว นอกจากจะทำให้มือแห้งแตกแล้ว อาจจะทำให้เล็บแห้งเปราะฉีกขาดได้ง่าย

ถ้า คุณมีอาการอย่างที่หมอพูดไว้ข้างต้นแค่นี้ ก็ไม่จำเป็นต้องไปหาหมอ แต่ควรทาครีมบำรุง ทาวาสลีนหรือน้ำมันมะกอก เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเล็บ และควรรับประทานอาหารที่มีธาตุเหล็กอย่าง ไข่แดง และตับให้มากขึ้น หรือรับประทานอาหารเสริมพวกไบโอติน (Biotin) เพื่อช่วยบำรุงเล็บ

ส่วนข้อควรระวังอื่นๆ ก็คือ

- ไม่ควรล้างมือบ่อยเกินไป หรือถ้าจำเป็นต้องล้างบ่อยๆ ก็ควรงดใช้สบู่บ้าง

- ถ้าต้องล้างจานหรือซักผ้าบ่อยๆ ให้ใส่ถุงมือเวลาทำงาน จะได้ป้องกันไม่ให้มือและเล็บโดนน้ำและน้ำยามากเกินไป

- อย่ากัดเล็บ

- อย่าตัดหนังรอบๆ เล็บ เพราะหนังพวกนี้มีหน้าที่ป้องกันเล็บ ถ้าตัดมากไป อาจทำให้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น และถ้าหนังข้างๆ เล็บฉีก ก็ไม่ควรดึงหรือตัดหนังข้างๆ เล็บด้วยค่ะ

ถ้าดูแลตามที่หมอแนะนำ ข้างต้นนี้แล้ว ยังไม่ทำให้อาการดีขึ้น แต่ดูเหมือนจะยิ่งลุกลามไปใหญ่ คุณอาจจะเป็นโรคผิวหนังบางอย่าง หนึ่งในนั้นคือ โรคสะเก็ดเงินก็ได้ค่ะ

อาการ ของโรคสะเก็ดเงินก็คือ คนไข้จะมีผื่นแดงตามศีรษะและตามตัว ที่ผื่นจะมีสะเก็ดสีขาวเงินๆ เป็นแผ่นบ้าง เป็นขุยบ้างอยู่ด้านบน นอกจากผื่นแล้ว คนที่เป็นโรคสะเก็ดเงินอาจจะมีอาการผิดปกติของเล็บ โดยเล็บจะมีอาการนูนหนา เล็บร่อน เล็บขรุขระเป็นหลุม สีของเล็บเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือสีขาว คล้ายเล็บเป็นเชื้อรา


ถ้าเป็นโรคสะเก็ดเงิน ความรุนแรงของโรคจะแตกต่างกัน คุณจึงควรไปพบแพทย์ค่ะ

โดย :พญ.ฐานิสร ธรรมลิขิตกุล

สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547
หุ่นเฟิร์ม บุคลิกภาพดี

ทั้งหญิงและชายที่มีสุขภาพดี รูปร่างดี ล้วนมีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะจะทำให้หุ่นดี ผิวพรรณดี ใส่เสื้อผ้าชุดไหนก็สวย นิตยสารมาดาม ฟิกาโร ฉบับเดือนธ.ค.

จึงได้เปรียบเทียบคุณสมบัติของการออกกำลังกายรูปแบบต่างๆ ผลงานของผู้เชี่ยวชาญด้านกีฬาจากออสเตรเลีย เบเวอร์เลย์ ฮาดกราฟต์ (Beverley Hadgraft) ไว้อย่างน่าสนใจ ในคอลัมน์ “ฟิตเนส” (Fitness) เราขอหยิบยกมาให้คุณผู้อ่านได้ทราบบางส่วน

ออกกำลังกาย, สุขภาพดี, วิ่ง
ผู้หญิงที่ต้องการออกกำลังกายแบบง่ายๆ โดยไม่ง้ออุปกรณ์ แนะนำว่า “การวิ่งจ๊อกกิ้งและเดินธรรมดา” เป็น ทางเลือกที่ดี การวิ่งเหยาะๆ จะช่วยสร้างกล้ามเนื้อขา และน่องให้แข็งแกร่ง การวิ่งเป็นประจำ อย่างน้อย 10 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะทำให้เผาผลาญไขมันได้มากถึง 2,500 กิโลจูล ในขณะที่การเดินเป็นประจำในเวลาเท่ากัน (ประมาณ 6 กิโลเมตร) ไขมันจะถูกเผาผลาญประมาณ 1,600 กิโลจูล ทั้งการเดินยังช่วยคลายเครียด เพราะได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบตัว และถ้าหากเดินเป็นประจำทุกวันแล้วรู้สึกเบื่อ อาจจะเพิ่มจังหวะมากขึ้นจนเป็นวิ่ง และพอเหนื่อยก็กลับมาเดินตามเดิมก็ได้

สำหรับกีฬายอดฮิตของสาวๆ อย่าง “โยคะและพิลาทีส” โยคะสร้างความยืดหยุ่นของร่างกาย ในขณะที่พิลาทีสส่งเสริมเรื่องของบุคลิกภาพ และความเข้มแข็ง การเล่นพิลาทีสเป็นเวลา 1 ชั่วโมง เผาผลาญได้ประมาณ 450–1,000 กิโลจูล ในขณะที่โยคะขั้นต่ำเพียง 430 กิโลจูลก็จริง แต่ถ้าฝึกอย่างจริงจัง จะช่วยได้สูงสุดถึง 1,200 กิโลจูล การเล่นโยคะช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย สร้างสมาธิ ทำให้คลายเครียดได้มาก อีกทั้งมีหลากรูปแบบให้เลือกสรร เรียกได้ว่าเป็นการออกกำลังสำหรับทุกคนจริงๆ แต่พิลาทีสก็ดีตรงที่เสี่ยงในการบาดเจ็บน้อยกว่า

ฟากสาวไฮเปอร์ ต้อง “ปั่นจักรยานและชกมวย” ที่ต่างก็เรียกเหงื่อได้มาก การชกมวยสร้างความแข็งแกร่งได้ทั้งร่างกาย ทั้งแขน ขา หน้าท้อง ทุกอย่างต้องเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ และได้ออกกำลัง เผาผลาญไขมันได้สูงสุดถึง 2,000 กิโลจูลต่อ 1 ชั่วโมง ในขณะที่การปั่นจักรยานจะช่วยในเรื่องกล้ามเนื้อขา และสะโพกเป็นหลัก เผาผลาญไขมันได้ประมาณ 1,800 กิโลจูลต่อ 1 ชั่วโมง แต่ถ้าเรื่องคลายเครียด ชกมวยดูจะมีภาษีกว่าเพราะได้ระบายอารมณ์ ปลดปล่อยพลังออกมา แต่ต้องได้รับการฝึกหัดอย่างจริงจังจึงจะทำได้ถูกต้อง


ออกกำลังกาย, สุขภาพดี, ว่ายน้ำ
ส่วน “แอโรบิกในน้ำและว่ายน้ำ” ทำให้ร่างกายเกิดความสมดุล แข็งแกร่ง และยืดหยุ่นได้มากขึ้น และยังช่วยเรื่องข้อต่อต่างๆ ให้สมบูรณ์ ไม่เจ็บหรือปวดเมื่อย โดยการว่ายน้ำใน 1 ชั่วโมงสามารถเผาผลาญได้ถึง 2,000 กิโลจูล ส่วนการเข้าคลาสแอโรบิกในน้ำ จะเผาผลาญไขมันได้ประมาณ 1,500 กิโลจูล แม้แต่กำลังมีครรภ์ ว่าที่คุณแม่ก็สามารถออกกำลังแบบนี้ได้ และยังเป็นการออกกำลังที่ส่งผลต่อสุขภาพอย่างแท้จริง

ท้ายสุด แชร์บอลและเทนนิส” นับเป็นกีฬาที่มีความเสี่ยงสูง เพราะต้องใช้ทักษะมาก โดยเทนนิสสามารถเผาผลาญไขมันได้ประมาณ 2,000 กิโลจูลต่อ 1 ชั่วโมง คุณเล่นคนเดียว ก็ต้องวิ่งอย่างเต็มที่ ส่วนแชร์บอลเล่นเป็นทีม จะอยู่ที่ 1,500 กิโลจูล แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่าได้วิ่งมากเท่าไหร่


แต่ อย่างไรก็ตาม ในทุกๆ การออกกำลังและทุกๆ ประเภทกีฬาสุดโปรด อย่าลืมจดจำสิ่งเหล่านี้ไว้ด้วย แล้วการออกกำลังจะได้ประโยชน์อย่างแท้จริง

เช็กอัตราการเต้นของหัวใจด้วย ต้องเพิ่มขึ้นประมาณ 70-90 เปอร์เซ็นต์

ผสม ผสานการออกกำลังเข้าด้วยกัน เมื่อเหนื่อยก็ลองเปลี่ยนมาทำอีกท่าหนึ่งที่เหนื่อยน้อยกว่า อย่าฝืนทำอย่างจริงจังอยู่ตลอด การหยุดพักเมื่อรู้สึกแย่ จะทำให้ลดอัตราเสี่ยงต่อการบาดเจ็บได้ดี

ไม่ว่าจะเลือกออกกำลังแบบ ไหน สิ่งสำคัญคือ ต้องรู้สึกดีกับมัน เพียงแค่ดูบุคลิกของตัวเอง และเลือกในสิ่งที่ชอบ ย่อมจะทำให้การออกกำลังมีประสิทธิภาพมากที่สุด


ถ้า หากว่าออกกำลังแล้วรู้สึกว่าทำได้ไม่ดีพอ ท่าทางไม่สวยเหมือนคนอื่น ควรหยุดคิดมากได้แล้ว การออกกำลังเป็นเรื่องเฉพาะตัว ไม่ใช่การแข่งขัน การออกกำลังกายควรจะทำให้รู้สึกดีมากกว่าจะทำให้เครียด ทำแบบสบายๆ ผ่อนคลายช้าๆ ไม่ต้องไปแข่งกับใคร ทำในแบบของคุณให้ดีที่สุด นั่น...ก็เพียงพอแล้ว

สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547
มีอะไรอยู่ใต้กระโปรง 7 ความลับที่ผู้หญิงต้องรู้

ใต้กระโปรง



ความลับที่ 1 ออกัสซั่ม รักษาปวดหัวไมเกรนและปวดท้องเมนส์
ไม่ได้เป็นข้ออ้าง แต่เป็นความจริง ผู้ชายคนไหนมีแฟนปวดท้องเมนส์มากๆ คงต้อรักเธอมากๆ และบ่อยๆ มีงานวิจัยล่าสุดออกมาว่าผู้หญิงมากกว่า 20 % ที่หลังจากมีเซ็กซ์อย่างมีความสุขแล้ว อาการปวดหัวไมเกรนจะหายไป ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องใหม่หรอกนะ ที่ออกัสซั่มช่วยให้คุณหายป่วยได้ เพราะผู้หญิงหลายคนที่ต้องทรมานเพราะปวดท้องเวลามีประจำเดือนรู้ว่า แฟนของเธอช่วยได้ ช่วยรักเธอมากๆ นะ

ความลับที่ 2 กินยาคุมกำเนิดนานๆ อาจจะทำให้เบื่อๆ ไม่อยากจู๋จี๋กับที่รัก
ช่วยไม่ได้จริงๆ เพราะนอกจากยาคุมจะช่วยคุมกำเนิดแล้ว ยังไปคุมกำหนัดด้วยนะสิ ไม่ต้องแปลกใจถ้ากินยาเม็ดคุมกำเนิดนานๆ แล้วอาการซู่ซ่าอยากเซ็กซี่มันจะลดน้อยลง มันเป็นอย่างนั้นจริง วิธีแก้ไข ก็ให้ลองพักไปใช้วิธีคุมกำเนิดแบบอื่นบ้าง เช่น ใช้ถุงยางอนามัย

ความลับที่ 3 ก่อนที่อาการไมเกรนกำเริบจะเป็นช่วงที่คุณฮอตที่สุด
ใช่เลย ถึงใครจะถืออาการปวดหัวเป็นข้ออ้างให้ที่รักอยู่ห่างๆ แต่เวลาก่อนที่คุณจะปวดหัวไมเกรนสัก 24 ชั่วโมงล่วงหน้า คุณจะรู้สึกฮอต ซู่ซ่า อยากชวนเขาเข้าห้องเป็นที่สุด ซึ่งยังไม่มีคุณหมอคนไหนออกมายืนยันสาเหตุที่แท้จริง แต่มีการศึกษาวิจัย จากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สุขภาพโอกลาโฮม่า บอกว่า อาจจะเป็นไปได้ว่าเมื่อสารเคมีในสมองอย่างเซโรโทนินขยับขึ้น อาจจะไปส่งผลให้ความต้องการเพิ่มขึ้นได้

ความลับที่ 4 ใส่ผ้าอนามัยแบบสอดนานเกินไปอาจติดเชื้อรุนแรงถึงขั้นช็อกได้
เรื่องจิรง โดยเฉพาะผ้าอนามัยแบบสอดที่ดูดซับได้ดีเยี่ยม เราจะไม่รู้ถึงถึงความเหนอะหนะหรือรำคาญ จนต้องเปลี่ยน แต่เลือดที่ออกมาก็ยังค้างอยู่ในช่องคลอดพร้อมกับแท่งผ้าอนามัยนั้น ในสภาวะที่ช่องคลอดอ่อนแอโอกาสที่จะติดเชื้อมีได้สูง ถ้าคุณใส่นานๆ แล้วเริ่มมีอาการปวดท้องมาก ไข้สูงอย่างรวดเร็ว ต้องระวัง ทางที่ดีเปลี่ยนทุก 1-2 ชั่วโมงจะดีกว่า

ความลับที่ 5 ใส่ชุดชั้นในผ้าฝ้าย + เปลี่ยนน้ำยาซักผ้าบ้างจะลดอาการอักเสบของช่องคลอดได้
เพราะพื้นที่ลับเราไม่ชอบความอับ ผ้าฝ้ายหรือชุดชั้นในใยธรรมชาติจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ระบายอากาศได้ดี ไม่ทำให้อับชื้น และทางที่ดีเปลี่ยนน้ำยาซักผ้าให้หลากหลายบ้าง จะช่วยลดอาการผื่นคัน หรืออาการคันลงได้ และที่สำคัญอย่าใช้สบู่ที่มีน้ำหอมกับน้องหนูสุดที่รัก เพราะจะเกิดอาการแพ้ได้

ความลับที่ 6 การหลีกเลี่ยงที่จะไม่มีเซ็กซ์ เพื่อจะได้ไม่เจ็บปวดเวลามีเซ็กซ์ จะทำให้เจ็บตัวมากขึ้น
ผู้หญิงหลายคนที่ไม่แฮปปี้เวลามีเซ็กซ์ ไม่ใช่แค่ไม่มีความสุขแต่ยังเจ็บปวดอีกด้วย วิธีที่ดีที่สุดก็คือ อย่าไปมี ปล่อยให้พื้นที่บอบบางได้พักผ่อนมากที่สุด แต่ความจิรงๆ แล้ว นั่นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา เพราะถ้าคุณไม่ทำกิจกรรมเลย ทุกอย่างก็จะแย่ลงไปกว่าเดิม ต้องหาสาเหตุว่าเกิดจากอะไรแล้วแก้ที่ต้นเหตุดีกว่า

ความลับที่ 7 มีโอกาสติดโรคทางเพศสัมพันธ์ หรือ STD มากถ้าคุณชอบฝ่าไฟแดง
ไม่ใช่ไม่สะดวก แค่ที่นอนจะกลายเป็นสมรภูมิเลือด แต่สุขภาพอนามัยของน้องหนูเราจะบอบบางเซ็นซิทีฟมาก เพราะจะเป็นช่วงที่ความเป็นกรดด่างในช่องคลอดนั้นเปลี่ยนแปลงมากที่สุด ธรรมดาช่องคลอดเราจะเป็นกรด ซึ่งเป็นสภาวะที่แบคทีเรียเกลียด แต่เวลามี่มีประจำเดือนนั้นจะมีความเป็นด่างสูงขึ้น ซึ่งทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดี แต่ก็น่าแปลกนะ เวลาวันแดงเดือดทีไรซู่ซ่าเอาเรื่องทุกทีเลย

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

กินวิตามิน..เกลือแร่แก้แพ้อากาศ

ลดอาการแพ้อากาศได้โดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ พักผ่อนให้เพียงพอ และที่สำคัญควรกินผักผลไม้สด เพื่อให้ได้รับวิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยลดการแพ้อากาศ

วิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยลดการแพ้อากาศ ได้แก่

- วิตามินซี ช่วยป้องกันและเสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือด ป้องกันหวัดและการแพ้อากาศ แหล่งที่พบมากได้แก่ ฝรั่ง ส้ม และสับปะรด

- วิตามินอี ช่วยสร้างภูมิคุ้นกัน ต้านอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรง แหล่งที่พบมากได้แก่ ธัญพืช ข้างกล้อง และรำข้าว

- วิตามินเอ ช่วยต้านอนุมูลอิสระและเสริมสร้างการทำงานของเซลล์เม็ดเลือด แหล่งที่พบมากได้แก่ ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง แครอท มะเขือเทศ ฟักทอง มะละกอ และน้ำมันตับปลา

- สังกะสี (Zinc) ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย และป้องกันอนุมูลอิสระ แหล่งที่พบมากได้แก่ อาหารทะเล ธัญพืช และผลิตภัณฑ์นม

- ซิลิเนียม (Selenium) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน แหล่งที่พบมากได้แก่ เนื้อสัตว์ ธัญพืช จมูกข้าว รำข้าว เห็ด และกะหล่ำปลี

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากลดอาการแพ้อากาศ ลองหาวิตามินและเกลือแร่ที่แนะนำมาทานกัน

ผักรักษาโรค

ปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตอย่างหนึ่ง คือ อาหารในแต่ละวันร่างกาย ต้องการอาหารครบ 5 หมู่ อาหารแต่ละชนิด ให้คุณค่าแตกต่างกันไป อาหารพวก "ผัก" ไม่เพียงแต่รับประทานแล้วอร่อยและอิ่มท้องเท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าทางยาแอบแฝงอยู่อีกด้วย

ในผักมีอะไร

ผัก เป็นอาหารที่มีคุณค่ามากชนิดหนึ่ง เพราะมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการ เช่น เกลือแร่ วิตามิน อยู่เป็นจำนวนมาก สารบางอย่างจะมีเฉพาะในผักเท่านั้น สิ่งสำคัญ ที่พบมากในผักทุกชนิดคือ ใยพืช (Fiber) ซึ่งเป็นส่วนที่ย่อยไม่ได้ และไม่ให้พลังงาน นอกจากมีมากในผักแล้ว ยังพบได้ในถั่วต่างๆ เช่น ถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา ข้าวซ้อมมือ ข้าวแดง เป็นต้น

ใยพืชมีประโยชน์อย่างไร

1. ให้พลังงานน้อย

2. ลดอัตราการดูดซึมของน้ำตาล ทำให้ระดับน้ำตาลภายหลังอาหารลดลง

3. ช่วยลดการดูดซึมไขมัน

4. กระตุ้นลำไส้ให้ทำงานดีขึ้น ทำให้ท้องไม่ผูก ป้องกันโรคริดสีดวงทวาร โรคมะเร็งลำไส้ เป็นต้น

มากินผักกันเถอะ

การรับประทานผักจำนวนมากๆ หลายชนิดเป็นประจำ นอกจากทำให้ร่างกายแข็งแรง และเจริญเติบโตแล้ว ยังสามารถป้องกันโรคบางชนิดได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้

เห็ดหอม

เป็นเห็ดมีขายกันในรูปเห็ดตากแห้ง เห็ดหอมมีรสหวาน มีกลิ่นหอม สารเคมีที่พบมีเส้นใย ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็กและวิตามินบี มีการทดลองพบว่า เห็ดหอมมีฤทธิ์ลดโคเลสเตอรอลในเลือด ถ้ารับประทานเห็ดหอม เป็นยาบำรุงกำลังช่วยย่อย ลดอาการเบื่ออาหาร

งา

มีกลิ่นหอม มีน้ำมันมาก มีโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรด วิตามินบี 1, บี 2, วิตามินอี และเกลือแร่หลายชนิด สรรพคุณบำรุงกำลัง แก้ท้องผูก ผมหงอกก่อนวัย ลดโคเลสเตอรอลในเลือด และเสริมภูมิต้านทานโรค ถ้ารับประทานเป็นประจำ ข้อระวังผู้มีท้องร่วงเรื้อรัง ไม่ควรรับประทาน

ถั่ว

ได้แก่ ถั่วลันเตา ถั่วแขก มีสารอาหารที่สำคัญคือ โปรตีน ไขมัน และเกลือแร่หลายชนิด มีคุณค่าอาหารครบถ้วน มีสรรพคุณบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ ลดอาการบวมน้ำได้

ขี้เหล็ก

ใช้ใบรับประทาน ใบขี้เหล็กมีวิตามินเอ วิตามินซี เส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบี 1 และไนอาซิน สรรพคุณทางยาของใบขี้เหล็ก มีสารชนิดหนึ่งออกฤทธิ์ต่อประสาท ทำให้นอนหลับดี แก้ท้องผูกได้ดี และบำรุงร่างกาย

ตำลึง

เป็นไม้เถา ใช้ใบรับประทาน เป็นพืชมีคุณค่าสูงทั้งวิตามินเอ แคลเซียมช่วยบำรุงกระดูก ยังมีโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรด ฟอสฟอรัส เหล็ก เหมาะเป็นอาหารบำรุง นอกจากนี้ ตำลึงยังมีคุณสมบัติแก้แพ้ได้ดี โดยนำใบมาพอกบริเวณโดนสัตว์กัดต่อย

มะระ

เป็นผักจำพวกแตง มีรสขม เป็นยาดับร้อน ถอนพิษไข้ แก้กระหาย มีการทดลองกินมะระ ลดน้ำตาลในเลือดได้ (ส่วนเม็ดมะระจีนแก่จัด ตากแห้งแกะเปลือกนอกออก นำมาบดให้ละเอียด ละลายน้ำร้อนกินวันละครั้งก่อนนอน จะแก้อาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และกระตุ้นความรู้สึกทางเพศได้)

ผักกาด

ผักกาดมี 3 ชนิด ผักกาดขาว ผักกาดเขียว และผักกาดหอม ต่างมีสารอาหารเกลือแร่วิตามินครบบริบูรณ์ และมีเส้นใยอยู่จำนวนมาก การรับประทานเป็นประจำจะป้องกันอาการท้องผูก ลดการเป็นมะเร็งลำไส้ ส่วนผักกาดหอม สามารถป้องกันโรคความดันโลหิตสูง เพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด และวิตามินซีที่มีอยู่ในผัก จะสร้างเสริมภูมิต้านทานโรค

มะเขือยาว

มะเขือมีอยู่ 3 ชนิด เปลือกสีเขียว สีม่วง และสีขาว พบว่าเปลือกสีม่วงและสีขาวมีคุณภาพดีกว่าสีเขียว ในมะเขือมีวิตามินบี 1 จำนวนมาก ซึ่งช่วยเสริมการทำงานของสมอง ช่วยความจำ ลดอาการอ่อนเปลี้ยของสมอง ในมะเขือยาวนี้ มีโปรตีน แคลเซียม และวิตามินมากกว่ามะเขือเทศ การรับประทานเป็นประจำ จะช่วยให้เส้นเลือดไม่เปราะ ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง และโรคลักปิดลักเปิด

ปวยเล้ง

เป็นผักที่มีสีเขียวเข้มมีเส้นใย เกลือแร่ วิตามินซีจำนวนมาก และยังพบว่า มีกรดออกซาลิกอยู่มากเช่นกัน ซึ่งกรดนี้ถ้ารวมตัวกับแคลเซียม จะทำให้เกิดนิ่วได้ ก่อนบริโภค ควรลวกผักปวยเล้งให้สุกก่อนแล้วเทน้ำทิ้งไป จึงนำผักมาปรุงอาหารได้ ทำเช่นนี้กำจัดกรดออกซาลิกออกไป ปวยเล้ง ถ้ารับประทานเป็นประจำ จะยับยั้งการดำเนินของโรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวานอีกด้วย

แค

รับประทานดอกมีชนิดสีแดงและสีขาว มีสรรพคุณลดไข้ ส่วนใบแครับประทานเป็นยาระบายได้

หัวปลี

เป็นส่วนดอกของต้นกล้วย ใบหัวปลีมีธาตุเหล็ก จึงบำรุงเลือด แก้โลหิตจาง และยังคงลดน้ำตาลในเลือด และแก้โรคเกี่ยวกับลำไส้ การนำมาปรุงอาหารได้แก่ ยำหัวปลี หรือรับประทานสดก็ได้

เกร็ดเล็กน้อยในการปรุงอาหารผักให้ได้คุณค่า 1. การหั่นผักแล้วล้าง น้ำจะทำให้วิตามินซีในผักสูญเสียไป เพราะวิตามินซีสลายตัวได้ง่ายในน้ำ ดังนั้น จะต้องล้างผักก่อนแล้วจึงหั่น และเมื่อหั่นเสร็จแล้ว ควรปรุงทันที

2. หลังปรุงแล้วควรรับประทานทันที เพราะการทำทิ้งไว้นานๆ หลังปรุง จะทำให้สิ่งมีคุณค่าทางอาหารสูญเสียไปได้

3. วิธีการหุงต้มผักทุกชนิด ล้วนมีผลต่อการสูญเสียวิตามินซี เนื่องจากวิตามินซีละลายน้ำได้ ดังนั้น การรับประทานผักต้ม จะต้องรับประทานน้ำแกงด้วย การต้มควรจะต้มในน้ำน้อยๆ และใช้เวลาสั้นๆ

4. การปรุงอาหารจำพวกผัก ถ้าเติมน้ำส้มสายชูลงไปเล็กน้อย จะช่วยเพิ่มรสชาติอาหาร และรักษาวิตามินซีไว้ด้วย

5. เครื่องครัวที่ใช้ผัดหรือต้มผัก ควรเป็นพวกเหล็ก เพราะจะทำให้วิตามินสูญเสียน้อยกว่าพวกทองแดง

น.ส.ปาริชาติ กันทะวงค์ เลขที่10 มฟาร์อีสเทอร์น

โภชนาการกับการกีฬา

โภชนาการมีความสำคัญมากในการพัฒนาสมรรถภาพทางด้านกีฬา วิธีพัฒนาสมรรถภาพโดยการบริโภคที่ทำการโดยทั่วไปคือ บริโภคโปรตีนในปริมาณมากๆ โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ที่มีสีแดง เพื่อช่วยในการสร้างกล้ามเนื้อ ซึ่งประสิทธิภาพของวิธีดังกล่าวยังไม่แน่ชัด เพราะปริมาณของโปรตีนในอาหารทั่วไปที่บริโภคกันในทุกวันนี้ ก็มีมากกว่าปริมาณของโปรตีนในกล้ามเนื้อที่ร่างกายสังเคราะห์ได้ในแต่ละวัน

ในการเร่งการสังเคราะห์กล้ามเนื้อ นักกีฬาจะมีเป้าหมายในการหาวิธีที่สามารถฟื้นฟูเนื้อเยื่อได้เร็วที่สุด การทำให้กล้ามเนื้อเย็นตัวหรือร้อนขึ้นเพื่อลดอาการบวมและกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด การพักผ่อนอย่างเพียงพอ การบริหารร่างกายอย่างเบาๆ การนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อ รวมทั้งการบริโภคอาหารอย่างถูกหลักโภชนาการ เป็นหนทางที่ดีสำหรับการฟื้นฟูเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อ และก่อนเล่นกีฬา การดื่มน้ำหรือเครื่องดื่มที่มีสารละลายอิเล็กโทรไลต์ก็จะช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำของร่างกายได้

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

อาหาร 3 หมู่หลัก ที่ช่วยให้พลังงาน !!!

ในแต่ละวันปริมาณของพลังงานขั้นต่ำสุด ที่ถือว่าเพียงพอต่อร่างกายผู้หญิงจะอยู่ที่ 25 แคลอรีต่อหนักหนักตัว 1 กิโลกรัม เพราะฉะนั้น ถ้าหากคุณมีน้ำหนักตัว 50 กิโลกรัม คุณควรจะได้รับพลังงานจากอาหาร 1,250 แคลอรี ซึ่งประเภทของอาหารที่ให้พลังงาน ได้แก่

อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว ข้าวโพด ขนมปัง เส้นก๋วยเตี๋ยวชนิดต่างๆ เผือก มันเทศ ฝรั่ง ผลไม้ที่มีแป้งและน้ำตาลสูง ฯลฯ โดยคาร์โบไฮเดรต 1 กรัมจะให้พลังงานแก่ร่างกาย 4 แคลอรี ตามปกติ คนเรามักจะรับประทานอาหารประเภทนี้เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม ในแต่ละวันไม่ควรจะรับประทานคาร์โบเดรตมากเกินครึ่งของแคลอรี่ทั้งหมดที่ร่างกายต้องการ กล่าวคือ หากแบ่งอาหารที่ให้พลังงานทั้งหมดออกเป็น 6 ส่วนใน 3 ส่วน ควรจะเป็นคาร์โบไฮเดรต

อาหารประเภทโปรตีน ได้แก่ เนื้อสัตว์ต่างๆ ไข่ นม ถั่วชนิดต่างๆ ปริมาณของโปรตีน 1 กรัมจะให้พลังงาน 4 แคลอรี โปรตีนนับเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเสริมสร้างความเจริญเติบโตของร่างกาย และช่วยแซมเซลล์ส่วนที่สึกหรอ ฉะนั้นในแต่ละวันจึงควรรับประทานอาหารประเภทนี้อย่างน้อย 2 ใน 6 ส่วนของปริมาณแคลอรีทั้งหมดที่ร่างกายต้องการ

อาหารประเภทไขมัน อย่างเช่น เนย น้ำมันพืช กะทิ และไขมัน สัตว์ต่างๆ ซึ่งล้วนแต่ให้พลังงานสูง ไขมันเพียง 1 กรัม จะให้พลังงานได้ถึง 9 แคลอรี ด้วยเหตุนี้ หากยังต้องการรักษาหุ่นดีๆ ให้อยู่กับคุณนานๆ จึงไม่ควรรับประทานอาหารประเภทนี้ มากเกิน 1 ใน 6 ส่วนของปริมาณแคลอรีทั้งหมด ที่ร่างกายต้องการ

วิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญสำหรับผู้หญิง

นอกเหนือจากอาหาร 3 หมู่หลัก ที่ให้พลังงานแล้ว ร่างกายยังมีความต้องการวิตามิน และแร่ธาตุอื่นๆ อีกหลายชนิด ทั้งนี้วิตามิน และแร่ธาตุ ที่จำเป็นสำหรับสรีระร่างกายของผู้หญิงโดยเฉพาะ ได้แก่

โฟเลต ถ้าหากผู้หญิงได้รับวิตามินชนิดนี้น้อยเกินไป พวกเธอจะค่อยๆ เกิดอาการหงุดหงิด กระวนกระวาย และความจำไม่ดี หรือหลงลืมง่าย ยิ่งไปกว่านั้นโฟเลตยังมีความสำคัญต่อพัฒนาการของทารกในครรภ์อีกด้วย ฉะนั้น หญิงมีครรภ์จึงควรบำรุงโฟเลตเยอะๆ ซึ่งแหล่งอาหารที่อุดมด้วยโฟเลตก็คือ ผักสดชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ผักกาดขาว ผักกาดแก้ว คะน้า กวางตุ้ง ใบโหระพา หรือพืชผักในตระกูลถั่ว เช่น ถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา ถั่วเขียว นอกจากนั้นเนื้อสัตว์ ตับ นม และเนยแข็งก็มีโฟเลตอยู่มากพอสมควร

อย่างไรก็ดีโมเลกุลของโฟเลตเป็นอะไรที่สูญสลายได้ง่าย แค่คุณประกอบอาหารดังกล่าวด้วยความร้อนสูงเพียง 45 องศา อาหารนั้นก็แทบจะไม่เหลือโฟเลตให้คุณอีกเลย ฉะนั้นหากต้องการให้ได้คุณค่าของโฟเลตอย่างเต็มที่ ก็ควรจะรับประทานแบบสดๆ หรือพยายามให้อาหารผ่านความร้อนน้อยที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกพืชผัก ซึ่งมีผักอยู่หลายชนิดที่เราสามารถนำมารับประทานทั้งที่ยังสดๆ ได้อย่างปลอดภัย แต่สำหรับเนื้อสัตว์ และตับนั้น ห้ามนำมารับประทานแบบดิบๆ อย่างเด็ดขาด

เหล็ก สารอาหารที่จำเป็นต่อการช่วยบำรุงเซลล์เม็ดเลือด ให้มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง สามารถลำเลียงออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่างๆ ทั่วร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญสำหรับความเป็นหญิง ผู้ซึ่งต้องสูญเสียเลือด และมีการผลิตเลือดใหม่ในทุกรอบเดือน ยิ่งทำให้ร่างกายไม่อาจขาดธาตุเหล็กได้ แหล่งอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง ได้แก่ เนื้อสัตว์ ตับ ไข่แดง ผักใบเขียว ถั่วเหลือง และพืชตระกูลถั่ว อย่างไรตามธาตุเหล็กจะสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น หากได้วิตามินซีเข้ามาช่วย

แคลเซียม แร่ธาตุที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับความแข็งแรงของกระดูก และฟัน เป็นสารอาหารสำคัญอีกตัวหนึ่ง ที่ผู้หญิงไม่ควรขาด เพราะร่างกายของเพศหญิงโดยเฉพาะในวัยที่หมดประจำเดือนไปแล้ว จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนได้สูงกว่าชาย ทั้งนี้เป็นผลมาจากการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำให้การดูดซึมแคลเซียมเป็นไปได้ยาก แหล่งอาหารที่อุดมด้วยแคลเซียม ซึ่งหลายคนต่างก็รู้ดีว่ามีมากก็คือ นม นอกจากนี้ในพืชผักใบเขียวหลายชนิดอย่าง คะน้า ผักกระเฉด ยอดแค ผักขม ก็เพียบพร้อมไปด้วยแคลเซียมสูง ไม่แพ้นมเช่นกัน

แมกนีเซียม เป็นธาตุอาหารที่มีประโยชน์ต่อการช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่กระดูก และฟันอีกตัวหนึ่งโดยจะเข้าไปช่วยทำหน้าที่ควบคุมปริมาณแคลเซียมให้พอเพียงกับร่างกายอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งยังมีส่วนช่วยควบคุมระบบการทำงานของประสาท ที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของร่างกายด้วย แหล่งของอาหารที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของร่างกาย ที่มีแมกนีเซียมอยู่มาก ได้แก่ ขนมปังโฮลวีต สาหร่าย กล้วย และผักใบเขียวต่างๆ

นงนุช คำแปง วิทย์ออก เลขที่ 77

สวัสดีค่ะ

...ปีใหม่2009 ล่วงหน้าค่ะ

ดูแลสุขภาพด้วยนะค่ะ

มีเรื่องระวังตอนหน้าหนาวค่ะ..

เด็ก - ผู้สูงอายุ ดูแลสุขภาพช่วงหน้าหนาว

ในขณะที่ลมหนาวเริ่มพัดโชยมาอีกรอบในปีนี้ ประชาชนควรต้องดูแลสุขภาพมากเป็นพิเศษ กรมควบคุมโรค แนะนำว่า ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเด็ก และผู้สูงอายุ และวัยทำงาน ต้องดูแลตัวเองให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่อย่างนั้นอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสได้ง่าย

โรคที่มากับหน้าหนาว คือโรคทางเดินหายใจ จะมีอาการคออักเสบ หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ ปอดบวม เพราะเชื้อไวรัสที่ชอบอากาศเย็น และแพร่ระบาดได้ง่ายในหน้าหนาว ส่วนโรคทั่วไปที่พบได้ในหน้าหนาว เช่น ซาร์ส ไข้หวัดนก ซึ่งเป็นโรคร้ายแรง นอกจากนั้นก็มีโรคหัดธรรมดา หัดเยอรมัน โรคคางทูม และโรคฉี่หนู

ในช่วงต้นฤดูหนาวนี้ ประชาชนควรดูแลร่างกายให้แข็งแรง ทำร่างกายให้อบอุ่น พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารให้ครบทุกหมู่ จะช่วยสร้างภูมิต้านทานโรคได้ หากพบผู้ใกล้ชิดเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ ควรระวังไม่ไอจามใส่กัน เพราะอาจจะรับเชื้อได้ง่าย

เรื่องอาหารก็ต้องระวังเรื่องน้ำดื่ม ควรดื่มน้ำสะอาด หรือต้มให้สุกก่อน เพราะอาจติดเชื้อโรคได้ง่าย

สำหรับในชนบทที่มีน้ำน้อย ประชาชนควรเก็บกักน้ำส่วนหนึ่งไว้เพื่อใช้ดื่มโดยเฉพาะ และควรต้มให้สุกก่อนดื่ม เพราะเชื้อไวรัสจะตายในความร้อนที่ระดับ 65 องศาเซลเซียสขึ้นไป การต้มน้ำให้เดือด จึงทำให้ปลอดภัยจากเชื้อโรคได้

โรคจิต 2 อารมณ์ สุขเกินไป เศร้าเกินเหตุ

 

 

ไบโพล่าร์ หรือโรคอารมณ์สองขั้ว (bipolar หรือ manic-depressive disorder) เป็นโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่ง เกิดจากความผิดปกติของสารสื่อประสาทในสมอง ที่ทางการแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ร่วมกับสองปัจจัยข้างเคียงที่กระตุ้นให้เกิดโรคได้ คือ ความเครียดและสภาวะแวดล้อม

แม้สาเหตุหลักจะเป็นความผิดปกติทางกายภาพ แต่เพราะลักษณะอาการของผู้ป่วยที่แสดงออกทางอารมณ์ โรคนี้จึงจัดอยู่ในกลุ่มของอาการผิดปกติทางอารมณ์ (mood disorder) เหมือนกับโรคซึมเศร้า (depression) และโรคอารมณ์ดีผิดปกติ (mania) แต่ที่แตกต่างและน่าเป็นห่วงกว่าคือ ไบโพล่าร์สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้

ขั้วที่หนึ่ง : อาการของโรคซึมเศร้า ผู้ป่วยจะมีความรู้สึกแง่ลบตลอดเวลา ท้อแท้ หดหู่ สลดใจ หมดความสนใจในกิจกรรมที่เคยชื่นชอบ มีอาการต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 2 สัปดาห์ หากปล่อยทิ้งไว้จะทวีความรุนแรงจนถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย โรคนี้รักษาไม่ได้ด้วยตนเอง ต้องได้รับการบำบัดจากจิตแพทย์

ขั้วที่สอง : อาการของโรคอารมณ์ดีผิดปกติ ผู้ป่วยโรคนี้จะมีความรู้สึกแง่บวกตลอดเวลา พูดมาก ชอบเข้าไปวุ่นวายกับคนอื่น มีพลังเหลือเฟือ ความคิดโลดแล่น อยากทำสิ่งต่างๆมากมาย บางรายอาจรู้สึกว่าตนเป็นผู้วิเศษ หรือมีความต้องการทางเพศสูง ความต้องการนอนหลับพักผ่อนน้อย และก้าวร้าวผิดปกติ เป็นต้น

            หากเอาอารมณ์ขั้วที่หนึ่ง คือซึมเศร้า มารวมกับอารมณ์ขั้วที่สองคือ อารมณ์ดีผิดปกติ จะหมายถึง โรคอารมณ์สองขั้วหรือไบโพล่าร์ อาการดังกล่าวอาจเกิดขึ้นเป็นช่วงๆ สลับกัน เช่น บางช่วงเศร้า บางช่วงร่าเริง และบางครั้งในช่วงเวลาเดียวกันก็อาจมีทั้งร่าเริงและเศร้าปนกันก็ได้

            โดยธรรมชาติของผู้ป่วยทางจิตเวช มักไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นโรค ผู้ป่วยไบโพล่าร์เองก็เช่นกัน ฉะนั้นคนที่จะบอกได้คือคนในครอบครัว หรือเพื่อนฝูง ซึ่งสิ่งที่จะบ่งชี้ว่าเข้าขั้นไบโพล่าร์หรือไม่นั้นคือ ผู้ป่วยต้องมีอาการทั้งซึมเศร้าและอารมณ์ดีผิดปกติสลับกันไป ต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 2 สัปดาห์ และส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต ส่วนจะแสดงอาการขั้วไหนก่อนขึ้นอยู่กับสิ่งเร้าต่างๆ ทั้งความเครียด สถานการณ์ สิ่งแวดล้อม และหน้าที่การงาน เป็นต้น หากคนใกล้ตัวมีอาการดังนี้ ญาติหรือผู้ใกล้ชิดควรนำตัวมาพบจิตแพทย์โดยเร็ว

เมื่อไบโพล่าร์คุกคามชีวิต

   แม้ทุกช่วงจังหวะชีวิตคนจะต้องมีทั้งสุขและเศร้า แต่จังหวะการขึ้นลงของอารมณ์ในผู้ที่ ป่วยเป็นไบโพล่าร์ไม่ใช่เรื่องปกติ บางช่วงที่มีอาการของโรคซึมเศร้า ผู้ป่วยอาจถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับ ร้องไห้ง่าย เบื่อหน่ายชีวิต เก็บเนื้อเก็บตัว หงุดหงิด ก้าวร้าว โมโหง่ายอย่างไร้สาเหตุ ส่วนช่วงที่อารมณ์ดีผิดปกติ ผู้ป่วยก็อาจพูดมาก หัวเราะง่าย จุ้นจ้านวุ่นวาย ใช้เงินเปลือง ขยันขันแข็งเกินเหตุ ไม่หลับไม่นอน เกิดภาพหลอน หลงผิด หูแว่ว ไบโพล่าร์เกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะ

  • วัยรุ่นที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ซึ่งจะมีอารมณ์หุนหันพลันแล่น แปรปรวนง่าย เด็กบางคนอาจเที่ยวจัด ดื่มจัด มั่วเซ็กส์ หลายคนอาจมองว่าเป็นความคะนองหรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ความจริงแล้ว บางครั้งอาการเหล่านี้ก็บ่งชี้ว่าเป็นไบโพล่าร์ได้เหมือนกัน ควรได้รับการตรวจจากจิตแพทย์ว่าเป็นหรือไม่เพื่อรับการบำบัดต่อไป
  • วัยทำงาน ที่ต้องเผชิญความเครียดสูง ทั้งจากความรับผิดชอบในหน้าที่การงาน และการเอาตัวรอดในสังคม
  • ผู้ที่มีคนในครอบครัวป่วยเป็นไบโพล่าร์ ซึ่งจะมีโอกาสเกิดโรคสูงกว่าคนทั่วไปถึง 8 เท่า แต่อาการของโรคอาจไม่แสดงออกกับทุกคน คล้ายกับมีพาหะของโรคที่จะแสดงอาการต่อเมื่อได้รับแรงกระตุ้นจากเรื่องราวที่กระทบกระเทือนจิตใจมากๆ หรือแม้กระทั่งการนั่งสมาธิบ่อยๆ เพราะการทำสมาธินั้นจะไปทำให้สารสื่อประสาทและคลื่นความถี่ในสมองที่ผิดปกติอยู่แล้วเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าเดิม

 

3 วิธีรับมือไบโพล่าร์

  1. รักษาด้วยยา โดยแพทย์จะให้ยาในกลุ่มควบคุมอารมณ์ (mood stabilizers) ยาแก้โรคจิต (antipsychotics) และยาแก้โรคซึมเศร้า (antidepressants) เพื่อปรับระดับสารสื่อประสาทในสมองให้เข้าสู่ภาวะสมดุล ผู้ป่วยต้องได้รับยาต่อเนื่อง ไม่น้อยกว่า 2 ปี หากกินไม่ครบตามกำหนดต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ ทำให้เวลาที่ต้องกินยายาวนานมากขึ้น หรือในบางรายอาจต้องกินไปตลอดชีวิต
  2. รักษาด้านจิตใจ เช่น ทำจิตบำบัดเป็นขั้นเป็นตอนอย่างต่อเนื่องโดยจิตแพทย์ เพื่อลดปัญหาทางด้านจิตใจที่อาจจะเป็นตัวกระตุ้นให้อาการกำเริบอีก ทั้งนี้อาจใช้เวลานานขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยแต่ละคน ในการรักษาแพทย์และผู้ป่วยจะต้องอดทนและความร่วมมือกัน จะได้ผลดีกว่าการใช้ยาเพียงอย่างเดียว
  3. รักษาทางสังคม คือ การปรับสิ่งแวดล้อมและให้ครอบครัวมีส่วนร่วมบำบัดผู้ป่วย ไม่ว่าจะเป็นการช่วยลดความเครียด ให้กำลังใจ เข้าใจและยอมรับผู้ป่วย จะช่วยเสริมการรักษาทั้งสองวิธีข้างต้นให้ได้ผลดียิ่งขึ้น

Power Of Music : เมื่อดนตรีเยียวยาใจ

  

ดนตรี คือ เสียงที่จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ และมีแบบแผนโครงสร้าง แม้ยังไม่อาจสรุปได้ว่าว่ากลไกของดนตรีมีผลต่อร่างกายมากเพียงไหน แต่ก็มีการวิเคราะห์ว่า ร่างกายคนเราตอบสนองต่อดนตรี 2 ลักษณะ ได้แก่

  • การรับเสียงด้วยร่างกาย คือ เมื่อเสียงเพลงซึ่งเป็นคลื่นเสียงผ่านเข้ามาทางหู อวัยวะต่างๆ ในร่างกายจะปรับคลื่นความถี่ (การเคลื่อนไหว) ให้ใกล้เคียงกับเสียงที่ได้ยิน ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ระดับอวัยวะ อะตอม และโมเลกุล
  • การรับเสียงด้วยประสาทหูและสมองนอีกด้านหนึ่งเมื่อเสียงผ่านเข้ามาในหู เซลล์รับเสียง (Hair Cell) จะเปลี่ยนคลื่นเสียงเป็นกระแสประสาทส่งไปสมองเพื่อแปลความหมาย ซึ่งหูขวาจะรับเสียงพูดปกติและส่งไปแปลความยังสมองซีกซ้าย แต่หูซ้ายจะรับเสียงดนตรีหรือเสียงที่ไม่ใช่เสียงพูด(ได้ดีกว่า) และส่งไปแปลความยังสมองซีกขวา ซึ่งนักวิจัยสรุปว่าสมองซีกขวาส่วน Temporal lobe เป็นส่วนที่ทำให้เกิดจินตนาการจากการฟังเพลง

อิทธิพลของดนตรี

   เมื่อฟังดนตรีจะเกิดความเปลี่ยนแปลง 3 ด้าน คือ

  1. ร่างกาย เกิดการเปลี่ยนแปลงอัตราการหายใจ การเต้นของชีพจร ความดันโลหิต การตอบสนองของม่านตา ความตึงตัวกล้ามเนื้อ รวมถึงระบบไหลเวียนโลหิต
  2. จิตใจและสมอง ดนตรีทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสติสัมปชัญญะ จินตนาการ การยอมรับความจริง 
  3. อารมณ์ ดนตรีช่วย ลดความกระวนกระวาย ความวิตกกังวล ความเจ็บปวด ความเครียด อารมณ์ซึมเศร้า ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจ ทำให้จิตใจสงบ และเพิ่มภูมิต้านทานร่างกาย 

องค์ประกอบต่างๆ ทางดนตรีก็มีประโยชน์ต่างกัน คือ

  • จังหวะหรือลีลา (Rhythm) ถ้าต้องการฟังเพลงเพื่อผ่อนคลาย หรือคลายเครียด ไม่ควรฟังเพลงที่ดนตรีรุนแรงหรือจังหวะเร็วเกินไป
  • ระดับเสียง (Pitch) เสียงระดับต่ำ หรือสูงปานกลาง ทำให้รู้สึกสงบมากกว่าเสียงสูง
  • ความดัง (Volume/ Intensity) เสียงดังพอดีช่วยจัดระเบียบความคิด ควบคุมอารมณ์ได้ดี รู้สึกสงบ และมีสมาธิ นอกจากนี้เสียงที่เบานุ่มยังช่วยให้สงบสุข สบายใจ ในขณะที่เสียงดังทำให้กล้ามเนื้อเกร็ง กระตุก 
  • ทำนองเพลง (Melody) ช่วยระบายความรู้สึกส่วนลึกของจิตใจ สร้างความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และลดความวิตกกังวล
  • การประสานเสียง (Harmony) ช่วยวัดระดับอารมณ์ ความรู้สึกของผู้ฟังเพลง สังเกตได้จากปฏิกิริยาที่แสดงออกเมื่อฟังเสียงประสานแบบต่างๆ จากบทเพลง

   อย่างไรก็ตามมีงานวิจัยพบว่าเมื่อได้ฟังเพลงที่ชอบร่างกายจะลดการหลั่งสารคอร์ติซอน (Cortisone) ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย คลายเครียด แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่ต้องฟังเพลงที่ไม่ชอบก็จะเกิดความเครียด หงุดหงิด ได้ 

ดนตรีบำบัด : เมื่อเสียงเพลงให้มากกว่าความสุข

   ดนตรีบำบัด (Music Therapy) คือ ศาสตร์ที่ใช้ดนตรี หรือองค์ประกอบอื่นๆ ทางดนตรีมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนา ปรับเปลี่ยน หรือคงไว้ซึ่งสุขภาวะที่ดีของร่างกาย จิตใจ อารมณ์ ดนตรีบำบัดถูกนำมาใช้ครั้งแรกในสมัยกรีกโบราณเพื่อรักษาอาการซึมเศร้า ซึ่งปัจจุบันดนตรีบำบัดถูกนำมาใช้ทั้งในโรงพยาบาล โรงเรียน สถานพินิจ ฯลฯ

   ประโยชน์ของดนตรีบำบัดมีหลายด้าน เช่น ช่วยปรับสภาพจิตใจ, การมองโลกแง่ดี, ผ่อนคลายความเครียด ลดความวิตกกังวล, กระตุ้นเสริมสร้างและพัฒนาทักษะการเรียนรู้, กระตุ้นประสาทสัมผัส การรับรู้, สร้างสมาธิ, พัฒนาทักษะสังคม การสื่อสารและการใช้ภาษา ทักษะการเคลื่อนไหว, ลดความตึงของกล้ามเนื้อ ลดความเจ็บปวด, ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม, เสริมกระบวนการบำบัดทางจิตเวช  ทั้งการประเมินความรู้สึก การควบคุมตัวเอง แก้ปมขัดแย้งต่างๆ และช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่น 

   เพลงที่นิยมใช้ในการทำดนตรีบำบัดได้แก่ คลาสสิค (Classical music) ดนตรีในระหว่างยุคพ.ศ.2313-2373 ในยุคแรกลักษณะดนตรีมีรูปแบบชัดเจน สมดุล มีเสียงดนตรีตลอดไม่มีการหยุด 
 
   ดนตรี New Age เป็นดนตรีที่คิดขึ้นเพื่อส่งเสริมสุขภาพ ถูกคิดขึ้นในช่วงปีพ.ศ.2503 เพื่อช่วยในการผ่าตัดและลดความเครียด มีเสียงดนตรีเรียบไพเราะ สร้างบรรยากาศผ่อนคลายทำให้เกิดสมาธิ

   การทำดนตรีบำบัด ไม่มีกระบวนการและรูปแบบที่ตายตัว แต่จะออกแบบให้เหมาะกับแต่ละคน มีการวางแผนบำบัดเป็นรายคนไป โดยมีขั้นตอนหลักๆ คือ

  • ขั้นประเมินผู้รับการบำบัด
    - ศึกษาข้อมูลของผู้รับการบำบัดทั้งประวัติส่วนตัว และประวัติทางการแพทย์
    - ประเมินปัญหา และเป้าหมายที่ต้องการบำบัด
    - ประเมินสุขภาวะ ร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคม และทัศนคติเบื้องต้น ประเภทดนตรีที่ชอบและไม่ชอบ
  • ขั้นวางแผนการบำบัด
    - ออกแบบรูปแบบการบำบัด ซึ่งอาจเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่ม ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์การบำบัดเป็นสำคัญ
    - ผสมผสานกระบวนการต่างๆ ทางดนตรี เช่น ร้องเพลง แต่งเพลง ประสานเสียง จินตนาการตาม หรือลีลาประกอบ
  • ดำเนินการบำบัด
    - สร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้บำบัดและผู้รับการบำบัด 
    - ทำดนตรีบำบัดร่วมกับการรักษารูปแบบอื่นๆ (ในกรณีที่จำเป็น)
  • ประเมินผลการบำบัด
    - ประเมินผลอย่างต่อเนื่อง และปรับแผนการบำบัดให้เหมาะสม

   โดยการทำดนตรีบำบัดแต่ละครั้ง ควรมีเวลาครั้งละ 1 -1.30 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง แต่อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับความพร้อมและข้อตกลงของผู้บำบัด และผู้รับการบำบัดด้วยว่าต้องการแบบใด นอกจากนี้การเลือกสถานที่บำบัดก็เป็นเรื่องสำคัญ ควรเลือกสถานที่ที่มีความน่าเชื่อถือ หรือได้รับการรับรองจากหน่วยงานราชการด้วย

พิมพา ฟาร์อีสเทิร์น

5 วิธีสร้างพลังผิว

มีข้อมูลจาก น.พ.นิโคลัส เพอริโคน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและผู้แต่งหนังสือ The Wrinkle Cure บอกไว้ว่า จำนวนผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งผิวหนังมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น จากสถิติเมื่อก่อน 1 ใน 10000 คน ปัจจุบัน พบเพิ่มขึ้นเป็น 1 ใน 93 คน

สาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ส่วนหนึ่งก็คงจะเป็นเพราะอุณหภูมิของโลกที่สูงมากขึ้นทุกๆ วัน จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก รังสีอัลตราไวโอเล็ตทั้ง UVA และ UVB สามารถผ่านมากระทบกับผิวหนังเรามากขึ้น เหตุก็เนื่องมาจากชั้นโอโซนถูกทำลายไปมาก

แล้วเราจะสามารถป้องกันให้ผิวเราปลอดภัยจากโรคมะเร็งผิวหนังได้อย่างไร ผมมีวิธีครับ

1. ยอมรับในสิ่งที่ธรรมชาติให้มา

หลายคนอยากมีผิวสวยใส ไร้ที่ติ ใบหน้าขาวผ่องเป็นยองใย ก็เลยสรรหาผลิตภัณฑ์ที่จะเป็นตัวช่วยให้ผิวหน้าขาวขึ้น แต่ทราบไหมว่าผลิตภัณฑ์ไวเทนนิ่งพวกนี้จะเข้าไปหยุดการทำงานของเมลาโนไซด์ ทำให้ผิวหนังของเราบางลง เมื่อเราไปถูกแสงแดดกระทบนานๆ เข้า แม้จะแค่ครั้งหรือสองครั้งก็ตาม ก็มีสิทธิ์ที่จะทำให้มีแนวโน้มของการเกิดมะเร็งผิวหนังได้

2. อาหารเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

อาหารเสริมมีส่วนช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันรังสีอัลตราไวโอเล็ตมากขึ้น อย่างเช่น เบต้าแคโรทีน สามารถทำให้ผิวพรรณผ่องใส มีสารป้องกันอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง เพราะสารแคโรทีนอยด์จะไปสะสมที่ผิวหนังทำให้สามารถป้องกันรังสีอัลตราไวโอเล็ตได้มากกว่าเดิม หรือจะเป็นวิตามินซีก็มีส่วนช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ต่อต้านอนุมูลอิสระ และยังส่งเสริมให้ร่างกายนำเอาวิตามินอีไปใช้เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ทรงประสิทธิภาพอีกด้วย

3. หลีกให้พ้นสารเคมี

ทราบกันดีอยู่แล้วว่า สารเคมีต่างๆ ที่ตกค้างตามผิวหนัง ล้วนมีโอกาสที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้ ดังนั้นเราควรจะหลีกเลี่ยงให้พ้นสารเคมีเหล่านี้ แต่ถ้าจำเป็นที่จะต้องเกี่ยวข้องกับสารเคมี ก็ควรที่จะมีการป้องกันด้วยเสื้อผ้าที่ปิดมิดชิด

4. หลีกเลี่ยงแสงแดด

การอยู่ท่ามกลางแสงแดดเป็นเวลานานๆ จะทำให้ผิวหนังของเราเกิดอาการถูกแดดเผา และผู้ที่ถูกแสงแดดเป็นประจำ อาจจะมีผลทำให้เกิดโรคมะเร็งผิวหนังชนิดต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดฝ้าแดดและมะเร็งที่ผิวหนัง ดังนั้นเราควรที่จะหลีกเลี่ยงการออกแดด โดยเฉพาะในเวลาตอนกลางวัน

5. กันไว้ก่อน พ่อสอนไว้

หากจำเป็นที่จะต้องออกไปข้างนอก รังสี UVA และ UVB ที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน อาจจะส่งผลให้ผิวหนังเราไหม้ได้ ดังนั้น จึงควรที่ปกป้องผิวหนังด้วยครีมกันแดด ยิ่งปัจจุบัน ครีมกันแดดก็ไม่เหนียวเหนอะหนะเหมือนเมื่อก่อนจึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ใช้ครีมกันแดด

พิมพา ฟาร์อีสเทิร์น

ลดอาการผิวแห้งด้วยผลไม้สด

ทราบหรือไม่ว่า นอกจากผลไม้สดจะให้ประโยชน์แก่ร่างกายแล้ว ยังสามารถลดอาการผิวแห้งได้ด้วย ลองอ่านดูนะ...

ผลไม้สดอร่อยๆ มีให้เลือกกินมากมาย แต่อย่าปล่อยให้ความสดหวานผ่านลงท้องไปเพียงอย่างเดียว ผลไม้สดนั้นยังสามารถนำมาใช้พอกผิวเพิ่มความเนียนใส ไร้จุดแห้งกร้านได้ด้วย

วิธีคือ คัดผลไม้สดๆ อย่าง องุ่น กล้วย เอาแบบสุกพอดีๆ อย่างอมเกินไป พร้อมด้วยโยเกิร์ตรสธรรมชาติ นมสด และ น้ำผึ้งอย่างละพอประมาณ มาปั่นรวมกันจนได้เป็นครีม พอกนวดให้ทั่วผิวกาย เน้นที่จุดแห้งกร้านอย่างข้อศอก หัวเข่า เท้า แล้วทิ้งไว้สักประมาณ 15 นาที ค่อยล้างออก

เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื่น น่าสัมผัสเชียว

พิมพา ฟาร์อีสเทิร์น

ออกกำลังกายมากไปก็ไม่ดี

ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพออกมาระบุตรงกันว่า ในแต่ละครั้งคนเราไม่ควรออกกำลังกายเกินกว่า 60 นาที (หรือ 75 นาที สำหรับผู้มีประสบการณ์) และ "ต้อง" พักอย่างน้อย 1 วัน/สัปดาห์ เพราะทุกครั้งที่ออกกำลังกายต้องอาศัย “ไกลโครเจน” ถ้าไกลโครเจนหมดลง ร่างกายก็จะละลายกล้ามเนื้อมาเป็นพลังงานเสริม ซึ่งจะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี

ตามทฤษฎีแล้ว คนทั่วไปจะมีไกลโครเจนเพียงพอต่อกิจกรรมต่าง ๆ ดังนี้

1. กิจกรรมประเภทใช้พลังงานแบบ Aerobic ที่มีความเข้มข้นระดับปานกลางถึงค่อนข้างสูง ครั้งละ 90-180 นาที

2. กิจกรรมประเภทใช้พลังงานแบบ Anaerobic เช่น การยกเวท ครั้งละ 30-45 นาที

3. กิจกรรมประเภท Interval ที่ใช้พลังงานแบบ Aerobic ปนกับ Anaerobic ครั้งละ 45-90 นาที

ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เป็นตัวเลขทางทฤษฎีสำหรับ “คนปกติ” ที่ทานอาหารอย่างเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย หมายความว่าร่างกายได้เติมเต็มไกลโครเจนไว้อย่างเต็มเปี่ยมแล้ว ส่วนคนที่ "กำลังลดความอ้วน" ซึ่งปกติต้องควบคุมอาหารโดยเฉพาะคาร์โบไฮเดรต ทำให้ปริมาณไกลโครเจนลดลง ย่อมไม่สามารถใช้ตัวเลขดังกล่าวได้

ดังนั้นเวลาไปออกกำลังกายตามที่ต่างๆ หากคุณอยู่ในช่วงลดน้ำหนักหรือลดความอ้วน เมื่อเห็นคนอื่นออกกำลังกายกันนาน ๆ อย่าพยายามทำตามจะดีกว่า

สำหรับเหตุผลที่ผู้เชี่ยวชาญออกมาบอกว่า ปริมาณที่พอเหมาะในการออกกำลังกายทุกประเภท คือครั้งละประมาณ 1 ชั่วโมง และควรพักอย่างน้อย 1 วัน/สัปดาห์ มีดังนี้…

1. แม้คุณจะมีพลังงานเพียงพอต่อการออกกำลังกายแต่ละครั้ง แต่ปฏิกิริยาทางเคมีในร่างกายจะเปลี่ยนไป ทำให้เกิดความเครียดขึ้นมาได้ และร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนเครียดออกมา เรียกกันว่า “คอร์ติโซล” (cortisol) ทำให้มีผลเสียตามมามากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือกล้ามเนื้อบาดเจ็บ การพักอย่างน้อย 1 วัน/สัปดาห์ จะช่วยปรับลดฮอร์โมนดังกล่าวให้ลงมาอยู่ในระดับที่สมดุล

2. การหยุดอย่างน้อย 1 วันเป็นการพักร่างกายให้ฟื้นตัว พร้อมจะทำกิจกรรมต่อไปอย่างสม่ำเสมอ

3. หากคุณออกกำลังกายนานๆ โดยไม่มีวันพัก ร่างกายจะคุ้นเคยกับการออกกำลังกายดังกล่าวเร็วกว่าที่ควรจะเป็น การเผาผลาญพลังงานในกิจกรรมนั้น ๆ ก็น้อยกว่าที่ควรจะเป็นตามไปด้วย

ไม่น่าเชื่อแต่ต้องเชื่อ ว่าหลักการแห่งความพอเพียงและสมดุล ก็สามารถใช้กับเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์ เลขที่ 2

บอกลา...ปัญหาผมร่วง

เมื่อเรามีอายุเพิ่มมากขึ้น เส้นผมก็เริ่มหมดอายุ หลุดร่วงไปบ้าง แล้วก็มีการสร้างขึ้นใหม่ แต่ในบางคน ผมร่วงก่อนวัย ก็อาจจะไม่มีการสร้างขึ้นมาใหม่ ก่อนที่จะป้องกันไม่ให้ผมร่วง ต้องทราบสาเหตุก่อนว่าเกิดจากอะไร วันนี้เกร็ดความรู้มีวิธีป้องกันผมร่วงมาบอกกัน...

สาเหตุหลักที่ทำให้ผมร่วง

1. ได้รับสารเคมีบ่อย ๆ เป็นประจำ เช่น น้ำยาดัดผม, สเปรย์, คลอรีนที่อยู่ในน้ำ

2. ใช้ยาสระผม และครีมนวดผม ที่ไม่ถูกกับหนังศีรษะ

3. เกิดจากความเครียด

4. ติดยาเสพติด, ติดบุหรี่

5. เป็นโรคร้าย เช่น มะเร็ง

6. ขาดสารอาหาร โดยเฉพาะโปรตีนจากสัตว์

7. ภาวะหลังคลอดบุตร ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ไม่ต้องตกใจ ผมที่ร่วงหลุดไป จะมีการสร้างขึ้นมาใหม่อีก

วิธีป้องกันผมร่วง

1. เลือกรับประทานอาหารและของที่มีประโยชน์กับเส้นผม เช่น ธัญพืช, ข้าวกล้อง, งาดำ, เมล็ดทานตะวัน, ฟักทอง

2. ควรนวดหนังศีรษะเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด เพื่อบำรุงรากผมบ้าง

3. ควรทำความสะอาดผมอย่างสม่ำเสมอ

4. ควรใส่ครีมบำรุงผม ทุกครั้งที่สระผม

5. ควรรับประทานแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อรากผม เช่น Biotin ช่วยให้อาการผมบางดีขึ้น และมีการสร้างผมใหม่ขึ้นมาทดแทน, Zine ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่เมื่อร่างกายขาด จะทำให้ผมร่วง

ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติกันดู จะช่วยคุณแก้ปัญหาผมร่วงได้

พิมพา ฟาร์อีสเทิร์น

ดูแลสุขภาพผิวต้อนรับปาร์ตี้ปีใหม่

ช่วงเวลาของการเฉลิมฉลองที่หนุ่มสาววัยทำงานจะต้องไปงานเลี้ยงสังสรรค์ปีใหม่ ทั้งของที่ทำงาน นัดรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ แถมยังมีปาร์ตี้เคานต์ดาวน์รับปีใหม่อีก จึงต้องเตรียมตัวเองให้สดชื่น สุขภาพดี เพื่อเป็นสัญญาณการรับสิ่งดีๆ ที่กำลัง จะเข้ามาในชีวิตในปีหน้า

ประเสริฐ ศรีอุฬารพงศ์ ผู้บริหารไลฟ์เซ็นเตอร์ ศูนย์รวมคลินิกเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ศูนย์ความงามและไลฟ์สไตล์ช็อปครบวงจรตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า กล่าวว่า ปัจจุบันการดูแลความสวยงามของผิวพรรณไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผู้หญิงเท่านั้น แต่ผู้ชายก็หันมาใส่ใจกับการดูแลบำรุงสุขภาพผิวของตนเองเช่นกัน จึงมีคำแนะนำควบคู่กันมาฝาก

เริ่มที่สุขภาพผิวที่ต้องผจญกับทั้งฝุ่นละออง ความเครียด ความอ่อนล้า สภาพผิวหน้าจากภายนอกจึงสะท้อนถึงสุขภาพของระบบต่างๆ ภายในร่าง กาย เป็นภูมิปัญญาในศาสตร์ของจีนโบราณ

จากวิธีการบำรุงผิวหน้าที่เรียกว่า "เฟซ แม็ปปิ้ง" เน้นการวิเคราะห์สุขภาพผิวหน้าควบคู่ไปกับปัญหาสุขภาพร่างกาย โดยแบ่งความสัมพันธ์ของผิวหน้าและระบบต่างๆ ทั่วร่าง กายออกเป็น 9 โซนด้วยกัน ได้แก่

โซนหน้าผาก สัมพันธ์กับระบบการย่อยอาหารและกระเพาะปัสสาวะ หากผิวบริเวณนี้เกิดสิวอักเสบ หรือผิวหน้าแห้งกร้านบ่อยๆ ควรดื่มน้ำให้มากขึ้น เพื่อขับของเสียออกจากร่างกาย หมั่นออกกำลังกาย และรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่

โซนคิ้ว สัมพันธ์กับการทำงานของตับ ปัญหาผิวหน้าที่เกิดบริเวณนี้มักเป็นปัญหาสิวอุดตัน เกิดจากการพักผ่อนน้อย และดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง

โซนใบหู สัมพันธ์กับการทำงานของไต ถ้าใบหูแดงหรือร้อน ควรดื่มน้ำมากๆ ลดเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนและแอลกอฮอล์

โซนแก้ม สัมพันธ์กับระบบทางเดินหาย ใจและปอด คนที่ชอบสูบบุหรี่หรือมีอาการภูมิแพ้ มักพบว่ามีอาการเส้นเลือดฝอยแตก หรือเกิดการอุดตันของเส้นเลือดฝอย ทำให้ผิวหน้าบริเวณนี้หมองคล้ำ

โซนดวงตา สัมพันธ์กับการทำงานของไต ปัญหาผิวที่เกิดบริเวณนี้มักเป็นเรื่องรอบดวงตาคล้ำ อาจเกิดจากกรรมพันธุ์ หรือเกิดจากการขาดน้ำของร่างกายและระบบขับถ่ายของร่างกายทำงานไม่ปกติ

โซนจมูกและริมฝีปาก สัมพันธ์กับความดันโลหิต ส่วนใหญ่มักเกิดปัญหาสิวอุดตัน สิวบวมแดง บริเวณจมูกและริมฝีปาก ดังนั้นควรดื่มน้ำและพักผ่อนให้มาก เพื่อปรับสภาพความดันโลหิตของร่างกายให้เป็นปกติ

โซนกรามทั้ง 2 ข้าง สัมพันธ์กับระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยน แปลง โดยเฉพาะเพศหญิงที่มีรอบเดือนมักจะเกิดปัญหาผิวหน้าในบริเวณนี้

โซนคาง สัมพันธ์กับการทำงานของลำไส้เล็ก มักเกิดอาการแดงของผิวหนัง หรือมีสิวอุดตัน เป็นผลมาจากการทำงานที่ผิดปกติของระบบย่อยอาหาร ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ย่อยยากและมีรสจัด

โซนหน้าอกและลำคอ สัมพันธ์กับระบบทางเดินอาหาร มักเกิดปัญหาอาการแดงและผื่นคัน ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ

การบำรุงผิว ควรใช้สครับของสารสกัดจากธรรมชาติ ได้แก่ กาแฟ ใบชาเขียว ลาเวนเดอร์ ส้ม มะกอก น้ำผึ้ง เชียบัตเตอร์ อัลมอนด์ และองุ่น เพราะจะได้เม็ดสครับที่มีขนาดเล็ก ลดการเสียดสีระหว่างเม็ดสครับกับผิว มีสารสกัดจากธรรมชาติที่ช่วยย่อยสลายเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพอย่างอ่อนละมุน ขณะเดียวกันช่วยเร่งการสร้างเซลล์ผิวใหม่อย่างเต็มประสิทธิภาพ ผิวจึงเนียนใสและมีสุขภาพดี

นอกจากนี้ ควรรู้จักวิธีทำความสะอาดและบำรุงผิวให้เหมาะสมกับลักษณะของผิวอีกด้วย

ผิวธรรมดา ควรทำความสะอาดด้วยน้ำเปล่า ตามด้วยโลชั่นอ่อนๆ และใช้ครีมบำรุงผิวเป็นประจำทุกครั้งหลังอาบน้ำหรือล้างหน้า

ผิวมัน มักเกิดปัญหารูขุมขนที่กว้างกว่าผิวชนิดอื่น ทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนจนเป็นปัญหาสิว หรือรูขุมขนอักเสบ จึงควรทำความสะอาดด้วยโลชั่นลดความมัน เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นครีมเนื้อบาง ไม่เหนียวเหนอะหนะ

ผิวแห้ง มีปัญหาความตึงของผิวหลังอาบน้ำและล้างหน้า บางครั้งมักพบอาการผิวหลุดลอกเป็นขุย หรือรูขุมขนอักเสบ หลังจากทำความสะอาดแล้วจึงควรใช้ครีมรองพื้นก่อน แล้วจึงตามด้วยครีมบำรุงผิวเป็นประจำทุกวัน เพื่อป้องกันการสูญเสียความชุ่มชื่นของชั้นผิว

ผิวผสม มักพบปัญหาความมันบริเวณที-โซน (หน้า จมูก คาง) แต่บริเวณแก้มเป็นผิวแห้ง จึงต้องมีวิธีดูแลเป็นพิเศษกว่าผิวชนิดอื่น ควรทำความสะอาดบริเวณที-โซน ตามด้วยโลชั่นลดความมันและครีมบำรุงแบบเนื้อบาง ส่วนบริเวณแก้มควรใช้ครีมบำรุงผิวเป็นประจำทุกวัน

สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547
กินจุบจิบระหว่างมื้ออย่างมีประโยชน์

คุณ เคยสังเกตตัวเองหรือคนใกล้ตัวบ้างหรือไม่ว่า สมัยเรียนมหาวิทยาลัยเคยผอมเพรียวจนหนุ่มๆ เหลียวหลัง แต่พอก้าวสู่วัยทำงาน ก็เริ่มอวบอั๋นขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุงาน

ลดความอ้วน กินอาหาร โวโนซุปกึ่งสำเร็จรูป



จากการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคไทยที่ “โวโน” ซุปครีมกึ่งสำเร็จรูปจัดทำเมื่อต้นปี 2551 พบว่าสาว ส่วนใหญ่โทษว่าอายุที่เพิ่มขึ้นทำให้ความสามารถในการเผาผลาญพลังงานลดลง บางคนบอกว่างานยุ่งมากจนไม่มีเวลาออกกำลังกาย ทั้งหมดนี้มีความจริงเพียงบางส่วนเท่านั้น


สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้สาวทั้งหลายน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเป็นเพราะพฤติกรรมการกินของพวกคุณเธอต่างหาก อาจารย์กฤษฎี โพธิทัต ที่ปรึกษาด้านโภชนาการและนักกำหนดอาหารชั้นแนวหน้าของเมืองไทย ระบุว่า สาวจำนวนมากไม่ยอมกินอาหารเช้า จึงไปหิวตาลายเอาเมื่อสาย และมักจะคว้าขนมหรือของขบเคี้ยวกรุบกรอบทั้งหลายมาใส่ปาก พอ ตกบ่ายก็เริ่มง่วงและหิวอีกรอบ ก็ต้องพึ่งขนมช่วยให้ตาสว่างกันอีกยก ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายคนก็ยิ่งสนุก ยิ่งอร่อย กว่าจะรู้ตัวอีกทีถุงขนมก็กองเต็มโต๊ะ และส่วนเกินก็มากองอยู่ตามพุงเสียแล้ว


อันที่จริงอาหาร ว่างหรือของขบเคี้ยวระหว่างมื้อเป็นเรื่องดีต่อสุขภาพ ถ้าคุณรู้จักเลือกรับประทานของที่มีประโยชน์และมีคุณค่าทางสารอาหาร อาจารย์ กฤษฎีแนะนำว่า “คนไทยส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดว่าการรับประทานอาหารระหว่างมื้อมีแต่โทษ และทำให้อ้วน แต่ที่จริงแล้วอาจเป็นตรงกันข้ามได้


คนที่กินอาหารวันละหลายมื้อมีโอกาสอ้วนน้อยกว่าคนที่กินน้อยมื้อกว่าครึ่ง หลาย คนอาจจะคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ แต่การวิจัยพบว่าผู้ที่รับประทานอาหารวันละ 4 มื้อเล็ก ๆ ขึ้นไป คือ อาหาร 3 มื้อ และอาหารว่าง 1 มื้อ มีโอกาสลดความอ้วนได้ถึง 45 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้เพราะการรับประทานอาหารระหว่างมื้อที่มีคุณภาพ จะช่วยทำให้เราไม่หิวมากเกินไป จึงสามารถควบคุมปริมาณการรับประทานอาหารในมื้อถัดไปได้ดีขึ้น อีกทั้งช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า พร้อมเริ่มต้นใหม่ได้อย่างสดใส”


อาจารย์กฤษฎีอธิบายว่า คนเราจะรู้สึกหิว ก็เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงถึงระดับหนึ่ง สมองจึงจะสั่งการว่า “หิว” และโดยธรรมชาติ เราก็จะคว้าของกินใส่ปากเมื่อหิว และหยุดกินเมื่อรู้สึกว่าอิ่ม


แต่ ระบบการทำงานของร่างกายนั้น สมองจะรับรู้ได้ช้ากว่าที่เป็นจริง เช่น ระดับน้ำตาลในเลือดจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น แต่สมองต้องใช้เวลาประมาณ 15 นาทีจึงจะรับรู้ได้ว่า ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นมาแล้ว ควรจะสั่งให้ร่างกายรู้สึก “อิ่ม” ได้แล้ว ดังนั้น เมื่อสมองบอกว่า “อิ่ม” และเรารู้สึก “อิ่ม” จึงเป็นเวลาที่ร่างกายของเราได้รับอาหารเกินความต้องการไปแล้ว



การจะป้องกันไม่ให้เรารับประทานอาหารเกินความจำเป็นหรือเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ คือ การ เคี้ยวให้ละเอียด เคี้ยวนานๆ มีนักวิชาการหลายคนแนะนำว่าให้เคี้ยวคำละอย่างน้อย 15 ครั้งก่อนที่จะกลืน หรือพวกชีวจิตแนะนำว่าถ้าเคี้ยวได้ถึง 30 ครั้งจะเยี่ยมมาก เพราะทำให้เราใช้เวลานานขึ้นในการรับประทานอาหารแต่ละคำ และในแต่ละมื้อก็จะทำให้เรารับประทานอาหารได้น้อยลง แต่อิ่มทน


ดังนั้น การเลือกอาหารที่ต้องเคี้ยวเป็นของว่างระหว่างมื้อ จึงเป็นการเลือกรับประทานอย่างชาญฉลาด ไม่ว่าจะเป็นพวกผลไม้ ซึ่งมีแป้งและไขมันต่ำอยู่แล้วแต่มีไฟเบอร์สูง หรือถ้าไม่ถูกรสนิยม จะเลือกขนมขบเคี้ยว หรือซุปสักหนึ่งถ้วย เพิ่มขนมปังกรอบพอให้เคี้ยวมันฟันเล่นก็ดีพอกัน เพียงแต่ต้องปรับพฤติกรรมการเคี้ยวให้ละเอียดขึ้น เคี้ยวช้าๆ ให้นานขึ้น ก็จะช่วยได้


ที่สำคัญคือ อย่ารับประทานจนอิ่ม แค่รู้สึกว่าไม่หิวแล้ว ก็ให้หยุด หรือชะลอสปีดในการรับประทานลง แต่นี้ ก็ได้อาหารเพียงพอ และได้ความสุขจากการเคี้ยวไปด้วยในตัว


อีก พฤติกรรมหนึ่งที่คุณสาวๆ ต้องระวัง ถ้ายังรักจะกินจุบจิบ แต่ไม่อยากให้ห่วงยางรอบพุงล้ำออกมาเกินหน้าเกินตา คือ การทำกิจกรรมอื่นๆ ไปพร้อมกับการทานอาหารว่าง เช่น กินไป คุยไป กินไปทำงานไป ก็อาจทำให้ลืมตัว เผลอกินมากเกินไปได้ แต่สำหรับสาวบางคนที่ห่วงคุยมากกว่าห่วงกิน คือคุยเพลินจนลืมกิน อันนี้ก็ไม่ว่ากัน เพราะสาวประเภทนี้ คงไม่มีปัญหาเรื่องกินกินขนาด


ปัญหา นี้ก็แก้ได้ไม่ยาก โดยการจำกัดปริมาณอาหารว่างที่จะรับประทานตั้งแต่ต้น เช่น ขนมแห้งๆ เทใส่ถ้วยเล็กๆ พอรับประทานหมดก็หยุด และอย่าใจอ่อนคิดว่า อีกหน่อยน่า แหม ยังไม่ทันสะใจ ขออีกสัก 2 คำเถอะ ต้องมีวินัยกันหน่อย

โวโนซุปกึ่งสำเร็จรูป




หรืออาจจะลองเปลี่ยนมาเลือกของว่างที่เป็นซุป เช่น ซุปครีมพร้อมขนมปังกรอบ 1 ถ้วย เป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจเพราะสามารถเตรียมได้ง่าย แล้วซุปกึ่งสำเร็จรูปสมัยนี้มีให้เลือกหลายรสชาติตามที่ชอบได้ ส่วนใหญ่ก็แพ็คมาในขนาดกำลังกินพออิ่มได้ 1 คน รับประทานหมดซองก็อิ่มกำลังดีไม่เกินท้อง นอกจากจะได้สารอาหารและรสชาติแล้ว ยังมีน้ำที่ให้ความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แล้วขนมปังกรอบก็จะทำให้ได้เคี้ยว ได้รับความพึงพอใจจาการเคี้ยวด้วย และแน่นอน ถ้าเคี้ยวช้าๆ ก็จะช่วยควบคุมปริมาณการรับประทานได้ดีขึ้นด้วย



หลายคนอาจจะ รู้สึกว่า ซุป ฟังดูไม่เหมือนเป็นอาหารระหว่างมื้อสักเท่าไร ดูจะจริงจังมากไปนิด แต่ถ้าคิดว่า คุณสาวๆ หลายคนไม่ได้รับประทานอาหารเช้า ถ้าเราให้ความสำคัญเพิ่มเติมกับอาหารระหว่างมื้อ โดยเฉพาะในช่วงเช้า ก็คงจะช่วยทดแทนได้ไม่มากก็น้อย อย่างน้อยที่สุด การรับประทานซุปสักถ้วยตอน 10 โมงที่ใครๆ เลือกดื่มกาแฟกัน ก็จะทำให้ท้องไม่ว่างนานเกินไป อิ่มด้วย ได้รับสารอาหารด้วย




ท้ายที่สุดแล้ว พฤติกรรมการรับประทานของคุณต่างหากที่เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อสุขภาพ คุณ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน แต่แค่ปรับพฤติกรรมการรับประทาน และเลือกสิ่งที่รับประทาน ที่ยังคงทำให้คุณพอใจ เหมาะกับวิถีการใช้ชีวิต ไลฟ์สไตล์ของคุณเอง แค่นี้ ถึงชอบกินจุบจิบก็ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป


เพียงรู้จักเลือก คุณก็สามารถรักษาหุ่นสวยแบบสมัยเป็นนักศึกษาวัยทีนไว้ได้ แม้ว่างานจะยุ่งสักแค่ไหนหรือกาลเวลาจะผ่านไปกี่ปีก็ตาม


อาหารระหว่างมื้อที่ดีซึ่งที่ปรึกษาด้านโภชนาการแนะนำ ได้แก่


  • ผลไม้ที่แป้งน้อย อย่างเช่น สับปะรด ชมพู่ ฝรั่ง

  • แซนวิชที่ทำจากขนมปังโฮลวีท

  • นมหรือนมถั่วเหลืองยูเอชที

  • โยเกิร์ตรสธรรมชาติ โดยคุณสามารถทานร่วมกับผลไม้ หรือโรยซีเรียลลงไปด้วยก็ได้

  • ถั่วเปลือกแข็ง เช่น ถั่วลิสง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ อัลมอนด์ เป็นต้น

  • ถั่วเมล็ดแห้งต้ม เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง

  • ซุปครีมในปริมาณที่อิ่มกำลังเหมาะ ที่มีขนมปังกรอบ เพื่อให้ได้รสชาติของการเคี้ยว

  • ผักสด/ต้มสุก จิ้มกับน้ำสลัดหรือเครื่องจิ้มอื่นๆ
นางสาว ฐิติรัตน์ ใจดี เลขที่ 74 วิทย์ออก sec 02

การดูแลผิวพรรณด้วยสมุนไพร

ความสวยความงาม นับเป็นเรื่องที่มนุษย์เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีอิทธิพลต่อจิตใจของผู้คน หรือเรียกว่าเป็นจิตวิทยาของโลกเลยทีเดียว การได้เห็นของสวยๆ งามๆ ย่อมทำให้จิตใจชุ่มชื่น แต่อย่างไรก็ตาม การดูแลร่างกายให้มีสุขภาพสมบูรณ์ด้วยทางอาหารที่ครบถ้วน ก็จะทำให้ผิวพรรณสดใสงดงามได้

แต่ในปัจจุบันนี้สังคมได้พัฒนาไปมากด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง ได้มีการสกัดสารสำคัญจากธรรมชาติ เพื่อพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เสริมความงามต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโลชั่นบำรุงผิวพรรณ หรือเครื่องประทินความงามอื่นๆ มาวางตลาดให้เลือก แต่ย่อมมีราคาแพง จึงเป็นผลให้คนที่ยึดติดกับเรื่องความสวยความงามต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นอันมาก

สถาบันการแพทย์แผนไทย เล็งเห็นความต้องการของประชาชน จึงพยายามค้นหาทางเลือกให้สำหรับคนรักสวยรักงาม แต่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายก็อาจเลือกใช้สารจากธรรมชาติในการดูแลความงามด้วยตนเอง โดยไม่ต้องไปซื้อหาให้มากด้วยราคา

ฉะนั้นในฉบับนี้ สถาบันการแพทย์แผนไทย จึงคัดเลือกสมุนไพรที่มีผลต่อความงามของผิวพรรณ พร้อมวิธีใช้มาเสนอ อาทิ ว่านหางจระเข้ ซึ่งมีจารึกไว้ว่า แม้แต่พระนางคลีโอพัตราก็ยังใช้ว่านหางจระเข้ ในการบำรุงผิวพรรณ เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ความรู้สมัยใหม่ในการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมความงามนั้นก็ได้นำความรู้ดั้งเดิมมาประยุกต์ ไม่ว่าจะเป็นภูมิปัญญาไทย หรือภูมิปัญญาพื้นบ้านต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งมีส่วนเป็นอย่างมากในการพิจารณาผลิตภัณฑ์เสริมความงาม

สมุนไพรบำรุงผิวหน้าและผิวกาย

1. ว่านหางจระเข้ (Aloe indica Royle) คุณค่าของว่านหางจระเข้มีมากมาย นอกจากใช้รักษาโรคแล้ว ยังใช้บำรุงผิว บำรุงเส้นผมได้ด้วย ปัจจุบันจะเห็นได้ว่ามีแชมพูสระผม และเครื่องสำอางค์หลายอย่างที่ใช้ว่านหางจระเข้เป็นส่วนประกอบ และกำลังเป็นที่นิยมของคนทั่วไป เนื่องจากว่านหางจระเข้มีคุณสมบัติ สามารถช่วยให้กระบวนการเมตะโบลิซึมทำงานได้เป็นปกติ ลดการติดเชื้อ สลายพิษของเชื้อโรค กระตุ้นการเกิดใหม่ของเนื้อเยื่อส่วนที่ชำรุด ฉะนั้นว่านหางจระเข้จึงถูกนำมาใช้เพื่อบำรุงผิวพรรณ ผู้ที่ใช้ว่านหางจระเข้บำรุงผิวพรรณอยู่เป็นประจำ จะรู้สึกได้ชัดว่าว่านหางจระเข้มีส่วนช่วยให้ผิวพรรณผุดผ่อง สดชื่น มีน้ำมีนวล และยังสามารถขจัดสิวและลบรอยจุดด่างดำได้ด้วย

การใช้ว่านหางจระเข้เพื่อบำรุงผิว โดยปอกเปลือกออกใช้แต่เมือกวุ้นสีขาวใสที่อยู่ภายใน ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการแพ้ ก่อนใช้ควรตรวจสอบว่าตนเองจะเกิดอาการแพ้หรือไม่ โดยใช้น้ำที่ได้จากวุ้นสีขาวของว่านหางจระเข้ทาตรงบริเวณโคนหูแล้วทิ้งไว้สักครู่ ถ้าเกิดการระคายเคืองเป็นผื่นแดงแสดงว่าแพ้ ไม่เหมาะที่จะใช้กับผิวหน้าอีกต่อไป ถ้าไม่มีอาการแพ้ก็สามารถใช้ได้ตลอด แต่บางคนก็จะเห็นผลได้เหมือนกัน เมื่อใช้ว่านหางจระเข้ทาบริเวณหัวสิว จะทำให้หัวสิวแห้งเร็ว

นอกจากนี้ว่านหางจระเข้ยังสามารถลดความแห้งกร้านและลดความมันของผิวหน้าได้ โดยคนที่มีผิวที่มันก็จะช่วยให้ลดความมัน คนที่มีผิวหน้าแห้งก็ยังรักษาความชุ่มชื่นของผิวไว้ได้

2. งา (Sesamum indicum Linn., S. orientle,L) เป็นพืชล้มลุกให้เมล็ดเป็นจำนวนมาก เมล็ดงามีทั้งสีดำและสีขาว ในเมล็ดงามีน้ำมันอยู่ประมาณ 45-54 % น้ำมันงามีกลิ่นหอมน่ารับประทาน วิธีใช้โดยการนำเอาเมล็ดงาสด มาบีบน้ำมันงาออกโดยไม่ผ่านความร้อน ใช้ทาผิวหนังเพื่อบำรุงผิวพรรณให้ผุดผ่อง ช่วยประทินผิวให้นุ่มนวลไม่หยาบกร้าน

3. แตงกวา (Cucumis sativas Linn.) จะมีวิตามินสูง ในผลแตงกว่ายังมีเอนไซม์ cryssin ซึ่งช่วยย่อยโปรตีนได้ เอนไซม์ชนิดนี้จะช่วยย่อยผิวหนังที่หยาบกร้าน ให้หลุดออกไป เพื่อให้ผิวใหม่ที่อ่อนนุ่มเกิดขึ้นมาแทนที่ บางคนใช้แตงกวาสดผ่าเป็นชิ้นบางๆ วางบนใบหน้าที่ล้างสะอาดแทนน้ำแตงกวา ปัจจุบันมีน้ำแตงกวาผสมในเครื่องสำอาง เช่น ครีมล้างหน้า ครีมทาตัว เพื่อช่วยให้ผิวไม่หยาบกร้าน และช่วยสมานผิว แตงกวาเป็นสมุนไพรที่หาง่ายมีประโยชน์ราคาถูก ใช้ติดต่อกันเป็นประจำจะทำให้สวยสดชื่นมีน้ำมีนวล

4. มะเขือเทศ (Lycopersicon esculentum Mill.) ในมะเขือเทศจะมีสาร Curotenoid และมีวิตามินหลายชนิด น้ำจากผลมะเขือเทศสุกจะมีสาร 1icopersioin ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อราและแบคทีเรียได้ และน้ำมะเขือเทศสด นำมาพอกหน้าจะรักษาสิวสมานผิวหน้าให้เต่งตึง หรืออาจจะฝานบางๆ แปะลงบนผิวหน้าก็ได้

5. ขมิ้นชัน (Curcuma Longa Linn.) ในขมิ้นจะมีสาร Curcumin และมีน้ำมันหอมระเหยซึ่งมีกลิ่นเฉพาะ ขมิ้นมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราหลายชนิด ใช้ทาผิวที่มีผดผื่นคัน ผงขมิ้นใช้ทาตัวเพื่อให้มีสีเหลืองทองใช้บำรุงผิว และช่วยฆ่าเชื้อ ที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังบางชนิดได้อีกด้วย

6. น้ำผึ้ง (Apis dorsata) ได้จากผึ้ง ในน้ำผึ้งประกอบด้วยน้ำตาลกลูโคส, ฟรุกโตส, ขี้ผึ้ง, อัลบูมินอยด์, ละอองเกสรดอกไม้, และฮอร์โมนเอสโตรเจนจำนวนเล็กน้อย น้ำผึ้งใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอาง ใช้พอกหน้าทำให้ผิวหน้าชุ่มชื่น เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลขึ้น น้ำผึ้งยังมีคุณสมบัติช่วยสมานผิว น้ำผึ้งเป็นเครื่องสำอางจากธรรมชาติที่ให้ประโยชน์สูงและหาง่าย นอกจากนี้ยังใช้น้ำผึ้งบำรุงผม ฮอร์โมนเอสโตรเจนจะช่วยบำรุงหนังศรีษะ และกระตุ้นการงอกของเส้นผม

7. มะขามเปียก (Tamarindus indica Linn) มะขามเปียกมีประวัติการใช้มายาวนาน ช่วยชำระสิ่งสกปรกจากผิวหนัง เพราะฤทธิ์ที่เป็นกรดอ่อนๆ ในมะขามจะช่วยขจัดสิ่งสกปรกจากผิวหนังได้ดี ปัจจุบันได้มีหญิงไทยจำนวนมาก ใช้มะขามเปียกผสมน้ำอุ่นและนมสดผสมให้เข้ากันดี พอกบริเวณผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นรอยด้าน เช่น ตาตุ่ม ข้อศอก ฝ่ามือ ที่มีรอยกร้านดำ และบริเวณรักแร้ ขาหนีบ เพื่อให้ผิวหนังที่เป็นรอยดำจางลง ทำให้ผิวขาวนุ่มนวลขึ้น และนมสดจะช่วยบำรุงผิวให้นุ่มได้

จากที่กล่าวมาแล้ว เป็นภูมิปัญญาพื้นบ้านที่มีการใช้สืบต่อกันมาเป็นเวลานาน และได้ถูกลืมไปชั่วระยะหนึ่ง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี และค่านิยมของคนไทยต่อค่านิยมด้านวัตถุ ทำให้คนรุ่นใหม่สนใจสินค้าจากต่างประเทศ แต่ปัจจุบันเป็นที่สังเกตว่าคนต่างประเทศสนใจภูมิปัญญาไทย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงาม ซึ่งจะเห็นบ่อยว่ามีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความงามที่มีส่วนผสมของสมุนไพร

การที่เราหันไปใช้ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ใช้สะดวกราคามักจะสูง แต่ถ้าเรานำเอาวัตถุดิบที่มีอยู่ในบ้านเรามาใช้เอง ได้สารสำคัญที่สดใหม่ ราคาถูก ไม่มีสารเคมีเจือปน อะไรที่เราหาได้ง่าย และเป็นผลิตภัณฑ์ที่เราปลูกใช้ได้เราจะทำให้เราพึ่งตนเองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่เช่นปัจจุบัน

ที่มา : สถาบันการแพทย์แผนไทย

วัฒนะ ต๊ะคมแข็ง ม.ฟา เลขที่ 80

การดูแลผิวหน้าในแต่ละวัย

ย่อมแตกต่างกันตามสภาพผิวที่เปลี่ยนแปลงไปตามวัยที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ยังเป็นสาวหน้าใส ผิวพรรณ เต่งตึง การทาแค่ครีมกันแดด และล้างหน้าด้วยเคลนเซอร์สูตรอ่อนโยนก็อาจจะเพียงพอ แต่เมื่อวัยมากขึ้นรอยตีนกาเริ่มมาเยือน ผิวหน้าที่เคยเนียนใส กลับดูแห้งหรือหยาบมากขึ้น การเลือกผลิตภัณฑ์และการดูแลผิวอาจจะดูยุ่งยาก และต้องใส่ใจกันมากขึ้น เพราะปัญหาของผิวจะเริ่มปรากฎมากขึ้นนั่นเอง

วัย15-20

การดูแล : วัยรุ่นกับสิวเป็นของคู่กันเสมอ สิวในช่วงนี้มักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศ และมีตัวก่อกวนอื่น ๆ ร่วมด้วยเช่น การแคะ แกะ หรือบีบสิว รวมทั้งความเครียดและอดนอนจริง ๆ แล้ว สิวที่เกิดขึ้นมักหายไปเองตามธรรมชาติ ถ้าเราไม่ไปกดสิว ปัญหารอยดำ และการอักเสบก็จะไม่เกิดขึ้น แต่หากไม่หาย ก็ปรึกษาคุณหมอเถอะค่ะ การดูแลผิวในวัยสาวน้อย ควรล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน ๆ วันละ 2 ครั้งก็พอ และหลีกเลี่ยงเคลนเซอร์หรือโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของแอลกฮอล์ เพราะค่อนข้างแรงกับผิวอาจทำให้ผิวใส ๆ ดูกร้านก่อนวัยได้

วัย 20 ปีขึ้นไป

การดูแล : ปัญหาเรื่องสิว จะลดน้อยลง ยกเว้นในคนที่ผิวมัน ที่อาจมีเม็ดสิวเป้ง ๆ ให้รำคาญใจได้ หรือคนที่มีฮอร์โมนเพศสูง ก็อาจมีสิวโผล่อยู่เรื่อย ๆ นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ที่เคยใช้ ในช่วงสาววัย 16 ได้ดี บางครั้งอาจจะไม่เหมาะกับสาววัยนี้ก็เป็นได้ เนื่องจากผิวหน้าที่เคยอ่อนใส อาจดูหมองคล้ำ หรือแห้งกร้านได้ตามวัยที่มากขึ้น การใช้ผลิตภัณฑ์ ที่มีส่วนผสมของ AHA จะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตาย และเร่งการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวหน้าสดใส เปล่งปลั่งมากขึ้นและไม่ลืมทาครีมป้องกันแดดทุกครั้ง ก่อนออกจากบ้าน เพราะแสงแดด จะทำให้ริ้วรอยมาเยือนผิวได้เร็วขึ้น ป้องกันไว้ดีกว่าแก้แน่นอนค่ะ นอกจากนี้การใช้ AHA จะทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้นจึงจำเป็นที่จะต้องใช้ครีมกันแดดทุกวัน และหากเลี่ยงแดดแรง ๆ ได้ก็ควรทำค่ะ หรือจะเลือกการขัดผิวด้วยครีมขัดผิว ซึ่งผลิตมาเพื่อใช้กับผิวหน้าที่บอบบางก็สะดวกดีค่ะ วิธีขัดผิวที่ถูกต้อง ควรทำหลังจากทำความสะอาดหน้าแล้ว แต้มเจลหรือครีมขัดผิว ลงบนผิวหน้า 5 จุดคือ บริเวณ หน้าผาก แก้มทั้งสองข้างจมูก และคาง เว้นบริเวณรอบดวงตาไว้ แล้วใช้นิ้วกลางและนิ้วนาง ซึ่งมีแรงกด ค่อนข้างเบา นวดเป็นวงกลมไปในทิศเดียวกัน จะช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้วให้หลุดลอก ทำให้ผิวหน้านวลผ่อง สดใสขึ้น ทำสัปดาห์ละครั้งก็พอค่ะ หลังจาก ขัดผิวแล้วอย่าลืมทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ทุกครั้ง ซึ่งการขัดผิวจะช่วยให้ครีมบำรุงผิวซึมสู่ผิวได้ล้ำลึกขึ้น

วัย 30 ปีขึ้นไป

การดูแล : ผิวหน้าของสาววัยนี้ จะมีปัญหาของริ้วรอยใต้ตา โดยเฉพาะเวลาที่คุณยิ้ม รอยตีนกาและรอยเหี่ยวย่นบนหน้าผาก จะเริ่มปรากฎชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ผิวพรรณที่เคยเปล่งปลั่ง สดใสก่อนหน้านี้ ก็จะเริ่มขาดความยืดหยุ่น ผิวหน้าจะดูหยาบกร้านขึ้น รูขุมขนโตขึ้น การดูแลผิวจึงต้องครบเครื่องมากขึ้น ทั้งการขัดผิว และมาสค์หน้า จะช่วยขจัดการหลุดลอกของผิวชั้นนอก และช่วยดูดซับสิ่งสกปรกตกค้างจากรูขุมขนส่วนลึกได้ดี ทำให้หน้าสะอาด กระชับและสดใสขึ้น และสำหรับผิวหน้าที่ เริ่มมีริ้วรอยควรเลือกมาส์ค ที่มีสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน หลังการพอกหน้าและล้างสะอาดแล้ว จะทำให้หน้าผ่อง เนียนนุ่ม และมีความยืดหยุ่นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนการเลือกครีมบำรุงผิวของสาววัยนี้ ควรเน้นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวเป็นพิเศษ เพราะผิวหน้าจะเริ่มแห้งมากขึ้น น้ำหล่อเลี้ยงผิวหน้าตามธรรมชาติ ผลิตน้อยลง และควรเลือกชนิดเนื้อเบา เพื่อไม่ให้ไปอุดตันรูขุมขน

นอกจากนี้ การใช้อายเจลหรืออายครีม ก็จะช่วยทำให้ผิวรอบดวงตา ชุ่มชื้นและสดใสขึ้น ส่วนครีมกันแดด ก็จำเป็นต้องใช้เป็นประจำทุกวัน

มาสก์พอกหน้าแบบประหยัดมาสค์พอกหน้าจากโยเกิร์ตล้างหน้าให้สะอาด ซับเบาๆด้วยผ้าขนหนู แล้วใช้มือแตะโยเกิร์ต(ให้ใช้ชนิดที่ไม่ผสมเนื้อผลไม้) มาพอกให้ทั่วผิวหน้า เว้นรอบปากและดวงตา นวดและคลีงเบาๆ พอกไว้ประมาณ 20 นาที จึงล้างออก หมั่นทำสัปดาห์ละ3 ครั้ง ผิวจะเปล่งปลั่งสดใส

มาสค์พอกหน้าจากมะละกอนำมะละกอมาปั่นให้ละเอียด นำพอกให้ทั่วผิวหน้า ในมะละกอจะมีเอนไซม์ที่ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้วให้หมดได้ จึงทำให้ผิวหน้า สดใส เปล่งปลั่ง

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์ เลขที่ 2

เกร็ดวิธี..แก้ปัญหา "ตาบวม"

ปัญหาตาบวมใครๆ ก็เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุมาจากการนอนดึกการดื่มน้ำมากเกินไป หรือแม้แต่การร้องไห้ ก็สามารถทำให้ตาบวมได้ ยิ่งดวงตาและรอบดวงตาเป็นสิ่งที่อ่อนโยนและเปราะบางมากที่สุด ดังนั้นก็ควรที่จะถนอมเพื่อดวงตาคู่สวยของคุณ

วันนี้เราจึงมีเกร็ดวิธีความรู้หลายๆ วิธีมากฝากกัน เผื่อจะหายตาบวมกันสักที

1. นำแตงกวาแช่เย็นหั่นเป็นแว่นบาง ๆ แล้วนำมาวางบนเปลือกตาทั้งสองข้าง แล้วหลับตาลงนอนพักสักประมาณ 10- 20 นาที

2. นำถุงชาที่ชงรับประทานแล้วไปแช่เย็นไว้ แล้วนำถุงชานั้นมาวางทาบบนเปลือกตาทั้งสองข้าง แล้วนอนหลับตาสักพักใหญ่ ๆ

3. นำผ้าสะอาดชุบน้ำเย็น แล้วนำมาวางทาบที่บริเวณดวงตา นอนหลับตาสักประมาณ 10-20 นาที

4. หามะเขือเทศมาหั้นแล้วปิดไว้ที่บริเวณดวงตาประมาณ 10 นาที

5. บดมันฝรั่งสดและบดแอลมอนด์ผสมกัน หลังจากนั้นให้นำมาแปะไว้ใต้ดวงตาเป็นประจำเพื่อกำจัดขอบตาดำและตาบวม

เกร็ดวิธีง่ายๆ ที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเอง พร้อมผลลัพธ์ที่เห็นถึงความแตกต่าง

สภาพอากาศขณะนี้เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้เกิดอาการไม่สบายง่าย ให้ระวังเรื่องการรับประทานยา โดยเฉพาะยาบรรเทาปวด ลดไข้ หากรับประทานมาก จะส่งผลให้ตับล้มเหลว เวลาที่เริ่มรู้สึกว่า ครั่นเนื้อครั่นตัวคล้ายจะไม่สบาย มีอาการเป็นไข้เพราะสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง คนส่วนใหญ่มักจะซื้อยาตามร้านขายยามารับประทานเอง เพื่อเป็นการรักษาเบื้องต้น

โดยเฉพาะ ยาพาราเซตามอล ซึ่งเป็นยาลดไข้ บรรเทาปวด ผู้บริโภคต้องเพิ่มความระมัดระวังการรับประทานยาประเภทนี้ เพราะถ้ากิน ยาพาราเซตามอลมากเกินไป จะมีผลต่อตับ ทำให้ตับทำงานหนัก และอาจเกิดอาการตับวาย หรือตับล้มเหลวเฉียบพลัน ต้องปลี่ยนตับ หรือเสียชีวิตได้

ดังนั้น การรับประทานยาพาราเซตามอลในแต่ละครั้ง ควรกินให้ถูกวิธี และถูกขนาด ได้แก่ เด็กไม่ควรใช้เกินวันละ 1,200 มิลลิกรัม ผู้ใหญ่ไม่ควรเกินวันละ 4 กรัม หรือไม่เกินวันละ 8 เม็ด (ขนาดเม็ดละ 500 มิลลิกรัม)

ความจริง ไข้หวัดเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสและหายเองได้ภายใน 3-7 วัน ควรดื่มน้ำมากๆ ทำให้ร่างกายอบอุ่น รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่อาบน้ำ-สระผมด้วยน้ำเย็นเกินไป อย่าตรากตรำทำงาานหนักเกินไป หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้หรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้ที่เป็นไข้หวัด และไม่ควรเข้าไปในสถานที่ที่มีคนแออัด

หากมีอาการแทรกซ้อน ให้ใช้ยาตามอาการ เช่น ถ้ามีน้ำมูกไหลให้รับประทานยาแก้แพ้ ลดน้ำมูก ถ้ามีอาการไข้ ปวดศีรษะ ให้รับประทานยาบรรยาเทาปวด ลดไข้ เป็นต้น ส่วนยาปฏิชีวนะ ไม่จำเป็นต้องใช้ ยกเว้นในรายที่มีการติดเชื้อแบคทีเรีย มีน้ำมูกสีเหลือง หรือมีการติดเชื้ออื่นๆ ที่ควรให้แพทย์ตรวจอาการและเป็นผู้สั่งยา

เลือกการดูแลรูปร่างด้วยตัวเราเอง

การดูแลรูปร่างด้วยการออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นกีฬา หรือฟิตเนส หลายๆ คนอาจจะกลัวคำๆ นี้ กลัวความเจ็บปวด กลัวเหนื่อยล้า หรืออ้างว่าไม่มีเวลาออกกำลังกาย บางคนคิดจะดูแลรูปร่างด้วยการออกกำลังกายจนเจ็บปวดกล้ามเนื้อ เพราะคิดว่าจะทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง แต่เปล่าเลยการออกกำลังอย่างหักโหม ใจร้อน จะเป็นผลเสียมากกว่า เพราะกล้ามเนื้อจะบาดเจ็บ หรืออาจถึงขั้นฉีกขาดก็เป็นได้ เพราะปรับตัวไม่ทัน

การดูแลรูปร่างด้วยการออกกำลังกาย เป็นวิธีที่ดี และปลอดภัยที่สุดต่อสุขภาพ เพราะคุณจะได้ทั้งความแข็งแรง กระฉับกระเฉง สดชื่น มีสมาธิ ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ และที่สำคัญ หุ่นดี …แล้วเราจะเริ่มต้นยังไงกันดี

แนะนำว่า การดูแลรูปร่างด้วยการออกกำลังกาย ไม่ควรทำให้คุณต้องเสียกำลังเงิน และกำลังกายมากเกินไป แต่ควรจะเลือกวิธีดูแลรูปร่างที่เหมาะสมกับตัวคุณเอง เหมาะสมทั้งด้านสรีระ สมรรถภาพของร่างกาย และวิถีชีวิตของคุณด้วย เช่น เลือกเล่นกีฬา หรือออกกำลังประเภทที่ชอบ ไม่เหนื่อยเกินกำลัง หรือไม่ต้องถ่อสังขารเดินทางไกล ฝ่ารถติด เพื่อไปออกกำลังกายที่ใดที่หนึ่ง

ข้อคิดดีๆ ในการเริ่มต้นดูแลรูปร่างด้วยการออกกำลังกาย

1. เวลา ก่อนอื่น ถ้าตั้งใจว่าคุณจะดูแลรูปร่างอย่างสม่ำเสมอ ก็จงเริ่มต้นด้วยการแบ่งเวลาไว้สำหรับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ตัวอย่าง หนึ่งสัปดาห์มี 168 ชั่วโมง ตั้งเป้าไว้เลยว่า คุณอาจจะแบ่งเวลาให้กับการออกกำลังกายไว้สัก 5 ชั่วโมง อาจจะเฉลี่ยเป็นวันละ 40 นาที แต่มีข้อแม้ว่าต้องปฏิบัติให้ได้ แล้วเมื่อคุณออกกำลังกายสม่ำเสมอ นานไปก็อาจจะติดเป็นนิสัยไปเลย

2. งบประมาณ การดูแลรูปร่างด้วยการออกกำลังกายมีหลายประเภท ทั้งที่ต้องเสียเงินเยอะ กับที่ไม่ต้องเสียเงินเลย แต่ถ้าพอใจที่จะเป็นสมาชิกตามฟิตเนสคลับตามเพื่อนๆ ก็ดี แต่ต้องบังคับตัวเองว่าเสียเงินแล้ว ต้องไปใช้บริการดูแลรูปร่างของคุณได้จริงๆ นอกจากนี้ต้องคิดดูว่าที่นั่นมีสมาชิกหนาแน่น จนคุณไปแล้ว จะได้รับความสะดวกรึเปล่า และควรอยู่ใกล้บ้าน หรือที่ทำงาน เพราะจะได้ไม่ต้องเหนื่อยหรือเสียเวลาเดินทาง

3. ยอมรับในความสามารถ และสมรรถนะของตัวเอง ว่าทำได้แค่ไหน อย่าหักโหม ฝึกดูแลรูปร่างแบบค่อยเป็นค่อยไป ให้ร่างกายได้ปรับตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากหยุดการออกกำลังกายมานาน แล้วมาเริ่มใหม่ ควรปรึกษาผู้ฝึกสอนก่อนเริ่มต้นจะดีกว่า

4. มุ่งมั่นในจุดมุ่งหมาย จะทำให้คุณมีแรงบันดาลใจที่จะดูแลรูปร่างอย่างสม่ำเสมอ เช่น ตั้งใจจะบริหารให้กล้ามเนื้อแน่นขึ้น แข็งแรงได้สัดส่วนขึ้น ลดน้ำหนัก ลดพุง ลดก้น ฯลฯ

การออกกำลังแบบเพิ่มสมรรถนะการสูบฉีดโลหิตของหัวใจ (Cardiovascular–CV Exercise)

สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มจะดูแลรูปร่าง ควรเลือกการออกกำลังกายแบบเบาๆ ก่อน เพื่อให้หัวใจคุ้นกับการสูบฉีดเลือดที่แรงขึ้นๆ เช่น เดินเร็วประมาณ 3-4 ก.ม./ช.ม. เล่นกอล์ฟ หรือแอโรบิคในน้ำ หรือว่ายน้ำช้าๆ ก็ได้ สัก 1 สัปดาห์ เมื่อร่างกายเริ่มคุ้นและเข้าที่ ค่อยปรับเป็นเดินเร็วขึ้น 6-7 ก.ม./ช.ม. ว่ายน้ำเร็วขึ้น หรือตีเทนนิส ขี่จักรยาน ที่ต้องใช้กำลังเร็วและแรงขึ้น วัดระดับความเหนื่อยของการออกกำลังกายได้โดยสังเกตการหายใจที่แรงขึ้น ถ้ายังสามารถพูดคุยได้อยู่ก็แปลว่ายังไม่เหนื่อยเกินไป เพราะระดับนี้กำลังดีต่อสุขภาพและการดูแลรูปร่าง

การออกกำลังกายเพื่อดูแลรูปร่างให้ได้สัดส่วน (Tone and Shape)

คงไม่พ้นเรื่องของฟิตเนส การยกน้ำหนัก การใช้อุปกรณ์ กายบริหารท่าต่างๆ การฝึกศิลปะป้องกันตัว โยคะ รวมถึงกีฬาบางชนิด เช่น ว่ายน้ำ ที่มีส่วนในการปรับกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ให้ได้รูปร่างและสัดส่วน ถ้าคุณไม่เข้าฟิตเนส ที่มีผู้ฝึกคอยดูแล จะซื้อวีซีดีมาปฏิบัติเองที่บ้านก็ได้ การดูแลรูปร่างอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น จึงจะเห็นผล

ข้อควรระวัง การออกกำลังอย่างหักโหมไม่ใช่เรื่องดี แต่ควรค่อยเป็นค่อยไป ระบบเผาผลาญในร่างกายจะทำงานดีขึ้น ควรออกกำลังกายสั้นๆ แต่สม่ำเสมอ ระยะเวลาที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในรูปร่าง และสุขภาพขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย เช่น ชนิดและขนาดของการออกกำลังกาย การกินอาหาร สมรรถภาพของร่างกาย ปกติแล้วการดูแลรูปร่างอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องกัน 4 สัปดาห์ จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เห็นอย่างชัดเจน แต่สำหรับบางคนอาจจะเห็นผลช้า ก็ต้องแน่วแน่กับความตั้งใจในการดูแลรูปร่าง และอย่าหยุด เพราะสุขภาพดีๆ กำลังรอคุณอยู่

ถั่ว งา เผือก มัน ฟักทอง ข้าวโพด 6 สหาย สุขภาพ

ถั่วเมล็ดแห้ง พืชโปรตีนสูง

ถั่วเมล็ดแห้งทุกชนิด ใช้แทนเนื้อสัตว์ได้ เพราะมีโปรตีนสูง โดยเฉพาะถั่วเหลือง แม้คุณภาพของโปรตีน จะด้อยกว่าในเนื้อสัตว์ ปลา และไข่ เนื่องจากถั่วเมล็ดแห้ง ไม่มีกรดแอมิโนที่จำเป็นบางชนิด แต่เมื่อกินถั่วเหล่านี้ ร่วมกับธัญพืชโดยเฉพาะที่ขัดสีน้อย เช่นข้าวกล้องหรือกับเมล็ดพืชอื่น เช่น งา เมล็ดทานตะวัน และเมล็ดฟักทอง ซึ่งเป็นวิธีบริโภคของ ชาวมังสวิรัติทั่วไปอยู่แล้ว จะช่วยเสริมกรดแอมิโนให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ทำให้ได้อาหารที่มีคุณภาพ โปรตีนดีเท่าเทียมเนื้อสัตว์ นอกจากนั้น ถั่วยังมีวิตามินและเกลือแร่ต่างๆ เช่น เหล็ก แมงกานีส โพแทสเซียม อีกด้วย

งา เนื้อคู่ของถั่ว

สำหรับงา จัดเป็นเมล็ดพืชที่ให้โปรตีน ต่างจากถั่วเมล็ดแห้ง คือ มีกรดแอมิโนที่ถั่วเมล็ดแห้งขาด ดังนั้น การบริโภคงาร่วมกับถั่วเมล็ดแห้งชนิดต่างๆ จะทำให้ร่างกายได้รับโปรตีนที่มีคุณภาพสมบูรณ์ และนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ งามีไขมันประมาณ 50 – 60 กรัมต่อ 100 กรัม เรานิยมนำงามาสกัดเป็นน้ำมันปรุงอาหาร เพราะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เนื่องจากองค์ประกอบเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวอยู่มาก ช่วยลดระดับคอเลสเทอรอลในเลือดได้ นอกจากนั้น งายังมีวิตามินอีสูง ซึ่งวิตามินตัวนี้มีคุณสมบัติ เป็นสารต้านออกซิเดชัน ช่วยจับและทำลายอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นอันตรายต่อเซลล์

เผือก พลังงานผสานบำรุงสุขภาพ

เผือกนี่แหละ มีคุณค่ามหาศาล เพราะนอกจากจะมีคาร์โบไฮเดรต ซี่งให้พลังงานแก่ร่างกาย เป็นส่วนประกอบหลักแล้ว ยังมีโปรตีน แร่ธาตุ และวิตามินอยู่เกือบครบทุกชนิด (แม้จะมีในปริมาณไม่สูงมากนัก) เผือกจึงเป็นอาหารที่เพิ่มพลังงาน และบำรุงสุขภาพไปพร้อมกัน

มันเทศ ผู้อุดมด้วยเบต้าแคโรทีน

แม้ว่าพืชหัวจะมีอยู่หลากหลายชนิด แต่สำหรับคนไทยอย่างเราน่าจะคุ้นกับ มันเทศ มากที่สุด เพราะนิยมนำมาทำเป็นอาหารประจำบ้าน รับประทานกันอยู่บ่อยๆ มันเทศเป็นพืชหัว ที่ประกอบด้วยแป้งเป็นหลัก มันเทศ 100 กรัม ให้พลังงาน ประมาณ 93 กิโลแคลอรี่ (คนเราควรได้รับพลังงานเฉลี่ยวันละ 1,800 – 2,000 กิโลแคลอรี่) ถ้าเราสังเกตให้ดีจะเห็นว่า มันเทศมีอยู่สองชนิด คือ ชนิดเนื้อเหลืองส้มกับชนิดเนื้อครีม ทั้งสองชนิดเป็นแหล่งที่ดีของวิตามินซี โพแทสเซียม และแคลเซียม รวมทั้งใยอาหาร นอกจากนั้น มันเทศยังอุดมด้วยเบต้า แคโรทีน ซึ่งอาจจะช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิดได้

ฟักทอง ย่อยง่าย ให้วิตามินเอ

ฟักทอง เป็นพืชผลที่บริโภคกันอย่างแพร่หลาย ทั้งในเอเชีย ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา แอฟริกา และแถบแคริบเบียน ฟักทองอุดมด้วยเบต้าแคโรทีน ซึ่งร่างกายเปลี่ยนให้เป็นวิตามินเอได้ จึงเหมาะจะเป็นอาหารหลักอย่างหนึ่ง ของชาวมังสวิรัติที่มักขาดวิตามินเอ เพราะงดเว้นเนื้อสัตว์ อย่างที่ทราบกันว่าเบต้าแคโรทีน เป็นสารออกซิเดชัน ดังนั้นจึงช่วยปกป้องเซลล์ของร่างกายไม่ให้ถูกอนุมูลอิสระทำลายอันอาจก่อให้เกิดมะเร็งบางชนิดได้ นอกจากนั้นฟักทองยังมีวิตามินเอ ซึ่งจัดเป็นสารต้าน ออกซิเดชั่นอีกตัวหนึ่ง ฟักทองย่อยง่ายและไม่ค่อยทำให้เกิดอาการแพ้ จึงเหมาะเป็นอาหารเสริมสำหรับเด็ก และที่ไม่ควรมองข้าม คือ เมล็ดฟักทองเพราะอุดมด้วยธาตุเหล็ก และฟอสฟอรัสรวมทั้งมีโพแทสเซียม แมกนีเซียม และสังกะสีอีกด้วย เปี่ยมคุณค่าน่ากินจริงๆ เลยใช่ไหมคะ

ข้าวโพด อาหารให้เส้นใย

ข้าวโพด ไม่ใช่พืชของเอเชีย แต่เป็นพืชดั้งเดิมของชาวอินเดียนแดง ข้าวโพดโบราณค่อนข้างจะเหนียว ออกรสแป้งเป็นหลัก ไม่มีความหวาน จนปัจจุบันมีการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวโพด ให้มีความหวานมากขึ้น ข้าวโพดหวานมีมากกว่า 200 สายพันธุ์ ส่วนใหญ่จะมีเมล็ดเหลืองทอง ทุกสายพันธุ์จะมีวิตามินซี แต่วิตามินเอ จะมีเฉพาะพันธุ์สีเหลืองเท่านั้น ข้าวโพดอ่อนมีใยอาหารสูง ที่จะช่วยให้ระบบการขับถ่ายทำงานเป็นปกติ

13 วิธีขับถ่ายปัสสาวะ เพื่อสุขภาพที่ดี 1.อย่ากลั้นปัสสาวะ เมื่อรู้สึกปวดต้องไปปัสสาวะ 2. เวลาปัสสาวะไม่ควรรีบร้อนเบ่งมาก เพราะอาจทำให้หูรูดปัสสาวะชำรุดได้ 3. ควรถ่ายปัสสาวะให้เหลือน้อยที่สุดในหนึ่งครั้ง นั่นคือเมื่อรู้สึกถ่ายหมดแล้วให้เบ่งต่ออีกนิดหน่อย ปัสสาวะที่เหลือจะไหลออกมา 4. ไม่ควรบังคับให้ตนเองถ่ายปัสสาวะบ่อย เพราะจะติดเป็นนิสัย เวลาที่เหมาะสมคือ 2-4 ชั่วโมงควรถ่ายปัสสาวะหนึ่งครั้ง 5. ให้สังเกตการถ่ายปัสสาวะ และน้ำปัสสาวะของตนเองทุกครั้งว่า ต้องเบ่งมากผิดปกติหรือไม่ น้ำปัสสาวะลำพุ่งดีหรือไม่ ลำน้ำปัสสาวะมีขนาดเล็กลงกว่าเดิมหรือไม่ น้ำปัสสาวะมีสีเหลืองใสหรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเป็นอาการผิดปกติที่สามารถบอกโรคได้ 6. อาจจะล้างทำความสะอาดหลังปัสสาวะ แต่อย่าให้บริเวณนั้นเปียกชื้น เพราะอาจเกิดเชื้อราได้ ทางที่ดีหลังปัสสาวะทุกครั้ง ควรซับให้แห้ง 7. เมื่อปัสสาวะไม่ออก ต้องหาสาเหตุโดยการไปพบแพทย์ อย่าซื้อยาขับปัสสาวะรับประทานเพราะจะเกิดอันตรายได้ เมื่อเข้าสู่วัยกลางคน การบริหารอุ้งเชิงกรานโดยการขมิบ (ฝ่ายหญิงขมิบช่องคลอด ฝ่ายชายขมิบทวารหนัก) วันละ 100 ครั้ง จะช่วยป้องกันอาการปัสสาวะเล็ด 8. ดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 10 แก้ว หรือหนึ่งลิตร จะช่วยให้น้ำปัสสาวะใส มีจำนวนพอดีและป้องกันภาวะปัสสาวะอักเสบ 9.ก่อนมีเพศสัมพันธ์ และหลังมีเพศสัมพันธ์ คุณผู้หญิงควรถ่ายปัสสาวะทิ้ง จะช่วยป้องกันการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ 10.น้ำปัสสาวะจะต้องเป็นน้ำเท่านั้น ถ้ามีมูก หนอง น้ำเหลือง เลือดปนออกมา ถือว่าผิดปกติต้องไปพบแพทย์ 11.การขับถ่ายปัสสาวะ ต้องขับถ่ายคล่องไม่มีอาการเจ็บปวด ถ้าปัสสาวะแสบขัดลำบากนับว่าเป็นอาการผิดปกติ ต้องไปพบแพทย์อีกเช่นกัน 12.คนเราทุกคนต้องปัสสาวะทุกวัน วันละ 4-6 ครั้ง ถ้าไม่ปัสสาวะเลย 1 วัน ถือว่าตกอยู่ในภาวะอันตราย ต้องไปพบแพทย์โดยด่วน 13.ก่อนเดินทางไกล ก่อนยกของหนัก ควรปัสสาวะทิ้งก่อนทุกครั้ง

น.ส.ปาริชาติ กันทะวงค์ เลขที่10 มฟาร์อีสเทอร์น

โรคฉี่หนู – ร่วมเรียนรู้ สู้โรคร้าย

ประเทศไทยในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ต้องประสบกับปัญหาน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ หลายจังหวัด เมื่อเกิดน้ำท่วมขัง โรคร้ายต่างๆ บางโรคที่ปกติไม่พบมากนัก ก็อาจพบอย่างแพร่หลายมากขึ้นเป็นอย่างมาก หนึ่งในจำนวนนั้นได้แก่ โรคเลปโตสไปโรซิส (Leptospirosis) หรือที่ชาวบ้านคุ้นเคยกันดีกว่าในชื่อ “โรคฉี่หนู” นั่นเอง

โรคฉี่หนู อาจมาจากฉี่ของสัตว์อื่นด้วย

โรคฉี่หนู เป็นโรคระบาดในคนที่ติดต่อมาจากสัตว์ มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่ง โรคนี้พบได้ทั่วโลก โดยพบอย่างประปรายตลอดปี แต่พบระบาดรุนแรงในฤดูฝน ในประเทศไทย พบระบาดมากในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน ซึ่งเป็นผลมาจากการที่น้ำฝนชะล้างเอาเชื้อจากสิ่งแวดล้อม เข้ามารวมกันอยู่ในบริเวณน้ำท่วมขัง ทำให้เชื้อโรคสามารถติดไปกับคนและสัตว์ต่างๆ ที่สัมผัสกับน้ำขังเหล่านั้นในที่สุด

แม้ว่าหนูจะเป็นพาหะสำคัญของโรคนี้จนมีผู้นำไปตั้งเป็นชื่อของโรค แต่อันที่จริงแล้ว สัตว์อื่นๆ อีกหลายชนิดก็เป็นพาหะของโรคนี้ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นวัว ควาย หรือสัตว์เลี้ยงใกล้ตัวอย่าง แมว และสุนัข เป็นต้น

การติดเชื้อ มักเกิดขึ้นผ่านทางบาดแผลที่เกิดจาการแช่น้ำเป็นเวลานานๆ ผู้ปกครองจึงไม่ควรปล่อยให้เด็กๆ ลงเล่นน้ำ เพราะเสี่ยงติดเชื้อโรคนี้ ซึ่งอาจมีผลร้ายแรงทำให้เสียชีวิตได้

ขณะนี้พบผู้ป่วยติดเชื้อโรคนี้แล้วทั่วประเทศมากกว่า 1,000 ราย

นอกจากปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว ยังมีปัจจัยสำคัญอื่นอีกหลายปัจจัย ที่ทำให้มีผู้ป่วยโรคฉี่หนูจำนวนมาก

รู้ได้อย่างไรว่า เป็นโรคฉี่หนู

สาเหตุหนี่งที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตเนื่องจากโรคฉี่หนูไม่น้อย อาจเนื่องมาจากอาการของโรค ซึ่งในเบื้องต้นจะคล้ายกับโรคไข้หวัดธรรมดา หรือโรคติดเชื้อที่มีสาเหตุมาจากเชื้อโรคอื่นๆ เช่น โรคไข้เลือดออก คือ ปวดศีรษะ โดยมักจะปวดบริเวณหน้าผาก หรือบริเวณหลังตา นอกจากนั้น ยังมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ บริเวณขาและเอว มีไข้สูงร่วมกับมีอาการหนาวสั่น และอาจมีตาแดง สู้แสงไม่ได้

อาการของโรคที่อธิบายมาข้างต้น ยังทำให้สับสนกับโรคอื่นๆ ที่พบมากในฤดูฝนหรือพบในบริเวณที่ประสบปัญหาน้ำท่วม จึงยิ่งทำให้วินิจฉัยโรคยากขึ้นไปอีก

การตรวจวินิจฉัยอย่างแม่นยำในห้องปฏิบัติการ จึงเป็นวิธีการที่ให้ข้อสรุปอย่างชัดเจนได้ว่า ผู้ป่วยติดโรคฉี่หนูแล้วจริงหรือไม่

สำหรับการตรวจว่าเป็นโรคฉี่หนูหรือไม่นั้น ในปัจจุบัน มีอยู่หลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีก็มีจุดเด่น จุดด้อยที่แตกต่างกันออกไป เช่น วิธีการตรวจหา แอนติเจน (สารซึ่งกระตุ้นให้ร่างกายคนและสัตว์สร้างภูมิคุ้มกัน) คือ ตัวเชื้อแบคทีเรียโดยตรง ก็เป็นวิธีการที่บอกได้แน่นอนว่า เป็นเชื้อแบคทีเรียก่อโรคนี้หรือไม่ แต่วิธีนี้มีกระบวนการที่ค่อนข้างยุ่งยาก ใช้เวลานาน และมีความเสี่ยงต่อผู้ปฏิบัติงานอีกด้วย จึงไม่ค่อยนิยมใช้กันนัก

ปัจจุบัน มักใช้ชุดตรวจสอบเลือด ที่อาศัยวิธีการตรวจหา แอนติบอดี (สารในระบบภูมิคุ้มกันที่ร่างกายคนและสัตว์ต่างๆ สร้างขึ้น เมื่อมีสารแปลกปลอมต่างๆ จากภายนอก ซึ่งรวมทั้งเชื้อโรค หลุดรอดเข้าไปสู่กระแสเลือด) ซึ่งการตรวจสอบแบบนี้ แม้ว่าจะได้ผลการตรวจที่ดีพอสมควร

แต่มีข้อจำกัดคือ จะตรวจได้ชัดเจน แม่นยำก็ต่อเมื่อร่างกายแสดงอาการของโรคออกมานานพอสมควรแล้ว เช่น 5-7 วันภายหลังจากเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่กระแสเลือด เป็นต้น

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์ เลขที่ 2

อาหารต้านหวัด

แม้ฝนจะยังคงตกอยู่ แต่ก็เริ่มมีลมเย็น ๆ มาปะทะ ผิวกันบ้างแล้ว...ปลายฝนต้นหนาวอย่างนี้โรคหวัดชอบนักเชียว...ระวังตัวด้วยการรับประทานอาหารต้านหวัดกันไว้ก่อนดีไหมคะ... 5 อย่างนี้ผู้เชี่ยวชาญจาก the department of nutrition at Brigham and Women’s Hospital ในบอสตัน เขายืนยันว่าช่วยได้จริง ๆ ค่ะ

ธัญพืช เพราะมีสังกะสีมาก ซึ่งสังกะสีนี้มีความสำคัญกับกระบวนการต้านทานเชื้อโรคในร่างกาย พยายามเลือกรับประทานขนมปังธัญพืช สปาเกตตีที่ทำจากธัญพืช หรือข้าวกล้องเข้าไว้ค่ะ

กล้วย วิตามินบี 6 ที่มีอยู่ในกล้วยนั้นช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับอาการติดเชื้อได้ดี ลองเปลี่ยนอาหารเช้าเป็นกล้วยฝานใส่กับซีเรียลธัญพืชดูสิคะ คุณจะได้พลังในการต้านเชื้อโรคเป็น 2 เท่าทีเดียว

พริกป่น นอกจากจะเป็นเครื่องปรุงที่ทำให้อาหารรสจัดจ้านขึ้นแล้ว ยังมีสาร Capsaicin ซึ่งช่วยลดอาการคัดจมูก ลดน้ำมูก ทำให้คุณหายใจได้สะดวกมากขึ้น ฉะนั้นอย่าลืมเหยาะในอาหารถ้าคุณเริ่มหายใจติดขัดเพราะน้ำมูกนะคะ

กระเทียม สาร Allicin ที่ได้จากกระเทียมสับละเอียด นั้น มีพลังในการกำจัดไวรัส ด้วยการเข้าไปบล็อกเอนไซม์ที่นำเชื้อโรคเข้ามา ฉะนั้นใส่กระเทียมมาก ๆ เวลาทำอาหารค่ะ

มันหวาน อาหารชนิดนี้เป็นแหล่งที่ดีที่สุดของเบต้าแคโรทีน ซึ่งร่างกายต้องการนำไปใช้ในการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาว ที่ช่วยต่อต้านอาการติดเชื้อ จะนำมารับประทานแบบอบ หรือบดก็ดีทั้งนั้นกันไว้จะได้ไม่ต้องรับประทานยาทีหลังไงคะ...

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

ดื่มน้ำน้อยเสี่ยงกับมะเร็ง

จากการสัมมนาทางวิชาการ จัดโดยสถาบันนานาชาติ ไลฟ์ ไซเอินซ์ (ILSI) ร่วมกับสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้เชี่ยวชาญได้ กล่าวว่า คนเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบ 60 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว ดังนั้น การดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ ต้องรักษาปริมาณ น้ำที่ดื่มในแต่ละวัน กับน้ำที่สูญเสียไปให้สมดุล ดังที่สถาบันยาในสหรัฐฯ แนะนำว่าผู้ชายที่ทำกิจกรรมตามปกติ ต้องดื่มน้ำ 3.7 ลิตรต่อวัน ส่วนผู้หญิงควรดื่ม 2.7 ลิตรต่อวัน

รศ.ดร.กัลยา กิจบุญชู สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า เด็กและผู้สูงอายุเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะตกอยู่ในภาวะขาดน้ำ เนื่องจากเด็กไทยมักจะใช้กำลังมากเกินไประหว่างเล่น ทำให้เกิดภาวะน้ำในร่างกายต่ำ สังเกตจากผิวกายที่เย็นลง อาการเฉื่อยชา ริมฝีปากแห้ง และมีรอยช้ำบนผิวหนัง การหมุน เวียนโลหิตช้าลง

ดร.ห่าวยิง จาง จากสถาบันเครื่องดื่มเพื่อ สุขภาพและการเป็นอยู่ที่ดี ประเทศจีน กล่าวว่า น้ำเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดของชีวิต และคนทั่วไปได้รับน้ำจากอาหารและเครื่องดื่ม การดื่มน้ำน้อยมีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ โรคนิ่วในไต ท่อปัสสาวะอักเสบ โรคเกี่ยวกับฟัน โดยเฉลี่ยน้ำที่คนเราได้รับแต่ละวัน 20% ได้จากอาหาร ส่วนที่เหลือ 80% มาจากน้ำดื่มหรือเครื่องดื่ม ซึ่งรวมถึง ชา กาแฟ น้ำผลไม้ น้ำอัดลม และเครื่องดื่มเกลือแร่ ทั้งหมดนี้สามารถคืนน้ำให้แก่ร่างกายได้เช่นกัน

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์ เลขที่ 2

มือ..บอกสุขภาพ

อาการนิ้วชา

คุณรู้สึกว่ามือเย็นและชาๆ บ่อยไหม แม้ว่าอากาศจะไม่ได้หนาวก็ตาม ถ้ามีปัญหานี้อาจแสดงว่าคุณกำลังเผชิญกับโรคเรย์นอยด์ (Raynaud’s Disease) ซึ่งเป็นสาเหตุให้เส้นเลือดบริเวณมือตีบ ส่งผลให้การไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ไม่ดี ทำให้เกิดอาการชา นิ้วมือซีดขาวแล้วเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ ในทางการแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของโรคนี้ แต่น่าจะเชื่อมโยงกับการเป็นรูมาตอยด์ และมีแนวโน้มว่ายิ่งอายุมากขึ้นอาการของโรคจะยิ่งเลวร้ายตามไปด้วย

คุณจะทำอะไรได้บ้าง

การปรับระบบการไหลเวียนโลหิตคือกุญแจสำคัญ ขิงสามารถช่วยปรับการไหลเวียนให้ดีขึ้นได้ ลองดื่มน้ำขิงร้อนๆ วันจะแก้ว ส่วนใบแปะก๊วยก็ช่วยการไหลเวียนเลือดได้ดีเช่นเดียวกัน หรือรับประทานผลไม้จำพวกผลเบอร์รี่ ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินซีที่ช่วยขยายหลอดเลือด

เหงื่อออกที่ฝ่ามือ

สำหรับบางคนอาการที่เกิดขึ้นในวัยหมดประจำเดือนทำให้เหงื่อออกที่มือได้ เนื่องจากการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนทำให้อุณหภูมิภายในร่างกายเปลี่ยนแปลง อาจปรับตัวไม่ทัน มีเหงื่อออกมาเพื่อระบายหรือปรับความร้อนในร่างกายให้เย็นลง หรืออาจเกิดขึ้นเมื่อคุณมีความเครียดด้วยก็ได้

คุณจะทำอะไรได้บ้าง

สมุนไพรบางอย่างสามารถช่วยลดอาการเหงื่อออกในวัยหมดประจำเดือนได้ ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มร้อนๆ และอาหารรสจัด ซึ่งจะไปเพิ่มความร้อนในร่างกาย หากรู้สึกเครียด ให้หยดน้ำมันหอมกลิ่นลาเวนเดอร์สัก 2-3 หยดลงบนกระดาษทิชชู เอาไว้สูดดมเมื่อรู้สึกเครียด

จุดสีน้ำตาล และริ้วรอยเหี่ยวย่น

รอยจุดสีน้ำตาลที่ปรากฏบนมือ เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสี เนื่องจากโดนแสงแดดเป็นเวลานาน มักจะเกิดขึ้นกับคนในวัย 40 ขึ้นไป หากเกิดขึ้นกับผิวของคุณ แสดงว่าถึงเวลาแล้วที่คุณต้องหันมาใส่ใจกับการทาครีมกันแดดให้มากขึ้น ส่วนริ้วรอยเหี่ยวๆ ย่นๆ บนมือก็บ่งชี้ว่าผิวพรรณกำลังขาดความชุ่มชื้นอย่างหนัก

คุณจะทำอะไรได้บ้าง

จุดเหล่านี้สามารถจางลงได้ง่ายๆ ด้วยการใช้น้ำมะนาวมานวดถูมือเป็นประจำ และอย่าลืมทาครีมสำหรับทามือที่มีส่วนผสมของสารกันแดด แม้ว่าจะเป็นหน้าฝนก็ตาม การเลือกรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างผัก ผลไม้สดก็เป็นสิ่งจำเป็น เพราะสามารถช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์ผิวโดนแผดเผาทำลายจากแสงแดดได้วิธีหนึ่ง หรือถ้าต้องการป้องกันอย่างล้ำลึกก็อาจทานอาหารเสริมร่วมด้วยก็ได้

คุณสามารถวัดอายุผิวด้วยวิธีง่ายๆ โดยการดึงผิวหนังบริเวณหลังมือแล้วปล่อย หากผิวไม่กลับคืนเหมือนเดิมในทันที แสดงว่ากำลังขาดความชุ่มชื้นอย่างหนัก ควรดื่มน้ำให้มากขึ้นให้ได้อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร เพื่อคืนความเปล่งปลั่งชุ่มชื้นให้ผิวเหมือนสมัยสาวๆ

ปวดมือ

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ใช้คอมพิวเตอร์เป็นประจำ และเริ่มรู้สึกปวดหรือเมื่อยล้าบริเวณมือและข้อ นั่นเป็นเพราะคุณพิมพ์ดีดเป็นเวลานานเกิน ทำให้เส้นเอ็นถูกใช้งานมากเกินไป จนรู้สึกร้อนผ่าวบริเวณมือ

คุณจะทำอะไรได้บ้าง

ควรพักจากการใช้คอมพิวเตอร์ไปทำอย่างอื่นเสียบ้าง เปลี่ยนอิริยาบถ ลุกขึ้นบิดขี้เกียจคลายความเมื่อยล้า หรือเดินบ้าง อาจลุกไปชงกาแฟ หรือจะนั่งออกกำลังให้มือด้วยวิธีง่ายๆ ก็ได้ เริ่มโดยกำมือให้แน่นประมาณ 10 วินาที จากนั้นคลายมือออกโดยพยายามกางนิ้วมือให้ยืดออกมากที่สุดเท่าที่จะยืดได้ แล้วปล่อยมือตามปกติ ก่อนจะทำซ้ำตั้งแต่เริ่มอีก 5-10 ครั้ง

ผื่นแดง

ผื่นแดง และอาการแสบร้อนที่มักเกิดบริเวณหลังมือ ส่วนใหญ่เป็นผลจากการแพ้สารเคมี อย่าง ผงซักฟอก หรือพวกน้ำยาทำความสะอาดต่างๆ และบางครั้งอาจจะเกิดจากการใช้ถุงมือยางเป็นเวลานาน จนทำให้ผิวอ่อนบาง แพ้ง่าย โดนอะไรนิดหน่อยก็คันและเป็นผื่นง่าย

คุณจะทำอะไรได้บ้าง

ทาครีมสำหรับลดผื่นคัน หากต้องการป้องกันไม่ให้เกิดอาการผื่นแดงขึ้นอีก สามารถเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิวด้วยการนวดด้วยน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันจากเมล็ดอัลมอนด์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น และพยายามหลีกเลี่ยงสารเคมีที่แพ้ ไปใช้พวกผลิตภัณฑ์สำหรับผิวแพ้ง่ายที่ไม่มีส่วนผสมของสารเคมีนั้นๆ แทน ล

พิมพา ฟาร์อีสเทิร์น

เคล็ดลับเขียนอายไลเนอร์

อายไลเนอร์ช่วยเพิ่มความคมเข้มให้แก่ดวงตาของคุณ หรือทำให้การแต่งหน้าแบบง่ายๆ ดูเปรี้ยวเฉี่ยวขึ้นในทันใด เรารวบรวมทุกเรื่องที่คุณควรรู้ในการเขียนเส้นขอบตาให้สวยดังใจมาให้แล้ว

อายไลเนอร์แบบไหนดี?

อายไลเนอร์แบบดินสอ เป็นอายไลเนอร์แบบดั้งเดิมและเขียนได้ง่ายที่สุด เดี๋ยวนี้มีแบบดินสอสำเร็จรูปที่ไม่ต้องเหลาเพื่อความสะดวกอีกด้วย ควรเลือกแบบที่เนื้อดินสอนุ่มๆ ซึ่งลากเส้นได้ง่าย และไม่ระคายเคือง

อายไลเนอร์แบบเจล เป็นอายไลเนอร์สูตรน้ำที่ต้องเขียนด้วยพู่กันปลายเรียวเล็ก ให้เส้นที่เรียบและคมกว่าแบบดินสอ และถ้าเป็นแบบกันน้ำก็จะติดทนนานกว่าและไม่เลอะเทอะง่าย แต่อาจเขียนได้ยากกว่า

อายแชโดว์ ถ้าไม่อยากลงทุนซื้ออายไลเนอร์ แต่อยากเพิ่มความคมเข้มให้ดวงตาเป็นครั้งคราว คุณสามารถใช้อายแชโดว์ที่มีเม็ดสีเข้มๆ แทนได้ โดยใช้พู่กันแบบปลายเรียวเล็กจุ่มน้ำเล็กน้อยก่อนแต้มอายแชโดว์ และเขียนเส้นขอบตาแบบเดียวกับอายไลเนอร์

เคล็ดลับเขียนอายไลเนอร์

ก่อนเขียนอายไลเนอร์ ให้แน่ใจว่าผิวหนังของคุณปราศจากความมันวาว เพราะมันจะทำให้อายไลเนอร์เลอะเลือน ไม่ติดทนนาน

วิธีที่ง่ายที่สุดสำหรับการเขียนอายไลเนอร์ด้วยดินสอก็คือ แต้มดินสอเป็นจุดๆ ตลอดความยาวของขอบตา แล้วค่อยลากเส้นต่อจุดให้กลมกลืนกัน

สำหรับอายไลเนอร์แบบลิควิดให้เส้นที่คมชัด ลองใช้เทคนิคนี้ในการเขียนเส้นขอบตาวางกระจกไว้ตรงหน้า และวางข้อศอกลงบนโต๊ะเพื่อให้มือมั่นคง หรี่ตาครึ่งหนึ่ง และพยายามเขียนเส้นให้ชิดขอบตามากที่สุด ด้วยการดึงเปลือกตาให้ดึงขึ้น โดยวางนิ้วลงใต้โค้งคิ้วและดึงหนังตาขึ้นข้างบน แทนที่จะดึงออกด้านข้าง สำหรับมือใหม่ ไม่ต้องห่วงว่าจะต้องลากเส้นรวดเดียว แต่ให้ลากเป็นตามเส้น เส้นหนึ่งจากหัวตา เส้นหนึ่งตรงกลางตา และอีกเส้นจากหางตา จากนั้น ใช้พู่กันเกลี่ยตรงช่วงรอยต่อของแต่ละเส้นให้เรียบเนียน เทคนิคนี้ใช้ได้กับการเขียนอายไลเนอร์ด้วยพู่กันทุกชนิด

เวลาที่ต้องใช้พู่กัน ให้จับพู่กันใกล้กับส่วนหัวพู่กันให้มากที่สุด คุณจะควบคุมการวาดเส้นได้ดีกว่า

อายไลเนอร์แบบลิควิดเป็นน้ำ มันจึงต้องให้เวลาสองสามวินาทีหรือแม้แต่สองสามนาทีเพื่อให้มันแห้งสนิท ฉะนั้น อย่าลืมตาเต็มที่เร็วเกินไป มันอาจทำให้เปลือกตาคุณเลอะได้

การเขียนขอบตาล่างสามารถทำให้ลุคของคุณดูคมเข้มขึ้น และเป็นวิธีง่ายๆ ในการแปลงโฉมเมคอัพจากกลางวันเป็นกลางคืน แต่ไม่ควรใช้อายไลเนอร์แบบลิควิดกับขอบตาล่าง มันอาจเข้าตาได้ง่าย วิธีที่ดีที่สุดคืออายไลเนอร์แบบเจลหรือดินสอสำหรับขอบตาล่าง

การฝึกฝนทำให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ คุณอาจจะพบความยากลำบากในการเขียนเส้นขอบตาในช่วงแรกๆ แต่ถ้าคุณพยายามฝึกฝนต่อไป มันก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ

พรางรูปตาด้วยอายไลเนอร์

ตากลม ใช้ดินสอเขียนขอบตานุ่มๆ เขียนขอบตาทั้งข้างบนและล่างเข้ามาสามในสี่ส่วนจากหางตา ให้เส้นพบกันที่หางตาเป็นรูปตัว V โดยให้ยาวเลยหางตาออกมาเล็กน้อย และใช้แปรงเกลี่ยเส้นออกไปข้างนอกและให้เฉียงขึ้นเล็กน้อยเพื่อทำให้ตายาวขึ้น

ตาเล็ก ทำตามเทคนิคข้างบน แต่อย่าให้เส้นขอบตาบนและล่างต่อกันที่หางตา เพียงแค่เกลี่ยเส้นออกไปด้านนอก และเขียนที่ขอบตาด้านในของขอบตาล่างด้วยสีอ่อนๆ อย่างสีพีชเพื่อทำให้ตาดูโตขึ้น

ตาตี่ เพื่อทำให้ตาดูโตขึ้น เขียนเส้นขอบตาให้หนาตรงกลางตาและบางกว่าที่หางตาและหัวตา และเขียนเส้นเฉพาะขอบตาบนเท่านั้น

พิมพา ฟาร์อีสเทิร์น

ผักผลไม้ 7 ชนิด ที่ผู้หญิงควรรับประทาน

ถึงแม้จะมีสาวๆ หลายคนไม่ค่อยจะพิศมัยในการกินผักผลไม้เท่าไหร่นัก แต่ก็เห็นพยายามหาวิธีที่จะทานเข้าไป ด้วยความหวังที่อยากให้ผักผลไม้เหล่านั้นสร้างประโยชน์ให้กับร่างกาย ผักและผลไม้แต่ละชนิดนั้นก็มีวิตามินและแร่ธาตุที่พิเศษแตกต่างกันออกไป ด้วยเหตุนี้ก็เลยมีเรื่องราวของผักผลไม้ 7 ชนิด ที่มีผลโดยตรง ต่อสุขภาพของ "ผู้หญิง" มาฝาก

1. ลูกพรุน ต้องบอกเลยว่าเป็นแหล่งโปแทสเซียม เหล็ก และไฟเบอร์ชั้นดี ที่สำคัญลูกพรุนยังช่วยให้สาวๆ มีเลือดฝาดดูเป็นสาวสดใส ยิ่งโดยเฉพาะสาวๆ ที่มีอายุ 25 ขึ้นไปร่างกายจะเริ่มเสื่อมโทรม ไขมันจะเริ่มสะสมตามที่ต่างๆ ผิวหน้าก็อาจจะหมองคล้ำลง ธาตุเหล็กที่มีในลูกพรุนจะช่วยดูแลเรื่องนี้ควบคู่กับภาวะที่สตรีต้องสูญเสียเลือดและธาตุเหล็กไปกับประจำเดือนอีกด้วย

2. ถั่ว เพียบพร้อมไปด้วยโปรตีน เหล็กและวิตามินบีด้วยนะคะ มีนักวิทยาศาสตร์เค้าค้นพบว่าเมื่อเรารับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ชนิดที่ละลายน้ำ (ซึ่งมีมากในถั่วค่ะ) ไฟเบอร์จะเคลือบกระเพาะ ทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็วและนาน ความอยากอาหารจะลดลง แถมนอกจากไฟเบอร์แล้วในถั่วยังมีสารอาหารชนิดอื่นๆ อีกด้วย นี่ล่ะค่ะจึงทำให้ผู้หญิงอย่างเราหุ่นดีโดยไม่ขาดสารอาหาร

3. บรอคโคลี มีซีลีเนียมมากซึ่งจะช่วยบำรุงผิวพรรณและช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณอ่อนนุ่มมีน้ำมีนวลแถมยังช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้

4. กล้วย โดยเฉพาะในกล้วยไข่จะมีสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งสามารถต้านอนุมูลอิสระ เมื่อสาวๆ อายุ 22 ปีไปแล้ว ร่างกายจะเริ่มหยุดการเติบโต ความเสื่อมของร่างกายก็จะเริ่มมาเยือนค่ะ และนั่นก็จะทำให้เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์ผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้น ที่แน่นอนที่สุดความสามารถในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอก็จะลดลงเรื่อยๆ ความสามารถในการกำจัดอนุมูลอิสระก็ลดลง นี่ล่ะค่ะ สาวๆ จึงต้องรับประทานกล้วยให้เยอะๆ

5. ฝรั่ง รู้รึเปล่าคะว่า ฝรั่ง 100 กรัม มีวิตามินซีสูงถึง 180 มิลลิกรัม ซึ่งวิตามินซีนี้มีบทบาทในการสร้าง "คอลลาเจน" ที่ทำให้ผิวพรรณเต่งตึงยืดหยุ่น ไม่เหี่ยวย่นก่อนวัย

6. แอปเปิ้ล มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ "เพคติน" ซึ่งจะช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนักและลดคอเลสเตอรอล ถ้าสาวๆ หิวเมื่อไหร่ล่ะก็ให้นึกถึงแอปเปิ้ลไว้ก่อนเลย

7. ส้ม เป็นแหล่งวิตามินเกลือแร่ และเส้นใยธรรมชาติ น้องๆ รู้มั้ยคะว่าการรับประทานส้มโดยไม่คายกากจะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกทางนึงนะคะ เพราะจะทำให้เราอิ่มท้องเร็ว สาวๆ ที่อยากลดน้ำหนักต้องส้มเลย

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

Junk Food หรือ อาหารขยะ

วันนี้สังคมไทยเปลี่ยนไปมาก เต็มไปด้วยการแข่งขัน เร่งรีบประกอบกับการโฆษณา ยุคโลกาภิวัฒน์ในสหัสวรรษใหม่ ข้อมูลข่าวสารไหลมาตามช่องทางต่างๆ ถึงตัวผู้บริโภคได้รวดเร็ว จนบางครั้ง ไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำไป ที่สำคัญ เชื่อถือได้มากน้อยเพียงใด ไม่มีใครพิสูจน์จนกว่าจะได้ลองเอง

วิถีชีวิตและพฤติกรรม ที่เปลี่ยนไปของคนเมือง ทำให้ต้องฝากปากท้อง กับอาหารสำเร็จรูป และอาหารจานด่วน ซึ่งส่วนมาก จะมาในรูปอาหารตะวันตก ประเภทสะดวก เร็ว อิ่ม (แต่แพง) เพราะซื้อหาได้ทั่วไป ถูกปากคนรุ่นใหม่ ใส่บรรจุภัณฑ์เก๋ไก๋ พกพาไปได้ทั่ว รับประทานได้ทุกที่

คำว่า Junk Food เป็นศัพท์แสลงของ อาหารที่มีสารอาหารจำกัด หรือที่เรียกกันว่า อาหารขยะ อาหารไร้ประโยชน์ อาหารที่นักโภชนาการ ไม่เคยแนะนำ อะไรทำนองนี้ แต่ขึ้นชื่อว่า Junk Food จะต้องประกอบด้วยสารอาหาร ที่ให้พลังงานเป็นส่วนใหญ่ เช่น น้ำตาล ไขมัน แป้ง และมีส่วนประกอบโปรตีน วิตามิน เกลือแร่ น้อยมาก ตัวอย่างเช่น ขนมขบเคี้ยวรสเค็ม รสหวาน ลูกอม หมากฝรั่ง ขนมหวานทุกชนิด อาหารทอด อาหารจานด่วนบางชนิด และน้ำอัดลม หรือมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Empty Calorie มีความหมายว่า ไม่มีอะไรที่เป็นประโยชน์เลย เทียบกับอาหารไทย โดยพื้นฐานแล้ว ในหนึ่งจานให้คุณค่าหลากหลาย ไขมันต่ำกว่า อุดมด้วยสมุนไพร ที่เป็นคุณต่อสุขภาพ แต่ด้วยความเร่งรัดของวิถีชีวิต ทำให้คนไม่มีเวลาเลือกหา และไม่ยอมเสียเวลา ปรุงอาหารรับประทานเอง อย่างน้อยหนึ่งมื้อ ในหนึ่งวันของใครหลายคน จึงเลือก Junk Food เป็นทางออก ขณะเดียวกัน ก็ยอมเสียสตางค์แพงๆ เลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร มาเติมเต็มทดแทน ส่วนที่ขาดหายไป …ถ้าคนไทยไม่รู้จักแฮมเบอร์เกอร์ เฟรนซ์ฟราย พิซซ่า แต่ยังคงกินน้ำพริกปลาทู ข้าวกล้อง ส้มตำ ข้าวเหนียว ไก่ย่าง แกงส้ม… โรคไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน เบาหวาน และอื่นๆ อีกมากมาย ก็ไม่น่าจะเจอในคนอายุน้อยๆ เหมือนที่พบมากในปัจจุบัน ที่สำคัญ เงินทองไม่รั่วไหล ออกนอกประเทศ จำนวนมหาศาลต่อปี

Junk Food ส่วนใหญ่ จะให้พลังงานที่ได้มาจาก ส่วนประกอบ 3 อันดับแรกคือ น้ำตาล ไขมัน และแป้ง ดังนั้น ต้องพิจารณาให้ดี อาหารสำเร็จรูปบางชนิด จะมีฉลากโภชนาการแจ้งให้ทราบ

อาหาร Junk Food ยอดนิยม ยังขาดสารอาหาร ที่มีความจำเป็นต่อการทำงาน ของร่างกายอยู่หลายชนิด และในทางตรงกันข้าม ก็มีพลังงานหรือสารอาหารบางตัว ที่ยังไม่สมดุลกับความต้องการ การดูแลสุขภาพร่างกาย ให้พร้อมสำหรับชีวิตประจำวัน เพื่อให้ร่างกายมีความสมบูรณ์ และแข็งแรงในรูปแบบง่ายๆ ซึ่งเราๆ ท่านๆ ท่องจำขึ้นใจ เป็นเสียงเดียวกันว่า หนึ่ง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สอง รับประทานอาหาร ให้ถูกหลักโภชนาการ และสาม พักผ่อนให้เพียงพอ แต่ถามว่ามีสักกี่คนที่ปฏิบัติทั้ง 3 ข้อนี้ได้อย่างแท้จริง

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

ลองอ่านกันดูนะคะ!!!

เข้านอนโดยไม่ได้ล้างหน้า : เป็นสาเหตุของการเกิดสิว ริ้วรอย และทำให้รูขุมขนกว้างขึ้น

บีบสิว : ควรหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาด นอกจากสิวนั้นจะสุกจนหัวใกล้ระเบิดออกมาเท่านั้น

ยืมเครื่องสำอางกันใช้ : ห้ามอย่างเด็ดขาด หากผู้ที่เราหยิบยืมของมา เป็นโรคปากเปื่อย เฮอร์พีซ ไวรัส ซึ่งอาจติดต่อถึงเราได้

หน้านิ่วคิ้วขมวดตลอดเวลา

กัดเล็บ : การ กัดแทะเล็บนั้นแสดงถึงความเป็นคนไม่ใส่ใจในบุคลิก

ใช้สบู่ล้างหน้า : สบู่เป็นตัวการทำลายน้ำหล่อเลี้ยงผิว

ชอบจับต้องใบหน้า นั่งเท้าคาง : เป็นการถ่ายทอดเชื้อโรคสู่ผิวหน้า ทำให้เกิดสิว และผื่นต่างๆ ได้ง่าย

เลียริมฝีปากอยู่ตลอดเวลา : ลองหันมาใช้ลิปสติกปกป้องบำรุงริมฝีปากแทนจะดีกว่าค่ะ

ดึงเส้นผมทิ้งเล่น : เป็นนิสัยที่ควรละเว้น

ยืนงอ ห่อตัว : แม้จะสวยกว่านางงาม หากยืนห่อไหล่ ห่อตัว จะทำให้ดูไม่สง่างามเลย นอกจากจะเสียบุคลิกแล้ว อาจทำให้ปวดหลังและเป็นโรคเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารได้ค่ะ

ลองนำเกร็ดความรู้ ที่เอามาฝาก ไปปรับใช้กันนะคะ

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

สมุนไพรไทยกินต้านหวัด

* กระเทียม มีสรรพคุณทางยาโดยเฉพาะการต้านเชื้อโรค เนื่องจากกระเทียมมีสารอัลลิซิน (allicin) ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อได้ มีกลิ่นฉุนจะเกิดขณะทุบหรือบดกระเทียม ส่วนกระเทียมโทนที่มีกลิ่นและรสเผ็ดร้อนกว่ากระเทียมธรรมดาจะให้ประสิทธิภาพมากกว่า จากการศึกษาพบว่า กระเทียมโทนมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้ดีกว่าเพนนิซิลลิน และเตตร้าซัยคลิน ที่เป็นยาฆ่าเชื้อ (ยาปฏิชีวนะ) ที่ใช้โดยทั่วไป นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคท้องเสีย แผลติดเชื้อ วัณโรค ไทฟอยด์ และกลากเกลื้อนอีกด้วย ซึ่งกระเทียมสดจัดว่ามีสรรพคุณรักษาอาการติดเชื้อได้ดีที่สุด เช่น น้ำคั้นหัวกระเทียมผสมน้ำอุ่นและเกลือเล็กน้อย เพื่อกลั้วคอการบรรเทาและรักษาทอนซิลอักเสบที่เริ่มเป็นหรือฆ่าเชื้อในปากและลำคอ

* ขิง มีสารประกอบที่ให้รสเผ็ดร้อนอย่างจินเจอรอล และโชกาออล ที่ช่วยบรรเทาหวัดและไข้หวัดใหญ่ ซึ่งสามารถนำมาปรุงผ่านความร้อนหรือรับประทานสดก็ได้ นอกจากนี้ขิงยังสามารถบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ คลื่นไส้และวิงเวียนศีรษะได้อีกด้วย

* มะขามป้อม ในส่วนที่กินได้ 100 กรัม มะขามป้อมมีวิตามินซี 276 มก. เราสามารถนำเนื้อผลแห้ง หรือสดมารับประทานเพื่อขับเสมหะ ทำให้ชุ่มคอ นอกจากนี้ถ้านำผลแห้งมาต้มดื่มจะช่วยแก้ไข้

* กะหล่ำปลี กะหล่ำปลีดิบให้มีวิตามินซีสูงที่สุด โดยเฉพาะกระหล่ำดาวที่ 1 ถ้วย มีวิตามินซีถึง 97 มก. แถมยังมีสารต้านมะเร็งหลายตัว ช่วยลดโอกาสเป็นมะเร็งลำไส้ได้โดยเราสามารถรับประทานแบบสดและปรุงสุก แต่ไม่ควรรับประทานกะหล่ำปลีสดในปริมาณมากๆ เพราะมีสารกอยโตรเจน (Goitrogen) ซึ่งจะไปขัดขวางการทำงานของต่อมไทรอยด์ ทำให้ร่างกายขาดไอโอดีน แต่หากนำมาปรุงสุก กอยโตรเจนก็จะสลายไป

* ฟ้าทะลายโจร เป็นสมุนไพรพื้นบ้านที่ได้รับความนิยมในการบรรเทาและรักษาอาการเจ็บคอ ซึ่งเคยมีการศึกษาระบุถึงประสิทธิผลในการบรรเทาอาการหวัด (Common cold) ต่อมทอนซินอักเสบ มีคุณสมบัติแก้ไข้ (antipyretic) และต้านการอักเสบ (anti-inflammatory) และมีสารแอนโดรกราโฟไลด์เป็นส่วนประกอบสำคัญ โดยสถาบันการแพทย์แผนไทยได้ระบุการทดลองให้ยาเม็ดสารสกัดฟ้าทะลายโจรที่ควบคุมให้มีปริมาณของแอนโดกราโฟไลด์ และดีออกซีแอนโดรกราไฟไลด์รวมกันไม่น้อยกว่า 5 มิลลิกรัม /เม็ด ครั้งละ 4 เม็ด วันละ 3 เวลา ในผู้ที่เป็นไข้หวัด พบว่าความรุนแรงของทุกอาการไอ เสมหะ น้ำมูกไหล ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดหู นอนไม่หลับและเจ็บคอน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเรานำส่วนลำต้นหรือใบสด 1 กำมือ มาทุบและบดต้มกับน้ำจิบเรื่อยๆ

* พริก ปริมาณวิตามินซีในพริกมากน้อยแตกต่างในแต่ละสายพันธุ์ เช่น พริกชี้ฟ้า พริกหยวก ก็มีปริมาณวิตามินซีมากกว่าพริกขี้หนู เป็นต้น พริกมีสารที่ทำให้เกิดรสเผ็ดที่เรียกว่า Capsaicin ที่ช่วยบรรเทาให้ระบบทางเดินหายใจโล่งขึ้น และช่วยให้โรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังดีขึ้นได้ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติของสารต้านอนุมูลอิสระและกระตุ้นการสร้างสารไนตริกออกไซด์ ที่ช่วยขยายและเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับหลอดเลือด ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดอีกด้

น.ส.ขวัญแรก ปันสา cmru sex 02 No.58

วิธีการออกกำลังกายเพื่อให้ได้รูปร่างที่ดี

การออกกำลังกายเป็นเรื่องแปลกสำหรับผู้หญิงและผู้ชาย การบริหารของผู้ชายมักจะเน้นกล้ามเนื้อส่วนบนของร่างกาย เช่นกล้ามเนื้อหน้าอก แขนเป็นต้น แต่สำหรับผู้หญิงจะเน้นเรื่องสะโพก ก้น และขา การออกกำลังกายแบบaerobic นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังทำให้ร่างกายมีกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น แต่ที่เป็นปัญหาของคุณผู้หญิงส่วนใหญ่คือต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อบางส่วน และต้องการลดกล้ามเนื้อบางส่วน เพื่อให้ดูได้รูปทรงสวยงาม การยกน้ำหนักก็กลัวว่ากล้ามเนื้อจะเป็นมัด แต่การบริหารด้วยการใช้น้ำหนักที่พอเหมาะจะทำให้กล้ามเนื้อกระชับได้รูปทรง ดูแข็งแรงมีเสน่ห์ และยังทำให้มีการเผาผลาญอาหารเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้น้ำหนักลดลงเร็วขึ้น ก่อนบริหารกล้ามเนื้อท่านต้องอบอุ่นร่างกายก่อน และการยืดกล้ามเนื้อ ตัวอย่างการบริหารเพิ่มให้ร่างกายมีสัดส่วนดูดีขึ้น

จาก หนังสือ TVPOOL

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

สมุนไพรเพื่อสุขภาพ !!!

1. ว่านหางจระเข้ (Aloe indica Royle)

คุณค่าของว่านหางจระเข้มีมากมาย นอกจากใช้รักษาโรคแล้ว ยังใช้บำรุงผิว บำรุงเส้นผมได้ด้วย ปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า มีแชมพูสระผม และเครื่องสำอางหลายอย่าง ที่ใช้ว่านหางจระเข้เป็นส่วนประกอบ และกำลังเป็นที่นิยมของคนทั่วไป เนื่องจากว่านหางจระเข้ มีคุณสมบัติสามารถช่วยให้กระบวนการเมตะโบลิซึม ทำงานได้เป็นปกติ ลดการติดเชื้อ สลายพิษของเชื้อโรค กระตุ้นการเกิดใหม่ ของเนื้อเยื่อส่วนที่ชำรุด ฉะนั้น ว่านหางจระเข้จึงถูกนำมาใช้ เพื่อบำรุงผิวพรรณ ผู้ที่ใช้ว่านหางจระเข้บำรุงผิวพรรณอยู่เป็นประจำ จะรู้สึกได้ชัดว่า ว่านหางจระเข้มีส่วนช่วย ให้ผิวพรรณผุดผ่อง สดชื่น มีน้ำมีนวล และยังสามารถขจัดสิว และลบรอยจุดด่างดำได้ด้วย

การใช้ว่านหางจระเข้ เพื่อบำรุงผิว โดยปอกเปลือกออก ใช้แต่เมือกวุ้นสีขาวใส ที่อยู่ภายใน ทั้งนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการแพ้ ก่อนใช้ควรตรวจสอบว่า ตนเองจะเกิดอาการแพ้หรือไม่ โดยใช้น้ำที่ได้จากวุ้นสีขาว ของว่านหางจระเข้ ทาตรงบริเวณโคนหู แล้วทิ้งไว้สักครู่ ถ้าเกิดการระคายเคืองเป็นผื่นแดง แสดงว่าแพ้ ไม่เหมาะที่จะใช้กับผิวหน้าอีกต่อไป ถ้าไม่มีอาการแพ้ ก็สามารถใช้ได้ตลอด แต่บางคนก็จะเห็นผลได้เหมือนกัน เมื่อใช้ว่านหางจระเข้ทาบริเวณหัวสิว จะทำให้หัวสิวแห้งเร็ว

นอกจากนี้ ว่านหางจระเข้ยังสามารถลดความแห้งกร้าน และลดความมันของผิวหน้าได้ โดยคนที่มีผิวมัน ก็จะช่วยให้ลดความมัน คนที่มีผิวหน้าแห้ง ก็ยังรักษาความชุ่มชื่นของผิวไว้ได้

2. งา (Sesamum indicum Linn. S. orientle. L)

เป็นพืชล้มลุก ให้เมล็ดเป็นจำนวนมาก เมล็ดงามีทั้งสีดำ และสีขาว ในเมล็ดงามีน้ำมันอยู่ ประมาณ 45-54% น้ำมันงามีกลิ่นหอมน่ารับประทาน วิธีใช้ โดยการนำเอาเมล็ดงาสด มาบีบน้ำมันงาออก โดยไม่ผ่านความร้อน ใช้ทาผิวหนัง เพื่อบำรุงผิวพรรณ ให้ผุดผ่อง ช่วนประทินผิวให้นุ่มนวล ไม่หยาบกร้าน

3. แตงกวา (Cucumis sativas Linn.)

จะมีวิตามินสูง ในผลแตงกวายังมีเอ็นไซม์ cryssin ซึ่งช่วยย่อยโปรตีนได้ เอ็นไซม์ชนิดนี้ จะช่วยย่อยผิวหนังที่หยาบกร้าน ให้หลุดออกไป เพื่อให้ผิวใหม่ที่อ่อนนุ่ม เกิดขึ้นมาแทนที่ บางคนใช้แตงกวาสด ผ่าเป็นชิ้นบางๆ วางบนใบหน้าที่ล้างสะอาด แทนน้ำแตงกวา ปัจจุบัน มีน้ำแตงกวาผสมในเครื่องสำอาง เช่น ครีมล้างหน้า ครีมทาตัว เพื่อช้วยให้ผิวไม่หยาบกร้าน และช่วยสมานผิว แตงกวาเป็นสมุนไพร ที่หาง่าย มีประโยชน์ ราคาถูก ใช้ติดต่อกับเป็นประจำ จะทำให้สวนสดชื่น มีน้ำมีนวล

4. มะเขือเทศ (Lycopersicon esculentum Mill.)

ในมะเขือเทศ จะมีสาร Curotenoid และมีวิตามินหลายชนิด น้ำจากผลมะเขือเทศสุก จะมีสาร licopersioin ซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อรา และแบคทีเรีย และน้ำมะเขือเทศสด นำมาพอกหน้า จะรักษาสิวสมานผิวหน้าให้เต่งตึง หรืออาจจะฝานบางๆ แปะลงบนผิวหน้าก็ได้

5. ขมิ้นชัน (Curcuma Longa Linn.)

ในขมิ้น จะมีสาร Curcumin และมีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งมีกลิ่นเฉพาะ ขมิ้นมีฤทธิ์ยับยั้ง การเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราหลายชนิด ใช้ทาผิวที่มีผดผื่นคัน ผงขมิ้นใช้ทาตัว เพื่อให้มีสีเหลืองทอง ใช้บำรุงผิว และช่วยฆ่าเชื้อ ที่ทำให้เกิดโรคผิวหนังบางชนิด ได้อีกด้วย

6. น้ำผึ้ง (Apis dorsata)

ได้จากผึ้ง ประกอบด้วยน้ำตาลกลูโคส ฟรุคโตส ขี้ผึ้ง อัลบูมินอยด์ ละอองเกสรดอกไม้ และฮอร์โมนเอสโตรเจน จำนวนเล็กน้อย น้ำผึ้งใช้เป็นส่วนประกอบ ของเครื่องสำอาง ใช้พอกหน้า ทำให้ผิวหน้าชุ่มชื่น เปล่งปลั่งมีน้ำมีนวลขึ้น น้ำผึ้งยังมีคุณสมบัติช่วยสมานผิว น้ำผึ้ง เป็นเครื่องสำอางจากธรรมชาติ ที่ให้ประโยชน์สูง และหาง่าย นอกจากนี้ ยังใช้น้ำผึ้งบำรุงผม ฮอร์โมนเอสโตรเจน จะช่วยบำรุงหนังศีรษะ และกระตุ้นการงอกของเส้นผม

7. มะขามเปียก (Tamarindus indica Linn)

มะขามเปียกมีประวัติการใช้มายาวนาน ช่วยชำระสิ่งสกปรกจากผิวหนัง เพราะฤทธิ์ที่เป็นกรดอ่อนๆ ในมะขาม จะช่วยขจัดสิ่งสกปรกจากผิวหนังได้ดี ปัจจุบัน ได้มีหญิงไทยจำนวนมาก ใช้มะขามเปียกผสมน้ำอุ่น และนมสดให้เข้ากันดี พอกบริเวณผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณที่เป็นรอยด้าน เช่น ตาตุ่ม ข้อศอก ฝ่ามือ ที่มีรอยกร้านดำ และบริเวณรักแร้ ขาหนีบ เพื่อให้ผิวหนังที่เป็นรอยดำจางลง ทำให้ผิวขาวนุ่มนวลขึ้น และนมสดจะช่วยบำรุงผิว ให้นุ่มได้

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

อาหารกำหนดชะตา

อาหารนี่แหละเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิต หลักการง่ายๆ ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ รับประทานผักผลไม้ให้มากๆ หลายคนต่างรู้ดี แต่กลับบริโภคตามใจปาก ถ้าไม่ป่วยก็ไม่รู้ซึ้ง ดังนั้น มารู้จักการบริโภคอาหาร เพื่อป้องกันการเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้ากินน้อยจะตายยาก กินมากจะตายง่าย คุณจะเลือกแบบไหน

ชีวิตของคุณ ถูกกำหนดโดยอาหารที่คุณกิน ถังขยะหน้าบ้านบอกได้ว่า คุณทิ้งอะไรลงไป กินอะไรเข้าไป ชีวิตคุณจะเป็นอย่างไรต่อไป เราเอง คนที่ประสบปัญหาการรับประทานอาหารดีเกินไป แพงเกินไป มากเกินไป สุดท้ายผลลัพธ์ที่ได้ ก็คือ น้ำหนักตัวที่เกินมา โรคภัยไข้เจ็บที่ไม่ต้องการ ทุกอย่างน่าจะแก้ไขได้ทัน หากวันนี้ เราหันมาใส่ใจสุขภาพ เพราะอาหารนั้น สามารถกำหนดชะตาชีวิตของเราได้ อย่างน้อย ถ้าอยากมีสุขภาพกาย-ใจ ดี ผิวพรรณผ่องใสจากข้างใน เลือดลมเดินดี ไม่มีโรค โดยไม่ต้องอาศัยครีมหน้าเด้ง หรือยาลดความอ้วน หรือทำมาหาเลี้ยงหมอทุกเดือน ขั้นแรกต้องเป็นหมอดูแลเรื่อง อาหารการกินของตัวเราเองก่อน

1. ลองเช็คตัวเองซิว่า ตอนนี้สุขภาพเป็นอย่างไร

ถ้าเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นในตอนเช้า เราลุกจากเตียงเหมือนติดสปริงหรือเปล่า? ลุกขึ้นมาพร้อมกับความสดชื่นมีชีวิีตชีวาหรือไม่ ถ้าเสียงนาฬิกาปลุกดัง เรายังไม่ลืมตา เอามือไปกดแล้วนอนต่อ เพราะลุกไม่ไหว จนนาฬิกาปลุกตัวที่สองดังขึ้น นั่นเป็นสัญญาณแล้วว่า ต้องกลับมาดูแลตัวเอง เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดำรงชีวิตเสียใหม่ เริ่มต้นจากการกิน

จำไว้ว่า ถ้าเรากินน้อย จะตายยาก กินมากตายง่าย และอาหารที่เรากินทุกวันนี้ อาหารที่เสียหรือบูดเน่าง่าย กินแล้วตายยาก อาหารที่บูดเน่ายากๆ ใส่สารกันบูด กินแล้วตายง่าย

คนจีนโบราณเขาบอกว่า ตอนเช้าให้กินอย่างราชา กลางวันกินอย่างคนธรรมดา ตอนเย็นให้กินอย่างยาจก เพราะใกล้จะนอนแล้ว เป็นหลักดำรงชีวิตเพื่อสุขภาพ แต่คนเราใสปัจจุบันปฏิบัติกลับกัน ตอนเช้าไม่กินเลย กาแฟถ้วยเดียวแล้วรีบออกจากบ้าน พักกลางวัน 1 ชั่วโมงต้งรีบกิน มื้อเย็นไว้นัดเพื่อนฝูง กินมื้อใหญ่ เพราะเก็บกดมาทั้งวัน แล้วกลับบ้านไปนอนอืด ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมจึงมีสถาบันเสริมความงามลดน้ำหนัก ฟิตเนส ฯลฯ เกิดขึ้นมากมายราวกับดอกเห็ด

2. เริ่มต้นจากการทำใจ

ไม่จำเป็นต้องไปถือศีลกินเจ เคร่งจนวันหนึ่งตบะแตก เพียงแค่เริ่มต้นจากการค่อยๆ ลดสัตว์ใหญ่ ที่เราโปรดปราณ เช่น เนื้อวัว-ควาย ถ้าทำได้แล้ว ก็ลดเนื้อไก่-เป็ด ลดเนื้อปลาลงไปตามลำดับ หากทำใจไม่ได้ ก็อนุญาตให้หม่ำปลาต่อไป ตามด้วยผักผลไม้มากๆ เริ่มจากกินสัตว์ที่ตัวเล็กลงไปเรื่อยๆ ขอให้คิดว่า กินหมูดีกว่ากินวัว กินไก่ดีกว่ากินหมู กินปลาดีกว่ากินไก่ ทำได้ดังนี้ สุขภาพเรา ก็จะดีขึ้นไปเรื่อยๆ

3. คลอโรฟิลล์ในร่างกายมนุษย์

ผักผลไม้สังเคราะห์แสงจากดวงอาทิตย์ สีเขียวคือคลอโรฟิลล์ มนุษย์เองก็มีคลอโรฟิลล์ หากร่างกายสมบูรณ์สะอาดจากข้างใน หากมีสิ่งแปลกปลอม สารพิษต่างๆ ในร่างกายจะเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน และขับออกมาโดยอัตโนมัติ ไม่มีการเก็บสะสม

แล้วทำอย่างไรให้ร่างกายของเรามีคลอโรฟิลล์

ถ้าเราไม่กินสีเขียวๆ ของพืชผักผลไม้เลย ชีวิตคุณสั้นแน่ เพราะในนั้นมีคลอโรฟิลล์ มีคุณสมบัติในการฟอกเลือด สังเกตเลือดของคนที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ สีของเลือดจะสวย ใส ไม้ข้น เหมือนคนที่กินเนื้อสัตว์ เพราะเลือดมีสภาวะเป็นด่าง พืชผักผลไม้มีสารอาหาร ที่มีสภาวะเป็นด่าง แต่เนื้อสัตว์กับเลือดของสัตว์เป็นกรด ถ้ากินมาก เลือดเราจะไม่สมบูรณ์ หากเลือดข้นก็จะวิ่งตามเส้นเลือดไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆ ไม่สะดวก เป็นบ่อเกิดของโรคต่างๆ ได้

การวัดค่าของเลือด เรียกว่า คาโลทีนอย ว่าสูงสุด 20,000 - 49,000 มาตรฐานคนทั่วไปอยู่ที่ 20,000 - 40,000 คาโลทีนอยมาก มะเร็งจะไม่มีวันถามหา เพราะมีสารอาหารที่สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระ การที่เรากินผักและผลไม้มากเท่าไหร่ เราก็จะมีคาโลทีนอยมากขึ้นเท่านั้น ผักผลไม้จะมีสีสันต่างๆ มากมาย อย่างสีส้มในแครอท สีส้มในมะละกอ สีเหลืองในมะม่วงสุก พวกนี้จะมีเบต้าแคโรทีน สารสีเหล่านี้จะมีแอนตี้ออกซิแดนซ์ ถั่ว 5 สี จะทำให้อวัยวะหลักในร่างกาย เขาเรียกว่าเบญจธาตุมีความสมบูรณ์มากขึ้น ชีวิตจริง เราอาจจะกินถั่วไม่ครบ 5 สี แต่เรากินพืช ผัก ผลไม้ ครบ 5 สี แทนก็ได้เหมือนกัน

ถ้าจะเปรียบร่างกายเป็นประเทศชาติ ควรรับประทานข้าวกล้อง เพราะข้าวกล้องเป็น ราชาแห่งข้าว มีจมูกข้าวอุดมไปด้วยวิตามิน กล้วยน้ำว้า เป็นราชินี มีความหวานเป็นแป้งบริสุทธิ์ งาดำ-งาขาว เป็นขุนพล และดื่ม น้ำเต้าหู้ อย่างน้อยวันละแก้ว เพื่อล้างพิษต่างๆ ในร่างกาย ดื่มน้ำบริสุทธิ์มากๆ ตั้งแต่ตื่นนอน

4. ผัก 5 ชนิด ถั่ว 5 สี

ถั่ว 5 สี ช่วยบำรุงร่างกาย เช่น ถั่วแดง บำรุงหัวใจ รวมทั้งแตงโม, บีทรูต ฯลฯ จะช่วยบำรุงเลือด การไหลเ่ีวียนของโลหิต ถั่วดำ รวมไปถึง งาดำ ฯลฯ จะบำรุงเส้นผม ผิวหนัง ชุ่มชื้น มันวาว ผมดกดำมัน ผมร่วง เชื้อราบนหนังศีรษะ รากผมแข็งแรง ผิวพรรณไม่แห้งกร้าน ถั่วซีด หรือ ถั่วขาว เช่น ถั่วลิสง, ลูกเดือย, แมกคาเดเมีย บำรุงกระดูก ให้แคลเซียม บำรุงกระดูกข้อมือ บำรุงฟัน ถั่วเหลือง ให้โปรตีน ถั่วเขียว บำรุงอวัยวะภายในร่างกาย

ถั่ว 5 สีนี้ รวมทั้งผัก 5 สี ควรจะรับประทานให้ครบถ้วน มนุษย์รับประทานครบ ก็จะมีคลอโรฟิลล์อยู่ในร่างกาย และนมถั่วเหลือง มีประโยชน์ต่อร่างกาย นักวิทยาศาสตร์จีนเปิดเผยว่า ดื่มน้ำเต้าหู้สดๆ ที่ทำใหม่ๆ วันละ 1 แก้ว สามารถช่วยฟอกพิษในร่างกายได้ แต่ต้องไม่ใช่น้ำเต้าหู้พาสเจอร์ไรซ์ที่ใส่สารกันบูด ที่มีขายเป็นกล่องๆ โดยทั่วไป

อยากอายุยืน ผิวพรรณสดใส อ่อนวัยไปนานๆ คงต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการรับประทาน และสิ่งสำคัญคือ การออกกำลังกาย ตามแบบที่เราถนัด ไม่ว่าจะเป็นวิ่งเหยาะๆ เล่นโยคะ ว่ายน้ำ หรือแม้แต่การทำงานบ้านเพื่อให้เหงื่อออก โลหิตไหลเวียนสะดวก เพื่อขับของเสียออกจากร่างกาย แค่นี้ก็ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย ที่ไม่จำเป็นในชีวิตอีกหลายอย่าง

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์ เลขที่ 2

เคี้ยวหมากฝรั่ง…ระวังจู๊ด ๆ

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหารค้นพบว่า ตัวที่ทำให้เกิดอาการท้องร่วงสำหรับบางคนที่นิยมเคี้ยวหมากฝรั่ง คือ “ซอร์บิตอล” สารให้ความหวานซึ่งใช้กันมากในอุตสาหกรรมหมากฝรั่งและขนมหวานต่างๆ

ด้วยเหตุที่สารนี้มีฤทธิ์เป็นยาถ่ายด้วยนอกจากให้ความหวาน หมอในสหรัฐฯ พบผู้ป่วยที่แพ้ฤทธิ์ของหมากฝรั่ง 2 ราย หลังจากแต่ละคนเคี้ยวหมากฝรั่งอย่างเพลิดเพลินคนละ 20 ชิ้นต่อวัน!!

ผู้เคราะห์ร้ายรายหนึ่งเป็นหญิงอายุ 21 ปี ตัดสินใจไปหาหมอหลังจากทรมานกับอาการท้องร่วงและปวดท้องมานานถึง 8 เดือน จากการตรวจร่างกายหลายอย่าง หมอมั่นใจว่าสาเหตุเนื่องมาจากการเคี้ยวหมากฝรั่งอย่างแน่นอน ฤทธิ์ของมันทำให้น้ำหนักตัวเธอลดลงไป 11 กิโลกรัม ร่างกายผ่ายผอมจนน่าตกใจ

รายที่สองเป็นชาย ต้องเข้าโรงพยาบาลหลังจากท้องร่วงโดยไม่ทราบสาเหตุมาปีกว่าๆ และน้ำหนักตัวลดลงไป 22 กิโลกรัม จากการตรวจของหมอพบว่าทั้งคู่ต่างบริโภคสารซอร์บิตอลเข้าไปวันละ 20-30 กรัม เพราะปกติแล้วหมากฝรั่งแต่ละชิ้นจะมีสารนี้อยู่ประมาณ 1.25 กรัม

อ่านแล้วอย่าเอาไปเป็นวิธีลดความอ้วนล่ะ เพราะผอมด้วยวิธีนี้มันไม่ใช่หนทางที่ดีต่อสุขภาพแน่ๆ สู้ออกกำลังกายและกินให้พอเหมาะจะดีกว่า

ส่วนใครที่มีอาการท้องร่วงอยู่เป็นประจำโดยไม่รู้สาเหตุ และชอบเคี้ยวหมากฝรั่งวันละหลายๆ ชิ้น บางทีนี่อาจเป็นคำตอบที่คุณค้นหามานาน

คำกล่าวที่ว่า หวานเป็นลม ขมเป็นยา ยังคงเป็นความจริง เพราะแม้น้ำตาล จะให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ก็มีผลเสียต่อสุขภาพ เป็นของแถมตามมาอีกหลายโรค ลองดูเหตุผลต่อไปนี้ ก่อนกินน้ำตาลคราวต่อไป

1. เมื่อเรากินน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลเชิงเดี่ยว (น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำตาลในผลไม้ น้ำตาลในนม) น้ำตาลจะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรดมากเกินไป ร่างกายเกิดภาวะไม่สมดุล จึงมีการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่างๆ ภายในร่างกายมาแก้ไขความไม่สมดุล

2. ทำให้เกิดไขมันสะสม น้ำตาลจะถูกเก็บไว้ที่ตับ ในรูปของไกลโคเจน แต่ถ้ามีมากจนเกินไป ตับก็จะส่งไปยังกระแสเลือด และเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โดยจะสะสมไว้ในส่วนของร่างกาย ที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น สะโพก ก้น ขาอ่อน หน้าท้อง

3. หากยังคงรับประทานน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง กรดไขมันจะสะสมไว้ที่อวัยวะภายในอื่นๆ เช่น หัวใจ ตับ และไต ดังนั้น อวัยวะเหล่านี้จะค่อยๆ ถูกห่อหุ้มด้วยไขมันและน้ำเมือก ร่างกายจะเริ่มผิดปกติ ความดันเลือดจะสูงขึ้น

4. การรับประทานน้ำตาลมากเกินไป มีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้รู้สึกง่วงหงาวหาวนอน

5. อาการปวดศีรษะเรื้อรัง เป็นตะคริวเวลามีรอบเดือน เป็นสิว ผื่น แผลพุพอง ตกกระ แผลริดสีดวงทวาร ไมเกรน เบาหวาน วัณโรค โรคหัวใจ มะเร็งตับ เหล่านี้ล้วนสัมพันธ์ กับการรับประทานน้ำตาลมากเกินไป

6. น้ำตาลทำให้อาการของโรคติดเชื้อที่เป็นอยุ่ ทวีความรุนแรงขึ้น เพราะเชื้อโรคทุกชนิดใช้น้ำตาลเป็นอาหาร

7. น้ำตาลนอกจากจะมีผลต่อผู้ใหญ่แล้ว ยังมีผลต่อเด็กอีกด้วย เพราะถ้าหากเด็กกินน้ำตาล ในปริมาณที่มากจนเกินไป จะทำให้เด็กเป็นโรคกระดูกเปราะ และฟันผุได้ และอาจเป็นคนโกรธง่าย ไม่มีสมาธิในสิ่งที่ทำอยู่

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์ 006)เลขที่30

สุขภาพดีคือสิ่งที่ทุกคนปรารถนา สุขภาพดีเป็นสิ่งพรหมลิขิตให้แต่ไม่ทั้งหมด หลายคนไขว่ขว้าหาสุขภาพดี ใช้เงินใช้ทองซื้อทำสปา เข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก ซื้ออาหารลดน้ำหนักมารับประทาน การมีสุขภาพที่ดีต้องอาศัยตัวเองดูแลสุขภาพ ให้เวลากับตัวเองเพียงวันละ 1 ชั่วโมงในการออกกำลังกาย อีก 7 ชั่วโมงในการนอนหลับ และรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ ธรรมชาติคงไม่ให้สุขภาพที่ดีแด่คนที่ชอบทำร้ายตัวเองอยู่เรื่อย แม้ว่าจะทราบแล้วว่าสิ่งนั้นไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ สุขภาพไม่สามารถซื้อด้วยเงินถึงแม้คุณจะรวยเป็นมหาเศรษฐีหากคุณไม่ดูแลตัวเองให้ดี เงินที่มีอยู่เพียงบรรเทาอาการเท่านั้น หลายท่านคิดว่าการออกกำลังกายเสียเวลา ท่านลองจิตนาการถึงภาระงานที่ท่านรับผิชอบในแต่ละวันว่ามีมากน้อยเพียงใด หากท่านไม่ดูแลตัวเองและเกิดโชคร้ายท่านเป็นโรคอัมพาตหรือโรคหัวใจ ภาระที่ท่านว่ามากมายจนไม่มีเวลาออกกำลังกาย ภาระเหล่านั้นใครจะเป็นคนดูแล และหากโชคร้ายถึงขั้นช่วยตัวเองไม่ได้ ใครจะมาเป็นคนดูแลท่าน ท่านเพียงเสียเวลาวันละประมาณ 1 ชั่วโมง หรือท่านอาจจะใช้เวลาในการดูทีวีและออกกำลังกายไปด้วยกันซึ่งก็จะทำให้ท่านมีสุขภาพที่ดีขึ้น หลายท่านเชื่อว่า คนผอมเท่านั้นที่มีสุขภาพดี จึงทำการลดน้ำหนักด้วยการอดอาหารเป็นการใหญ่เพื่อให้น้ำหนักได้มาตรฐาน แต่การลดน้ำหนักอาจจะเป็นเรื่องลำบาก และการอดอาหารเป็นเวลานานๆอาจจะมีอันตรายต่อสุขภาพ จึงอยากให้ท่านผู้อ่านได้เปลี่ยนมุมมองใหม่ การมีสุขภาพที่ดีไม่ได้หมายถึงน้ำหนักที่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานแต่หมายถึงการที่เราดูแลตัวเองอย่าถูกต้องตั้งแต่เรื่อง การออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร การพักผ่อน การป้องกันโรค การลดหรือเลิกสิ่งที่บั่นทอนสุขภาพ ร่างกายเรากระปี้กระเปร่าพร้อมที่จะดำเนินชีวิตประจำวัน เนื้อหาที่จะกล่าวจะเป็นแนวทางในการดูแลสุขภาพของท่าน การปฏิบัติตามแนวทางไม่ได้ต้องการให้ท่านมีอายุยาวหมื่นๆปีแต่ต้องการให้ท่านมีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่ป่วยบ่อย สามารถหลีกเลี่ยงโรคที่ป้องกันได้ อายุยืนยาวขึ้น

เบญจวรรณ หล้าแปง(ม,ฟาร์เลขที่ 40)

ความรู้ที่ควรรู้เกี่ยวกับการลดน้ำหนัก

คนส่วนใหญ่ยอมรับว่า การออกกำลังการ ร่วมกับการรับประทานอาหาร ที่มีไขมันต่ำ ไฟเบอร์สูง จะเป็นสูตรสำเร็จ ของการรักษาสุขภาพที่ดี การออกกำลังกาย มีความสำคัญมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในการควบคุมน้ำหนัก เพราะพลังงาน ที่เราใช้ในช่วงปกติ เป็นผลจากการทำงานของ กล้ามเนื้อต่างๆ ทั้งยังมีแนวโนัมว่า กล้ามเนื้อเราจะอ่อนล้าหย่อนยาน และมีการสะสมมากขึ้น ของไขมันเมื่ออายุเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อของเรา ยังไม่เปลี่ยนแปลงไปตามอายุ เราจึงยังสามารถรักษา หรือ ควบคุมได้ด้วย การออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ

จะพบได้ว่า การบริโภคอาหารไขมันต่ำ ไฟเบอร์สูง จะช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย แม้ในคนปกติ เหตุผลเป็นเพราะ เราทำให้เกิดสมดุล ระหว่างความรู้สึกถึงใจ กับความอิ่มท้อง เป้นที่รู้กันว่า เราสามารถจะบริโภคไขมันมากเกินความต้องการ ก่อนที่จะเริ่มรู้สึกอิ่มเสียอีก และโดยเฉพาะเมื่อทราบว่า ไขมันมีแคลอรี่สูงกว่า คาร์โบไฮเดรต และโปรตีน ถึง 2 เท่า การรับประทานอาหาร ที่มีไฟเบอร์สูง ไขมันต่ำ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้อิ่มอย่างได้สมดุล แต่ยังมีส่วนช่วยลดโอกาสการเกิด มะเร็งหลายชนิดด้วย

แม้ว่า การออกกำลังกาย ร่วมกับ การรับประทานอาหารไฟเบอร์สูง ไขมันต่ำ จะเป็นสูตรสำเร็จ ที่น่าจะได้ผลดีในทางทฤษฎี แต่ก็พบว่าในทางหฏิบัติ มีความแตกต่างไป ทั้งนี้เป็นเพราะการดำเนินชีวิต และความสะดวก ในการบริโภคประจำวัน มีส่วนเบี่ยงเบน อย่างหลักเลี่ยงไม่ได้ ตัวอย่างเช่น การที่มีคอมพิวเตอร์ กระเป๋าหิ้ว ทำให้ต้องเดินน้อยลง ในระหว่างการทำงาน แม้ว่าพยายามชดเชยด้วยการรับประทานอาหารกลางวัน ที่มีแคลอรี่ต่ำ แต่ก็ยังไม่ช่วยสมดุลมากนัก และน้ำหนักก็ยังกลับเพิ่มขึ้นอีก

ขั้นตอน การย่อยสลายไขมัน

1. การย่อยสลายอาหาร ให้แตกตัวในกระเพาะอาหาร

2. การย่อยด้วยน้ำย่อยไขมัน (lipolysis) ให้กลายเป็น กรดไขมันที่เล็กลง (Free Fatty Acid) และเบตาโมโนกลีเซอไรด์ (b-MGs)

3. การจับตัวกับน้ำดีกลายเป็น อนูเล็กๆ ของไขมัน ที่ละลายน้ำ และพร้อมจะถูกดูดซึม

4. การดูดซึมผ่านผนังลำไส้ !

ดังนั้นหากเราสามารถ จัดการกับไขมันได้ก่อน ที่มันจะถูกดูดซึมเข้าร่างกาย จะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ และทรมานน้อยกว่าอย่างมาก สิ่งที่เราต้องการที่แทัจริงแล้วคือ สิ่งที่สามารถป้องกัน ยับยั้งการดูดซึมของไขมัน

โชคดี ที่การวิจัยชั้นเยี่ยมในเรื่องของการลดน้ำหนัก ได้ช่วยให้เราค้นพบว่า การเสริมด้วยโภชนาการ หรืออาหารเสริมบางชนิด จะช่วยยับยั้งการได้รับไขมันเพิ่มขึ้น และเพิ่มการเผาผลาญไขมันในร่างกายด้วย สำหรับคนที่กำลังไม่สบาย จากความไม่สมดุลของไขในในร่างกาย หรือภาวะที่ร่างกายสะสมไขมัน มากกว่าที่นำไปใช้ มันมักจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายทีเดียว ที่จะต้องพยายามป้องกันรักษาสุขภาพของเส้นเลือดและหัวใจ

ส่วนใหญ่การลดน้ำหนัก มักมุ่งไปที่ การพยายามแก้ปัญหา หลังจากที่มีการสะสมไขมันเข้าไปแล้ว แม้จะทราบว่า อาหารใดที่มีไขมันมาก เราก็ยังอดไม่ได้ที่จะรับประทาน และ ก็ต้องมาพยายามหาวิธี ขจัดไขมันออกในภายหลัง อันที่จริงแล้ว คำกล่าวที่ว่า "An ounce of prevention is worth a pound of cure" หรือ ป้องกันไว้ดีกว่าแก้ ควรถูกนำมาพิจารณาอย่างยิ่ง มันจะง่ายกว่ามาก หากมีวิธีป้องกัน ไม่ให้ไขมัน เข้าไปสะสมในร่างกาย ง่ายและปลอดภัย กว่าการที่จะพยายามมาขจัดออกในภายหลัง

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

คะน้า ผักธรรมดาที่ไม่ธรรมดา

ผักคะน้า ไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่รู้จัก เพราะเป็นผักที่มีขายอยู่ทั่วไป หาซื้อง่าย นำไปประกอบอาหารได้หลายชนิด และยังเป็นส่วนประกอบ ใส่ลงในก๋วยเตี๋ยวหลายอย่างได้อร่อย เช่น ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า ก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ๊ว และยังเป็นของเคียงกับ อาหารยำต่างๆ ได้ดีอีกด้วย แถมราคาไม่แพง รสชาติดี ยิ่งเมื่อเริ่มเข้าหน้าหนาว ผักจะสวย ราคาถูกเป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะ ผักชอบอากาศหนาว เลยทำให้ผักสวย และได้จำนวนการผลิตมาก

คะน้า เป็นผักที่ปลูกได้ทุกท้องที่ และภูมิอากาศ ช่วงระยะเวลาที่ปลูก จนถึงเก็บเกี่ยวสั้น ประมาณ 45 วัน ใช้พื้นที่ในการปลูกไม่มากนัก เสียแต่ว่าผักคะน้า จะมีศัตรูพืชมาก โดยเฉพาะหนอนและเพลี้ย สาเหตุนี้เอง เลยทำให้ผู้ที่ปลุกใช้ยาฆ่าแมลง และสารเคมีต่างๆ เพื่อไม่ให้ผักเสียหาย จึงทำให้ผักคะน้า เป็นผักที่ไม่ค่อยปลอดสารพิษ แต่ในปัจจุบันนี้ ได้มีการทำผักปลอดสารพิษกันมาก จึงทำให้ผู้บริโภค ได้ความปลอดภัยมากขึ้น ดังนั้น เวลาที่จะซื้อมาบริโภค ก็ควรเลือกที่ไว้ใจได้ ถ้าพอมีที่ทางมาลองปลูกคะน้าไว้กินเอง ก็จะเป็นการดีกินได้สบายใจ

เมล็ดคะน้าสีจะออกดำๆ มีบรรจุซองขายนำมาแช่น้ำ 1 คืน แล้วโรยลงบนดิน ที่ผสมปุ๋ยหมักเตรียมไว้ คลุมด้วยฟางหรือหญ้าแห้ง พองอกต้นอ่อนๆ ค่อยย้ายลงแปลงหรือกระถาง พอต้นสูงประมาณ 10 เซนติเมตร ถอนต้นอ่อนบางส่วนออก บางต้นที่ถอนออก จะเป็นลูกคะน้า ผัดไฟแดงอร่อยมาก เพื่อจะได้เปิดช่องว่าง ให้ต้นที่แข็งแรงกว่าเติบโต รดน้ำให้ชุ่ม ใส่ปุ๋ยบ้าง เป็นครั้งคราว ประมาณ 45 วัน คะน้าจะโตเต็มที่ ให้ตัดยอดรุ่นแรกไปกินได้ ให้เหลือโคนต้นพอประมาณ ต้นคะน้าจะแตกยอดใหม่ ให้กินได้อีก 2-3 ครั้ง แต่ระวังหนอนผักหน่อย ถ้าเจอรีบเขี่ยออก มิฉะนั้นคะหน้าจะเหลือแต่ตอ

ใบเขียวจัดของคะน้า เป็นแหล่งรวมแร่ธาตุวิตามิน ที่คับคั่งและเข้มข้น ที่พบมากมายมหาศาล ก็คือเบต้า-แคโรทีน ที่กำ่ำลังมาแรง ในแวดวงอาหารเสริมสุขภาพ

เบต้า-แคโรทีน คือหนึ่งในสารประมาณ 500 ชนิด ที่รวมอยู่ในกลุ่ม "แคโรทีนนอย" ซึ่งเมื่อถ่ายโอนจากผัก สู่ร่างกายมนุษย์ จะกลายเป็นฐานในการแปรรูปสู่วิตามินเอ ซึ่งมีการค้นพบมานานแล้วว่า เป็นวิตามินที่สัมพันธ์ กับการเกิดมะเร็ง โดยในเลือดของผู้ป่วยโรคนี้ ได้รับการ วิเคราะห์พบว่า มีวิตามินเออยู่ในปริมาณต่ำ ขณะเดียวกัน การกินวิตามินเอให้เพียงพอ ช่วยลดความเสี่ยงต่อ การเกิดมะเร็งที่กระเพาะอาหาร ลำไส้ ลำคอ ปอด และกระเพาะปัสสาวะได้ และมีการค้นพบข้อเท็จจริง ชัดเจนขึ้นอีกว่า สารที่ไปยั้งมะเร็งนั้น ไม่ใช่วิตามินเอโดยตรง แต่ได้แก่สาร เบต้า-แคโรทีนต่างหาก

แต่ละวันมนุษย์จะได้รับวิตามินเอ จากอาหารประเภทเนื้อสัตว์ และพืชผัก-ผลไม้ โดยวิตามินเอจากสัตว์นั้น มนุษย์รับมาใช้ประโยชน์ได้เลยโดยตรง เมื่อร่วมกินกับไขมัน แต่สำหรับพืช ซึ่งมีโครงสร้างต่างจากสัตว์และมนุษย์ วิตามินเอจะอยู่ในรูปของแคโรทีนนอย ซึ่งร่างกายมนุษย์ ต้องนำมามาแปรรูปให้เป็น วิตามินเอต่อไป ด้วยกระบวนการทำงานประสานกัน ของระบบอวัยวะและแร่ธาตุสารอาหารต่างๆ

คะน้าและพืชร่วมสกุลกะหล่ำ เป็นแหล่งเบต้าแคโรทีนอันเยี่ยมยอด จะเอาไปล้างหรือปรุง ด้วยความร้อนในรูปใด ก็ยังคงคุณค่ามหาศาลนี้เอาไว้ได้ แต่หากกินสดได้จะวิเศษมาก เพราะของดีที่มีในคะน้าอีกลหายอย่าง ต้องการการประคบประหงม เช่นวิตามินซ

ยอดคะน้าสด อุดมไปด้วยวิตามินซี และเกลือแร่จำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินซี ซึ่งช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อ ให้ชุ่มชื้น และทำให้ระบบภูมิคุ้นกันโรค แข็งแรงสมบูรณ์น้องๆ เบต้า-แคโรทีน แต่วิตาในซีสลายไปได้ง่าย ด้วยน้ำและอากาศ ฉะนั้น กินคะน้าเมื่อไหร่ ต้องชะลอการหั่นไว้ ในขั้นตอนสุดท้าย

เมื่อเห็นคะน้าต้องนึกถึงความกรอบ น่ากิน และรสดีของคะน้า เสน่ห์ของผักคะน้า จึงทำให้มีผู้บริโภคกันมาก นำมาประกอบเป็นอาหารหลากหลาย ข้อสำคัญระวังเรื่องผักไม่ปลอดสารพิษ ควรเลือกดูก่อนซื้อมาบริโภค สิ่งที่สำคัญ เพื่อความแน่ใจในการบริโภค คือ ต้องล้างผักให้แน่นใจ ก่อนนำไปบริโภค การล้างผักคะน้า ที่ใบคะน้ามีไขสีเท่าเคลือบเอาไว้ บางคนสงสัยว่าเป็นสารเคมีหรือเปล่า ที่จริงไม่ใช่ ไขขาวๆ ที่เห็นนัน้เป็นสารธรรมชาติ ไม่มีพิษภัย แต่ซึมซับเอาละอองยาฆ่าแมลงได้ดี ฉะนั้น ยามล้างใบคะน้า จึงควรลูบไขขาวๆ นี้ออก หรือหากใส่เกลือ หรือโซดาไบคาร์บอเนต ไม่ก็เหยาะน้ำส้มสายชูสักหน่อย วิธีใดวิธีหนึ่ง ช่วยกำจัดยาฆ่าแมลงออกได้ ที่ดีกว่าการล้าง คือ การเลือกคะน้าที่มีรอยแมลงกิน แสดงว่าปลอดภัย

คะน้า เป็นผักสร้างกระดูกเหมือนใบยอ แต่ดีกว่าใบยอที่ว่ากินง่าย และกินได้บ่อย หาซื้อก็ง่าย ใบคะน้า มีแคลเซียมสูง งานวิจัยของ Robert P.H (1990) ศึกษาการดูดซึมแคลเซียมของร่างกาย พบว่า ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียม จากคะน้าได้ไม่น้อยกว่าแคลเซียมจากนม

สุดารัตน์ พนมพิบูล เลขที่ 51 (หูหนวกค่ะ)

การดูแลสุขภาพตนเอง

โดยธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้น ในชีวิต ก็จะพยายามหาทางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เป็นอันดับแรก เมื่อรู้ว่า ไม่สามารถแก้ปัญหาได้เอง ก็จะแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้อื่น

ในเรื่องความเจ็บป่วย หรือปัญหาสุขภาพก็เช่นเดียวกัน ทุกคนต้องการที่จะดูแลตนเอง ให้มีสุขภาพดีอยู่เสมอ ดังนั้น กล่าวได้ว่า "การดูแลสุขภาพตนเอง เป็นกิจกรรมที่บุคคลแต่ละคนปฏิบัติ และยึดเป็นแบบแผนในการปฏิบัติ เพื่อให้มีสุขภาพดี" อาจแบ่งขอบเขตการดูแลสุขภาพตนเอง เป็น 2 ลักษณะคือ

1. การดูแลสุขภาพตนเองในสภาวะปกติ

เป็นการดูแลสุขภาพตนเอง และสมาชิกในครอบครัว ให้มีสุขภาพแข็งแรง สมบูรณ์อยู่เสมอ ได้แก่

- การดูแลส่งเสริมสุขภาพ เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข เช่น การออกกำลังกาย การสร้างสุขวิทยาส่วนบุคคลที่ดี ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงจากสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

- การป้องกันโรค เพื่อไม่ให้เจ็บป่วยเป็นโรค เช่น การไปรับภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ การไปตรวจสุขภาพ การป้องกันตนเองไม่ให้ติดโรค

2. การดูแลสุขภาพตนเองเมื่อเจ็บป่วย

ได้แก่ การขอคำแนะนำ แสวงหาวามรู้จากผู้รู้ เช่น อาสาสมัครสาธารณสุขต่างๆ ในชุมชน บุคลากรสาธารณสุข เพื่อให้ได้แนวทางปฏิบัติ หรือการรักษาเบื้องต้นให้หาย จากความเจ็บป่วย ประเมินตนเองได้ว่า เมื่อไรควรไปพบแพทย์ เพื่อรักษาก่อนที่จะเจ็บป่วยรุนแรง และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หรือบุคลากรสาธารณสุข เพื่อบรรเทาความเจ็บป่วย และมีสุขภาพดีดังเดิม

การที่ประชาชนทั่วไปสามารถดูแลสุขภาพตนเองได้นั้น จำเป็นต้องมีความรู้ ึความเข้าใจในเรื่อง การดูแลสุขภาพ ตั้งแต่ยังไม่เจ็บป่วย เพื่อบำรุงรักษาตนเอง ให้สมบูรณ์แข็งแรง รู้จักที่จะป้องกันตัวเอง มิให้เกิดโรค และเมื่อเจ็บป่วยก็รู้วิธีที่จะรักษาตัวเอง เบื้องต้นจนหายเป็นปกติ หรือรู้ว่า เมื่อไรต้องไปพบแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข

การปฏิบัติตนในชีวิตประจำวัน

สุขภาพของคนเราจะดีหรือเสื่อมนั้น ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์แข็งแรง ของอวัยวะต่างๆ เช่น ผิวหนัง ตา หู จมูก และฟัน ซึ่งเป็นอวัยวะภายนอกร่างกาย ที่เราควรดูแลรักษาให้อยู่ในสภาพที่ดี และแข็งแรง เพราะถ้าเสื่อมโทรม หรือผิดปกติ จะส่งผลกระทบต่ออวัยวะส่วนอื่นๆ ได้ ดังนั้น เราต้องระวังรักษาส่วนต่างๆ ของร่างกายให้สะอาด ตลอดจนการออกกำลังกาย และการพักผ่อน เพื่อทำให้ร่างกายมีความสมบูรณ์ แข็งแรง และมีผลทำให้จิตใจเบิกบาน แจ่มใส สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้ อย่างมีความสุข

การดูแลสุขภาพตนเอง ให้มีสุขภาพสมบูรณ์ และแข็งแรงอยู่เสมอ จะต้องปฏิบัติกิจกรรม ในด้านการส่งเสริมสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ ในชีวิตประจำวัน โดยยึดหลักสุขบัญญัติ 10 ประการ และสำรวจสุขภาพตนเอง ดังนี้

1. ดูแลรักษาร่างกาย และของใช้ให้สะอาด

อาบน้ำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง

การอาบน้ำให้สะอาด จะต้องใช้สบู่ฟอกทุกส่วนของร่างกายให้ทั่ว และมีการขัดถูขี้ไคล บริเวณลำคอ รักแร้ แขนขา ง่ามนิ้วมือ ง่ามนิ้วเท้า ขาหนีบ โดยเฉพาะอวัยวะเพศ ต้องรักษาความสะอาดเป็นพิเศษ หลังจากนั้นล้างด้วยน้ำ และเช็ดตัวให้แห้ง ด้วยผ้าที่สะอาด จะช่วยให้ร่างกายสะอาด และสดชื่น

สระผม อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง

การสระผมช่วยให้ผสม และหนังศีรษะสะอาด ไม่สกปรก หรือมีกลิ่นเหม็น โยใช้สบู่ หรือแชมพูสระผมจนสะอาด แล้วเช็ดผมให้แห้ง หร้อมทั้งหวีผมให้เรียบร้อย การหมั่นหวีผม จะช่วยนวดศีรษะให้เลือดมาเลี้ยงศีรษะมากขึ้น และต้องล้างหวี หรือแปรงให้สะอาดเสมอ การไม่สระผม หรือสระผมไม่สะอาด ทำให้เป็นชันนะตุ รังแค และเกิดอาการคัน เกิดโรคผิวหนัง และเชื้อราบนหนังศีรษะ ทำให้เกิดผมร่วง และเสียบุคลิกภาพ

การรักษาอนามัยของดวงตา

ดวงตาเป็นอวัยวะสำคัญ เราควรหวงแหน และให้ความเอาใจใส่ ควรปฏิบัติดังนี้

อ่าน หรือเขียนหนังสือในระยะห่างประมาณ 1 ฟุต โดยมีแสงสว่างเพียงพอ แสงเข้าทางด้านซ้าย หรือตรงข้ามกับมือที่ถนัด หากรู้สึกเพลียสายตา ควรพักผ่อนสายตา โดยการหลับตา หรือมองไปไกลๆ ชั่วครู่

ดูโทรทัศน์ในระยะห่างอย่างน้อย 1 เมตรครึ่ง

บำรุงสายตาด้วยการรับประทานอาหารที่มีคุณค่า เช่น มะละกอสุก ฟักทอง และผักบุ้ง เป็นต้น

ใส่แว่นกันแดด ถ้าจำเป็นต้องมองในที่ๆ มีแสงสว่างมากเกินไป

ตรวจสายตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยแผ่นทดสอบสายตา (E-Chart) ถ้าสายตาผิดปกติ ให้พบจักษุแพทย์ เพื่อตรวจสอบ และประกอบแว่นสายตา

การรักษาอนามัยของหู

หูเป็นอวัยวะที่สำคัญอย่างหนึ่งของร่างกาย ที่จะต้องเอาใจใส่ดูแลให้ถูกต้อง ดังนี้

เช็ด บริเวณใบหู และรูหู เท่าที่นิ้วจะเข้าไปได้ ห้ามใช้ของแข็งแคะเขี่ยใบหู รูหู

คนที่มีประวัติว่า มีการอักเสบของหู ต้องระวังไม่ให้น้ำเข้าหูเด็ดขาด

หากมีน้ำเข้าหู ให้เอียงหูข้างนั้นลง น้ำจะค่อยๆ ไหลออกมาได้เอง หรือใช้ไม้พันสำลีเช็ดบริเวณช่องหูด้านนอก

ถ้าเป็นหวัด ไม่ควรสั่งน้ำมูกแรงๆ เพราะจะทำให้เชื้อโรคจากจมูก หรือคอ ถูกดันเข้าไปในหูชั้นกลาง ทำให้เกิดการติดเชื้อ และเกิดเป็นโรคหูน้ำหนวก

เมื่อมีแมลงเข้าหู อย่าพยายามแคะ ให้ใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันพืช หยอดหูทิ้งไว้ชั่วขณะ แมลงจะเคลื่อนไหวไม่ได้ และตายในที่สุด ควรพบแพทย์เพื่อเอาแมลงออก

หลีกเลี่ยงจากการถูกกระทบกระแทกหูโดยแรง หรือการตบหู เพราะจะทำให้แก้วหู และกระดูกภายในหูหลุด เกิดการสูญเสียการได้ยินตามมา รวมทั้งการหลีเลี่ยงเสียงอึกทึก และเสียงดังมากๆ อาจทำให้หูพิการได้

ต้องรู้จักสังเกตอาการผิดปกติของหู และการได้ยินอยู่เสมอ หากมีอาการผิดปกติ เช่น รู้สึกปวดหู เจ็บหู คันหู หูอื้อ มีน้ำหรือหนองไหลจากหู เวียนศีรษะ มีเสียงดังรบกวนในหู การได้ยินเสียงน้อยลง หรือได้ยินไม่ชัด ต้องรีบไปพบแพทย์เฉพาะทาง หู คอ จมูก ทันที

การรักษาอนามัยของจมูก ข้อควรปฏิบัติดังนี้

ไม่ถอนขนจมูก เพราะจะทำให้จมูกอักเสบได้

ถ้าเป็นหวัดเรื้อรัง หรือมีเลือดกำเดาออกบ่อยๆ ต้องพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา

ห้ามใส่เมล็ดผลไม้ หรือสิ่งแปลกปลอมอื่นเข้าไปในรูจมูก

การไอหรือจาม ต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปาก จมูก เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคในอาการ เป็นผลให้ผู้อื่นติดโรคได้

ต้องสั่งน้ำมูก ใส่ในผ้า หรือกระดาษเช็ดหน้าที่สะอาด

ตัดเล็บมือเล็บเท้าให้สั้นอยู่เสมอ

มือและเท้าเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่สำคัญ ต้องมีการดูแลรักษา ไม่ปล่อยให้เล็บมือเล็บเท้ายาว การปล่อยให้เล็บยาว โดยไม่ดูแลความสะอาด จะทำให้เชื้อโรคที่สะสมอยู่ตามซอกเล็บ ติดไปกับอาหาร เป็นการนำเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายทาปากโดยตรง ทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วง ก่อน และหลังรับประทานอาหาร และหลังจากเข้าส้วมแล้ว ต้องล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดทุกครั้ง และต้องสวมรองเท้าเมื่อออกจากบ้าน

ถ่ายอุจจาระเป็นเวลาทุกวัน

ควรฝึกขับถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลาทุกวัน ในตอนเช้า อย่าให้ท้องผูกบ่อยๆ เพราะจะทำให้เกิดโรคริดสีดวงทวาร และเป็นมะเร็งในลำไส้ใหญ่ได้

ใส่เสื้อผ้าที่สะอาด ไม่อับชื้น และให้ความอบอุ่นเพียงพอ

การรักษาความสะอาดของเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม และเครื่องนอนเป็นิส่งสำคัญ เสื้อผ้าที่ใช้แล้วทิ้ง ชั้นนอกและชั้นใน ต้องมีการทำความสะอาดด้วยสบู่ หรือผงซักฟอกทุกครั้ง นำไปผึ่งหรือตากแดดให้แห้ง ประการสำคัญ การสวมเสื้อผ้า ต้อใช้ให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ ไม่ใส่เสื้อผ้าซ้ำๆ หรือซักไม่สะอาด อับชื้น เพราะจะทำให้เกิดโรคผิวหนังได้

2. รักษาฟันให้แข็งแรง และแปรงฟันทุกวันอย่างถูกต้อง

แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หลีกเลี่ยงขนมหวาน เช่น ลูกอม แปรงฟัน หรือบ้วนปากหลังรับประทานอาหาร ไม่ใช้ฟันขบเคี้ยวของแข็ง

3. ล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหาร และหลังการขับถ่าย

ควรล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง ก่อนและหลังการปรุงอาหาร รวมทั้งก่อนรับประทานอาหาร และหลังการขับถ่าย เป็นการป้องกันการแพร่เชื้อ และติดเชื้อโรคได้ ควรล้างมือให้ถูกวิธี ดังนี้

ให้มือเปียกน้ำ ฟอกสบู่ ถูให้ทั่วฝ่ามือ ด้านหน้า และด้านหลังมือ

ถูตามง่ามนิ้วมือ และซอกเล็บให้ทั่ว เพื่อให้สิ่งสกปรกหลุดออกไป พร้อมทั้งถูกข้อมือ

ล้างน้ำให้สะอาด แล้วเฃ็ดมือให้แห้งด้วยผ้าที่สะอาด

4. รับประทานอาหารสุก สะอาด ปราศจากสารอันตราย และหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด สีฉูดฉาด เลือกซื้ออาหารสด สะอาด ปลอดสารพิษ โดยคำนึงถึงหลัก 3 ป. คือ ประโยชน์ ปลอดภัย ประหยัด

ปรุงอาหารที่ถูกสุขลักษณะ และใช้เครื่องปรุงรสที่ถูกต้อง โดยคำนึงถึงหลัก 3 ส. คือ สงวนคุณค่า สุกเสมอ สะอาดปลอดภัย

รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

รับประทานอาหารปรุงสักใหม่ และใช้ช้อนกลางในการรับประทานอาหารร่วมกัน

หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ อาหารรสจัด อาหารใส่สีฉูดฉาด

ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว

5. งดบุหรี่ สุรา สารเสพย์ติด การพนัน และการสำส่อนทางเพศ ไม่เสพสารเสพย์ติดทุกชนิด เช่น บุหรี่ สุรา ยาบ้า กัญชา กาว ทินเนอร์ งดเล่นการพนันทุกชนิด ไม่มั่วสุมทางเพศ

6. สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวให้อบอุ่น ทุกคนในครอบครัวช่วยกันทำงานบ้าน

มีการปรึกษาหารือ และแสดงความคิดเห็นร่วมกัน การเผื่อแผ่น้ำใจซึ่งกันและกัน

การทำบุญ และได้ทำกิจกรรมสนุกสนานร่วมกัน

7. ป้องกันอุบัติเหตุด้วยความำม่ประมาท ดูแล ตรวจสอบ และระมัดระวังอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้าน เช่น ไฟฟ้า เตาแก๊ส ของมีคม ธูปเทียนที่จุดบูชาพระ และไม้ขีดไฟ

ระมัดระวังเพื่อป้องกันอุบัติภัยในที่สาธารณะ เช่น การใช้ถนน โรงฝึกงาน สถานที่ก่อสร้าง และชุมชนแออัด เป็นต้น

8. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และตรวจสุขภาพประจำปี

การออกกำลังกายช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เจริญเติบโตสมวัย กระตุ้นให้กระดูกยาวขึ้น และเข็งแรงขึ้น ทำให้สูงสง่า บุคลิกดี และยังช่วยผ่อนคลายความเครียด จากการทำงาน ตลอดจนเพิ่มภูมิต้านทานแก่ร่างกาย โดย ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน ครั้งละ 20-30 นาที ออกกำลังกาย และเล่นกีฬาให้เหมาะสมกับสภาพร่างกาย และวัย

ตรวจสอบสุขภาพประจำปีอย่างน้อยปีละครั้ง

9. ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอ พักผ่อน และนอนหลับให้เพียงพอ

จัดสิ่งแวดล้อมทั้งในบ้าน และนอกบ้านให้น่าอยู่ มองโลกในแง่ดี ให้อภัย และยอมรับข้อบกพร่องของคนอื่น เมื่อมีปัญหาไม่สบายใจ ควรหาทางผ่อนคลาย ในทางที่ถูกต้องเหมาะสม

10. มีสำนึกต่อส่วนรวม ร่วมสร้างสรรค์สังคม

ใช้ทรัพยากร เช่น น้ำ ไฟ อย่างประหยัด หลีกเลี่ยงการใช้วัสดุ อุปกรณ์ที่ก่อให้เกิดพิษต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ถุงพลาสติก โฟม ตลอดจนการร่วมมือกัน รักษาความสะอาด และเป็นระเบียบของสถานที่ทำงาน และที่พัก เป็นต้น

ที่มาเว็บไซต์สมุนไพรดอทคอม (www.samunpri.com)

นภา ใจเฟย ม.ฟารร์(28)

การกินของว่างเป็นประโยชน์ต่อผู้สูงอายุได้เช่นกัน เพราะนอกจากจะช่วยเสริมสารอาหารแล้ว หากรู้จักเลือกให้ถูกกับโรคก็มีส่วนช่วยในการเยียวยาโรค ของว่างที่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง

สาหร่ายทะเล

มีกรดไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งผลการวิจัยบอกว่าเป็นไขมันที่ช่วยปกป้อง หัวใจ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้คล่องขึ้น ลดความดันเลือดได้

กล้วยแปรรูปต่างๆ

มีโพแทสเซียมสูง ซึ่งมีการศึกษาด้านโภชนาการเพื่อยับยั้งความ ดันโลหิตสูงยืนยันว่าอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงช่วยแก้ปัญหาความดันเลือดได้

ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ

เป็นอาหารที่มีแมกนีเซียมสูง มีส่วนในการช่วยลดความดันเลือด กินถั่วคั่วต่างๆ จะเป็นถั่วอบถั่วคั่วธรรมดา หรือสูตรที่ผสมสมุนไพรด้วยยิ่งดี เพราะทำให้ได้สารประกอบซัลเฟอร์รสเผ็ดฉุนในกระเทียมและหัวหอมช่วยขยายหลอดเลือด และลดแรงบีบตัวและแรงคลายตัว

ปลาเล็กปลาน้อย

ปลาที่กินได้ทั้งตัว มีการศึกษาประชากรพบว่าถ้ามีปริมาณ แคลเซียมในร่างกายต่ำ ทำให้เสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูงมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีปฏิกิริยาไวต่อเกลือ และผู้สูงอายุ กินปลาเล็กปลาน้อยทอด

อาหารเหล่านี้และดีอย่างนี้ นอกจากจะอร่อยได้สุขภาพแล้ว ยังเคี้ยวเพลินจนหายเครียด ช่วยลดความดันได้อีกทางด้วย

นางสาว จูล กว้างนอก 51141205 เลขที่ 47 (หูตึงค่ะ)

วิธีการดูแลรักษาสุขภาพ

สุขภาพ

สุขภาพดีคือสิ่งที่ทุกคนปรารถนา สุขภาพดีเป็นสิ่งพรหมลิขิตให้แต่ไม่ทั้งหมด หลายคนไขว่ขว้าหาสุขภาพดี ใช้เงินใช้ทองซื้อทำสปา เข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก ซื้ออาหารลดน้ำหนักมารับประทาน การมีสุขภาพที่ดีต้องอาศัยตัวเองดูแลสุขภาพ ให้เวลากับตัวเองเพียงวันละ 1 ชั่วโมงในการออกกำลังกาย อีก 7 ชั่วโมงในการนอนหลับ และรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ

ธรรมชาติคงไม่ให้สุขภาพที่ดีแด่คนที่ชอบทำร้ายตัวเองอยู่เรื่อย แม้ว่าจะทราบแล้วว่าสิ่งนั้นไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ สุขภาพไม่สามารถซื้อด้วยเงินถึงแม้คุณจะรวยเป็นมหาเศรษฐีหากคุณไม่ดูแลตัวเองให้ดี เงินที่มีอยู่เพียงบรรเทาอาการเท่านั้น

หลายท่านคิดว่าการออกกำลังกายเสียเวลา ท่านลองจิตนาการถึงภาระงานที่ท่านรับผิดชอบในแต่ละวันว่ามีมากน้อยเพียงใด หากท่านไม่ดูแลตัวเองและเกิดโชคร้ายท่านเป็นโรคอัมพาตหรือโรคหัวใจ ภาระที่ท่านว่ามากมายจนไม่มีเวลาออกกำลังกาย ภาระเหล่านั้นใครจะเป็นคนดูแล และหากโชคร้ายถึงขั้นช่วยตัวเองไม่ได้ ใครจะมาเป็นคนดูแลท่าน ท่านเพียงเสียเวลาวันละประมาณ 1 ชั่วโมง หรือท่านอาจจะใช้เวลาในการดูทีวีและออกกำลังกายไปด้วยกันซึ่งก็จะทำให้ท่านมีสุขภาพที่ดีขึ้น

หลายท่านเชื่อว่า คนผอมเท่านั้นที่มีสุขภาพดี จึงทำการลดน้ำหนักด้วยการอดอาหารเป็นการใหญ่เพื่อให้น้ำหนักได้มาตรฐาน แต่การลดน้ำหนักอาจจะเป็นเรื่องลำบาก และการอดอาหารเป็นเวลานานๆอาจจะมีอันตรายต่อสุขภาพ จึงอยากให้ท่านผู้อ่านได้เปลี่ยนมุมมองใหม่

การมีสุขภาพที่ดีไม่ได้หมายถึงน้ำหนักที่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานแต่หมายถึงการที่เราดูแลตัวเองอย่าถูกต้องตั้งแต่เรื่อง การออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร การพักผ่อน การป้องกันโรค การลดหรือเลิกสิ่งที่บั่นทอนสุขภาพ ร่างกายเรากระปี้กระเปร่าพร้อมที่จะดำเนินชีวิตประจำวัน เนื้อหาที่จะกล่าวจะเป็นแนวทางในการดูแลสุขภาพของท่าน

การปฏิบัติตามแนวทางไม่ได้ต้องการให้ท่านมีอายุยาวหมื่นๆปีแต่ต้องการให้ท่านมีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่ป่วยบ่อย สามารถหลีกเลี่ยงโรคที่ป้องกันได้ อายุยืนยาวขึ้น การที่จะมีสุขภาพที่ดีต้องประกอบไปด้วยการดูแลดังต่อไปนี้

ปัจจุบันคนไทยหันมาสนใจสุขภาพกันมากขึ้นมีการเลือกรับประทานอาหาร มีการรณณรงค์เรื่องการสูบบุหรี การดื่มสุรา และการออกกำลังกาย จากสถิติที่ผ่านมาพบว่าคนไทยและคนทั่วโลกมีอัตราการเสียชีวิตโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้นมาก สาเหตุที่สำคัญเกิดจากความไม่สมดุลของการรับประทานอาหารและการออกกำลังกาย นอกจากนั้นยังทำให้เกิดโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง กระดูกพรุน โรคอ้วนและโรคมะเร็งบางชนิด เมื่อท่านได้รับประทานอาหารที่มีคุณภาพร่วมกับการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะทำให้ท่านมีสุขภาพที่ดี สมาคมโภชนาการ สมาคมความดันโลหิตสูงได้ร่วมกันกำหนดแนวทางการรับประทานอาหารซึ่งไม่เน้นเฉพาะพลังงานอย่างเดียว แต่จะเน้นเรื่องสารอาหาร และการออกกำลังกาย หัวข้อที่กล่าวมีดังนี้

คำแนะนำสำหรับกลุ่มต่างๆ

อาหารที่รับประทานต้องมีพลังงานเพียงพอ และมีสารอาหารเพียงพอ

กลุ่มคนทั่วๆไป

รับประทานอาหารหลากหลายให้ครบห้าหมู่โดยหลีกเลี่ยงอาหารไขมันอิ่มตัว [Saturated fat],Tranfatty acid น้ำตาล เกลือ และสุรา

ปริมาณพลังงานที่ได้รับไม่ควรเกินค่าที่กำหนด

กลุ่มคนต่างๆ

ผู้ที่สูงอายุมากกว่า 50 ปีควรจะได้รับวิตามิน B12 เสริม

หญิงตั้งครรภ์หรือวางแผนตั้งครรภ์ควรจะเสริมอาหารที่มีธาตุเหล็ก และอาหารที่มีวิตามินซีสูงเพื่อเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก

หญิงตั้งครรภ์หรือวางแผนตั้งครรภ์ควรจะเสริมอาหารที่มีกรดโฟลิก

ผู้สูงอายุที่มีผิวคล้ำหรือไม่ถูกแดดควรจะได้วิตามินดีเสริม

กลุ่มคนอ้วนหรือมีน้ำหนักเกิน

คำแนะนำ

การควบคุมน้ำหนักจะต้องรับประทานอาหารให้พลังงานที่ได้รับและใช้ไปเกิดความสมดุล

การลดน้ำหนักจะต้องค่อยลดพลังงานที่ได้รับจากอาหารโดยที่ไม่ขาดสารอาหาร และเพิ่มการออกกำลังกาย

สำหรับเด็กที่มีน้ำหนักเกินจะต้องปรึกษาแพทย์ดูแล ก่อนการจำกัดอาหาร

สำหรับคนท้องต้องควบคุมน้ำหนักอย่าให้เกิน

สำหรับคนทั่วไปที่มีโรคจะต้องปรึกษาแพทย์ก่อนการควบคุมอาหาร

การจัดการเรื่องน้ำหนัก

ปัญหาเรื่องคนอ้วนหรือน้ำหนักเกินเป็นปัญหาทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย นอกจากนั้นยังว่าว่าเด็กและเด็กวัยรุ่นมีปัญหาเรื่องน้ำหนักเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคเรื้องรังต่างๆตามมา คนที่มีน้ำหนักเกินมักจะเกิดจากพฤติกรรมในการรับประทานอาหารที่มากเกินไป และพฤติกรรมในการออกกำลังกายน้อยเกินไป ลำพังการลดปริมาณวันละ 100 กิโลแคลอรีก็จะป้องกันน้ำหนักเพิ่ม หรือลดปริมาณลงวันละ 500 กิโลแคลอรีก็จะทำให้น้ำหนักลดลงได้ แต่การลดน้ำหนักโดยให้ลดอาหารเป็นเรื่องยากจึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใส่น้ำตาล หรือการรับประทานอาหารมัน หรือเครื่องดื่ม คำแนะนำสำหรับการลดน้ำหนัก

การรักษาน้ำหนักให้ดีต้องปรับพลังงานที่ได้จากอาหารที่รับประทาน ให้สมดุลกับพลังงานที่เราใช้(น้ำหนักเท่าเดิม)

การป้องกันน้ำหนักเกินทำได้โดยการลดปริมาณอาหาร ลดน้ำตาล และเพิ่มการออกกำลังกาย

คำแนะนำสำหรับคนอ้วนแต่ละกลุ่ม

การออกกำลังกาย

ส่งเสริมให้มีกิจกรรมให้มาก อย่านั่งๆนอนๆจะทำให้สุขภาพกาย สุขภาพใจ และการควบคุมน้ำหนักดีขึ้น

สำหรับผู้ใหญ่ ส่งเสริมให้มีกิจกรรมที่ใช้พลังงานปานกลาง มากกว่าปกติวันละ 30 นาทีทุกวันไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน หรือที่บ้าน เช่นการถูบ้าน การเดินขึ้นบันได การเดินเร็วๆไปจ่ายตลาด

ถ้าต้องการให้สุขภาพแข็งแรงให้ออกกำลังกายชนิดหนัก หรือออกกำลังกายนานขึ้น

ถ้าต้องการควบคุมน้ำหนักหรือป้องกันน้ำหนักเพิ่มต้องออกกำลังกายชนิดปานกลางหรือชนิดหนักวันละ 60 นาทีทุกวัน โดยที่รับประทานอาหารที่มีพลังงานเท่าเดิม

ถ้าต้องการลดน้ำหนักลดน้ำหนักต้องออกกำลังกายปานกลางถึงหนักวันละ 60-90 นาทีโดยที่รับประทานอาหารที่ให้พลังงานไม่เกิน

ส่งเสริมให้ร่างกายแข็งแรงโดยการ ออกกำลังเพื่อให้หัวใจแข็ง ออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ออกกำลังกายเพื่อให้ข้อเคลื่อนไหวได้ดี ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายมีความอดทน

การออกกำลังสำหรับกลุ่มต่างๆ

เด็กและวัยรุ่นให้ออกกำลังกายวันละ 60 นาทีทุกวัน

ในคนท้องที่ไม่มีข้อห้ามในการออกกำลังกายให้ออกกำลังปานกลางวันละ 30นาทีทุกวัน แต่ต้องหลีกเลี่ยงการออกกำลังที่จะเกิดอันตรายต่อการตั้งครรภ์

ผู้สูงอายุต้องมีกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อลดอัตราการเสื่อมของอวัยวะ

ข้อเท็จจริงบางประการ

ปี 2002ร้อยละ 25 ของประกรของอเมริกาไม่ได้ออกกำลังกาย

ปี2003 ร้อยละ 38 ของประชากรวัยรุ่นใช้เวลาดูทีวีวันละ 3 ชั่วโมง

การออกกำลังกายชนิดหนักจะให้ผลดีต่อสุขถาพดีกว่าชนิดปานกลาง และใช้พลังงานมากว่า

การออกกำำลังกายจะทำให้การควบคุมอาหารทำได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราคนที่ออกกำลังกายสามารถรับประทานอาหารได้เพิ่มขึ้น

ต้องป้องกันร่างกายขาดน้ำโดยการดื่มอย่างเพียงพอ หรือดื่มขณะออกกำลังกาย หรือหลังการออกกำลังกาย

ให้มีการออกกำลังกายอย่างสมำ่เสมอ ลดการนอนหรือดูทีวีซึ่งจะทำให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตดี

เพื่อป้องกันหรือลดอุบัติการณ์ของการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ให้ออกกกำลังกายปานกลางวันละ 30 นาที หรือกิจกรรมประจำวัน

หากออกกกำลังกายหนักเพิ่มขึ้น(ชนิดหนัก)ก็จะส่งผลดีต่อสุขภาพ

หากต้องการควบคุมน้ำหนักไม่ให้เพิ่มต้องออกกำลังกายชนิดปานกลางวันละ 60 นาทีทุกวัน

หากต้องการลดน้ำหนักอย่างต่อเนื่องต้องออกกำลังกายชนิดปานกลาง-หนักวันละ 60-90 นาที

คำแนะนำชนิดของอาหาร

รับประทานผักและผลไม้ให้มากโดยรับประทานน้ำผลไม้วันละ 2 แก้ว ผักวันละ 2 ถ้วย

ให้มีการรับประทานผักและผลไม้ที่หลากหลายสับเปลี่ยนกันอยู่ตลอดเวลา

ให้รับประทานธัญพืชวันละกำมือ เช่นถั่วต่าง เม็ดทานตะวัน เม็ดแตงโม

ให้รับประทานนมพร่องมันเนยหรือผลิตภัณฑ์นมพร่องมันเนยวันละ 3 ถ้วย

คำแนะนำอาหารสำหรับเด็ก

เด็กและวัยรุ่นต้องรับประทานธัญพืชบ่อยๆ เด็กอายุ 2-8ขวบควรจะดื่มนมพร่องมันเนยวันละ 2 แก้ว เด็กมากกว่า 9 ขวบควรดื่ม 3 แก้ว

กลุ่มอาหาร

เลือกรับประทานผักและผลไม้อย่างเพียงพอโดยพลังงานที่ได้รับต้องไม่เกินเกณฑ์ตัวอย่างคนที่ได้รับพลังงาน 2000 กิโลแคลรอรีจะรับผลไม้ได้ไม่เกิน ผัก 21/2ถ้วยหรือนำผลไม้ไม่เกิน 2 ถ้วย

ให้เลือกผักและผลไม้ทั้ง 5 กลุ่มสับไปมา

ให้รับประทานส่วนประกอบของธัญพืช หรือเมล็ดธัญพืช เช่น ข้าว อย่างน้อยวันละ 3 ส่วน

ดื่มนมพร่องมันเนยวันละ 3 ถ้วย

กลุ่มผักและผลไม้

ผลและผลไม้เป็นแหล่งให้สารอาหารแก่ร่างกายเป็นจำนวนมากตามตารางข้างล่าง

การรับประทานผักและผลไม้จะทำให้ร่างกายได้รับใยอาหารอย่างเพียงพอ

ผลและผลไม้แต่ละชนิดจะให้คุณค่าทางอาหารแตกต่างกันไป ดังนั้นต้องสับเปลี่ยนกันไปในแต่ละอาทิตย์ แบ่งผักออกเป็น 5 ชนิดและปริมาณที่ควรจะรับประทานในแต่ละสัปดาห์

ผักใบเขียว 3ถ้วยต่อสัปดาห์

ผักใบเหลือง 2 ถ้วยต่อสัปดาห์

ถั่ว 3 ถั่วต่อสัปดาห์

ผักพวกใหแป้ง(ผักพวกหัว) 3 ถั่วต่อสัปดาห์

ผักอื่นๆ 6 1/2 ต่อสัปดาห์

คำแนะนำสำหรับอาหารไขมัน

รับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว saturated fat ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของพลังงานที่ได้รับหรือไม่เกินวันละ 300 กรัมของคลอเลสสเตอรอลล์ และหลีกเลี่ยงไขมันชนิด trans fatty acid

ปริมาณพลังงานที่ได้จากไขมันต้องไม่เกิน 30%ของปริมาณทั้งหมด และควรจะเป็นพวกไขมันไม่อิ่มตัวpolyunsaturated

and monounsaturated fatty acids จากพืชและถั่ว

เมื่อจะรับประทานเนื้อสัตว์ต้องเลือกเนื้อที่มีไขมันต่ำ เช่นเนื้อสันใน หรือแกะเอาหนังและไขมันทิ้ง

ลดการรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมัน trans fatty

สำหรับเด็กเล็กอายุ 2-3 ขวบให้รับประทานไขมันได้ถึงร้อยละ 30-35 สำหรับเด็กอายุ 4-18 ปีให้รับประทานอาหารไขมันได้ถึงร้อยละ 25-35 และแหล่งไขมันควรจะเป็นไขมันไม่อิ่มตัว polyunsaturated and monounsaturated

fatty acids,เช่น ปลา ถั่ว และน้ำมันพืช

คำแนะนำสำหรับอาหารจำพวกแป้ง

รับประทานอาหารพวกแป้งที่มีใยอาหารสูง ได้แก่ผักและผลไม้

การปรุงอาหารไม่ไส่เกลือหรือน้ำตาลมากเกินไป

ป้องกันฟันผุโดยการลดน้ำตาลและเครื่องดื่ม

การรับประทานอาหารที่มีเกลือต่ำ

สำหรับคนทั่วไปให้รับประทานอาหารที่มีเกลือน้อยกว่า 2300 มิลิกรัม(ประมาณ 1 ช้อนชา)

เวลาปรุงอาหารให้ใส่เกลือให้น้อยที่สุด

สำหรับคนที่เสี่ยงต่อโรคความดํนโลหิตสูง(คนที่มีประวัติครอบครัวเป็นความดันโลหิตสูง อ้วน ผิวดำ โรคเบาหวาน)ต้องรับประทานเกลือเพียง 1500มิลิกรัม และรับประทานเกลือโปแตสเซียมวันละ 4700 มิลิกรัม

สุขภาพ

สุขภาพดีคือสิ่งที่ทุกคนปรารถนา สุขภาพดีเป็นสิ่งพรหมลิขิตให้แต่ไม่ทั้งหมด หลายคนไขว่ขว้าหาสุขภาพดี ใช้เงินใช้ทองซื้อทำสปา เข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก ซื้ออาหารลดน้ำหนักมารับประทาน การมีสุขภาพที่ดีต้องอาศัยตัวเองดูแลสุขภาพ ให้เวลากับตัวเองเพียงวันละ 1 ชั่วโมงในการออกกำลังกาย อีก 7 ชั่วโมงในการนอนหลับ และรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ

ธรรมชาติคงไม่ให้สุขภาพที่ดีแด่คนที่ชอบทำร้ายตัวเองอยู่เรื่อย แม้ว่าจะทราบแล้วว่าสิ่งนั้นไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ สุขภาพไม่สามารถซื้อด้วยเงินถึงแม้คุณจะรวยเป็นมหาเศรษฐีหากคุณไม่ดูแลตัวเองให้ดี เงินที่มีอยู่เพียงบรรเทาอาการเท่านั้น

หลายท่านคิดว่าการออกกำลังกายเสียเวลา ท่านลองจิตนาการถึงภาระงานที่ท่านรับผิดชอบในแต่ละวันว่ามีมากน้อยเพียงใด หากท่านไม่ดูแลตัวเองและเกิดโชคร้ายท่านเป็นโรคอัมพาตหรือโรคหัวใจ ภาระที่ท่านว่ามากมายจนไม่มีเวลาออกกำลังกาย ภาระเหล่านั้นใครจะเป็นคนดูแล และหากโชคร้ายถึงขั้นช่วยตัวเองไม่ได้ ใครจะมาเป็นคนดูแลท่าน ท่านเพียงเสียเวลาวันละประมาณ 1 ชั่วโมง หรือท่านอาจจะใช้เวลาในการดูทีวีและออกกำลังกายไปด้วยกันซึ่งก็จะทำให้ท่านมีสุขภาพที่ดีขึ้น

หลายท่านเชื่อว่า คนผอมเท่านั้นที่มีสุขภาพดี จึงทำการลดน้ำหนักด้วยการอดอาหารเป็นการใหญ่เพื่อให้น้ำหนักได้มาตรฐาน แต่การลดน้ำหนักอาจจะเป็นเรื่องลำบาก และการอดอาหารเป็นเวลานานๆอาจจะมีอันตรายต่อสุขภาพ จึงอยากให้ท่านผู้อ่านได้เปลี่ยนมุมมองใหม่

การมีสุขภาพที่ดีไม่ได้หมายถึงน้ำหนักที่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานแต่หมายถึงการที่เราดูแลตัวเองอย่าถูกต้องตั้งแต่เรื่อง การออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร การพักผ่อน การป้องกันโรค การลดหรือเลิกสิ่งที่บั่นทอนสุขภาพ ร่างกายเรากระปี้กระเปร่าพร้อมที่จะดำเนินชีวิตประจำวัน เนื้อหาที่จะกล่าวจะเป็นแนวทางในการดูแลสุขภาพของท่าน

การปฏิบัติตามแนวทางไม่ได้ต้องการให้ท่านมีอายุยาวหมื่นๆปีแต่ต้องการให้ท่านมีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่ป่วยบ่อย สามารถหลีกเลี่ยงโรคที่ป้องกันได้ อายุยืนยาวขึ้น การที่จะมีสุขภาพที่ดีต้องประกอบไปด้วยการดูแลดังต่อไปนี้

อาหารสุขภาพ

รักษาน้ำหนักที่เหมาะสม

การออกกำลังกาย

การดื่มสุรา

กาแฟกับสุขภาพ

สารตะกั่วกับสุขภาพ

การหยุดสูบบุหรี่

การจัดการกับความเครียด

การจัดการกับอาการปวดหลัง

การคาดเข็มขัดนิรภัย

กลิ่นปาก

การดูและฟัน

การจัดตั้งคอมพิวเตอร์

เกี่ยวกับเชื้อรา

สุขภาพในที่ทำงาน

ลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรค

การตรวจสุขภาพ

การแปลผลเลือด

ความปลอดภัยเครื่องไฟฟ้า

การรักษาน้ำหนัก

อาหารที่เรารับประทานเข้าไปจะใช้เป็นพลังงานในการดำเนินชีวิต เช่นใช้หล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ใช้ในการเดิน การหายใจ การทำงาน แต่ถ้าหากเรารับประทานอาหารที่มีพลังงานมากกว่าที่เราใช้ส่วนเกินของพลังงาน จะสะสมในรูปไขมันผลทำให้น้ำหนักท่านเพิ่ม

ท่านผู้อ่านควรที่จะรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติคือดัชนีมวลกายอยู่ระหว่าง 20-20 กก./ตารางเมตร หากต่ำกว่านี้ร่างกายอาจจะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ หากมากกว่านี้อาจจะทำให้เกิดโรคต่างๆเช่น โรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง

โรคอ้วนทำให้เกิดโรคอะไร

คนอ้วนมักจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดโรค ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง ซึ่งปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวจะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนั้นโรคอ้วนยังเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งได้หลายชนิด

การลดน้ำหนัก

วิธีลดน้ำหนักที่ดีที่สุดคือการลดพลังงานจากอาหาร และการออกกำลังกายหรืออาจจะทำทั้งสองอย่างพร้อมกัน

ลดพลังงานจากอาหาร

รับประทานอาหารพวกผักผลไม้ให้มาก ไม่ปรุงอาหารด้วยไขมัน

ลดอาหารไขมัน เช่นอาหารทอด ผัด เช่นปาท่องโก๋ กล้วยทอด ไก่ทอด ฟิซซ่า โรตี กะทิ

ดื่มนมพร่องมันเนย งดเนย

ลดการบริโภคน้ำตาล ของหวาน

ลดสุรา

การออกกำลังกาย

ใช้การเดินแทนการนั่งรถ

ใช้บันไดแทนการขึ้นลิฟต์

ไปเล่นกับลูก ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน

นภา ใจเฟย ม.ฟารร์(28)

กาแฟ

หลังจากตื่นนอนตอนเช้าได้กาแฟหอมๆสักแก้วจะรู้สึกกระชุ่มกระชายตลอดทั้งเช้า บางท่านรับกาแฟและขนมบางอย่างเป็นอาหารเช้า หลังจากทำงานก็ยังมี coffee break บางท่านยังดื่มหลังอาหารเที่ยงและตอนสายๆ ยิ่งต้องเข้าประชุมกาแฟหอมๆสักแก้วจะทำให้สดชื่นหายง่วง ปัจจุบันการดื่มกาแฟเป็นที่นิยมการอย่างแพร่หลายตามปั้มน้ำมัน ตามห้างสรรพสินค้ามีการขายอย่างมากมาย จะเห็นได้ว่ากาแฟเป็นส่วนหนึ่งหรือบางคนอาจจะเป็นส่วนสองส่วนสามของชีวิตประจำวัน แต่จะมีใครกังวลหรือไม่ว่าที่เราดื่มทุกวันวันละหลายแก้วแล้วมันมีโทษ หรือคุณประโยชน์อะไรบ้าง หากคุณเป็นคอกาแฟคุณควรจะอ่านบทความนี้

ส่วนประกอบที่สำคัญของกาแฟ

ส่วนประกอบที่สำคัญของกาแฟคือ caffeine หรือมีชื่อทางเคมีว่า 1,3,7-trimethylxanthine ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของยาขยายหลอดลม theophylline

caffeine สามารถพบได้ในหลายชนิดได้แก่ เมล็ดคา เมล็ดกาแฟ ใบชา โคลา caffeineถูกผสมลงในน้ำอัดลม ยาแก้หวัดบางชนิด ยาแก้ปวด ยาลดน้ำหนัก

กาแฟจะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วหลังจากที่เราดื่มกาแฟและจะถูกขับออกไปครึ่งหนึ่งในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมงกาแฟจะไม่สะสมในร่างกายโดยจะถูกทำลายและขับออกหมด ผู้ที่สูบบุหรี่จะมีการขับถ่ายกาแฟมากกว่าผู้ที่ไม่สูบดังนั้นคนที่สูบบุหรี่หากต้องการการกระตุ้นของกาแฟจะต้องดื่มกาแฟบ่อยกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ คนท้องและผู้ที่กินยาคุมกำเนิดจะมีการขับกาแฟน้อยกว่าคนทั่วไป กาแฟจะออกฤทธิ์โดยการกระตุ้นสมองทำให้รู้สึกสดชื่นและมีสมาธิ

นักวิทยาศาสตร์ประมาณว่าวันหนึ่งๆเราจะรับสาร caffeine ประมาณ 250-600 มก.ซึ่งไม่เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย

ผลดีของกาแฟ

กาแฟจะกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางทำให้ไม่ง่วง สมาธิในการทำงานดีขึ้น ผู้ที่ดื่มกาแฟจะทำให้ไม่ง่วงนอน มีสมาธิในการทำงาน และยังทำให้ความสามารถในการทำงานดีขึ้น และยังลดอาการปวดเมื่อยเนื่องจากไขหวัด

ผลต่อสมรรถภาพของร่างกายดีขึ้น เช่นการขี่จักรยาน การว่ายน้ำ เล่นกีฬาได้นานขึ้น

ผลดีของกาแฟจะทำให้ไม่ง่วงนอนโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเป็นกะ และช่วยลดอุบัติเหตุขณะขับรถ

กระตุ้นอวัยวะของร่างกายและเพิ่มการเผาผลาญไขมันและช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย กาแฟจะมีฤทธิ์ขับปัสสาวะอ่อนๆดังนั้นขณะออกกำลังกายหรือหลังออกกำลังกายไม่ควรรับเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาแฟเพราะจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ

ดื่มนานๆจะติดกาแฟหรือไม่

องค์การอนามัยโลกกล่าวว่าไม่มีหลักฐานว่ากาแฟจะเป็นสารซึ่งหากดื่มนานๆแล้วจะเสพติด การดื่มกาแฟจะเป็นนิสัยมากกว่าเสพติดเนื่องจากไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณของกาแฟ และเมื่อหยุดกาแฟบางคนก็เกิดอาการปวดหรือมึนศีรษะเพียงเล็กน้อย

ผลดีของกาแฟต่อสุขภาพ

โรคหอบหืด มีรายงานว่าการดื่มกาแฟวันละ 3 แก้วจะลดอาการหอบหืด หากดื่มมากกว่า 6 แก้วการทดสอบสมรรถภาพปอดจะดีขึ้น

กาแฟก็เหมือนกับพืชอื่นๆมีสาร flavanoid ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ

การดื่มกาแฟจะลดอาการง่วงนอน และทำให้มีสมาธิในการทำงานดีขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเป็นกะ และลดอุบัติเหตุขณะขับขี่

กาแฟช่วยลดอาการซึมเศร้าและคลายความวิตกกังวล

การดื่มกาแฟเป็นประจำจะลดอุบัติการณ์การเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ และยังลดอุบัติการณ์ของนิ่วในถุงน้ำดี

มีหลักฐานพอจะเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่เมื่อดื่มวันละ 4 แก้ว

กาแฟกันสุขภาพสตรี

กาแฟกับการตั้งครรภ์ The Food Standards Agency ก่อนหน้านี้มีความเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะเป็นผลเสียต่อการตั้งครรภ์ แต่จากหลักฐานยังไม่พบผลเสียดังกล่าว ประเทศอังกฤษได้แนะนำว่าการดื่มวันละ 3-4 แก้วขณะตั้งครรภ์ไม่เกิดผลเสีย สำหรับผู้ที่ตั้งท้องหากงดได้ก็น่าจะงด

การเป็นหมัน พบว่าหากดื่มกาแฟมากกว่า 1แก้วจะมีโอกาสเกิดการเป็นหมันเพิ่มขึ้น

กาแฟกับโรคกระดูกพรุน

ยังมีรายงานทั้งสนับสนุนว่าการดื่มกาแฟทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน บางรายงานก็กล่าวว่าไม่เกิดโรค ผู้ที่เกิดโรคกระดูกพรุนมักจะได้รับแคลเซียมไม่พอแนะนำว่าควรจะดื่มนมเริมสำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 2 แก้วขึ้นไป

กาแฟกับโรคมะเร็ง

มีรายงานจากWorld Cancer Research Fund ว่าการดื่มกาแฟปริมาณปานกลางไม่มีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็ง

มีรายงานกล่าวว่าการดื่มกาแฟมีผลดีต่อการป้องกันมะเร็งตับอ่อนเล็กน้อย

มีรายงานว่าการดื่มกาแฟอาจจะมีผลป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ๋

กาแฟกับโรคหัวใจ

เท่ามีรายงานขณะนี้พบว่าการดื่มกาแฟวันละ 4 แก้วไม่มีความสัมพันธ์กับโรคหัวใจ

การดื่มกาแฟเป็นประจำไม่ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น การดื่มกาแฟครั้งแรกจะทำให้ความดันขึ้นชั่วคราว

กาแฟกับโรคเบาหวาน

จากการศึกษาพบว่าการดื่มกาแฟจะทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินเพิ่มขึ้น 15 % กรดไขมันในเลือดเพิ่มขึ้น ฮอร์โมน epinephrineเพิ่มสูงขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน

4 อาหารต้านไมเกรน

คุณเคยมีอาการปวดหัวแบบไมเกรนไหมค่ะ

อาจจะมีอาการปวดตุ๊บๆ แถวขมับ หรืออาจปวดบริเวณเบ้าตาเหมือนหัวใจเต้นตุ๊บๆ และมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย ซึ่งเป็นอาการปวดที่สร้างความรำคาญและทรมานให้กับผู้ป่วย

ไมเกรน มักจะพบมากในช่วงวัยรุ่นอายุ 10-25 ปี แต่ก็พบในเด็กอายุ 7-8 ขวบได้ ยิ่งอายุมากขึ้น อาการก็จะลดน้อยลง

การกินอาหารที่จำเป็นบางอย่างช่วยป้องกันไมเกรนได้ ทั้งวิตามินและเร่ธาตุที่สำคัญได้แก่

กรดไขมันโอเมก้า-3 จากปลาทะเล จำพวกปลาทู แซลมอน ทูน่า และซาร์ดีนช่วยให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ช่วยบำรุงระบบประสาท และป้องกันไมเกรนได้

แมกนีเซียม การวิจัยพบว่ากินแมกนีเซียม 200 มิลลิกรัมเสริมทุกวัน ช่วยลดความถี่ของอาการไมเกรนลง หรืออาจจะกินจากอาหารก็ได้ โดยแมกนีเซียมมีมากในเมล็ดธัญญพืชเต็มรูป เช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต และผักใบเขียว เช่น ปวยเล้ง ผักโขม บรอกโคลี คะน้า

แคลเซียมและวิตามินดี ช่วยป้องกันไมเกรนได้เช่นกัน พบมากในผักใบเขียว และถั่ว ส่วนในนมถึงแม้มีแคลเซียมสูง แต่เป็นตัวนำไมเกรนชั้นยอด จึงควรหลีกเลี่ยง

นอกจากนี้จากงานวิจัยยังพบว่า การกิน ไรโบฟลาวิน หรือ วิตามินบี 2 ทุกวัน จะช่วยลดจำนวนครั้งการเป็นไมเกรนลง 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งพบมากในธัญพืช ข้าวซ้อมมือ และมันฝรั่ง

6 พิษอันตรายของผงชูรส

เคยรับประทานอาหารนอกบ้าน แล้วมีอาการชาตามมือ และร้อนวูบวาบที่ปาก ลิ้น ใบหน้า และรู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก บางครั้งอาจมีผื่นแดงขึ้นตามตัวบ้างหรือไม่ อาการเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันดีในนาม โรคภัตตาคารจีน (Chinese Restaurant Syndrome) หรือโรคแพ้ผงชูรส

นอกจากจะมีอาการข้างต้นแล้ว หากคุณรับประทานอาหารที่มีปริมาณผงชูรสมากๆ เป็นประจำย่อมเกิดอันตรายต่อสุขภาพของตัวคุณได้ ดังนี้

1.ทำลายระบบประสาทตา สายตาเสียหรือเกิดตาบอดได้

2.ทำลายกระดูกและไขกระดูก ซึ่งผลิตเม็ดเลือดแดงในร่างกาย อาจทำให้เกิดโรคโลหิตจางได้

3.ทำให้วิตามินในร่างกายลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินบี6 ทำให้เป็นโรคผิวหนังได้ง่าย

4.ทำลายสมองส่วนหน้าหรือไฮโปทาลามัส ทำให้การเจริญเติบโตช้า ปัญญาอ่อน และเป็นหมัน

5.ทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้เป็นโรคประสาทได้ง่ายขึ้น

6.สำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์ ถ้ากินผงชูรสมากๆ จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครโมโซมของทารกในครรภ์ ทำให้ร่างกายของเด็กเกิดความผิดปกติ ปากแหว่ง แขนขาพิการได้

ก่อนสั่งอาหารมื้อหน้าอย่าลืมระบุ อาหารที่ไม่ใส่ผงชูรส หรือทางที่ดีลองทำน้ำซุปแบบชีวจิตไว้ช่วยปรุงรสชาติแทนผงชูรสได้ค่ะ อย่างน้ำซุปแครอท ฟักเขียว เป็นต้น

7 สุดยอดอาหารที่ทำให้อารมณ์ดี

เป็นธรรมดาที่คนเราต้องมีวันที่อารมณ์เสีย หรือหงุดหงิดกันบ้าง...แต่ทราบไหมคะว่าเราสามารถแก้ไขอารมณ์

บูด ๆ ของเราด้วยอาหารที่รับประทานเข้าไปในแต่ละวันได้ด้วย

...Susan Moores โฆษกจากสมาคมโภชนาการของอเมริกา และที่ปรึกษาด้านสารอาหารในเซนต์ปอล กล่าว?ประจำวันเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยรักษาสมดุลของอารมณ์ เพราะนอกจากอาหารจะให้พลังงานแล้ว ยังสร้างเซโรโทนิน ซึ่งเป็นเคมีในสมองทำให้จิตใจคุณสงบและเย็นขึ้น ดังนั้นเมื่อคนเราเลือกอาหารที่ดี อารมณ์ของเราก็จะดีไปด้วย?

นอกจากนั้นมัวร์ยังกล่าวว่า เดี๋ยวนี้คนหันมานิยมการรับประทานอาหารแบบโลว์คาร์โบไฮเดรต (การรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตแต่น้อย) กันมากเป็นเหตุให้มีผลทางด้านอารมณ์ เพราะคาร์โบไฮเดรตจะมีผลต่อการสร้างเซโรโทนิน เมื่อเราขาดแคลนคาร์โบไฮเดรตอารมณ์ของคนเราก็เปลี่ยนไปด้วย...และถ้าคุณอยากเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนอารมณ์ดี อาหารเหล่านี้เป็นสิ่งที่เหล่าคุณหมอเขาใช้ในการบำบัดคนไข้ค่ะ

ปลาซัลมอนและแม็กคาเรล

ปลา 2 ประเภทนี้มีโอเมก้า 3 อยู่เยอะมาก ดังนั้นจึงแนะนำกันว่าเป็นอาหารที่เยี่ยมมากสำหรับมื้อดินเนอร์ ที่สำคัญมีการวิจัยมาแล้วว่าโอเมก้า 3 มีผลกับอารมณ์ของคนเรา นอกเหนือจากที่โอเมก้า 3 ช่วยป้องกันโรคหัวใจและมะเร็ง ที่ดีไปกว่านั้นซัลมอนยังเต็มไปด้วยเซเลเนียมที่เป็นสาระสำคัญในการต่อต้านอนุมูลอิสระด้วย

คาโนลาออยล์ (Canola Oil)

เป็นน้ำมันจากดอกคาโนลาซึ่งกำลังได้รับความนิยมมาก เนื่องจากเต็มไปด้วยวิตามินอีซึ่งมีผลต่อระดับอารมณ์ของคนเรา แต่ด้วยความที่ในน้ำมันจะมีไขมัน ทำให้แนะนำกันว่าให้รับประทานได้ไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม โดยพยายามใช้น้ำมันนี้เวลาคุณทอดปลาซัลมอนหรือทำอาหารสุขภาพรับประทาน

ผักโขมและถั่วสด

ในผักใบสีเขียวเข้มอย่างผักโขมหรือถั่วนั้นมีโฟเลตสูง ซึ่งช่วยให้อารมณ์ของคนเราอยู่ในระดับปกติ เนื่องจากโฟเลตมีส่วนสำคัญในการสร้างเซโรโทนิน นอกจากนั้นการรับประทานถั่วยังได้รับวิตามินซีและไฟเบอร์ด้วย แต่มีคำแนะนำว่าถั่วกระป๋องจะมีสารอาหารน้อยกว่าถั่วสด ดังนั้นถ้าเป็นไปได้คุณควรเลือกรับประทานถั่วสด ๆ เพื่อสารอาหารที่เต็มที่...ผสมถั่วลงในทูน่าสลัด หรือเพิ่มผักใบเขียวในชามสลัดของคุณก็จะเป็นมื้ออาหารที่ไม่เลวเลยทีเดียว

ถั่ว Chickpeas

เป็นอาหารที่มีโฟเลตสูงแต่ไขมันต่ำ และสำหรับคนที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์สามารถที่จะทานถั่วชนิดนี้แทนได้เพราะมีโปรตีนอยู่สูง แถมมีรสอร่อย นอกจากนั้นชิกพียังมีไฟเบอร์, ไอออน และวิตามินอีอยู่เยอะ มีคำแนะนำการประกอบอาหารง่าย ๆ จากถั่วชิกพีมาด้วยว่า

ให้นำชิกพีกระป๋องมาเทเอาน้ำออก ผสมกระเทียมสับใส่ลงไป ใส่น้ำมะนาว และน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันคาโนลา ปั่นในเบลนเดอร์หรือเครื่องผสมอาหาร เติมเกลือพริกไทยหรือเครื่องปรุงรสที่ชอบ แค่นี้ก็จะได้อาหารสุขภาพที่นำมาจิ้มรับประทานกับผักสดได้อร่อย

ไก่

เป็นอาหารที่มีวิตามินบี 6 อยู่มาก ซึ่งโดยหลักแล้วจะช่วยสร้างเซโรโทนินขึ้นในร่างกายของเรา นอกจากนั้นในไก่ยังเป็นแหล่งของเซเลเนียม วิตามินและสารอาหารอื่น ๆ ด้วย เพียงแต่ต้องคำนึงถึงนิดหนึ่งว่าการรับประทานหนังไก่จะช่วยเพิ่มไขมันให้กับเราไม่น้อยเช่นกัน ฉะนั้นเลือกรับประทานอกไก่ที่ปราศจากหนังดีกว่าค่ะ เพราะให้พลังงานเพียง 106 แคลอรี/3.5 ออนซ์ (ประมาณครึ่งอก) เท่านั้น

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

การออกกำลังกายในผู้ป่วยโรคหัวใจวาย !!!

ผลดีของการออกกำลังกาย

สามารถออกกำลังกายได้เพิ่มขึ้น ทั้งออกกำลังกายได้นานขึ้นและออกได้หนักขึ้นซึ่งจะเห็นผลเมื่อออกกำลังได้ 3 สัปดาห์ วิธีการออกมีทั้งการเดิน การขี่จักรยาน และการยกน้ำหนัก โดยการให้ออกกำลังครั้งละ 20 นาทีสัปดาห์ละ 4-5 ครั้งโดยออกกำลังกายให้หัวใจเต้นได้ประมาณ 70-80%ของการเต้นเป้าหมาย(220-อายุ)

ระดับสาร Catecholamine ซึ่งเป็นสารร่างกายสร้างขึ้นในภาวะที่เป็นโรคหัวใจวาย หากสารนี้มีมากเกินไปจะส่งผลเสียต่อร่างกาย หลังการออกกำลังกายพบว่ารายงานส่วนใหญ่กล่าวไว้ว่ามีปริมาณลดลง ซึ่งส่งผลดีต่อผู้ป่วย

การออกกำลังกายจะทำให้ระบบการหายใจดีขึ้น มีการแลกเปลี่ยนของก๊าซเพิ่มขึ้น

การทำงานของเซลล์เยื่อบุผิวหลอดเลือดดีขึ้น(endotheliail)ทำให้มีการหลั่งสารที่ทำให้หลอดเลือดขยายได้มากขึ้น เลือดไปเลี้ยงแขนขาและที่สำคัญไปเลี้ยงหัวใจเพิ่มขึ้น

การออกกำลังกายทำให้หัวใจมีการปรับตัวทำงานดีขึ้น หลังการออกกำลังกายพบว่าการทำงานของหัวใจดีขึ้น หัวใจเต้นช้าลง และเพิ่มปริมาณเลือดในการบีบตัวแต่ละครั้ง(systolic)

อัตราการตาย หรือการนอนโรงพยาบาล หรืออาการเจ็บหน้าอกลดลง

ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจวายชนิดคลายตัวไม่ดี Diastolic dysfunction เป็นภาวะหัวใจซึ่งเกิดจากหัวใจไม่สามารถคลายตัวเพื่อรับเลือด ทำให้หัวใจบีบแต่ละครั้งได้เลือดน้อยกว่าปกติ ภาวะนี้มักจะเกิดในผู้ที่สูงอายุ กล้ามเนื้อหัวใจหนา เส้นเลือดหัวใจตีบ ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะพบแพทย์ด้วยเรื่องเหนื่อยเวลาออกกังกาย มีการทดลองพบว่าการออกกำลังกายสามารถทำให้หัวใจทำงานได้ดีขึ้น

การออกกำลังกายในคนสูงอายุ การทำงานของหัวใจในผู้สูงอายุจะลดลงแม้ว่าจะไม่มีโรค พบว่าการออกกำลังกายในผู้สูงอายุจะทำให้หัวใจเต้นช้าลง และการทำงานของหัวใจดีขึ้น มีการเปรียบเทียบการทำงานของหัวใจของคนที่ออกกำลัง และคนที่ไม่ได้ออกกำลังกาย พบว่าการทำงานของผู้ที่ออกกำลังกายดีกว่าผู้ที่ไม่ได้ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายทำให้หัวใจเล็กลง ได้มีการทดลองในหนูที่มีกล้ามเนื้อหัวใจหน้าจากความดันโลหิตสูง พบว่าหนูที่ให้ออกกำลังโดยการว่ายน้ำจะมีความหนาของกล้ามเนื้อหัวใจลดลง การใช้ออกซิเจนของกล้ามเนื้อหัวใจดีขึ้น

สำหรับผู้ที่มีลิ้นหัวใจรั่วหรือลิ้นหัวใจตีบต้องแก้ไขโดยการผ่าตัด

ปัจจัยเสี่ยงของการออกกำลังกาย

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์ เลขที่ 2

8 เคล็ด (ไม่ลับ) หลับสบาย

คุณมีอาการแบบนี้หรือไม่ ? ระหว่างนอนรู้สึกว่าสมองยังคงคิดเรื่องต่างๆ อยู่ หลับไม่สนิทตื่นเป็นระยะ บ่อยครั้งตื่นในตอนเช้าด้วยความงัวเงีย และรู้สึกไม่แจ่มใสไปทั้งวัน นั่นเป็นเพราะคุณกำลังเข้าใกล้วงจรของอาการนอนไม่หลับ

นอนไม่หลับ นับเป็นอาการยอดฮิตของหลายๆ คน ที่ส่วนมากเกิดจากความเครียด โดยเฉพาะวัยเรียนและวัยทำงาน ที่กังวลเกี่ยวกับงานและเรื่องต่างๆ มากเกินไป จนกลายเป็นความคิดมาก เครียด และบ่อยครั้งในระหว่างวันจะรู้สึกง่วงนอนและอ่อนเพลีย ส่งผลให้การเรียนการทำงานขาดประสิทธิภาพ

เกร็ดน่ารู้ มี Tips ง่ายๆ ช่วยให้หลับสบายมาฝากกัน

1.ตื่นและนอนให้เป็นเวลา โดยใน 1 วัน ควรนอนให้ได้ 8 ชั่วโมง และทำให้เป็นประจำทุกวัน

2.ฝึกนั่งสมาธิก่อนนอน เพื่อไม่ให้จิตใจฟุ้งซ่าน

3.วางแผนงานที่จะสะสางในวันพรุ่งนี้ให้เป็นระบบ เพื่อลดการคิดซ้ำซาก

4.อย่ากังวลกับงานจนเกินไป เมื่อถึงเวลานอนก็ควรนอนให้หลับสนิท เพื่อพักสมอง และเตรียมลุยงานในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะเป็นผลดีกับประสิทธิภาพของงาน

5.หากลิ่นหอมอ่อนๆ จากน้ำมันหอมระเหยวางในห้อง จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและหลับง่ายขึ้น

6.ดื่มนมอุ่นๆ ก่อนนอน จะช่วยคลายเครียด ผ่อนคลายประสาท

7.หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เนื่องจากมีคาเฟอีนกระตุ้นทำให้นอนไม่หลับ

8.เปิดเพลงเบาๆ ฟังสบายๆ จะให้ความรู้สึกสงบ

เพราะ...การหลับสนิทเป็นการพักผ่อนที่ช่วยชาร์จพลังที่ดีที่สุด ดังนั้น การสร้างสุขลักษณะการนอนที่ดี รู้จักผ่อนคลายเรื่องเครียดกังวล จะส่งผลดีต่อร่างกาย-สติปัญญา และช่วยบอกลาอาการนอนไม่หลับได้.

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์ เลขที่ 2

10 อันดับเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ที่สุด

ปัจจุบันมีเครื่องดื่มหลายชนิดอ้างว่า ใส่สารอนุมูลอิสระไว้ แต่หลายคนไม่ทราบว่าสารนี้คืออะไรกันแน่ สำหรับสารต้านอนุมูลอิสระ มีประ โยชน์เนื่องมาจากในขบวนการปฏิกิริยาชีวเคมี ที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย จะมีการขับของเสียที่ร่างกายได้รับ ได้แก่ ควันบุหรี่ แอลกอฮอล์ รังสียูวี เอกซเรย์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นอนุมูลอิสระที่มีอันตรายต่อเซลล์ในร่างกาย ที่อาจส่งผลให้เกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ ภาวะข้อต่ออักเสบ ต้อกระจก และการเสื่อมของอวัยวะต่างๆ อนุมูลอิสระจะทำลายเนื้อเยื่อเซลล์ เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของดีเอ็นเอ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเพิ่มความเสี่ยงของการมีเซลล์มะเร็ง และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีที่นำไปสู่ขบวนการเกิดโรคมะเร็ง

สำหรับ 10 อันดับเครื่องดื่มที่มีประโยชน์มากที่สุด คือ

1. น้ำทับทิม

2. ไวน์แดง

3. น้ำองุ่นคอนคอร์ด

4. น้ำบลูเบอร์รี่

5. น้ำแบล็กเชอร์รี่

6. น้ำอะซาอี

7. น้ำแครนเบอร์รี่

8. น้ำส้ม

9. น้ำชา

10. น้ำแอปเปิ้ล - ปราฟดา

ความเครียดสามารถเกิดได้ทุกแห่งทุกเวลาอาจจะเกิดจากสาเหตุภายนอกเช่น การย้ายบ้าน การเปลี่ยนงาน&nbsp;ความเจ็บป่วย การหย่าร้าง ภาวะว่างงานความสัมพันธ์กับเพื่อน ครอบครัว หรืออาจจะเกิดจากภายในผู้ป่วยเอง เช่นความต้องการเรียนดี ความต้องการเป็นหนึ่งหรือความเจ็บป่วย ความเครียดเป็นระบบเตือนภัยของร่างกายให้เตรียมพร้อมที่กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การมีความเครียดน้อยเกินไปและมากเกินไปไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ ส่วนใหญ่เข้าใจว่าความเครียดเป็นสิ่งไม่ดีมันก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ หัวใจเต้นเร็ว แน่นท้อง มือเท้าเย็น แต่ความเครียดก็มีส่วนดีเช่น ความตื่นเต้นความท้าทายและความสนุก สรุปแล้วความเครียดคือสิ่งที่มาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชีวิตซึ่งมี่ทั้งผลดีและผลเสีย

ชนิดของความเครียดคือความเครียดที่เกิดขึ้นทันทีและร่างกายก็ตอบสนองต่อความเครียดนั้นทันทีเหมือนกันโดยมีการหลั่งฮอร์โมนความเครียด เมื่อความเครียดหายไปร่างกายก็จะกลับสู่ปกติเหมือนเดิมฮอร์โมนก็จะกลับสู่ปกติ ตัวอย่างความเครียด

เสียง

อากาศเย็นหรือร้อน

ชุมชนที่คนมากๆ

ความกลัว

ตกใจ

หิวข้าว

อันตราย หรือความเครียดเรื้อรังเป็นความเครียดที่เกิดขึ้นทุกวันและร่างกายไม่สามารถตอบสนองหรือแสดงออกต่อความเครียดนั้น ซึ่งเมื่อนานวันเข้าความเครียดนั้นก็จะสะสมเป็นความเครียดเรื้อรัง ตัวอย่างความเครียดเรื้อรัง

ความเครียดที่ทำงาน

ความเครียดที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล

ความเครียดของแม่บ้าน

ความเหงา

ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความเครียด

เมื่อมีภาวะกดดันหรือความเครียดร่างกายจะฮอร์โมนที่เรียกว่า cortisol และ adrenaline ฮอร์โมนดังกล่าวจะทำให้ความดันโลหิตสูงและหัวใจเต้นเร็วเพื่อเตรียมพร้อมให้ร่างกายแข็งแรงและมีพลังงานพร้อมที่จะกระทำเช่นการวิ่งหนีอันตราย การยกของหนีไฟถ้าหากได้กระทำฮอร์โมนนั้นจะถูกใช้ไป ความกดดันหรือความเครียดจะหายไป แต่ความเครียดหรือความกดดันมักจะเกิดขณะที่นั่งทำงาน ขับรถ กลุ่มใจไม่มีเงินค่าเทอมลูก ความเครียดหรือความกดดันไม่สามารถกระทำออกมาได้เกิดโดยที่ไม่รู้ตัว ทำให้ฮอร์โมนเหล่านั้นสะสมในร่างกายจนกระทั่งเกิดอาการทางกายและทางใจ

ผลเสียต่อสุขภาพ

ความเครียดเป็นสิ่งปกติที่สามารถพบได้ทุกวัน หากความเครียดนั้นเกิดจากความกลัวหรืออันตราย ฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจะเตรียมให้ร่างกายพร้อมที่จะต่อสู้ อาการทีปรากฏก็เป็นเพียงทางกายเช่นความดันโลหิตสูงใจสั่น แต่สำหรับชีวิตประจำวันจะมีสักกี่คนที่จะทราบว่าเราได้รับความเครียดโดยที่เราไม่รู้ตัวหรือไม่มีทางหลีกเลี่ยง การที่มีความเครียดสะสมเรื้อรังทำให้เกิดอาการทางกาย และทางอารมณ์

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)เลขที่ 33

สาเหตุของการมีพุง แต่ไม่ใช่เพราะไขมัน

ทราบหรือไม่ว่า การมีพุงอาจจะไม่ได้เกิดจากไขมันก็ได้

สาเหตุของพุงป่องไม่ใช่จากการรับประทานเพียงอย่างเดียว และคนพุงป่องก็ไม่ได้แปลว่าอ้วนด้วย แต่อาจเป็นเพียงอาการบวมน้ำเท่านั้น

1. การแพ้อาหาร

บางครั้งอาการท้องบวมอาจเกิดจากอาการระคายเคืองหรือการติดเชื้อของระบบย่อยอาหารในช่องท้อง หรืออาจรวมถึงการรับประทานยาบางชนิดที่ทำให้บวมน้ำและยังรวมไปถึงการมีรอบเดือนด้วย แต่ถ้ารู้สึกว่าหน้าท้องบวมขึ้นผิดปกติหลัง ทานอาหารบางชนิด ให้สันนิษฐานได้ว่าน่าจะมีอาการแพ้อาหารเข้าให้แล้ว จากสถิติพบว่าอาหารจำพวกแป้งและนมมีโอกาสทำให้เกิดอาการแพ้และบวมมากที่สุด

2.อาหารลดน้ำหนัก

คนที่ชอบหวังพึ่งอาหารลดน้ำหนักจำพวกโลว์-แฟ้ต หรือแฟ้ต-ฟรีมักจะมีปัญหาพุงป่อง เนื่องจากคิดว่ามันเป็นอาหารแคลอรี่ต่ำ จึงสามารถกินมากกว่าปกติ อาหารพวกนี้อาจมีพลังงานน้อยกว่าปกติ แต่มันก็ไม่ได้น้อยขนาดนั้น ทางที่ดีหันมารับประทานผักผลไม้ให้มากขึ้นจะดีกว่า รวมทั้งรับประทานอาหารที่มีเอนไซม์ช่วยย่อย อาทิ น้ำมะนาว น้ำส้มสายชูสกัดจากแอ๊ปเปิ้ล หรือผักสดต่าง ๆ

3. กินช้า ๆ แต่บ่อย ๆ

ค่อย ๆ เคี้ยวอาหารช้า ๆ เพื่อให้ประสาทรับรู้ค่อย ๆ รู้สึกอิ่ม และในแต่ละมื้ออย่ากินให้เยอะจนอิ่มแน่นท้อง ควรแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อย่อย ๆ แต่อย่ากินขนมจุบจิบจำพวกขนมนมเนยต่าง ๆ เลือกกินผลไม้หรือธัญพืช เมื่อหิวระหว่างมื้อจะดีกว่า

4. ดื่มน้ำให้มาก

อาการบวมน้ำนี้ ควรดื่มน้ำให้ได้อย่าง ต่ำ 8 แก้วต่อวัน แต่วิธีการดื่มนั้นอย่าดื่มหมดแก้วในคราวเดียวควรจิบ น้ำบ่อย ๆ เรื่อย ๆ เพราะการที่ดื่มน้ำแก้วใหญ่ในคราวเดียว จะทำให้กระเพาะปัสสาวะขยายใหญ่ ถ้าจะให้ดีลองเลือกดื่มชาสมุนไพร อาทิ ชาเป็ปเปอร์มินต์ หรือชาคาโมไมล์แทนน้ำเปล่า โดยเฉพาะการดื่มในช่วงหลังอาหาร จะช่วยให้อาหารที่รับประทานเข้าไป ย่อยได้ดีขึ้นด้วย

อาหารสำหรับคนเป็นโรคความดันโลหิตสูง

การกินของว่างเป็นประโยชน์ต่อผู้สูงอายุได้เช่นกัน เพราะนอกจากจะช่วยเสริมสารอาหารแล้ว หากรู้จักเลือกให้ถูกกับโรคก็มีส่วนช่วยในการเยียวยาโรค ของว่างที่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง

สาหร่ายทะเล

มีกรดไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งผลการวิจัยบอกว่าเป็นไขมันที่ช่วยปกป้อง หัวใจ ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้คล่องขึ้น ลดความดันเลือดได้

กล้วยแปรรูปต่างๆ

มีโพแทสเซียมสูง ซึ่งมีการศึกษาด้านโภชนาการเพื่อยับยั้งความ ดันโลหิตสูงยืนยันว่าอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงช่วยแก้ปัญหาความดันเลือดได้

ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ

เป็นอาหารที่มีแมกนีเซียมสูง มีส่วนในการช่วยลดความดันเลือด กินถั่วคั่วต่างๆ จะเป็นถั่วอบถั่วคั่วธรรมดา หรือสูตรที่ผสมสมุนไพรด้วยยิ่งดี เพราะทำให้ได้สารประกอบซัลเฟอร์รสเผ็ดฉุนในกระเทียมและหัวหอมช่วยขยายหลอดเลือด และลดแรงบีบตัวและแรงคลายตัว

ปลาเล็กปลาน้อย

ปลาที่กินได้ทั้งตัว มีการศึกษาประชากรพบว่าถ้ามีปริมาณ แคลเซียมในร่างกายต่ำ ทำให้เสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูงมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีปฏิกิริยาไวต่อเกลือ และผู้สูงอายุ กินปลาเล็กปลาน้อยทอด

อาหารเหล่านี้และดีอย่างนี้ นอกจากจะอร่อยได้สุขภาพแล้ว ยังเคี้ยวเพลินจนหายเครียด ช่วยลดความดันได้อีกทางด้วย

ลดระดับโคเลสเตอรอลด้วยอาหาร

การรับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการเป็นรากฐานสำคัญของการป้องกัน และรักษาภาวะโคเลสเตอรอลสูงในเลือด ดังนั้นทุกท่านควรเข้าใจถึงแนวทางในการบริโภคอาหารอย่างถูกต้อง เพื่อควบคุมระดับโคเลสเตอรอลในเลือด และต้องมีความตั้งใจจริงที่จะปฏิบัติให้ได้ในชีวิตประจำวัน เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง หลีกเลี่ยงโรคร้ายต่าง ๆ ซึ่งมีภาวะโคเลสเตอรอลสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ เช่น โรคหลอดเลือดแดงแข็ง โรคหัวใจขาดเลือด

หลักการบริโภคอาหารที่สำคัญเพื่อป้องกันและลดระดับโคเลสเตอรอลสูงในเลือด

รับประทานโคเลสเตอรอลไม่เกินวันละ 300 มิลลิกรัม โคเลสเตอรอลมีเฉพาะในอาหารที่มาจากสัตว์เท่านั้นมีมากในอาหารบางชนิด เช่น ไข่แดง เครื่องในสัตว์ มันสัตว์ สัตว์น้ำบางชนิด จึงควรหลีกเลี่ยงรับประทานอาหารเหล่านี้ในปริมาณมาก

รับประทานอาหารในแต่ละวันซึ่งให้พลังงานรวมแล้วเพียงพอต่อการรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยผู้ใหญ่ควรมีดัชนีความหนาของร่างกายประมาณ 20.0-24.9 กิโลกรัม/ตารางเมตร โดยคำนวณจากน้ำหนักตัวหน่วยเป็นกิโลกรัม หารด้วยส่วนสูง หน่วยเป็นเมตร ยกกำลังสอง เช่น ถ้าใครมีน้ำหนัก 50 กิโลกรัม ส่วนสูง 1.5 เมตร จะได้ดัชนีความหนาของร่างกาย = 50/(1.5) 2 = 22.2 กิโลกรัมต่อตารางเมตร แสดงว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ

หลีกเลี่ยงรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น กะทิ ไขมันจากสัตว์ หนังสัตว์ เนื้อสัตว์ที่มีมันติดมาก ๆ เช่น หมูสามชั้น เพราะกรดไขมันอิ่มตัวส่วนใหญ่ ทำให้ระดับโคเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น

รับประทานอาหารที่มีกรดไขมันไลโนเลอิก (linoleic acid) โดยสม่ำเสมอ ซึ่งพบได้ประมาณร้อยละ 50 ในน้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด การรับประทานอาหารที่มีกรดไขมันไลโนเลอิกประมาณร้อยละ 7-10 ของพลังงานที่ได้รับ (เช่น วันหนึ่งต้องการพลังงาน 2,000 กิโลแคลอรี่ ควรได้กรดไลโนเลอิกประมาณ 16-22 กรัม ซึ่งได้จากน้ำมันถั่วเหลืองประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ) จะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดได้ เพราะมีการเปลี่ยนโคเลสเตอรอลอิสระ เป็นโคเลสเตอรอลไลโนเลอิกเพิ่มขึ้น ทำให้มีการเผาผลาญโคเลสเตอรอลที่ตับเพิ่มขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าท่านมีโคเลสเตอรอลสูงในเลือดจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น กรรมพันธุ์ โรคบางชนิด ท่านต้องรับประทานยาลดโคเลสเตอรอล และรักษาโรคต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุให้มีโคเลสเตอรอลสูงในเลือดควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารให้ถูกต้อง โภชนบำบัดจะช่วยเสริมผลการรักษาให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น และลดปริมาณการรับประทานยาลงได้

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)เลขที่ 33

ข้าวกล้องคืออะไร

คือข้าวที่สีเอาเปลือก (แกลบ) ออกโดยที่ยังมีจมูกข้าว และเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว (รำ) อยู่ ข้าวกล้องจะมีสีน้ำตาลอ่อน ซึ่งจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวนี้มีคุณค่าอาหารที่มีประโยชน์มาก สำหรับข้าวขาวที่เรากินๆ กันอยู่นั้น เป็นข้าวที่เกิดจากการขัดสีหลายๆ ครั้ง จนเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวและจมูกข้าวหลุดออกไป จนเหลือแต่เนื้อในของข้าว ข้าวกล้องบางคนเรียกกันติดปากว่า ข้าวซ้อมมือหรือข้าวแดง เนื่องจากในสมัยโบราณ ชาวบ้านใช้วิธีตำข้าวกินกันเอง จึงเรียกว่า ข้าวซ้อมมือ แต่ปัจจุบันเราใช้เครื่องจักรสีข้าวแทน จึงเรียกข้าวที่สีเอาเปลือกออกนี้ว่า ข้าวกล้อง ข้าวกล้องมีโปรตีนประมาณ 7-12% (แล้วแต่พันธุ์ข้าว) นักค้นคว้าชื่อ โรสเดล ( Rosedale ) ได้วิเคราะห์ว่า การขัดสีข้าวกล้องจนมีสีขาว จะทำให้โปรตีนสูญหายไปประมาณ 30%

ประโยชน์มากมายของการกินข้าวกล้อง

• ได้วิตามินบีรวมช่วยป้องกันและบรรเทาอาหารอ่อนเพลีย แขน ขาไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ โรคผิวหนังบางชนิด บำรุงสมองทำให้เจริญอาหาร

• ได้วิตามินบี 1 ซึ่งถ้ากินเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคเหน็บชาได้

• ได้วิตามินบี 2 ป้องกันโรคปากนกกระจอก

• ได้ฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน

• ได้แคลเซียม ทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว

• ได้ทองแดง สร้างเมล็ดโลหิต และเฮโมโกลบิน

• ได้ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง

• ได้โปรตีน ช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ

• ได้ไขมัน ให้พลังงานแก่ร่างกาย ไขมันในข้าวกล้องเป็นไขมันที่ดี ไม่มีโคเรสเตอรอล

• ได้ไนอะซิน ช่วยระบบผิวหนังและเส้นประสาท และป้องกันโรคเพลลากรา (โรคที่เกิดจากการขาดไนอะซิน จะมีอาการท้องเสีย ประสาทไหว โรคผิวหนัง)

• ได้คาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานแก่ร่างกาย

• ได้กากอาหาร ข้าวกล้องมีกากอาหารมาก ซึ่งจะทำให้ท้องไม่ผูก และช่วยป้องกันมะเร็งในลำไส้อีกด้วย

• วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ในข้าวกล้องจะช่วยให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

วิธีบำบัดอาการปวดหัวด้วยวิธีธรรมชาติ

1. บำบัดด้วยน้ำ

วางถุงน้ำแข็งบนหน้าผาก หรือผ้าเย็นๆ โพกศีรษะก็ได้ ทำไปพร้อมกับการแช่เท้าในน้ำอุ่น โดยค่อยๆ เพิ่มความร้อนของน้ำขึ้น ใช้เวลา 15-20 นาที อาการปวดหัวจะทุเลาลง

2. งดอาหาร

อาหารแสลงบางชนิด เช่น เนื้อรมควัน ช็อคโกแลต ผงชูรส ไส้กรอก เบคอน และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ที่มักเป็นสาเหตุให้เกิดอาการปวดหัวได้

ช็อกโกแลต ผลการวิจัยพบว่า ผู้ป่วยที่เป็นไมเกรนจะมีอาการกำเริบขึ้นทุกครั้งที่กินช็อกโกแลต คนที่ชื่นชอบการกินช็อกโกแลต รายงานวิจัยชี้ว่าช็อกโกแลตชนิดขาวกินได้ไม่ทำให้ปวดหัว

ไวน์แดง ผลการวิจัยพบว่า คนที่ดื่มไวน์แดง จะเกิดอาการปวดหัวอย่างรุนแรง บางรายมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนได้ ผู้ที่มีอาการไมเกรนเรื้อรังควรหลีกเลี่ยงไวน์แดงจะดีกว่า

กุนเชียง เนื้อแดดเดียว เป็นอาหารที่ผ่านกรรมวิธีทำให้มีสีแดง โดยเติมดินประสิวลงไป ซึ่งก็คือสาร Nitrite ที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดอาการปวดหัว

ลูกชิ้นเด้ง ในผู้ผลิตบางรายจะใส่สารบอแร็กซ์ ซึ่งเป็นสารอันตราย ทำให้บางคนเกิดอาการปวดหัว คลื่นไส้ และอาเจียนได้ สารให้ความหวานแทนน้ำตาล สำหรับคนที่มีอาการปวดหัวเรื้อรัง ควรหลีกเลี่ยง เพราะผลการวิจัยระบุว่า ผู้ป่วยไมเกรนจะมีอาการกำเริบขึ้นเมื่อกินสารชนิดนี้เข้าไปแม้อาการปวดหัว อาจจะไม่ได้เกิดจากอาหารเหล่านี้โดยตรง แต่สำหรับคนที่เป็นโรคปวดหัวเรื้อรังควรหลีกเลี่ยงจะดีกว่า

3. ใช้วิตามิน

การขาดวิตามิน B – COMPLEX อาจทำให้เกิดอาการปวดหัวได้ คุณควรทานอาหารที่มีวิตามินบีมากๆ เช่น ผักโขม กะหล่ำปลี ข้าวซ้อมมือ และอาหารธัญญพืชต่างๆ

4. ขิง

มีงานวิจัยพบว่า ขิงมีคุณสมบัติในการแก้ไมเกรน หากมีอาการปวดหัวในช่วงบ่ายๆ ลองจิบน้ำขิงอุ่นๆ สักแก้ว ถ้าไม่สะดวกจะต้มเองจะเลือกขิงผงบรรจุซองก็ได้

5. น้ำมันหอม

น้ำมันหอมกลิ่นลาเวนเดอร์มีคุณสมบัติในการลดความกระวน กระวายใจได้ ลองนำมานวดบริเวณขมับ ไรผม และต้นคอจะช่วยผ่อนคลาย

6. นวด

การนวดจะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือก จะทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ คุณควรหาใครสักคนมาคอยนวดที่ต้นคอและช่วงไหล่หรือจะนวดเองก็ได้

7. ไปเดินเล่นสักห้านาที

การเดินเล่นจะทำให้ร่างกายหลั่งสารเอนโดฟินส์ ซึ่งเป็นยาแก้ปวดขนานเอก

8. ดนตรีบำบัด

ถ้าคุณปวดหัวจากความเครียด ในทางการแพทย์ค้นพบว่า ดนตรีช่วยบำบัดอาการได้ โดยเฉพาะดนตรีที่มีท่วงทำนองเรียบง่ายฟังสบายๆ อาจมีเสียงจากธรรมชาติ เช่น เสียงนกร้อง เกลียวคลื่น เสียงนก หรือลมฝน จะช่วยกล่อมจิตใจให้สงบนิ่งขึ้น ช่วยลดความตึงเครียดได้เป็นอย่างดี

เป็นวิธีแก้อาการปวดหัวแบบธรรมชาติกันจริงๆ ใครชอบแบบไหนก็ลองทำดู...รับรองว่าไม่มีผลข้างเคียงใดๆ แต่ถ้าทำทุกวิธีแล้วยังไม่หาย ก็ถึงเวลาที่คุณควรไปพบแพทย์ได้แล้ว

ปวดหัวจากความเครียดมีอาการปวดบริเวณรอบศีรษะ รู้สึกมึนๆ เหมือนสมองถูกบีบ มักเกิดจากความเครียด หรืออาการอ่อนเพลีย การพักผ่อนให้เพียงพอ หรือนวดบริเวณต้นคอและขมับจะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวชนิดนี้ได้

ชนิดและอาการปวด

ปวดหัวจากแอลกอฮอล์

มักมีอาการปวดบริเวณเบ้าตา ถ้าคืนไหนคุณดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากเกินไป ก่อนเข้านอนควรจะดื่มน้ำตามมากๆ เนื่องจากน้ำจะช่วยต้านฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ได้ ส่วนรุ่งเช้าควรดื่มน้ำหรือน้ำผลไม้ จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวจากเมาค้างได้

ปวดหัวจากไซนัส

จะมีอาการปวดบริเวณดั้งจมูกและเบ้าตา วิธีการบรรเทาอาการปวดหัวแบบนี้ ต้องพึ่งยาลดน้ำมูก เพื่อให้จมูกโล่งหรืออาจจะใช้วิธีประคบด้วยผ้าชุบน้ำอุ่น การจิบเครื่องดื่มอุ่นๆ ก็ช่วยให้รู้สึกดีขึ้น แต่ถ้าคุณมีไข้ควรจะเข้าพบแพทย์เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อน

ปวดหัวจากคาเฟอีน

จะมีอาการปวดตุ๊บๆ บริเวณด้านบนของศีรษะ อาการส่วนใหญ่จะคล้ายๆ กับปวดหัวที่เกิดจากความเครียด ถ้าคุณปวดหัวแบบนี้การพักผ่อนให้เต็มอิ่มจะช่วยได้ดีทีเดียว การหลีกเลี่ยง เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน และการนอนเป็นเวลาจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการปวดหัวชนิดนี้ได้ แต่ถ้าคุณติดกาแฟ ก็ควรจะดื่มให้เป็นเวลา (เวลาเดียวกันทุกวัน) และดื่มเพียงวันละ 1-2 แก้วจะดีกว่า

ปวดแบบไมเกรน

อาการปวดตุ๊บๆ บริเวณศีรษะข้างใดข้างหนึ่ง อาการคลื่นไส้ อาเจียน มึนๆ งงๆ ในเวลาที่ต้องใช้ความคิดมากๆ อาการเหล่านี้บ่งชี้ได้ว่าคุณมีอาการปวดไมเกรนร่วมอยู่ด้วย โดยมีความเชื่อว่าเกิดจากระดับฮอร์โมนผิดปกติ และอาหารบางชนิดที่อาจทำให้บางคนเกิดอาการไมเกรนกำเริบมากขึ้นได้ เช่น ไวน์แดง เนื้อสัตว์แปรรูป ผงชูรส

การเปลี่ยนแปลงของอากาศ เช่นร้อน อบอ้าวเกินไป ความหิว ความตื่นเต้น การเดินทางหลายๆ แห่งในช่วงเวลาสั้นๆ อาจทำให้เกิดไมเกรนได้ คนที่เป็นไมเกรนบ่อยๆ จึงควรหมั่นสังเกตว่าเกิดจากปัจจัยอะไร จะได้หลีกเลี่ยงได้ การเข้านอนเป็นเวลา และหลับให้เต็มตา จะช่วยผ่อนคลาย อาการไมเกรนได้ส่วนหนึ่ง

ส่วนเซ็กซ์ที่สุขสมนั้น มีงานวิจัยยืนยันว่าเป็นยาขนานเอกในการบำบัดอาการไมเกรนได้ดีทีเดียว

คนที่มีอาการปวดหัวเรื้อรัง ปวดหัวบ่อยๆ นักวิจัยเขาแนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสาร Tyramines และ Nitrite เพราะบางคนอาจจะมีความไวต่อสารสองชนิดนี้ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ของหลอดเลือดและระบบประสาททำให้เกิดอาการปวดหัวได้

น.ส.ปาริชาติ กันทะวงค์ เลขที่10 มฟาร์อีสเทอร์น

หลักการออกกำลังกายที่ถูกต้อง

1. ความหนักของการออกกำลังกาย คือ ออกกำลังกายตามสภาพหัวใจของท่าน

ระยะที่ 1 สำหรับผู้ที่ไม่ได้ออกกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อควบคุมน้ำหนัก ลดความดันโลหิต ( 55 – 65 % )

ระยะที่ 2 สำหรับผู้ที่ผ่านระยะที่ 1 มาแล้ว เพื่อลดไขมัน ลดความดันโลหิต หัวใจแข็งแรง ( 66 – 75 % )

ระยะที่ 3 สำหรับผู้ที่ผ่านระยะที่ 2 มาแล้ว เพื่อเล่นกีฬาอย่างสนุกสนาน หัวใจแข็งแรงขึ้น ( 76 – 85 % )

ระยะที่ 4 สำหรับฝึกนักกีฬาเท่านั้น เพื่อการแข่งขันอย่างมีประสิทธิภาพ ( 86 – 95 % )

วิธีคิดอัตราการเต้นของหัวใจ (ชีพจร) เพื่อใช้ในการออกกำลังกาย 220 – อายุ = ความเหนื่อยสูงสุด

ถ้าอายุ 42 ปี ความเหนื่อยสูงสุด = 220 – 42 = 178 ครั้ง / นาที

ระยะที่ 1 อัตราการเต้นของหัวใจ 55 – 65 % อยู่ระหว่าง 98 – 116 ครั้ง / นาที

ระยะที่ 2 อัตราการเต้นของหัวใจ 66 – 75 % อยู่ระหว่าง 117 – 134 ครั้ง / นาที

ระยะที่ 3 อัตราการเต้นของหัวใจ 76 – 85 % อยู่ระหว่าง 135 – 151 ครั้ง / นาที

ระยะที่ 4 อัตราการเต้นของหัวใจ 86 – 95 % อยู่ระหว่าง 152 – 169 ครั้ง / นาที

ผู้ที่ไม่ใช่นักกีฬาควรออกกำลังกายโดยอัตราการเต้นของหัวใจ ไม่เกิน 85 %

2. ควรออกกำลังกายให้หัวใจได้ทำงานอยู่ในระยะที่ต้องการ นานอย่างน้อย 15 นาทีต่อเนื่องกัน

3. ควรออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 วัน และควรออกกำลังกายเพื่อพัฒนาความแข็งแรง

ของกล้ามเนื้อควบคู่ไปด้วย

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์) 006 เลขที่ 30

วิธีล้างเครื่องสำอางที่ถูกต้อง

ผิวรอบดวงตา

ผิวรอบดวงตาเป็นบริเวณที่บอบบางมาก เวลาทำความสะอาดแนะนำให้หยดผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใส่ลงสำลีพอประมาณจากนั้นเช็ดออกอย่างเบามือ ห้ามถูไปถูมาเด็ดขาด ถ้าเป็นตรงเปลือกตา ก็ค่อยๆ เช็ดลงมาจนถึงตรงขอบตา เพื่อจะรูดมาสคาร่าให้ติดออกไปตามปลายขนตา สำหรับตรงขอบตา ก็แนะนำให้พับสำลีเป็นมุมสามเหลี่ยมเช็ดออกอย่างเบาๆ

ริมฝีปาก

เมื่อพับสำลีเป็นสามเหลี่ยมแล้ว ก็ใช้ตรงมุมเช็ดตามร่องปาก โดยเช็ดในแนวดิ่งจากด้านในออกมาตรงด้านนอกริมฝีปาก ไม่แนะนำให้ถูในแนวขวาง เพราะจะทำให้ริมฝีปากแตกและถ้าทำซ้ำๆ นานๆ ไป มีผลให้ริมฝีปากเป็นร่องและมีรอยย่นเหี่ยว

ผิวหน้า

เริ่มจากบริเวณที-โซนก่อน โดยเริ่มวนจากบริเวณหน้าผาก จมูกและคาง และควรใช้นิ้วนางและนิ้วกลางสำหรับคลึงวนในการทำความสะอาดโดยคลึงวนออกตามจุดต่างๆ บนผิวหน้า ถ้าคุณเลือกใช้คลีนซิ่งออยล์ ก็สามารถล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดได้เลย แต่ถ้าเป็นคลีนซิ่งเจลหรือน้ำนม คุณต้องซับหน้าด้วยทิชชูก่อน แล้วค่อยตามด้วยน้ำสะอาดและโฟมล้างหน้า

การกินของ

การดูแลรักษาสุขภาพแบบของการแพทย์แผนไทย ในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงแบบนี้ อากาศร้อนขึ้นมีฝนตกเกือบทุกวัน อาจทำให้ร่างกายรู้สึกเย็น แบบชื้น ๆ ตามทฤษฏีของไทยบอกว่า

" จะทำให้ธาตุลมของร่างกายอ่อนแอ และ อาจะเป็นเหตุให้ร่างกายคุณป่วย

เป็นโรคไข้หวัด การย่อยอาหารไม่ดี มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ"

ดังนั้น การเสริมอาหารโดยใช้สมุนไพรที่มีรสเผ็ดร้อน เพื่อช่วยปรับธาตุลมให้กลับคืนเข้ามาสู่สมดุล และมีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น เพื่อเป็นแนวทางการป้องกันก่อนที่จะเกิดโรคภัยไข้เจ็บ

สมุนไพรที่มีรสเผ็ดร้อนหลายชนิด โดยเฉพาะ "ขิง" จัดเป็นสมุนไพรรสเผ็ดร้อน ที่หลายคนรู้จัก และรับประทานกันมาเป็นเวลานาน สามารถประกอบอาหารได้หลายอย่าง ในประเทศอินเดียใช้ขิง ในการบำบัดรักษาสุขภาพมานานกว่า 2,000 ปีแล้ว

ในสรรพคุณของขิงจะมีสารออกฤทธิ์สำคัญคือ "จิงเจอรอล" "โชกอร " ใช้ช่วยบรรเทาอาการ

ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ บางตำรา มารดาที่ให้นมบุตร ให้รับประทานขิงมาก ๆ สารสำคัญ จากขิงสามารถผ่านไปยังน้ำนม ช่วยทำให้ทารกไม่มีอาการปวดท้อง

นอกจากนั้น ในกรณีที่ท้องเสีย ให้ลดอาหารที่มีกาก อาหารแข็ง และการดื่มน้ำขิงจะช่วยทำให้

การอักเสบ ที่เกิดจากพิษของเชื้อโรคลดลงช่วยขับเชื้อโรค ดังนั้น หากว่าอาการท้องเสียมีความ

รุนแรง ควรรีบ ไปพบแพทย์จะดีกว่า ส่วนผู้ที่เจ็บป่วย เป็นหวัด หรือ ปวดศรีษะ การรับประทาน

ขิงสด ๆ จะช่วย ได้ดีมาก

สรรพคุณของขิง ยังมีอีกมากมาย เช่น ขิงยังช่วยแก้อาการคลื่นไส้ อาเจียน เวลาที่อาหารเป็นพิษ

มีอาการ คลื่นไส้ ให้คุณหยุดอาหาร และ พยายามขับของเสียให้หมด แล้วดื่มน้ำขิง ซึ่งจะช่วยลดอาการ

คลื่นไส้ อาเจียน โดยอาจนำขิงสดมาคั้นน้ำ ด้วยเครื่องปั่นที่แยกกาก แล้วนำน้ำขิงสด 1 - 2 ช้อนชา มาผสมน้ำผึ้งเจือน้ำอุ่น และเติมเกลือเล็กน้อย จะทำให้รสดีขึ้น ช่วยแก้อาการอาเจียนได้เป็นอย่างดี

ส่วนเมนูอาหารสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับขิงนั้น อาหารราคาไม่แพงและไม่ควรปฏิเสธ เช่น ไก่ผัดขิง

ไก่ต้มขิง ปลาเก๋าทอดต้มขิง วิธีทำก็ง่าย คือแค่คุณทอดปลาเก๋า ให้เหลืองสุก ใส่น้ำต้มแล้ว ใส่ขิงซอย ลงไป ปรุงรสเค็มใส่มะนาวหรือบ๊วยดอง จะออกรสเปรี้ยวแกมเผ็ด เหมาะที่จะซดน้ำแกงร้อน ๆ หรือทำปลา ต้มส้มใส่ขิงปรุงด้วยน้ำมะขามก็ได้

สำหรับเมนูตอนเช้า โดยเฉพาะโจ๊กให้ใส่ขิงเยอะ ๆ จะยิ่งช่วยให้คุณสบายท้อง หรือทำปลาต้มส้ม ใส่ขิงปรุงรสด้วยน้ำมะขาม ก็ได้

สำหรับเมนูตอนเช้า โดยเฉพาะโจ๊กให้ใส่ขิงเยอะ ๆ จะยิ่งช่วยคุณสบายท้องได้ตลอดวัน อาหารว่าง

เลือกรับประทาน (อย่าง) เมี่ยงคำ ที่นอกจากจะมีส่วนประกอบสมุนไพรหลายชนิด เช่นใบพลู หอมแดง

มะพร้าวคั่ว และขิงได้ทั้งประโยชน์และความอร่อย ที่สำคัญทานเท่าไรก็ไม่อ้วนแน่นอน

นอกจากนี้ การเลือกดื่มน้ำขิงร้อน ๆ โดยนำขิงแก่มาต้มใส่น้ำตาลเล็กน้อยดื่มจะทำให้คุณรู้สึกอบอุ่น ป้องกันอาการหวัดได้ดี

ภูมิแพ้ทางอาหาร ร้ายแรงแค่ไหน?

หลายคนทราบหรือไม่ว่าโรคภูมิแพ้นั้น มีปฏิกิริยาที่ไวต่อสารก่อภูมิแพ้ แล้วคุณละคิดว่าตัวเองเป็นภูมิแพ้หรือไม่ ?

โ ร ค ภู มิ แ พ้ คื อ อ ะ ไ ร

โรคภูมิแพ้ คือโรคที่เกิดจากปฏิกิริยาภูมิไวเกินต่อสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งในคนปกติไม่มีปฏิกิริยานี้เกิดขึ้น ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ มีปฏิกิริยาภูมิไวเกินต่อ ฝุ่น ตัวไรฝุ่น เชื้อราในอากาศ อาหาร ขนสัตว์ เกสรดอกไม้ เป็นต้น สารที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิไวเกินนี้เรียกว่า 'สารก่อภูมิแพ้' โรคภูมิแพ้ สามารถแบ่งได้ตามอวัยวะที่เกิดโรคได้เป็น 4 โรคคือ โรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้,โรคแพ้อากาศ,โรคตาอักเสบจากภูมิแพ้,โรคหอบหืด,โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

จากข้อมูลเบื้องต้น ลองมาทำความรู้จัก "โรคภูมิแพ้ที่เกิดจากอาหาร" ร้ายแรงแค่ไหน

โรคภูมิแพ้ที่เกิดจากอาหาร อาจปรากฏอาการได้ในหลายระบบของร่างกาย โดยอาจเกิดเฉพาะในระบบใดระบบหนึ่งหรือร่วมกันหลายระบบก็ได้ ที่พบบ่อยได้แก่

ระบบผิวหนัง เช่น อาจเป็นลมพิษแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง มีอาการที่ผิวหนังอักเสบ หรือบวมตามผิวหนัง เป็นต้น ที่พบบ่อยในเด็ก พบว่าการแพ้ไข่ หรือนมวัว มักทำให้เกิดผิวหนังอักเสบในทารก ส่วนการแพ้อาหารทะเล เช่น กุ้ง ปู ปลา มักทำให้เกิดลมพิษแบบเฉียบพลัน สารผสมในอาหารเช่นสี สารกันบูด หรือเชื้อราที่ปนเปื้อน อาจทำให้ลมพิษเรื้อรังมีอาการกำเริบขึ้นได้ เป็นต้น

ระบบทางเดินอาหาร อาจมีปากอักเสบ แผลในปาก ปวดท้อง ท้องเดิน เลือดออกในทางเดิน อาหาร หรือลำไส้อักเสบ เป็นต้น

ระบบหายใจ อาจมีจมูกอักเสบ หลอดลมอักเสบ การบวมของกล่องเสียงและหลอดลม หรือหืดได้ ซึ่งมักเกิดร่วมกับอาการในระบบอื่นด้วย

ชนิดของโรคภูมิแพ้จากอาหารตามระยะเวลาที่เกิดอาการหลังได้รับอาหารแล้ว อาจแบ่งได้เป็น

ชนิดที่มีอาการเฉียบพลัน คือเกิดอาการหลังรับประทานภายใน 2-3 นาที ถึง 1 ชั่วโมง โดยอาจมีอาการคันปากและเพดาน ลมพิษขึ้น หากอาการรุนแรงอาจถึงกับช็อคหมดสติได้

ชนิดมีอาการช้า อาจเกิดอาการภายหลังรับประทานอาหารเป็นชั่วโมงหรือเป็นวันได้

อาหารชนิดใดที่เป็นตัวการของการเกิด โรคภูมิแพ้ที่เกิดจากอาหาร

ในเด็ก อาหารที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้มีดังนี้คือ นมวัว ไข่ ถั่วลิสง ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ปลา

ในผู้ใหญ่ อาหารที่เป็นสาเหตุ คือ นม อาหารทะเล ปลา ถั่ว อย่างไรก็ตามอาหารชนิดอื่นนอกเหนือจากนี้ ก็มีโอกาศแพ้ได้

อาการของโรคภูมิแพ้ที่เกิดจากอาหาร และสาเหตุอื่นๆ

อาการของโรคภูมิแพ้ที่เกิดจากอาหาร อาจเกิดขึ้นกับระบบใดๆก็ได้ในร่างกาย ในบางคน อาจมีอาการทันทีที่รับประทานอาหารที่แพ้เข้าไป บางคน อาจมีอาการหลังจากนั้นประมาณ 1-2 ชั่วโมง อาการที่พบอาจเป็นอาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน ปวดท้องแบบบิด อาการทางผิวหนัง เช่น การมีผื่นขึ้น ริมฝีปาก ลิ้น ช่องปากบวม อาการทางระบบทางเดินหายใจเช่น หายใจมีเสียงวี๊ด หายใจลำบาก อึดอัด แน่นในลำคอ อาการที่รุนแรงที่สุดคือ อาการช็อค ซึ่งเกิดเนื่องจาก ปฏิกิริยาภูมิแพ้ที่รุนแรง ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างรีบด่วน

อาการต่างๆ ที่กล่าวมานี้ เป็นอาการที่เกิดจาก ปฏิกิริยาภูมิแพ้อย่างเดียวหรือ คำตอบคือ ไม่ใช่ อาการต่างๆ เหล่านี้ อาจเกิดจากสาเหตุอื่นที่ไม่เกี่ยวกับภูมิแพ้ ดังตัวอย่างที่กล่าวไว้เรื่องท้องเดินจากการดื่มนม ซึ่งมีสาเหตุมาจากการขาดเอนไซม์ แลคโตส ซึ่งใช้ในการย่อยนม เป็นต้น

สำหรับสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เกิดอาการคล้ายโรคภูมิแพ้ ได้แก่ อาการสั่นจากอาหารหรือเครื่องดื่มที่ผสม คาเฟอีน อาการหอบ ที่เกิดจากการสารประกอบอาหารเช่นผงชูรส สารพิษที่ถูกปล่อยจากเชื้อโรคบางชนิดที่อยู่ในอาหาร ทำให้เกิดอาการท้องเดิน การติดเชื้อพยาธิในทางเดินอาหาร โรคของระบบทางเดินอาหารเอง เช่น โรคกระเพาะ โรคทางเดินน้ำดี และสาเหตุทางจิตใจ

การวินิจฉัย และสาเหตุที่ทำให้แพ้

ถ้าท่านไม่แน่ใจว่า ท่านเป็นโรคแพ้อาหาร จริงๆ หรือไม่ ลองปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้โดยตรง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะทำการซักประวัติคุณอย่างละเอียด คุณจะได้รับคำถามต่างๆมากมายเกี่ยวกับอาการที่คุณเป็น แพทย์อาจให้คุณลองงดอาหารที่สงสัยว่าจะแพ้ และสังเกตุว่า อาการของคุณดีขึ้นหรือไม่ การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนังไม่ค่อยได้ประโยชน์มากนัก สำหรับสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นอาหาร

การรักษาที่สำคัญที่สุด คือ หาอาหารที่แพ้ให้พบ และหลีกเลี่ยงอาหารที่ร่างกายแพ้ ลองปรึกษาแพทย์ถึงวิธีหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้ จากแพทย์ที่ทำการรักษาท่าน

การรักษาโรคภูมิแพ้ที่เกิดจากอาหาร ปัจจุบันการรักษาการแพ้อาหารที่ดีที่สุด คือหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่แพ้ และรับประทานสารอาหารทดแทน ่เช่น ถ้าแพ้นมวัว อาจใช้นมที่มีสูตรพิเศษซึ่งมีโปรตีนชนิดพิเศษแทน ปัจจุบัน เริ่มมีการจำหน่ายนมสำหรับทารกที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ ในประเทศไทยแล้ว โดยทั่วไป หลังจากเลี่ยงอาหารที่แพ้ มาแล้วช่วงหนึ่ง เช่นประมาณ 1-3 ปี ผู้ป่วยจะสามารถรับประทานอาหารเหล่านั้นได้

อาหารที่มักจะรับประทานได้ หลังจากเลี่ยงมาแล้วช่วงหนึ่ง ได้แก่ นมวัว และไข่ไก่ เนื่องจากร่างกายจะสามารถปรับตัวได้ โดยที่ภูมิคุ้มกันของลำไส้ จะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้สารแพ้จากอาหารผ่านเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น ทำให้อาการแพ้ ลดความรุนแรงลง จากการศึกษาจากประเทศออสเตรเลีย พบว่า ร้อยละ 60 ของเด็กที่แพ้นมวัว จะสามารถรับประทานนมวัวได้โดยไม่มีปฏิกิริยา เมื่ออายุ 6 ปี

สำหรับผู้ป่วยบางคน เช่น ในผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่แพ้อาหารทะเล เช่นกุ้ง หรือถั่วลิสง และผู้ที่มีอาการแพ้ที่รุนแรง มักจะแพ้สารอาหารเหล่านั้นตลอดชีวิต และจะเกิดอาการซ้ำแล้วซ้ำอีก แม้ว่าจะเลี่ยงอาหารนั้นมานานแล้ว ผู้ป่วยบางคนที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรงอาจจะเกิดอาการได้ ถึงแม้กระทั่งได้กลิ่นหรือควันที่เกิดจากการประกอบอาหาร เช่นควันจากการปิ้งย่างอาหารทะเล ก็จะเกิดอาการได้โดยไม่ต้องรับประทานอาหารนั้นๆ

การรักษาสำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรง อาจจำเป็นต้องให้น้ำเกลือในกรณีที่เสียน้ำจากการถ่ายเหลวมากๆ หรือให้ยาฉีดพวก แอดดรีนาลีน ในรายที่มีอาการช็อค ในรายที่มีอาการทางผิวหนัง อาจให้ยาแก้แพ้ ยาต้านฮิสตามีน หรืออาจใช้ยาพวกเสตียรอยด์ในระยะสั้นๆ ผู้ที่มีอาการรุนแรง อาจต้องพกยาฉีดที่มียาแอดดรีนาลีน ชนิดบรรจุเสร็จไว้ติดตัว

วีระวัฒน์ (ภาคค่ำ) 12

ขณะป่วยควรออกกำลังกายหรือไม่

ขณะที่เจ็บป่วยไม่ควรออกกำลังกายเพราะจะทำให้โรคเป็นมากขึ้นควรจะพักจนอาการดีขึ้น แต่ถ้าท่านเป็นโรคเรื้อรังควรปรึกษาแพทย์ในการออกกำลังกาย

วีระวัฒน์(ภาคค่ำ) 12

จริงหรือไม่ที่การออกกำลังกายโดยการเดินดีพอๆกับการวิ่ง

การเริ่มต้นออกกำลังควรใช้วิธีเดินเนื่องจากจะไม่เหนื่อยมาก ยังลดน้ำหนักได้และอาการปวดข้อไม่มาก ส่วนการวิ่งจะเป็นการออกกำลังที่คุณเตรียมร่างกายไวพร้อมแล้วเพราะการวิ่งจะทำให้หัวใจเต้นเร็ว ทำให้เหนื่อย และทำให้ปวดข้อ ดังนั้นการออกกำลังโดยการเดินเหมาะสำหรับคนอ้วน หรือผู้ที่เริ่มออกกำลังกายแต่ถ้าผู้ที่ต้องการความฟิตของร่างกายควรออกกำลังโดยการวิ่ง

ผักผลไม้ 7 อย่าง ที่คุณผู้หญิง ไม่ควรพลาด

เพื่อสุขภาพพลานามัยที่ดีของคุณ สาวๆ ขอแนะนำผักผลไม้ 7 ชนิด สำหรับคุณผู้หญิง ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีสารที่เป็นประโยชน์แก่หญิงทุกวัย ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งงดงาม และยังช่วยชะลอความชราได้อีกด้วย ดังนี้

ลูกพรุน (Prunes)

ลูก พรุน เป็นแหล่งที่ดีของโปแตสเซียม เหล็กและไฟเบอร์ที่สำคัญพรุน ช่วยทำให้ผิวพรรณมีเลือดฝาด ผู้หญิงเราเมื่อผ่านช่วงสดใสของชีวิต คือวัยยี่สิบห้า ร่างกายก็จะเริ่มเสื่อมโทรม ไขมันเริ่มเข้าสะสมตามที่ต่างๆ มากมาย ใบหน้าที่เคยอวบอิ่มด้วยเลือดฝาด ก็เริ่มหมองคล้ำผิวพรรณจะเป็นสีชมพู- ระเรื่อหรือซีดโทรม เกิดได้หลายสาเหตุ เช่นผิวมีความหนามากขึ้นตามวัย จนมองไม่เห็น เลือดฝาด หรือเลือดไม่มีให้ฝาด คือเป็นโรคโลหิตจางนั่นเอง พรุนเป็นแหล่งธาตุเหล็กที่ดี พรุนแห้งหนึ่งขีดมีธาตุเหล็ก 2.78มิลลิกรัมและมีวิตามิน ซี ซึ่งช่วยในการดูดซึมธาตุต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย ดังนั้นหากคุณผู้หญิงอยากมีร่างกายแข็งแรง สมบูรณ์ริมฝีปากแดงสดเหมือนสตรอเบอรี่ แก้มแดงใสเหมือนลูกเชอรี่ โดยไม่ต้องใช้เครื่องสำอางดู เป็นคนที่มีสุขภาพดีสมบูรณ์ด้วยเลือดฝาด ลองรับประทานลูกพรุนสดๆ หรือลูกพลัมดูสิค่ะไม่เลวเลยทีเดียว

ถั่ว

ผู้หญิง ทุกคนอยากมีหุ่นสวยเพรียว ไม่มีไขมันส่วนเกินสะสม“ถั่วช่วยคุณได้ค่ะ ถั่วเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็ก วิตามินบี นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังค้นพบว่า เมื่อคุณรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ ชนิดที่ละลายน้ำได้ (ซึ่งถั่วมีอยู่แล้วมากมาย) ไฟเบอร์จะเคลือบผิวกระเพาะ ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและอิ่ม-นานความอยากอาหารจะลดลง ซึ่งแน่นอนว่ามีประโยชน์กับคุณสุภาพสตรี ที่ต้องการลดความอ้วนเป็นอย่างมาก

บรอคโคลี่

เป็น พืชอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะอย่างยิ่ง สำหรับคุณสุภาพสตรีทั้งหลาย เพราะบรอคโคลี่เป็นแหล่งซีลีเนียมตามธรรมชาติ ซึ่งเจ้าตัวซีลีเนียมนี้แหละค่ะ ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ (ซีลีเนียม จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง จึงทำให้ผิวดูอ่อนวัยนุ่มนิ่ม มีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว ) แถมยังช่วยลบริ้วรอยเหี่ยวย่นอีกด้วย

แอปเปิ้ล

มี สารสำคัญ คือ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ “เพคติน”แต่ที่น่าสนใจสำคัญคุณผู้หญิงทั้งหลายคือ เจ้าตัว “เพคติน”นี้มีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนัก และลดโคเลสเตอรอลหากคุณหิวจนตาลาย แต่ยังไม่ถึงเวลาอาหารแอปเปิ้ลสักลูก จะช่วยลดความหิวได้ เพราะแอปเปิ้ลมีแป้งและน้ำตาล ในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึง 75 % ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึม น้ำตาลพิเศษชนิดนี้ได้รวดเร็ว และนำไปใช้ประโยชน์ได้ ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนั้น ความอยากอาหารจึงลดลงทำให้คุณไม่รู้สึกหงุดหงิด หรือ อ่อนเพลีย แอปเปิ้ล 2-3 ผลต่อวัน ช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดได้ เพราะแอปเปิ้ลมีเพคตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ ผลจากการวิจัยชี้ว่า เมื่อกรดในทางเดินอาหารย่อยสลายไขมัน และแยกโคเลสเตอรอลออกมาเสร็จสิ้นแล้ว เพคตินจากแอปเปิ้ล จะไปคอยดักจับโคเลสเตอรอลเหล่านั้น และพาไปทิ้งก่อนที่จะถูกดูดกลับเข้าร่างกาย

กล้วยไข่

กล้วย ทุกชนิดดีต่อสุขภาพ แต่กล้วยไข่ดีเป็นพิเศษ ในเรื่องของสารต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักกันดี คือ เบต้าแคโรทีนโดยธรรมชาติ เมื่อเราอายุพ้นยี่สิบสองไปแล้ว ความเจริญเติบโตของร่างกาย จะเริ่มหยุดชะงัก ความเสื่อมในส่วนต่างๆ ของร่างกายก็จะเริ่มมาเยือนอย่างช้าๆ ขณะนั้นเองมีสองสิ่งที่สำคัญเกิดขี้นในร่างกายของเรา ซึ่งก็คือ สิ่งแรก เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์จะผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้น สิ่งที่สองความสามารถในการซ่อมแซม ส่วนที่สึกหรอของร่างกายจะลดลงเรื่อยๆ พร้อมกันนั้นความสามารถ ในการจำกัดอนุมูลอิสระ ( Detoxification )ก็ลดลงอย่างน่าตกใจเช่นกัน ดังนั้น กลยุทธ์ที่คุณจะสู้กับความแก่ด้วยตนเอง ก็คือ คุณต้องรับประทานอาหาร ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระให้มาก ซึ่งสารนี้เรารู้จักในชื่อที่ เรียกว่า แอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidants) ซึ่งในกล้วยไข่ 1 ขีด มีสารเบต้าแคโรทีนถึง 492 มิลลิกรัม

ฝรั่ง

คุณ ผู้หญิงทั้งหลายทราบหรือไม่คะว่าฝรั่ง 1 ขีดมีวิตามินซีสูงถึง180 มิลลิกรัม วิตามินซี มีบทบาทในการสร้างคอลลาเจน ที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณเต่งตึง ไม่แก่ก่อนวัยวิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเจ้าตัวสารต้านอนุมูลอิสระนี้เอง ที่ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมสภาพ ผิวหนังแห้งเหี่ยว เกิดริ้วรอยตีนกาวิตามินซี มีความสำคัญต่อการสร้าง และบำรุงเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (ConnectiveTissue) เซลล์นับล้านๆ ตัวเกาะเกี่ยวกันเป็นร่างกายได้ ด้วยเนื้อเยื่อที่เรียกว่า คอลลาเจนมันคือคอลลาเจนตัวเดียวกันกับคอลลาเจน ที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณผู้หญิงทั้งหลายเต่งตึงนั่นเอง และเพราะฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามินซีนั่นเอง คุณๆ ทั้งหลายที่อยากคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวให้แก่ผิวสวยไว้นานๆ น่าจะลองหันมารับประทานฝรั่งเป็นประจำนะคะ

ส้ม

แหล่ง วิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรมชาติ การรับประทานส้มโดยไม่คายกาก จะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่ง เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็ว เป็นประโยชน์สำหรับ คนที่ต้องการลดน้ำหนักได้อย่างดีทีเดียวค่ะ นอกจากนี้ หากรู้สึกหิวก่อนเวลา แทนที่จะนึกถึงเค้กก้อนโต หรือโดนัทชิ้นใหญ่ ให้ลองหยิบส้มสักลูกเข้าปากแทน จะได้ประโยชน์มากกว่าในราคาที่ถูกกว่าด้วยนะคะ

6 สหาย สุขภาพ

ถั่วเมล็ดแห้ง พืชโปรตีนสูง

ถ้า พูดถึงถั่ว เราคงจะนึกถึง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วปากอ้า กันเป็นส่วนใหญ่ใช่ไหมคะ ทั้งที่ความจริงแล้ว ยังมีถั่วอีกมากมายหลายชนิด ที่เรายังไม่ค่อนคุ้นชื่อกันมากนัก เช่น ถั่วกันเนลลินิ ถั่วบอร์ลอตติ ถั่วปินโต ถั่วไลมา เป็นต้น ถั่ว เป็นพืชที่มนุษย์รู้จักปลูก มาแต่ดึกดำบรรพ์ ฟอสซิลถั่วถูกค้นพบ ในทะเลสาบของหมู่บ้านชาวสวิส สำหรับถั่วที่มีโปรตีนสูง คือ ถั่วเมล็ดแห้ง สามารถแบ่งเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ ชนิดที่มีโปรตีนสูงและไขมันสูง ซึ่งจะสะสมพลังงานในรูปไขมัน จึงจัดเป็นพืชน้ำมัน ได้แก่ ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ส่วนอีกชนิดมีโปรตีนสูงและไขมันต่ำ สะสมพลังงานในรูป ของคาร์โบไอเดรต ได้แก่ ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วแดงหลวง ถั่วพุ่ม ถั่วลาย ถั่วปากอ้า เป็นต้น

ถั่วเมล็ดแห้งทุกชนิด ใช้แทนเนื้อสัตว์ได้ เพราะมีโปรตีนสูง โดยเฉพาะถั่วเหลือง แม้คุณภาพของโปรตีน จะด้อยกว่าในเนื้อสัตว์ ปลา และไข่ เนื่องจากถั่วเมล็ดแห้ง ไม่มีกรดแอมิโนที่จำเป็นบางชนิด แต่เมื่อกินถั่วเหล่านี้ ร่วมกับธัญพืชโดยเฉพาะที่ขัดสีน้อย เช่นข้าวกล้องหรือกับเมล็ดพืชอื่น เช่น งา เมล็ดทานตะวัน และเมล็ดฟักทอง ซึ่งเป็นวิธีบริโภคของ ชาวมังสวิรัติทั่วไปอยู่แล้ว จะช่วยเสริมกรดแอมิโนให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ทำให้ได้อาหารที่มีคุณภาพ โปรตีนดีเท่าเทียมเนื้อสัตว์ นอกจากนั้น ถั่วยังมีวิตามินและเกลือแร่ต่างๆ เช่น เหล็ก แมงกานีส โพแทสเซียม อีกด้วย

งา เนื้อคู่ของถั่ว

สำหรับ งา จัดเป็นเมล็ดพืชที่ให้โปรตีน ต่างจากถั่วเมล็ดแห้ง คือ มีกรดแอมิโนที่ถั่วเมล็ดแห้งขาด ดังนั้น การบริโภคงาร่วมกับถั่วเมล็ดแห้งชนิดต่างๆ จะทำให้ร่างกายได้รับโปรตีนที่มีคุณภาพสมบูรณ์ และนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ งามีไขมันประมาณ 50 – 60 กรัมต่อ 100 กรัม เรานิยมนำงามาสกัดเป็นน้ำมันปรุงอาหาร เพราะมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เนื่องจากองค์ประกอบเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวอยู่มาก ช่วยลดระดับคอเลสเทอรอลในเลือดได้ นอกจากนั้น งายังมีวิตามินอีสูง ซึ่งวิตามินตัวนี้มีคุณสมบัติ เป็นสารต้านออกซิเดชัน ช่วยจับและทำลายอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นอันตรายต่อเซลล์

เผือก พลังงานผสานบำรุงสุขภาพ

เผือก นี่แหละ มีคุณค่ามหาศาล เพราะนอกจากจะมีคาร์โบไฮเดรต ซี่งให้พลังงานแก่ร่างกาย เป็นส่วนประกอบหลักแล้ว ยังมีโปรตีน แร่ธาตุ และวิตามินอยู่เกือบครบทุกชนิด (แม้จะมีในปริมาณไม่สูงมากนัก) เผือกจึงเป็นอาหารที่เพิ่มพลังงาน และบำรุงสุขภาพไปพร้อมกัน

มันเทศ ผู้อุดมด้วยเบต้าแคโรทีน

แม้ ว่าพืชหัวจะมีอยู่หลากหลายชนิด แต่สำหรับคนไทยอย่างเราน่าจะคุ้นกับ มันเทศ มากที่สุด เพราะนิยมนำมาทำเป็นอาหารประจำบ้าน รับประทานกันอยู่บ่อยๆ มันเทศเป็นพืชหัว ที่ประกอบด้วยแป้งเป็นหลัก มันเทศ 100 กรัม ให้พลังงาน ประมาณ 93 กิโลแคลอรี่ (คนเราควรได้รับพลังงานเฉลี่ยวันละ 1,800 – 2,000 กิโลแคลอรี่) ถ้าเราสังเกตให้ดีจะเห็นว่า มันเทศมีอยู่สองชนิด คือ ชนิดเนื้อเหลืองส้มกับชนิดเนื้อครีม ทั้งสองชนิดเป็นแหล่งที่ดีของวิตามินซี โพแทสเซียม และแคลเซียม รวมทั้งใยอาหาร นอกจากนั้น มันเทศยังอุดมด้วยเบต้า แคโรทีน ซึ่งอาจจะช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิดได้

ฟักทอง ย่อยง่าย ให้วิตามินเอ

ฟักทอง เป็นพืชผลที่บริโภคกันอย่างแพร่หลาย ทั้งในเอเชีย ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา แอฟริกา และแถบแคริบเบียน ฟักทองอุดมด้วยเบต้าแคโรทีน ซึ่งร่างกายเปลี่ยนให้เป็นวิตามินเอได้ จึงเหมาะจะเป็นอาหารหลักอย่างหนึ่ง ของชาวมังสวิรัติที่มักขาดวิตามินเอ เพราะงดเว้นเนื้อสัตว์ อย่างที่ทราบกันว่าเบต้าแคโรทีน เป็นสารออกซิเดชัน ดังนั้นจึงช่วยปกป้องเซลล์ของร่างกายไม่ให้ถูกอนุมูลอิสระทำลายอันอาจก่อให้ เกิดมะเร็งบางชนิดได้ นอกจากนั้นฟักทองยังมีวิตามินเอ ซึ่งจัดเป็นสารต้าน ออกซิเดชั่นอีกตัวหนึ่ง ฟักทองย่อยง่ายและไม่ค่อยทำให้เกิดอาการแพ้ จึงเหมาะเป็นอาหารเสริมสำหรับเด็ก และที่ไม่ควรมองข้าม คือ เมล็ดฟักทองเพราะอุดมด้วยธาตุเหล็ก และฟอสฟอรัสรวมทั้งมีโพแทสเซียม แมกนีเซียม และสังกะสีอีกด้วย เปี่ยมคุณค่าน่ากินจริงๆ เลยใช่ไหมคะ

ข้าวโพด อาหารให้เส้นใย

ข้าว โพด ไม่ใช่พืชของเอเชีย แต่เป็นพืชดั้งเดิมของชาวอินเดียนแดง ข้าวโพดโบราณค่อนข้างจะเหนียว ออกรสแป้งเป็นหลัก ไม่มีความหวาน จนปัจจุบันมีการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวโพด ให้มีความหวานมากขึ้น ข้าวโพดหวานมีมากกว่า 200 สายพันธุ์ ส่วนใหญ่จะมีเมล็ดเหลืองทอง ทุกสายพันธุ์จะมีวิตามินซี แต่วิตามินเอ จะมีเฉพาะพันธุ์สีเหลืองเท่านั้น ข้าวโพดอ่อนมีใยอาหารสูง ที่จะช่วยให้ระบบการขับถ่ายทำงานเป็นปกติ

นอกจากเห็ดฟางจะเป็นยอดแห่งอาหารเพื่อสุขภาพแล้ว ยังมีธาตุตัวสำคัญที่จำเป็นต่อร่างกายเราหลายอย่าง ซึ่งหาได้ไม่ง่ายนักในพืชผักชนิดอื่นๆ ที่สำคัญคือไขมันต่ำแคลลอรี่น้อย และไม่มีคลอเรสเตอรอล ไม่ยุ่งยากหรือรำคาญใจ

              
สำหรับผู้รับประทานแม้แต่นิดเดียวแร่ธาตุตัวเอกๆ ก็มีครบถ้วน ทั้งคาร์โบไฮเดรต  แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบี1 บี2 และ ซี มีครบหมดแต่ตัวที่เด่นๆ จริงๆ คือ ซีลิเนียมกับโพแทสเซียม อย่างแรกนั้นเป็นสารต้านมะเร็ง ส่วนอย่างหลังนั้นช่วยลดความดันโลหิตได้อย่างยอดเยี่ยม  นอกจากนั้นยังมีโปรตีนสูงและกรดอะมิโนต่างๆ ที่ร่างกายมนุษย์เราทุกคนต้องการในปริมาณที่มากพอสมควร

               ประโยชน์ทางยาของเห็ดฟาง นอกจากจะมีสารป้องกันการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งอย่างที่บอกไว้แล้ว ยังช่วยต้านไวรัสและแก้ไข้หวัดได้ด้วย ทางแพทย์แผนโบราณยังจัดให้เป็นเภสัชวัตถุที่มีรสหวานเย็น ช่วยบำรุงร่างกาย ช่วยย่อยอาหาร บำรุงโลหิต บำรุงกำลัง บำรุงตับ แก้ร้อนใน แก้ช้ำใน และที่เด็ดๆ จริงๆ ก็คือ ช่วยลดคลอเรสเตอรอลในเลือดได้

              
ของดี ราคาถูก มากด้วยประโยชน์อย่างนี้ ใครที่ยังไม่ชอบเห็ดฟาง ต้องยอมเปลี่ยนใจดูแล้วค่ะ

วราภรณ์ สุตพลสันติกุล (Far)

กาแฟ

หลังจากตื่นนอนตอนเช้าได้กาแฟหอมๆสักแก้วจะรู้สึกกระชุ่มกระชายตลอดทั้งเช้า บางท่านรับกาแฟและขนมบางอย่างเป็นอาหารเช้า หลังจากทำงานก็ยังมี coffee break บางท่านยังดื่มหลังอาหารเที่ยงและตอนสายๆ ยิ่งต้องเข้าประชุมกาแฟหอมๆสักแก้วจะทำให้สดชื่นหายง่วง ปัจจุบันการดื่มกาแฟเป็นที่นิยมการอย่างแพร่หลายตามปั้มน้ำมัน ตามห้างสรรพสินค้ามีการขายอย่างมากมาย จะเห็นได้ว่ากาแฟเป็นส่วนหนึ่งหรือบางคนอาจจะเป็นส่วนสองส่วนสามของชีวิตประจำวัน แต่จะมีใครกังวลหรือไม่ว่าที่เราดื่มทุกวันวันละหลายแก้วแล้วมันมีโทษ หรือคุณประโยชน์อะไรบ้าง หากคุณเป็นคอกาแฟคุณควรจะอ่านบทความนี้

ส่วนประกอบที่สำคัญของกาแฟ

ส่วนประกอบที่สำคัญของกาแฟคือ caffeine หรือมีชื่อทางเคมีว่า 1,3,7-trimethylxanthine ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของยาขยายหลอดลม theophylline

caffeine สามารถพบได้ในหลายชนิดได้แก่ เมล็ดคา เมล็ดกาแฟ ใบชา โคลา caffeineถูกผสมลงในน้ำอัดลม ยาแก้หวัดบางชนิด ยาแก้ปวด ยาลดน้ำหนัก

กาแฟจะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วหลังจากที่เราดื่มกาแฟและจะถูกขับออกไปครึ่งหนึ่งในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมงกาแฟจะไม่สะสมในร่างกายโดยจะถูกทำลายและขับออกหมด ผู้ที่สูบบุหรี่จะมีการขับถ่ายกาแฟมากกว่าผู้ที่ไม่สูบดังนั้นคนที่สูบบุหรี่หากต้องการการกระตุ้นของกาแฟจะต้องดื่มกาแฟบ่อยกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ คนท้องและผู้ที่กินยาคุมกำเนิดจะมีการขับกาแฟน้อยกว่าคนทั่วไป กาแฟจะออกฤทธิ์โดยการกระตุ้นสมองทำให้รู้สึกสดชื่นและมีสมาธิ

ปริมาณcaffeine ที่มีในเครื่องดื่มแต่ละชนิดขึ้นกับความเข้มข้น ตารางข้างล่างเป็นตัวอย่างปริมาณกาแฟ

Milligrams of Caffeine

ชนิดของเครื่องดื่ม

ปริมาณ

Range*

Coffee (150ml cup)
ต้ม, drip method
เครื่องต้มกาแฟ
กาแฟสำเร็จ
Decaffeinated
Espresso (30ml cup)


115

80
65
3
40


60-180

40-170
30-120
2-5
30-50

Teas (150ml cup)
ชาที่ต้ม
ชาเป็นซอง
ชาเย็น (240ml glass)


40

30
45


20-90

25-50
45-50

น้ำอัดลม (180ml)

18

15-30

Cocoa beverage (150ml)

4

2-20

นมรสChocolate  (240ml)

5

2-7

Chocolateนม (30g)

6

1-15

Dark chocolate, semi-sweet (30g)

20

5-35

Cooking chocolate (30g)

26

26


นักวิทยาศาสตร์ประมาณว่าวันหนึ่งๆเราจะรับสาร caffeine ประมาณ 250-600 มก.ซึ่งไม่เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย

ผลดีของกาแฟ

กาแฟจะกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางทำให้ไม่ง่วง สมาธิในการทำงานดีขึ้น ผู้ที่ดื่มกาแฟจะทำให้ไม่ง่วงนอน มีสมาธิในการทำงาน และยังทำให้ความสามารถในการทำงานดีขึ้น และยังลดอาการปวดเมื่อยเนื่องจากไขหวัด

ผลต่อสมรรถภาพของร่างกายดีขึ้น เช่นการขี่จักรยาน การว่ายน้ำ เล่นกีฬาได้นานขึ้น

ผลดีของกาแฟจะทำให้ไม่ง่วงนอนโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเป็นกะ และช่วยลดอุบัติเหตุขณะขับรถ

กระตุ้นอวัยวะของร่างกายและเพิ่มการเผาผลาญไขมันและช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย กาแฟจะมีฤทธิ์ขับปัสสาวะอ่อนๆดังนั้นขณะออกกำลังกายหรือหลังออกกำลังกายไม่ควรรับเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาแฟเพราะจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ

ดื่มนานๆจะติดกาแฟหรือไม่

องค์การอนามัยโลกกล่าวว่าไม่มีหลักฐานว่ากาแฟจะเป็นสารซึ่งหากดื่มนานๆแล้วจะเสพติด การดื่มกาแฟจะเป็นนิสัยมากกว่าเสพติดเนื่องจากไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณของกาแฟ และเมื่อหยุดกาแฟบางคนก็เกิดอาการปวดหรือมึนศีรษะเพียงเล็กน้อย

ผลดีของกาแฟต่อสุขภาพ

  • โรคหอบหืด มีรายงานว่าการดื่มกาแฟวันละ 3 แก้วจะลดอาการหอบหืด หากดื่มมากกว่า 6 แก้วการทดสอบสมรรถภาพปอดจะดีขึ้น

     

  • กาแฟก็เหมือนกับพืชอื่นๆมีสาร flavanoid ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ

     

  • การดื่มกาแฟจะลดอาการง่วงนอน และทำให้มีสมาธิในการทำงานดีขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเป็นกะ และลดอุบัติเหตุขณะขับขี่

     

  • กาแฟช่วยลดอาการซึมเศร้าและคลายความวิตกกังวล

     

  • การดื่มกาแฟเป็นประจำจะลดอุบัติการณ์การเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ และยังลดอุบัติการณ์ของนิ่วในถุงน้ำดี

     

  • มีหลักฐานพอจะเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่เมื่อดื่มวันละ 4 แก้ว

     

กาแฟกันสุขภาพสตรี

  • กาแฟกับการตั้งครรภ์ The Food Standards Agency ก่อนหน้านี้มีความเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะเป็นผลเสียต่อการตั้งครรภ์ แต่จากหลักฐานยังไม่พบผลเสียดังกล่าว ประเทศอังกฤษได้แนะนำว่าการดื่มวันละ 3-4 แก้วขณะตั้งครรภ์ไม่เกิดผลเสีย สำหรับผู้ที่ตั้งท้องหากงดได้ก็น่าจะงด

     

  • การเป็นหมัน พบว่าหากดื่มกาแฟมากกว่า 1แก้วจะมีโอกาสเกิดการเป็นหมันเพิ่มขึ้น

     

กาแฟกับโรคกระดูกพรุน

  • ยังมีรายงานทั้งสนับสนุนว่าการดื่มกาแฟทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน บางรายงานก็กล่าวว่าไม่เกิดโรค ผู้ที่เกิดโรคกระดูกพรุนมักจะได้รับแคลเซียมไม่พอแนะนำว่าควรจะดื่มนมเริมสำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 2 แก้วขึ้นไป

     

กาแฟกับโรคมะเร็ง

  • มีรายงานจากWorld Cancer Research Fund ว่าการดื่มกาแฟปริมาณปานกลางไม่มีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็ง

     

  • มีรายงานกล่าวว่าการดื่มกาแฟมีผลดีต่อการป้องกันมะเร็งตับอ่อนเล็กน้อย

     

  • มีรายงานว่าการดื่มกาแฟอาจจะมีผลป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ๋

     

กาแฟกับโรคหัวใจ

  • เท่ามีรายงานขณะนี้พบว่าการดื่มกาแฟวันละ 4 แก้วไม่มีความสัมพันธ์กับโรคหัวใจ

     

  • การดื่มกาแฟเป็นประจำไม่ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น การดื่มกาแฟครั้งแรกจะทำให้ความดันขึ้นชั่วคราว

     

กาแฟกับโรคเบาหวาน

  • จากการศึกษาพบว่าการดื่มกาแฟจะทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินเพิ่มขึ้น 15 % กรดไขมันในเลือดเพิ่มขึ้น ฮอร์โมน epinephrineเพิ่มสูงขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน

คนึงนิจ มีใจดี (Far)006

การดื่มสุรา

การดื่มสราเป็นปริมากมากจะให้ผลเสียต่อร่างกาย ทำให้เกิดโรคตับแข็ง มะเร็ง ความดันโลหิตสูง เลือดออกทางเดินอาหาร อุบัติเหตุ และยังมีแนวโน้มที่จะทำร้ายตัวเองและผู้อื่น ประเทศไทยได้ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่บริโภคสุราติดเป็นอันดับ 5 ของโลกผู้ที่จำหน่ายก็รวยติดอันดับโลก การดื่มสุราเป็นปริมาณน้อยจะทำให้อัตราการตายจากโรคต่างๆลดลง


สุราให้เพียงแต่พลังงานแต่คุณค่าทางโภชนาการต่ำมาก


คำแนะนำ

  • เนื่องจากสุราให้พลังงาน และมีคุณค่าทางโภชนาการต่ำ ดังนั้นคนที่ดื่มสุรามักจะขาดสารอาหารและมีน้ำหนักเกิน
  • การรับประทานสุราแต่พอควรโดยกำหนดให้ผู้หญิงดื่มไม่เกินวันละ 1 หน่วยสุรา ส่วนผู้ชายไม่เกิน 2 หน่วยสุรา
    • เบียร์ไม่เกิน 360 ซีซี
    • ไวน์ไม่เกิน 150 ซีซี
    • สุราอื่นไม่เกิน 45 ซีซี
  • คนบางจำพวกไม่ควรดื่มสุราได้แก่
    • ผู้ที่ไม่สามารถควบคุมปริมาณสุราที่จะดื่ม
    • หญิงวัยเจริญพันธุ์
    • คนตั้งครรภ์
    • ผู้ที่เลี้ยงลูกด้วยนมตัวเอง
    • ผู้ที่รับประทานยา
    • ผู้ที่ทำงานต้องใช้ทักษะหรือสมาธิ เช่นคนขับรถ
  • ผู้ที่มีวัยกลางคนเมื่อสุราตามที่กำหนดจะมีอัตราการเกิดโรคหัวใจ และอัตราการเสียตำ่กว่าผู้ที่ไม่ดื่มสุรา
  • ผู้ที่ดื่มสุราต้องรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ ไม่สูบบุหรี่ รักษาน้ำหนักมิให้เกิน
  • วัยรุ่นไม่ได้รับประโยชน์จากการดื่มสุรา
  • ไม่แนะนำให้ดื่มสุราเพื่อเหตุผลทางสุขภาพ
ชนิดของสุรา
ปริมาณพลังงานใน 30 ซีซี(1 oz)
ปริมาณที่ดื่ม[ oz]
ปริมาณพลังงานที่ได้รับทั้งหมด
Beer (regular)
12
12
144
Beer (light)
9
12
108
White wine
20
5
100
Red wine
21
5
105
Sweet dessert wine
47
3
141
80 proof distilled spirits (gin, rum, vodka, whiskey)
64
1.5
96

การอดสุรา โรคพิษสุราเรื้อรัง คุณเมาหรือไมอาการขาดสุรา สุราช่วยลดอัตราการเสียชีวิต

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (Far)

สุขภาพดีเป็นไฉน                    

สุขภาพดี หมายถึง หมายถึงสุขภาพดีทั้งทางร่างกายและจิตใจ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการดำเนินชีวิต การมีสุขภาพและ พลานามัยที่ดี ย่อมส่งผลให้เกิดสมรรถภาพและประสิทธิภาพในการประพฤติปฏิบัติในทางที่ดีงามตามมา ควรยึดหลักดังต่อไปนี้
                    1. กินให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย จะกินอย่างไรโดยให้พิจารณาจากปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้
                        1.1 สภาพของร่างกาย โดยดูจากโครงสร้างของร่างกาย สัดส่วน เพศ และการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เช่น เพศหญิงมีความต้องการสารอาหารมากกว่าผู้ชาย
                        1.2 อายุ วัยเด็กที่อยู่ในวัยเจริญเติบโตต้องการสารอาหามากกว่าผู้ใหญ่
                    2. กินอาหารให้ครบ ถูกส่วน และกินอาหารที่มีคุณภาพ อาหารที่เหมาะสมกับกีฬายังคงยึดหลักการเดียวกับคนปกติ โดยกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ได้แก่ แป้ง, เนื้อสัตว์, ไขมัน, วิตามิน, เกลือแร่ และน้ำ
                   3. กินอาหารให้ครบทุกมื้อ โดยแบ่งเป็น 3 - 4 มื้อต่อวัน ไม่ควรอดเป็นบางมื้อ ช่วงที่อดอาหาร ร่างกายจะใช้สารอาหารในกล้ามเนื้อ ซึ่งถ้าใช้เวลาแข่งขันนาน ๆ จะทำให้สมองสั่งให้ร่างกายพักผ่อนทำให้ความคิดไม่แว่บใส ในแต่ละมื้อควรเฉลี่ยให้กินอาหารครบทุกประเภท โดยจัดเป็น 4 ประเภท ดังนี้
                       - นมและผลิตภัณฑ์จากนม 2 มื้อ
                       - อาหารเนื้อสัตว์ 2 มื้อ
                       - แป้งหรือข้าว 4 มื้อ
                       - ผักและผลไม้ 4 มื้อ
                   4. จัดให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ต้องเป็นอาหารที่นักกีฬากินได้และคุ้นเคย ซึ่งจะทำให้กินได้ครบถ้วนในปริมาณที่เพียงพอ
 

                       

 ความสมบูรณ์ทางกายและสมรรถภาพทางกาย

                   ความสมบูรณ์ทางกาย หมายถึง การมีสุขภาพและสมรรถภาพที่ดี สุขภาพดีเป็นภาวะที่ ปราศจากโรค สามารถปฏิบัติภารกิจประจำวันได้อย่างราบรื่น สุขภาพดีจึงเป็นรากฐานที่ดีของสมรรถภาพ ผู้มีสุขภาพดีจะสามารถฝึกซ้อมกีฬาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และร่างกายมีสมรรถภาพดีขึ้นจนถึงจุดสูงสุด ถ้าสุขภาพไม่ดี จะมีผลให้การฝึกซ้อมกีฬา ตลอดจนการทำงานในชีวิตประจำวันขาดประสิทธิภาพ และยังอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือเจ็บป่วยขึ้นได้

                   สมรรถภาพทางกาย หมายถึง ความสามารถของบุคคลในการควบคุมและสั่งการให้ร่างกายปฏิบัติภารกิจต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับปริมาณงานและเวลา โดยการปฏิบัติภารกิจนั้น ไม่เป็นเหตุให้กิดความทุกข์มานต่อร่างกาย อีกทั้งยังสามารถประกอบกิจกรรมอื่นๆ นอกเหนือจากภารกิจประจำวันได้อีก ด้วยความกระฉับกระเฉง ปราศจากอาการเมื่อยล้าและอ่อนเพลีย

เบญจวรรณ หล้าแปง (Far)

สวยสดใสด้วยอาหารสุขภาพกับพิ้งกี้ สาวิกา ไชยเดช

 

 

สวย สดใส อาหาร สุขภาพ พิ้งกี้ สาวิกา ไชยเดช  นิตยสาร ชีวจิต

 

   นอกจากการเป็นนักแสดงที่เก่งแล้ว แต่ละครั้งที่เราสัมผัสได้เมื่อเห็นน้องพิ้งกี้ สาวิกา ไชยเดชก็คือความสวยสดใสที่นับวันจะมากขึ้นเรื่อยๆ อยากรู้ใช่ไหมคะว่าเธอดูแลตัวเองอย่างไร เรามีมาบอกค่ะ



   สิ่งที่น้องพิ้งกี้ให้ความสำคัญคือเรื่องอาหารการกินค่ะ เธอรับประทานอาหารสุขภาพที่อุดมไปด้วยผักผลไม้ และเนื้อปลา โดยหลีกเลี่ยงน้ำอัดลม "พิ้งกี้ไม่ทานเนื้อสัตว์ใหญ่มา 2 ปีแล้วค่ะ จะทานปลา อาหารทะเล และเน้นทานผักผลไม้ กับถั่วเยอะๆ อย่างผักหลากชนิดนี่พิ้งกี้ทานเป็นมื้อใหญ่เลยนะคะ เมนูที่โปรดก็คือสลัด และสเต็กปลา เครื่องดื่มจะเป็นน้ำเปล่าและน้ำผลไม้ จะไม่ดื่มน้ำอัดลมค่ะ"



   เหตุผลที่เธอหันมารับประทานอาหารสุขภาพก็เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง และดูดีขึ้น ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็อย่างที่เราเห็นนี่แหละค่ะ "ระบบย่อยอาหารของพิ้งกี้ไม่ค่อยดีเท่าไร เมื่อก่อนจะทานอาหารทุกประเภทเพื่อให้โตเร็วๆ จึงทำให้อ้วนขึ้น ช่วงหลังมานี้จึงหันมาทานผัก และปลา เพื่อให้ย่อยง่าย รู้สึกว่าความอวบอั๋นหายไป เมื่อก่อนจะดูตัวใหญ่ แต่พอเปลี่ยนอาหารการกินแล้วกล้ามเนื้อกระชับ ดูเพรียวขึ้น และทานเท่าไรก็ไม่ค่อยอ้วน ด้วยความที่เราเลือกทาน จนมีคนถามว่ามีสูตรลดความอ้วนอย่างไร เลยบอกว่าทานอาหารสุขภาพ ที่สังเกตเห็นอีกอย่างคือผิวพรรณดีขึ้น และที่สำคัญระบบขับถ่ายก็ดีด้วยค่ะ"



   เธอเล่าถึงความรู้สึกดีๆ ที่เกิดขึ้นเมื่อรับประทานอาหารสุขภาพ และแนะนำให้ทุกคนหันมาดูแลตัวเองเช่นเธอว่า "พอหันมาทานอาหารสุขภาพแล้วรู้สึกดี เราสามารถทานในปริมาณเท่าเดิม เพียงแต่เลือกทานเท่านั้น"



   "จริงๆ แล้วการทานอาหารสุขภาพมีหลายรูปแบบ ไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดมากเกินไป อาจจะเลือกสิ่งที่เหมาะกับเรา เป็นเรื่องดีนะคะถ้าเราจะหันมาทานกันเพราะสุขภาพก็จะดีด้วยทำให้ร่างกายแข็งแรงก็เป็นการป้องกันโรคได้"

 

 

 

 

 

  เมื่อถามถึงนิยามของการมีสุขภาพดีในแบบของเธอ ก็ได้รับคำตอบว่า "สุขภาพดีในความคิดของพิ้งกี้ต้องดีจากข้างใน ทั้งจิตใจ และความคิดดี ถ้าเราจิตใจดีสุขภาพก็ดีด้วย และควรมีความสุขกับการทานอาหาร ไม่ควรเครียด หรือกลัวอ้วนมากไป ถ้าผอมแต่หน้าไม่มีพลังก็ดูไม่ดี ฉะนั้นต้องเริ่มจากจิตใจก่อนค่ะ"



   การดูดีจากภายในคือสิ่งวิเศษที่ส่งผลให้เราดูดีถึงภายนอกได้นะคะ และการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพก็เป็นวิธีที่ทำได้ไม่ยากเลย คงเหมือนอย่างที่น้องพิ้งกี้บอกว่า "อาหารสุขภาพดีต่อตัวเรา และเป็นการใช้ชีวิตแบบอยู่ง่ายกินง่ายอีกด้วยค่ะ"

ควบคุมอาหารต้านความอ้วน

ในตอนนี้จะขอต่อยอดให้คุณผู้อ่านได้เห็นชัดเจนขึ้นว่าทําไมเราจึงเน้นย้ำให้เลี่ยงอาหารต้องห้ามของมัน ของทอด ใครที่ยังคาใจว่าอาหารที่มีไขมันหรือน้ำตาลสูงทําให้อ้วนได้ อย่างไร ถ้าเห็นจํานวนแคลอรีของอาหารแต่ละชนิดก็จะถึงบางอ้อทันทีค่ะ

มาดูว่า แคลอรี คืออะไรกันก่อนค่ะ

แคลอรี (Calorie ย่อว่า cal) คือ หน่วยวัดพลังงานที่ได้จากอาหาร แต่ค่า 1 แคลอรีนั้นน้อยมาก จึงใช้หน่วยที่ใหญ่กว่าคือ กิโลแคลอรี (kcal) ฉะนั้น เวลาพูดถึงพลังงานที่ได้จากอาหารต้องใช้หน่วยให้ถูก เช่น ข้าวหมูแดง 1 จาน ให้พลังงาน 537 กิโลแคลอรี ไม่ใช่ แคลอรี อย่างที่ชอบพูดกันผิดๆ

เดี๋ยวนี้คนบางส่วนเริ่มหันมาสนใจแคลอรีในอาหารกันมากขึ้นค่ะ อย่างบางรัฐ ในสหรัฐอเมริกา เขามีกฎหมายบังคับให้ร้านค้าภัตตาคารติดป้ายบอกแคลอรีเพื่อให้ผู้บริโภคได้รับทราบข้อมูลก่อนเลือกซื้อบริโภคกันแล้ว (แต่ร้านอาหารบางแห่งในบ้านเรามาแปลกกว่า คือรอให้อิ่มก่อนค่อยแจ้งจํานวนแคลอรีให้ทราบ อย่างนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะช่วยได้สักแค่ไหน เพราะตอนกินก็มักเพลิดเพลินจนลืมนึกถึงแคลอรีเสียสนิท)

โดยเฉลี่ย ร่างกายคนเราต้องการแคลอรีต่อวันไม่มากมายอะไรเลย อย่างผู้หญิงก็แค่ 1,600 kcal/วัน ส่วนผู้ชายก็ราวๆ 2,000 kcal/วัน ถ้ามากกว่านั้น พลังงานส่วนเกินจะถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสมทําให้อ้วน ซึ่งโอกาสที่คนเราจะได้รับแคลอรีเกินความต้องการนั้นเป็นไปได้ง่ายมาก ถ้ายังติดนิสัยชอบบริโภคบรรดาอาหารต้องห้ามต่างๆ ดังกล่าว

ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างจํานวนแคลอรีของอาหารที่ควรหลีกเลี่ยง เห็นแล้วรับรองว่าต้องคิดหนักทีเดียวหากจะหยิบใส่เข้าปากในคราวต่อไป

ใครที่ชอบอาหารทอดๆ มันๆ อาหารที่ปรุงด้วยกะทิ คุณรู้ไหมว่า น้ำมัน 1 ช้อนชา ให้พลังงานเท่าไหร่ คําตอบก็คือ 45 kcal ซึ่งเท่ากับ กะทิ 3 ช้อนชาค่ะ

ปาท่องโก๋ 1 คู่ ให้พลังงาน 124 kcal, ขนมครก 1 คู่ ให้พลังงาน 97 kcal, สาคูไส้หมู 5 ลูก ให้พลังงาน 80 kcal ถ้าแค่นี้ยังไม่ทําให้คุณรู้สึกตกใจ ลองมาดูกลุ่มเนื้อสัตว์ไขมันสูงต่อไปนี้บ้าง ไส้กรอก 1⁄2 แท่ง, หมูย่าง 1 ช้อนกินข้าว, หนังหมู 1 ช้อนกินข้าว, ซี่โครงหมู 1 ช้อนกินข้าว, หมูยอ 1 ช้อนกินข้าว, ไก่ติดหนัง 1 ช้อนกินข้าว, หมูบด 1 ช้อนกินข้าว, แฮม 1⁄2 แผ่น, เนยแข็ง 1⁄2 แผ่น, กุนเชียงไม่มัน 1 ช้อนกินข้าว ฯลฯ

เนื้อสัตว์ไขมันสูงที่ยกมาให้ดูข้างต้น เห็นปริมาณน้อยๆ อย่างนี้นี่แหละ แต่ละอย่างให้พลังงานสูงถึง 50 kcal เลยทีเดียว แล้วในความเป็นจริงก็คงไม่มีใครกินน้อยขนาดนี้แน่ ก็ลองคํานวณดูกันเอาเองค่ะว่าจะได้รับแคลอรีเกินปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวันไปมากเพียงใด

ลองมาดูอาหารที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ หรือขนมหวานต่างๆ กันบ้างค่ะ อย่าง “น้ำอัดลม” เครื่องดื่มสุดโปรดของคนทั่วโลก 1 ประป๋อง (325 มล.) ให้พลังงาน 240 kcal ถ้านิยมดื่มแบบเป็นขวด ( 290 มล.) พลังงานที่ได้รับก็ยังสูง อยู่ดีคือ 174 kcal

ลูกอม 2 เม็ดที่คุณรู้สึกว่าจิ๊บจ๊อยเหลือเกิน - ให้พลังงานสูงถึง 63 kcal

น้ำอ้อย (200 มล.) - ให้พลังงาน 152 kcal

ขนมโดนัท 1 อัน- ให้พลังงาน 95 kcal

เอาละค่ะ หยิบมาให้ดูเป็นตัวอย่างแค่พอหอมปาก หอมคอ เพราะถ้าจะต้องแจงกันทุกชนิด ทุกประเภท เห็นทีหน้ากระดาษคงจะไม่พอ ถึงกระนั้นก็เชื่อว่าน่าจะทําให้คุณผู้อ่านได้ตระหนักว่า อาหารที่มีไขมันหรือน้ำตาลสูงนั้นเป็นศัตรูกับการควบคุมน้ำหนักของคุณเพียงใด

รู้หลบรู้หลีกอาหารต้องห้ามที่มีแคลอรีสูงกันแล้ว ก็อย่าชะล่าใจกับเมนูอาหารจานด่วนที่เรากินกันเป็นปกติในชีวิตประจําวันด้วยนะคะ คนรุ่นใหม่สมัยนี้ชีวิตต้องเร่งรีบแข่งขันกับเวลา จึงมักฝากท้องไว้กับอาหารตามสั่งที่มีให้เลือกมากมาย แต่คุณผู้อ่าน

ทราบหรือไม่ อาหารบางรายการมีไขมันแอบแฝงที่จะทําให้คุณได้รับแคลอรีมาก เกินจําเป็น หรือบางอย่างก็ให้แคลอรีสูงอย่างที่คุณนึกไม่ถึง ดังตารางข้างล่างค่ะ

ไม่ทราบว่าจะตรงกับเมนูโปรดของใครบ้างหรือเปล่า ถ้าใช่ก็พยายามเลี่ยงๆ เสียบ้าง อย่ากินเพราะเอาง่ายเข้าว่า หรือเพื่อความอร่อยอย่างเดียว ควรเลือกกิน เมนูอื่นให้หลากหลายเข้าไว้ ให้ได้ทั้งจํานวนแคลอรีที่เหมาะสม ตลอดจนคุณค่าทาง โภชนาการ

จะกินแต่ละมื้อให้คํานึงถึงแคลอรีในอาหารเอาไว้บ้างก็ดี แต่ไม่ต้องละเอียดลออ นับกันทุกแคลอรีเป๊ะๆ ไม่อย่างนั้นอาจเครียดเกินไปจนพาลหมดอร่อย และ

สุดท้ายขอฝากเทคนิคการปรับเปลี่ยนนิสัยการกิน เพื่อพิชิตอ้วน พิชิตพุง ไว้ให้ยึดปฏิบัติดังนี้ค่ะ

1.กินอาหารสมดุล ควบคุมสัดส่วนปริมาณอาหาร กลุ่มข้าว-แป้ง วันละ 8-12 ทัพพี ผัก วันละ 4-6 ทัพพี (ไม่หวาน) วันละ 3-5 ส่วน เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน วันละ 6-10 ช้อนกินข้าว นมพร่องมันเนย วันละ 1-2 แก้ว

2.กินอาหารธรรมชาติไม่แปรรูป เช่น เมล็ดธัญพืชต่างๆ เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน งา ถั่วต่างๆ เป็นต้น

3.กินผักและผลไม้รสไม่หวานให้มากพอและครบ 5 สี คือ สีน้ำเงินม่วงแดง สีเขียว สีขาว สีเหลืองส้ม และสีแดง เพิ่มวิตามิน เกลือแร่ ใยอาหาร และพฤกษาเคมี สารเม็ดสีในผักผลไม้เพิ่มระบบภูมิคุ้มกันโรค

4.กินเป็น คือ รู้จักหลีกเลี่ยงอาหารมันจัด หวานจัด และเค็มจัด

5.กินอาหารพออิ่ม ไม่บริโภคจนอิ่มมากเกินไป

6.กินอาหารเช้าทุกวัน มื้อเช้าเป็นมื้อหลักที่สําคัญ

7.กินอาหารมื้อเย็นแต่วัน เวลาสําหรับอาหารมื้อเย็นควรอยู่ห่างอย่างน้อย 4 ชั่วโมง ก่อนนอน

เคล็ดลับจัดการผมเปียก

คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า เมื่อเราสระผมเสร็จแล้วเราต้องจัดการกับผมของเราอย่างไรดี บางคนอาจจะเลือกเป่าผมให้แห้งด้วยไดร์เป่าผม แต่บางคนอาจเลือกที่จะปล่อยผมทิ้งไว้ให้แห้งตามธรรมชาติ เพราะคิดว่าการทำให้ผมแห้งด้วยเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์เพื่อจัดแต่งทรงต่างๆ นั้น อาจทำร้ายผมให้แห้งเสียโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้ ในวันนี้เราจะมาดูถึงลักษณะและความแตกต่างของการจัดการกับผมเปียกทั้ง 2 แบบนี้กันค่ะ

การปล่อยผมให้แห้งด้วยอากาศธรรมชาติ (Air Dry)

การทำให้ผมแห้งด้วยวิธีนี้มักนิยมทำกันในคนที่ผมสั้น คนที่มีทรงผมไม่ต้องบำรุงรักษา ไม่ต้องจัดแต่งมากนัก หรือคนที่ดัดผมก็มักใช้วิธีนี้เช่นกัน แม้แต่คนที่ไว้ผมยาวบางคนก็เลือกใช้วิธีนี้ โดยการปล่อยให้แห้งเองเป็นการทำให้แห้งโดยไม่ต้องอาศัยความร้อนที่มากเกินความจำเป็น ฉะนั้นเส้นผมจะไม่ไวต่อความเสียหายที่เกิดจากความร้อนเหมือนที่เกิดกับการเป่าให้แห้ง

ถ้าคุณต้องการทำให้ผมแห้งด้วยวิธีนี้ สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้ปฏิบัติคือ ขณะผมเปียกนั้นเส้นผมจะอ่อนแอมาก ดังนั้นการถูผม เช็ดผมให้แห้งโดยใช้ผ้าขนหนูเป็นสิ่งที่ทำอันตรายต่อผม การเสียดสีจากการถูนี้ทำให้ผมเปราะและแตกหักง่าย

ฉะนั้นก่อนการเช็ดผมควรใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์หยดลงบนผมแล้วค่อยใช้ผ้าขนหนูซับให้แห้ง ต้องระวังไม่ให้ดึง หรือกระชากผมขณะเปียก และถ้าผมยังไม่แห้งดีควรใช้นิ้วมือของเราจัดทรงไปก่อนเพื่อไม่ให้เกิดการเสียดสีมากนัก แต่ถ้าต้องใช้ผ้าขนหนูก็ควรเลือกผ้าขนหนูที่สามารถดูดซับน้ำได้ดีเพื่อจะได้ลดเวลาในการเสียดสีกับเส้นผมให้น้อยลง

ทว่าการปล่อยผมให้แห้งด้วยวิธีนี้อาจทำให้ผมเรียบแบนหรือฟูหยิกเป็นฝอย วิธีแก้คือควรใช้คอนดิชันเนอร์ที่เหมาะกับสภาพเส้นผมของเรา พร้อมกับหวีละเอียด หวีไปด้านหลังให้ทั่วศีรษะเพื่อเพิ่มน้ำหนักให้กับเส้นผม

การเป่าผมให้แห้งด้วยไดร์เป่าผม (Blow Dry)

การใช้ไดร์เป่าผมให้แห้งถือเป็นวิธีที่สะดวกสบายมาก มักเป็นวิธีที่นิยมใช้กันในคนที่มีวิถีชีวิตแบบเร่งรีบ อย่างไรก็ตามการทำผมให้แห้งด้วยไดร์เป่าผม แกนเหล็กม้วนผมหรือแม้แต่การใช้เครื่องรีดผมให้เรียบนั้น แม้ว่าจะรวดเร็วแต่ก็แฝงไปด้วยอันตรายสำหรับเส้นผมของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าทำบ่อยๆ จะทำให้ผมเปราะและแตกหักได้ง่ายมาก แต่ถ้าคุณจำเป็นจะต้องเป่าผมให้แห้งจริงๆ ก็ควรทำต่อเมื่อผมไม่ได้เปียกโชก ควรทำผมให้หมาดด้วยผ้าขนหนูเสียก่อน และสิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือไม่ควรให้ไดร์เป่าผมอยู่ใกล้กับศีรษะของเราจนเกินไป ควรให้อยู่ห่างจากผมอย่างน้อย 6 นิ้ว และให้ไดร์เป่าผมเคลื่อนที่เป่ากระจายให้ทั่วศีรษะเพื่อป้องกันไม่ให้ผมด้านนอกแห้งจนเกินไป ทว่าไม่ควรเป่าผมจนแห้งมากเพราะจะทำให้ผมกรอบและเสียได้สำหรับคนที่ต้องใช้ไดร์เป่าผมหรือเส้นผมของคุณต้องเผชิญกับความร้อนอยู่เป็นประจำ ในวันที่มีเวลาว่างก็ควรสระผมแล้วปล่อยให้ผมแห้งตามธรรมชาติบ้าง คิดเสียว่าเป็นการหยุดพักร้อนให้กับผมของเรา

วันนี้ได้เห็นลักษณะของการทำผมให้แห้งทั้ง 2 วิธีแล้ว ฉะนั้นไม่ว่าคุณจะปล่อยผมให้แห้งโดยธรรมชาติหรือใช้ไดร์เป่าผม ก็คงขึ้นอยู่กับไลฟ์สไตล์การดำเนินชีวิตและความชอบของแต่ละคนมากกว่า แต่ไม่ว่าคุณจะทำวิธีไหน สิ่งสำคัญคืออย่าลืมบำรุงดูแลเส้นผมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เส้นผมที่เรารักจะได้คงความสวยอยู่กับเราไปนานๆ

Do you know …

คุณรู้หรือไม่ว่า การที่ผมของเราเปียกมากหรืออับชื้นเป็นเวลานาน แม้กระทั่งการเข้านอนขณะผมยังไม่แห้งอาจทำให้เกิดการเจริญเติบโตของเชื้อราบนหนังศีรษะได้ อันเป็นสาเหตุทำให้เกิดผมร่วงเป็นหย่อมๆ เนื่องจากไปขัดขวางและทำลายระบบการเจริญเติบโตของเส้นผม โดยเชื้อราบนหนังศีรษะนี้สามารถเป็นได้ตั้งแต่ในวัยเด็กจนถึงผู้ใหญ่ โดยลักษณะของเชื้อรานี้คล้ายกับลักษณะของชันนะตุ เป็นหนองแฉะๆ บางครั้งก็เป็นสะเก็ดแห้ง มีอาการคันหรือเจ็บและสามารถลุกลามได้ วิธีรักษาคือการไปพบแพทย์โดยเร็วเพื่อหาทางรักษาที่ถูกต้อง และไม่ควรหาซื้อยามากินหรือทาเองนะคะ

สูตรเด็ด 11 เคล็ดลับหน้าใส

ยุคนี้สมัยนี้เทรนด์หน้าใสกำลังมาแรงไม่ว่าจะคนหนุ่มสาวหรืออายุจะล่วงเลยวัยกระเตาะมาหลายปีแล้วก็ตาม แต่ใครบ้างล่ะอยากแก่แถมใบหน้ามีแต่ริ้วรอยเxxx่ยวย่น หากไม่อยากหน้าแก่ก่อนวัยและคงความหน้าใสให้ยาวนานที่สุดวันนี้เรามี 11 เคล็ดลับวิชาหน้าใสมาฝากกันดังนี้

1. อย่าถ่างตานอนดึกให้มากนัก ไม่ว่าจะอ่านหนังสือ ดูหนัง ดูละคร หรือทำงานอย่างไม่หยุดพัก ถึงใจยังสู้แต่สังขารอาจไม่ไหว นอนแต่หัวค่ำดีกว่า

2. ดื่มน้ำมากๆให้ได้วันละ 6 8 แก้ว หรือหากคุณดื่มมากกว่านั้นได้ก็จะเป็นการดี และยิ่งถ้าเป็นน้ำเปล่าก็ยิ่งจะดีใหญ่ หากคุณชอบดื่มน้ำอัดลมก็ดื่มได้เป็นครั้งคราว เพราะถ้าดื่มมากๆ จะทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารและกัดกระเพาะจนคุณปวดท้องได้

3. ออกกำลังกายเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอและบริหารหน้าด้วยการนวด หรือง่ายๆแค่พูดว่า อา อี เอ โอ อู ออกกำลังกายกล้ามเนื้อหน้า หน้าจะได้ไม่เxxx่ยวย่น

4. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ งดน้ำชา กาแฟ งดสูบบุหรี่ เพราะมันจะทำให้คุณแก่เกินอายุค่ะ ถ้าใครเถียงหละก็... ขอท้าให้คุณสูบบุหรี่ ดื่มกาแฟจัดๆ ลองเดินคู่กับเพื่อนที่ไม่ดื่ม ไม่สูบ แล้วถามคนอื่นๆดูว่าคุณกับเพื่อนใครแก่กว่ากัน

5. อย่าตากแดดเป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงแดดที่แรงจัด มิเช่นนั้นหน้าของคุณจะแก่ไม่รู้ตัว หากต้องเผชิญกับแสงแดดอย่าลืมทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้าน

6. ใช้โลชั่นอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีความเสี่ยง หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้แก่ เช่น อยู่แต่ในห้องแอร์ ที่เปิดเบอร์เดียวหนาวจัดตลอดปีตลอดชาติ หากแอร์ของคุณปรับได้ กรุณาปรับอุณหภูมิบ้างเถอะค่ะ

7. ทำความสะอาดร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งใบหน้าให้สะอาดอยู่เสมอ แล้วยิ่งหากคุณเป็นสิวด้วยแล้วคุณควรใช้โฟมล้างหน้าที่เหมาะสำหรับการรักษาสิวเท่านั้น โฟมที่มีส่วนผสมของ AHA จะช่วยทำให้ใบหน้าของคุณลื่นขึ้น ที่สำคัญห้ามแกะสิวอย่างเด็ดขาด คนที่เป็นสิวเสี้ยนหากยิ่งแกะ ผิวของคุณหลังแกะก็จะคล้ายกับโลกดวงจันทร์ ส่วนบรรดาสิวมีหนองทั้งหลาย หากยิ่งแกะก็จะยิ่งเกิดการอักเสบ สิว เป็นตัวการหนึ่งที่ทำให้ใบหน้าของคุณดูเครียดและแก่ได้โดยเฉพาะบรรดาผิวโลกดวงจันทร์ทั้งหลาย

8. หากคุณเป็นคนผิวแห้ง ควรใช้มอยซเจอร์ไรส์ก่อนนอนทุกครั้ง และถ้ามีส่วนใดที่แห้งเป็นพิเศษ ควรใช้โลชั่นที่มี AHA ทาให้ทั่วบริเวณ แต่ถ้าคุณเป็นคนหน้ามัน ควรใช้มอยซเจอร์ไรส์ชนิดเจลจะเหมาะกว่าชนิดครีม

9. อย่าใช้มือสัมผัส จับ ลูบ ถูใบหน้าในช่วงระหว่างวัน จำไว้ว่างทุกครั้งเมื่อไปถึงที่ทำงานหรือทันทีที่กลับถึงบ้านต้องล้างมือก่อนเสมอ เพราะมือของเราจับต้องสิ่งสกปรกเชื้อโรค ฝุ่นละอองต่างๆมาตลอดทั้งวัน และการที่คุณจะเผลอเอามือไปจับหน้าจับตาอาจทำให้สิวขึ้นได้

10. ล้างเครื่องสำอางออกอย่างระมัดระวัง เพื่อความปลอดภัย ให้คุณล้างมาสคารา หรืออายแชโดว์ ด้วยเครื่องสำอางที่ปราศจากน้ำมัน ทั้งนี้เพื่อมิให้น้ำมันที่ว่าแทรกซึมไปตามผิวหนังส่วนอื่นๆ เพราะอาจจะไปกระตุ้นหรือระคายเคืองผิวให้เกิดสิวขึ้นบนใบหน้าได้

11. หากมีปัญหาเรื่องผิวบนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไรก็ตามแต่ ให้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง ดีกว่าไปนั่งปรึกษาตามเคาน์เตอร์เสริมความงามอย่างแน่นอน

                      ปัสสาวะเล็ด ปัญหาสตรีที่แก้ได้

วิจัยพบหญิงไทยวัยหมดประจำเดือนกว่าร้อยละ 80 ประสบปัญหาปัสสาวะเล็ด หลายคนอายไม่ยอมรักษา ถึงขั้นเก็บตัว ไม่ออกจากบ้าน เผยสาเหตุมาจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหย่อนสมรรถภาพจากการคลอดบุตร แนะ "ขมิบ" อย่างถูกวิธีทุกวัน เพื่อป้องกันก่อนสายเกินแก้ แถมยังช่วยให้เพศสัมพันธ์ดีขึ้นด้วย รศ.กรกฏ เห็นแสงวิไล หัวหน้าโครงการวิจัย เรื่อง "สร้างเสริมสุขภาพบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานในสตรีด้วยตนเอง" โดยการสนับสนุนของแผนเปิดรับทั่วไป สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดเผยว่า ปัญหากล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหย่อนสมรรถภาพ ถือเป็นเรื่องที่พบในสตรีทั่วโลก โดยเฉพาะในวัยหมดประจำเดือน เช่น ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า พบว่าสตรีวัยหมดประจำเดือนร้อยละ 75.3 มีปัญหาการกลั้นปัสสาวะ ขณะที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ พบว่า สตรีวัยหมดประจำเดือนร้อยละ 89.3 มีปัญหาเดียวกัน และร้อยละ 43.3 มีภาวะมดลูกหย่อนด้วย นอกจากนี้จากการสำรวจสตรีไทยในภาคเหนือตอนบน ช่วงปี 2542-2543 ยังพบว่าผู้หญิงช่วงอายุ 20-24 ปี พบปัญหากลั้นปัสสาวะถึงร้อยละ 41 และวัยหมดประจำเดือนอีกร้อยละ 48 ปัญหาที่ตามมาคืออาการปัสสาวะเล็ด กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ มดลูกหย่อน และเพศสัมพันธ์บกพร่อง เนื่องจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่อ่อนแรงและหย่อนลงมาจะทำให้ช่องคลอดขาดประสิทธิภาพ ไม่สามารถหดตัวได้ขณะมีเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้ยังผายลมบ่อยผิดปกติ "คนไทยส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ในเรื่องการกลั้นปัสสาวะ ส่วนมากคิดว่าเป็นเรื่องของคนสูงอายุ หรือบางคนรู้สึกอาย กลัวสังคมรังเกียจ จึงไม่มารับการรักษา และพยายามแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง เช่น ดื่มน้ำน้อยลง เข้าห้องน้ำบ่อยๆ ใส่ผ้าอนามัย หรือในรายที่มีอาการฉี่เล็ดมากๆ อาจถึงขั้นเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ยอมออกจากบ้าน" รศ.กรกฏกล่าว สำหรับสาเหตุของอุ้งเชิงกรานหย่อนสมรรถภาพนั้นมาจากหลายปัจจัย อาทิ การตั้งครรภ์และการคลอด การตั้งครรภ์จะทำให้มีการยืดขยายของกล้ามเนื้อและพังผืดรอบอุ้งเชิงกราน ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงได้ ส่วนการคลอดเป็นการกระทำโดยตรงต่อกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน คือมีการกรีดฝีเย็บ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง นอกจากนี้ในผู้สูงอายุ สตรีวัยหมดประจำเดือน คนอ้วน คนใช้แรงงานยกของหนัก ก็เกิดภาวะกล้ามเนื้อหย่อนยานได้ง่าย รวมไปถึงโรคเรื้อรัง เช่น ถุงลมโป่งพอง ไอเรื้อรัง กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กล้ามเนื้องอก ล้วนก่อเกิดอาการปัสสาวะเล็ดได้ รศ.กรกฏกล่าวต่อว่า ในการวิจัยได้เสนอวิธีการให้ความรู้และสร้างเสริมสุขภาพสตรีเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน สตรีที่เริ่มมีอาการปัสสาวะเล็ด และสตรีมีครรภ์ โดยแนะนำการบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอย่างถูกต้องด้วยตนเอง ด้วยการใช้สื่อวีดิทัศน์ที่ผลิตขึ้นอย่างมีคุณภาพ แล้วใช้แบบ สอบถาม วัดผลสัมฤทธิ์ในสตรีวัย 40-60 ปี ประมาณ 60 คน ในจังหวัดเชียงใหม่และพิษณุโลก เพื่อเปรียบเทียบการเรียนรู้ด้วยตนเองก่อนและหลังการใช้วีดิทัศน์ และศึกษาในสตรีที่เริ่มมีอาการปัสสาวะเล็ดจำนวน 30 คน เปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมและสตรีมีครรภ์จำนวน 30 คน "ผลออกมาว่ากลุ่มทดลองมีความรู้เกี่ยวกับอุ้งเชิงกรานเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน และยังฝึกขมิบอุ้งเชิงกรานอย่างถูกวิธีต่อเนื่องถึง 12 สัปดาห์ ทำให้คนที่เคยมีปัญหาปัสสาวะเล็ดบ่อยๆ ลดความรุนแรงของอาการลง กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานแข็งแรงและกระชับตัว ส่งผลต่อการมีเพศสัมพันธ์ที่ดีขึ้น ผู้เข้าร่วมทดลองหลายคนเล่าว่าได้รับคำชมจากสามีในเรื่องนี้" หัวหน้าโครงการวิจัยกล่าว ส่วนการทดสอบสมรรถภาพกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานด้วยตนเองนั้น รศ.กรกฏแนะนำว่าทำได้โดยการดื่มน้ำ 2 แก้ว แล้วรอประมาณ 10-15 นาที จนรู้สึกปวดปัสสาวะ ให้กระโดดพร้อมกันจนสองเท้าลอยพ้นพื้นติดต่อกัน 20 ครั้ง จากนั้นกระโดดกางขาหน้า-หลัง 4 ครั้ง และไอแรงๆ อีก 2-3 ครั้ง สังเกตว่ามีปัสสาวะเล็ดหรือไม่ เพราะในคนปกติกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานควรควบคุมได้ ไม่มีอาการปัสสาวะเล็ด อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเกิดอาการปัสสาวะเล็ดหรือไม่ วิธีการป้องกันและบรรเทาอาการของโรคทำได้โดยการขมิบอุ้งเชิงกรานแรงๆ ค้างไว้ 10 วินาที แล้วปล่อยประมาณ 5 วินาที ทำซ้ำอีกจนครบ 5 ครั้ง แล้วขมิบ-ปล่อยแบบแรงเต็มที่อีก 5 ครั้ง วันหนึ่งๆ ควรทำอย่างน้อย 4-5 ครั้ง ในช่วงเช้า สาย บ่าย เย็น และก่อนนอน โดยต้องฝึกขมิบในขณะที่ทำกิจวัตรประจำวัน เช่น นั่ง ยืน เดิน จาม จนกลายเป็นนิสัย จะส่งผลดีต่อสตรีในระยะยาว ด้าน น.พ.ชาตรี เจริญศิริ กรรมการบริหารแผนเปิดรับทั่วไป สสส. กล่าวว่า โครงการวิจัยเรื่องสร้างเสริมสุขภาพบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานในสตรีด้วยตนเอง เป็นงานวิจัยเชิงนวัตกรรมที่หยิบเอาผลการวิจัยหรือผลสำรวจของต่างประเทศมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับประเทศไทย และยังคิดค้นวิธีการสอนให้หญิงไทยรู้จักขมิบอุ้งเชิงกรานอย่างถูกวิธีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านสื่อวีดิทัศน์ และการฝึกอบรม ช่วยแก้ไขปัญหาของสตรีจำนวนมากที่ประสบปัญหาเรื้อรังมานาน "เป็นที่น่ายินดีที่ระยะหลังงานวิจัยของสสส.ไม่ได้ทำในลักษณะขึ้นหิ้ง แต่มีการจัดการให้ใช้ผลงานวิจัยนั้นๆ มีคนหยิบยกมาทำต่อ สาธิตให้เห็นถึงทางออกของปัญหา เสน่ห์อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในระยะหลังคืองานวิจัยก่อให้เกิดความผูกพันระหว่างนักวิจัยกับชุมชน โดยจะพบว่างานวิจัยหลายชิ้นเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชน ดึงชาวบ้านเข้ามาเป็นนักวิจัย ขณะที่นักวิชาการเป็นเพียงพี่เลี้ยง หรือบางชิ้นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่เป็นคนในพื้นที่เข้าไปทำกับชุมชนของตนเอง ทำให้งานวิจัยนั้นเกิดความยั่งยืนแม้จะสิ้นสุดโครงการไปแล้ว นับเป็นการจุดตะเกียงช่วยส่องสว่างในที่มืด แม้จะยังไม่ทั่วถึงทุกพื้นที่ทุกชุมชนก็ตาม" น.พ.ชาตรีกล่าว

ไม่ต้องเปลืองตังค์ ไปซื้อเครื่องสำอางค์ราคาแพง ๆ คุณผู้ชายก็ใช้ได้นะ เป็นสูตรง่าย ๆ น้ำผลไม้ใกล้ ๆ ตัว มาปั่น บด ผสมผสานกันก็กลายเป็นเครื่องประทินผิวสวยได้แล้ว รับรองได้ว่าเป็นอันตรายแน่นอน

สูตรสาวหน้าใสน้ำผึ้งผสมมะนาว

ส่วนผสม มีแค่น้ำผึ้งกับน้ำมะนาว ใช้น้ำผึ้ง 1 ถ้วย กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน นำมานวดให้ทั่วใบหน้า นวดไปเรื่อยๆ ประมาณ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด สูตรนี้มะนาว จะช่วยขจัดเซลล์ผิวเช่นเดียวกับครีมที่ผสมกรด AHA ส่วนน้ำผึ้งจะทำให้ผิวหน้านุ่มและชุ่มชื้น

สูตรสาวหน้าใสด้วยแอปเปิ้ล

ใช้แอปเปิ้ล ปอกเปลือกแล้วคว้านเอาเฉพาะเนื้อ นำมาปั่นรวมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ นำมา ทาให้ทั่วใบหน้า แล้วนวดเบาๆ ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น สูตรนี้จะช่วยขจัดเซลล์ ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ทำให้ใบหน้าดูสดใสเปล่งปลั่ง อีกด้วย

สูตรกระชับรูขุมขน

ใช้กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศก็ได้ เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งปอกเปลือก เอาเมล็ด ออกให้หมดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เติมน้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยวลงไป นำไปปั่นให้ละเอียด จนเป็นเนื้อ ครีม นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น สูตรนี้จะ ช่วยทำความสะอาดใบหน้า และกระชับรูขุมขนและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น

สูตรครีมทำความสะอาดผิวหน้า (Cleanser)

ใช้โยเกิร์ต 1/2 ถ้วย น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมะนาวสด 1 1/2 ช้อนโต๊ะ นำส่วนผสม 3 ชนิดผสมให้เข้ากัน นำพอกให้ทั่วหน้าประมาณ 5 นาที ทุกเช้าและก่อนนอน แล้วจึงล้างออก ด้วยน้ำสะอาด สูตรนี้ใช้ได้กับทุกสภาพผิว จะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ำลึก และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอีกด้วย

สูตรสาวผิวแห้ง มอยเจอร์ไรเซอร์จากกล้วย

นำกล้วย 1 ผล ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ บดให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น สูตรนี้เหมาะกับผิวแห้ง

สูตรพอกหน้าใสจากแตงกวา ใช้แตงกวา 1 ผล ไข่ไก่ 1 ฟอง (ใช้เฉพาะไข่ขาว) และมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ หั่นแตงกวาเป็น ชิ้นบางๆ นำไปปั่นพร้อมกับไข่ขาวและใส่น้ำมะนาวลงไป ปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน นำมา พอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบปากและดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างหน้าตามปกติ หมั่นทำบ่อยๆ ทุกสัปดาห์ จะช่วยลดความมันส่วนเกิน และยังช่วยกระชับรูขุมขน ผิวหน้าจะ ดูเนียนเรียบและชุ่มชื้น เหมาะสำหรับผิวมันและผิวผสม

เคล็ดลับที่ควรคำนึงถึง

ผลไม้ที่ใช้ต้องสด มีคุณภาพดี

ภาชนะที่ใช้ใส่ผลไม้ ส่วนผสมต่างๆ ควรใช้แก้วหรือกระเบื้อง

ก่อนทำการพอกหน้า ควรทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาด โดยการอัง ใบหน้ากับไอน้ำและนวดเบาๆ เพื่อเปิดรูขุมขน

เวลาพอกหน้าไม่ควรพูดคุยหรืออ่านหนังสือ

น่าห่วง คุณผู้หญิงสวมส้นสูง!

น่าห่วง คุณผู้หญิงสวมส้นสูง!

ผู้หญิง ความงาม และการแต่งตัว ต่างเกิดมาเพื่อกันและกัน การที่ผู้หญิงคนหนึ่งลุกขึ้นมาแต่งเนื้อแต่งตัว ก็เพื่อเพิ่มความเด่น ลบความด้อย เสริมบุคลิกภาพในการเข้าสังคม

โดยเฉพาะรองเท้าส้นสูง ดูจะเป็นเครื่องแต่งกายชิ้นหนึ่งที่คุณผู้หญิงให้ความสำคัญ เมื่อสวมแล้วเดินสวยๆ เข้ากับเสื้อผ้าที่ใส่ยิ่งส่งให้ดูสง่าผ่าเผยขึ้นทันตา แต่การสวมรองเท้าส้นสูงบ่อยๆ อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมาได้

จากการพูดคุยกับรองศาสตราจารย์ นายแพทย์ พงษ์ศักดิ์ ยุกตะนันท์ แผนกแผนกศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิคส์ และกายภาพบำบัด โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เผยถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นกับคุณผู้หญิงที่สวมรองเท้าส้นสูงเป็นประจำ จะมีอาการ เช่น ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ เกิดโรคข้อนิ้วหัวแม่เท้าเสื่อม แข็ง เก ผิดรูปหรือซ้อน รวมทั้งอาจเกิดรอยด้านบริเวณผิวหนังที่ถูกเสียดสี เป็นตาปลา เกิดก้อนแข็งๆ ปูดนูนขึ้น เจ็บบริเวณเล็บ หรือเล็บขบ

อีกทั้งขณะที่สวมรองเท้าส้นสูง อวัยวะบางส่วนของร่างกายต้องรับบทหนัก

เริ่มที่ หลังส่วนกลาง : จะต้องบิดโค้งเพิ่มมากขึ้น, เชิงกราน : ถูกยกอย่างไม่สมดุล ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณเชิงกรานอ่อนแอ, เข่า : ต้องรับน้ำหนักมากขึ้น อาจทำให้เกิดอาการปวด โรคกระดูก หรือข้อต่ออักเสบตามมา, น่อง : การเดินเขย่งจะทำให้กล้ามเนื้อน่องสั้นขึ้น, ข้อเท้า : การขยับข้อเท้าในขณะสวมรองเท้าอยู่นั้น หากทำผิดจังหวะ อาจทำให้ข้อเท้าแพลง, เท้า : ส่วนที่รับบทหนัก เพราะต้องรักษาดุลไปด้านหน้า ส่งผลต่อกระดูกที่ฝ่าเท้าอาจมีอาการปวดเมื่อย จนอักเสบ การใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่งจะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่การปวดหลัง

อาการทั้งหมดที่กล่าวมา ไม่จำเป็นว่าจะต้องเกิดขึ้นกับคุณผู้หญิงทุกคนเสมอไป เพราะแต่ละคนมีรูปเท้า หรือลักษณะเท้าที่แตกต่างกัน เช่น รูปเท้าเรียว อวบนูน จะไม่ค่อยเกิดปัญหา แต่รูปเท้าแบนราบ มักเกิดอาการปวดเมื่อย ทั้งนี้เพราะฝ่าเท้าจะสัมผัสกับพื้นรองเท้ามากเป็นพิเศษ ประกอบกับพื้นรองเท้าส่วนใหญ่จะแคบ ทำให้เท้าถูกบีบรัดตัว ผู้มีรูปเท้าแบน จึงควรเลือกรองเท้าพื้นกว้างๆ จะปลายกว้างหรือปลายแหลมก็ได้

หากมีอาการปวดเมื่อยเท้า ควรแช่ด้วยน้ำอุ่นจัด ด้วยระดับน้ำที่สูงถึงครึ่งน่อง นาน 10-15 นาที พร้อมทั้งออกกำลังเท้าและนิ้วเท้า โดยกระดกปลายเท้าขึ้น-ลง เหยียดงอนิ้วเท้า หันฝ่าเท้าสลับเข้า-ออก หรือใช้มือบีบนวดบริเวณอุ้งเท้า ซึ่งเป็นส่วนที่มีเส้นเลือดและเส้นประสาทจำวนวนมาก จะช่วยบรรเทาอาการเมื่อยลงได้

สำหรับผู้ที่มีอาการเท้าแพลง เบื้องต้นในระยะ 1-2 วันแรก ใช้น้ำแข็งประคบ 5-10 นาที วันละ 2-3 ครั้ง พันด้วยผ้ายืด พักการใช้งานข้อเท้า หากอาการยังไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อใช้งานเท้าหนัก ก็ควรดูแลเท้าด้วยวิธีง่ายๆ ทำได้ที่บ้าน อย่างการทำ ‘สปาเท้า’ เพราะแค่มีมะขามเปียก สบู่เหลวหรือสบู่ก้อน แปรงสีฟันเก่าที่เลิกใช้ สำลี โทนเนอร์ และโลชั่นน้ำนม ก็สามารถทำได้แล้ว

เริ่มจากการขัดด้วยมะขามเปียก ตามด้วยสบู่ ขัดไปเรื่อยๆ ให้รู้สึกผ่อนคลาย นำแปรงสีฟันมาถูบริเวณรอยดำ รอยด้าน จากนั้นใช้สำลีชุบโทนเนอร์ ขัดบริเวณที่ด้าน เช่น ส้นเท้า สุดท้ายค่อยลงโลชั่นน้ำนมให้ทั่ว คุณก็จะได้เท้าที่สะอาด ผ่อนคลาย หากพอมีเวลาควรทำสปาเท้าอย่างน้อย 1 ครั้งต่อสัปดาห์

เห็นทีคุณผู้หญิงคงจะต้องพิถีพิถันกับการดูแลเท้าให้มากขึ้น หากไม่สามารถเลิกสวมรองเท้าส้นสูงทั้งๆ ที่มีอาการปวดเมื่อย ก็ควรลดความสูงลงบ้าง รวมทั้งการฝึกเดิน-ยืน โดยการเขย่ง คล้ายๆ กับเวลาที่สวมรองเท้าส้นสูงเพื่อสร้างความคุ้นเคย และอย่าลืมดูแลเท้าตามคำแนะนำ เพื่อสุขภาพเท้าที่ดี และการเดินบนรองเท้าส้นสูงคู่สวยด้วยความมั่นใจ.

โรคของนักช้อป

โรคของนักช้อป

พญ.รัตนา รัตนาธาร ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู

การถือกระเป๋าหรือหิ้วถุงช้อปปิ้งกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้หญิงไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาวนักช้อปและแม่บ้าน การซื้อแต่ละครั้งก็จำนวนถุงน้อยบ้างมากบ้างตามภาวะโอกาส แต่ผู้หญิงมักจะลืมตัวซื้อของ หิ้วพะรุงพะรังเต็มมืออย่างในช่วงลดราคากระหน่ำซัมเมอร์เซล ซึ่งกระเป๋าถือและถุงช้อปปิ้งแสนหนักนี้ที่หิ้วกันแบบลืมตัวนี้เองทำให้เกิดโรคของนักช้อปขึ้น

โรคของนักช้อปมักเกิดกับหลัง ไหล่ ข้อศอก ข้อมือ มือ หรือนิ้วมือ เป็นต้น เนื่องมาจากต้องแบกรับน้ำหนักมากเกินไปเป็นเวลานานประจำ เป็นสาเหตุของอาการมากาย เช่น

• ปวดกล้ามเนื้อ (muscle pain, myofascial pain) เพราะสะพายกระเป๋าหรือถุงหนักและหลายใบ ทำให้กล้ามเนื้อทำงานหนัก เกิดการหดเกร็งตัว มักปวดกล้ามเนื้อบริเวณสะบักทั้งสองข้าง ปวดไหล่ ปวดหลัง

• ปวดเข่า ปวดหลัง เกิดจากการใส่รองเท้าไม่เหมาะสมเวลาเดินช้อปปิ้ง เช่น รองเท้าส้นสูงมากๆ เดินนาน ๆ อาจทำให้เส้นประสาทบริเวณข้อเท้าถูกกด (anterior tarsal tunnel) ทำให้เกิดอาการชาบริเวณนิ้วโป้งเท้าได้ เป็นต้น

• เส้นประสาทถูกกดทับที่บริเวณข้อมือ (Carpal tunnel syndrome) อาจเกิดขึ้นกับผู้หญิงที่ชอบคล้องกระเป๋าถือหรือถุงหิ้วที่แขนหรือข้อมือ (สไตล์ท่าทางแบบแม่บ้านญี่ปุ่น) ทำให้ชาที่บริเวณมือหรือปวดข้อมือมาก บางคนชาที่ปลายนิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลางและปลายนิ้วอีกครึ่งของนิ้วนาง หรือบางคนอาจปวดร้าวเหมือนถูกไฟช็อตวิ่งอยู่ตลอดเวลา ถ้าเป็นมากอาจทำให้มีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้ออุ้งมือได้

• เอ็นอักเสบ เป็นที่เอ็นข้อหัวไหล่อักเสบ (Rotator cuff tendinitis) เอ็นบริเวณข้อศอกอักเสบ ปลอกหุ้มเอ็นบริเวณนิ้วโป่งอักเสบ (Dequervian tenosynovitis) และถ้าหิ้วถุงหนักมากๆ อาจทำให้ปลอกหุ้มเอ็นบริเวณนิ้วอักเสบ หากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เกิดพังผืดรัดบริเวณข้อนิ้ว เกิดภาวะนิ้วล็อกตามมาได้ เรียกภาษาไทยว่า ภาวะนิ้วล็อกไกปืน (Trigger finger)

แต่อาการปวดสารพัดที่พูดถึงสามารถบรรเทาและป้องกันได้ด้วยวิธีง่ายๆ คือ

• หลีกเลี่ยงการหิ้ว ถือหรือสะพายกระเป๋า ไม่ควรใช้ใบใหญ่มาก เพราะยิ่งมีขนาดใหญ่มากเท่าไหร่ ก็จะเผลอใส่ของมาก น้ำหนักก็จะมากตาม เปลี่ยนมาเป็นใบขนาดกลางหรือเล็กให้เหมาะสมกับรูปร่างตนเองดีกว่า

• ใช้บริการฝากหรือใช้รถเข็นของที่ห้างสรรพสินค้า อาจจะต้องเดินไปฝากหลายเที่ยวหรือคืนรถเข็นไกลสักหน่อย แต่ดีกว่าสุขภาพกายแย่ทีหลัง หรือนำกระเป๋าหรือตะกร้าลากของขนาดย่อมติดตัวไปเองเลย

• ใส่รองเท้าสบายๆ ยามเดินช้อปปิ้ง

• บริหารข้อนิ้ว ข้อมือ ข้อศอก และไหล่ สำหรับสาวนักช้อปตัวยงควรจะฝึกบริหารอวัยวะเหล่านี้สม่ำเสมอ เพื่อป้องกันการเคล็ดหรือเอ็นอักเสบง่าย เริ่มจากข้อนิ้วโดยการใช้นิ้วโป้ง นิ้วชี้และนิ้วกลางทาบกับกำแพง ไล่ไต่ขึ้น-ลง 10 ครั้ง บริหารข้อมือ กำมือทั้ง 2 ข้างและแบเหยียดให้สุด ทำประมาณ 10 ครั้ง และกำมือหมุนข้อมือเป็นวงกลมซ้าย-ขวา 10 ครั้ง บริหารข้อศอก งอข้อศอกแขนทั้ง 2 ข้างประสานกัน (คล้ายท่ากอดอก) กำมือแขนข้างขวา ส่วนมืออีกข้างแบมือรองข้อศอกไว้ จากนั้นให้ออกแรงต้านกันและกัน ทำค้าง 6-7 วินาที และทำสลับกันอีกข้าง บริหารไหล่ หมุนแขนไปข้างหน้า-หลัง เป็นวงกลม ข้างละ 10 ครั้ง

• ใช้แผ่นประคบร้อน-เย็นบรรเทาปวด หากรู้สึกปวดกล้ามเนื้อ เช่น บริเวณหัวไหล่ สามารถใช้แผ่นประคบเย็น เพื่อลดอาการปวดบวมใน 1-2 วันแรก หลังจากนั้นใช้แผ่นประคบร้อนพร้อมยืดกล้ามเนื้อเบาๆ หรือจะใช้ยานวดหรือรับประทานยาแก้ปวดบรรเทาด้วยก็ได้ แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบไปปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ผู้หญิงกับการช้อปปิ้งนั้นเป็นของคู่กันนะคะ ครั้งหน้าเราคงต้องเตรียมพร้อมก่อนออกช้อปปิ้งตามคำแนะนำดังกล่าว หรือหาหนุ่มไปช่วยหิ้วของก็ดีไม่น้อยนะคะ

ยืนเพื่อสุขภาพ

ยืนเพื่อสุขภาพ

ชาวโลกนับล้านคน (คุณอาจจะเป็นหนึ่งในนั้น) ตั้งปณิธานว่าจะเริ่มดูแลสุขภาพด้วยวิธีการต่างๆ นานา ตั้งแต่วันขึ้นปีใหม่เป็นต้นมา ไม่รู้แต่ละคนจะปฏิบัติตัวได้ยืนยงสักแค่ไหน เพราะการศึกษาสดๆ ร้อนๆ พบว่าเพียงเวลาผ่านไปแค่เดือนเดียว ก็เหลือคนที่ทำตามปณิธานได้คงเส้นคงวา แค่ 2 ใน 3 เท่านั้น

รายงานจากกรุงนิวยอร์กทำนายว่า ถ้าเป็นไปตามผลการศึกษาดังกล่าว ถัดจากนี้อีกหนึ่งเดือน คนที่ตั้งปณิธานเอาไว้ว่าจะลุกขึ้นมาออกกำลังเพื่อดูแลสุขภาพให้ได้นั้น จะเหลืออยู่เพียง 1 ใน 3 ที่พยายามไปรีดเหงื่อตามฟิตเนสอาทิตย์ละครั้ง และหากเวลาล่วงเลยไปจนสิ้นปี คนที่ตั้งใจดีในเรื่องสุขภาพจะเหลือแค่ 1 ใน 10 ที่ยังกัดฟันปฏิบัติตัวตามปณิธานที่ตั้งไว้

แม้จะเป็นธรรมดาโลก…แต่ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเหลือเกิน

อย่างไรก็ดี ยังมีข่าวปลอบใจจากผู้เชี่ยวชาญเรื่องการออกกำลัง ว่าหากคุณไม่มีเวลาหรือไม่มีโอกาสได้ทำอะไรเลยเพื่อออกกำลังกายอย่างจริงจังในแต่ละวัน ทว่าถ้าคุณได้ยืนบ้าง แทนที่จะนั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนโซฟาหรือนั่งหลังขดหลังแข็งที่โต๊ะทำงานเกือบตลอดวัน มันก็จะส่งผลดีต่อสุขภาพได้เช่นกัน

ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นอธิบายว่า เวลาที่เรายืน ไฟธาตุจะเผาผลาญอาหารได้รุนแรงกว่าเวลานั่ง ดังนั้นการยืนจึงสามารถเผาผลาญไขมันให้หมดไปได้มากกว่าที่เหลือค้างอยู่

ได้ยินแบบนี้ คนในเมืองหลวงจำนวนมากคงยิ้มออก โดยเฉพาะคนที่ต้องยืนห้อยโหนอยู่บนรถเมล์หรือรถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดิน เวลาเดินทางไปทำงานในช่วงเร่งด่วนทั้งตอนเช้าและตอนเย็น

สูตรพอกหน้า สำหรับสาวนักเที่ยวไม่ให้โทรมข้ามปี

สูตรพอกหน้า สำหรับสาวนักเที่ยวไม่ให้โทรมข้ามปี

สำหรับสาวๆ ที่กังวลกับอาการอักเสบของสิว และรอยดำใต้ขอบตา ที่เป็นของแถมมาพร้อมการนอนดึกและปาร์ตี้จนเหนื่อย แนะนำ มาส์กสลัดผัก เหมาะสำหรับคนผิวมัน ช่วยให้ใบหน้าสดใส และช่วยให้ค่า ph บนใบหน้ามีความสมดุลมากขึ้น

ส่วนผสม

มะเขือเทศ 1/2 ลูก

แตงกวา 1/2 ถ้วย

พารสลีย์ 2 ช้อนโต๊ะ

เลมอนคั้งเฉพาะน้ำ 1 ช้อนชา

ไข่ขาว 1 ฟอง

วิธีทำ

นำมะเขือเทศ แตงกวา และพาร์สลีย์ ปั่นจนเข้ากัน แล้วแยกกากออก เหลือแต่น้ำ จากนั้นผสมน้ำเลมอนและไข่ขาวลงไป ปั่นให้เข้ากันอีกครั้ง ก่อนนำมาใช้มาร์กหน้า ทิ้งไว้ให้แห้ง แล้วจึงค่อยลอกออก

ปล. อย่าลืมล้างผักด้วยน้ำยาสำหรับล้างผักให้สะอาดก่อนนะคะ เพราะสารพิษจากยาฆ่าแมลงอาจตกค้างอยู่บนผิวหน้าเราได้

สำหรับสาวที่ปาร์ตี้ไม่จัดมาก แต่อยากบำรุงให้ผิวหน้าดูกระจ่างใสอยู่เสมอ ต้องสูตรนี้ค่ะ

มาสก์สลัดผลไม้ เหมาะกับคนผิวผสมถึงแห้ง ช่วยให้ผิวหน้าได้รับประโยชน์จากวิตามินซี ส่วนโยเกิร์ตและน้ำผึ้งช่วยทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น

ส่วนผสม

โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1/2 ถ้วย

กล้วย 1/2 ลูก

น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา

แอปเปิ้ลเขียว 1/2 ลูก (ปอกเปลือกหั่นลูกเต๋า)

วิธีทำ

นำส่วนผสมทั้งหมด ปั่นให้เข้ากันเป็นเนื้อละเอียด แล้วนำมาพอกหน้า ทิ้งไว้ 15-20 นาที ก่อนล้างออกด้วยน้ำอุ่น

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

อาหารยอดเยี่ยม 5 ชนิด ที่ปฏิเสธไม่ได้

การมีสุขภาพดีเป็นที่ปรารถนาของทุกคน อาหารเพื่อสุขภาพ จึงมีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้น นอกจากนี้ โรคเรื้อรังบางชนิด ไม่อาจรักษาหรือควบคุมได้ด้วยการใช้ยาเพียงอย่างเดียว ต้องอาศัยโภชนบำบัดและการปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิตที่เหมาะสม เพื่อบำรุงร่างกายและต้านโรคด้วย ซึ่งไม่เพียงแต่ในบ้านเราเท่านั้นที่หันมาบริโภคอาหารจากธรรมชาติ ชาวต่างชาติก็มีเคล็ดลับในการบริโภคอาหารไม่แพ้กัน แต่ละประเทศก็จมีอาหารยอดเยี่ยมที่ใช้ในการดูแลสุขภาพ อะไรบ้างเรามาดูกันเลยดีกว่า..

อาหารยอดเยี่ยม 5 ชนิดที่ปฏิเสธไม่ได้

สเปน : น้ำมันมะกอก

ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่ามะกอกของไทยกับฝรั่งนั้นเป็นคนละพันธุ์กัน มะกอกของฝรั่งที่มีชื่อว่า โอลีฟ (olive) มีน้ำมันที่มีคุณประโยชน์มาก ซึ่งชาวสเปนถือเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมในการปรุงอาหาร ที่ได้รับการสืบทอดกันมานาน และบริโภคกันทุกมื้ออาหาร โดยสเปนถือเป็นประเทศที่มีกำลังการผลิตน้ำมันมะกอกมากกว่า 40% ของโลก

คุณประโยชน์ : น้ำมันกอกมีกรดไขมันชนิดที่เป็นประโยชน์กับร่างกายสูง นอกจากจะเป็นไขมันชั้นดีแล้ว ยังมีฤทธิ์เป็นสารแอนติออกซิแดนท์ ที่เป็นตัวควบคุมระดับคอเลสเทอรอลที่ไม่ดีในเลือด และเพิ่มระดับคอเลสเทอรอลที่ดี (เอชดีแอล) จึงช่วยป้องกันโรคหัวใจ ที่สำคัญในน้ำมันมะกอกยังประกอบด้วยวิตามินเอและอี ที่เป็นสารแอนติออกซิแดนท์ ที่ช่วยป้องกันการเสื่อมของเซล และช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง นอกจากนั้นงานวิจัยใหม่ๆ ยังแสดงให้เห็นว่าน้ำมันมะกอกมีสารพฤกษเคมีตามธรรมชาติ ซึ่งมีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่คล้ายกับที่พบในยาแก้ปวด แก้อักเสบที่ไม่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ (ibuprofen)

ญึ่ปุ่น : ถั่วเหลือง

ถั่วเหลืองธัญพืชชั้นยอด ที่เป็นแหล่งของโปรตีนที่มีคุณภาพและมีไขมันที่ดี รวมทั้งยังมีส่วนประกอบของวิตามิน เกลือแร่ และพฤกษเคมีต่างๆ รวมทั้งไขมันโอเมกา 3 และไม่มีคอเลสเทอรอล ในประเทศญี่ปุ่นมีการใช้ถั่วเหลืองในการประกอบอาหารเกือบทุกชนิด ตั้งแต่ซอสถั่วเหลือง (แพร่หลายเหมือนกับซอสมะเขือเทศ) ไปถึงน้ำมันพืช เต้าหู้ และถั่วเหลืองหมักที่เรียกกันว่า มิโซะ

คุณประโยชน์ : สารไอโซฟลาโวนส์ (isoflavones) ในถั่วเหลืองมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโทรเจน มีส่วนช่วยป้องกันโรคมะเร็งที่ขึ้นกับระดับฮอร์โมน (มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก) และภาวะกระดูกพรุน แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ งานวิจัยหลายๆ ชิ้นชี้แนะว่า ถั่วเหลืองมีผลดีต่อสุขภาพของหัวใจ

กรีซ : โยเกิร์ต

นมเปรี้ยวหรือโยเกิร์ต คือนมสดที่นำมาหมักกับเชื้อจุลินทรีย์ กระทั่งน้ำตาลแลคโตสในนมเปลี่ยนเป็นกรดแลคติก มีลักษณะข้นเป็นครีมและมีรสเปรี้ยว มีโปรตีนและแคลเซียมสูง โยเกิร์ตถือเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่ชาวกรีซบริโภคกันมานับพันๆ ปี

คุณประโยชน์ : โยเกิร์ตมีจุลินทรีย์ที่ดีมีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยในการย่อยน้ำตาลในนม เช่น แลคโตบาซิลัส แอซิโดฟิลัส เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง เพิ่มภูมิต้านทาน ลดความดัน เสริมสร้างสุขภาพในลำไส้และช่องคลอด และอาจมีผลช่วยป้องกันมะเร็งและช่วยลดน้ำหนักได้ นอกจากนี้โยเกิร์ตของชาวกรีซ ไม่ให้น้ำตาลมากเกินไปเหมือนโยเกิร์ตของประเทศอเมริกาด้วย

อินเดีย : ถั่วเลนทิล

เลนทิล (Lentils) เป็นเมล็ดถั่วมีลักษณะกลมๆ แบนๆ มีหลายสี เช่น น้ำตาล เขียว แดง และเหลือง เลนทิลมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์มาก ชาวอินเดียจึงนิยมบริโภคพร้อมกับข้าวหรือขนมปังในทุกๆ มื้ออาหารและอินเดียยังเป็นทั้งแหล่งผลิต และแหล่งบริโภคถั่วเลนทิลที่ใหญ่ที่สุดในโลก

คุณประโยชน์ : อาหารสุดยอดนี้ให้โปรตีนและไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำได้ ซึ่งช่วยลดคอเลสเทอรอลลงได้ และยังให้ธาตุเหล็กมากกว่าพืชตระกูลถั่วอื่นๆ ถึง 2 เท่า และถั่วเลนทิลยังมีวิตามินบีและโฟเลตสูงอีกด้วย ซึ่งโฟเลตมีความสำคัญต่อหญิงวัยเจริญพันธุ์ เพราะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติของระบบสมองในเด็กทารกแรกคลอด

เกาหลี : กิมจิ

กิมจิ ผักกะหล่ำปลีดองที่มีส่วนผสมของเครื่องเทศที่ให้รสชาติเผ็ดๆ ถือเป็นอาหารประจำชาติของชาวเกาหลีที่จัดเป็นอาหารประเภท "เครื่องเคียง" ที่ขึ้นโต๊ะอาหารได้ทุกมื้อ ปกติชาวเกาหลีจะบริโภคกิมจิคนละประมาณ 20 กิโลกรัมต่อปี

คุณประโยชน์ : กิมจิ นอกจากกินอร่อยแล้วยังมีสารอาหารที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายมาก อาทิ อุดมด้วยเส้นใยอาหาร เต็มไปด้วยวิตามินเอ ซี บี และมีแคลอรีต่ำ แต่คุณประโยชน์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด คือ มีแบคทีเรียชนิดแลคโตแบซิไลที่ให้ประโยชน์ในการช่วยย่อยอาหาร

คุณสามารถเลือกอาหารยอดเยี่ยมจาก 5 ประเทศเป็นส่วนหนึ่งในอาหารชีวิตประจำวันได้ไม่ยาก แล้วคุณจะรู้ว่าสุขภาพดีๆ อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)เลขที่ 33

เมินอาหารเส้นใยระวังมะเร็งถามหา ตื่นตัวกินของนอกแพง - แนะผักพื้นบ้านมีเบต้าแคโรทีนสูง

ร.พ.รามาธิบดี - ดร.สุภัจฉรา นพจินดา สำนักงานวิจัยคณะแพทยศาสตร์ ร.พ.รามาธิบดี เผยถึงการกินอาหารที่ไม่มีเส้นใย เช่น กินนม เนย เนื้อสัตว์ อาหารที่มีไขมันล้นเกิน แป้งขัดขาว แต่ไม่กินเส้นใย เช่น ผักสด ผลไม้สด ข้าวกล้อง ข้าวโพด โอกาสที่จะเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่สูง

เนื่องจากอาหารประเภทเนื้อสัตว์และไขมันเมื่อถูกขับกับน้ำย่อยแล้วจะเหนียวหนึบเป็นยางมะตอยติดอยู่กับผนังลำไส้ใหญ่ มิหนำซ้ำยังมีกรดน้ำดีอยู่ด้วย พอมันติดหนึบเป็นตะกรันอยู่ในตัวเราไม่ถูกถ่ายทิ้ง แบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ก็กินกรดน้ำดีต่อทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง เกิดเป็นมะเร็งของลำไส้ใหญ่ในที่สุด

ตรงกันข้ามหากเรากินอาหารที่มีเส้นใยจากผัก ผลไม้ ข้าวกล้อง ฯลฯ เส้นใยเหล่านี้

จะไปทำให้กรดน้ำดีในอุจจาระเจือจางลง ป้องกันการเกิดตะกรันที่ติดหนึบเป็นหมากฝรั่ง และเกิดการถ่ายทิ้งออกนอกร่างกายทุกวัน แบคทีเรียจึงไม่ทันย่อยกรดน้ำดี และไม่เกิดสารก่อมะเร็ง จะเห็นว่ามะเร็งลำไส้ใหญ่ป้องกันได้เพียงแต่กินอาหารประเภทผัก ผลไม้วันละมาก ๆ หันมากินข้าวกล้องแทนข้าวขาว ปัญหาท้องผูกก็จะหมดไป อย่าลืมว่าเมื่อใดลำไส้ใหญ่สกปรกมะเร็งจะถามหา ถ้าลำไส้ใหญ่สะอาดก็จะปลอดภัยจากโรคนี้

ดร.สุภัจฉรากล่าวอีกว่า มีผู้ตระหนักถึงภัยมะเร็งตื่นตัวและหันมากินผัก ประเภทแครอต บร็อกโคลี่ ลูกพรุน ส่วนมากต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศทำให้ราคาแพง และหายาก แต่หากหันมากินผักในประเทศซึ่งมีหลายประเภทและมีเบต้าแคโรทีนไม่น้อยไปกว่ากัน เช่น ยอดมะยม มีเบต้าแคโรทีนสูง ผักโขมที่หาง่ายในเมืองไทย ตำลึง มีแคลเซี่ยมและเบต้าแคโรทีนสูง กระถิน ยอดแคที่ใช้ลวกจิ้มน้ำพริก นอกจากนี้ยังมีชะพลู

"ยังมีอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น ผัก ผลไม้ต่างๆ เพื่อป้องกันมะเร็งหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ควบคุมน้ำหนักตัวโรคอ้วนมีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็งมดลูก ถุงน้ำดี เต้านม และลำไส้ใหญ่ การออกกำลังกายและลดรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูงจะช่วยป้องกันมะเร็งเหล่านี้ได้"

สำหรับปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดมะเร็ง เกิดจากปัจจัยภายนอกร่างกาย เช่น รับสารพิษจากเชื้อราที่มาพร้อมกับอาหารที่เรากิน เช่น ถั่วลิสง ถั่วคั่วป่น ข้าวโพด พริกแห้ง ข้าวฟ่าง การปิ้ง ย่าง เผารมควัน ทอดเนื้อสัตว์ อาหารที่มีเกลือไนเตรต เช่น ไส้กรอก เบคอน แหนม

ส่วนปัจจัยภายในร่างกาย เช่น พันธุกรรม ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องขาดสารอาหารบางอย่าง เช่น ขาดวิตามินเอเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งระบบทางเดินหายใจได้

อนุสรา ทรงสวัสดิ์วงค์

กาแฟ

หลังจากตื่นนอนตอนเช้าได้กาแฟหอมๆสักแก้วจะรู้สึกกระชุ่มกระชายตลอดทั้งเช้า บางท่านรับกาแฟและขนมบางอย่างเป็นอาหารเช้า หลังจากทำงานก็ยังมี coffee break บางท่านยังดื่มหลังอาหารเที่ยงและตอนสายๆ ยิ่งต้องเข้าประชุมกาแฟหอมๆสักแก้วจะทำให้สดชื่นหายง่วง ปัจจุบันการดื่มกาแฟเป็นที่นิยมการอย่างแพร่หลายตามปั้มน้ำมัน ตามห้างสรรพสินค้ามีการขายอย่างมากมาย จะเห็นได้ว่ากาแฟเป็นส่วนหนึ่งหรือบางคนอาจจะเป็นส่วนสองส่วนสามของชีวิตประจำวัน แต่จะมีใครกังวลหรือไม่ว่าที่เราดื่มทุกวันวันละหลายแก้วแล้วมันมีโทษ หรือคุณประโยชน์อะไรบ้าง หากคุณเป็นคอกาแฟคุณควรจะอ่านบทความนี้

ส่วนประกอบที่สำคัญของกาแฟ

ส่วนประกอบที่สำคัญของกาแฟคือ caffeine หรือมีชื่อทางเคมีว่า 1,3,7-trimethylxanthine ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของยาขยายหลอดลม theophylline

caffeine สามารถพบได้ในหลายชนิดได้แก่ เมล็ดคา เมล็ดกาแฟ ใบชา โคลา caffeineถูกผสมลงในน้ำอัดลม ยาแก้หวัดบางชนิด ยาแก้ปวด ยาลดน้ำหนัก

กาแฟจะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วหลังจากที่เราดื่มกาแฟและจะถูกขับออกไปครึ่งหนึ่งในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมงกาแฟจะไม่สะสมในร่างกายโดยจะถูกทำลายและขับออกหมด ผู้ที่สูบบุหรี่จะมีการขับถ่ายกาแฟมากกว่าผู้ที่ไม่สูบดังนั้นคนที่สูบบุหรี่หากต้องการการกระตุ้นของกาแฟจะต้องดื่มกาแฟบ่อยกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ คนท้องและผู้ที่กินยาคุมกำเนิดจะมีการขับกาแฟน้อยกว่าคนทั่วไป กาแฟจะออกฤทธิ์โดยการกระตุ้นสมองทำให้รู้สึกสดชื่นและมีสมาธิ

ปริมาณcaffeine ที่มีในเครื่องดื่มแต่ละชนิดขึ้นกับความเข้มข้น ตารางข้างล่างเป็นตัวอย่างปริมาณกาแฟ

Milligrams of Caffeine

ชนิดของเครื่องดื่ม

ปริมาณ

Range*

Coffee (150ml cup)

ต้ม, drip method

เครื่องต้มกาแฟ

กาแฟสำเร็จ

Decaffeinated

Espresso (30ml cup)

115

80

65

3

40

60-180

40-170

30-120

2-5

30-50

Teas (150ml cup)

ชาที่ต้ม

ชาเป็นซอง

ชาเย็น (240ml glass)

40

30

45

20-90

25-50

45-50

น้ำอัดลม (180ml)

18

15-30

Cocoa beverage (150ml)

4

2-20

นมรสChocolate (240ml)

5

2-7

Chocolateนม (30g)

6

1-15

Dark chocolate, semi-sweet (30g)

20

5-35

Cooking chocolate (30g)

26

26

นักวิทยาศาสตร์ประมาณว่าวันหนึ่งๆเราจะรับสาร caffeine ประมาณ 250-600 มก.ซึ่งไม่เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย

ผลดีของกาแฟ

กาแฟจะกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางทำให้ไม่ง่วง สมาธิในการทำงานดีขึ้น ผู้ที่ดื่มกาแฟจะทำให้ไม่ง่วงนอน มีสมาธิในการทำงาน และยังทำให้ความสามารถในการทำงานดีขึ้น และยังลดอาการปวดเมื่อยเนื่องจากไขหวัด

ผลต่อสมรรถภาพของร่างกายดีขึ้น เช่นการขี่จักรยาน การว่ายน้ำ เล่นกีฬาได้นานขึ้น

ผลดีของกาแฟจะทำให้ไม่ง่วงนอนโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเป็นกะ และช่วยลดอุบัติเหตุขณะขับรถ

กระตุ้นอวัยวะของร่างกายและเพิ่มการเผาผลาญไขมันและช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย กาแฟจะมีฤทธิ์ขับปัสสาวะอ่อนๆดังนั้นขณะออกกำลังกายหรือหลังออกกำลังกายไม่ควรรับเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาแฟเพราะจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ

ดื่มนานๆจะติดกาแฟหรือไม่

องค์การอนามัยโลกกล่าวว่าไม่มีหลักฐานว่ากาแฟจะเป็นสารซึ่งหากดื่มนานๆแล้วจะเสพติด การดื่มกาแฟจะเป็นนิสัยมากกว่าเสพติดเนื่องจากไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณของกาแฟ และเมื่อหยุดกาแฟบางคนก็เกิดอาการปวดหรือมึนศีรษะเพียงเล็กน้อย

ผลดีของกาแฟต่อสุขภาพ

โรคหอบหืด มีรายงานว่าการดื่มกาแฟวันละ 3 แก้วจะลดอาการหอบหืด หากดื่มมากกว่า 6 แก้วการทดสอบสมรรถภาพปอดจะดีขึ้น

กาแฟก็เหมือนกับพืชอื่นๆมีสาร flavanoid ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ

การดื่มกาแฟจะลดอาการง่วงนอน และทำให้มีสมาธิในการทำงานดีขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเป็นกะ และลดอุบัติเหตุขณะขับขี่

กาแฟช่วยลดอาการซึมเศร้าและคลายความวิตกกังวล

การดื่มกาแฟเป็นประจำจะลดอุบัติการณ์การเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ และยังลดอุบัติการณ์ของนิ่วในถุงน้ำดี

มีหลักฐานพอจะเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่เมื่อดื่มวันละ 4 แก้ว

กาแฟกันสุขภาพสตรี

กาแฟกับการตั้งครรภ์ The Food Standards Agency ก่อนหน้านี้มีความเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะเป็นผลเสียต่อการตั้งครรภ์ แต่จากหลักฐานยังไม่พบผลเสียดังกล่าว ประเทศอังกฤษได้แนะนำว่าการดื่มวันละ 3-4 แก้วขณะตั้งครรภ์ไม่เกิดผลเสีย สำหรับผู้ที่ตั้งท้องหากงดได้ก็น่าจะงด

การเป็นหมัน พบว่าหากดื่มกาแฟมากกว่า 1แก้วจะมีโอกาสเกิดการเป็นหมันเพิ่มขึ้น

กาแฟกับโรคกระดูกพรุน

ยังมีรายงานทั้งสนับสนุนว่าการดื่มกาแฟทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน บางรายงานก็กล่าวว่าไม่เกิดโรค ผู้ที่เกิดโรคกระดูกพรุนมักจะได้รับแคลเซียมไม่พอแนะนำว่าควรจะดื่มนมเริมสำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 2 แก้วขึ้นไป

กาแฟกับโรคมะเร็ง

มีรายงานจากWorld Cancer Research Fund ว่าการดื่มกาแฟปริมาณปานกลางไม่มีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็ง

มีรายงานกล่าวว่าการดื่มกาแฟมีผลดีต่อการป้องกันมะเร็งตับอ่อนเล็กน้อย

มีรายงานว่าการดื่มกาแฟอาจจะมีผลป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ๋

กาแฟกับโรคหัวใจ

เท่ามีรายงานขณะนี้พบว่าการดื่มกาแฟวันละ 4 แก้วไม่มีความสัมพันธ์กับโรคหัวใจ

การดื่มกาแฟเป็นประจำไม่ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น การดื่มกาแฟครั้งแรกจะทำให้ความดันขึ้นชั่วคราว

กาแฟกับโรคเบาหวาน

จากการศึกษาพบว่าการดื่มกาแฟจะทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินเพิ่มขึ้น 15 % กรดไขมันในเลือดเพิ่มขึ้น ฮอร์โมน epinephrineเพิ่มสูงขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน

อนุสรา ทรงสวัสดิ์วงค์ เลขที่ 16 (ภาคค่ำ)

กาแฟ

หลังจากตื่นนอนตอนเช้าได้กาแฟหอมๆสักแก้วจะรู้สึกกระชุ่มกระชายตลอดทั้งเช้า บางท่านรับกาแฟและขนมบางอย่างเป็นอาหารเช้า หลังจากทำงานก็ยังมี coffee break บางท่านยังดื่มหลังอาหารเที่ยงและตอนสายๆ ยิ่งต้องเข้าประชุมกาแฟหอมๆสักแก้วจะทำให้สดชื่นหายง่วง ปัจจุบันการดื่มกาแฟเป็นที่นิยมการอย่างแพร่หลายตามปั้มน้ำมัน ตามห้างสรรพสินค้ามีการขายอย่างมากมาย จะเห็นได้ว่ากาแฟเป็นส่วนหนึ่งหรือบางคนอาจจะเป็นส่วนสองส่วนสามของชีวิตประจำวัน แต่จะมีใครกังวลหรือไม่ว่าที่เราดื่มทุกวันวันละหลายแก้วแล้วมันมีโทษ หรือคุณประโยชน์อะไรบ้าง หากคุณเป็นคอกาแฟคุณควรจะอ่านบทความนี้

ส่วนประกอบที่สำคัญของกาแฟ

ส่วนประกอบที่สำคัญของกาแฟคือ caffeine หรือมีชื่อทางเคมีว่า 1,3,7-trimethylxanthine ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของยาขยายหลอดลม theophylline

caffeine สามารถพบได้ในหลายชนิดได้แก่ เมล็ดคา เมล็ดกาแฟ ใบชา โคลา caffeineถูกผสมลงในน้ำอัดลม ยาแก้หวัดบางชนิด ยาแก้ปวด ยาลดน้ำหนัก

กาแฟจะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วหลังจากที่เราดื่มกาแฟและจะถูกขับออกไปครึ่งหนึ่งในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมงกาแฟจะไม่สะสมในร่างกายโดยจะถูกทำลายและขับออกหมด ผู้ที่สูบบุหรี่จะมีการขับถ่ายกาแฟมากกว่าผู้ที่ไม่สูบดังนั้นคนที่สูบบุหรี่หากต้องการการกระตุ้นของกาแฟจะต้องดื่มกาแฟบ่อยกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ คนท้องและผู้ที่กินยาคุมกำเนิดจะมีการขับกาแฟน้อยกว่าคนทั่วไป กาแฟจะออกฤทธิ์โดยการกระตุ้นสมองทำให้รู้สึกสดชื่นและมีสมาธิ

ปริมาณcaffeine ที่มีในเครื่องดื่มแต่ละชนิดขึ้นกับความเข้มข้น ตารางข้างล่างเป็นตัวอย่างปริมาณกาแฟ

Milligrams of Caffeine

ชนิดของเครื่องดื่ม

ปริมาณ

Range*

Coffee (150ml cup)

ต้ม, drip method

เครื่องต้มกาแฟ

กาแฟสำเร็จ

Decaffeinated

Espresso (30ml cup)

115

80

65

3

40

60-180

40-170

30-120

2-5

30-50

Teas (150ml cup)

ชาที่ต้ม

ชาเป็นซอง

ชาเย็น (240ml glass)

40

30

45

20-90

25-50

45-50

น้ำอัดลม (180ml)

18

15-30

Cocoa beverage (150ml)

4

2-20

นมรสChocolate (240ml)

5

2-7

Chocolateนม (30g)

6

1-15

Dark chocolate, semi-sweet (30g)

20

5-35

Cooking chocolate (30g)

26

26

นักวิทยาศาสตร์ประมาณว่าวันหนึ่งๆเราจะรับสาร caffeine ประมาณ 250-600 มก.ซึ่งไม่เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย

ผลดีของกาแฟ

กาแฟจะกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางทำให้ไม่ง่วง สมาธิในการทำงานดีขึ้น ผู้ที่ดื่มกาแฟจะทำให้ไม่ง่วงนอน มีสมาธิในการทำงาน และยังทำให้ความสามารถในการทำงานดีขึ้น และยังลดอาการปวดเมื่อยเนื่องจากไขหวัด

ผลต่อสมรรถภาพของร่างกายดีขึ้น เช่นการขี่จักรยาน การว่ายน้ำ เล่นกีฬาได้นานขึ้น

ผลดีของกาแฟจะทำให้ไม่ง่วงนอนโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเป็นกะ และช่วยลดอุบัติเหตุขณะขับรถ

กระตุ้นอวัยวะของร่างกายและเพิ่มการเผาผลาญไขมันและช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย กาแฟจะมีฤทธิ์ขับปัสสาวะอ่อนๆดังนั้นขณะออกกำลังกายหรือหลังออกกำลังกายไม่ควรรับเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาแฟเพราะจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ

ดื่มนานๆจะติดกาแฟหรือไม่

องค์การอนามัยโลกกล่าวว่าไม่มีหลักฐานว่ากาแฟจะเป็นสารซึ่งหากดื่มนานๆแล้วจะเสพติด การดื่มกาแฟจะเป็นนิสัยมากกว่าเสพติดเนื่องจากไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณของกาแฟ และเมื่อหยุดกาแฟบางคนก็เกิดอาการปวดหรือมึนศีรษะเพียงเล็กน้อย

ผลดีของกาแฟต่อสุขภาพ

โรคหอบหืด มีรายงานว่าการดื่มกาแฟวันละ 3 แก้วจะลดอาการหอบหืด หากดื่มมากกว่า 6 แก้วการทดสอบสมรรถภาพปอดจะดีขึ้น

กาแฟก็เหมือนกับพืชอื่นๆมีสาร flavanoid ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ

การดื่มกาแฟจะลดอาการง่วงนอน และทำให้มีสมาธิในการทำงานดีขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเป็นกะ และลดอุบัติเหตุขณะขับขี่

กาแฟช่วยลดอาการซึมเศร้าและคลายความวิตกกังวล

การดื่มกาแฟเป็นประจำจะลดอุบัติการณ์การเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ และยังลดอุบัติการณ์ของนิ่วในถุงน้ำดี

มีหลักฐานพอจะเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่เมื่อดื่มวันละ 4 แก้ว

กาแฟกันสุขภาพสตรี

กาแฟกับการตั้งครรภ์ The Food Standards Agency ก่อนหน้านี้มีความเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะเป็นผลเสียต่อการตั้งครรภ์ แต่จากหลักฐานยังไม่พบผลเสียดังกล่าว ประเทศอังกฤษได้แนะนำว่าการดื่มวันละ 3-4 แก้วขณะตั้งครรภ์ไม่เกิดผลเสีย สำหรับผู้ที่ตั้งท้องหากงดได้ก็น่าจะงด

การเป็นหมัน พบว่าหากดื่มกาแฟมากกว่า 1แก้วจะมีโอกาสเกิดการเป็นหมันเพิ่มขึ้น

กาแฟกับโรคกระดูกพรุน

ยังมีรายงานทั้งสนับสนุนว่าการดื่มกาแฟทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน บางรายงานก็กล่าวว่าไม่เกิดโรค ผู้ที่เกิดโรคกระดูกพรุนมักจะได้รับแคลเซียมไม่พอแนะนำว่าควรจะดื่มนมเริมสำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 2 แก้วขึ้นไป

กาแฟกับโรคมะเร็ง

มีรายงานจากWorld Cancer Research Fund ว่าการดื่มกาแฟปริมาณปานกลางไม่มีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็ง

มีรายงานกล่าวว่าการดื่มกาแฟมีผลดีต่อการป้องกันมะเร็งตับอ่อนเล็กน้อย

มีรายงานว่าการดื่มกาแฟอาจจะมีผลป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ๋

กาแฟกับโรคหัวใจ

เท่ามีรายงานขณะนี้พบว่าการดื่มกาแฟวันละ 4 แก้วไม่มีความสัมพันธ์กับโรคหัวใจ

การดื่มกาแฟเป็นประจำไม่ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น การดื่มกาแฟครั้งแรกจะทำให้ความดันขึ้นชั่วคราว

กาแฟกับโรคเบาหวาน

จากการศึกษาพบว่าการดื่มกาแฟจะทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินเพิ่มขึ้น 15 % กรดไขมันในเลือดเพิ่มขึ้น ฮอร์โมน epinephrineเพิ่มสูงขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน

อนุสรา ทรงสวัสดิ์วงค์ เลขที่ 16 (ภาคค่ำ)

กลิ่นปาก

กลิ่นปากหรือปากเหม็น หรือลมหายใจไม่สะอาด หากเกิดขึ้นกับใครก็ทำให้ขาดความมั่นใจ จะปรึกษาใครก็รู้สึกเป็นสิ่งน่าอาย บทความนี้อาจจะช่วยให้ท่านลดกลิ่นปาก ตำแหน่งที่เกิดกลิ่นปากมากที่สุดคือลิ้นเนื่องจากผิวลิ้นหยาบ ดังนั้นหากเกิดกลิ่นปากลองทำความสะอาดลิ้นก่อนเป็นอันดับแรก

กลไกการเกิดกลิ่นปาก

เกิดจากเชื้อแบคทีเรียในปากตายทำให้เกิดสาร sulfur ออกมาจึงเกิดกลิ่น

แบคทีเรียสลายอาหารที่อยู่ในปาก

น้ำลายลดลงทำให้เชื้อแบคทีเรีย หรืออาหารไม่ถูกชะล้าง

สาเหตุ

การไม่ดื่มน้ำหรือไม่รับประทานอาหาร ทำให้แบคทีเรียไม่ถูกชะล้างจึงเกิดกลิ่นปาก

โรคฟัน เช่นฟันผุ สุขลักษณะช่องปากไม่ดี มีการขังของเศษอาหารในช่องปาก

กลิ่นจากอาหารที่รับประทานเข้าไป เช่นกาแฟ สุรา หอมใหญ่ กระเทียม พริก บุหรี่

หายใจทางปากเนื่องจากเป็นหวัด

โรคระบบทางเดินหายใจ เช่นผีในปอด ไซนัสอักเสบ คออักเสบ เป็นต้น

โรคบางชนิดเช่น โรคไต โรคตับ

การทดสอบกลิ่นปาก

ล้างข้อมือด้วยสบู่ให้สะอาดแล้วล้างน้ำจนสะอาด ใช้ผ้าสะอาดเช็ดให้แห้ง เลีย 4 ครั้งหลังจากนั้น 30 นาทีให้ดมว่ามีกลิ่นหรือไม่

การดูแลรักษา

ให้รับประทานอาหารครบ 3 มื้อทุกวัน

ให้ดื่มน้ำมะนาวซึ่งจะเพิ่มปริมาณน้ำลาย

ให้ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว

เคี้ยวหมากฝรั่งหรืออมลูกอมระหว่างมืออาหาร

แปรงฟันหลังอาหารทุกครั้ง และให้แปรงลิ้น

ใช้ Dental flossing

หากแปรงเสียให้เปลี่ยนแปรง

ถ้าอาการไม่ดีภายหลังจากได้ปฏิบัติแล้ว 10 วันให้ปรึกษาทันต์แพทย์ หรือแพทย์ของท่าน

กลิ่นปากในเด็ก

ท่านผู้ปกครองหากเด็กมีกลิ่นปากไม่หาย ท่านไม่ต้องกังวลว่าจะเด็กจะมีโรคเหมือนผู้ใหญ่ เช่น โรคที่ศีรษะ คอ และกระเพาะอาหารเพราะว่าสาเหตุส่วนใหญ่ของกลิ่นปากเกิดจากในปาก สาเหตุที่พบบ่อยได้แก่

สุขอนามัยไม่ดี มีเศษอาหารและเชื้อแบคทีเรียเหลือตามซอกฟัน เด็กมักจะมีกลิ่นมากมากในตอนเช้า หากเป็นมากจะมีตอนสาย

ฟันผุ บางรายเด็กไม่มีอาการปวดฟันแต่มีฟันผุ

ไซนัสอักเสบทั้งเฉียบพลันและเรื้อรังสามารถทำให้เกิดกลิ่นปากได้ นอกจากกลิ่นปากเด็กโดยมากจะเกิดอาการ น้ำมูกไหล ไอกลางคืน

คออักเสบ เด็กจะมีไข้เจ็บคอ และมีกลิ่นปาก

ภูมิแพ้ทำให้มีเสมหะไหลไปที่คอทำให้เกิดกลิ่นปาก

คำแนะนำ

อย่าทำให้เด็กขาดความมั่นใจ ควรใช้โอกาสนี้สอนเด็กแปรงฟัน และล้างปาก

เลือกแปรงที่มีขนาดเหมาะกับปากและมีขนอ่อนนุ่มพอควรพร้อมยาสีฟัน ยาสีฟันควรมีสาร fluoride

ควรแปรงฟันพร้อมเด็ก ให้เด็กแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง

สอนเด็กใช้ Dental flossing

หากเห็นเศษอาหารติดที่คอก็ให้เด็กกรวกคอบ้วนปาก

ให้ตรวจฟันทุกปี

น.สเบญจวรรณ หล้าแปง(ม.ฟาร์)เลขที่ 40

แปรงฟันวันละกี่ครั้งดี

------------------------------------------------------------------------------------------------

ทญ.สุมนา สวัสดิ์-ซูโต

--------------------------------------------------------------------------------

การแปรงฟันเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถกำจัดแผ่นคราบ จุลินทรีย์ได้หมด จะต้องมีอุปกรณ์ หรือแปรงชนิดอื่นร่วมด้วย และได้กล่าวถึงวิธีการใช้ อุปกรณ์เหล่านั้นไว้แล้ว

จะกล่าวถึงว่าเราจะต้องทำความสะอาดฟันให้หมดแผ่นคราบจริง ๆ วันละกี่ครั้งดี ก่อนอื่น เราควรจะทราบถึงกลไกการเกิดแผ่นคราบจุลินทรีย์กันก่อน คงทราบแล้วว่า ในช่องปากนี้ จะมีเชื้อจุลินทรีย์อยู่มากมายหลายชนิด ซึ่งตามปกติ จะไม่ทำให้เกิดโรค แต่ถ้าอยู่รวมตัวกันมากขึ้น และหลายชนิดขึ้น ก็จะส่งเสริมกัน ทำให้เกิดโรคได้ ที่พบได้บ่อยคือ โรคฟันผุ และโรคปริทนต์ ดังนี้เราควรมารู้จักแผ่นคราบจุลินทรีย์

หรือ Dental plaque กันก่อน

Dental plaque คืออะไร

ถ้าจะพูดให้ง่ายหรือเห็นภาพ Dental plaque ก็คือขี้ฟัน ที่เกาะติดอยู่บนผิวฟันนั่นเอง ลักษณะเป็นปุยนิ่ม ๆ สีขาวเหลือง อาจเป็นสีครีม สีวนิลา ตามที่โฆษณา หรือเป็นสีส้มได้ ขึ้นกับชนิด ความหนาแน่น และอาหารที่คราบจุลินทรีย์เกาะ และย่อยออกมา

Dental plaque เกิดขึ้นได้อย่างไร

ท่านคงทราบแล้วว่า ผิวฟันหรืออีนาเมล เป็นส่วนที่แข็งมาก และผิวจะเรียบมันแบบไข่มุก ไม่ใช่เรียบแบบกระจก การสร้างตัวของอีนาเมล จะสร้างเป็นชั้น ๆ เหมือนหอยที่สร้างไข่มุก ผิวฟันที่สะอาด เมื่อถูกน้ำลายจะเกิดแผ่นฟิล์มบาง ๆ ปกคลุมผิวฟัน แผ่นฟิล์มนี้ เป็นสารไกลโคโปรตีนจากน้ำลาย ประกอบด้วยน้ำตาล และโปรตีน อาจเกิดขึ้นได้ทันที หลังจากทำความสะอาดฟันแล้ว หรือภายใน 1 นาที และจะเห็นหรือตรวจพบได้ ภายใน 30 นาทีถึง 1 ชม. แผ่นฟิล์มนี้ เรียกว่า acquire pellicle ซึ่งจะยังไม่มีเชื้อจุลินทรีย์มาเกาะ จึงยังไม่ทำให้เกิดโรค แผ่นฟิล์มนี้จะหนาและเหนียวขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อแผ่นฟิล์มหนาพอจะมีเชื้อจุลินทรีย์มาเกาะ ซึ่งพบได้เสมอ ตามขอบเหงือก และหลุมร่องฟันทางด้านบดเคี้ยว และด้านแก้มกับลิ้น เพราะเป็นผิวฟันส่วนที่ไม่เรียบ ส่วนขอบเหงือกนั้น เป็นบริเวณที่เว้า หรือโค้งเข้าของตัวฟัน และบริเวณซอกฟัน จะเป็นบริเวณที่ปลอดภัยจากแรงขัดถูของอาหาร เนื่องจากการบดเคี้ยวจึงทำให้พบว่า มีเชื้อจุลินทรีย์ไปเกาะอยู่เสมอ

การเกาะของเชื้อจุลินทรีย์จะเกาะเป็นกลุ่ม ๆ ตามสภาพความเหมาะสมของเชื้อแต่ละชนิด โดยเกาะกันอยู่อย่างหลวม ๆ และจะหลุดออกจากผิวฟันได้ง่าย ด้วยการบ้วนปากแรง ๆ หรือแรงขัดถู จากอาหารที่รับประทาน อาหารที่รับประทาน ถ้าแข็งหรือเป็นกากเส้นใย เช่น เนื้อสัตว์ ผัก ผลไม้ จะช่วยขัดถูผิวฟันได้ แต่ถ้าเป็นอาหารอ่อนเหนียว เช่น แป้ง น้ำตาล นอกจากจะไม่ช่วยทำความสะอาดผิวฟันแล้ว ยังเกาะติดฟันได้ง่าย และเป็นอาหารที่ดี ของเชื้อแบคทีเรีย

Dental plaque ที่เริ่มเกิด ถ้าไม่ถูกกำจัดออกไป เชื้อจุลินทรีย์จะมาเกาะเป็นกลุ่มก้อน หนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งจะเหนียวขึ้น ใช้น้ำบ้วนไม่หมดต้องแปรงออก ถ้าแปรงออกไม่หมด แร่ธาตุ เช่น แคลเซียมที่มีอยู่ในน้ำลาย และอาหารที่รับประทาน ก็จะมาเกาะรวมอยู่ด้วย และแข็งขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นหินปูน ซึ่งจะพบได้มาก ตามฟันที่อยู่ใกล้รูเปิดของต่อม น้ำลาย เช่น ฟันหน้าล่างด้านลิ้น ฟันกรามบนด้านแก้ม หินปูนนี้ต้องให้ทันตแพทย์ กำจัดออกให้ด้วยการขูดออก

Dental plaque ทำให้เกิดโรคได้อย่างไร

โรคที่เกิดจาก Dental plaque คือ โรคฟันผุและโรคปริทนต์ ตามที่กล่าวมาแล้ว เชื้อจุลินทรีย์ที่ย่อยอาหารแล้วปล่อยสารที่เป็นกรดออกมา จะกัดกร่อนผิวเคลือบฟัน ให้เป็นร่อง เป็นอย่างต่อเนื่องนาน ๆ จะทำให้ผิวฟันเป็นรู ซึ่งเรียกว่าฟันผุ เชื้อจุลินทรีย์บางจำพวก จะปล่อยสารพิษออกมาทำลายเยื่อเหงือก ทำให้เกิดเหงือกอักเสบ ถ้าเป็นอย่างต่อเนื่องนาน ๆ เกิดเป็นโรคปริทนต์ได้ แผ่นคราบจุลินทรีย์ที่เกาะบนหินปูน จะกำจัดได้ยากกว่าบนผิวฟัน ดังนี้ถ้าต้องการกำจัดแผ่นคราบจุลินทรีย์ให้หมด ต้องกำจัดหินปูนออกก่อน

เมื่อดูจากขั้นตอนการเกิด Dental plaque แล้ว จะเห็นว่าต้องใช้เวลานานพอสมควร กว่าเชื้อจุลินทรีย์ จะมาเกาะที่ผิวฟัน จนสามารถปล่อยสารพิษที่ทำให้เกิดโรคได้ ถ้านับเวลาหลังจากทำความสะอาดฟันจนสะอาดแล้ว จนถึงเกิด Dental plaque จะกินเวลาประมาณ 24 ชั่วโมง และจะต้องสะสมมากพอ ที่จะปล่อยสารพิษมาทำลายผิวฟัน และเหงือกต้องใช้เวลาถึง 48 ชั่วโมง

เราจะแปรงฟันเมื่อไหร่ดี

ในขณะนอนหลับ การไหลเวียนของน้ำลายลดลงและการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อลิ้น แก้มน้อยลง ถ้ามีอาหารและ Dental plque อยู่ จะย่อยและปล่อยสารพิษออกมา สะสมที่ผิวฟัน และเหงือก และไม่มีน้ำลายมาชะล้าง ทำให้สารพิษสะสมอยู่นาน การดำเนินของโรค ก็จะรุนแรง การแปรงฟันก่อนนอน จึงสำคัญและจำเป็น และควรแปรงให้สะอาด โดยใช้เครื่องมือช่วยทำความสะอาดส่วนต่าง ๆ ที่แปรงสีฟันแปรงไม่ถึงด้วย ดังที่กล่าวไว้ หลังจากแปรงฟันแล้วไม่ควรรับประทานอาหารอีก

ถ้าแปรงฟันก่อนนอนได้สะอาดดี ช่วงตื่นนอนเช้า จะมีกลิ่นปากได้จากการหมักหมม ของน้ำลาย ซึ่งมีการไหลเวียนน้อย จึงควรแปรงฟันตอนตื่นนอนเช้าอีกครั้ง หรือถ้าแน่ใจว่า ก่อนนอนแปรงได้สะอาดดีแล้ว อาจใช้วิธีบ้วนปากแรง ๆ ได้ แล้วจึงรวมไว้แปรง หลังอาหารเช้าก็ได้ เป็นการประหยัดเวลา และทรัยพยากรด้วย เพราะการแปรงฟันครั้งหนึ่ง ๆ จะใช้น้ำถึง 45 ลิตร ต่อ 5 นาที ถ้าท่านเปิดน้ำให้ไหลตลอด ดังนั้นเวลาแปรงฟัน จึงควรใช้ขันหรือถ้วยรองน้ำขณะแปรง และไม่ควรเปิดน้ำทิ้งไว้

ส่วนหลังอาหารมื้ออื่น ๆ ก็อาจใช้วิธีบ้วนปากแรง ๆ ได้ นอกจากท่านที่มีฟันซ้อนเก หรือใส่เครื่องมือจัดฟัน หรือฟันผุง่าย ควรแปรงฟันหลังอาหารด้วย การแปรงฟันควรแปรงให้ถูกวิธี เพราะอาจทำให้ฟันสึกได้ถ้าแปรงบ่อยเกินไป จึงควรระวังข้อนี้ด้วย เพราะท่านอาจได้โรคเสียวฟันมาแทน และอย่าลืมช่วยกันประหยัดน้ำประปาด้วยนะคะ

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)เลขที่ 33

ระวังยาแก้ปวด

คอลัมน์ รู้ทันภัยใกล้ตัว

การบริโภคยาแก้ปวดโดยปราศ จากคำแนะนำจากหมอ นอกจากจะทำให้อาการเจ็บปวดที่ต้องการบรรเทาไม่หายตามที่ต้องการแล้ว ยังอาจทำให้เกิดโรคอื่นแทรกซ้อนโดยเฉพาะในรูปของยาชุดยาลูกกลอน หรือยาจีน และยาแผนโบราณ เพราะมักมีส่วนผสมของยาประเภทสเตียรอยด์ หากรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุนและข้อเสื่อมได้

จากการเปิดเผยของผศ.น.พ.พัชรพล อุดมเกียรติ ภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ปัจจุบันพบว่าผู้ป่วยที่มีอาการปวดเมื่อย ปวดข้อ และปวดกล้ามเนื้อตามร่างกาย ส่วนใหญ่มักจะซื้อยามารับประทานเอง ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพเป็นอย่างมาก เพราะยาประเภทนี้มักจะมีส่วนผสมของสเตียรอยด์ หากรับประทานติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ จะทำให้เกิดภาวะกระดูกพรุนและโรคข้อเสื่อมได้ โดยเฉพาะข้อตะโพก ซึ่งยาเหล่านี้มักจะแฝงมาในรูปของยาชุด ยาลูกกลอน ยาจีนแผนโบราณ และยาผง

พฤติกรรมการใช้ยาของคนไทยส่วนใหญ่มักจะนิยมซื้อมารับประทานเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดข้อ หรือปวดเมื่อยตามร่างกาย มักจะไม่ยอมไปพบแพทย์ คิดว่าแค่ซื้อยาแก้ปวดมารับประทานอาการก็จะหายเอง ซึ่งอันตรายมาก.

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์) 006 เลขที่ 30

กระเทียม : ยาฆ่าเชื้อ ลดโคเลสอเตอรอล

ฝ่ายวิชาการ สถาบันการแพทย์แผนไทย

?

กระเทียมเป็นส่วนหนึ่งในการปรุงอาหารไทยแทบทุกชนิด คนไทยทุกคนจึงรู้จักคุ้นเคยกับกระเทียมเป็นอย่างดี แต่ไม่ทุกคนที่จะรู้ว่ากระเทียมมีประโยชน์มากเพียงใด หากอ่านบทความนี้จบแล้ว เชื่อว่าหลายท่านที่ไม่รับประทาน หรือไม่ชอบกระเทียมคงหันมารับประทานกระเทียมอย่างแน่นอนที่เดียว

กระเทียม นอกจากจะเป็นเครื่องเทศให้กลิ่นหอม ช่วยกลบกลิ่นคาวในอาหารทั้งดิบและสุกแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาอีกมากมาย ในกระเทียมมีสารอัลลิซิน ซึ่งเป็นสารฆ่าเชื้อ มีกลิ่นฉุนจะเกิดเมื่อเราทุบหรือบดกระเทียม หากทิ้งไว้นานๆ หรือปรุงสุก ฤทธิ์ยาก็จะหายไป?

กระเทียมโทนที่มีกลิ่น และรสเผ็ดร้อนกว่ากระเทียมธรรมดาก็ให้ผลมากกว่าเช่นกัน จากการทดลองพบว่ากระเทียม สามารถฆ่าเชื้อได้ดีกว่าเพนิซิลลิน และเตตร้าซัยคลิน ซึ่งเป็นยาแก้อักเสบที่ใช้โดยทั่วไป นอกจากนี้ยัง มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคท้องเสีย, แผลติดเชื้อ, วัณโรค, ไทฟอยด์, เชื้อรา, กลากเกลื้อนด้วย

กระเทียมไม่ได้มีเพียงฤทธิ์ฆ่าเชื้อเท่านั้น ยังช่วยลดการกำเริบของโรคหัวใจอีกด้วย โดยออกฤทธิ์ช่วยลดโคเลสเตอรอล และเพิ่มสารสำคัญในเลือดบางตัวที่มีผลต่อการสลายลิ่มในเส้นเลือด ยับยั้งการรวมตัวกันของเกล็ดเลือดทำให้ป้องกันการอุดตันของเส้นเลือด พบว่า การทานกระเทียมสด 12 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม จะช่วยป้องกันโรคหัวใจได้ คนทั่วไปหนักประมาณ 50 กิโลกรัม ควรรับประทานกระเทียมประมาณ 50 กรัม หรือ ประมาณ 15 กลีบต่อวัน มีการทดลองพบว่าการรับประทานกระเทียม 1 หัว (ประมาณ 9 กลีบ) ต่อวัน จะช่วยลดโคเลสเตอรอลได้โดยใช้เวลาประมาณ 4 เดือน และหลังจากโคเลสเตอรอลลดลงในระดับที่น่าพบใจแล้ว การรับประทานกระเทียมสดวันละ 2 กลีบ ก็สามารถป้องกันการเพิ่มของโคเลสเตอรอลได้

วิธีใช้กระเทียมรักษาอาการต่างๆ ก็ต่างกันไปตามสูตรและสถานที่ เช่น ใช้เป็นยาขับลม บำรุงธาตุ ใช้น้ำคั้นหัวกระเทียมผสมน้ำอุ่นและเกลือเล็กน้อย ใช้กลั้วคอเพื่อฆ่าเชื้อในปากและลำคอ รักษาทอนซิลอักเสบที่เริ่มเป็น และการใช้กระเทียมสดทาบริเวณที่เป็นกลากเกลื้อนและการทารอบๆ วันละ 3-4 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีการทดลองที่น่าสนใจ คือ แพทย์ชาวจีนใช้กระเทียมสกัดฉีดเข้ากระแสเลือด เพื่อรักษาโรคสมองอักเสบจากเชื้อ Cryptococcus ซึ่งมาจากนกพิราบได้

ประโยชน์จากกระเทียมมากมายขนาดนี้ ท่านที่ไม่นิยมรับประทานกระเทยมก็คงจะหันมาสนใจบ้างแล้ว เริ่มง่ายๆ จากอาหารที่มีกระเทียมเป็นส่วนประกอบ เพราะอย่างถึงน้อย กระเทียมสุกจะไม่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแต่ช่วยลดโคเลสเตอรอลและป้องกันโรคหัวใจได้ แต่ถ้าจะให้ดีที่สุด หนังสือ Critical Review in Food Science and Nutrition เคยทดลองและสรุปได้ในปี 1985 ว่า "ไม่พบว่าผลิตภัณฑ์สกัดของกระเทียมชนิดใด จะให้ผลการรักษาดีกว่ากระเทียมสด"

วราภรณ์ สุตพลสันติกุล เลขที่ 34

มะตูมสมุนไพรคลายร้อน

ฝ่ายวิชาการ สถาบันการแพทย์แผนไทย

15 มีนาคม 2545

มะตูม

มะตูมเป็นไม้ยืนต้น มีชื่อพื้นเมืองหลายอย่างเรียกกันแตกต่างไป เช่น ภาคเหนือเรียก มะปิน ภาคใต้เรียก กะทันตาเถร ตูม ตุ่มตัง ภาคกลางเรียก มะตูม ภาคอีสานเรียก บักตูม หมากตูม เขมรเรียก พะเนิว เป็นต้น แต่สรรพคุณทางยาหรือคุณค่าประโยชน์ทางอาหารถือได้ว่ามะตูมเป็นพืชสมุนไพรยอดฮิตอีกชนิดหนึ่ง ที่ตลาดสมุนไพรขาดไม่ได้และผู้บริโภคก็หาซื้อได้ง่าย

นอกจากนั้นแล้วในด้านความเชื่อโบราณมีความเชื่อว่า มะตูมเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งที่ควรมีไว้ในบริเวณบ้าน โดยปลูกไว้ทาง ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ร่วมปลูกกับไผ่รวก และทุเรียน ถือว่าเป็นเคล็ดลับในชื่อเรียกที่เป็นมงคลนาม จะทำให้เกิดกำลังใจ ให้เกิดความมานะพยายามที่จะต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ในชีวิต นอกจากนี้มะตูมยังเกี่ยวข้องกับพิธีกรรมและพิธีมงคลของไทย การทำน้ำมนต์เพื่อสะเดาะเคราะห์ ครอบครูจะใช้ใบมะตูมเป็นองค์ประกอบในพิธี สำหรับในทางไสยศาสตร์ ชาวฮินดูถือว่าไม้มะตูมเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ และใบมะตูมเป็นใบไม้ที่ป้องกันเสนียดจัญไร และขับภูติผีปีศาจได้

ส่วนต่างๆ ของมะตูมที่ใช้เป็นยา ได้แก่ ราก ใบ ผลแก่และสุก เปลือกราก ทั้ง 5 รสและสรรพคุณในตำรายาไทย

1. ราก มีรสฝาดปร่า ชา ขื่นเล็กน้อย แก้พิษฝี แก้ไข้ แก้ลมหืดหอบ ไอช่วยบำบัดเสมหะ รักษาน้ำดี

2. ใบสด มีรสฝาด ปร่า ซ่า ขื่น มัน เป็นยาบำรุงธาตุ ทำให้เจริญอาหาร แก้โรคลำไส้ แก้ท้องเดิน แก้หวัด แก้หลอดลมอักเสบ น้ำคั้นจากใบทาแก้หวัด แก้บวม แก้เยื่อตาอักเสบ

3. ผลมะตูมแก่ รสฝาดหวาน มีสรรพคุณบำรุงธาตุ เจริญอาหารและช่วยขับลมผาย

4. ผลมะตูมสุก รสหวานเย็น สรรพคุณแก้ลม แก้เสมหะ แก้มูกเลือด บำรุงไฟธาตุ แก้กระหายน้ำ ขับลม รสฝาดปร่าซ่าขื่น แก้ปวดศีรษะ ตาลาย เจริญอาหาร ลดความดันโลหิตสูง

5. เปลือกรากและลำต้น รสฝาดปร่าซ่าขื่น แก้ไข้จับสั่น ขับลมในลำไส้

ขนาดและวิธีใช้

ช่วยขับลมผาย ช่วยเจริญอาหาร ใช้ผลมะตูมแก่ทั้งลูกขูดผิวให้หมด ทุบพอร้าวๆ ต้มน้ำเติมน้ำตาลเล็กน้อยดื่มน้ำ น้ำที่ได้มีรสหอม เรียกว่า "น้ำอัชบาล" แก้กระหายน้ำ แก้ลม แก้เสมหะ รับประทานเนื้อผลมะตูมสุก แก้พิษฝี แก้ไข้ แก้ลมหืดหอบ ไอ นำรากไปคั่วไฟให้เหลือง แล้วนำไปดองสุราเพื่อกลบกลิ่น แก้โรคลำไส้ แก้ท้องเดิน แก้หวัด ใช้ใบรับประทานเป็นผัก แก้ปวดศีรษะ ตาลาย ลดความดันโลหิตสูง ใช้ทั้ง 5 ต้มรับประทาน แก้ธาตุพิการ แก้ท้องเสีย ใช้ผลอ่อนหั่นผึ่งให้แห้ง บดเป็นผงหรือต้มรับประทาน โดยใช้ตัวยา 1 กำมือ ต้มกับน้ำ 5 แก้ว นานประมาณ 10-30 นาที ดื่มครั้งละ 1 แก้ว ทุก 2 หรือ 4 ชั่วโมง แล้วแต่ว่าเป็นมากเป็นน้อย หรืออาจจะซื้อมะตูมแห้งจากร้านขายยา 5-6 แว่น ต้มกับน้ำประมาณ 2 ถ้วยแก้ว เดือดแล้วเคี่ยวต่อไปเล็กน้อย ยกลง ตั้งไว้ให้เย็นดื่มครั้งละ ครึ่งแก้วเติมน้ำตาล แก้หวัด แก้หลอดลมอักเสบ แก้บวม ใช้ใบสดคั้นเอาน้ำรับประทาน

ข้อแนะนำ

- ตำรายานี้เป็นเพียงยาระงับอาการของโรคเท่านั้น ถ้าใช้รักษาโรคภายใน 1 วันไม่ได้ผล (ยกเว้นโรคเรื้อรัง เช่น กระเพาะ, หืด) ควรหยุดใช้ยาทันทีเมื่อมีความเจ็บป่วย หากอาการรุนแรงขึ้น ไม่ควรรักษาด้วยตนเองควรปรึกษาผู้ชำนาญ

- ควรใช้เมื่อยามจำเป็นเท่านั้น เพราะยานี้ใช้รักษาโรคค่อนข้างรุนแรง เช่น ท้องเสียรุนแรง

- ถ้าท้องเสียควรดื่มน้ำมากๆ เติมน้ำตาลทรายและเกลือลงไปด้วยจะดีมาก

สาระสำคัญ

- ผลแก่มีสารที่เป็นเมือก และน้ำมันระเหย

- ผลสุกมีสารที่เป็นเมือก น้ำมันระเหย

ประโยชน์ทางอาหาร

ส่วนที่ใช้เป็นผัก ยอดอ่อน ผลดิบ

ช่วงฤดูกาลที่เก็บ ยอดอ่อนออกตลอดปี ลูกอ่อนพบในช่วงฤดูฝน ผลสุกมีในช่วงกลางฤดูหนาวถึงฤดูแล้ง

การปรุงอาหาร คนไทยทุกภาครับประทานยอดอ่อนและใบอ่อนของมะตูมเป็นผักสด ในตลาดท้องถิ่นมักพบในมะตูมอ่อนจำหน่ายเป็นผักชาวเหนือรับประทานแกล้มลาบ ชาวอีสานรับประทานร่วมกับก้อย ลาบหรือแจ่วป่น ชาวใต้รับประทานร่วมกับน้ำพริกและแกงรสจัด สำหรับภาคกลางไม่นิยมรับประทานยอดอ่อน แต่พบว่ามีการใช้มะตูมดิบมาปรุงเป็นยำมะตูม

ประโยชน์อื่น

ไม้มะตูมใช้ทำเกวียน ลูกหีบ หวี ยางในมะตูมใช้แทนกาวได้ และเปลือกผลทำเป็นสีย้อมผ้าให้สีเหลืองได้

ที่กล่าวมาแล้วก็เป็นเรื่องสารพัดประโยชน์ของมะตูม ร้อนนี้ก็อย่าลืมเรียกหามะตูมมาบริโภคอย่างน้อยต้มน้ำมะตูมดื่มแก้กระหายคลายร้อนก็ได้

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

กินผลไม้ให้ถูกเวลา...มากคุณค่า

บ้านเราโชคดีที่เป็นประเทศที่มีผลไม้หลากหลายชนิดให้เลือกกินกันได้ไม่มีขาดตลอดทั้งปี แถมราคาก็ยังไม่แพง ได้ของสดๆ ตรงจากสวนจากไร่แทบไม่ต้องง้อผลไม้แช่เย็นจากแดนไกล (เว้นแต่ใครอยากกินผลไม้แปลกใหม่ไม่มีในเมืองไทยก็ไม่ว่ากัน) ซึ่งเรื่องนี้ทำเอาชาวต่างชาติมากมายติดใจไม่น้อย เพราะที่บ้านเมืองเขาอาจซื้อหาผลไม้มากินในราคาถูกแบบนี้ได้ไม่ง่ายนัก

คนส่วนใหญ่ทราบว่าเราควรกินผลไม้เพราะจะได้คุณค่าสารอาหารทั้งคาร์โบไฮเดรต วิตามิน เกลือแร่ กรดอะมิโน กรดไขมันต่างๆ ที่จำเป็น ซึ่งจะเป็นกำลังเสริมให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ผลไม้บางครั้งยังเป็นเหมือนยาบำบัดที่ธรรมชาติสร้างให้มนุษย์ เช่นในวันที่อากาศร้อนๆ หากได้ลิ้มรสแตงโมสักชิ้นก็ทำให้ฉ่ำชื่นใจคลายร้อนไปได้มาก หรือคุณอาจเคยได้ยินว่ากินกล้วยน้ำว้าแล้วจะทำให้คลายจากท้องผูก แถมยังทำให้อารมณ์ดี เพราะเชื่อว่าในกล้วยมีสาร Tryptophan เมื่อกินเข้าไปจะเปลี่ยนเป็น Serotonin ที่เป็นสารสร้างความสุขให้กับคนเรา แต่ก็เชื่อว่าหลายๆ คนยังมองการกินผลไม้เป็นเรื่องรอง มีก็กิน ไม่มีก็ไม่กิน หรือบางคนตั้งใจกินผลไม้แต่กินผิดเวลา คุณค่าที่ควรจะได้จากผลไม้ที่กินเข้าไปก็เลยลดลงอย่างน่าเสียดาย

ร่างกายคนเราเหมาะจะย่อยผลไม้มากกว่าเนื้อสัตว์

หนังสือขายดีไปทั่วโลกชื่อ Fit for Life ของนักบรรยายเรื่องโภชนาการชาวอเมริกัน ฮาร์วีย์ และมาริลีน ไดมอนด์ ได้เสนอแนวคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับการกินผลไม้จนเราอดไม่ได้ที่ต้องนำมาถ่ายทอดสู่กันฟังว่า ที่จริงแล้วเมื่อสืบค้นถึงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์มนุษย์ อย่างที่ ดร.อลัน วอล์คเกอร์ นักมานุษยวิทยาคนสำคัญ ได้เผยผลการศึกษาในหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2522 นั้น ดร.วอล์คเกอร์ได้ศึกษาอย่างละเอียดทั้งจากหลักฐานโครงกระดูกและฟันของมนุษย์ ตลอดจนซากฟอสซิลต่างๆ เขายืนยันว่ามนุษย์นั้นแต่เดิมไม่ใช่เป็นพวกที่กินเนื้อ เมล็ดพืช หรือแม้แต่ผักหญ้าใดๆ หากแต่ดำรงชีวิตอยู่ด้วยการเก็บผลไม้มากิน ธรรมชาติได้สร้างร่างกายคนให้รองรับกับการกินผลไม้เป็นอาหารตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เพิ่งมามีช่วงศตวรรษที่ผ่านมานี้เองที่เราหันไปกินเนื้อสัตว์กันมากขึ้นกว่าเดิมมาก ซึ่งผลตามมาก็คือ ร่างกายต้องปรับตัวอย่างหนัก บางครั้งปรับตัวไม่ไหวก็กลายเป็นพิษ เห็นจากอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นของโรคหลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน หรือมะเร็งนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งเม็ดเลือด เต้านม ตับ กระเพาะอาหาร ฯลฯ ขณะที่การกินผลไม้เป็นวิธีสำคัญที่ช่วยล้างพิษ เพราะผลไม้ส่วนใหญ่มีน้ำประกอบอยู่ในปริมาณ 80-90% ทั้งมีกากใย จึงช่วยกวาดล้างพิษต่างๆ ซึ่งคั่งค้างในร่างกายให้ออกไปโดยการขับถ่าย ดังนั้นเมื่อรวมกับสารอาหารที่เราได้จากผลไม้แล้ว จึงนับว่าเป็นอาหารที่ให้ประโยชน์กับร่างกายสูงกว่าอาหารอีกหลายชนิด ในข้อแม้ว่าต้องกินอย่างถูกต้องและเหมาะสมจริงๆ

นอกจากให้สารอาหารต่างๆ แล้ว ไดมอนด์ยังยืนยันว่าการกินผลไม้ แม้จะมีน้ำตาล คาร์โบไฮเดรต และแคลอรีสูง แต่ไม่ได้ทำให้เราอ้วนแบบการกินอาหารชนิดอื่นๆ โดยอ้างถึงผลงานวิจัยของ ศ.จูดิท โรแดง จากมหาวิทยาลัยเยล ที่ได้แถลงผลงานวิจัยของเธอในเดือน ต.ค.ปี 2526 เกี่ยวกับน้ำตาลในผลไม้มีผลต่อการกินอาหารมื้อต่อไปได้ลดลง โดยทดลองให้คนดื่มน้ำหวานจากน้ำตาลฟรุคโตสที่ได้จากผลไม้กลุ่มหนึ่ง เปรียบเทียบกับอีกกลุ่มที่ให้กินน้ำหวานจากน้ำตาลซูโครส แล้วให้ทั้งสองกลุ่มกินอาหารมื้อต่อไป พบว่ากลุ่มที่กินน้ำตาลผลไม้จะกินอาหารมื้อต่อไปได้น้อยกว่าอีกกลุ่มเฉลี่ยถึง 479 แคลอรี ขณะที่ ดร.วิลเลียม คาสเทลลี จากฮาร์วาร์ด และศูนย์ศึกษาโรคหัวใจฟรามิงแฮม (แมสซาชูเส็ท) พบว่าสารหลายชนิดที่พบในผลไม้มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหัวใจวายได้ โดยช่วยป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวหนาจนไปอุดตันในหลอดเลือด นอกจากนี้ร่างกายจะใช้เวลาในการย่อยและดูดซึมสารอาหารจากผลไม้ไปใช้ในร่างกายเพียง 20-30 นาทีเท่านั้น แถมยังใช้พลังงานสำหรับการย่อยน้อยมาก (โดยเฉพาะผลไม้ที่มีน้ำมาก เช่น ส้ม องุ่น ในขณะที่หากเป็นกล้วย ทุเรียน อินทผลัม ซึ่งมีน้ำน้อยจะใช้เวลาย่อยนานขึ้น) ซึ่งต่างกับการกินอาหารชนิดอื่น เช่น ข้าว เนื้อสัตว์ ฯลฯ จะต้องใช้พลังงานในการย่อยอย่างสูง ใช้เวลานานตั้งแต่ชั่วโมงครึ่ง ถึง 4 ชั่วโมง หรือหากกินอาหาร หลายๆ อย่างพร้อมกัน เช่น เนื้อสัตว์ แป้ง ในปริมาณมากๆ อาจใช้เวลาย่อยนานถึง 8 ชั่วโมง ใช้พลังงานไปกับการย่อยเต็มที่ ผลก็คือ ทำให้เรารู้สึกเพลีย ง่วงเหงาหาวนอนหลังอาหารมื้อนั้น ซึ่งอาการนี้จะไม่เกิดเลยหลังจากที่เรากินผลไม้เข้าไป

กินผลไม้ตอนท้องว่าง...ได้ประโยชน์สูงสุด

ไดมอนด์เสนอแนวความคิดว่าน้ำและกากใยในผลไม้ช่วยในการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย จึงช่วยลดน้ำหนักได้ และร่างกายจะใช้ประโยชน์จากผลไม้สูงสุดต่อเมื่อคนนั้นต้องกินผลไม้อย่างถูกวิธี คือการกินผลไม้ขณะที่ท้องว่าง ไม่ควรกินผลไม้พร้อมกับหรือหลังอาหารอื่นๆ หรือหากกินผลไม้แล้วจะกินอาหารอื่นตาม ก็ควรรอเวลาอย่างน้อย 20-30 นาทีเพื่อให้ผลไม้ที่กินเข้าไปตกสู่ลำไส้เล็กและดูดซึมสารอาหารจากผลไม้เข้าสู่ร่างกายได้อย่างเต็มที่ การห้ามกินผลไม้หลังอาหารนั้นเพราะเมื่ออาหารตกถึงกระเพาะจะใช้เวลาย่อยประมาณ 4 ชั่วโมง หากกินผลไม้ตามลงไปแทนที่จะผ่านไปยังลำไส้เล็กได้เลยก็จะต้องถูกขัดขวางจากอาหารที่รอการย่อยเหล่านั้น ระหว่างนี้ทั้งอาหารและผลไม้ที่ผสมกันในกระเพาะจึงอาจทำให้เกิดการหมักบูด เกิดแก๊ส ซึ่งมีผลให้เกิดอาการแน่น จุก หรือไม่สบายท้องได้ ทั้งนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ ดร.เฮอร์เบิร์ต เอ็ม. เชลตัน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโภชนาการของสหรัฐฯ ที่เน้นว่าคุณค่าของผลไม้จะให้ประโยชน์กับเราเต็มที่เมื่อกินขณะท้องว่าง แต่หากใครที่กินผลไม้ไม่ถูกวิธี แต่ไม่รู้สึกแย่อะไร ก็แสดงว่าร่างกายคุณปรับตัวได้ดี แต่ก็น่าเสียดายที่จะไม่ได้รับคุณค่าของผลไม้เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น

ดังนั้นหากใครที่กินอาหารแล้วต้องการกินผลไม้ตาม ควรรอเวลาให้อาหารที่กินเข้าไปก่อนหน้านั้นย่อยหมดก่อน แล้วจึงค่อยกินผลไม้ หากเป็นอาหารเบาๆ เช่น สลัดผักสด ใช้เวลารอประมาณ 2 ชั่วโมง หรือหากคุณเพิ่งกินอาหารหนักอย่างเช่น ข้าว หรือเนื้อสัตว์ ที่ใช้เวลาย่อยนานขึ้น ก็อาจต้องรออย่างน้อย 4 ชั่วโมง หรือกินอาหารหลายๆ อย่างรวมกัน มีกากใยน้อย ย่อยยากขึ้น ก็อาจใช้เวลามากถึง 8 ชั่วโมงเลยทีเดียว ซึ่งไม่แนะนำให้กินผลไม้ตามไปในช่วงเวลานั้นเลย

ตามแนวคิดนี้ เวลาที่เหมาะสมที่สุดที่ควรจะกินผลไม้หรือดื่มน้ำผลไม้ คือ ช่วงเช้าของทุกวัน ตั้งแต่ตอนตื่นจนถึงเที่ยง เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายสะสมพลังงานไว้เต็มเปี่ยมตลอดคืน ดังนั้นเวลาตื่นจะเป็นช่วงที่ร่างกายสดชื่นที่สุด จึงไม่ควรจะสูญเสียพลังงานที่มีค่าของวันนี้ไปเปล่าๆ กับการย่อยอาหารนานๆ แต่การกินผลไม้ที่ใช้พลังงานในการย่อยต่ำจะช่วยให้เรามีพลังงานเหลือเฟือไว้ใช้ประโยชน์กับกิจกรรมอื่นๆ ของชีวิต และดูดซึมสารอาหารที่ควรจะได้รับอย่างเต็มที่ รวมทั้งได้กากใยช่วยชับของเสียที่สะสมมาจากวันก่อน ทั้งมีส่วนช่วยให้น้ำหนักลดลง โดยที่ในช่วงเวลาดังกล่าวเราสามารถกินผลไม้ได้มากเท่าที่อยากกิน และเว้นระยะประมาณสักครึ่งชั่วโมงจึงค่อยกินอาหารมื้อกลางวัน หากทำแบบนี้ได้เป็นประจำ ร่างกายเราก็จะได้รับสารอาหารสำคัญจากผลไม้เต็มที่ ช่วยให้เราคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวได้ดี มีอายุยืน สุขภาพดี กระชุ่มกระชวย อยู่เสมอ

มาตรฐานคือ ต้อง “ สด ” 100%

ผลไม้ที่เราจะกิน หรือน้ำผลไม้ จะเป็นชนิดไหนก็ได้ สำคัญที่สุดคือ ต้อง “ สด ” 100% ไม่ได้ผ่านความร้อน การหมักดอง หรือการปรุงรสใดๆ เพราะร่างกายเราจะนำไปใช้ประโยชน์ได้มากที่สุดเมื่อมันอยู่ในสภาพธรรมชาติเท่านั้น แต่ผลไม้ที่ผ่านความร้อนปรุงเป็นอาหาร จะสูญเสียคุณค่าในตัวเองไปหมดแล้ว หากเป็นน้ำผลไม้ก็ควรเลือกดื่มชนิดที่คั้นสด 100% จะดีกว่าชนิดที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน หรือน้ำผลไม้ที่ผสมจากหัวเชื้อเข้มข้น ซึ่งแบบนั้นจะไม่ได้คุณค่าอาหารแบบที่น้ำผลไม้คั้นสดจะให้ได้ ดื่มน้ำผักหรือผลไม้คั้นสดแทนการดื่มชา กาแฟ ในยามเช้า ก็เป็นหนทางสู่การมีสุขภาพดี แถมยังช่วยให้แต่ละวันของคุณเป็นวันที่แจ่มใสได้อีกด้วย

แนวคิดของไดมอนด์ที่ปรากฏในหนังสือนั้นเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการดูแลสุขภาพร่างกายให้สอดคล้องกับที่ธรรมชาติสร้างมา ให้ใครสนใจอาจลองนำไปปฏิบัติตามได้ไม่เสียหลายนะคะ

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

สมุนไพรรักษาแผลอักเสบเรื้อรัง !!!

เมื่อผิวหนังเกิดบาดแผลหรือเกิดการระคายเคืองคันจากการแพ้ แมลงกัดต่อยหรือสาเหตุอื่นๆ หากไม่ได้มีการดูแลรักษาความสะอาดให้ดีพอ อาจทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียในบริเวณนั้นกลลายเป็นแผลเรื้อรัง เชื้อที่เป็นสาเหตุได้แก่ Staphylococus และ Beta Streptococcus โดยจะพบว่าบริเวณนั้นจะมีหนอง หรือน้ำเหลืองปนหนองไหลเยิ้ม อาจพบเป็นตุ่มหนองแล้วอตก ต่อมาจะแห้งเป็นสะเก็ดสีน้ำตาล บางครั้งทำให้มีไข้หรือมีต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงโตได้ นอกจากนี้การติดเชื้ออาจเกิดบริเวณต่อมไขมันและขุมขน ทำให้เกิดเป็นฝี มีสมุนไพรหลายชนิดที่สามารถนำมาใช้ในการทำความสะอาดแผลและช่วยให้บาดแผลหายได้เร็วขึ้น อย่างไรก็ตามการดูแลรักษาแผลเรื้อรังที่เกิดอาการอักเสบติดเชื้อยังขึ้นกับขนาดและบริเวณที่มีอาการด้วย หากเกิดเป็นบริเวณกว้างและอยู่ในบริเวณที่รักษาให้หายได้ยาก เช่น ที่ข้อพับหรือบริเวณที่มีการเคลื่อนไหวหรือเสียดสีอยู่เสมอ หรือในผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ควรต้องดูแลเป็นพิเศษ หรือต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ เพราะอาจทำให้เกิดการลุกลามจนติดเชื้อในกระแสเลือด มีอันตรายถึงชีวิต

สมุนไพรที่ใช้สำหรับแผลเรื้อรังได้แก่

ว่านหางจระเข้ ให้เลือกใบล่างสุดของต้นมาใช้ก่อน ล้างน้ำให้สะอาด ปอกเปลือกสีเขียวและล้างน้ำยางสีเหลืองออกให้หมด เพราะอาจระคายเคืองผิวหนังและทำให้มีอาการแพ้ได้ ฝานวุ้นที่ได้เป็นแผ่นบางปิดแผลหรือขูดเอาวุ้นใสปิดพอกรักษาแผลเรื้อรัง แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก อาจใช้ผ้าพันแผลที่สะอาด พันทับเปลี่ยนวุ้นใหม่วันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น จนกว่าแผลจะหาย

ขมิ้นชัน ใช้เหง้ารักษาโรคผิวหนังเรื้อรัง โดยทำเป็นผงผสมน้ำมันมะพร้าวทาบริเวณที่เป็นแผล หรือใช้เหง้าสดล้างให้สะอาด ฝนน้ำข้นๆทา

บัวบก ใช้ใบสด 1 กำมือ ล้างให้สะอาด ตำละเอียดคั้นเอาน้ำทาบริเวณแผลบ่อยๆ แผลจะสนิทเร็ว

กะเม็ง ใช้ต้นสด ล้างให้สะอาด ตำให้ละเอียดคั้นเอาน้ำทารักษาอาการผื่นคัน มีหนอง ป้องกันมือและเท้าเน่าเปื่อยจากการลุยน้ำสกปรก

ว่านหางช้าง ใช้เหง้าสดหรือแห้ง ต้มน้ำในอัตราส่วน 1:20 เติมเกลือเล็กน้อย ใช้ชะล้างบาดแผลเรื้อรัง เช้า-เย็น แก้อาการผื่นคัน อักเสบมีหนองได้ผลดี

มังคุดใช้เปลือกผลสดหรือแห้ง 1-2 ผล สับเป็นชิ้นเล็กๆต้มกับน้ำ 1 ลิตร ให้เดือดประมาณ 15 นาที เติมเกลือประมาณ 1 ช้อนชา ใช้ชะล้างบาดแผลเรื้อรัง แผลมีหนอง

เหงือกปลาหมอดอกขาวและเหงือกปลาหมอดอกม่วง ใช้ต้นสดหรือแห้งทั้งต้น ต้มน้ำอาบ หรือชะล้างแผลเรื้อรัง ผื่นคันตามร่างกาย

น้ำผึ้ง ใช้น้ำผึ้งอุ่นด้วยไฟอ่อนๆจนเดือดทิ้งไว้ให้เย็น ใส่ลงบนแผลเรื้อรังให้ชุ่มอยู่ตลอดเวลา โดยใช้ผ้าพันแผลไว้แล้วหยดน้ำผึ้งลงบนผ้าพันแผลให้ชุ่มอยู่เสมอ หากไม่มีน้ำผึ้งสามารถใช้น้ำเชื่อมข้นๆแทน โดยใช้น้ำตาล 1 ส่วน ละลายน้ำ 1 ส่วน ตั้งไฟอ่อนๆจนน้ำเชื่อมเดือด ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วนำมาใช้ในลักษณะเดียวกันกับน้ำผึ้ง

เลปวรรณ จันต๊ะคาด ม.ฟาร์ เลขที่ 2

ภัยจากการหลงลืม

‘ลืม’ ดูเป็นคำแก้ตัวง่ายดายที่สุดที่สามารถทำให้เจ้านายเลือดขึ้นหน้าได้ง่ายๆ ใครๆ คงไม่อยากลืมในเรื่องที่ไม่ควรลืม แต่บางครั้งอาการลืม ป้ำๆ เป๋อๆ ของคนหนุ่ม สาว อย่างเราๆ อาจส่อถึงภัยบางอย่างที่เราอาจนึกไม่ถึง ข้อมูลจากนายแพทย์ปราโมทย์ ชูดำ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลระยอง บอกกับเราว่า

“อาการขี้ลืม เป็นอาการปกติที่อาจเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา หากเป็นในผู้สูงอายุ มักเกิดจากการเสื่อมถอยของสภาพสมองตามกาลเวลา แต่หากบางคนมีอาการหลงลืมมากๆ จนก่อให้เกิดปัญหาในการใช้ชีวิต อาจสันนิษฐานได้ว่า เกิดจากโรคสมองเสื่อมซึ่งเป็นการเสื่อมของสมองซึ่งไม่ได้เกิดจากความชราหรือการเสื่อมตามกาลเวลา สาเหตุที่ทำให้เกิดสมองเสื่อมก็มีได้หลายประการ เช่น ศีรษะถูกกระแทก โรคหลอดเลือดสมอง โรคติดเชื้อในสมอง การขาดสารอาหารบางชนิด เนื้องอกในสมอง หรือแม้กระทั่งการป่วยโรคทางอายุรกรรม เช่น โรคไต โรคตับ โรคไทรอยด์ ก็อาจส่งผลต่อการทำงานของสมองได้ด้วย” แล้วขนาดไหนถึงเรียกว่าผิดปกติ

“ผู้ป่วยจะหลงลืมชนิดที่เรียกว่าที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน เช่น โดยมากคนปกติมักจะจำได้ทีหลังว่าลืมเรื่องอะไรหรือรู้ตัวว่าลืม แต่การหลงลืมเนื่องจากการเสื่อมของสมอง จะลืมโดยไม่ทราบว่าตัวเองลืม เช่น กินข้าวแล้วบอกว่ายังไม่ได้กิน วางของไว้บนโต๊ะแล้วบอกว่าไม่ได้วาง นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องการตัดสินใจที่แย่ลง มีปัญหาในการคิดรวบรวม ขาดการคิดริเริ่ม มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและอารมณ์อย่างเห็นได้ชัด เช่น บางคนเคยร่าเริงก็กลับเศร้า เบื่อ กังวล บางคนมีอาการหงุดหงิด ระแวง หรือแยกตัว เมื่อเป็นนานเข้า ผู้ป่วยจะเสียการสำนึกระลึกรู้ตัว (Insight) และวิจารณ-ญาณตัดสินใจ (Judgment) จนในที่สุดจะดูแลตัวเองไม่ได้

“การรักษาจะมุ่งเน้นไปที่การลดความระแวงและความทรมานของผู้ป่วย ลดภาระของญาติที่ต้องดูแล ซึ่งมีทั้งการให้ยาเพื่อเพิ่มความจำและการให้ยาจิตประสาทขนาดอ่อน เพื่อทำให้อาการทางจิตทุเลาลง โดยยาช่วยความจำก็มีผลช่วยลดอาการทางจิตได้ด้วย เนื่องจากการมีความจำดีขึ้นจะทำให้ผู้ป่วยทำความเข้าใจต่อสิ่งแวดล้อมได้ดีขึ้น”

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

หนทางเสริมภูมิคุ้มกันความเครียดให้คุณแม่

วิธีเสริมภูมิคุ้มกันความเครียดให้กับเหล่าบรรดา Working Women โดยเฉพาะผู้ที่เป็นคุณแม่มาฝากกัน

พูดระบายความเครียด หาที่ปรึกษาเพื่อระบายความเครียด ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเก็บความเครียดไว้คนเดียว เล่าปัญหาให้บุคคลที่ไว้วางใจได้ฟัง เพราะการพูดจะช่วยให้คุณพิจารณาปัญหา และเข้าใจปัญหาได้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งบรรเทาความกดดัน และคลายความรู้สึกเครียดลงได้

อาหารคลายเครียด การรับประทานอาหารตามหลักโภชนาการ จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน นอกจากนั้นอาหารยังสามารถช่วยลดความเครียดได้ดีมากทีเดียว โดยเฉพาะอาหารประเภท ผัก ผลไม้ และอาหารที่มีกากใยสูง รวมทั้งอาหารเสริมอย่างซุปไก่สกัดติดต่อกันเป็นประจำทุกวันเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ของนักศึกษาแพทย์ที่เครียดจากการเตรียมตัวสอบ ช่วยให้นักศึกษารู้สึกผ่อนคลาย ความเครียดลดลง ทั้งยังช่วยให้ความจำดีขึ้น

ดนตรีบำบัด เลือกเพลงที่มีเนื้อหาที่ฟังไพเราะ เพลิดเพลิน สบายอารมณ์ ฟังแล้วสบายใจ หรือจะเป็นเพลงบรรเลงก็ได้ แล้วคุณจะพบว่า ทุกครั้งที่ได้ฟังเพลงโปรด เรามักจะเกิดความสุขใจ และเมื่อเกิดความสุข ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนความสุขออกมา ส่งผลให้ร่างกายและจิตใจเกิดความผ่อนคลายอย่างเต็มที่

ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เริ่มด้วยการนั่งหรือนอนในท่าที่สบายๆ ไม่มีใครมารบกวน เกร็งกล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่งให้เต็มที่ ทิ้งไว้สักอึดใจหนึ่ง แล้วจึงคลายออก ค่อยๆ ฝึกไปทีละส่วนทั่วร่างกาย หรือเฉพาะส่วนที่รู้สึกตึงเครียด โดยทำซ้ำประมาณ 8-12 ครั้ง จะช่วยให้อาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อลดลง รวมทั้งลดการคิดฟุ้งซ่านและวิตกกังวล จิตใจจะมีสมาธิมากขึ้นกว่าเดิม

ฝึกหายใจคลายเครียด หายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ สังเกตว่ากระบังลมขยายออก ท้องป่องออก จากนั้นค่อยๆ หายใจออกช้าๆ ไล่ลมให้ออกมากที่สุด ควรทำติดต่อกันประมาณ 4-5 ครั้ง จะทำให้หัวใจเต้นช้าลง สมองแจ่มใส เพราะได้ออกซิเจนมากขึ้น และการหายใจออกอย่างช้าๆ จะทำให้รู้สึกได้ปลดปล่อยความเครียดออกไปจากตัวจนหมดสิ้น

ขณะเดียวกันก็ไม่ควรละเลยในการดูแลสุขภาพของตัวเอง ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้มากขึ้น รวมทั้งหัดปล่อยวางปัญหาที่แก้ไม่ตกเสียบ้าง และหมั่นสร้างอารมณ์ขันให้กับตัวเอง เมื่อคุณผ่อนคลายความเครียดลงแล้ว สมองก็ปลอดโปร่งแจ่มใส มองโลกในด้านดี ต่อให้อุปสรรคมากมายขนาดไหน Working Women อย่างคุณก็สามารถฝ่าฝันได้สบายๆ แล้วการดำเนินชีวิตประจำวันก็จะดีขึ้น

ผิวแตกทำไงดี

ย่างเข้าหน้าหนาวทีไร เห็นหลายคน โดยเฉพาะสาว ๆ บ่นเรื่องผิวแตกลายงา บริเวณแขนและขาซึ่งมองเห็นได้ชัดเจน แถมบางคนใบหน้าเป็นขุย ปากแห้งแตกจนเลือดไหลซิบ จนถูกล้อด้วย "สักวาหน้าหนาว สาวขาแตก ...”

เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.พญ.พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน สาขาตจวิทยา (ผิวหนัง) ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ฤดูหนาวความชื้นในอากาศลดลง อากาศแห้ง ลมแรง แดดจัด คนที่มีผิวพรรณแห้งอยู่แล้ว หรือ เป็นโรคผิวแห้งโดยพันธุกรรม ผิวจะยิ่งแห้งแตกมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ในคนที่เป็นโรคผิวแห้งโดยพันธุกรรม ผิว หนังจะไม่สามารถเก็บความชุ่มชื้นเอาไว้ได้

ทำให้น้ำมันหล่อเลี้ยงผิวระเหยออกมา ผิวหนังกลายเป็นเหมือนแผ่นดินที่แห้งแล้ง ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ พอฤดูหนาวมาเยือน ผิวพรรณจะแห้งแตกเหมือนลายงา มองเห็นชัดเจนกว่าฤดู อื่น ๆ โดยเฉพาะตรงบริเวณหน้าแข้ง

ส่วนลักษณะเด่นอื่น ๆ ของคนที่เป็นโรคผิวแห้งโดยพันธุกรรม คือ มีเส้นลายมือที่ชัดเจน มีส้นเท้าแตก มีตุ่มเหมือนขนคุดขึ้นบริเวณต้นแขน ขณะที่บางคนอาจเป็นโรคภูมิแพ้ร่วมด้วย

ฤดูหนาวนี้ คนที่มีผิวแห้ง หรือ เป็นโรคผิวแห้งโดยพันธุกรรม ควรสวมใส่เสื้อผ้าให้มิดชิด

อาบน้ำพอประมาณ ไม่อาบนานจนเกินไป อย่าอาบน้ำอุ่นจัด ใช้สบู่ถูตัวให้น้อยลง ถ้าผิวแห้งมาก ๆ ไม่ไหวจริง ๆ ก็ต้องทาครีม โลชั่น น้ำมันมะกอก ขี้ผึ้ง วาสลีน แต่หลายคนอาจไม่ชอบเพราะเหนอะหนะโดยเฉพาะในตอนกลางวัน ก็แนะนำให้ทาก่อนนอนแทน

ที่บอกว่าไม่ควรอาบน้ำอุ่น หรือ ใช้สบู่ ฟอกตัวจนเป็นฟองมาก ๆ เพราะ ...

จะไปชะล้างน้ำมันหล่อเลี้ยงผิวออกไปหมด ยิ่งทำให้ผิวแห้งมากขึ้น พอผิวแห้งมาก ก็จะรู้สึกคัน พอคันก็จะอาบน้ำบ่อย ตอนที่อาบน้ำเสร็จใหม่ ๆ อาจจะรู้สึกหายคัน เนื่องจากตอนอาบน้ำจะเป็นการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง แต่ผิวหนังไม่สามารถจะเก็บน้ำได้ สักพักจะระเหยไป

หลายคนเชื่อว่า การดื่มน้ำมาก ๆ จะยิ่งทำให้ผิวชุ่มชื้น ไม่แห้งแตก ?

รศ.พญ.พรทิพย์ กล่าวว่า ไม่เป็นความจริง ดื่มน้ำมากก็ยิ่งปัสสาวะออกมาก ขอเรียนว่า ผิวหนังที่แห้ง ไม่ได้แห้งเพราะขาดน้ำ แต่เป็นเพราะหนังชั้นขี้ไคลเสื่อม ไม่สามารถเก็บความชุ่มชื้นเอาไว้ได้ ทำให้แผ่นผิวหนังขี้ไคลที่ควรจะเรียบ แห้งแตก ดังนั้นไม่ว่าจะดื่มน้ำในปริมาณมากเพียงใด ก็ไม่ได้ช่วยในเรื่องนี้

ส่วนปัญหาริมฝีปากแตกนั้น รศ.พญ. พรทิพย์ อธิบายว่า อาจมีสาเหตุมาจากผิวแห้ง เป็นโรคผิวแห้งโดยพันธุกรรมอยู่แล้ว ซึ่งการเลียริมฝีปาก บ่อย ๆ จะทำให้ปากแห้งแตกได้ สาเหตุของปากแตกอีกอย่างหนึ่ง คือ เกิดจากการระคายเคืองสารเคมี ที่มีอยู่ในยาสีฟัน หรือ น้ำยาบ้วนปาก ถ้าใช้ยาสีฟันมากไปก็ทำให้ริมฝีปากแห้งได้

กรณีที่ปากแตกจากผิวแห้งก็อาจใช้ขี้ผึ้ง หรือวาสลีนทา แต่ถ้ามีสาเหตุจากสารเคมีก็ต้องพยายามหลีกเลี่ยง เช่น ใช้ยาสีฟันในปริมาณที่ เหมาะสม ไม่แปรงฟันนานจนเกินไป

กินไข่สุก ๆ ดิบ ๆ มีโทษ นะจ๊ะ

อาหารที่ทำจากไข่ ไม่ว่าจะเป็น ไข่ต้ม ไข่เจียว ไข่ดาว ไข่ลวก ไข่ตุ๋น ไข่พะโล้ ไข่ยัดไส้

และอีกสารพัดเมนูไข่ คงจะคุ้นปากคนไทยเป็นอย่างดี

แต่รู้หรือไม่ว่า หากเราปรุงไข่แบบ สุก ๆ ดิบ ๆ โดยเฉพาะ ไข่ดาว ไข่ลวก แทนที่จะได้ประโยชน์

อาจเป็นโทษต่อร่างกาย เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ

อธิบายว่า ในไข่ 1 ฟอง ไข่แดงจะเป็นก้อนไขมัน ไม่มีโปรตีน แต่กลับกัน ไข่ขาวจะไม่มีไขมัน มีแต่โปรตีน

อย่างเดียว ไข่ที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาด ไม่ว่าเบอร์เล็กหรือเบอร์ใหญ่ สิ่งที่เหมือนกัน ไข่แดง ขนาด

เดียวกันหมด แต่ที่ต่างกัน คือไข่ขาว ตรงนี้คนมักจะไม่ค่อยรู้

การกินไข่ดิบ หรือไข่ที่ปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ เช่น ไข่ดาว ไข่ลวก ถ้าไข่แดงเป็นยางมะตูมอาจจะไม่ค่อยมี

ปัญหา เท่ากับกินไข่ขาวที่เป็นยางใส ๆ เพราะไข่ขาวจะย่อยยาก เนื่องจากไข่ขาวดิบทั้งหมดเป็น

“อัลบูลมิน” ถ้าไม่สุกจะทำให้มีปัญหาเรื่องลำไส้ไม่ค่อยย่อย ยิ่งถ้าเป็นคนแก่จะไม่มีน้ำย่อยมาย่อย“อัลบูลมิน”

นอกจากนี้การกินแต่ไข่ขาวเพียงอย่างเดียว เพราะกลัวไข่แดงมีคอเลสเตอรอลสูง จะทำให้โปรตีนใน

ไข่ขาวตัวหนึ่ง ชื่อ “อะวิดิน” ไปจับกับ “ไบโอติน” ในร่างกาย

ซึ่ง “ไบโอ ติน” เป็นวิตามินที่มีความจำเป็นต่อเส้นผม และสุขภาพผิว อีกทั้งการกินแต่ไข่ขาวอย่างเดียว

ร่างกายจะไม่ได้ “ไบโอติน” ที่อยู่ในไข่แดง แถม “อะวิดิน” ก็ไปจับกับ "ไบโอติน" อีก สรุปว่าต้องกินทั้งไข่ขาว

และไข่แดง ด้วยการปรุงสุกเท่านั้น จะเป็นไข่ไก่ หรือไข่เป็ดก็ได้ ถ้าจะให้ดีควรต้มดีที่สุด เพราะถ้าทอดหรือเจียว

เรามักจะทอดกับน้ำมันพืช ซึ่งมีโอเมก้า 6 จะยิ่งไปต้านโอเมก้า 3 ในไข่

ด้าน นายสง่า ดามาพงษ์ นักวิชาการสาธารณสุข 9 กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า

การกินไข่สุก ๆ ดิบ ๆ ไม่ได้ให้ประโยชน์เต็มที่ แถมย่อยยาก และอาจมีเชื้อซาโมเนลลา หรือ อี.โคไล

ที่ก่อโรคระบบทางเดินอาหาร และที่สำคัญอาจจะไม่ปลอดจากเชื้อไข้หวัดนก สรุปว่า กินไข่ดิบ ๆ สุก ๆ ไม่มี

ประโยชน์ สู้กินไข่สุกไม่ได้ ที่ผ่านมาสังคมไทยกลัวไข่มาก ไม่ทราบเหมือนกันว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด พอพูดถึง

ไข่ปุ๊บ มองไข่ในเชิงลบ ว่า มีคอเลสเตอรอลสูง จริงอยู่ไข่มีคอเลสเตอรอลสูง แต่ก็มีคุณค่าทางโภชนาการ

สูงมากด้วย แถมราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับโปรตีนประเภทอื่น ๆ

ก่อนที่จะกินไข่ ต้องดูก่อนว่า สุขภาพร่างกายของตัวเองเป็นอย่างไร

ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ ไขมันในร่างกายไม่สูง ไม่เป็นเบาหวาน ไม่เป็นโรคความดันโลหิตสูง

ไม่เป็นโรคเรื้อรังอะไร ผู้ใหญ่สามารถกินไข่ได้สัปดาห์ละ 3-4 ฟอง แต่ถ้าไขมันในเลือดสูง มีภาวะโรคอ้วน

ต้องให้แพทย์แนะนำ โดยสามารถกินได้สัปดาห์ละ 1 ฟอง หรือกินเฉพาะไข่ขาว ซึ่งไม่มีคอเลสเตอรอล

แต่มีโปรตีน

ส่วนเด็กอายุตั้งแต่ 1 ขวบ วัยเรียน ไปจนถึงวัยอุดมศึกษา สามารถรับประทานไข่ ได้วันละ

1 ฟอง สัปดาห์ละ 7 ฟอง เพราะต้องใช้พลังงานสูง โดยไข่จะมีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตทั้งด้าน

ร่างกายและ สติปัญญา

ถามว่ากินไข่อย่างไรเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด โดยหลักง่าย ๆ คือ

1. กินไข่ที่ปรุงสุกเท่านั้น

2. ควรกินไข่ไปพร้อม ๆ กับอาหารหลัก 5 หมู่ ไม่ควรกินไข่อย่างเดียว โดยเฉพาะการกินไข่ร่วมกับผัก

จะมีไฟเบอร์ช่วยดูดซับคอเลสเตอรอลในไข่ได้ส่วนหนึ่ง

3. ควรกินไข่ในหลากหลายรูปแบบ และหลากหลายเมนู คนที่มีภาวะไขมันในร่างกายสูง ควรหันมากิน

ไข่ต้ม ไข่ตุ๋น แทนไข่เจียวหรือไข่ดาว

4. เมื่อกินไข่แล้ว ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ให้ไขมันสูงในวันเดียวกัน เช่น กินไข่แล้ว ควรหลีกเลี่ยงกิน

ข้าวขาหมู ปลาหมึก กุ้ง

5. กินไข่แล้วออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะลดภาวะ เสี่ยงต่อคอเลสเตอรอลสูงได้.

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)เลขที่ 33

การออกกำลังกาย

ส่งเสริมให้มีกิจกรรมให้มาก อย่านั่งๆนอนๆจะทำให้สุขภาพกาย สุขภาพใจ และการควบคุมน้ำหนักดีขึ้น

สำหรับผู้ใหญ่ ส่งเสริมให้มีกิจกรรมที่ใช้พลังงานปานกลาง มากกว่าปกติวันละ 30 นาทีทุกวันไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน หรือที่บ้าน เช่นการถูบ้าน การเดินขึ้นบันได การเดินเร็วๆไปจ่ายตลาด

ถ้าต้องการให้สุขภาพแข็งแรงให้ออกกำลังกายชนิดหนัก หรือออกกำลังกายนานขึ้น

ถ้าต้องการควบคุมน้ำหนักหรือป้องกันน้ำหนักเพิ่มต้องออกกำลังกายชนิดปานกลางหรือชนิดหนักวันละ 60 นาทีทุกวัน โดยที่รับประทานอาหารที่มีพลังงานเท่าเดิม

ถ้าต้องการลดน้ำหนักลดน้ำหนักต้องออกกำลังกายปานกลางถึงหนักวันละ 60-90 นาทีโดยที่รับประทานอาหารที่ให้พลังงานไม่เกิน

ส่งเสริมให้ร่างกายแข็งแรงโดยการ ออกกำลังเพื่อให้หัวใจแข็ง ออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ออกกำลังกายเพื่อให้ข้อเคลื่อนไหวได้ดี ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายมีความอดทน

การออกกำลังสำหรับกลุ่มต่างๆ

เด็กและวัยรุ่นให้ออกกำลังกายวันละ 60 นาทีทุกวัน

ในคนท้องที่ไม่มีข้อห้ามในการออกกำลังกายให้ออกกำลังปานกลางวันละ 30นาทีทุกวัน แต่ต้องหลีกเลี่ยงการออกกำลังที่จะเกิดอันตรายต่อการตั้งครรภ์

ผู้สูงอายุต้องมีกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อลดอัตราการเสื่อมของอวัยวะ

ข้อเท็จจริงบางประการ

ปี 2002ร้อยละ 25 ของประกรของอเมริกาไม่ได้ออกกำลังกาย

ปี2003 ร้อยละ 38 ของประชากรวัยรุ่นใช้เวลาดูทีวีวันละ 3 ชั่วโมง

การออกกำลังกายชนิดหนักจะให้ผลดีต่อสุขถาพดีกว่าชนิดปานกลาง และใช้พลังงานมากว่า

การออกกำำลังกายจะทำให้การควบคุมอาหารทำได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราคนที่ออกกำลังกายสามารถรับประทานอาหารได้เพิ่มขึ้น

ต้องป้องกันร่างกายขาดน้ำโดยการดื่มอย่างเพียงพอ หรือดื่มขณะออกกำลังกาย หรือหลังการออกกำลังกาย

ให้มีการออกกำลังกายอย่างสมำ่เสมอ ลดการนอนหรือดูทีวีซึ่งจะทำให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตดี

เพื่อป้องกันหรือลดอุบัติการณ์ของการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ให้ออกกกำลังกายปานกลางวันละ 30 นาที หรือกิจกรรมประจำวัน

หากออกกกำลังกายหนักเพิ่มขึ้น(ชนิดหนัก)ก็จะส่งผลดีต่อสุขภาพ

หากต้องการควบคุมน้ำหนักไม่ให้เพิ่มต้องออกกำลังกายชนิดปานกลางวันละ 60 นาทีทุกวัน

หากต้องการลดน้ำหนักอย่างต่อเนื่องต้องออกกำลังกายชนิดปานกลาง-หนักวันละ 60-90 นาที

หากต้องการให้ร่างกายแข็งแรงต้อง ออกกำลังกายให้หัวใจแข็งแรง มีความยืดหยุ่น กล้ามเนื้อแข็งแรง กล้ามเนื้อมีความทนทาน

คำแนะนำ

เด็กและวันรุ่นต้องออกกำลังกายวันละ 60 นาทีทุกวัน

คนท้องหากไม่มีข้อห้ามในการออกกำลังกายให้ออกกำลังกายปานกลางวันละ 30 นาทีทุกวัน แต่ต้องหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการหกล้ม

คนให้นมบุตร ต้องตระหนักว่าการออกกำลังกายอาจจะทำให้น้ำนมลดลง

คนสูงอายุ การออกกำลังสำหรับผู้สูงอายุจะทำให้สุขภาพดี ลดการเสื่อมของอวัยวะ คลิกอ่านที่นี่ แต่ผู้สูงอายุบางท่านต้องปรึกษาแพทย์ก่อนออกกำลังกาย

น.สเบญจวรรณ หล้าแปง (ม.ฟาร์)เลขที่40

การตรวจสุขภาพด้วยตัวเอง

ปัจจุบันสังคมไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงจากสังคมเกษตรกรรมไปสู่สังคมอุตสาหกรรม การใช้ชีวิตของคนเปลี่ยนไปทั้งในแง่การใช้แรงงานทำงานมาใช้สมองนั่งโต๊ะทำงาน การใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบทำให้เกิดความเครียด ขาดการออกกำลังกาย ขาดการรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ ขาดความสนใจต่อสุขภาพตัวทำให้เกิดโรคต่างๆซึ่งเกิดจากการไม่ดูแลตัวเองให้ดีเช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมอง ความดันโลหิตสูง โรคมะเร็งซึ่งโรคเหล่านี้สามารถป้องกันหรือลดอุบัติการณ์ได้โดยการที่เราใส่ใจดูแลตัวเอง เพียงใช้เวลาวันละประมาณ 1 ชั่วโมงก็สามารถทำให้สุขภาพดีขึ้น

คนไทยทุกวันนี้รักสุขภาพมากขึ้นจะเห็นได้จากกระแสการใช้สมุนไพร การนวด spa ชาเขียว อาหารเสริมต่างๆ การตรวจสุขภาพต่างๆ ทั้งที่อาจจะไม่มีรายงานว่าได้ผลจริงทำให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจและเสียงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน

ในความหมายของคนทั่วไปการตรวจสุขภาพคือไปพบแพทย์และตรวจตามโปรแกรมตามที่แพทย์หรือโรงพยาบาลเสนอ ในความเป็นจริงการตรวจสุขภาพตนเองควรจะเริ่มต้นโดยตัวเองสำรวจสุขภาพตนเองได้แก่

คำแนะนำให้ทำเป็นประจำ

ความตระหนักเกี่ยวกับความปลอดภัยในการขับขี่รถ เนื่องจากพบว่าการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆ

การใช้สารเสพติด การสูบบุหรี่

การบริโภคอาหารสุขภาพ

การออกกำลังกาย

การพักผ่อน

การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย

ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง

ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน

ปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะหลอดเลือดแข็ง

ปัจจัยเสียงต่อการเกิดโรคไต

คุณอ้วนไปหรือไม่ ดัชนีมวลกายเป็นเท่าไร

การดูแลช่องปาก

การจัดการเกี่ยวกับความเครียด

การพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพ

แม้ว่าคุณจะดูแลสุขภาพของคุณอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม ยังมีความจำเป็นสำหรับคนบางประเภทที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสูง สมควรที่จะได้พบกับแพทย์เพื่อตรวจร่างกายและเจาะเลือด สภานพยาบาลหลายแห่งจึงจัดรายการตรวจสุขภาพ ทั้งการตรวจหาโรคหัวใจ การตรวจหาโรคมะเร็งซึ่งการตรวจบางอย่างเกินความจำเป็น

ควรจะตรวจสุขภาพตั้งแต่อายุเท่าใด

ในความเป็นจริงเราเริ่มต้นตรวจสุขภาพตั้งแต่แรกเกิดเลย จะเห็นได้ว่าหลังจากคลอดคุณหมอจะนัดพาเด็กไปตรวจสุขภาพชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดรอบศีรษะและฉีดวัคซีนป้องกันโรค แต่สำหรับผู้ใหญ่ที่แข็งแรง ไม่มีโรคทางกรรมพันธุ์ในครอบครัวก็อาจจะจะเริ่มต้นตรวจเมื่ออายุ 35 ปี แต่หากคุณเป็นคนอ้วน มีประวัติเบาหวานในครอบครัว ประวัติโรคหลอดเลือดหัวใจของญาติสายตรง ไขมันสูงในครอบครัวหรือเจ็บป่วยบ่อยก็อาจจะเริ่มต้นตรวจที่อายุน้อยกว่านี้บางประเทศเช่นในอเมริกาแนะนำให้ตรวจไขมันในเลือดตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป ส่วนเรื่องความถี่ก็ขึ้นกับสิ่งที่ตรวจพบหากพบว่ามีโรคหรือเสี่ยงต่อการเกิดโรคก็อาจจะต้องตรวจถี่ หากไม่เสี่ยงก็อาจจะตรวจทุก 3-5 ปี

จะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

หากต้องการเจาะเลือดควรจะงดอาหารไปอย่างน้อย 8 ชั่วโมงหากต้องการตรวจไขมันในเลือดควรจะงดอาหาร 12 ชั่วโมง หากไม่ได้ตรวจไขมันหรือน้ำตาลก็ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร หลังจากเจาะเลือดก็ไปรับประทานอาหาร สิ่งที่สำคัญคือคุณต้องทำตัวเหมือนปกติก่อนตรวจไม่ควรที่จะควบคุมตัวเองเป็นพิเศษเพื่อที่จะให้ผลตรวจออกมาดี ไม่ควรกังวลหรือดื่มสุรก่อนการตรวจ การอดอาหารหมายถึงอาหารทุกอย่างทั้งน้ำชา กาแฟ นมดื่มได้เฉพาะน้ำเท่านั้น ไม่ควรจะออกกำลังกายก่อนการเจาะเลือดเพราะมีผลต่อการตรวจเลือด

แพทย์เขาจะตรวจอะไรบ้าง

การตรวจร่างกายโดยทั่วไปจะเริ่มต้นซักประวัติ

สุขภาพโดยทั่วไป

ประวัติโรคในครอบครัวเพื่อค้นหาโรคทางพันธุกรรม

ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต

ประวัติการใช้ยา

การตรวจร่างกาย วัดความดันโลหิต ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง คำนวณดัชนีมวลกาย ตรวจร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า สำหรับผู้หญิงก็แนะนำเรื่องการตรวจเต้านมด้วยตัวเอง และการตรวจภาย

การเจาะเลือดเขาตรวจดูอะไรบ้าง

โดยปกติก็จะมีการตรวจเลือด CBC,LFT,Lipid,Creatinin,Urine analysis,X-ray แต่หากคุณต้องการตรวจอย่างอื่นให้ปรึกษาแพทย์ ตารางที่แสดงข้างล่างจะแสดงชื่อโรค วิธีการตรวจ และข้อบ่งชี้ในการตรวจ

โรคที่อยากรู้ รายการตรวจ ข้อบ่งชี้ในการตรวจ

การวัดความดันโลหิต ความดันโลหิต 18-35ปีให้วัดทุก 2 ปี

มากกว่า35ปีให้วัดทุกปี

การวัดสายตา วัดสายตา ผู้ที่อายุมากกว่า 40ปีให้ตรวจทุกปี

การตรวจเต้านม มะเร็งเต้านม การตรวจเต้านมโดยแพทย์ 20-40ปีให้ตรวจทุก 3 ปี

มากกว่า 40ปี ให้ตรวจทุกปี

การตรวจรังสีเต้านม Mamography ควรทำในผู้ที่อายุมากกว่า 40 ปี

ญาติสายตรงที่เป็นมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งรังไข่

การตรวจทางทวารหนักมะเร็งลำไส้ใหญ่ การใช้นิ้วล้วงก้น ผู้ที่อายุมากกว่า 35 ปีให้ตรวจทุก 3 ปี

ภาวะโลหิตจาง CBC ตรวจสุขภาพทุกครั้ง

การตรวจแยกฮีโมโกลบิน Hemoglobin typing ก่อนการแต่งงาน

การตรวจปัสสาวะ การตรวจปัสสาวะ ตรวจสุขภาพทุกครั้งทุกวัย

ตรวจพยาธิ ตรวจอุจาระ ทุกวัยให้ตรวจทุก 3-5 ปี

โรคเบาหวาน ระดับน้ำตาลในเลือด ผู้ที่เสี่ยงต่อโรคเบาหวาน

ไขมันในเลือด เจาะหาไขมัน ผู้ที่เสี่ยงต่อไขมันในเลือดสูง

ผู้ที่มีอายุึมากกว่า 35 ปี(20ปี สำหรับอเมริกา)

การทำงานของตับ Liver function test

ไต BUN Creatinin(Cr)

หัวใจ ตรวจหาระดับน้ำตาล

ระดับน้ำตาลในเลือด

ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ

X-ray ปอดและหัวใจ

การตรวจโดยการวิ่งสายพาน

Cardiac enzyme

ควรจะทำในกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ

โรคเก๊าท์ Uric acid

การตรวจความหนาแน่นกระดูก Bone density ผู้ที่มีน้ำหนักตัวน้อย

มีญาติสายตรงเป็นโรคกระดูกพรุน

ได้รับยาที่อาจจะเป็นโรคกระดูกพรุน เช่น steroid

ต่อมลูกหมาก PSA

การตรวจภายใน PV ควรจะตรวจทุก 1 ปี

ต่อมไทรอยด์ Thyroid function test ควรจะตรวจในรายที่เคยผ่าตัดธัยรอยด์ หรือได้รับไอโอดีนกัมมันตรังสี

โรคเอดส์ เจาะเลือดตรวจเอดส์ เจาะสำหรับกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรค

การตรวจอัลตราซาวนด์ตับ Ultrasound ผู้ที่เป็นโรคตับอักเสบบี

ผู้ที่เป็นโรคตับ

การตรวจความดันตา โรคต้อหิน การตรวจตาสำหรับประชาชน

ตรวจทุก 1 ปี

สำหรับผู้ที่มีโรคเสี่ยง เช่น ต้อหิน สายตาสั้นมาก เบาหวาน

เริ่มตรวจเมื่ออายุมากกว่า40 ปี

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับตรวจสุขภาพ

การตรวจสุขภาพของประชาชนโดยทั่วไปหมายถึงการเจาะเลือดเมื่อทราบผลว่าไม่เป็นโรคก็สบายใจ แต่ในความเป็นจริงหากเขาอยู่ในความเสี่ยงของการเกิดโรคเขาจะต้องป้องกันเพื่อมิให้โรคนั้นเป็นกับตัวเขา ดังตัวอย่าง คนที่มีพ่อหรือแม่เป็นเบาหวาน ดังนั้นเขาจะมีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคเบาหวานเมื่อผลเลือดบอกไม่เป็นเบาหวานแทนที่เขาจะปรับฟฤติกรรมเพื่อป้องกันเบาหวาน แต่เขาก็ยังใช้ชีวิตแบบสบายๆ ไม่คุมน้ำหนักไม่ออกกำลังกาย หากดำรงชีวิตแบบเก่าสักวันหนึ่งเขาก็จะเป็นเบาหวาน

หรือคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเอดส์เมื่อผลเลือดปกติก็ควรที่จะลดความเสี่ยงของการติดเชื้อแต่เขาก็ยังมีพฤติกรรมเสี่ยงอยู่ หรือคนที่ดื่มสุราเจาะเลือดเพื่อตรวจดูว่าเป็นโรคตับหรือยังเมื่อผลเลือดปกติ เขาก็ยังดื่มสุราอยู่ การตรวจสุขภาพดังกล่าวไม่น่าจะมีผลดีต่อผู้ป่วย

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์) 006 เลขที่ 30

ถึงเวลาเช็กสุขภาพผิวรับปาร์ตี้

ใกล้ปีใหม่เข้ามาทุกที ช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาของการเฉลิมฉลองที่ทุกๆ คน จะได้เตรียมตัวเองให้หล่อสวยดูดีกับงานเลี้ยงสังสรรค์ปีใหม่ที่กำลังมาถึง ทั้งงานเลี้ยงปีใหม่ของที่ทำงาน นัดรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ จัดปาร์ตี้ส่งท้ายปี แถมยังมีปาร์ตี้เคานท์ดาวน์รับปีใหม่อีก และที่สำคัญต้องเตรียมตัวเองให้สวยหล่อต้อนรับปีใหม่ เพื่อเป็นสัญญาณของการรับสิ่งดีๆ ที่กำลังจะเข้ามาในชีวิตในปี พ.ศ. 2552

ประเสริฐ ศรีอุฬารพงศ์ ผู้บริหาร “ไลฟ์เซ็นเตอร์” กล่าวว่า ปัจจุบันการดูแลความสวยงามของผิวพรรณไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผู้หญิงเท่านั้น แต่ผู้ชายก็หันมาให้ความใส่ใจกับการดูแลบำรุงสุขภาพผิวของตนเองเช่นกัน ทำให้การดูแลสุขภาพกลายเป็นส่วนหนึ่งที่เสริมสร้างบุคลิกภาพและความเชื่อมั่น ขณะเดียวกันก็เป็นวิธีการหนึ่งในการผ่อนคลายตนเองจากความเหนื่อยล้าในชีวิตประจำวัน

"ปัญหาสภาพผิวหน้าจากภายนอกสามารถสะท้อนถึงสุขภาพของระบบต่างๆ ภายในร่างกายได้ เป็นภูมิปัญญาในศาสตร์ของจีนโบราณ ในเวลาเดียวกันเทรนด์ใหม่ของการบำรุงผิวหน้าที่เรียกว่า “เฟส แมปปิ้ง” ก็เน้นการวิเคราะห์สุขภาพผิวหน้าควบคู่ไปกับปัญหาของสุขภาพร่างกาย โดยแบ่งความสัมพันธ์ของผิวหน้าและระบบต่างๆ ทั่วร่างกายออกเป็น 9 โซน ด้วยกัน" ประเสริฐ แจง

โซนหน้าผาก สัมพันธ์กับระบบการย่อยอาหารและกระเพาะปัสสาวะ หากผิวบริเวณนี้ เกิดสิวอักเสบ หรือผิวหน้าแห้งกร้านบ่อยๆ ควรดื่มน้ำให้มากขึ้น เพื่อขับของเสียออกจากร่างกาย

โซนคิ้ว สัมพันธ์กับการทำงานของตับ ปัญหาผิวหน้าที่เกิดบริเวณนี้ มักเป็นปัญหาสิวอุดตัน ซึ่งเกิดจากการพักผ่อนน้อย และดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือกินอาหารที่มีไขมันสูง

โซนใบหู สัมพันธ์กับการทำงานของไต ถ้าใบหูแดงหรือร้อน ควรดื่มน้ำมากๆ และลดเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีนและแอลกอฮอล์

โซนแก้ม สัมพันธ์กับระบบทางเดินหายใจและปอด คนที่ชอบสูบบุหรี่หรือมีอาการภูมิแพ้ มักพบว่ามีอาการเส้นเลือดฝอยแตก หรือเกิดการอุดตันของเส้นเลือดฝอย ทำให้ผิวหน้าบริเวณนี้หมองคล้ำ

โซนดวงตา สัมพันธ์กับการทำงานของไต ปัญหาผิวที่เกิดบริเวณนี้ มักเป็นเรื่องรอบดวงตาคล้ำ ซึ่งอาจเกิดจากกรรมพันธุ์ หรือเกิดจากการขาดน้ำของร่างกายและระบบขับถ่ายของร่างกายทำงานไม่ปกติ

โซนจมูก และ ริมฝีปาก สัมพันธ์กับความดันโลหิต ส่วนใหญ่มักเกิดปัญหาสิวอุดตัน สิวบวมแดง บริเวณจมูกและริมฝีปาก ดังนั้น ควรดื่มน้ำและพักผ่อนให้มาก เพื่อปรับสภาพความดันโลหิตของร่างกายให้เป็นปกติ

โซนกรามทั้ง 2 ข้าง สัมพันธ์กับระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเพศหญิงที่มีรอบเดือนมักจะเกิดปัญหาผิวหน้าในบริเวณนี้

โซนคาง สัมพันธ์กับการทำงานของลำไส้เล็ก มักเกิดอาการแดงของผิวหนัง หรือมีสิวอุดตัน เป็นผลมาจากการทำงานที่ผิดปกติของระบบย่อยอาหาร ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ย่อยยากและมีรสจัด โซนหน้าอก และลำคอ สัมพันธ์กับระบบทางเดินอาหาร มักเกิดปัญหาอาการแดงและผื่นคัน ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ

กินอย่างฉลาด ปราศจากโคเลสเตอรอล

โคเลสเตอรอลในเลือดนั้นมาจากร่างกายสร้างขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์ส่วนหนึ่ง และจากอาหารที่กินเข้าไปอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งความจริงแล้วร่างกายสามารถสร้างได้เพียงพอกับความต้องการ ดังนั้นโคเลสเตอรอลที่ได้รับจากอาหารที่มากเกินไป ย่อมทำให้เกิดโคเลสเตอรอลในเลือดสูงได้

คุณ เป็นคนหนึ่งหรือเปล่าที่ชอบกิน

• เนื้อติดมัน ไก่ติดหนัง

• อาหารทะเล โดยเฉพาะหอยนางรม ปลาหมึก กุ้ง ปู

• เครื่องในสัตว์ ไข่แดง ไข่ปลา

• ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เช่น แหนม ไส้กรอก แฮม เบคอน กุนเชียง หมูยอ

• ฟาสต์ฟูดจานด่วน แถมเพิ่มชีสอีกต่างหาก

• อาหารประเภททอด

• อาหารที่ใส่กะทิข้นๆ มันๆ

• คอฟฟี่เบรกทุกครั้ง ต้องมีเค้ก คุกกี้ โดนัท พาย เสิร์ฟข้างๆ

เพียงคุณชอบกินอาหารดังกล่าวข้างบนเกิน 3 ครั้ง/สัปดาห์ คุณก็จะได้รับโบนัสพิเศษเป็นโคเลสเตอรอลไปเต็มๆ และนำไปสู่สารพัดโรค ทั้งหลอดเลือดหัวใจตีบ ความดันโลหิตสูง ทางที่ดีควรปรับพฤติกรรมการกิน โดยลดอาหารข้างบนลง เพิ่มผัก ผลไม้ ให้ได้ใยอาหาร เลือกรับประทานผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีโคเลสเตอรอล ออกกำลังกายบ้าง และทำจิตใจให้ผ่องใส นี่แหละชีวิตปลอดไขมัน

นางสาว นงนุช คำแปง เลขที่ 77 วิทย์ ออก

สวัสดีค่ะ วันนี้จะเสนอเกี่ยวกับเรื่องของความเครียดที่ในปัจจุบันคนไทยเผชิญอยู่

ความเครียด

ความเครียดสามารถเกิดได้ทุกแห่งทุกเวลาอาจจะเกิดจากสาเหตุภายนอกเช่น การย้ายบ้าน การเปลี่ยนงาน ความเจ็บป่วย การหย่าร้าง ภาวะว่างงานความสัมพันธ์กับเพื่อน ครอบครัว หรืออาจจะเกิดจากภายในผู้ป่วยเอง เช่นความต้องการเรียนดี ความต้องการเป็นหนึ่งหรือความเจ็บป่วย ความเครียดเป็นระบบเตือนภัยของร่างกายให้เตรียมพร้อมที่กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การมีความเครียดน้อยเกินไปและมากเกินไปไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ ส่วนใหญ่เข้าใจว่าความเครียดเป็นสิ่งไม่ดีมันก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ หัวใจเต้นเร็ว แน่นท้อง มือเท้าเย็น แต่ความเครียดก็มีส่วนดีเช่น ความตื่นเต้นความท้าทายและความสนุก สรุปแล้วความเครียดคือสิ่งที่มาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชีวิตซึ่งมี่ทั้งผลดีและผลเสีย

ชนิดของความเครียด

Acute stress คือความเครียดที่เกิดขึ้นทันทีและร่างกายก็ตอบสนองต่อความเครียดนั้นทันทีเหมือนกันโดยมีการหลั่งฮอร์โมนความเครียด เมื่อความเครียดหายไปร่างกายก็จะกลับสู่ปกติเหมือนเดิมฮอร์โมนก็จะกลับสู่ปกติ ตัวอย่างความเครียด

เสียง

อากาศเย็นหรือร้อน

ชุมชนที่คนมากๆ

ความกลัว

ตกใจ

หิวข้าว

อันตราย

Chronic stress หรือความเครียดเรื้อรังเป็นความเครียดที่เกิดขึ้นทุกวันและร่างกายไม่สามารถตอบสนองหรือแสดงออกต่อความเครียดนั้น ซึ่งเมื่อนานวันเข้าความเครียดนั้นก็จะสะสมเป็นความเครียดเรื้อรัง ตัวอย่างความเครียดเรื้อรัง

ความเครียดที่ทำงาน

ความเครียดที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล

ความเครียดของแม่บ้าน

ความเหงา

ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความเครียด

เมื่อมีภาวะกดดันหรือความเครียดร่างกายจะฮอร์โมนที่เรียกว่า cortisol และ adrenaline ฮอร์โมนดังกล่าวจะทำให้ความดันโลหิตสูงและหัวใจเต้นเร็วเพื่อเตรียมพร้อมให้ร่างกายแข็งแรงและมีพลังงานพร้อมที่จะกระทำเช่นการวิ่งหนีอันตราย การยกของหนีไฟถ้าหากได้กระทำฮอร์โมนนั้นจะถูกใช้ไป ความกดดันหรือความเครียดจะหายไป แต่ความเครียดหรือความกดดันมักจะเกิดขณะที่นั่งทำงาน ขับรถ กลุ่มใจไม่มีเงินค่าเทอมลูก ความเครียดหรือความกดดันไม่สามารถกระทำออกมาได้เกิดโดยที่ไม่รู้ตัว ทำให้ฮอร์โมนเหล่านั้นสะสมในร่างกายจนกระทั่งเกิดอาการทางกายและทางใจ

ผลเสียต่อสุขภาพ

ความเครียดเป็นสิ่งปกติที่สามารถพบได้ทุกวัน หากความเครียดนั้นเกิดจากความกลัวหรืออันตราย ฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจะเตรียมให้ร่างกายพร้อมที่จะต่อสู้ อาการทีปรากฏก็เป็นเพียงทางกายเช่นความดันโลหิตสูงใจสั่น แต่สำหรับชีวิตประจำวันจะมีสักกี่คนที่จะทราบว่าเราได้รับความเครียดโดยที่เราไม่รู้ตัวหรือไม่มีทางหลีกเลี่ยง การที่มีความเครียดสะสมเรื้อรังทำให้เกิดอาการทางกาย และทางอารมณ์ อ่านรายละเอียดที่นี่

โรคทางกายที่เกิดจากความเครียด

โรคทางเดินอาหาร

โรคปวดศีรษะไมเกรน

โรคปวดหลัง

โรคความดันโลหิตสูง

โรคหลอดเลือดสมอง

โรคหัวใจ

ติดสุรา

โรคภูมิแพ้

โรคหอบหืด

ภูมิคุ้มกันต่ำลง

เป็นหวัดง่าย

อุบัติเหตุขณะทำงาน

การฆ่าตัวตายและมะเร็ง

ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคที่เกิดจากความเครียด

คุณมีความเครียดหรือไม่

ถามตัวคุณเองว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่

อาการแสดงทางร่างกาย

มึนงง ปวดตามกล้ามเนื้อ กัดฟัน ปวดศีรษะ แน่นท้อง เบื่ออาหาร นอนหลับยาก หัวใจเต้นเร็ว หูอื้อ มือเย็น อ่อนเพลีย ท้องร่วง ท้องผูก จุกท้อง มึนงง เสียงดังให้หู คลื่นไส้อาเจียน หายใจไม่อิ่ม ปวดท้อง

อาการแสดงทางด้านจิตใจ

วิตกกังวล ตัดสินใจไม่ดี ขี้ลืม สมาธิสั้น ไม่มีความคิดริเริ่ม ความจำไม่ดี ไม่สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

อาการแสดงทางด้านอารมณ์

โกรธง่าย วิตกกังวล ร้องไห้ ซึมเศร้า ท้อแท้ หงุดหงิด ซึมเศร้า มองโลกในแง่ร้าย นอนไม่หลับ กัดเล็บหรือดึงผมตัวเอง

อาการแสดงทางพฤติกรรม

รับประทานอาหารเก่ง ติดบุหรี่สุรา โผงผาง เปลี่ยนงานบ่อย แยกตัว

การแก้ไขเมื่ออยู่ในภาวะที่เครียดมาก

หากท่านมีอาการเครียดมากและแสดงออกทางร่างกายดังนี้

อ่อนแรงไม่อยากจะทำอะไร

มีอาการปวดตามตัว ปวดศีรษะ

วิตกกังวล

มีปัญหาเรื่องการนอน

ไม่มีความสุขกับชีวิต

เป็นโรคซึมเศร้า

ให้ท่านปฏิบัติตามคำแนะนำ 10 ประการ

ให้นอนเป็นเวลาและตื่นเป็นเวลา เวลาที่เหมาะสมสำหรับการนอนคือเวลา 22.00น.เมื่อภาวะเครียดมากจะทำให้ความสามารถในการกำหนดเวลาของชีวิต( Body Clock )เสียไป ทำให้เกิดปัญหานอนไม่หลับหรือตื่นง่าย การกำหนดเวลาหลับและเวลาตื่นจะทำให้นาฬิกาชีวิตเริ่มทำงาน และเมื่อความเครียดลดลง ก็สามารถที่จะหลับได้เหมือนปกติ ในการปรับตัวใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ บางครั้งเมื่อไปนอนแล้วไม่หลับเป็นเวลา 45 นาที ให้หาหนังสือเบาๆมาอ่าน เมื่อง่วงก็ไปหลับ ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งคือให้ร่างกายได้รับแสงแดดยามเช้า เพื่อส่งสัญญาณให้ร่างกายปรับเวลา

หากเกิดอาการดังกล่าวต้องจัดเวลาให้ร่างกายได้พัก เช่นอาจจะไปพักร้อน หรืออาจจะจัดวาระงาน งานที่ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วนก็ให้หยุดไม่ต้องทำ

ให้เวลากับครอบครัวในวันหยุด อาจจะไปพักผ่อนหรือรับประทานอาหารนอนบ้าน

ให้เลื่อนการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆในช่วงนี้ เช่นการซื้อรถใหม่ การเปลี่ยนบ้านใหม่ การเปลี่ยนงาน เพราะการเปลี่ยนแปลงจะทำให้เกิดความเครียด

หากคุณเป็นคนที่ชอบทำงานหรือชอบเรียนให้ลดเวลาลงเหลือไม่เกิน 40 ชม.สัปดาห์

การรับประทานอาหารให้รับประทานผักให้มากเพราะจะทำให้สมองสร้าง serotonin เพิ่มสารตัวนี้จะช่วยลดความเครียด และควรจะได้รับวิตามินและเกลือแร่ในปริมาณที่เพียงพอ

หยุดยาคลายเครียด และยาแก้โรคซึมเศร้า

ให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และอาจจะมีการเต้นรำด้วยก็ดี

หากปฏิบัติตามวิธีดังกล่าวแล้วยังมีอาการของความเครียดให้ปรึกษาแพทย์

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความเครียด

ความเครียดเหมือนกันทุกคนหรือไม่ สิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความเครียดในแต่ละคนไม่เหมือนกันและการตอบสนองต่อความเครียดก็แตกต่างในแต่ละคน

ความเครียดเป็นสิ่งไม่ดีจริงหรือไม่ ความเครียดเปรียบเหมือนสายกีตาร์ ตึงไปก็ไม่ดี หย่อนไปเสียก็ไม่ไพเราะ เช่นกันเครียดมากก็มีผลต่อสุขภาพเครียดพอดีจะช่วยสร้างผลผลิต และความสุข

จริงหรือไม่ที่ความเครียดมีอยู่ทุกแห่งคุณไม่สามารถจัดการกับมันได้ แม้ว่าจะมีความเครียดทุกแห่งแต่คุณสามารถวางแผนที่จะจัดการกับงาน ลำดับความสำคัญ ความเร่งด่วนของงานเพื่อลดความเครียด

จริงหรือไม่ที่ไม่มีอาการคือไม่มีความเครียด ไม่จริงเนื่องจากอาจจะมีความเครียดโดยที่ไม่มีอาการก็ได้และความเครียดจะสะสมจนเกินอาการ

ควรให้ความสนใจกับความเครียดที่มีอาการมากๆใช่หรือไม่ เมื่อเริ่มเกิดอาการความเครียดแม้ไม่มากก็ต้องให้ความสนใจ เช่นอาการปวดศีรษะ ปวดท้องเพราะอาการเพียงเล็กน้อยจะเตือนว่าคุณต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินชีวิตเพื่อลดความเครียด

ความเครียดคือโรคจิตใช่หรือไม่ ไม่ใช่เนื่องจากโรคจิตจะมีการแตกแยกของความคิด บุคลิคเปลี่ยนไปไม่สามารถดำเนินชีวิตเหมือนคนปกติ

ขณะที่มีความเครียดคุณสามารถทำงานได้อีก แต่คุณต้องจัดลำดับก่อนหลัง และความสำคัญของงาน

ไม่เชื่อว่าการเดินจะช่วยผ่อนคลายความเครียด การเดินจะช่วยผ่อนคลายความเครียดนั้น

ความเครียดไม่ใช่ปัญหาเพราะเพียงแค่สูบบุหรี่ความเครียดก็หายไป การสูบบุหรี่หรือดื่มสุราจะทำให้ลืมปัญหาเท่านั้นนอกจากไม่สามารถแก้ปัญหาแล้วยังก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพในระยะยาวอีกด้วย

เมื่อใดต้องปรึกษาแพทย์

เมื่อคุณรู้สึกเหมือนคนหลงทางหาทางแก้ไขไม่เจอ

เมื่อคุณกังวลมากเกินกว่าเหตุ และไม่สามารถควบคุม

เมื่ออาการของความเครียดมีผลต่อคุณภาพชีวิตเช่น การนอน การรับประทานอาหาร งานที่ทำ ความสัมพันธ์ของคุณกับคนรอบข้าง

น.ส.ปาริชาติ กันทะวงค์ เลขที่10 มฟาร์อีสเทอร์น

การออกกำลังกายแบบแอโรบิค

ในปัจจุบันวงการแพทย์ถือว่า การออกกำลังกายที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมากที่สุด สมบูรณ์แบบ ที่สุดหรือทำให้ร่างกายแข็งแรงได้อย่างแท้จริงนั้น จะต้องเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิก เพราะเป็นการ ออกกำลังกายชนิดเดียวที่จะทำให้ปอด หัวใจ หลอดเลือด ตลอดจนระบบไหลเวียนของเลือดทั่วร่างกาย แข็งแรง ทนทานและทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

การออกกำลังกายแบบแอโรบิก ไม่ได้หมายถึงการเต้นแอโรบิกซึ่งเป็นที่นิยมกันมากในบรรดา หญิงสาวทั้งหลาย ทั้งสาวน้อยและสาวมาก ที่ไปออกกำลังกายตามสวนสาธารณะต่างๆ

คำว่า แอโรบิก (aerobic) เป็นภาษาละตินหมายถึงอากาศ (air) หรือก๊าซ (gas) เป็นคำที่ใช้กัน ทั่วไปในทางวิทยาศาสตร์ และผู้ที่ทำให้คำว่า การออกกำลังกายแบบแอโรบิก หรือ aerobic exercise เป็นที่ รู้จักกันอย่างกว้างขวาง ก็คือนายแพทย์เคนเน็ธ คูเปอร์ ซึ่งได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับการออกกำลังกายชื่อ Aerobics เมื่อปี พ.ศ. 2511 ซึ่งเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดในยุคนั้น คือพิมพ์ถึง 11 ครั้งในปีแรกที่วางจำหน่าย

การออกกำลังกายแบบแอโรบิก ตามความหมายของนายแพทย์คูเปอร์นั้น จะต้องเป็นการออกกำลัง กายที่ร่างกายต้องใช้ออกซิเจนจำนวนมาก และต้องทำติดต่อกันเป็นเวลาค่อนข้างนาน ซึ่งจะมีผลให้ระบบ การทำงานของหัวใจ ปอด หลอดเลือด และการไหลเวียนของเลือดทั่วร่างกายแข็งแรงขึ้น และมีประสิทธิภาพ การทำงานดีกว่าเดิมอย่างชัดเจน ซึ่งนายแพทย์คูเปอร์เรียกผลดีที่เกิดขึ้นนี้ว่า เทรนนิ่ง เอฟเฟ็กต์ (training effect) หรือผลจากการฝึก

จุดมุ่งหมายสำคัญของการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ก็คือ ทำให้ร่างกายใช้ออกซิเจนให้มากที่สุด เท่าที่ร่างกายจะใช้ได้ ในเวลาที่กำหนด (ซึ่งจะไม่เท่ากันในแต่ละคน) ซึ่งในการออกกำลังกายแบบแอโรบิกนี้ ส่วน ของร่างกายที่จะต้องปรับตัวให้ทันกันก็คือ

1. ระบบหายใจจะต้องเร็วและแรงมากขึ้น เพื่อจะได้นำเอาออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น พอที่ จะไปฟอกเลือดที่จะต้องหมุนเวียนมากขึ้น

2. หัวใจจะต้องเต้นเร็วและแรงขึ้น เพื่อจะได้สูบฉีดเลือดได้มากขึ้น เพราะขณะที่ออกกำลังกาย อย่างหนักนั้น กล้ามเนื้อจะต้องการเลือดมากขึ้นประมาณ 10 เท่า

3. หลอดเลือดทั้งใหญ่และเล็กจะต้องขยายตัวเพื่อให้สามารถนำเลือดไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

มีการออกกำลังกายมากมายหลายอย่างที่ร่างกายต้องใช้ออกซิเจน แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นการออกกำลังกาย แบบแอโรบิก เพราะทำไปแล้วไม่เกิดผลจาการฝึก เช่น การวิ่งระยะสั้น ที่แม้ผู้วิ่งจะเหนื่อยมากระหว่างที่วิ่ง แต่ก็ด้วย เวลาที่สั้นมาก หรือการยกน้ำหนักนับร้อยกิโลกรัม ซึ่งก็เป็นงานที่หนัก การใช้เวลาเพียงอึดใจเดียวหรือนักกล้ามที่ ออกกำลังกายจนมีกล้ามมัดโตๆ แต่ปอดและหัวใจอาจจะไม่มีความแข็งแรงทนทานเลยก็ได้

สรุปว่าการออกกำลังกายแบบแอโรบิกนั้น จะต้องทำให้หนักพอ จนหัวใจเต้นเร็วขึ้นจนถึงอัตราที่เป้าหมาย จะต้องทำติดต่อกันให้นานพอประมาณถึง 15 ถึง 45 นาที (ถ้าทำหนักมากก็ใช้เวลาน้อย แต่ถ้าทำหนักน้อยก็ใช้เวลามาก) ต้องทำบ่อยพอ คืออย่างน้อยที่สุดสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ถึง 5 ครั้ง

อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายที่ไม่หนักจนถึงขั้นแอโรบิกนั้น แม้จะไม่เกิดผลจากการฝึกอย่างเต็มที่ แต่ก็ยังเป็นผลดีต่อร่างกายโดยรวม และดีกว่าการไม่ออกกำลังกายเลยอย่างแน่นอน

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

กินอาหารเพื่อสุขภาพฟัน

อาหารเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกาย แต่อีกด้านหนึ่งการกินไม่เลือก ไม่ระมัดระวังก็มีโทษสำหรับร่างกายเช่นกัน ตอนนี้เรารณรงค์ในการเลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ อาหารที่รับประทานแล้วน้ำหนักไม่เพิ่ม ไม่อ้วน อาหารที่กินแล้วไม่ก่อให้เกิดโรค เช่น ไขมันอุดตันในเลือด โรคหัวใจ ทางทันตกรรมก็เช่นกัน เราให้ความสำคัญในเรื่องอาหารอย่างมากในการป้องกันโรคฟันผุ โรคเหงือก

เมื่อเรารับประทานอาหารผ่านเข้าไปในช่องปาก แบคทีเรีย ซึ่งอยู่ในรูปของแผ่นบางๆ เหนียว ที่เรียกว่า Plaque (แผ่นคราบ) จะเปลี่ยนอาหารเหล่านั้นให้เป็นกรดทำลายฟันและเหงือก แบคทีเรียเหล่านี้ชอบอาหารหวาน อาหารที่เป็นแป้งมาก

หลังรับประทานอาหารหากยังไม่แปรงฟันทันที แบคทีเรียเหล่านี้ก็ทำหน้าที่สร้างกรดไปเรื่อยๆ ดังนั้นยิ่งรับประทานอาหารบ่อยๆ 3 มื้อหลักแล้วยังมีแทรกระหว่างมื้อ อาหารก็สัมผัสกับฟันมากขึ้นโอกาสที่ฟันและเหงือกก็ถูกทำลายมากขึ้น

อะไรบ้างที่ ควร หรือ ไม่ควร ในการดูแลรักษาสุขภาพฟัน

DO's

• ควรรับประทานอาหารให้ครบทุกหมู่ ให้เกิดความสมดุล

- ขนมปัง ข้าว ซีรีอัล อาหารที่มีกากใย

- ผลไม้

- ผัก

- เนื้อปลา ถั่ว

- นม ชีส โยเกิร์ต

• ถ้าหากจะรับประทานอาหารว่างลดอาหารพวกแป้ง น้ำตาล ให้รับประทาน ผัก ผลไม้แทน

• แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ด้วยยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์

• ทำความสะอาดซอกฟันด้วยไหมขัดฟัน Dental Floss

• พบทันตแพทย์ทุก 6 เดือน

DON'Ts

• ไม่ควรให้น้ำตาลสัมผัสฟันนานๆ

- ลดการอมลูกอม

- ขนมกรอบๆ เหนียวๆ ติดฟัน

• น้ำอัดลม (Soft drink) มีน้ำตาลเยอะมาก 1 กระป๋อง บางยี่ห้อมีน้ำตาล 11 ช้อนกาแฟ ควรดื่มน้ำเปล่าแทนน้ำอัดลม

อย่าดื่มน้ำอัดลมทุกมื้ออาหาร

• ไม่สูบบุหรี่ เพราะมีผลต่อ

- ฟันเปลี่ยนสี

- เสี่ยงต่อโรคเหงือก

- เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในช่องปาก ลำคอ

กุญแจสำคัญในการเลือกรับประทานอาหารอย่างชาญฉลาด ไม่ใช่จะไม่กินพวกแป้ง น้ำตาลเลย แต่ต้องระวังในการกินและคิดก่อนกินทุกครั้ง เพราะอาหารมีผลต่อสุขภาพของเรา ถ้าเราสามารถควบคุมการกินแป้งและน้ำตาล กินผักให้เป็นนิสัยก็จะส่งให้สุขภาพของเราดี ยิ้มได้อย่างสวยงาม

แมงลักสมุนไพรรักษา แก้ปวดหัวเรื้อรัง

โรคปวดหัวเรื้อรัง มีคนเป็นกันเยอะ สาเหตุมาจากหลายอย่าง เป็นแล้วทรมานมาก บางครั้งถึงกับหน้ามืดตามัวเลยทีเดียว ต้องกินยาจากแพทย์จึงจะหาย ในทางสมุนไพรมีวิธีแก้ได้ โดยให้เอาต้น ใบ และดอก ของ “แมงลัก” กับ “ผักเสี้ยนผี” แบบแห้ง และแก่นต้น “ขี้เหล็ก” จำนวนเท่ากันอย่างละ 15 กรัม หากเป็นแบบสดต้องเพิ่มเป็น 20 กรัม ต้มกับน้ำ 3 แก้ว เคี่ยวให้เหลือ 1 แก้ว ดื่มวันละ 3 ครั้ง ครั้งละครึ่งแก้ว ต้มดื่มเรื่อยๆ อาการปวดหัวเรื้อรังจะดีขึ้นและหายได้ เคยมีคนเป็นไมเกรนดื่มแล้วดีขึ้น เรื่องนี้ต้องทดลองดู ซึ่งตัวยาทั้ง 3 ชนิด มีขายที่ตลาดนัด ไม้ดอกไม้ประดับ สวนจตุจักร ทุกวันพุธ-พฤหัสฯ บริเวณโครงการ 21 แผง “คุณพร้อม-พันธุ์” ราคาสอบถามกันเอง

แมงลัก มีลักษณะดอกใบและผลคล้าย โหระพา จะต่างกันที่กลิ่น เมล็ด “แมงลัก” แช่น้ำให้พองลื่น [...]

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

อาหาร กับ โรคเก๊าต์

คุณรู้ไหมว่า ความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาการกินของเรา เพราะว่าถ้ากินไม่ดี ก็เกิดโรคต่างๆ ได้ง่ายขึ้น แต่ถ้ารู้จักเลือกกินให้เหมาะสม จะทำให้คุณสามารถห่างไกลโรคได้ ซึ่งโรคเกาต์ ก็เป็นอีกโรคหนึ่ง ที่เกิดจากปัญหาในเรื่องอาหารการกิน วิธีการป้องกันและบรรเทา อาการเจ็บป่วยจากโรคเกาต์ที่ดีที่สุด คือ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหาร ที่มีพิวรีนสูง เพราะว่าจะทำให้เกิดการอักเสบของข้อขึ้นอีก

โรคเกาต์ เป็นโรคที่ทำให้เกิดอาการปวดตามข้อชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกัน ของกรดยูริกภายในข้อ และประกอบกับการที่มีปริมาณกรดยูริกสูงด้วย คนแต่ละวัย ก็มีระดับกรดยูริกในเลือดที่แตกต่างกันได้ เช่น ผู้หญิงวัยก่อนหมดประจำเดือน จะมีระดับกรดยูริกในเลือดสูงกว่าคนในวัยอื่นๆ และนอกจากนี้ ยังพบว่า ผู้ชายมีโอกาสเป็นโรคเกาต์ มากกว่าผู้หญิงอีกด้วย

โดยปกติแล้ว ร่างกายจะได้กรดยูริกมาจาก 2 แหล่ง คือ 1. ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นเอง โดยการสลายตัวของเซลล์ตามอวัยวะต่างๆ แต่ในบางคนที่ป่วยเป็นโรค เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว ธาลัสซีเมีย จะทำให้มีการสลายตัวของเซลล์ ในร่างกายที่มาผิดปกติ

2. จากการกินอาหารบางชนิดที่สารพิวรีนสูง ซึ่งสารชนิดนี้เมื่อกินเข้าไปแล้ว จะย่อยสลายกลายเป็นกรดยูริก ซึ่งสารพิวรีนนี้พบมากใน เนื้อสัตว์ปีก เช่น เนื้อไก่ เครื่องในสัตว์ ถั่วต่างๆ

คนที่เป็นโรคเกาต์ ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาการจะค่อยๆ กำเริบ โดยเจ็บปวดที่ข้อเดิมก่อน แล้วจะเป็นที่ข้ออื่นๆ ตามมา จนกระทั่งเป็นเกือบทุกข้อทั่วร่างกาย อาการปวด จะถี่ขึ้นและนานขึ้น จนเกิดอาการปวดตลอดเวลา ถ้าควบคุมไม่ได้ จะพบว่า ข้อที่เคยอักเสบบ่อยๆ กลายเป็นปุ่มก้อนขึ้นมา เนื่องจากการสะสมของ กรดยูริกภายในข้อจำนวนมาก จนบางครั้ง ข้อที่ปวดนั้น เกิดการแตกออก และมีสารขาวๆ คล้ายชอล์ก หรือยาสีฟัน ไหลออกมากลายเป็นแผลเรื้อรัง และในที่สุดข้อต่างๆ จะค่อยๆ พิการ และใช้งานไม่ได้ นอกจากนี้ ยังอาจทำให้เกิดนิ่วในไตตามมาได้อีกด้วย

• อาหารที่มีพิวรีนน้อย ได้แก่ ธัญพืชต่างๆ ไข่ นม และผลิตภัณฑ์จากนม ผัก และผลไม้เกือบทุกชนิด (0-50 มิลลิกรัมต่ออาหาร 100 กรัม)

• อาหารที่มีพิวรีนปานกลาง ได้แก่ ข้าวโอ๊ต เนื้อหมู เนื้อวัว ปลากะพงแดง ปลาหมึก ปู ถั่วลิสง ถั่วลันเตา หน่อไม้ ใบขี้เหล็ก สะตอ ผักโขม (50-100 มิลลิกรัมต่ออาหาร 100 กรัม)

• อาหารที่มีพิวรีนสูง ได้แก่ เครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ปีก ปลาดุก ปลาซาร์ดีน ปลาไส้ตัน กุ้ง ไข่ปลา น้ำต้มกระดูก น้ำสกัดเนื้อ ซุปก้อน กะปิ ชะอม กระถิน สะเดา เห็ด (150 มิลลิกรัมขึ้นไปต่ออาหาร 100 กรัม)

วิธีป้องกันและบรรเทา อาการเจ็บป่วยจากโรคเกาต์ที่ดีที่สุด คือ การระมัดระวัง ในการเลือกรับประทานอาหาร หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหาร ที่มีพิวรีนสูง เพราะว่าจะทำให้เกิด การอักเสบของข้อขึ้นอีก อาหารที่ผู้เป็นโรคเกาต์ ควรรับประทานให้มากคือ 1. อาหารจำพวกข้าว แป้ง เพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานเพียงพอ ในการทำกิจกรรมต่างๆ โดยไม่ต้องเผาผลาญโปรตีน ที่มีอยู่ในกล้ามเนื้อ เพื่อให้เป็นพลังงาน เพราะว่าการเผาผลาญโปรตีนในลักษณะนี้ จะทำให้มีการสลายกรดยูริกออกมา ในกระแสเลือดมากขึ้น

2. คนเป็นโรคเกาต์ ควรระวังไม่รับประทานอาหาร จำพวกเนื้อสัตว์มากเกินไป เพราะว่าเนื้อสัตว์ เป็นแหล่งของโปรตีน ทำให้เกิดกรดยูริกได้มาก เช่นเดียวกันกับการทานอาหารไม่เพียงพอ แล้วร่างกายใช้โปรตีน ที่สะสมอยู่ในกล้ามเนื้อนั่นเอง จะทำให้เกิดอาการกำเริบได้

3. การดื่มน้ำมากๆ จะช่วยป้องกันการสะสมของกรดยูริก และทำให้เกิดการขับกรดยูริก ทางปัสสาวะมากขึ้น และสามารถป้องกัน โรคนิ่วในไตได้อีกด้วย

4. นอกจากนี้ การรับประทานผัก และผลไม้ชนิดต่างๆ ให้มากขึ้นก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะช่วยให้ปัสสาวะมีสภาวะเป็นด่าง ลดความเป็นกรด ส่งผลให้เกิดการขับปัสสาวะมากขึ้น

เมื่อรู้ว่าเป็นโรคเกาต์แล้ว ควรปฏิบัติตนอย่างไร กินอาหารอย่างไร อะไรที่กินได้ อะไรที่ควรหลีกเลี่ยง ก็จะช่วยลดอาการเจ็บปวดลงได้ และช่วยป้องกัน ไม่ให้เกิดอาการเรื้อรังได้อีกเช่นกัน ดังนั้น หันมาใส่ใจกับอาหาร ที่เรากินกันเสียตั้งแต่วันนี้จะดีกว่า เพื่อจะได้มีสุขภาพที่แข็งแรง ปลอดภัยจากโรคร้ายต่างๆ

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์ 006)เลขที่30

10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี

1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง

2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี

3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว

4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ

6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%

8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย

9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด

10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วน

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์ 006)เลขที่30

คงจะรู้กันมาบ้างแล้วว่าการล้างสารพิษที่หมักหมมในตัวออกไป จะทำให้ร่างกายแข็งแรง เลือดลมเดินสะดวก ถ้าทำเป็นประจำก็จะช่วยฟื้นฟูสุขภาพและรักษาโรคร้ายแรงอย่างมะเร็ง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หอบหืด เบาหวาน รวมทั้งลดความอ้วนได้ด้วย

หัวใจสำคัญในการล้างพิษใน 1 วัน คือ จะต้องกินให้ได้แคลอรี่น้อยกว่า 800 กิโลกรัม เพื่อให้ระบบย่อยและตับได้พัก ต่อจากนั้นตับจะขับสารพิษออกมาได้และอาหารที่คุณจะทานในวันนั้นจะต้องไม่มีเนื้อสัตว์เข้ามาปะปนเด็ดขาด เข้าใจกันดีแล้วต่อไปเรามาเข้าสู่กระบวนการล้างสารพิษกันเลยดีกว่า

1. เลือกผลไม้ที่คุณชอบมา 1 อย่าง เช่น มะละกอ ฝรั่ง แคนตาลูป แอปเปิ้ล ส้มโอ ชมพู่ มะม่วง ฯลฯ ยกเว้นอยู่ 2 อย่าง คือ ทุเรียนและสับปะรด เพราะทุเรียนมีแคลอรีสูงเกินไปและย่อยยาก ทานแล้วจะเป็นภาระกับระบบย่อย ส่วน สับปะรดนั้นมีกรดสูงมาก ถ้ากินทั้งวันท้องก็จะอืดได้

2. ทานแต่ผลไม้ชนิดเดียวตลอดทั้งวัน โดยอาจจะปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ เช่น ถ้าเลือกมะละกอก็อาจจะทานเป็นเนื้อมะละกอสุก หรือส้มตำ (มะละกอดิบ) ที่ใส่แต่มะละกอกับน้ำปลามะนาวเท่านั้น ไม่ใส่เครื่องประกอบอย่างอื่นเด็ดขาด

3. พอมาถึงมื้อกลางวันก็ทานมะละกออีก แต่อาจจะเป็นน้ำมะละกอปั่นใส่น้ำตาลน้อยที่สุด หรือน้ำมะละกอคั้นสดก็ได้

4. มื้อเย็นก็ยังต้องทานมะละกออีกครั้งเป็นมื้อสุดท้ายของวัน โดยอาจจะบีบมะนาวลงไปด้วยนิดหน่อยเพื่อเพิ่มรสชาติให้ไม่เลี่ยนเกินไป

5. วันรุ่งขึ้นก่อนที่จะเริ่มมื้อเช้า คุณจะต้องดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นประมาณ 2 ขวดก่อน เพราะเมื่อเราล้างสารพิษ ตับจะขับสารพิษให้มารวมกันอยู่ที่ลำไส้เล็กส่วนต้น จึงต้องดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวเข้าไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว เพื่อให้สารพิษถูกดันออกมากับอุจจาระ หลังจากที่ดื่มน้ำอุ่นแล้วคุณจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำทันที แต่ถ้าไม่มีการดื่มน้ำกระตุ้นและไปทานอาหารเช้า สารพิษก็จะถูกดูดกลับเข้าไปในกระแสเลือดเหมือนเดิม ทำให้การอดอาหารล้างพิษของเราต้องเสียเปล่าไป

วิธีเตรียมน้ำอุ่นผสมมะนาว

อุปกรณ์

1. ขวดน้ำขนาด 1 ลิตร 2 ขวด

2. มะนาว 4 ลูก

3. เกลือป่น 2 ช้อนชา แต่ห้ามใช้เกลือไอโอดีน

วิธีทำ

1. ใส่น้ำดื่มให้เต็มขวดจากนั้นบีบมะนาวใส่ลงไปขวดละ 2 ลูก และเกลือ 1 ช้อนชา เขย่าให้เข้ากัน

2. มะนาวจะไปกระตุ้นให้ลำไส้ทำงาน ส่วนเกลือก็จะช่วยอุ้มน้ำไว้ ไม่ให้ถูกร่างกายดูดซึมไปหมด น้ำจะได้เหลือไปจนถึงทวารหนักเพื่อขับอุจจาระ

3. หลังจากดื่มน้ำมะนาวประมาณ 10-20 นาที คุณจะรู้สึกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ นั่นคือ อาการปกติ หลังจากถ่ายท้องเรียบร้อยแล้วก็เริ่มทานอาหารได้

กระบวนการล้างพิษจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นถ้าหากทำเป็นประจำสัก 2 อาทิตย์ ต่อหนึ่งครั้ง

เบญจวรรณ หล้าแปง(ม,ฟาร์เลขที่ 40)

ไข้เลือดออก เป็นการติดเชื้อไวรัส มีเชื้ออยู่สองชนิดใหญ่ๆที่ทำให้เกิดไข้เลือดออก คือเชื้อ เดงกี่ (dengue) และชิกุนกุนย่า(chigunkunya) มากกว่า 90% เกิดจากเชื้อตัวแรก เชื้อเดนกี่มี 4 พันธ์ โดยทั่วไป ในการรับเชื้อครั้งแรก มักไม่ค่อยมีอาการรุนแรงมากนัก ซึ่งสามารถเกิดในเด็ก ๆ ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป การติดเชื้อครั้งต่อไปจะรุนแรงขึ้น และภูมิคุ้มกันที่มีจะไม่ช่วยป้องกันไม่ให้เราเป็น แต่กลับทำให้การติดเชื้อครั้งหลังรุนแรงขึ้น หมายความว่าเป็นแล้ว เป็นอีกได้

อาการ ในการติดเชื้อครั้งแรก มักจะมีอาการไข้สูงลอย เหมือนไข้หวัดใหญ่ และจะไม่ค่อยมีอาการเลือดออกหรือช๊อค

ต่อมา ถ้าได้รับเชื้อซ้ำ ซึ่งอาจเป็นพันธุ์เดียวกัน หรือคนละพันธ์ ก็จะมีการกระตุ้นเกิดปฏิกิริยา จำไว้ว่า คนเป็นไข้เลือดออก แย่จากภูมิคุ้มกันของเขาเอง ที่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ก่อให้เกิดอาการเลือดออก การบวมจากสารน้ำไหลออกจากหลอดเลือดที่โดนทำลาย อาจมีน้ำในปอด ตับ ลำไส้ กระเพาะ และช๊อคได้ โดยทั่วไป การติดเชื้อที่ทำให้เกิดอาการรุนแรง มักตามหลังการติดเชื้อครั้งแรก ไม่เกิน 5 ปี นั่นคือ เราพบว่า มันเป็นโรคของเด็กเล็ก อายุน้อยกว่า 10 ขวบ แต่ปัจจุบัน พบว่า มีการกลายพันธ์ของไข้เลือดออก ทำให้เป็นรุนแรงในผู้ใหญ่ได้

พาหะ ยุงลาย Aedes aegypti เป็นพาหะนำโรค ยุงนี้จะกัดคนที่เป็นโรค และไปกัดคนอื่น ๆ ในรัศมีไม่เกิน 400 เมตร ยุงนี้ชอบแพร่พันธ์ในน้ำนิ่ง หลุม โอ่งน้ำขัง และจะออกหากินในเวลากลางวัน

อาการของการติดเชื้อซ้ำ แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะไข้สูง จะมีไข้สูงลอย ไม่ยอมลง หน้าแดง ปวดหัว เมื่อย ดื่มน้ำบ่อย มักมีอาเจียน เบื่ออาหาร มักไม่ค่อยมีอาการหวัด คัดจมูก ไอ หรือเจ็บคอ แต่บางคนก็มี อาจมีท้องเสีย หรือท้องผูกราว ๆ 3 วันจะมีผื่นขึ้นตามตัว จุดเลือดออกเล็ก ๆ ตามหน้า ซอกรักแร้ แขน ขา อาจมีปวดท้องในช่วงนี้ ถ้าทำการทดสอบที่เรียกว่า ทูร์นิเคต์(Tourniquet) โดยรัดแขนด้วยเชือกหรือเครื่องวัดความดันประมาณ 5 นาที จะพบจุดเลือดออกมากกว่า 20 จุด ในวงกลมที่วาดไว้ที่ท้องแขนที่มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว ถ้าไม่เป็นหนัก จะดีขึ้นใน 3-7 วันและเข้าสู่ระยะหาย

ระยะช๊อคและเลือดออก มักจะเกิดในวันที่ 3-7 ในระยะนี้ เด็กไข้ลง แต่แทนที่อาการจะดี พบว่า อาเจียนมาก ปวดท้อง ซึม กระสับกระส่าย ตัวเย็น เหงื่อออก ปัสสาวะเข้ม ออกน้อย ชีพจรเต้นเบาเร็ว ความดันต่ำ ถ้าไม่รีบรักษาจะช๊อคและเสียชีวิตได้ ภายใน 1-2 วัน นอกจากนี้ ผู้ป่วยจะมีเลือดออกตามที่ต่าง ๆ เช่น จ้ำตามผิวหนัง อาเจียน ถ่าย เลือดกำเดา ประจำเดือนเป็นเลือดมาก ระยะนี้จะกินเวลา 2-3 วันและจะเข้าสู่ระยะต่อไป

ระยะฟื้นตัว อาการจะดีขึ้น อาการแรกที่บ่งว่าหายคือ จะเริ่มอยากกินอาหาร มีผื่นของการหาย ที่เป็นแดงสลับขาวแผ่ตามแขนขา ตัว

การรักษา ไม่มียาเฉพาะ รักษาตามอาการ พยายามให้เด็กดื่มน้ำมาก ๆ หรือน้ำเกลือแร่ ถ้ามีความสงสัย ว่าไข้ยังสูง มีตัวแดง เกิดในหน้าฝน ต้องรีบนำไปเทสต์ทันที

ห้ามให้เด็กรับประทานยา แอสไพริน หรือยาแก้อักเสบอื่น ๆ เพราะอาจทำให้เลือดออกในกระเพาะได้ ถ้าไข้ไม่ลง ให้เช็ดตัว และให้พาราเซตามอล ในกรณีที่ไข้ไม่ยอมลง ให้หมั่นเช็ดตัว อย่าให้พาราเซตามอลเกินขนาด

การป้องกัน

ทำลายแหล่งเพาะพันธ์ของยุงลาย เช่น ฝาโอ่ง โอ่งน้ำ ที่รองขาตู้ กระถาง ยางรถยนต์ กระป๋อง กะลา แจกัน

วิธีที่สะดวกอีกแบบคือ ใส่ ทรายอะเบต(abate) ชนิด 1% ลงในตุ่มน้ำ และภาชนะ ในอัตรา 10 กรัมต่อน้ำ 100 ลิตร ควรเติมใหม่ทุก 2-3 เดือน

ให้เด็กนอนกางมุ้งเวลากลางวัน และในชุมชนเมื่อเข้าหน้าฝน หรือมีการระบาด ควรแจ้งอนามัยเพื่อมาจัดการทำลายแหล่งเพาะพันธ์หรือฉีดยากำจัดยุง

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

โรควูบ (Syncope)

โรควูบ คือ อาการเป็นลมหมดสติ เป็นภาวะที่พบได้บ่อย สาเหตุของการเป็นลมหมดสติ มีตั้งแต่เป็นลมธรรมดา จนถึงเป็นลม เนื่องจากความผิดปกติขั้นรุนแรงของหัวใจ ผู้ป่วยที่มีประสบการณ์กับตนเอง รวมถึงคนใกล้ชิดผู้ป่วย จะเกิดความวิตกกังวลสูญเสียความมั่นใจ เนื่องจากไม่แน่ใจว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดจะเป็นลม หมดสติอีกเมื่อไร ถ้าเกิดขณะขับรถ ข้ามถนน หรือขณะเล่นกีฬา จะทำอย่างไร จะฟื้นหรือไม่ จะดูแลในเบื้องต้นอย่างไร เรามาทำความรู้จักการเป็นลมหมดสติกันดีกว่า

การเป็นลมหมดสติ เกิดขึ้นเมื่อสมองขาดเลือดไปเลี้ยงในระดับรุนแรง ทำให้ศูนย์ควบคุมความรู้สึกตัวเสียการทำงานไป มี สาเหตุที่สำคัญ คือ

1. โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจอาจจะเต้นช้าเกินไป ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ หรือบางกรณีหัวใจเต้นเร็วเกินไป ทำให้ไม่มีประสิทธิภาพดีพอ ที่จะส่งเลือดไปเลี้ยงร่างกาย ทำให้เป็นลม สาเหตุชนิดนี้ เป็นสาเหตุที่อันตราย เพราะผู้ป่วยอาจเสียชีวิตเฉียบพลันได้

2. โรคหัวใจชนิดที่มีการอุดตัน การไหลเวียนของเลือด เป็นลิ้นหัวใจตีบขั้นรุนแรง

3. ความดันโลหิตต่ำ มักเกิดกับผู้ป่วยที่ได้รับยาลดความดัน ในขนาดที่มากเกินไป โดยเฉพาะในผู้ป่วยสูงอายุ นอกจากนี้ อาจเกิดในผู้ป่วยที่มีโรคทางระบบประสาทอัตโนมัติ ที่ไม่สามารถรักษาระดับความดันโลหิตเอาไว้ได้ ก็จะเป็นลมหมดสติได้

4. เป็นลมธรรมดา เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด ผู้ป่วยมักมีประวัติเป็นลมตั้งแต่เด็ก จะเป็นลมเวลาเห็นเลือด เห็นเข็มฉีดยา ยืนกลางแดด อากาศร้อนอบอ้าว อยู่ในรถโดยสารที่มีคนแน่น

กิตติยา จำปาคำ วิทย์สุขฯ เลขที่ 5

ไทรอยด์เป็นพิษ

โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ หรือโรคคอพอกเป็นพิษ ต่อมไทรอยด์ ซึ่งอยู่ที่ลำคอด้านหน้า ต่ำกว่าลูกกระเดือกเล็กน้อย ทำหน้าที่สร้างและหลั่ง ฮอร์โมนไธรอยด์ออกสู่กระแสเลือด เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายทำงานเป็นปกติ โดยเฉพาะหัวใจและประสาท

โรคคอพอกเป็นพิษ เป็นการเสียสมดุลของฮอร์โมนไธรอยด์ โดยไม่ทราบสาเหตุ และไม่เกี่ยวข้องกับอาหารทะเล แต่มีปัจจัยบางอย่างที่เกี่ยวข้องดังนี้

1. เพศหญิง โรคนี้เกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย 4-8 เท่า

2. กรรมพันธุ์ บางครอบครัวเป็นกันทั้งมารดา และลูกสาว

3. ความเครียดทางจิตใจ พบว่าทำให้เกิดอาการคอพอกเป็นพิษได้ ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ อาจสร้างฮอร์โมนออกมามากเกินไป ต่อมจะมีขนาดโตขึ้น จนมองเห็นได้ชัดเจน ถ้าคลำดูจะมีลักษณะหยุ่นไม่แข็ง อาจฟังได้ยินเสียงฟู่ๆ เนื่องจากมีเลือดไปเลี้ยงต่อมมากกว่าปกติ วิธีการตรวจหาระดับฮอร์โมนในร่างกายทำได้ 2 วิธี

• เจาะเลือดตรวจหาระดับฮอร์โมนไทรอยด์ว่าสูงกว่าปกติหรือไม่

• การตรวจโดยกัมมันตรังสีไอโอดีน เพศหญิงวัยเจริญพันธุ์ ที่สงสัยว่าตั้งครรภ์ควรบอกแพทย์ เพราะอาจมีผลเสียต่อเด็กในครรภ์ได้

คอพอกเป็นพิษอย่างไร อาการแสดงเป็นพิษ เกิดจากฮอร์โมนไทรอยด์ไปกระตุ้น การทำงานของร่างกายมากขึ้นดังนี้

1. หัวใจจะถูกกระตุ้นให้ทำงานมาก จึงมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นได้ ขณะที่นั่งสบายๆ ได้แก่ ใจสั่น หัวใจเต้นแรงและเร็ว จับชีพจรจะเต้นไม่สม่ำเสมอในบางครั้ง เหนื่อยง่าย

2. เนื้อเยื่อของร่างกายเผาผลาญ สร้างพลังงานออกมามาก และเปลี่ยนเป็นความร้อน ออกจากร่างกายได้มากเช่นกัน จากอาหารที่รับประทานเข้าไป และที่เก็บสำรองไว้เป็นไขมันและกล้ามเนื้อตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ทำให้มีอาการเหล่านี้ ร้อนและเหงื่อออกมาก มือมักจะอุ่นและชื้น กินจุ แต่ผอมลง

3. ระบบประสาทถูกฮอร์โมนไทรอยด์กระตุ้นมากขึ้น ทำให้อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย ถูกกระตุ้นให้ทำงานผิดปกติได้เช่นเดียวกัน มือสั่น ตกใจง่าย ลำไส้ถูกกระตุ้น ทำให้ถ่ายอุจจาระบ่อยวันละหลายๆ ครั้ง กล้ามเนื้อบริเวณต้นแขนและขามักอ่อนแรง บางครั้งเมื่อนั่งยองๆ ก็ลุกไม่ไหว ประจำเดือนอาจมาน้อย หรือห่างออกไป นัยน์ตาอาจโตโปนถลน หรือหนังตาบนหดรั้งขึ้นไป ทำให้เห็นตาขาวข้างบนชัด ดูคล้ายคนดุ

การรักษาคอพอกเป็นพิษ มี 3 วิธี วิธีแรก ยาเม็ดรับประทาน เพื่อควบคุมการทำงานของต่อมไทรอยด์ ทำให้อาการต่างๆ ดีขึ้น เช่น น้ำหนักเพิ่มขึ้น ชีพจรเต้นช้าลง ใจสั่นลดลง ฯลฯ ต้องใช้ยาติดต่อกันตั้งแต่ปีครึ่งถึงสองสามปี บางรายต้องรับประทานยาเป็นประจำ ถ้าหยุดยาทำให้มีอาการเป็นพิษได้อีก ข้อควรสังเกตอาการ ที่ควรรายงานให้แพทย์ทราบจากการใช้ยาเม็ด

1. มีโรคติดเชื้อบ่อย เนื่องจากฤทธิ์ยาทำให้มีเม็ดเลือดขาวต่ำในร่างกาย ทำให้ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการไข้สูง เจ็บคอ แต่พบได้น้อยมาก

2. มีผื่นคันตามผิวหนัง มักเป็นไม่รุนแรง

3. มีผมร่วงจากที่ไม่เคยร่วง

4. คอพอกโตขึ้นกว่าเดิม

5. ตะคิวจับบ่อย

6. ท้องผูกบ่อย

วิธีที่สอง การผ่าตัดเพื่อเอาต่อมไทรอยด์บางส่วนออก ซึ่งจะให้ผลการรักษาเร็วกว่าวิธีกินยาเม็ด การผ่าตัดเหมาะที่จะใช้ในรายที่คอโตมากๆ หรือเมื่อรักษาด้วยยาแล้วไม่ได้ผล ข้อเสีย การผ่าตัดเอาต่อมไทรอยด์ออกมากไป ทำให้ต่อมส่วนที่เหลือสร้างฮอร์โมนไม่พอใช้ ต้องกินยาฮอร์โมนไธรอยด์ทดแทนตลอดชีวิต และอาจมีเสียงแหบได้

วิธีที่สาม การกินน้ำแร่สารกัมมันตรังสีไอโอดีน 131 จะไปสะสมที่ต่อมไทรอยด์ แล้วปล่อยรังสีทำลายต่อมให้หายเป็นพิษ วิธีนี้เหมาะกับผู้ป่วยรักษาด้วยยาแล้วไม่ได้ผล หรือผู้ป่วยที่มีอายุมาก แต่ห้ามใช้ในหญิงกำลังตั้งครรภ์ ข้อเสีย ถ้าได้รับน้ำแร่จำนวนน้อยก็ไม่หายขาด ต้องกินซ้ำอีก หรือมากเกินไป อาจเกิดภาวะขาดฮอร์โมนได้เช่นกัน

การดูแลสุขภาพ

1. รับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ เพื่อควบคุมมิให้อาการคอพอกเป็นพิษรุนแรงขึ้น

2. สังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น ของผลข้างเคียงของยาหรือการรักษา เพื่อรายงานอาการได้ถูกต้อง

3. ติดตามการรักษา เพื่อเป็นผลดีต่อการรักษา

4. รับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะได้ทุกประเภท

สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547

 

ท่านผู้สนใจในสุขภาพทั้งหลาย แสดงว่าท่านเป็นผู้ที่ต้องการมีสุขภาพดีอย่างแน่นอน สุขภาพดีเป็นหัวใจของความสำเร็จทั้งปวง เราจะมีคำถาม 14 ข้อให้ท่านตอบเพียงว่า ใช่หรือไม่ใช่ เท่านั้น

ถ้าท่านตอบ "ใช่" ทั้ง 14 ข้อ ท่านจะมีโอกาสสูงมากที่จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีตลอดอายุขัยของท่าน ซึ่งท่านอาจจะอายุยืนไปถึง 100 ปีทีเดียว

แต่ถ้าท่านตอบว่า "ไม่ใช่" หลายข้อ ท่านควรต้องคิดทบทวนแก้ไขว่าสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะอะไร ถ้าท่านไม่มีปากกาหรือดินสอ ใช้นับนิ้วเอาก็ได้ค่ะ

  1. ตัวท่านเองมีน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ใช่หรือไม่
  2. ท่านนอนหลับได้ดีทุกคืนและตื่นขึ้นมาพร้อมความสดชื่นทุกวัน ใช่หรือไม่
  3. หลังเลิกงานแล้ว ท่านยังมีกำลังพอที่จะไปงานสังคมตอนค่ำได้ ใช่หรือไม่
  4. ท่านออกกำลังกายสม่ำเสมอสัปดาห์ละ 3 ครั้งขึ้นไปเป็นประจำ ใช่หรือไม่
  5. ถ้าท่านดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสม ท่านเป็นผู้ที่ดื่มไม่มาก ใช่หรือไม่
  6. ท่านเลิกสูบบุหรี่มานานแล้ว ใช่หรือไม่
  7. ท่านสามารถเดินขึ้นบันไดตึกไปชั้นที่ 3 โดยไม่ต้องหยุดพัก ได้หรือไม่
  8. ปกติท่านขับรถด้วยความระมัดระวัง และคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง ใช่หรือไม่
  9. ท่านไปรับการตรวจสุขภาพเป็นประจำ ใช่หรือไม่
  10. ท่านเป็นผู้ที่มีบุคลิกภาพดี มีความสุขมาโดยตลอด ใช่หรือไม่
  11. ท่านไม่เคยดื่มสุรา หรือเสพสารเสพติดในระหว่างขับรถ ใช่หรือไม่
  12. ท่านไม่เคยใช้ยาที่มีผลต่ออารมณ์และความรู้สึกนึกคิด ใช่หรือไม่
  13. ท่านทราบถึงสาเหตุ วิธีการติดต่อและการป้องกันโรคเอดส์เป็นอย่างดีแล้ว ใช่หรือไม่
  14. ในปัจจุบัน ท่านไม่มีโรคประจำตัวที่ต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง ใช่หรือไม่

ที่มา : นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ
ศูนย์ข้อมูลสุขภาพกรุงเทพ

14 คำถามของคนสุขภาพดี


สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547

การออกกำลังกาย ที่ถูกต้องและได้ผลดี

ออกกำลังกายกันเถอะ   
โดย วิภาวดี ฟิตเนส เซนเตอร์

เรื่องของการออกกำลังกาย  เป็นเรื่องที่ทุกคนพูดถึงอยู่เสมอ   ในปัจจุบันได้มีการรณรงค์ให้คนหันมาออกกำลังกายกันมากขึ้น   แต่คนที่จะออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องนั้นมีไม่มากนัก   สิ่งที่สำคัญของการออกกำลังกายนั้น    คือต้องเริ่มที่ตัวเองก่อน  เพราะ  สุขภาพดีไม่มีวางขาย   ดังนั้นเราควรรู้หลักในการออกกำลังกายให้ถูกวิธี   โดยต้องเริ่มที่ตัวเองก่อน  อาจจะเริ่มจากวันละนิดละหน่อยและค่อยๆ เพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ   แต่การที่คิดจะเริ่มต้นนี่ล่ะ …  เป็นเรื่องยาก  และหลายๆ ท่านมักพูดเสมอว่า    " ไม่มีเวลา "   1 วัน ตั้ง 24 ชั่วโมง  ควรหาเวลาออกกำลังกายให้ได้ซัก 30 นาทีเป็นอย่างน้อย       อาจจะวันเว้นวันก่อนและเมื่อร่างกายเริ่มปรับตัวได้แล้ว   จึงค่อยๆ เพิ่มวันและเวลาให้มากขึ้น  สิ่งที่สำคัญคืออย่าใจร้อนกับการออกกำลังกาย     ควรค่อยเป็นค่อยไปก่อน  เพราะการรีบร้อนมักจะทำให้ได้รับการบาดเจ็บ หรือเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้  

การออกกำลังกายจำเป็นต้องใช้บริการเฉพาะในสถานออกกำลังกายหรูๆ หรือไม่ ?  บอกได้เลยว่าไม่จำเป็น   เพราะการเดินหรือวิ่งตามพื้นที่ว่างหรือสวนสาธารณะก็ทำให้ร่างกายแข็งแรงได้เหมือนกัน   แต่ที่ปัจจุบันที่คนนิยมเข้า Fitness  กันมากขึ้นเพราะศูนย์  Fitness    มีความสะดวกสบายและมีอุปกรณ์ครบครันทันสมัย   สามารถออกกำลังกล้ามเนื้อได้ทุกส่วนของร่างกาย  และจากประสบการณ์ที่ทำงานกับ   Fitness มานานทำให้ทราบว่า มีคนจำนวนมากหลงกับกลยุทธ์การขายของ  Fitness  เช่น  การสร้างกระแสความนิยม  ความหรูหราของสถานที่ เวลาไปใช้บริการแล้วกลับผิดหวังเพราะไม่เป็นอย่างที่คิดไว้หรือบางรายก็สมัครเป็นสมาชิกแล้วไม่เคยไปใช้บริการเลยก็มี   ดังนั้นถ้าคิดจะออกกำลังกายควรมีเป้าหมายที่แน่นอน        และมองหา สถานที่ที่มีอุปกรณ์ครบครัน  สะดวกต่อการเดินทาง   ฝากไว้ว่าการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยทำให้ทุกท่านมีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง

ออกกำลังอย่างไรให้ได้ผล

1. 
กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน และมีความมุ่งมั่น
2. 
ควรแบ่งเวลาให้เพียงพอและสม่ำเสมอในการออกกำลังกาย
3. 
ความสะดวกสบายในการเดินทาง (ไม่ทำให้เสียเวลาไปมาก)
4. 
อุปกรณ์ครบถ้วนตามความต้องการของตัวท่าน
5. 
หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารพวกไขมัน หรือ อาหารที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
6. 
ถ้าต้องการลดน้ำหนักหรือกระชับสัดส่วน  ควรเลือกสถานที่ออกกำลังกายให้ห่างไกล จากศูนย์การค้า เนื่องจากเมื่อออกกำลังกายแล้วอาจทานมากกว่าเดิม เมื่อออกกำลังกายเสร็จแล้วควรกลับบ้านทันที
7. 
ต้องมีวินัยในตนเองอย่างมาก
8. 
ควรได้รับการแนะนำที่ถูกวิธีจากผู้เชี่ยวชาญ  เพื่อให้เหมาะกับสภาพร่างกายและปลอดภัย
9. 
การออกกำลังกายที่ได้ผลจะช่วยสร้างกำลังใจ  และเป็นสุขนิสัยที่ดี

 

สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547

10 ข้อผิดพลาดในการออกกำลังกาย

อันที่จริงก็เป็นเรื่องเก่าเล่าใหม่คะ เราเคยเขียนไปบ้างบางส่วนในหัวข้อ ข้อควรจำในการออกกำลังกาย คะ วันนี้จะมาขยายความต่อไปในบางข้อที่ดูเล็กๆน้อยๆแต่ก็จำเป็นเหมือนกันนะค

มาดูกันคะว่า 10 ข้อที่ว่านี้มีอะไรกันบ้าง

1. ไม่ยืดกล้ามเนื้อให้เพียงพอ

ทุกครั้งเมื่อเรา warm up ก่อนเริ่มต้นเล่น weight เราก็ควรยืดกล้ามเนื้อก่อนนะคะ เพื่อว่าเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อจะได้ยืดหยุ่นพร้อมรับการออกแรงมากๆ และในระหว่างการออกแรงนั้นกล้ามเนื้อและเอ็นจะขยายตัวคะ หากเราไม่ยืดกล้ามเนื้อ อาจทำให้กล้ามเนื้อบาดเจ็บได้ขณะเล่น weight คะ และเมื่อจบการเล่น หรือการ burn แต่ละครั้งก็ควรยืดกล้ามเนื้ออีก เพื่อให้เลือดไหลเวียนได้ทั่วถึงคะ อีกทั้งเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ออกแรงติดต่อกันเป็นเวลานาน ปกติ trainer จะยืดกล้ามเนื้อให้ทุกครั้งเมื่อเล่นจบ 1 set คะ และ trainer บางคนถึงขนาดยอมนวดหรือยืดกล้ามเนื้อแบบการนวดแผนไทยให้กับ memberเลยนะคะ (แต่ trainer เราเค้าไม่ทำ เพราะเค้าบอกว่าดูไม่ใช่ trainer ไงไม่รู้) ถ้าหากไม่มีคนยืดให้ ให้ใช้ท่าโยคะยืดกล้ามเนื้อที่เคยนำเสนอไปแล้ว รวมกับเครื่องยืดกล้ามเนื้อที่ทาง Fitness จัดให้คะ

2. ใช้น้ำหนักมากเกินไป

โดยมากมักเกิดในพวกหนุ่มๆที่อยากมีกล้ามโตไวๆ สาวๆเรามักอิดออดเวลาเห็นแป้นน้ำหนักมากๆหรือลูกน้ำหนักขนาดใหญ่ๆโตๆ

อันที่จริงการออกกำลังกายแบบ Anarobic โดยการใช้วิธีแบบ resistance (การออกแรงต้าน) นั้น จะให้ผลดีต่อกล้ามเนื้อเมื่อผู้เล่นรู้ว่าตัวเองสามารถรับแรงต้านได้มากแค่ไหน การเล่นโดยใส่แผ่นน้ำหนักมากเกินกำลังอาจเกิดผลเสียดังต่อไปนี้คะ

- กล้ามเนื้อบาดเจ็บ เพราะรับน้ำหนักมากเกินไป แต่ยังฝืนเล่นต่อไป

- กล้ามเนื้อฝ่อหรือโตผิดที่ กล้ามเนื้อฝ่อ เกิดจากการที่ร่างกายผลิตออกซิเจนมากเกินไปขณะเล่น weight ทำให้ร่างกายสันดาปเอา ไกลโคเจน มาใช้มากเกินไป (คาร์โบไฮเดรตและโปรตีนที่เรานำเข้าไปแต่ละวัน) ซ่งส่วนนี้เองที่ร่างกายนำมาสร้างกล้ามเนื้อแต่เมื่อเราใช้ไปขณะเล่น ร่างกายก็ไม่มีอะไรไว้สร้างกล้ามเนื้อคะ

กล้ามเนื้อโตผิดที่ เกิดจากเมื่อเราใส่น้ำหนักมากไป เมื่อเราเล่น เราอาจวางท่าทางที่ไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดการออกแรงจากกล้ามเนื้อมัดที่ไม่ต้องการออกแรง ในขณะที่กล้ามเนื้อที่ต้องการออกแรง ไม่ได้ออกแรงอย่างเต็มที่ นี่เองที่ทำให้กล้ามเนื้อโตผิดที่ ซ่งมักเกิดขึ้นบ่อยๆ โดยเฉพาะกล้ามแขน (บางคนเล่นอกแต่ดันเอาแขนยก )

3. ไม่ Warm Up ก่อนออกกำลังกาย

เรื่องนี้เราย้ำบ่อยมากในบทความเก่าๆที่เคยเขียนมาทุกครั้ง การ warm up นอกจากเป็นการทำให้ร่างกายเราอุ่นขึ้นแล้ว ยังเป็นการเตรียมกล้ามเนื้ออีกด้วยคะ สังเกตุดูว่าการ warm up ไม่มีท่าทางตายตัว แต่มุ่งเน้นว่าร่างกายทุกส่วนต้องเคลื่อนไหวในขณะ warm up เพื่อให้เกิดการเตรียมพร้อมก่อนการออกกำลังกายจริง ทั้งนี้เพื่อป้องกันการบาดเจ็บนั่นเองคะ

4. ไม่ Cool Down

ข้อนี้สืบเนื่องมาจากข้อ 1. คะ การ cool down จะตรงข้ามกับการ warm up เมื่อเราออกกำลังกายเสร็จแล้ว เราควร cool down เพื่อเตรียมร่างกายให้เข้าสู่ภาวะปกติก่อนการไปทำธุระอื่นๆคะ เหตุผลก็ง่ายๆเลย อย่างที่เราทราบว่าหากเราอาบน้ำทั้งที่ร่างกายเรายังร้อนอยู่อาจเป็นไข้ได้ นั่นล่ะคะ เมื่อเราออกกำลังกายเสร็จ อุณหภูมิในร่างกายยังสูงอยู่ เราก็ต้องปรับให้กลับมาที่จุดปกติเพื่อทำกิจกรรมปกตินั่นเองคะ

5. ออกกำลังกายหนักเกินไป

การออกกำลังกายหนักเกินไปมีผลให้เกิดอาการต่อไปนี้

- Over Trained หรือกล้ามเนื้อล้าจากการออกแรงมากเกินไป จะเกิดอาการตึงๆหรือล้าๆกล้ามเนื้อ

- กล้ามเนื้อฝ่อ อย่างที่อธิบายไปแล้ว คือ ร่างกายจะดึงเอาคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนที่ร่างกายสะสมไว้ไปใช้นั่นเองคะ

6. ดื่มน้ำน้อยไป

เรื่องนี้สำคัญมากๆ เคยเตือนไปหลายต่อหล่ยครั้งมากๆ โดยเฉพาะผู้ที่ชอบเล่น Bikram หรือโยคะร้อน ข้อนี้จำเป็นมากๆเลยคะ

ร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำถึง 70% เซลล์กล้ามเนื้อทุกๆเซลล์ต้องการน้ำ ดังนั้น หากเราออกกำลังกายจนเหนื่อยหนัก โดยไม่จิบน้ำเลย ร่างกายจะเกิดอาการ Dehydrate หรือขาดน้ำ ซึ่งส่งผลให้ช็อคได้คะ เนื่องจากขาดน้ำไปหล่อเลี้ยงในระดับเซลล์นั่นเองคะ เรื่องเล็กๆที่สำคัญมากนะคะ

7. ทิ้งน้ำหนักตัวบน Stair Stepper มากเกินไป

Stair Stepper ก็คือเครื่อง Cardio ชนิดหนึ่ง หน้าตาเหมือนในภาพนี้น่ะคะ


ถ้าหากเราทิ้งน้ำหนักตัวลงไปที่เท้าทั้งสองมากเกินไปจะทำให้บาดเจ็บที่หน้าแข้งและข้อเท้าได้นะคะ ระวังด้วยคะ

8. ออกกำลังกายเบาเกินไป
อย่างที่เคยบอกไปนะคะว่าการเล่น Cardio หรือการออกกำลังกายให้ถึง 60-85% ของ Max Heart Rate จะทำให้ร่างกายเราเผาผลาญไขมันไปใช้ในการออกกำลังกายคะ


9. ใช้แรงสะบัดเพื่อยกน้ำหนัก
การใช้แรงสะบัดก็เป็นการออกแรงที่ผิดคะ การสะบัดนอกจากทำให้กล้ามเนื้อไม่ได้ออกแรงอย่างเต็มที่แล้วยังอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ด้วยนะคะ ออกแรงให้ทุกต้องและพอดีจะได้เสริมสร้างกล้ามเนื้อมัดที่ต้องการให้ออกแรงนะคะ


10. ทาน Energy Bar หรือเครื่องดื่มเกลือแร่เมื่อออกแรงระดับปานกลาง
ข้อนี้ไม่จำเป็นมากนักสำหรับทุกๆคนนะคะ บางคนทานเพราะต้องการเพิ่มกล้ามเนื้อ เช่น เครื่องดื่มเวย์โปรตีน อะมิโนแอซิด ฯลฯ มันไม่จำเป็นและสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุคะ


โดยปกติคนไทยเรา หากออกกำลังกายแล้ว เราสามารถเสริมโปรตีนโดยการบริโภคไข่ไก่ เนื้อไก่ เนื้อปลา หรือนมได้โดยตรงคะ ซึ่งมีประโยชน์เท่ากันหรือมากกว่าและราคาถูกกว่าด้วยคะ ไม่ต้องไปเห่อตามฝรั่งคะ ต้องเข้าใจว่าบ้านเรากะบ้านเค้าอาหารการกิน และอากาศมันต่างกันคะ เราโชคดีที่มีของสด ราคาไม่แพงให้บริโภคก็เลือกของสดที่มีคุณภาพดีมาบริโภคดีกว่าพึ่งอาหารเสริมนะคะ

เอาล่ะคะ พอได้รู้เคล็ดลับเหล่านี้แล้ว ก็เตรียมตัวไปออกกำลังกายให้สุขภาพแข็งแรงรับเทศกาลที่กำลังจะมาเยือนกันเลยคะ ออกกำลังกายให้ผิวสวย หน้าใส อย่าออกกำลังกายให้ผิวแห้ง หน้าหมอง

สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547

อ้วนลงพุง ภัยเงียบที่อันตราย!

เบคอน ขาหมู พิซซ่า กล้วยทอด หนังไก่ทอด เมนูยอดนิยมอันดับต้นๆ ที่เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญต่อการเกิดห่วงยางรอบเอว ไขมันตัวร้ายที่ยากจะกำจัดออกไป ทางโรงพยาบาลเปาโล เมโมเรียล พหลโยธิน ร่วมกับ บริษัท แอบบอต ลาบอแรตอรีส จำกัด จึงจัดสัมมนาในหัวข้อ “อ้วนนัก ชักไม่ปลอดภัย” เพื่อกระตุ้นให้คนไทย หันมาใส่ใจดูแลสุขภาพรอบเอว ตัวบ่งชี้สำคัญสำหรับภาวะโรคอ้วนลงพุง


นพ.วิศิษฐ์ ภาสุรปัญญา อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคเบาหวาน-ต่อมไร้ท่อ ประจำโรงพยาบาลเปาโล เมโมเรียล พหลโยธิน กล่าวว่า โรคอ้วนลงพุง เกิดจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้ตับอ่อนต้องสร้างอินซูลินในปริมาณมาก เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาโรคเรื้องรังต่างๆ ตามมา ทั้งโรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และเบาหวาน สาเหตุหลักมาจากพฤติกรรมการรับประทานอาหาร การไม่ออกกำลังกาย และกรรมพันธุ์ โดยในชายและหญิงนั้นจะมีลักษณะการอ้วนลงพุงที่แตกต่างกัน

"สำหรับผู้ชายจะมีไขมันสะสมตรงช่องท้องมากกว่าส่วนอื่นๆ ขณะที่ผู้หญิงมักจะสะสมบริเวณต้นขา และสะโพก ส่วนสัญญาณที่เตือนว่าเสี่ยงต่อโรคอ้วนลงพุงนั้น เบื้องต้นสามารถวัดได้จากเส้นรอบเอว หากมีเส้นรอบเอวเกินกว่า 90 ซม. และ 80 ซม. ในชายและหญิง ถือว่าอยู่ในเกณฑ์เสี่ยง หากคนไข้ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคอ้วนลงพุง ก็จำเป็นต้องปรับพฤติกรรมทั้งการใช้ชีวิต และการทานอาหาร โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติว่าคนในครอบครัวเป็นโรคอ้วนลงพุงยิ่งมีแนวโน้มว่าจะเป็นได้เช่นกัน เพราะโรคนี้สามารถถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ได้ แต่การลดน้ำหนักควบคู่ไปกับดูแลสุขภาพร่างกายตนเอง ก็เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดที่จะป้องกันโรคอ้วนลงพุงนี้ได้”

วิธีการลดน้ำหนักที่ดีที่สุด จตุพร มีสมศักดิ์ นักกายภาพบำบัดประจำโรงพยาบาลเปาโลฯ ชี้ว่า การออกกำลังกาย ควบคู่ไปกับการควบคุมอาหารจะได้ประสิทธิภาพมาก ซึ่งควรจะทำแบบค่อยเป็นค่อยไป

“หากเราใช้วิธีการอดอาหารเพียงอย่างเดียว น้ำหนักลดได้จริง แต่แทนที่ไขมันจะหายไป กลายเป็นว่าร่างกายเราจะสูญเสียโปรตีน และกล้ามเนื้อแทนในแต่ละวันควรออกกำลังกายให้ได้ 30 นาที และไม่ควรหยุดเกิน 2 วัน ทั้งนี้เน้นที่การอบอุ่นร่างกาย เพราะเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อ กระดูก และข้อต่อ เพิ่มความยืดหยุ่น ลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ"

นักกายภาพแนะเคล็ดลับอีกว่า ควรหายใจเข้าออกทางจมูก มากกว่าใช้ปากช่วยหายใจ เท่ากับเป็นการฝึกความอดทนไปในตัว

แม้พันธุกรรมจะเป็นหนึ่งในความเสี่ยงที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่พฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตประจำวัน เราสามารถเลือกที่จะจัดการและควบคุมได้

เหมือนอย่างคำกล่าวที่ว่า “สุขภาพดีไม่ได้มาง่ายๆ ถ้าอยากได้ต้อง

สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547

การรักษาน้ำหนัก

าหาร ที่เรารับประทานเข้าไปจะใช้เป็นพลังงานในการดำเนินชีวิต เช่นใช้หล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ใช้ในการเดิน การหายใจ การทำงาน แต่ถ้าหากเรารับประทานอาหารที่มีพลังงานมากกว่าที่เราใช้ส่วนเกินของพลังงาน จะสะสมในรูปไขมันผลทำให้น้ำหนักท่านเพิ่ม

ท่านผู้อ่านควรที่จะรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติคือดัชนีมวลกายอยู่ระหว่าง 20-20 กก./ตารางเมตร หากต่ำกว่านี้ร่างกายอาจจะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ หากมากกว่านี้อาจจะทำให้เกิดโรคต่างๆเช่น โรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง

โรคอ้วนทำให้เกิดโรคอะไร

คนอ้วนมักจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดโรค ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง ซึ่งปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวจะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนั้นโรคอ้วนยังเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งได้หลายชนิด

การลดน้ำหนัก

วิธีลดน้ำหนักที่ดีที่สุดคือการลดพลังงานจากอาหาร และการออกกำลังกายหรืออาจจะทำทั้งสองอย่างพร้อมกัน

      1.ลดพลังงานจากอาหาร

  • รับประทานอาหารพวกผักผลไม้ให้มาก ไม่ปรุงอาหารด้วยไขมัน
  • ลดอาหารไขมัน เช่นอาหารทอด ผัด เช่นปาท่องโก๋ กล้วยทอด ไก่ทอด ฟิซซ่า โรตี กะทิ
  • ดื่มนมพร่องมันเนย งดเนย
  • ลดการบริโภคน้ำตาล ของหวาน
  • ลดสุรา

     2.การออกกำลังกาย

  • ใช้การเดินแทนการนั่งรถ
  • ใช้บันไดแทนการขึ้นลิฟต์
  • ไปเล่นกับลูก ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน
สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547

                                               กาแฟ

หลังจากตื่นนอนตอนเช้าได้กาแฟหอมๆสักแก้วจะรู้สึกกระชุ่มกระชายตลอดทั้งเช้า บางท่านรับกาแฟและขนมบางอย่างเป็นอาหารเช้า หลังจากทำงานก็ยังมี coffee break บางท่านยังดื่มหลังอาหารเที่ยงและตอนสายๆ ยิ่งต้องเข้าประชุมกาแฟหอมๆสักแก้วจะทำให้สดชื่นหายง่วง ปัจจุบันการดื่มกาแฟเป็นที่นิยมการอย่างแพร่หลายตามปั้มน้ำมัน ตามห้างสรรพสินค้ามีการขายอย่างมากมาย จะเห็นได้ว่ากาแฟเป็นส่วนหนึ่งหรือบางคนอาจจะเป็นส่วนสองส่วนสามของชีวิตประจำวัน แต่จะมีใครกังวลหรือไม่ว่าที่เราดื่มทุกวันวันละหลายแก้วแล้วมันมีโทษ หรือคุณประโยชน์อะไรบ้าง หากคุณเป็นคอกาแฟคุณควรจะอ่านบทความนี้

ส่วนประกอบที่สำคัญของกาแฟ

ส่วนประกอบที่สำคัญของกาแฟคือ caffeine หรือมีชื่อทางเคมีว่า 1,3,7-trimethylxanthine ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของยาขยายหลอดลม theophylline

caffeine สามารถพบได้ในหลายชนิดได้แก่ เมล็ดคา เมล็ดกาแฟ ใบชา โคลา caffeineถูกผสมลงในน้ำอัดลม ยาแก้หวัดบางชนิด ยาแก้ปวด ยาลดน้ำหนัก

กาแฟจะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วหลังจากที่เราดื่มกาแฟและจะถูกขับออกไปครึ่ง หนึ่งในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมงกาแฟจะไม่สะสมในร่างกายโดยจะถูกทำลายและขับออกหมด ผู้ที่สูบบุหรี่จะมีการขับถ่ายกาแฟมากกว่าผู้ที่ไม่สูบดังนั้นคนที่สูบ บุหรี่หากต้องการการกระตุ้นของกาแฟจะต้องดื่มกาแฟบ่อยกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ คนท้องและผู้ที่กินยาคุมกำเนิดจะมีการขับกาแฟน้อยกว่าคนทั่วไป กาแฟจะออกฤทธิ์โดยการกระตุ้นสมองทำให้รู้สึกสดชื่นและมีสมาธิ

ปริมาณcaffeine ที่มีในเครื่องดื่มแต่ละชนิดขึ้นกับความเข้มข้น ตารางข้างล่างเป็นตัวอย่างปริมาณกาแฟ

Milligrams of Caffeine

ชนิดของเครื่องดื่ม

ปริมาณ

Range*

Coffee (150ml cup)
ต้ม, drip method
เครื่องต้มกาแฟ
กาแฟสำเร็จ
Decaffeinated
Espresso (30ml cup)


115

80
65
3
40


60-180

40-170
30-120
2-5
30-50

Teas (150ml cup)
ชาที่ต้ม
ชาเป็นซอง
ชาเย็น (240ml glass)


40

30
45


20-90

25-50
45-50

น้ำอัดลม (180ml)

18

15-30

Cocoa beverage (150ml)

4

2-20

นมรสChocolate  (240ml)

5

2-7

Chocolateนม (30g)

6

1-15

Dark chocolate, semi-sweet (30g)

20

5-35

Cooking chocolate (30g)

26

26


นักวิทยาศาสตร์ประมาณว่าวันหนึ่งๆเราจะรับสาร caffeine ประมาณ 250-600 มก.ซึ่งไม่เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย

ผลดีของกาแฟ

กาแฟจะกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางทำให้ไม่ง่วง สมาธิในการทำงานดีขึ้น ผู้ที่ดื่มกาแฟจะทำให้ไม่ง่วงนอน มีสมาธิในการทำงาน และยังทำให้ความสามารถในการทำงานดีขึ้น และยังลดอาการปวดเมื่อยเนื่องจากไขหวัด

ผลต่อสมรรถภาพของร่างกายดีขึ้น เช่นการขี่จักรยาน การว่ายน้ำ เล่นกีฬาได้นานขึ้น

ผลดีของกาแฟจะทำให้ไม่ง่วงนอนโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเป็นกะ และช่วยลดอุบัติเหตุขณะขับรถ

กระตุ้นอวัยวะของร่างกายและเพิ่มการเผาผลาญไขมันและช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย กาแฟจะมีฤทธิ์ขับปัสสาวะอ่อนๆดังนั้นขณะออกกำลังกายหรือหลังออกกำลังกายไม่ ควรรับเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาแฟเพราะจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ

ดื่มนานๆจะติดกาแฟหรือไม่

องค์การอนามัยโลกกล่าวว่าไม่มีหลักฐานว่ากาแฟจะเป็นสารซึ่งหากดื่มนานๆแล้วจะเสพติด การดื่มกาแฟจะเป็นนิสัยมากกว่าเสพติดเนื่องจากไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณของกาแฟ และเมื่อหยุดกาแฟบางคนก็เกิดอาการปวดหรือมึนศีรษะเพียงเล็กน้อย

ผลดีของกาแฟต่อสุขภาพ

  • โรคหอบหืด มีรายงานว่าการดื่มกาแฟวันละ 3 แก้วจะลดอาการหอบหืด หากดื่มมากกว่า 6 แก้วการทดสอบสมรรถภาพปอดจะดีขึ้น
  • กาแฟก็เหมือนกับพืชอื่นๆมีสาร flavanoid ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ
  • การดื่มกาแฟจะลดอาการง่วงนอน และทำให้มีสมาธิในการทำงานดีขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเป็นกะ และลดอุบัติเหตุขณะขับขี่
  • กาแฟช่วยลดอาการซึมเศร้าและคลายความวิตกกังวล
  • การดื่มกาแฟเป็นประจำจะลดอุบัติการณ์การเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ และยังลดอุบัติการณ์ของนิ่วในถุงน้ำดี
  • มีหลักฐานพอจะเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่เมื่อดื่มวันละ 4 แก้ว

กาแฟกันสุขภาพสตรี

  • กาแฟกับการตั้งครรภ์ The Food Standards Agency ก่อนหน้านี้มีความเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะเป็นผลเสียต่อการตั้งครรภ์ แต่จากหลักฐานยังไม่พบผลเสียดังกล่าว ประเทศอังกฤษได้แนะนำว่าการดื่มวันละ 3-4 แก้วขณะตั้งครรภ์ไม่เกิดผลเสีย สำหรับผู้ที่ตั้งท้องหากงดได้ก็น่าจะงด
  • การเป็นหมัน พบว่าหากดื่มกาแฟมากกว่า 1แก้วจะมีโอกาสเกิดการเป็นหมันเพิ่มขึ้น

กาแฟกับโรคกระดูกพรุน

  • ยังมีรายงานทั้งสนับสนุนว่าการดื่มกาแฟทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน บางรายงานก็กล่าวว่าไม่เกิดโรค ผู้ที่เกิดโรคกระดูกพรุนมักจะได้รับแคลเซียมไม่พอแนะนำว่าควรจะดื่มนมเริมสำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 2 แก้วขึ้นไป

กาแฟกับโรคมะเร็ง

  • มีรายงานจากWorld Cancer Research Fund ว่าการดื่มกาแฟปริมาณปานกลางไม่มีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็ง
  • มีรายงานกล่าวว่าการดื่มกาแฟมีผลดีต่อการป้องกันมะเร็งตับอ่อนเล็กน้อย
  • มีรายงานว่าการดื่มกาแฟอาจจะมีผลป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ๋

กาแฟกับโรคหัวใจ

  • เท่ามีรายงานขณะนี้พบว่าการดื่มกาแฟวันละ 4 แก้วไม่มีความสัมพันธ์กับโรคหัวใจ
  • การดื่มกาแฟเป็นประจำไม่ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น การดื่มกาแฟครั้งแรกจะทำให้ความดันขึ้นชั่วคราว

กาแฟกับโรคเบาหวาน

  • จากการศึกษาพบว่าการดื่มกาแฟจะทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินเพิ่มขึ้น 15 % กรดไขมันในเลือดเพิ่มขึ้น ฮอร์โมน epinephrineเพิ่มสูงขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน
สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547

การตรวจสุขภาพ

การตรวจสุขภาพด้วยตัวเอง

ปัจจุบัน สังคมไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงจากสังคมเกษตรกรรมไปสู่สังคมอุตสาหกรรม การใช้ชีวิตของคนเปลี่ยนไปทั้งในแง่การใช้แรงงานทำงานมาใช้สมองนั่งโต๊ะทำ งาน การใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบทำให้เกิดความเครียด ขาดการออกกำลังกาย ขาดการรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ ขาดความสนใจต่อสุขภาพตัวทำให้เกิดโรคต่างๆซึ่งเกิดจากการไม่ดูแลตัวเองให้ดี เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมอง ความดันโลหิตสูง โรคมะเร็งซึ่งโรคเหล่านี้สามารถป้องกันหรือลดอุบัติการณ์ได้โดยการที่เราใส่ ใจดูแลตัวเอง เพียงใช้เวลาวันละประมาณ 1 ชั่วโมงก็สามารถทำให้สุขภาพดีขึ้น

คน ไทยทุกวันนี้รักสุขภาพมากขึ้นจะเห็นได้จากกระแสการใช้สมุนไพร การนวด spa ชาเขียว อาหารเสริมต่างๆ การตรวจสุขภาพต่างๆ ทั้งที่อาจจะไม่มีรายงานว่าได้ผลจริงทำให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจและ เสียงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน

ในความหมายของคนทั่วไปการ ตรวจสุขภาพคือไปพบแพทย์และตรวจตามโปรแกรมตามที่แพทย์หรือโรงพยาบาลเสนอ ในความเป็นจริงการตรวจสุขภาพตนเองควรจะเริ่มต้นโดยตัวเองสำรวจสุขภาพตนเอง ได้แก่

คำแนะนำให้ทำเป็นประจำ

  • ความตระหนักเกี่ยวกับความปลอดภัยในการขับขี่รถเนื่องจากพบว่าการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเป็นสาเหตุการตายอันดับต้นๆ
  • การใช้สารเสพติดการสูบบุหรี่
  • การบริโภคอาหารสุขภาพ
  • การออกกำลังกาย
  • การพักผ่อน
  • การมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย
  • ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคมะเร็ว
  • ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน
  • ปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะหลอดเลือดแข็ง
  • ปัจจัยเสียงต่อการเกิดโรคไต
  • คุณอ้วนไปหรือไม่ ดัชนีมวลกายเป็นเท่าไร
  • การดูแลช่องปาก
  • การจัดการเกี่ยวกับความเครียด

การพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพ

แม้ ว่าคุณจะดูแลสุขภาพของคุณอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม ยังมีความจำเป็นสำหรับคนบางประเภทที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสูง สมควรที่จะได้พบกับแพทย์เพื่อตรวจร่างกายและเจาะเลือด สภานพยาบาลหลายแห่งจึงจัดรายการตรวจสุขภาพ ทั้งการตรวจหาโรคหัวใจ การตรวจหาโรคมะเร็งซึ่งการตรวจบางอย่างเกินความจำเป็น

ควรจะตรวจสุขภาพตั้งแต่อายุเท่าใด

ใน ความเป็นจริงเราเริ่มต้นตรวจสุขภาพตั้งแต่แรกเกิดเลย จะเห็นได้ว่าหลังจากคลอดคุณหมอจะนัดพาเด็กไปตรวจสุขภาพชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดรอบศีรษะและฉีดวัคซีนป้องกันโรค แต่สำหรับผู้ใหญ่ที่แข็งแรง ไม่มีโรคทางกรรมพันธุ์ในครอบครัวก็อาจจะจะเริ่มต้นตรวจเมื่ออายุ 35 ปี แต่หากคุณเป็นคนอ้วน มีประวัติเบาหวานในครอบครัว ประวัติโรคหลอดเลือดหัวใจของญาติสายตรง ไขมันสูงในครอบครัวหรือเจ็บป่วยบ่อยก็อาจจะเริ่มต้นตรวจที่อายุน้อยกว่านี้ บางประเทศเช่นในอเมริกาแนะนำให้ตรวจไขมันในเลือดตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป ส่วนเรื่องความถี่ก็ขึ้นกับสิ่งที่ตรวจพบหากพบว่ามีโรคหรือเสี่ยงต่อการเกิด โรคก็อาจจะต้องตรวจถี่ หากไม่เสี่ยงก็อาจจะตรวจทุก 3-5 ปี

จะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

หาก ต้องการเจาะเลือดควรจะงดอาหารไปอย่างน้อย 8 ชั่วโมงหากต้องการตรวจไขมันในเลือดควรจะงดอาหาร 12 ชั่วโมง หากไม่ได้ตรวจไขมันหรือน้ำตาลก็ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร หลังจากเจาะเลือดก็ไปรับประทานอาหาร สิ่งที่สำคัญคือคุณต้องทำตัวเหมือนปกติก่อนตรวจไม่ควรที่จะควบคุมตัวเองเป็น พิเศษเพื่อที่จะให้ผลตรวจออกมาดี ไม่ควรกังวลหรือดื่มสุรก่อนการตรวจ การอดอาหารหมายถึงอาหารทุกอย่างทั้งน้ำชา กาแฟ นมดื่มได้เฉพาะน้ำเท่านั้น ม่ควรจะออกกำลังกายก่อนการเจาะเลือดเพราะมีผลต่อการตรวจเลือด

แพทย์เขาจะตรวจอะไรบ้าง

การตรวจร่างกายโดยทั่วไปจะเริ่มต้นซักประวัติ

  • สุขภาพโดยทั่วไป
  • ประวัติโรคในครอบครัวเพื่อค้นหาโรคทางพันธุกรรม
  • ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต
  • ประวัติการใช้ยา
  • การตรวจร่างกาย วัดความดันโลหิต ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูงคำนวณดัชนีมวลกาย ตรวจร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า สำหรับผู้หญิงก็แนะนำเรื่องการตรวจเต้านมด้วยตัวเอง และการตรวจภาย

การเจาะเลือดเขาตรวจดูอะไรบ้าง

โดยปกติก็จะมีการตรวจเลือด CBC,LFT,Lipid,Creatinin,Urine analysis,X-ray แต่หากคุณต้องการตรวจอย่างอื่นให้ปรึกษาแพทย์ ตารางที่แสดงข้างล่างจะแสดงชื่อโรค วิธีการตรวจ และข้อบ่งชี้ในการตรวจ

โรคที่อยากรู้
รายการตรวจ
ข้อบ่งชี้ในการตรวจ
การวัดความดันโลหิต ความดันโลหิต
  • 18-35ปีให้วัดทุก 2 ปี
  • มากกว่า35ปีให้วัดทุกปี
การวัดสายตา วัดสายตา
  • ผู้ที่อายุมากกว่า 40ปีให้ตรวจทุกปี
การตรวจเต้านม มะเร็งเต้านม การตรวจเต้านมโดยแพทย์
  • 20-40ปีให้ตรวจทุก 3 ปี
  • มากกว่า 40ปี ให้ตรวจทุกปี
การตรวจรังสีเต้านม Mamography
  • ควรทำในผู้ที่อายุมากกว่า 40 ปี
  • ญาติสายตรงที่เป็นมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งรังไข่
การตรวจทางทวารหนักมะเร็งลำไส้ใหญ่ การใช้นิ้วล้วงก้น
  • ผู้ที่อายุมากกว่า 35 ปีให้ตรวจทุก 3 ปี
ภาวะโลหิตจาง CBC
  • ตรวจสุขภาพทุกครั้ง
การตรวจแยกฮีโมโกลบิน Hemoglobin typing
  • ก่อนการแต่งงาน
การตรวจปัสสาวะ การตรวจปัสสาวะ
  • ตรวจสุขภาพทุกครั้งทุกวัย
ตรวจพยาธิ ตรวจอุจาระ
  • ทุกวัยให้ตรวจทุก 3-5 ปี
โรคเบาหวาน
ระดับน้ำตาลในเลือด
ไขมันในเลือด
เจาะหาไขมัน
การทำงานของตับ
Liver function test  
ไต
BUN Creatinin(Cr)  
หัวใจ
  • ตรวจหาระดับน้ำตาล
  • ระดับน้ำตาลในเลือด
  • ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
  • X-ray ปอดและหัวใจ
  • การตรวจโดยการวิ่งสายพาน
  • Cardiac enzyme
โรคเก๊าท์ Uric acid  
การตรวจความหนาแน่นกระดูก Bone density
  • ผู้ที่มีน้ำหนักตัวน้อย
  • มีญาติสายตรงเป็นโรคกระดูกพรุน
  • ได้รับยาที่อาจจะเป็นโรคกระดูกพรุน เช่น steroid
ต่อมลูกหมาก PSA  
การตรวจภายใน PV ควรจะตรวจทุก 1 ปี
ต่อมไทรอยด์ Thyroid function test
  • ควรจะตรวจในรายที่เคยผ่าตัดธัยรอยด์ หรือได้รับไอโอดีนกัมมันตรังสี
โรคเอดส์ เจาะเลือดตรวจเอดส
การตรวจอัลตราซาวนด์ตับ Ultrasound
  • ผู้ที่เป็นโรคตับอักเสบบี
  • ผู้ที่เป็นโรคตับ
การตรวจความดันตา โรคต้อหิน

การตรวจตาสำหรับประชาชน

  • ตรวจทุก 1 ปี
  • สำหรับผู้ที่มีโรคเสี่ยง เช่น ต้อหิน สายตาสั้นมาก เบาหวาน
  • เริ่มตรวจเมื่ออายุมากกว่า40 ปี

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับตรวจสุขภาพ

การ ตรวจสุขภาพของประชาชนโดยทั่วไปหมายถึงการเจาะเลือดเมื่อทราบผลว่าไม่เป็นโรค ก็สบายใจ แต่ในความเป็นจริงหากเขาอยู่ในความเสี่ยงของการเกิดโรคเขาจะต้องป้องกัน เพื่อมิให้โรคนั้นเป็นกับตัวเขา ดังตัวอย่าง คนที่มีพ่อหรือแม่เป็นเบาหวาน ดังนั้นเขาจะมีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคเบาหวานเมื่อผลเลือดบอกไม่เป็นเบาหวานแทน ที่เขาจะปรับฟฤติกรรมเพื่อป้องกันเบาหวาน แต่เขาก็ยังใช้ชีวิตแบบสบายๆ ไม่คุมน้ำหนักไม่ออกกำลังกาย หากดำรงชีวิตแบบเก่าสักวันหนึ่งเขาก็จะเป็นเบาหวาน

หรือ คนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเอดส์เมื่อผลเลือดปกติก็ควรที่จะลดความ เสี่ยงของการติดเชื้อแต่เขาก็ยังมีพฤติกรรมเสี่ยงอยู่ หรือคนที่ดื่มสุราเจาะเลือดเพื่อตรวจดูว่าเป็นโรคตับหรือยังเมื่อผลเลือด ปกติ เขาก็ยังดื่มสุราอยู่ การตรวจสุขภาพดังกล่าวไม่น่าจะมีผลดีต่อผู้ป่วย

สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547

                                                      ความเครียด

ความ เครียดสามารถเกิดได้ทุกแห่งทุกเวลาอาจจะเกิดจากสาเหตุภายนอกเช่น การย้ายบ้าน การเปลี่ยนงาน ความเจ็บป่วย การหย่าร้าง ภาวะว่างงานความสัมพันธ์กับเพื่อน ครอบครัว หรืออาจจะเกิดจากภายในผู้ป่วยเอง เช่นความต้องการเรียนดี ความต้องการเป็นหนึ่งหรือความเจ็บป่วย ความเครียดเป็นระบบเตือนภัยของร่างกายให้เตรียมพร้อมที่กระทำสิ่งใดสิ่ง หนึ่ง การมีความเครียดน้อยเกินไปและมากเกินไปไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ ส่วนใหญ่เข้าใจว่าความเครียดเป็นสิ่งไม่ดีมันก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ หัวใจเต้นเร็ว แน่นท้อง มือเท้าเย็น แต่ความเครียดก็มีส่วนดีเช่น ความตื่นเต้นความท้าทายและความสนุก สรุปแล้วความเครียดคือสิ่งที่มาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชีวิตซึ่งมี่ทั้ง ผลดีและผลเสีย

ชนิดของความเครียด

     1. Acute stress คือความเครียดที่เกิดขึ้นทันทีและร่างกายก็ตอบสนองต่อความเครียดนั้นทันทีเหมือนกันโดยมีการหลั่งฮอร์โมนความเครียด เมื่อความเครียดหายไปร่างกายก็จะกลับสู่ปกติเหมือนเดิมฮอร์โมนก็จะกลับสู่ปกติ ตัวอย่างความเครียด

  • เสียง
  • อากาศเย็นหรือร้อน
  • ชุมชนที่คนมากๆ
  • ความกลัว
  • ตกใจ
  • หิวข้าว
  • อันตราย

      2. Chronic stress หรือความเครียดเรื้อรังเป็นความเครียดที่เกิดขึ้นทุกวันและร่างกายไม่สามารถตอบสนองหรือแสดงออกต่อความเครียดนั้น ซึ่งเมื่อนานวันเข้าความเครียดนั้นก็จะสะสมเป็นความเครียดเรื้อรัง ตัวอย่างความเครียดเรื้อรัง

  • ความเครียดที่ทำงาน
  • ความเครียดที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
  • ความเครียดของแม่บ้าน
  • ความเหงา

ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความเครียด

เมื่อมีภาวะกดดันหรือความเครียดร่างกายจะฮอร์โมนที่เรียกว่า cortisol และ adrenaline ฮอร์โมนดังกล่าวจะทำให้ความดันโลหิตสูงและหัวใจเต้นเร็วเพื่อเตรียมพร้อมให้ ร่างกายแข็งแรงและมีพลังงานพร้อมที่จะกระทำเช่นการวิ่งหนีอันตราย การยกของหนีไฟถ้าหากได้กระทำฮอร์โมนนั้นจะถูกใช้ไป ความกดดันหรือความเครียดจะหายไป แต่ความเครียดหรือความกดดันมักจะเกิดขณะที่นั่งทำงาน ขับรถ กลุ่มใจไม่มีเงินค่าเทอมลูก ความเครียดหรือความกดดันไม่สามารถกระทำออกมาได้เกิดโดยที่ไม่รู้ตัว ทำให้ฮอร์โมนเหล่านั้นสะสมในร่างกายจนกระทั่งเกิดอาการทางกายและทางใจ

ผลเสียต่อสุขภาพ

ความเครียดเป็นสิ่งปกติที่สามารถพบได้ทุกวัน หากความเครียดนั้นเกิดจากความกลัวหรืออันตราย ฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจะเตรียมให้ร่างกายพร้อมที่จะต่อสู้ อาการทีปรากฏก็เป็นเพียงทางกายเช่นความดันโลหิตสูงใจสั่น แต่สำหรับชีวิตประจำวันจะมีสักกี่คนที่จะทราบว่าเราได้รับความเครียดโดยที่ เราไม่รู้ตัวหรือไม่มีทางหลีกเลี่ยง การที่มีความเครียดสะสมเรื้อรังทำให้เกิดอาการทางกาย และทางอารมณ์ อ่านรายละเอียดที่นี่

โรคทางกายที่เกิดจากความเครียด

โรคทางเดินอาหาร

โรคปวดศีรษะไมเกรน

โรคปวดหลัง

โรคความดันโลหิตสูง

โรคหลอดเลือดสมอง

โรคหัวใจ

ติดสุรา

โรคภูมิแพ้

โรคหอบหืด

ภูมิคุ้มกันต่ำลง

เป็นหวัดง่าย

อุบัติเหตุขณะทำงาน

การฆ่าตัวตายและมะเร็ง

ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคที่เกิดจากความเครียด

 คุณมีความเครียดหรือไม่

ถามตัวคุณเองว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่

อาการแสดงทางร่างกาย

มึนงง ปวดตามกล้ามเนื้อ กัดฟัน ปวดศีรษะ แน่นท้อง เบื่ออาหาร นอนหลับยาก หัวใจเต้นเร็ว หูอื้อ มือเย็น อ่อนเพลีย ท้องร่วง ท้องผูก จุกท้อง มึนงง เสียงดังให้หู คลื่นไส้อาเจียน หายใจไม่อิ่ม ปวดท้อง

อาการแสดงทางด้านจิตใจ

วิตกกังวล ตัดสินใจไม่ดี ขี้ลืม สมาธิสั้น ไม่มีความคิดริเริ่ม ความจำไม่ดี ไม่สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

อาการแสดงทางด้านอารมณ์

โกรธง่าย วิตกกังวล ร้องไห้ ซึมเศร้า ท้อแท้ หงุดหงิด ซึมเศร้า มองโลกในแง่ร้าย นอนไม่หลับ กัดเล็บหรือดึงผมตัวเอง

อาการแสดงทางพฤติกรรม

รับประทานอาหารเก่ง ติดบุหรี่สุรา โผงผาง เปลี่ยนงานบ่อย แยกตัว

การแก้ไขเมื่ออยู่ในภาวะที่เครียดมาก

หากท่านมีอาการเครียดมากและแสดงออกทางร่างกายดังนี้

  • อ่อนแรงไม่อยากจะทำอะไร
  • มีอาการปวดตามตัว ปวดศีรษะ
  • วิตกกังวล
  • มีปัญหาเรื่องการนอน
  • ไม่มีความสุขกับชีวิต
  • เป็นโรคซึมเศร้า

ให้ท่านปฏิบัติตามคำแนะนำ 10 ประการ

     1.ให้นอนเป็นเวลาและตื่นเป็นเวลา เวลาที่เหมาะสมสำหรับการนอนคือเวลา 22.00น.เมื่อภาวะเครียดมากจะทำให้ความสามารถในการกำหนดเวลาของชีวิต( Body Clock )เสียไป ทำให้เกิดปัญหานอนไม่หลับหรือตื่นง่าย การกำหนดเวลาหลับและเวลาตื่นจะทำให้นาฬิกาชีวิตเริ่มทำงาน และเมื่อความเครียดลดลง ก็สามารถที่จะหลับได้เหมือนปกติ ในการปรับตัวใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ บางครั้งเมื่อไปนอนแล้วไม่หลับเป็นเวลา 45 นาที ให้หาหนังสือเบาๆมาอ่าน เมื่อง่วงก็ไปหลับ ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งคือให้ร่างกายได้รับแสงแดดยามเช้า เพื่อส่งสัญญาณให้ร่างกายปรับเวลา

     2.หากเกิดอาการดังกล่าวต้องจัดเวลาให้ร่างกายได้พัก เช่นอาจจะไปพักร้อน หรืออาจจะจัดวาระงาน งานที่ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วนก็ให้หยุดไม่ต้องทำ

     3.ให้เวลากับครอบครัวในวันหยุด อาจจะไปพักผ่อนหรือรับประทานอาหารนอนบ้าน

     4.ให้เลื่อนการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆในช่วงนี้ เช่นการซื้อรถใหม่ การเปลี่ยนบ้านใหม่ การเปลี่ยนงาน เพราะการเปลี่ยนแปลงจะทำให้เกิดความเครียด

     5.หากคุณเป็นคนที่ชอบทำงานหรือชอบเรียนให้ลดเวลาลงเหลือไม่เกิน 40 ชม.สัปดาห์

     6.การรับประทานอาหารให้รับประทานผักให้มากเพราะจะทำให้สมองสร้าง serotonin เพิ่มสารตัวนี้จะช่วยลดความเครียด และควรจะได้รับวิตามินและเกลือแร่ในปริมาณที่เพียงพอ

     7.หยุดยาคลายเครียด และยาแก้โรคซึมเศร้า

     8.ให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และอาจจะมีการเต้นรำด้วยก็ดี

หากปฏิบัติตามวิธีดังกล่าวแล้วยังมีอาการของความเครียดให้ปรึกษาแพทย์

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความเครียด

  • ความเครียดเหมือนกันทุกคนหรือไม่ สิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความเครียดในแต่ละคนไม่เหมือนกันและการตอบสนองต่อความเครียดก็แตกต่างในแต่ละคน
  • ความเครียดเป็นสิ่งไม่ดีจริงหรือไม่ ความเครียดเปรียบเหมือนสายกีตาร์ ตึงไปก็ไม่ดี หย่อนไปเสียก็ไม่ไพเราะ เช่นกันเครียดมากก็มีผลต่อสุขภาพเครียดพอดีจะช่วยสร้างผลผลิต และความสุข
  • จริงหรือไม่ที่ความเครียดมีอยู่ทุกแห่งคุณไม่สามารถจัดการกับมันได้ แม้ว่าจะมีความเครียดทุกแห่งแต่คุณสามารถวางแผนที่จะจัดการกับงาน ลำดับความสำคัญ ความเร่งด่วนของงานเพื่อลดความเครียด
  • จริงหรือไม่ที่ไม่มีอาการคือไม่มีความเครียด ไม่จริงเนื่องจากอาจจะมีความเครียดโดยที่ไม่มีอาการก็ได้และความเครียดจะสะสมจนเกินอาการ
  • ควรให้ความสนใจกับความเครียดที่มีอาการมากๆใช่หรือไม่ เมื่อเริ่มเกิดอาการความเครียดแม้ไม่มากก็ต้องให้ความสนใจ เช่นอาการปวดศีรษะ ปวดท้องเพราะอาการเพียงเล็กน้อยจะเตือนว่าคุณต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินชีวิตเพื่อลดความเครียด
  • ความเครียดคือโรคจิตใช่หรือไม่ ไม่ใช่เนื่องจากโรคจิตจะมีการแตกแยกของความคิด บุคลิคเปลี่ยนไปไม่สามารถดำเนินชีวิตเหมือนคนปกติ
  • ขณะที่มีความเครียดคุณสามารถทำงานได้อีก แต่คุณต้องจัดลำดับก่อนหลัง และความสำคัญของงาน
  • ไม่เชื่อว่าการเดินจะช่วยผ่อนคลายความเครียด การเดินจะช่วยผ่อนคลายความเครียดนั้น
  • ความเครียดไม่ใช่ปัญหาเพราะเพียงแค่สูบบุหรี่ความเครียดก็หายไป การสูบบุหรี่หรือดื่มสุราจะทำให้ลืมปัญหาเท่านั้นนอกจากไม่สามารถแก้ปัญหา แล้วยังก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพในระยะยาวอีกด้วย

เมื่อใดต้องปรึกษาแพทย์

  • เมื่อคุณรู้สึกเหมือนคนหลงทางหาทางแก้ไขไม่เจอ
  • เมื่อคุณกังวลมากเกินกว่าเหตุ และไม่สามารถควบคุม
  • เมื่ออาการของความเครียดมีผลต่อคุณภาพชีวิตเช่น การนอน การรับประทานอาหาร งานที่ทำ ความสัมพันธ์ของคุณกับคนรอบข้าง

ความเครียดคืออะไร ความเครียดกับผู้หญิง ความเครียดในเด็ก ความเครียดที่ทำงาน ความเครียดหลังการสูญเสีย การจัดการกับความเครียด การจัดการกับความโกรธ การแก้ปัญหาระหว่างบุคคล

สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547

                                                 การดื่มสุรา

การดื่มสราเป็นปริมากมากจะให้ผลเสียต่อ ร่างกาย ทำให้เกิดโรคตับแข็ง มะเร็ง ความดันโลหิตสูง เลือดออกทางเดินอาหาร อุบัติเหตุ และยังมีแนวโน้มที่จะทำร้ายตัวเองและผู้อื่น ประเทศไทยได้ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่บริโภคสุราติดเป็นอันดับ 5 ของโลกผู้ที่จำหน่ายก็รวยติดอันดับโลก การดื่มสุราเป็นปริมาณน้อยจะทำให้อัตราการตายจากโรคต่างๆลดลง


สุราให้เพียงแต่พลังงานแต่คุณค่าทางโภชนาการต่ำมาก


คำแนะนำ

  • เนื่องจากสุราให้พลังงาน และมีคุณค่าทางโภชนาการต่ำ ดังนั้นคนที่ดื่มสุรามักจะขาดสารอาหารและมีน้ำหนักเกิน
  • การรับประทานสุราแต่พอควรโดยกำหนดให้ผู้หญิงดื่มไม่เกินวันละ 1 หน่วยสุรา ส่วนผู้ชายไม่เกิน 2 หน่วยสุรา
    • เบียร์ไม่เกิน 360 ซีซี
    • ไวน์ไม่เกิน 150 ซีซี
    • สุราอื่นไม่เกิน 45 ซีซี
  • คนบางจำพวกไม่ควรดื่มสุราได้แก่
    • ผู้ที่ไม่สามารถควบคุมปริมาณสุราที่จะดื่ม
    • หญิงวัยเจริญพันธุ์
    • คนตั้งครรภ์
    • ผู้ที่เลี้ยงลูกด้วยนมตัวเอง
    • ผู้ที่รับประทานยา
    • ผู้ที่ทำงานต้องใช้ทักษะหรือสมาธิ เช่นคนขับรถ
  • ผู้ที่มีวัยกลางคนเมื่อสุราตามที่กำหนดจะมีอัตราการเกิดโรคหัวใจ และอัตราการเสียตำ่กว่าผู้ที่ไม่ดื่มสุรา
  • ผู้ที่ดื่มสุราต้องรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ ไม่สูบบุหรี่ รักษาน้ำหนักมิให้เกิน
  • วัยรุ่นไม่ได้รับประโยชน์จากการดื่มสุรา
  • ไม่แนะนำให้ดื่มสุราเพื่อเหตุผลทางสุขภาพ
ชนิดของสุรา
ปริมาณพลังงานใน 30 ซีซี(1 oz)
ปริมาณที่ดื่ม[ oz]
ปริมาณพลังงานที่ได้รับทั้งหมด
Beer (regular)
12
12
144
Beer (light)
9
12
108
White wine
20
5
100
Red wine
21
5
105
Sweet dessert wine
47
3
141
80 proof distilled spirits (gin, rum, vodka, whiskey)
64
1.5
96

การอดสุรา โรคพิษสุราเรื้อรัง คุณเมาหรือไมอาการขาดสุรา สุราช่วยลดอัตราการเสียชีวิต

น.ส.ปาริชาติ กันทะวงค์ เลขที่10 มฟาร์อีสเทอร์น

โรคอีสุกอีใสและการป้องกัน

โรคอีสุกอีใส

โรคอีสุกอีใสเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื่อไวรัสโดยมีอาการที่สำคัญ คือ ผู้ป่วยจะมีตุ่มขึ้นทั่วไปตามร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณใบหน้าและลำคอ ในระยะแรกจะขึ้นเป็นผื่อคัน ตุ่มแดง ต่อมาจะกลายเป็นตุ่มใส และค่อยๆเปลี่ยนเป็นตุ่มใส และค่อยๆเป็นตุ่มหนองจากนั้นจะตกสะเก็ดและค่อยๆหลุดกลายเป็นจุดด่างดำหรีอรอยแผลเป็นได้

เป็นโรคอีสุกอีใสแล้วมีความเสี่ยงคือ

โดยทั่วไปอาการของโรคอีสุกอีใสจะไม่รุนแรง เป็นเองหายเองได้ แต่จะพบมีอาการแทรกซ้อนจากแบคทีเรีย ได้ เช่นการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังทำให้กลายเป็นหนองและจะมีแผลเป็นตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณใบหน้า ปอดบวม สมองอักเสบ และเยื่อสมองอักเสบนอกจากนี้ในบางรายอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

โรคอีสุกอีใสติดต่อได้อย่างไร

อีสุกอีใสเป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายจากการไอ จาม หายใจรดกัน หรือโดยการสัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วย โดยเฉพาะบริเวณตุ่มใส นอกจากนี้หญิงตั้งครรภ์ที่เป็นโรคอีสุกอีใสก็จะมีโอกาสติดต่อไปถึงเด็ก

ผู้ที่ป่วยเป็นโรคอีสุกอีใสจะมีอาการอย่างไร

ผู้ป่วยจะมีอาการของโรคภายหลังรับเชื่อ 14-16 วันโดยจะมีอาการปวดศรีษะ ไข้ ปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหารและมีตุ่มขึ้น ตุ่มจะขึ้นที่หนังศรีษะก่อนแล้วกระจายไปบริเวณหน้า ลำตัว และแผ่นหนังตามตัวบริเวณแขนและขา

ถ้าเป็นโรคอีสุกอีใสแล้ว จะรักษาได้อย่างไร

การดูแลรักษาโดยทั่วไปจะรักษาตามอาการไข้และอาการทางผิวหนัง โดยให้ยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล(ห้ามให้แอสไพริน โดยเด็ดขาด) ทำความสะอาดผิวหนังและให็ยาทาแก้คัน นอกจากนี้อาจมีอาการให้ยาเพื่อยับยั้งการเจริญของ เชื่อไวรัสร่วมด้วย ทางที่ดีผู้ป่วยควรอยู่ในความดูแลของแพทย์

ถ้าไม่อยากเป็นโรคอีสุกอีใสจะป้องกันได้อย่างไร

เราสามารถหลีกเลี่ยงการเป็นโรคอีสุกอีใสได้ด้วย

1. แยกเด็กที่ป่วยไว้ต่างหาก

2. ไม่ใช้ข้าวของปะปนกัน

3. พักผ่อนให็เพียงพอ ดื่มนำมากๆ

4. ฉีดวัคซีนป้องกัน

วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส มีประโยชน์อย่างไร

วัควีนป้องกันโรคอีสุกอีใส นอกจากประโยชน์โดยตรงที่ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นโรคอีสุกอีใสแล้วยังมีประโยชน์อื่นๆอีกเช่น ลดความเสี่ยงต่อ การเกิดรอยแผลเป็นอันเนื่องมาจากเป็นโรคอีสุกอีใส ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคแทรกซ้อนจาก การติดเชื้อแบคทีเรีย เป็นต้นวัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใสแนะนำให้ฉีด ได้ในเด็กอายุตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป ซึ่งจากประสบการณ์ในประเทศญี่ปุ่นหลังฉีดวัคซีนเพียง 1 เข็ม ให้ภูมิค่มกันยาวนาน 20 ปี

ผักผลไม้ 7 ชนิด ที่ผู้หญิงควรรับประทาน

ถึงแม้จะมีสาวๆ หลายคนไม่ค่อยจะพิศมัยในการกินผักผลไม้เท่าไหร่นัก แต่ก็เห็นพยายามหาวิธีที่จะทานเข้าไป ด้วยความหวังที่อยากให้ผักผลไม้เหล่านั้นสร้างประโยชน์ให้กับร่างกาย ผักและผลไม้แต่ละชนิดนั้นก็มีวิตามินและแร่ธาตุที่พิเศษแตกต่างกันออกไป ด้วยเหตุนี้ก็เลยมีเรื่องราวของผักผลไม้ 7 ชนิด ที่มีผล 'โดยตรง' ต่อสุขภาพของ "ผู้หญิง" มาฝาก

1. ลูกพรุน ต้องบอกเลยว่าเป็นแหล่งโปแทตสเซียม เหล็ก และไฟเบอร์ชั้นดี ที่สำคัญลูกพรุนยังช่วยให้สาวๆ มีเลือดฝาดดูเป็นสาวสดใส ยิ่งโดยเฉพาะสาวๆ ที่มีอายุ 25 ขึ้นไปร่างกายจะเริ่มเสื่อมโทรม ไขมันจะเริ่มสะสมตามที่ต่างๆ ผิวหน้าก็อาจจะหมองคล้ำลง ธาตุเหล็กที่มีในลูกพรุนจะช่วยดูแลเรื่องนี้ควบคู่กับภาวะที่สตรีต้องสูญเสียเลือดและธาตุเหล็กไปกับประจำเดือนอีกด้วย

2. ถั่ว เพียบพร้อมไปด้วยโปรตีน เหล็กและวิตามินปีด้วยนะคะ มีนักวิทยาศาสตร์เค้าค้นพบว่าเมื่อเรารับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ชนดที่ละลายน้ำ (ซึ่งมีมากในถั่วค่ะ) ไฟเบอร์จะเคลือบกระเพาะ ทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็วและนาน ความอยากอาหารจะลดลง แถมนอกจากไฟเบอร์แล้วในถั่วยังมีสารอาหารชนิดอื่นๆ อีกด้วย นี่ล่ะค่ะจึงทำให้ผู้หญิงอย่างเราหุ่นดีโดยไม่ขาดสารอาหาร

3. บรอคโคลี มีซีลีเนียมมากซึ่งจะช่วยบำรุงผิวพรรณและช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณอ่อนนุ่มมีน้ำมีนวลแถมยังช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้

4. กล้วย โดยเฉพาะในกล้วยไข่จะมีสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งสามารถต้านอนุมูลอิสระ เมื่อสาวๆ อายุ 22 ปีไปแล้ว ร่างกายจะเริ่มหยุดการเติบโต ความเสื่อมของร่างกายก็จะเริ่มมาเยือนค่ะ และนั่นก็จะทำให้เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์ผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้น ที่แน่นอนที่สุดความสามารถในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอก็จะลดลงเรื่อยๆ ความสามารถในการกำจัดอนุมูลอิสระก็ลดลง นี่ล่ะค่ะ สาว ๆ จึงต้องรับประทานกล้วยให้เยอะๆ

5. ฝรั่ง รู้รึเปล่าคะว่า ฝรั่ง 100 กรัม มีวิตามินซีสูงถึง 180 มิลลิกรัม ซึ่งวิตามินซีนี้มีบทบาทในการสร้าง 'คอลลาเจน' ที่ทำให้ผิวพรรณเต่งตึงยืดหยุ่น ไม่เหี่ยวย่นก่อนวัย

6. แอปเปิ้ล มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ 'เพคติน' ซึ่งจะช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนักและลดคอเลสเตอรอล ถ้าสาวๆ หิวเมื่อไหร่ล่ะก็ให้นึกถึงแอปเปิ้ลไว้ก่อนเลย

7. ส้ม เป็นแหล่งวิตามินเกลือแร่ และเส้นใยธรรมชาติ น้องๆ รู้มั้ยคะว่าการรับประทานส้มโดยไม่คายกากจะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกทางนึงนะคะ เพราะจะทำให้เราอิ่มท้องเร็ว สาวๆ ที่อยากลดน้ำหนักต้องส้มเลย

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

ประโยชน์ของการออกกำลังกาย!!!

ผลต่อโรคความดันโลหิตสูง(140/90)

ผู้ที่ไม่ออกกำลังกายจะมีโอกาศเป็นความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้น 35%

การออกกกำลังอย่างสท่ำเสมอจะลดทั้งความดัน systole และ diastole อย่างชัดเจน

คนไข้ที่มีความดันโลหิตสูงที่ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอจะมีอัตราการเสี่ียงชีวิตจากโรคแทรกซ้อน น้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ออกกำลัง

การออกกำลังจะช่วยเพิ่มอายุ 1-1.5ปี

ผลต่อโรคเส้นเลือดสมอง

อัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมองลดลงเมื่ออกกำลังกายเพิ่มขึ้น

เมื่อขึ้นบันไดวันละ 20 ขั้นจะลดอัตราการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดลงร้อยละ 20

ผู้ที่ออกกกำลังกายโดยการเดินเร็วๆสัปดาห์ละ 3 ชั่วโมงจะมีอุบัติการของโรคหัวใจและหลอดเลือดลดลงร้อยละ 40

ผลต่อโรคเบาหวาน

ผู้ที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะมีโอกาสการเกิดโรคเบาหวานลดลงร้อยละ 42

ผู้ออกกกำลังมากจนกระทั่งเหงื่อออก 1 ครั้งต่อสัปดาห์จะมีอุบัติการของการเกิดโรคเบาหวานลดลงร้อยละ 22

ผลต่อหัวใจ

ผู้ที่ไม่ออกกำำลังกายจะมีโอกาศเสียชีวิตเป็นสองเท่าของผู้ที่ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายจะทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจเพิ่มขึ้น

การออกกำลังกายจะทำให้หัวใจสะสมพลังงานไว้ใช้เมื่อเวลาหัวใจต้องทำงานหนัก

เพิ่มความแข็งแรงในการบีบตัวของหัวใจ

ลดระดับไขมันในเลือด เพิ่มระดับ HDL (ซึ่งเป็นไขมันที่ดี)

ลดระดับความดันโลหิต ลดการเต้นของหัวใจ ทำให้หัวใจทำงานน้อยลง

ผลต่อมะเร็ง

การออกกำลังกายจะลดการเกิดโรคมะเร็งได้ร้อยละ 46

ผลต่อคุณภาพชีวิต

การออกกำลังกาย 1500 กิโลแครอรีต่อสัปดาห์(ออกกำลังกายหนักปานกลาง)จะเพิ่มอายุ 1.57 ปีและลดอุบัติการการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรลงร้อยลง 67

สำหรับผู้สูงอายุทุก 1 ไมล์ที่เดินจะลดอุบัติการเสียชีวิตลงร้อยละ 19

การออกกกำลังอย่างสม่ำเสมอ(อายุ 45-84)จะลดการเสียชีวิตร้อยละ 18

การออกกำลังกาย การออกกำลังของผู้ที่มีโรคหัวใจ การออกกำลังเพื่อให้หัวใจแข็งแรง การออกกำลังกับโรคไต การออกกำลังในน้ำ การออกกำลังในโรคเบาหวาน

ข้อผิดพลาดในการออกกำลังกาย

1. ไม่ยืดกล้ามเนื้อให้เพียงพอ

ทุกครั้งเมื่อเรา warm up ก่อนเริ่มต้นเล่น weight เราก็ควรยืดกล้ามเนื้อก่อนนะคะ เพื่อว่าเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อจะได้ยืดหยุ่นพร้อมรับการออกแรงมากๆ และในระหว่างการออกแรงนั้นกล้ามเนื้อและเอ็นจะขยายตัวคะ หากเราไม่ยืดกล้ามเนื้อ อาจทำให้กล้ามเนื้อบาดเจ็บได้ขณะเล่น weight คะ และเมื่อจบการเล่น หรือการ burn แต่ละครั้งก็ควรยืดกล้ามเนื้ออีก เพื่อให้เลือดไหลเวียนได้ทั่วถึงคะ อีกทั้งเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ออกแรงติดต่อกันเป็นเวลานาน ปกติ trainer จะยืดกล้ามเนื้อให้ทุกครั้งเมื่อเล่นจบ 1 set คะ และ trainer บางคนถึงขนาดยอมนวดหรือยืดกล้ามเนื้อแบบการนวดแผนไทยให้กับ memberเลยนะคะ (แต่ trainer เราเค้าไม่ทำ เพราะเค้าบอกว่าดูไม่ใช่ trainer ไงไม่รู้) ถ้าหากไม่มีคนยืดให้ ให้ใช้ท่าโยคะยืดกล้ามเนื้อที่เคยนำเสนอไปแล้ว รวมกับเครื่องยืดกล้ามเนื้อที่ทาง Fitness จัดให้คะ

2. ใช้น้ำหนักมากเกินไป

โดยมากมักเกิดในพวกหนุ่มๆที่อยากมีกล้ามโตไวๆ สาวๆเรามักอิดออดเวลาเห็นแป้นน้ำหนักมากๆหรือลูกน้ำหนักขนาดใหญ่ๆโตๆ

อันที่จริงการออกกำลังกายแบบ Anarobic โดยการใช้วิธีแบบ resistance (การออกแรงต้าน) นั้น จะให้ผลดีต่อกล้ามเนื้อเมื่อผู้เล่นรู้ว่าตัวเองสามารถรับแรงต้านได้มากแค่ไหน การเล่นโดยใส่แผ่นน้ำหนักมากเกินกำลังอาจเกิดผลเสียดังต่อไปนี้คะ

- กล้ามเนื้อบาดเจ็บ เพราะรับน้ำหนักมากเกินไป แต่ยังฝืนเล่นต่อไป

- กล้ามเนื้อฝ่อหรือโตผิดที่ กล้ามเนื้อฝ่อ เกิดจากการที่ร่างกายผลิตออกซิเจนมากเกินไปขณะเล่น weight ทำให้ร่างกายสันดาปเอา ไกลโคเจน มาใช้มากเกินไป (คาร์โบไฮเดรตและโปรตีนที่เรานำเข้าไปแต่ละวัน) ซ่งส่วนนี้เองที่ร่างกายนำมาสร้างกล้ามเนื้อแต่เมื่อเราใช้ไปขณะเล่น ร่างกายก็ไม่มีอะไรไว้สร้างกล้ามเนื้อคะ

กล้ามเนื้อโตผิดที่ เกิดจากเมื่อเราใส่น้ำหนักมากไป เมื่อเราเล่น เราอาจวางท่าทางที่ไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดการออกแรงจากกล้ามเนื้อมัดที่ไม่ต้องการออกแรง ในขณะที่กล้ามเนื้อที่ต้องการออกแรง ไม่ได้ออกแรงอย่างเต็มที่ นี่เองที่ทำให้กล้ามเนื้อโตผิดที่ ซ่งมักเกิดขึ้นบ่อยๆ โดยเฉพาะกล้ามแขน

3. ไม่ Warm Up ก่อนออกกำลังกาย

เรื่องนี้เราย้ำบ่อยมากในบทความเก่าๆที่เคยเขียนมาทุกครั้ง การ warm up นอกจากเป็นการทำให้ร่างกายเราอุ่นขึ้นแล้ว ยังเป็นการเตรียมกล้ามเนื้ออีกด้วยคะ สังเกตุดูว่าการ warm up ไม่มีท่าทางตายตัว แต่มุ่งเน้นว่าร่างกายทุกส่วนต้องเคลื่อนไหวในขณะ warm up เพื่อให้เกิดการเตรียมพร้อมก่อนการออกกำลังกายจริง ทั้งนี้เพื่อป้องกันการบาดเจ็บนั่นเองคะ

4. ไม่ Cool Down

ข้อนี้สืบเนื่องมาจากข้อ 1. คะ การ cool down จะตรงข้ามกับการ warm up เมื่อเราออกกำลังกายเสร็จแล้ว เราควร cool down เพื่อเตรียมร่างกายให้เข้าสู่ภาวะปกติก่อนการไปทำธุระอื่นๆคะ เหตุผลก็ง่ายๆเลย อย่างที่เราทราบว่าหากเราอาบน้ำทั้งที่ร่างกายเรายังร้อนอยู่อาจเป็นไข้ได้ นั่นล่ะคะ เมื่อเราออกกำลังกายเสร็จ อุณหภูมิในร่างกายยังสูงอยู่ เราก็ต้องปรับให้กลับมาที่จุดปกติเพื่อทำกิจกรรมปกตินั่นเองคะ

5. ออกกำลังกายหนักเกินไป

การออกกำลังกายหนักเกินไปมีผลให้เกิดอาการต่อไปนี้

- Over Trained หรือกล้ามเนื้อล้าจากการออกแรงมากเกินไป จะเกิดอาการตึงๆหรือล้าๆกล้ามเนื้อ

- กล้ามเนื้อฝ่อ อย่างที่อธิบายไปแล้ว คือ ร่างกายจะดึงเอาคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนที่ร่างกายสะสมไว้ไปใช้นั่นเองคะ

6. ดื่มน้ำน้อยไป

เรื่องนี้สำคัญมากๆ เคยเตือนไปหลายต่อหล่ยครั้งมากๆ โดยเฉพาะผู้ที่ชอบเล่น Bikram หรือโยคะร้อน ข้อนี้จำเป็นมากๆเลยคะ

ร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำถึง 70% เซลล์กล้ามเนื้อทุกๆเซลล์ต้องการน้ำ ดังนั้น หากเราออกกำลังกายจนเหนื่อยหนัก โดยไม่จิบน้ำเลย ร่างกายจะเกิดอาการ Dehydrate หรือขาดน้ำ ซึ่งส่งผลให้ช็อคได้คะ เนื่องจากขาดน้ำไปหล่อเลี้ยงในระดับเซลล์นั่นเองคะ เรื่องเล็กๆที่สำคัญมากนะคะ

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)เลขที่ 33

ประโยชน์ของวิตามินซีมีมากมาย นอกเหนือจากที่จะช่วยบรรเทาอาการของโรคหวัดทำให้หายเร็วขึ้นถึง 21% คือ

วิตามินซีช่วยปกป้องเซลล์ เสริมภูมิคุ้มกันสุขภาพและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับเส้นเอ็นและคอลลาเจน

วิตามินซีช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น เนื่องจากช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและรักษาตัวเอง โดยการไปเสริมสร้างผนังเซลล์ ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรงและต่อต้านการอักเสบ จึงทำให้แผลหายเร็ว

วิตามินซีช่วยให้เหงือกมีสุขภาพแข็งแรง โดยจะไปช่วยรักษาเซลล์ที่ถูกทำลาย และช่วยให้แผลที่เหงือกหายเร็ว

วิตามินซีช่วยเพิ่มความต้านทานต่อโรคหัวใจ โดยการไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานร่วมกับวิตามินอี โดยจะไปลดการเกาะของไขมันที่ผนังหลอดเลือด

วิตามินซีช่วยในการป้องกันโรคต้อกระจก เนื่องจากวิตามินซีสามารถช่วยปกป้องเลนส์ตาจากอันตรายต่างๆ เช่น ควันบุหรี่ แสงอัลตราไวโอเลต ที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคต้อกระจก

วิตามินซีช่วยป้องกันไมเกรน เมื่อรับประทานร่วมกับ Pantothenic acid โดยวิตามินซีจะไปช่วยร่างกายในการต่อสู้กับความเครียดได้ดีขึ้น

วิตามินซีช่วยลดความเครียด และยังเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนกรดอะมิโนให้กลายเป็นสารในสมอง ซึ่งมีความจำเป็นต่อสมองและหน้าที่ของระบบประสาทด้วย

วิตามินซีช่วยเพิ่มความแข็งแรงของภูมิต้านทานโรค โดยเฉพาะประสิทธิภาพของเม็ดเลือดขาว

การรับประทานวิตามินซี ภาวะปรกติปริมาณที่แนะนำให้ทานคือ 60 มิลลิกรัมต่อวัน อย่างไรก็ตาม เพื่อสุขภาพที่ดีจะต้องรับประทานอย่างน้อย 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน คนที่มีความเครียดควรรับประทานวันละ 500 มิลลิกรัมต่อวัน ผู้ที่นิยมรับประทานวิตามินซีไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับในปริมาณที่มากเกินไป เพราะสามารถละลายในน้ำได้ดี หากร่างกายไม่ได้ใช้ก็จะมีการขับออกมาได้ทางปัสสาวะ อีกทั้งยังไม่มีการรายงานเกี่ยวกับพิษที่เกิดจากการรับประทานวิตามินซี แม้รับประทานในปริมาณที่สูงกว่า 6,000-18,000 มิลลิกรัม

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

การดูแลรักษา สุขภาพฟัน และเหงือก

ปัจจุบัน คนไทยมีอัตราการเกิดโรคฟันผุ และโรคเหงือกอักเสบสูงมาก ทำให้สูญเสียฟันไปก่อนเวลาอันควร ทั้งที่ควรอยู่กับเราไปจนตลอดชีวิต สาเหตุที่สำคัญของโรคทั้งสอง คือ แผ่นคราบจุลินทรีย์

แผ่นคราบจุลินทรีย์ เกิดจากจุลินทรีย์ในช่องปาก ทำปฏิกริยากับเศษอาหาร และสารประกอบในน้ำลาย รวมกันเป็นแผ่นคราบเหนียว ติดแน่นบนผิวฟัน จะเห็นเป็นคราบเมือกหรือรูฟันผุ แผ่นคราบนี้เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ส่วนประกอบสำคัญของแผ่นคราบนี้ คือ เชื้อจุลินทรีย์นานาชนิด ซึ่งสามารถเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นกรด ทำลายผิวฟันเป็นรู ทำให้เกิดฟันผุ และผลิตสารพิษทำลายเหงือก ทำให้เหงือกอักเสบ และรวมกับสารแคลเซียมในน้ำลาย ตกตะกอนบนแผ่นคราบจุลินทรีย์ ก่อให้เกิดหินน้ำลาย หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ หินปูน หินน้ำลายนี้ จะเกาะบริเวณคอฟัน และผิวรากฟัน ซึ่งมีหลายสี ตั้งแต่สีขาวขุ่นคล้ายสีฟัน สีน้ำตาล หรือสีดำ และมีผิวขรุขระ ทำให้เหงือกอักเสบ และมีการทำลายกระดูกรอบรากฟัน เกิดโรคปริทัศต์ขึ้น ถ้าปล่อยให้โรครุกลามต่อไป มีการทำลายกระดูก รอบรากฟันมากขึ้น จะทำให้ฟันโยก และหลุดไป

ฟันและเหงือก จะถูกทำลายมากน้อย รวดเร็วเพียงใด ขึ้นอยู่กับ การดูแลสุขภาพช่องปากของแต่ละคน เนื่องจากแผ่นคราบจุลินทรีย์ เป็นสาเหตุสำคัญของฟันผุ และโรคเหงือกอักเสบ ดังนั้น การกำจัดหรือการควบคุม ไม่ให้เกิดแผ่นคราบจุลินทรีย์ จึงเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด ในการป้องกันการเกิดโรคทั้งสอง ด้วยตัวเราเอง วิธีที่เหมาะสมที่สุด คือ การแปรงฟันให้ถูกวิธี หลังทานอาหารทุกมื้อ หรืออย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ตอนเช้าและก่อนนอน ร่วมกับการใช้เส้นใยขัดฟัน (Dental floss) ทำความสะอาดซอกฟัน การดูแลรักษาสุขภาพฟันและเหงือก ในแต่ละช่วงวัยมีความแตกต่างกันบ้าง หลักง่ายๆ ที่ควรปฏิบัติ สำหรับคนในช่วงวัยต่างๆ มีดังนี้

แรกเกิดถึง 6 ปี

ช่วงอายุ 6 - 12 ปี และเมื่อฟันแท้ขึ้นครบ

การทำความสะอาดซอกฟันด้วยเส้นใยขัดฟัน

เนื่องจากการแปรงฟัน ไม่สามารถทำความสะอาด ทางด้านข้างของฟันได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น จึงต้องใช้เส้นใยขัดฟัน ในการทำความสะอาดซอกฟัน โดยทำก่อนการแปรงฟัน มีวิธีการทำความสะอาดดังนี้

ใช้เส้นใยขัดฟันยาวประมาณ 1 ฟุต พันเส้นใยที่นิ้วกลางของมือทั้งสอง ให้เหลือความยาว ระหว่างนิ้วกลางทั้งสอง ประมาณ 4-5 นิ้ว ในฟันบนให้ใช้นิ้วหัวแม่มือ และนิ้วชี้ ส่วนฟันล่างให้ใช้นิ้วชี้ทั้งสองข้าง ช่วยบังคับทิศทาง ที่จะทำความสะอาดซอกฟัน ค่อยๆ เคลื่อนเส้นใยผ่านซอกฟัน ห้ามกดเส้นใยผ่านซอกฟันลงไปแรงๆ เพราะจะผ่านลงไปบาดเหงือกได้ เมื่อเส้นใยผ่านลงไปอยู่ในซอกฟันแล้ว ให้เส้นใยโอบฟันครึ่งซี่แนบกับคอฟัน และลงไปในซอก ระหว่างฟันกับเหงือก โดยไม่บาดเหงือกและไม่รู้สึกเจ็บ แล้วขยับขึ้นลง จากแนวเหงือกขึ้นหรือลง ไปด้านบดเคี้ยวประมาณ 4-5 ครั้ง โดยทำเช่นนี้ ทั้งฟันที่อยู่ด้านหน้า และฟันที่อยู่ด้านหลัง ของซอกฟันเดียวกันในฟันหลัง และทำฟันที่อยู่ด้านซ้าย และฟันที่อยู่ด้านขวา ของซอกฟันเดียวกันในฟันหน้า ทำเช่นนี้ให้ครบทุกซอกฟัน รวมทั้งด้านในสุดของฟันซี่สุดท้ายด้วย

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

กำลังใจ เอาชนะความเศร้ากำลังใจหาได้จากที่ไหน

กำลังใจ เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับคนเรา ถ้าขาดกำลังใจเสียแล้ว คงไม่มีแรงอะไรมาผลักดัน ให้เราฟันฝ่าอุปสรรคได้ ต่อไปดีไม่ดีอาจถึงขนาดคิดฆ่าตัวตาย เพราะหมดกำลังใจที่จะสู้ชีวิตก็ได้ วิธีแรก ให้จดบันทึกและสะสมภาพเหตุการณ์ดีๆ ในชีวิตเอาไว้ จะเป็นเหตุการณ์อะไรก็ได้ที่เคยทำให้เรามีความ สุข สดชื่น และสมหวังในชีวิตมาแล้ว เช่น วันรับปริญญา วันที่พบคนรักครั้งแรก วันแต่งงาน วันที่ได้เลื่อนตำแหน่ง วันที่ได้เป็นเจ้าของบ้านอย่างเต็มภาคภูมิ วันที่ได้ไปท่องเที่ยวสนุกสนาน เป็นต้น แล้วว่างๆ ก็เอาบันทึกหรือภาพถ่าย มาดูจะช่วยให้ย้อนระลึกถึงความสุขในอดีต ทำให้มีกำลังใจที่จะสู้ปัญหาในปัจจุบันต่อไป

วิธีต่อมา ให้สะสมคติพจน์ คำคม สุขภาพจิต หรือคำปลุกใจต่างๆ เอาไว้ เช่น ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน “ลำบากก่อนแล้วจะสบายเมื่อปลายมือ” “ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรู คือ ยาชูกำลัง” “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข” และถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น ควรติดสุภาษิตเหล่านี้ไว้ ตามฝาผนัง หน้ากระจก หน้าประตู เพื่อให้ตัวเองเห็นบ่อยๆ จะได้มีกำลังใจอยู่เสมอ ท้ายสุด คือ ให้นึกถึงคนที่เรา ชื่นชมยกย่องในความมานะ อุตสาหะของเขา เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตด้วยความบากบั่น ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ จะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้น เก็บเขาคนนี้ไว้ในใจของเรา เมื่อใดที่เรารู้สึกท้อแท้ หมดกำลังใจที่จะสู้ต่อไป ก็ให้นึกถึงเขา คนนั้น คิดว่าเราต้องอดทน มีมานะ เหมือนเขาคนนั้น เพื่อที่เราจะได้ประสบความสำเร็จเหมือนเขาเช่นกัน เราก็จะเกิด กำลังใจ ที่จะเอาชนะปัญหาอุปสรรคให้ได้ ขอย้ำว่ากำลังใจนั้นไม่ต้องไปหาที่ไหน อยู่ที่ใจของเรานั้นเอง

วิธีปลอบใจที่ได้ผล

คงมีบางครั้งเหมือนกัน ที่เราเห็นคนใกล้ชิดมีความทุกข์แล้ว เราเองก็อยากจะปลอบใจเขา แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้น อย่างไร และก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เราจะพูดออกไปนั้น มันเหมาะสมหรือไม่ ดีไม่ดีแทนที่เขาจะรู้สึกดีขึ้น อาจจะรู้สึก แย่ลงกว่าเดิม ทำให้เราต้องรู้สึกผิดหนักขึ้นไปกว่าเดิม ถ้าคุณยังไม่แน่ใจว่า ตัวคุณจะปลอบใจใครได้ เรามีวิธีที่จะ แนะนำคุณดังนี้

ประการแรก ให้คุณไปอยู่ใกล้ๆ เขา ไปนั่งข้างๆ ไปให้เขาเห็นหน้าคุณ เพื่อแสดงให้เขารู้ว่า คุณห่วงใยเขาจริงๆ ในกรณีที่คุณไม่สามารถจะไปอยู่ใกล้ชิดเขาได้ ก็อาจจะใช้วิธีโทรศัพท์ไปหา เขียนจดหมาย ส่งการ์ดหรือส่งโทรเลขไปก็ได้ เพื่อแสดงว่าคุณยังนึกถึงเขาอยู่

ประการที่สอง ให้รีบฟังสิ่งที่เขาพูดระบายออกมา คุณต้องเป็นผู้ฟังมากกว่าผู้พูด ถ้าเขายังไม่มีอารมณ์จะพูด หรือกำลังร้องไห้สะอึกสะอื้น คุณก็ควรรอคอยอย่าง อดทน เมื่อเขาพร้อมที่จะพูด คุณก็ต้องฟังอย่างตั้งใจ ควรพูดเข้าข้างเขา แสดงตัวว่าเป็นพวกเดียวกับเขา และ พร้อมจะให้ความช่วยเหลือเขาเสมอ ที่สำคัญคุณต้องเก็บเรื่องของเขาไว้เป็นความลับ ไม่เอาไปพูดต่อและเมื่อ บอกกว่าจะช่วยก็ต้องช่วยจริงๆ อย่าไปพูดสัญญาลมๆ แล้งๆ ที่คุณทำจริงไม่ได้ เขาจะหมดความเชื่อถือในตัวคุณ

ประการที่สาม คุณต้องให้กำลังใจเขา ช่วยให้เขามองเห็นทางออก ในเรื่องที่เขากำลังกลุ้มใจอยู่คุณต้อง ช่วยให้เขามีความหวังในชีวิต อย่าเพิ่งคิดสั้น เพราะตัวเขานั้นยังมีคุณค่าต่อคุณ ต่อครอบครัวของเขาและต่อสังคมด้วย

ประการสุดท้าย ช่วยให้เขาตัดสินใจเลือกทางแก้ไขปัญหา ด้วยตัวของเขาเอง คุณอย่าไปตัดสินใจแทนเขา ต้องให้เกียรติในการติดสินใจของเขา และคุณต้องแสดงความจริงใจ ที่จะช่วยเหลือเขาต่อไปด้วย เพียงเท่านี้ เขาคนนั้นก็จะคลายทุกข์ และมีกำลังใจที่จะสู้ชีวิตต่อไปอย่างแน่นอน

เมื่อมีปัญหา

ในชีวิตของคนเรา ปัญหาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เสมอ ไม่มีใครจะหนีปัญหาได้พ้น เพราะฉะนั้น ถ้าตอนนี้คุณกำลังมีปัญหาอยู่ อย่าเพิ่งวิตกกังวล หรือกลุ้มอกกลุ้มใจมากจนเกินไปเลย เรามาช่วยกันคิดแก้ปัญหาดีกว่า ตามปกติวิธีแก้ปัญหาจะมีอยู่ 3 วิธีด้วยกัน คือการสู้ การหนี และการรอมชอม ซึ่งแต่ละวิธีมีรายละเอียดดังนี้

การสู้ หมายถึง การพยายามหาทางแก้ปัญหาอย่างสุดกำลัง ทุ่มเททั้งกำลังกาย กำลังใจ กำลัง ทรัพย์ เรียกว่าทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได ้และถ้าลองแก้ปัญหาด้วยวิธีหนึ่งแล้ว ยังไม่ได้ผลก็จะหันไป ลองใช้อีกวิธีหนึ่ง เปลี่ยนวิธีไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ผล หรือแก้ปัญหาด้วยตัวเองไม่ได้ ก็ต้องลอง ขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น เพื่อเขาจะช่วยได้ วิธีนี้เรียกว่า สู้ยิบตาไม่ยอมแพ้จนกว่าปัญหาจะหมดไป

วิธีต่อมา คือ การหนี หมายถึง การหลบเลี่ยงปัญหา อาจหลบไปชั่วคราวเพื่อไปตั้งหลัก แล้วกลับมาสู้ใหม่ หรือจะเป็นการหนีเพื่อยอมแพ้ ในกรณีที่ยังรู้สึกว่าปัญหานั้น มันอยู่นอกเหนือความสามารถของเราที่จะแก้ไขได้ สู้ต่อไปก็เสียเวลาเปล่า สู้เอาเวลาไปทำอย่างอื่น ที่มีประโยชน์กว่าไม่ได้

วิธีสุดท้าย คือ การรอมชอม หมายถึง ถ้าปัญหานั้นเราจะสู้ก็ไม่ไหว จะหนีก็หนีไม่พ้น เรา ควรใช้วิธีปรับตัวปรับใจ เพื่อให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ตามสมควรแก่อัตภาพ โดยไม่เครียดจน เกินไป

คุณคิดว่าจะใช้วิธีไหนแก้ปัญหาของคุณดี อยากแนะนำว่าให้คุณลองสู้ให้สุดความสามารถ ก่อน ถ้าไม่ไหวอาจถอยมาตั้งหลักสักพัก แล้วค่อยสู้ใหม่แต่ถ้าสู้ไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องปรับตัว ปรับใจให้ยอมรับปัญหานั้นให้ได้ต่อไป ขอเป็นกำลังใจให้คุณแก้ปัญหาของคุณได้ในที่สุด

วิธีเอาชนะความเศร้า

คุณกำลังเศร้าโศกเสียใจอยู่หรือเปล่า ไม่ว่าคุณจะเศร้าเพราะสาเหตุใด จะเพราะสูญเสียคนรัก ของรักหรือผิดหวัง ไม่ได้สิ่งที่ปรารถนาก็แล้วแต่ ขอให้คุณระบายอารมณ์เศร้าออกมาให้มากที่สุด อยากร้องไห้ก็ร้องเสียให้พอ อยากบอกความทุกข์ในใจกับใครก็จงพูดออกมา หรือจะเขียนเป็นจดหมาย เป็นบันทึก หรือเป็นบทกลอนก็ได้ สุดแต่ว่าคุณจะถนัดอย่างไหน การระบายความเศร้าออกไป จะช่วยให้คุณรู้สึกสบายใจขึ้น นอกจากนี้ การจมอยู่กับความเศร้า ไม่สนใจดูแลตัวเองไม่กิน ข้าวกินปลา เอาแต่เก็บตัวอยู่ตามลำพัง ฟังแต่เพลงเศร้าๆ ก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น มีแต่จะยิ่งทำให้ตัวเองทรุดโทรมลง จนอาจถึงขั้นเจ็บป่วยได้ ขอให้คุณแข็งใจลุกขึ้นทำกิจวัตรประจำวันอย่างเดิม พยายามกินอาหาร เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง พยายามฝืน ใจทำงานจะเป็นงานบ้าน งานอดิเรก หรืองานอาชีพก็ได้ งานจะช่วยหันเห ความสนใจของคุณไปเสีย จากความเศร้า และงานยัง จะช่วยให้คุณ เห็นคุณค่าของตัวเอง ที่มีต่อคนอื่นด้วยโดยเฉพาะงานกุศล หรืองานช่วยเหลือผู้ทุกข์ยาก จะทำให้คุณเลิกสงสารตัวเอง เลิกหมกมุ่นกับความเศร้าได้อย่างวิเศษ แต่ถ้าคุณหรือคนใกล้ชิด มีอารมณ์เศร้าอยู่เป็นเวลานาน และมีความคิดอยากตายด้วย อย่าได้นิ่งนอนใจเป็นอันขาด ขอได้ให้รีบไปพบแพทย์ เพื่อขอรับการรักษาโดยด่วน ก่อนที่จะสายเกินไป

การนอนดึกเป็นเหตุให้อายุสั้น เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การทำงานดึกทำให้ร่างกายล้า เหมือนกับ เครื่องยนต์ overload ไม่ช้าเครื่องก็พัง วิธีแก้ไขในกรณีต้องทำงานดึก (เพื่อไม่ให้ร่างกายโทรมเร็ว) ผู้ที่มีหน้าที่บริหารงาน มักจะพบปัญหานี้กันมาก เพราะต้องเร่งงาน ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนนอนดึก

1. ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการล้า

2. ระบบร่างกายจะรวน ดังนี้

ระบบการย่อยอาหาร

ท้องอืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ คืออาหารที่ทานเข้าไป ถ้าไม่นอนดึก อุจจาระจะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่ เหมือนกับแท่งทอง แต่ถ้าอดนอนแล้วอุจจาระจะหยาบ จะมีเศษ อะไรต่างๆ ติดอยู่ เหมือนกับรถที่มีเขม่าติด เกิดจากการที่ร่างกายย่อยไม่หมด เพราะล้า

แนวทางแก้ไข ให้ลดอาหารประเภทเนื้อ! อาหารเหนียวๆ มิฉะนั้นลำไส้ทำงานหนัก ยิ่งนอนดึกแม้ เราหลับไปแล้ว แต่ลำไส้ไม่หลับ ยังคงย่อยอยู่ต่อไป พอตื่นขึ้นมาก็เพลีย ให้ทานไข่ นม แทนพวกเนื้อ ! ก็จะพอถูไถไปได้ มิฉะนั้นท้องจะผูกเป็นประจำ ริดสีดวงทวารจะถามหา (ถ้าหากอ้วนก็ให้ทานนม แทนไข่)

ท้องผูก มี 2 ลักษณะ

1. ผูกแข็ง คือ อุจจาระแข็ง

2. ผูกเหลว คือ อาการถ่ายอุจจาระไม่หมด ยังค้างอยู่ แต่ลำไส้ล้า

กระเพาะอาหารล้า ทำให้ไม่มี แรงบีบให้ออกจนหมด ดังนั้นในวันหนึ่งๆ จึงต้องถ่ายหลายครั้ง โรคที่จะตามมาก็คือ ผื่นคันบริเวณขาหนีบ (ไม่ใช่เพราะความ

สกปรกหมักหมม) จะคันทั้งวัน ปกติอุจจาระจะกึ่งแข็งกึ่งเหลว ถ้าแข็งแสดงว่าส่วนที่เป็นน้ำได้ซึมกลับเข้ามาในลำไส้ ซึ่ง มันเป็นของเสีย ที่ต้องขับออก ผลก็คือทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะมาประทุบริเวณเนื้ออ่อนๆ เช่นที่ขาหนีบ สาเหตุก็มาจาก ท้องผูกนั่นเอง เพราะฉะนั้น อย่านอนดึก ถ้าต้องดึกก็ให้ออกกำลังหน้าท้อง ให้ท้องเกิดกำลัง จะได้รีดอุจจาระออกมา ได้เร็ว ทานเสร็จแล้วอย่านอน ให้เดินสักครึ่งชั่วโมง เพราะพอขาได้เดิน ลำไส้มันก็ต้องไปกับขาด้วย จะช่วย ทำให้ย่อยได้ดีขึ้น ท้องจะผูกน้อยลง ผื่นคันก็จะหาย ถ้ายังไม่หาย (เนื่องจากอายุมาก) ให้ทานน้ำขิงสด (ไม่ใช่ขิงผง เป็นซองๆ) พวกที่นอนดึกต้องให้ท้องอุ่นมากๆ ให้หาผ้ามาห่ม เดี๋ยวท้องจะอืด เฟ้อ บางทีต้องให้เท้าอุ่นด้วย ให้หา ถุงเท้ามาใส่ มิฉะนั้นเท้าจะชา

ระบบปัสสาวะ

ถ้านอนไม่ดึก ประมาณ 3-4 ทุ่ม พอตื่นเช้าขึ้นมาจะปัสสาวะครั้งเดียวจบ แต่ถ้านอนดึก ยิ่งนอนตีหนึ่ง กลางดึกจะต้อง ลุกเข้าห้องน้ำถี่ เพราะร่างกาย overload ต้องการน้ำมาก กล้ามเนื้อข้างในจะบีบคั้นเอาพลังงานออ กมาใช้ จึงต้องใช้น้ำมาก ผลก็คือปัสสาวะบ่อย ทำให้พวกเกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะด้วย ยิ่งอายุ 35 ขึ้นไปจะยิ่งแย่ แนวทางแก้ไข ให้ทานแคลเซี่ยมเม็ดได้ แต่อย่ามาก แค่ 1 เม็ดก็พอ ถ้าทานมากจะทำให้แคลเซี่ยมพอก คืออาการที่กระดูกงอกทับเส้นประสาท (ถ้าเป็นแล้วต้องให้คนนวด และทานยาละลายแคลเซี่ยมช่วย) ถ้าไม่ทานแคลเซี่ยมชดเชย จะทำให้เลือดจาง เม็ดโลหิตจาง

สรุปแล้วการอดนอน เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง

การนอนดึกต้องดื่มน้ำให้มาก และเติมเกลือในน้ำด้วย คือพอเราดื่มแล้วมันออกมาหมดทั้งทางปัสสาวะแล ะเหงื่อ เราทานเกลือมากๆ ยังออกทางเหงื่อได้ แต่ถ้าทานแคลเซี่ยมมากทำให้กระดูกงอก ส่วนโค้ก เป๊ปซี่ กระทิงแดง อย่าทาน พอเราอยู่ดึกและกลั้นปัสสาวะ มันจะซึมกลับเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะไปประทุที่ขาหนีบ

หรือท้องแขนเป็นเม็ดแดงๆ เป็นจ้ำขึ้นทั่วเลย บางคนไม่กลั้น แต่ดื่มน้ำน้อย อาการก็จะเหมือนกับการโม่ แป้งฝืดๆ ลำไส้บีบตัวไม่ไหว ต้องเค้น ก็จะเพลีย แต่ถ้าดื่มน้ำมาก ทำให้ถ่ายสบาย ถ้าดื่มน้ำน้อยจะทำให้กรดยูเรียเข้มข้น พอเรากลั้นปัสสาวะมันก็จะซึมเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ถ้ากลั้นบ่อยๆ จะทำให้ปัสสาวะไม่หมด ระบบเหงื่อ คนที่ไม่มีเหงื่อออก จะแย่ ถ้าขับเหงื่อให้ออกได้ร่างกายสบาย ถ้าเหงื่อไม่ออกความร้อนภายในร่างกายจะระบายไม่ได้ ทำให้อึดอัด ของเสียในร่างกายก็ออกไม่ได้ โรคผิวหนังจะถามหา สิวฝ้าจะขึ้น เพราะฉะนั้น ดื่มน้ำให้มากพอและออกกำลังกาย เท่านั้นพอ เอาจนเหงื่อออกให้ได้ คนนอนดึกเหงื่อจะไม่ค่อยออก ของเสียตกใน สิวฝ้าขึ้น มันก็จะไปออกทางปัสสาวะแทน ไตเลยทำงาน หนัก ระบบหายใจ ระบบหายใจจะเสียตามมา ร่างกายจะเอาออกซิเจนไปแลกเลือดดำให้เป็นเลือดแดงได้ต้องมีความชื้น ถ้าความชื้นน้อยมันจะไม่แลก ทำให้อึดอัด เหมือนอยู่ห้องแอร์แล้วอึดอัด เพราะความชื้นไม่พอ ไม่ใช่ อากาศไม่พอ อากาศมันแห้งเลยเอาความชื้นในตัวเราไป ทำให้ปอดทำงานไม่สะดวก และออกซิเจนไม่ ได้ แนวทางแก้ไข ให้เอาน้ำใส่กะละมังไว้ข้างตัว ยิ่งเป็นน้ำร้อนยิ่งดี ถ้าอึดอัดให้เอาผ้าหนุนเท้าให้สูง เลือดก็จะไหลลงมาได้ จะทำให้นอนสบาย การดื่มน้ำหวานๆ ตอนอยู่ดึกๆ ก็ช่วยได้ แต่อย่าหวานมากจะทำให้อ้วน ถ้าจะให้ดีที่สุดอย่าอยู่ดึก ดึกได้ เป็นครั้งคราวถ้าจำเป็น คนนอนดึกเสียงจะแห้ง เพราะไตมันล้า การใช้สบู่ ให้ใช้สบู่เด็ก เพราะเป็นสบู่อ่อน การกัดจะน้อย อย่าใช้สบู่แรงๆ ให้ฟอกสบู่วันละครั้งก็พอ ถ้าฟอกวันละหลายๆ ครั้งไขมันจะหมด จะทำให้ผิวแตก ถ้าคันมากๆ อันเนื่องมาจากการนอนดึก ถ้า

เราไม่ทราบเราจะยิ่งฟอกสบู่หนักเข้าซึ่งไม่ดี ให้ฟอกวันเว้นวัน การดูแลรักษาร่างกายให้ดี จะทำให้นั่งสมาธิได้ดี นั่งได้นาน ไม่คัน ไม่เข้าห้องน้ำบ่อย

ข้อมูลจากนิตยสารเธอกับฉัน

น.ส เบญจมาศ โมงยาม วิทย์ออก เลขที่ 78

การนอนดึกเป็นเหตุให้อายุสั้น เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การทำงานดึกทำให้ร่างกายล้า เหมือนกับ เครื่องยนต์ overload ไม่ช้าเครื่องก็พัง วิธีแก้ไขในกรณีต้องทำงานดึก (เพื่อไม่ให้ร่างกายโทรมเร็ว) ผู้ที่มีหน้าที่บริหารงาน มักจะพบปัญหานี้กันมาก เพราะต้องเร่งงาน ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนนอนดึก

1. ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการล้า

2. ระบบร่างกายจะรวน ดังนี้

ระบบการย่อยอาหาร

ท้องอืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ คืออาหารที่ทานเข้าไป ถ้าไม่นอนดึก อุจจาระจะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่ เหมือนกับแท่งทอง แต่ถ้าอดนอนแล้วอุจจาระจะหยาบ จะมีเศษ อะไรต่างๆ ติดอยู่ เหมือนกับรถที่มีเขม่าติด เกิดจากการที่ร่างกายย่อยไม่หมด เพราะล้า

แนวทางแก้ไข ให้ลดอาหารประเภทเนื้อ! อาหารเหนียวๆ มิฉะนั้นลำไส้ทำงานหนัก ยิ่งนอนดึกแม้ เราหลับไปแล้ว แต่ลำไส้ไม่หลับ ยังคงย่อยอยู่ต่อไป พอตื่นขึ้นมาก็เพลีย ให้ทานไข่ นม แทนพวกเนื้อ ! ก็จะพอถูไถไปได้ มิฉะนั้นท้องจะผูกเป็นประจำ ริดสีดวงทวารจะถามหา (ถ้าหากอ้วนก็ให้ทานนม แทนไข่)

ท้องผูก มี 2 ลักษณะ

1. ผูกแข็ง คือ อุจจาระแข็ง

2. ผูกเหลว คือ อาการถ่ายอุจจาระไม่หมด ยังค้างอยู่ แต่ลำไส้ล้า

กระเพาะอาหารล้า ทำให้ไม่มี แรงบีบให้ออกจนหมด ดังนั้นในวันหนึ่งๆ จึงต้องถ่ายหลายครั้ง โรคที่จะตามมาก็คือ ผื่นคันบริเวณขาหนีบ (ไม่ใช่เพราะความ

สกปรกหมักหมม) จะคันทั้งวัน ปกติอุจจาระจะกึ่งแข็งกึ่งเหลว ถ้าแข็งแสดงว่าส่วนที่เป็นน้ำได้ซึมกลับเข้ามาในลำไส้ ซึ่ง มันเป็นของเสีย ที่ต้องขับออก ผลก็คือทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะมาประทุบริเวณเนื้ออ่อนๆ เช่นที่ขาหนีบ สาเหตุก็มาจาก ท้องผูกนั่นเอง เพราะฉะนั้น อย่านอนดึก ถ้าต้องดึกก็ให้ออกกำลังหน้าท้อง ให้ท้องเกิดกำลัง จะได้รีดอุจจาระออกมา ได้เร็ว ทานเสร็จแล้วอย่านอน ให้เดินสักครึ่งชั่วโมง เพราะพอขาได้เดิน ลำไส้มันก็ต้องไปกับขาด้วย จะช่วย ทำให้ย่อยได้ดีขึ้น ท้องจะผูกน้อยลง ผื่นคันก็จะหาย ถ้ายังไม่หาย (เนื่องจากอายุมาก) ให้ทานน้ำขิงสด (ไม่ใช่ขิงผง เป็นซองๆ) พวกที่นอนดึกต้องให้ท้องอุ่นมากๆ ให้หาผ้ามาห่ม เดี๋ยวท้องจะอืด เฟ้อ บางทีต้องให้เท้าอุ่นด้วย ให้หา ถุงเท้ามาใส่ มิฉะนั้นเท้าจะชา

ระบบปัสสาวะ

ถ้านอนไม่ดึก ประมาณ 3-4 ทุ่ม พอตื่นเช้าขึ้นมาจะปัสสาวะครั้งเดียวจบ แต่ถ้านอนดึก ยิ่งนอนตีหนึ่ง กลางดึกจะต้อง ลุกเข้าห้องน้ำถี่ เพราะร่างกาย overload ต้องการน้ำมาก กล้ามเนื้อข้างในจะบีบคั้นเอาพลังงานออ กมาใช้ จึงต้องใช้น้ำมาก ผลก็คือปัสสาวะบ่อย ทำให้พวกเกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะด้วย ยิ่งอายุ 35 ขึ้นไปจะยิ่งแย่ แนวทางแก้ไข ให้ทานแคลเซี่ยมเม็ดได้ แต่อย่ามาก แค่ 1 เม็ดก็พอ ถ้าทานมากจะทำให้แคลเซี่ยมพอก คืออาการที่กระดูกงอกทับเส้นประสาท (ถ้าเป็นแล้วต้องให้คนนวด และทานยาละลายแคลเซี่ยมช่วย) ถ้าไม่ทานแคลเซี่ยมชดเชย จะทำให้เลือดจาง เม็ดโลหิตจาง

สรุปแล้วการอดนอน เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง

การนอนดึกต้องดื่มน้ำให้มาก และเติมเกลือในน้ำด้วย คือพอเราดื่มแล้วมันออกมาหมดทั้งทางปัสสาวะแล ะเหงื่อ เราทานเกลือมากๆ ยังออกทางเหงื่อได้ แต่ถ้าทานแคลเซี่ยมมากทำให้กระดูกงอก ส่วนโค้ก เป๊ปซี่ กระทิงแดง อย่าทาน พอเราอยู่ดึกและกลั้นปัสสาวะ มันจะซึมกลับเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะไปประทุที่ขาหนีบ

หรือท้องแขนเป็นเม็ดแดงๆ เป็นจ้ำขึ้นทั่วเลย บางคนไม่กลั้น แต่ดื่มน้ำน้อย อาการก็จะเหมือนกับการโม่ แป้งฝืดๆ ลำไส้บีบตัวไม่ไหว ต้องเค้น ก็จะเพลีย แต่ถ้าดื่มน้ำมาก ทำให้ถ่ายสบาย ถ้าดื่มน้ำน้อยจะทำให้กรดยูเรียเข้มข้น พอเรากลั้นปัสสาวะมันก็จะซึมเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ถ้ากลั้นบ่อยๆ จะทำให้ปัสสาวะไม่หมด ระบบเหงื่อ คนที่ไม่มีเหงื่อออก จะแย่ ถ้าขับเหงื่อให้ออกได้ร่างกายสบาย ถ้าเหงื่อไม่ออกความร้อนภายในร่างกายจะระบายไม่ได้ ทำให้อึดอัด ของเสียในร่างกายก็ออกไม่ได้ โรคผิวหนังจะถามหา สิวฝ้าจะขึ้น เพราะฉะนั้น ดื่มน้ำให้มากพอและออกกำลังกาย เท่านั้นพอ เอาจนเหงื่อออกให้ได้ คนนอนดึกเหงื่อจะไม่ค่อยออก ของเสียตกใน สิวฝ้าขึ้น มันก็จะไปออกทางปัสสาวะแทน ไตเลยทำงาน หนัก ระบบหายใจ ระบบหายใจจะเสียตามมา ร่างกายจะเอาออกซิเจนไปแลกเลือดดำให้เป็นเลือดแดงได้ต้องมีความชื้น ถ้าความชื้นน้อยมันจะไม่แลก ทำให้อึดอัด เหมือนอยู่ห้องแอร์แล้วอึดอัด เพราะความชื้นไม่พอ ไม่ใช่ อากาศไม่พอ อากาศมันแห้งเลยเอาความชื้นในตัวเราไป ทำให้ปอดทำงานไม่สะดวก และออกซิเจนไม่ ได้ แนวทางแก้ไข ให้เอาน้ำใส่กะละมังไว้ข้างตัว ยิ่งเป็นน้ำร้อนยิ่งดี ถ้าอึดอัดให้เอาผ้าหนุนเท้าให้สูง เลือดก็จะไหลลงมาได้ จะทำให้นอนสบาย การดื่มน้ำหวานๆ ตอนอยู่ดึกๆ ก็ช่วยได้ แต่อย่าหวานมากจะทำให้อ้วน ถ้าจะให้ดีที่สุดอย่าอยู่ดึก ดึกได้ เป็นครั้งคราวถ้าจำเป็น คนนอนดึกเสียงจะแห้ง เพราะไตมันล้า การใช้สบู่ ให้ใช้สบู่เด็ก เพราะเป็นสบู่อ่อน การกัดจะน้อย อย่าใช้สบู่แรงๆ ให้ฟอกสบู่วันละครั้งก็พอ ถ้าฟอกวันละหลายๆ ครั้งไขมันจะหมด จะทำให้ผิวแตก ถ้าคันมากๆ อันเนื่องมาจากการนอนดึก ถ้า

เราไม่ทราบเราจะยิ่งฟอกสบู่หนักเข้าซึ่งไม่ดี ให้ฟอกวันเว้นวัน การดูแลรักษาร่างกายให้ดี จะทำให้นั่งสมาธิได้ดี นั่งได้นาน ไม่คัน ไม่เข้าห้องน้ำบ่อย

ข้อมูลจากนิตยสารเธอกับฉัน

น.ส เบญจมาศ โมงยาม วิทย์ออก เลขที่ 78

พืชผักต้านมะเร็ง

มะเขือเทศ มะเขือเทศได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับ 1 ของบรรดาอาหาร เพื่อสุขภาพ ในมะเขือเทศมีกรดพีคูมาริก (p – Coumaric acid) และกรดคลอโรจีริก (Chlorogenic Acid) อยู่เป็นจำนวนมาก กรดเหล่านี้จะแย่งจับกับไนไตรท์ แล้วขจัดออกจากร่างกาย ก่อนที่ไนไตรท์จะไปจับกับเอมีนส์กลายเป็นสารที่ก่อมะเร็งชื่อ ไนโตรซามีนส์ การทานมะเขือเทศสดอย่างน้อย 7 ครั้งต่อสัปดาห์ จะลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ปอด และกระเพาะลงได้ครึ่งหนึ่ง

พริก สารแคปไซซินในพริก ช่วยลดพิษของสารก่อมะเร็งได้ช่วยไม่ให้มีการจับตัวระหว่างไนไตรท์กับเอมีนส์ ซึ่งจะกลายเป็นสารอันตราย พริกยิ่งเผ็ดเท่าไรก็ยิ่งมีแคปไซซินมากเท่านั้น

ส้มและมะนาว ในส้มและมะนาวมีสารลิโมนีน (Limonene) อยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งมีส่วนในการกระตุ้นเอนไซม์ในร่างกายให้เพิ่มขึ้น เพื่อสลายสาร ก่อมะเร็ง และกระตุ้นให้เซลล์ภูมิคุ้มกันที่มีหน้าที่ฆ่าเซลล์มะเร็งมีความกระปรี้กระเปร่าขึ้น

กระเทียม กระเทียมช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร บางงานวิจัยระบุว่าสามารถลดได้ถึง 40% และกระเทียมยังช่วยเพิ่มระดับเอนไซม์ที่จะทำหน้าที่ล้างพิษของสารก่อมะเร็ง สารนี้จะมีขึ้นเมื่อทุบกระเทียมให้แตกก่อนแล้ววางทิ้งไว้ 10 นาที ก่อนจะนำไปใช้ ไม่ควรกินกระเทียมขณะท้องว่างอาจจะเกิดระคายเคือง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องได้

กะหล่ำดอก เป็นผักตระกูลมัสตาร์ด มีสารที่สามารถดึงสารก่อมะเร็งออกจากเซลล์ โดยมีสารซัลโพราเฟน ซึ่งไปลดการผลิตเอนไซม์ที่จะไปทำอันตรายสารพันธุกรรม DNA ในเซล พืชวงศ์นี้รวมทั้ง บร็อคโคลี คะน้า และกะหล่ำต่าง ๆ กะหล่ำดิบมีวิตามินซีสูง มีธาตุโพแตสเซี่ยม กำมะถัน และเส้นใยมาก

กะหล่ำปลี ใบมีสารไดไทโอลไทออนส์ และสารกลูโคซิโนเลท เมื่อแตกตัวจะเป็นสารต้านมะเร็ง ออกฤทธิ์โดยเฉพาะต่อต้านกับมะเร็งลำไส้ แต่หากกินมากไปจะทำให้เกิดคอหอยพอกได้ เพราะมีสารไปกั้นการดูดซึมไอโอดีนที่ต่อมไทรอยด์ ผู้เป็นโรคไทรอยด์ไม่ควรบริโภคมากเพราะไปลดระดับไทรอยด์ฮอร์โมนในเลือดหากกินติดต่อกันนาน ๆ มีอีกหลายสี เช่น สีม่วงแดง ห้ามรับประทานกะหล่ำสีแดงสดๆเพราะมีเหล็กสูงมาก จะทำให้ท้องผูก

คะน้า อยู่ในวงศ์เดียวกันกับผักกวางตุ้ง กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักกาดขาว บร็อคโคลี และผักกาดหัว คะน้ามีสารอินโดลส์ยับยั้งการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งที่เต้านม โดยการไปจับกับฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนซึ่งกระตุ้นการเกิดเนื้องอก และมะเร็งลำไส้ มีสารต้านอนุมูลอิสระเบต้าแคโรทีนและวิตามินซีสูงมาก ทำให้มีคุณสมบัติในการต้านมะเร็งที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีพืชผักอีกหลายชนิดที่มีคุณสมบัติในการต่อต้านมะเร็ง เช่น ขมิ้น ข่า เมล็ดข้าวโพด ขิง แครอท ชะพลู ดีปลี ตะไคร้ แตงกวา ใบบัวบก ผักชี ผักชีฝรั่ง ฟักทอง ใบมะกรูด มะเขือยาวหรือมะเขือม่วง มะระจีน มะระขี้นก มันเทศ ต้นหอมและหอมใหญ่ โหระพา เป็นต้

ข้อมูลจากหนังสือเพื่อสุขภาพ

นภา ใจเฟย ม.ฟารร์(28)

สรรพคุณของผักและผลไม้แต่ละชนิด ช่วยรักษาสุขภาพ

หัวผักกาดขาว (หัวไชเท้า) มีวิตามินซีสูง เหล็ก แคลเซียม และฟอสฟอรัสก็มีอุดมสมบูรณ์ในหัวผักกาดขาว ดีเด่นในทางช่วยล้างพิษ ช่วยเสริมการทำงานของลำไส้ แก้ท้องอืด ป้องกันมะเร็ง ป้องกันโรคตา บรรเทาอาการไอ อาการอักเสบ เจ็บหน้าอก บำรุงปอด

ผักกาดขาว นอกจากจะมีวิตามินซี ยังมีโปรตีน วิตามินบี ผักกาดขาวยังช่วยย่อยอาหาร แก้โรคท้องผูก ขับปัสสาวะ บำรุงเหงือก และแก้พิษสุรา

ผักกาดเขียว มีวิตามินเอสูง ช่วยบำรุงสายตา ต้านมะเร็ง บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้ ผู้ที่ไอมีเสมหะก็ควรกินผักกาดเขียวเป็นประจำ

ตำลึง อุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ อาทิ แคลเซียม คาร์โบไฮเดรต โปรตีน เหล็กไขมันและวิตามินเอ ช่วยป้องกันโรคร้ายต่าง ๆ เช่น เบาหวาน มะเร็ง หัวใจ โรคอ้วน เป็นต้น

ผักบุ้ง มีวิตามีเอ ทานผักบุ้งเป็นประจำจะช่วยบำรุงสายตา

แครอท หัวส้ม ๆ มีเบต้าแคโรทีน มีโพแทสเซียม มากด้วยเส้นใย ช่วยต่อต้านมะเร็ง

กะหล่ำปลี มีวิตามินบี 1 และ 2 รวมทั้งวิตามินซีสูง หากกินอาหารที่ปรุงด้วยกะหล่ำปลีเป็นประจำจะป้องกันโรคกระเพาะสำไส้ได้

มะเขือยาว มีวิตามินบี 1 โปรตีนและแคลเซียม มะเขือยาวช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับไขข้อ ช่วยขับปัสสาวะ ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง ป้องกันเส้นเลือดมิให้แตกเปราะง่าย และช่วยดับร้อนถอนพิษไข้

หน่อไม้ มีเส้นใยสูง มีโปรตีน ไขมัน และวิตามินแร่ธาตุต่าง ๆ อุดมสมบูรณ์ นักมังสวิรัติที่กินหน่อไม้บ่อย ๆ จะไม่อ้วน ท้องไม่ผูก ผิวพรรมเปล่งปลั่ง ปลอดภัยจากโรคไต โรคลำไส้ โรคนิ่ว และยังแก้ไอขับเสมหะได้เช่นกัน

**************************************************************

หอมแดง

นำหอมแดงไปต้มทำเป็นน้ำซุป ดื่มร้อน จะแก้ไขหวัด หอมแดงยังช่วยขจัดพยาธิตัวร้ายที่ก่อกวนอยู่ในลำไส้และในกระเพาะให้หมดไปได้อีกต่างหาก

หอมหัวใหญ่ ในหอมหัวใหญ่จะมี เกอร์เซทิน (สารที่พบมากในหอมแดง และหอมใหญ่) สารเกอร์เซทิน สามารถป้องกันการแข็งตัวของเลือด และยังช่วยไม่ให้เกิดปฏิกิริยาออกซเดชันของคอเลสเตอรอลชนิด LDL ในเลือดนั่นเอง การกินหอมหัวใหญ่ จะช่วยให้ไม่เกิดภาวะหัวใจวาย และสมองวายเฉียบพลันได้

ใบกะเพรา อุดมไปด้วยสารระเหย ได้แก่ เมทิลยูจีนอล แคริโอฟิลลีน เมทิลชาวิคอล สารระเหยเหล่านี้ ช่วยบำบัดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แก้คลื่นไส้เวียนศีรษะได้เป็นอย่างดี

ข้าวโพดไ ม่ว่าจะเป็นฝักเล็กฝักใหญ่ อุดมไปด้วย วิตามินดี แป้ง ไขมัน น้ำตาล ด้วยสารอาหารเหล่านี้ในข้าวโพด จึงช่วยทำให้ไม่พบกับความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจ ถ้าหากทานข้าวโพดเป็นประจำจะช่วยบำรุงฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกายอีกด้วย

มะละกอ ให้วิตามินดี วิตามินเอ และโปรตีน และช่วยระบบขับถ่ายได้ดีอีกด้วย

ลูกเดือย มีโปรตีน ไขมัน ธาตุเหล็ก ธาตุปูน และเต็มไปด้วยกากใย ลูกเดือยมีคุณสมบัติในการช่วยบำบัด รักษาโรค อาการบวมน้ำตามร่างกาย โรคม้าม โรคแน่นหน้าอก และมีคุณสมบัติในการต้านมะเร็งได้ดีเยี่ยมอีกด้วย

ฟักทอง อุดมไปด้วยวิตามินเอ บี และซี รวมทั้งมีน้ำตาลอยู่มาก ฟักทองมีคุณสมบัติในการรักษาสุขภาพภาวะการไหลเวียนของโลหิตไม่ค่อยดี พยาธิตัวตืด พยาธิไส้เดือนคุกคาม

มะเขือเทศ กินมะเขือเทศสด ๆ หรือจะนำไปคั้น ดื่มสด จะช่วยแก้อาการเมาค้าง ช่วยอาการปวดศีรษะและคลื่นไส้หายได้ เนื่องจากความเปรี้ยวและวิตามินจากมะเขือ

มะขามช่ วยระบายความร้อนในร่างกายให้ลดลงได้ แก้ร้อนใน

องุ่น กินองุ่นสด หรือน้ำองุ่นสด ๆ ไม่ผสมน้ำเชื่อม กินบ่อย ๆ เป็นประจำเป็นยาบำรุงสุขภาพ ช่วยลดไขมันในเลือด ต้านมะเร็ง และป้องกันการเกิดโรคหัวใจ น้ำองุ่นที่ดีควรเป็นน้ำองุ่นสด และไม่แช่ไว้ในตู้เย็นนาน

เคล็ดลับการรักษาสุขภาพเบื้องต้น

ข้อความ : หลายวันก่อนแวะเข้าปั้มเติมน้ำมันรถ และแวะซื้อกาแฟบ้านไร่ ขณะรอกาแฟได้หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเล่น มีบทความน่าสนใจเลยนำมาฝากกันค่ะ

*** เคล็ดลับการรักษาสุขภาพเบื้องต้น ***

ความลับของการมีสุขภาพดีและยืนยาวได้ ไม่ได้อยู่ที่การได้กินยาอายุวัฒนะจากท้องทะเลลึก หรือการใช้สารสกัดจากดอกไม้ล้านปีแห่งยอดเขาหิมาลัย หรือการดื่มโสมพันปีจากเทือกเขาลี้ลับ แต่ได้จากการดำรงชีวิตและการกินอยู่อย่างง่าย ๆ เพียงไม่กี่อย่างในชีวิตประจำวันเท่านั้นก็สามารถที่จะทำให้ความสุขอยู่กับสุขภาพดี มีพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย หรือเป็นโรคฮิตที่นำความพิการและความจำกัดมาสู่ชีวิต

เป็นเรื่องน่าสนใจที่การศึกษาเกี่ยวกับสุขภาพดีจำนวนมากมักจะแสดงผลที่บ่งชี้ ให้เห็นถึงการปฏิบัติง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างหนึ่งของการศึกษาที่โด่งดังมีผลการศึกษาเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในกลุ่มนักวิชาการสาธารณสุข คือ การศึกษาของ น.พ.เบลล็อค และ เบรสโล จากแคลิฟอร์เนีย ได้ศึกษาถึงปัจจัยที่ทำนายความยืนยาวของอายุและปัจจัยส่งเสริมให้มีสุขภาพดี 7 ประการ โดยพบว่า หากเราได้ปฏิบัติสิ่งเหล่านี้จริงจัง จะส่งผลดีต่อสุขภาพและมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น

*** ปัจจัยดังกล่าวประกอบด้วย ***

1) นอนหลับวันละ 7-8 ชั่วโมง

2) รับประทานอาหารเช้าเป็นประจำ

3) ไม่รับประทานอาหารจุกจิกระหว่างมื้อ

4) รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

5) ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

6) ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ งดดื่มแอลกอฮอล์

7) ไม่สูบบุหรี่

จะเห็นว่าพฤติกรรมสุขภาพเหล่านี้ ทุกคนสามารถทำได้ตลอดเวลาทุกสถานที่และทุกฐานะ สิ่งที่คุกคามสุขภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนเรา ปัจจุบันนี้จึงไม่ได้อยู่ที่การขาดวิตามิน หรือ สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ แต่เกิดจากการประเมินค่าความสำคัญของการปฏิบัติที่สุขภาพดีต่ำเกินไป จึงมีคนนำข้อควรปฏิบัติไปใช้ในชีวิตประจำวันน้อยจนถึงไม่สนใจเลย ในบางตัวอย่างหรือปัจจัยที่ได้จากการศึกษาที่กล่าวถึงประการหนึ่งในชีวิตประจำวัน หากเราสามารถทำได้จนเป็นนิสัยแล้ว จะก่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ จะทำให้เห็นความแตกต่างของพละกำลังกับความอ่อนเพลีย

ระหว่างความสดชื่นกับความหดหู่ ระหว่างสุขภาพและความเจ็บป่วย คือ การดื่มน้ำอุ่น 1-2 แก้วหลังตื่นนอนตอนเช้า เหตุผลคือ ในตอนกลางคืนขณะหลับอุณหภูมิของร่างกายลดลง เลือดจะถูกดึงจากแขน-ขา หรือเรียกว่าส่วนปลายของร่างกายเข้าสู่ส่วนกลางอันเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกายและผิวหนัง การดื่มน้ำอุ่น 1-2 แก้วหลังตื่นตอนจะส่งผลให้มีการแผ่กระจายตัวของอุณหภูมิ ทำให้เส้นเลือดส่วนปลายซึ่งหดเล็กลงในตอนกลางคืนขยายตัวออก ช่วยให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น และทำให้ผิวหนังอุ่นขึ้น เหตุผลอีกอย่างที่สำคัญคือ ช่วยลดภาวะท้องผูกโดยเฉพาะสตรีตั้งครรภ์และผู้สูงอายุ ที่มักจะประสบภาวะท้องผูก การดื่มน้ำอุ่นในตอนเช้า จะกระตุ้นการทำงานโดยเฉพาะ การเคลื่อนไหวของลำไส้ ช่วยให้การขับถ่ายได้สะดวก ผลระยะยาวจะทำให้เกิดความสดชื่น มีการทำงานที่ดีของร่างกาย กระเพาะอาหาร และลำไส้มีความพร้อมในการทำงาน คือการย่อยและดูดซึมเมื่อถึงมื้ออาหาร ผู้ที่ปฏิบัติอยู่เป็นประจำจะบอกได้ถึงความแตกต่างที่กล่าวถึง

การเริ่มต้นดื่มน้ำอุ่นในตอนเช้าของคนที่ไม่เคยปฏิบัติมาก่อน อาจจะเริ่มด้วยการดื่มน้ำอุ่นแก้วเล็ก ๆ แล้วค่อยเพิ่มปริมาณขึ้น จนได้ขนาดแก้วละ 250 ซีซี หรือมากกว่า ถ้ายังทำไม่ได้ตามแผน อาจจะต้องเขียนโน้ตติดไว้หน้ากระจกเตือนตัวเองว่าวันนี้คุณดื่มน้ำหรือยัง หรือจะให้น่าดื่มและเชิญชวนให้ดื่มได้มากขึ้น อาจจะบีบน้ำมะนาวลงไปเล็กน้อย หรือจะเป็นชาสมุนไพรก็ไม่มีข้อห้ามแต่อย่างใด

แค่นี้คุณก็มีสุขภาพดีได้ตั้งแต่ตอนเช้า ลองหันมาปฏิบัติอย่างจริงจังทุกวัน แล้วเพิ่มข้อปฏิบัติอื่น ๆ ที่กล่าวไว้ติดตามมาก็จะทำให้คุณมีสุขภาพดี อายุยืนยาว ไม่ต้องหันไปพึงยาหรือสารสกัดใดให้เสียเงินโดยไม่จำเป็น........

บทความนี้นำมาจากฝ่ายส่งเสริมสุขภาพโรงพยาบาลมิชชั่น "เปิดโลกหน้าเหลือง" ฉบับที่ 33 ประจำเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม 2545 วารสารสำหรับลูกค้าสมุดหน้าเหลืองไทยแลนด์ เยลโล่เพลเพส

*** เคล็ดลับการรักษาสุขภาพเบื้องต้น ***

ความลับของการมีสุขภาพดีและยืนยาวได้ ไม่ได้อยู่ที่การได้กินยาอายุวัฒนะจากท้องทะเลลึก หรือการใช้สารสกัดจากดอกไม้ล้านปีแห่งยอดเขาหิมาลัย หรือการดื่มโสมพันปีจากเทือกเขาลี้ลับ แต่ได้จากการดำรงชีวิตและการกินอยู่อย่างง่าย ๆ เพียงไม่กี่อย่างในชีวิตประจำวันเท่านั้นก็สามารถที่จะทำให้ความสุขอยู่กับสุขภาพดี มีพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย หรือเป็นโรคฮิตที่นำความพิการและความจำกัดมาสู่ชีวิต

เป็นเรื่องน่าสนใจที่การศึกษาเกี่ยวกับสุขภาพดีจำนวนมากมักจะแสดงผลที่บ่งชี้ ให้เห็นถึงการปฏิบัติง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน ตัวอย่างหนึ่งของการศึกษาที่โด่งดังมีผลการศึกษาเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปในกลุ่มนักวิชาการสาธารณสุข คือ การศึกษาของ น.พ.เบลล็อค และ เบรสโล จากแคลิฟอร์เนีย ได้ศึกษาถึงปัจจัยที่ทำนายความยืนยาวของอายุและปัจจัยส่งเสริมให้มีสุขภาพดี 7 ประการ โดยพบว่า หากเราได้ปฏิบัติสิ่งเหล่านี้จริงจัง จะส่งผลดีต่อสุขภาพและมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น

*** ปัจจัยดังกล่าวประกอบด้วย ***

1) นอนหลับวันละ 7-8 ชั่วโมง

2) รับประทานอาหารเช้าเป็นประจำ

3) ไม่รับประทานอาหารจุกจิกระหว่างมื้อ

4) รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

5) ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

6) ดื่มน้ำอย่างเพียงพอ งดดื่มแอลกอฮอล์

7) ไม่สูบบุหรี่

จะเห็นว่าพฤติกรรมสุขภาพเหล่านี้ ทุกคนสามารถทำได้ตลอดเวลาทุกสถานที่และทุกฐานะ สิ่งที่คุกคามสุขภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคนเรา ปัจจุบันนี้จึงไม่ได้อยู่ที่การขาดวิตามิน หรือ สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ แต่เกิดจากการประเมินค่าความสำคัญของการปฏิบัติที่สุขภาพดีต่ำเกินไป จึงมีคนนำข้อควรปฏิบัติไปใช้ในชีวิตประจำวันน้อยจนถึงไม่สนใจเลย ในบางตัวอย่างหรือปัจจัยที่ได้จากการศึกษาที่กล่าวถึงประการหนึ่งในชีวิตประจำวัน หากเราสามารถทำได้จนเป็นนิสัยแล้ว จะก่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ จะทำให้เห็นความแตกต่างของพละกำลังกับความอ่อนเพลีย

ระหว่างความสดชื่นกับความหดหู่ ระหว่างสุขภาพและความเจ็บป่วย คือ การดื่มน้ำอุ่น 1-2 แก้วหลังตื่นนอนตอนเช้า เหตุผลคือ ในตอนกลางคืนขณะหลับอุณหภูมิของร่างกายลดลง เลือดจะถูกดึงจากแขน-ขา หรือเรียกว่าส่วนปลายของร่างกายเข้าสู่ส่วนกลางอันเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกายและผิวหนัง การดื่มน้ำอุ่น 1-2 แก้วหลังตื่นตอนจะส่งผลให้มีการแผ่กระจายตัวของอุณหภูมิ ทำให้เส้นเลือดส่วนปลายซึ่งหดเล็กลงในตอนกลางคืนขยายตัวออก ช่วยให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น และทำให้ผิวหนังอุ่นขึ้น เหตุผลอีกอย่างที่สำคัญคือ ช่วยลดภาวะท้องผูกโดยเฉพาะสตรีตั้งครรภ์และผู้สูงอายุ ที่มักจะประสบภาวะท้องผูก การดื่มน้ำอุ่นในตอนเช้า จะกระตุ้นการทำงานโดยเฉพาะ การเคลื่อนไหวของลำไส้ ช่วยให้การขับถ่ายได้สะดวก ผลระยะยาวจะทำให้เกิดความสดชื่น มีการทำงานที่ดีของร่างกาย กระเพาะอาหาร และลำไส้มีความพร้อมในการทำงาน คือการย่อยและดูดซึมเมื่อถึงมื้ออาหาร ผู้ที่ปฏิบัติอยู่เป็นประจำจะบอกได้ถึงความแตกต่างที่กล่าวถึง

การเริ่มต้นดื่มน้ำอุ่นในตอนเช้าของคนที่ไม่เคยปฏิบัติมาก่อน อาจจะเริ่มด้วยการดื่มน้ำอุ่นแก้วเล็ก ๆ แล้วค่อยเพิ่มปริมาณขึ้น จนได้ขนาดแก้วละ 250 ซีซี หรือมากกว่า ถ้ายังทำไม่ได้ตามแผน อาจจะต้องเขียนโน้ตติดไว้หน้ากระจกเตือนตัวเองว่าวันนี้คุณดื่มน้ำหรือยัง หรือจะให้น่าดื่มและเชิญชวนให้ดื่มได้มากขึ้น อาจจะบีบน้ำมะนาวลงไปเล็กน้อย หรือจะเป็นชาสมุนไพรก็ไม่มีข้อห้ามแต่อย่างใด

แค่นี้คุณก็มีสุขภาพดีได้ตั้งแต่ตอนเช้า ลองหันมาปฏิบัติอย่างจริงจังทุกวัน แล้วเพิ่มข้อปฏิบัติอื่น ๆ ที่กล่าวไว้ติดตามมาก็จะทำให้คุณมีสุขภาพดี อายุยืนยาว ไม่ต้องหันไปพึงยาหรือสารสกัดใดให้เสียเงินโดยไม่จำเป็น........

ผมร่วง ผมบาง เกิดจากอะไร ?

ผมร่วง (Alopecia) เป็นปัญหาที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะชายชาวตะวันตก เกือบทุกคนจะผมบางเมื่ออายุมากขึ้น นำมาซึ่งการขาดความมั่นใจ และต้องการการรักษา บ่อยครั้งที่เราจะเห็นโฆษณาการรักษาศีรษะล้าน หรือผมร่วงอยู่มากมาย สาเหตุของผมร่วง ศีรษะล้าน ที่เป็นเรื้อรัง กว่าร้อยละ 80 อยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า Androgenetic alopecia คือเกิดจากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศชาย (Androgen) และพันธุกรรม (Genetic) ร่วมกัน พบว่าผู้ที่มีศีรษะล้านชนิดนี้ จะสังเกตมีผมร่วงเรื้อรัง ผมจะบางลงทางด้านหน้า บริเวณใกล้ขมับ เข้าไป และต่อมาจะเริ่มบางลง บางรายอาจมีบริเวณกลางศีรษะบางร่วมด้วย ลักษณะนี้จะพบในเพศชาย ส่วนเพศหญิงมักมีแต่ผมบางทั่ว ๆ ไปหรือกลางศีรษะเท่านั้น ไม่มีผมบางบริเวณด้านหน้า

เชื่อว่า ฮอร์โมนเพศชายอาจเป็นส่วนสำคัญในภาวะนี้ เนื่องจากพบในผู้ชายได้บ่อยกว่าหญิงมาก โดยเฉพาะชายชาวตะวันตก กว่าร้อยละ 80 จะมีผมบางแบบนี้เมื่ออายุมากขึ้น นอกจากนี้มักมีประวัติ ผมบางในพ่อ-แม่ หรือปู่ย่าตายาย

สาเหตุอื่นของผมร่วง พบได้น้อยเช่น ผมร่วงเป็นหย่อม ซึ่งมักขึ้นได้เอง, ผมร่วงที่เกิดภายหลังคลอด หรือเจ็บป่วยหนัก, ผมร่วงที่เกิดจากการได้รับยาเคมีบำบัดหรือฉายแสง, ผมร่วงที่พบในผู้ป่วย เอส แอล อี เป็นต้น ซึ่งต้องการการรักษาตามแต่สาเหตุ

ยารักษาผมร่วง ผมบาง

ในปัจจุบัน ยาที่ใช้รักษาผมร่วงหรือผมบางที่เกิดจาก androgenetic alopecia ที่มีการศึกษาและได้ผลจริง และเป็นที่ยอมรับทางการแพทย์ มีเพียง 2 ชนิด ได้แก่ยา Minoxidil และยา Fenasteride ส่วนยาอื่น, สมุนไพร, ยาที่โฆษณากันทั่วไปที่มิใช่ยา 2 ชนิดนี้ ไม่เคยได้รับการพิสูจน์ว่าได้ผลจริง

Minoxidil มีคนบอกว่าเป็นยาลดความดัน, บางคนใช้ทา บางคนใช้กิน

Minoxidil เป็นยาที่เดิมผลิตขึ้นมาเพื่อใช้เป็นยาลดความดันเลือด แต่พบว่าผู้ป่วยความดันเลือดสูงที่กินยานี้ มีผลข้างเคียงอย่างหนึ่งคือ มีขนขึ้นตามที่ต่าง ๆ ของร่างกาย มากกว่าปกติ จึงมีการศึกษาเพื่อนำยานี้มาใช้รักษาผมร่วง

กลไกการออกฤทธิ์ของยาไม่ทราบแน่ชัด แต่พบว่าทำให้เส้นผมที่เล็กลง กลับคงตัวอยู่ได้ และมีอายุยืนยาวขึ้น ผลนี้จะอยู่ตราบเท่าที่ได้รับยา เมื่อหยุดยาผลนี้จะหายไป

ไม่แนะนำให้ใช้ยานี้มากินเพื่อรักษาผมร่วงเป็นอันขาด เนื่องจากมีผลข้างเคียงมาก ทำให้ความดันเลือดตก ยาที่นำมาใช้นั้น อยู่ในรูปของยาทาหนังศีรษะ ซึ่งไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ บางรายอาจมีหนังศีรษะแห้งได้ การรักษาในผู้ที่ผมบาง พบว่าจะเห็นผลเมื่อใช้ไปอย่างน้อย 3-6 เดือน และมีผู้ตอบสนองราว 1 ใน 3, ไม่เกินร้อยละ 40

Fenasteride ความหวังใหม่ของการรักษาผมร่วง

ที่เป็นข่าวโด่งดังมาก คือยา Fenasteride ตัวนี้เอง ถึงกับมีผู้แอบเอายาจากต่างประเทศมาขาย ทั้ง ๆ ที่เมืองไทยยังไม่มีขนาดยาที่ใช้รักษาผมร่วง เข้ามาจำหน่าย และยังไม่ผ่านการรับรองของ อย.

อันที่จริงแล้ว ยานี้มีขายในเมืองไทยนานแล้ว เดิมผลิตขึ้นมาเพื่อใช้รักษาภาวะต่อมลูกหมากโต ในผู้สูงอายุ โดยฤทธิ์ของยาจะต้านการออกฤทธิ์ของฮอร์โมนเพศชายได้ ทำให้ต่อมลูกหมากฝ่อลง

และฤทธิ์อันนี้เอง ที่นำมาใช้รักษาผมร่วงที่เกิดจาก Androgenetic alopecia โดยทำการศึกษาก็พบว่าได้ผลจริง โดยใช้ขนาดยาวันละ 1 มก. กินวันละครั้ง ซึ่งจะเห็นผลเมื่อใช้ไปอย่างน้อย 3-6 เดือนเช่นกัน ผลนี้จะอยู่ตราบเท่าที่ใช้ยา เมื่อหยุดใช้ยานี้ ผลจะหายไป มีผู้ตอบสนองต่อยานี้ราว 1 ใน 3 เช่นกัน

ผลข้างเคียงที่สำคัญของยานี้ ได้แก่ ภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ พบได้ราวร้อยละ 3 ของผู้ใช้ยา และหายไปได้เมื่อหยุดยา นอกจากนี้ยังห้ามใช้ยานี้ในผู้หญิง โดยเฉพาะผู้ที่ตั้งครรภ์ เนื่องจากอาจทำให้มีความผิดปกติของทารกในครรภ์ได้

จะเลือกใช้ยาอะไรดี และมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง

ถ้าจะใช้ยารักษาจริง ๆ แล้ว มีข้อควรคำนึงดังนี้

1. การรักษาจำเป็นต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์

2. อย่าคาดหวังว่าใช้ยาแล้ว จะกลับมาทำให้ผมดกดำได้อย่างเดิม ยาที่ใช้ ไม่ได้ทำให้ผมกลับมาขึ้นมากกว่าเดิมมากนัก และไม่กลับไปมีผมดกได้อย่างเดิม เพียงแต่ช่วยหยุดภาวะผมร่วงและอาจมีผมขึ้นใหม่ได้เล็กน้อย

3. การใช้ยา จะเห็นผลเมื่อเวลาผ่านไป 3-6 เดือนเป็นอย่างน้อย และต้องใช้ยาไปติดต่อกัน

4. มีผู้ที่ใช้เพียง 1 ใน 3 ที่ได้ผล อีก 2 ใน 3 ไม่ได้ผล

5. ในผู้ที่ใช้ยานี้แล้วได้ผลดี จำเป็นต้องใช้ติดต่อกันไปเรื่อย ๆ เพราะถ้าหยุดใช้ยา ผมจะร่วงเหมือนเดิม

6. ยาที่มีใช้ในปัจจุบัน ยังมีราคาแพง (ยา Minoxidil ราคาประมาณขวดละ 700-800 บาท ใช้ได้ 1/2 ถึง 1 เดือน ส่วนการใช้ Fenasteride เสียค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเดือนละ 1000-1800 บาท

5 เคล็ดลับ กินไขมันอย่างสุขภาพดี

ทำไมหลายคนจึงมองว่า ไขมันเป็นสิ่งเลวร้าย หรือคุณรู้จักไขมันกันน้อยเกินไป เพราะไขมันไม่เพียงเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายแล้วไขมันบางชนิดยังช่วย ลดความเสี่ยงของโรคและเสริมสุขภาพได้อีกด้วย วันนี้จึงมี 5 เคล็ดลับดีๆ เกี่ยวกับการกินไขมันมาฝากกัน

1. อยากกินของผัด ของทอดต้องเลือกน้ำมัน คงเป็นที่ยอมรับกันว่าอาหารผัด หรือทอดเป็นอาหารจานโปรดของใครหลายคน แต่ที่ต้องลดหรืองดนั้นก็เพราะห่วงเรื่องสุขภาพ ดังนั้นการเลือกน้ำมันที่ใช้ทอดจึงเป็นทางออกที่ดีสำหรับคนที่อดไม่ได้ ซึ่งเดี๋ยวนี้มีน้ำมันเมล็ดชาที่มีคุณสมบัติที่ดีคล้ายน้ำมันมะกอกแต่มีจุด เดือดสูงจึงสามารถนำมาผัด หรือทอดอาหารได้อย่างปลอดภัยไร้กังวล

2. พิถีพิถันกับประเภทไขมัน ไม่ใช่ปริมาณไขมัน คงต้องยอมรับว่าไขมันหรือน้ำมันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราจึงต้องเลือกชนิดของไขมันหรือน้ำมันที่ดีในการประกอบอาหาร ซึ่งน้ำมันที่ดีที่ควรรับประทาน ควรมีองค์ประกอบของกรดไขมันอิ่มตัวต่ำและไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวสูง ได้แก่ น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดชา น้ำมันคาโนลา เป็นต้น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงโรคร้ายต่างๆ ลดระดับคอเลสเทอรอลโดยไม่ลดเอชดีแอล ช่วยลดไตรกลีเซอร์ไรด์ได้

3. หลีกเลี่ยงการกินไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานซ์ ไขมันเหล่านี้มักพบใน เนยเทียม มาการีน กะทิ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม เนื้อสัตว์ติดมัน ฯลฯ ซึ่งเป็นไขมันที่ควรหลีกเลี่ยงเพราะนอกจากจะทำให้อ้วนแล้ว ยังทำให้ระดับคอเลสเทอรอลในเลือดสูง เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด และนำไปสู่โรคร้ายต่างๆ ตามมา

4. อย่าลดไขมันตามแบบแฟชั่นด้วยอาหารไขมันต่ำ เพราะอาหารไขมันต่ำไม่ได้แปรว่าแคลอรี่จะต่ำไปด้วย มีหลายผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าไขมันต่ำ แต่พบวามีน้ำตาล สารเพิ่มความเหนียว และสารปรุงแต่งอื่นๆ อีกมากมาย จึงทำให้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ให้พลังงานสูงกว่าอาหารไขมันตามธรรมชาติ ทางออกที่ดีลองหันมาทานอาหารแบบชาวเมดิเตอร์เรเนียนที่ใช้นำมันมะกอกปรุง อาหาร หรือชาวจีนที่ใช้น้ำมันเมล็ดชาปรุงอาหาร เพราะน้ำมัน 2 ชนิดนี้ ได้รับการยอมรับจากวงการโภชนาการว่ามีสัดส่วนของกรดไขมันชนิดต่างๆ ในปริมาณที่ส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค

5. ทดแทนไขมันหนักด้วย ไขมันน้ำ เนย ครีม ไขมันสัตว์ เป็นไขมันหนักที่ทานแล้วจะทำให้มีแนวโน้มเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน โรคอ้วน และภาวะคอเลสเทอรรอลสูง ดังนั้นจึงควรทดแทนไขมันหนักเหล่านี้ด้วยการใช้ไขมันน้ำแทน เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดชา เป็นต้น เพื่อให้ร่างกายได้รับไขมันเพียงพอในแต่ละวัน

ผิวสวย สุขภาพดี ด้วยน้ำมันเมล็ดชา

สมัยนี้ความสวยเพียงอย่าง เดียวคงไม่พอ ต้องสุขภาพดีด้วยจึงจะสมบูรณ์แบบ เพียงแต่อยู่ที่เราจะเลือกเป็นแบบไหน มีข้อแนะนำดีๆ จากการใช้น้ำมันที่หลายคนคงไม่รู้ว่าน้ำมันก็มีประโยชน์ช่วยให้ผิวสวย สุขภาพดีได้เช่นกัน ยิ่งเอ่ยชื่อว่า “น้ำมันเมล็ดชา” ยิ่งไม่รู้จักและไม่คุ้นหู แต่ด้วยคุณประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพและผิวพรรณ สามารถใช้ได้ทั้งกินและทา จึงได้รับความนิยมในชาวหูหนานของจีนมากว่า 1,000 ปี

“น้ำมันเมล็ดชา” สกัดจากเมล็ดของต้นชาคามิลเลีย โอลิเฟรา (Camellia Oleifera) มีถิ่นกำเนิดทางตอนเหนือของจีน สมัยก่อนชาวจีนถือว่าน้ำมันเมล็ดชาเป็นยาอายุวัฒนะ ที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพและความกระปรี้กระเปร่า โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ และมีการบันทึกด้านสุขภาพไว้ว่าช่วยลดคอเลสเทอรอล ช่วยบำรุงหัวใจ ช่วยทำความสะอาดลำไส้ ฯลฯ

มาถึงปัจจุบันมีการวิจัยพบว่า “น้ำมันเมล็ดชา” มีคุณสมบัติที่ดี มีคุณค่าทางโภชนาการสูงใกล้เคียงเทียบได้กับน้ำมันมะกอก มียกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่จำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้ ได้แก่ โอเมก้า 3 ,6 ,9 สูงถึง 88% ไม่มีกรดไขมันทรานซ์ จึงมีคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ หลอดเลือด มะเร็ง และเบาหวาน ทั้งยังเหมาะกับผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ และผู้ที่มีปัญหาน้ำหนักเกิน สามารถนำไปประกอบอาหารได้ทั้งผัด ทอด หมักเนื้อ ทำน้ำสลัด ฯลฯ

คนจีน สมัยโบราณยังใช้น้ำมันเมล็ดชาถนอมผิวทั้งหน้า ตัว และเส้นผม เราจึงเห็นสาวจีนมีผิวดี แก้มงามราวลูกพีช ผมดำขลับ เล็บโค้งเงางามจนหลายคนแอบอิจฉา เพราะน้ำมันเมล็ดชามีกรดประเภท Oleic acid, Palmitic acid, Linoleic และ Stearic acid มีวิตามินเอ บี ดี อี และแร่ธาตุที่เป็นสารประกอบหลักทำให้ผิวสวย อ่อนนุ่ม ชุ่มชื้น ทั้งยังช่วยบำรุงเส้นผม จึงได้รับความนิยมในการนำไปเป็นส่วนผสมสำคัญในเครื่องสำอางค์ เช่น โลชั่น แชมพู ครีมนวด เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเสียงบอกเล่าว่าเครื่องสำอางค์ที่มีส่วนผสมของน้ำมันเมล็ดชา ช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่น และช่วยให้ผมที่เคยร่วงกลับงอกงามใหม่ได้อีกด้วย

น.ส.ปาริชาติ กันทะวงค์ เลขที่10 มฟาร์อีสเทอร์น

ผมร่วง ผมบาง เกิดจากอะไร ?

ผมร่วง (Alopecia) เป็นปัญหาที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะชายชาวตะวันตก เกือบทุกคนจะผมบางเมื่ออายุมากขึ้น นำมาซึ่งการขาดความมั่นใจ และต้องการการรักษา บ่อยครั้งที่เราจะเห็นโฆษณาการรักษาศีรษะล้าน หรือผมร่วงอยู่มากมาย สาเหตุของผมร่วง ศีรษะล้าน ที่เป็นเรื้อรัง กว่าร้อยละ 80 อยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า Androgenetic alopecia คือเกิดจากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศชาย (Androgen) และพันธุกรรม (Genetic) ร่วมกัน พบว่าผู้ที่มีศีรษะล้านชนิดนี้ จะสังเกตมีผมร่วงเรื้อรัง ผมจะบางลงทางด้านหน้า บริเวณใกล้ขมับ เข้าไป และต่อมาจะเริ่มบางลง บางรายอาจมีบริเวณกลางศีรษะบางร่วมด้วย ลักษณะนี้จะพบในเพศชาย ส่วนเพศหญิงมักมีแต่ผมบางทั่ว ๆ ไปหรือกลางศีรษะเท่านั้น ไม่มีผมบางบริเวณด้านหน้า

เชื่อว่า ฮอร์โมนเพศชายอาจเป็นส่วนสำคัญในภาวะนี้ เนื่องจากพบในผู้ชายได้บ่อยกว่าหญิงมาก โดยเฉพาะชายชาวตะวันตก กว่าร้อยละ 80 จะมีผมบางแบบนี้เมื่ออายุมากขึ้น นอกจากนี้มักมีประวัติ ผมบางในพ่อ-แม่ หรือปู่ย่าตายาย

สาเหตุอื่นของผมร่วง พบได้น้อยเช่น ผมร่วงเป็นหย่อม ซึ่งมักขึ้นได้เอง, ผมร่วงที่เกิดภายหลังคลอด หรือเจ็บป่วยหนัก, ผมร่วงที่เกิดจากการได้รับยาเคมีบำบัดหรือฉายแสง, ผมร่วงที่พบในผู้ป่วย เอส แอล อี เป็นต้น ซึ่งต้องการการรักษาตามแต่สาเหตุ

ยารักษาผมร่วง ผมบาง

ในปัจจุบัน ยาที่ใช้รักษาผมร่วงหรือผมบางที่เกิดจาก androgenetic alopecia ที่มีการศึกษาและได้ผลจริง และเป็นที่ยอมรับทางการแพทย์ มีเพียง 2 ชนิด ได้แก่ยา Minoxidil และยา Fenasteride ส่วนยาอื่น, สมุนไพร, ยาที่โฆษณากันทั่วไปที่มิใช่ยา 2 ชนิดนี้ ไม่เคยได้รับการพิสูจน์ว่าได้ผลจริง

Minoxidil มีคนบอกว่าเป็นยาลดความดัน, บางคนใช้ทา บางคนใช้กิน

Minoxidil เป็นยาที่เดิมผลิตขึ้นมาเพื่อใช้เป็นยาลดความดันเลือด แต่พบว่าผู้ป่วยความดันเลือดสูงที่กินยานี้ มีผลข้างเคียงอย่างหนึ่งคือ มีขนขึ้นตามที่ต่าง ๆ ของร่างกาย มากกว่าปกติ จึงมีการศึกษาเพื่อนำยานี้มาใช้รักษาผมร่วง

กลไกการออกฤทธิ์ของยาไม่ทราบแน่ชัด แต่พบว่าทำให้เส้นผมที่เล็กลง กลับคงตัวอยู่ได้ และมีอายุยืนยาวขึ้น ผลนี้จะอยู่ตราบเท่าที่ได้รับยา เมื่อหยุดยาผลนี้จะหายไป

ไม่แนะนำให้ใช้ยานี้มากินเพื่อรักษาผมร่วงเป็นอันขาด เนื่องจากมีผลข้างเคียงมาก ทำให้ความดันเลือดตก ยาที่นำมาใช้นั้น อยู่ในรูปของยาทาหนังศีรษะ ซึ่งไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ บางรายอาจมีหนังศีรษะแห้งได้ การรักษาในผู้ที่ผมบาง พบว่าจะเห็นผลเมื่อใช้ไปอย่างน้อย 3-6 เดือน และมีผู้ตอบสนองราว 1 ใน 3, ไม่เกินร้อยละ 40

Fenasteride ความหวังใหม่ของการรักษาผมร่วง

ที่เป็นข่าวโด่งดังมาก คือยา Fenasteride ตัวนี้เอง ถึงกับมีผู้แอบเอายาจากต่างประเทศมาขาย ทั้ง ๆ ที่เมืองไทยยังไม่มีขนาดยาที่ใช้รักษาผมร่วง เข้ามาจำหน่าย และยังไม่ผ่านการรับรองของ อย.

อันที่จริงแล้ว ยานี้มีขายในเมืองไทยนานแล้ว เดิมผลิตขึ้นมาเพื่อใช้รักษาภาวะต่อมลูกหมากโต ในผู้สูงอายุ โดยฤทธิ์ของยาจะต้านการออกฤทธิ์ของฮอร์โมนเพศชายได้ ทำให้ต่อมลูกหมากฝ่อลง

และฤทธิ์อันนี้เอง ที่นำมาใช้รักษาผมร่วงที่เกิดจาก Androgenetic alopecia โดยทำการศึกษาก็พบว่าได้ผลจริง โดยใช้ขนาดยาวันละ 1 มก. กินวันละครั้ง ซึ่งจะเห็นผลเมื่อใช้ไปอย่างน้อย 3-6 เดือนเช่นกัน ผลนี้จะอยู่ตราบเท่าที่ใช้ยา เมื่อหยุดใช้ยานี้ ผลจะหายไป มีผู้ตอบสนองต่อยานี้ราว 1 ใน 3 เช่นกัน

ผลข้างเคียงที่สำคัญของยานี้ ได้แก่ ภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ พบได้ราวร้อยละ 3 ของผู้ใช้ยา และหายไปได้เมื่อหยุดยา นอกจากนี้ยังห้ามใช้ยานี้ในผู้หญิง โดยเฉพาะผู้ที่ตั้งครรภ์ เนื่องจากอาจทำให้มีความผิดปกติของทารกในครรภ์ได้

จะเลือกใช้ยาอะไรดี และมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง

ถ้าจะใช้ยารักษาจริง ๆ แล้ว มีข้อควรคำนึงดังนี้

1. การรักษาจำเป็นต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์

2. อย่าคาดหวังว่าใช้ยาแล้ว จะกลับมาทำให้ผมดกดำได้อย่างเดิม ยาที่ใช้ ไม่ได้ทำให้ผมกลับมาขึ้นมากกว่าเดิมมากนัก และไม่กลับไปมีผมดกได้อย่างเดิม เพียงแต่ช่วยหยุดภาวะผมร่วงและอาจมีผมขึ้นใหม่ได้เล็กน้อย

3. การใช้ยา จะเห็นผลเมื่อเวลาผ่านไป 3-6 เดือนเป็นอย่างน้อย และต้องใช้ยาไปติดต่อกัน

4. มีผู้ที่ใช้เพียง 1 ใน 3 ที่ได้ผล อีก 2 ใน 3 ไม่ได้ผล

5. ในผู้ที่ใช้ยานี้แล้วได้ผลดี จำเป็นต้องใช้ติดต่อกันไปเรื่อย ๆ เพราะถ้าหยุดใช้ยา ผมจะร่วงเหมือนเดิม

6. ยาที่มีใช้ในปัจจุบัน ยังมีราคาแพง (ยา Minoxidil ราคาประมาณขวดละ 700-800 บาท ใช้ได้ 1/2 ถึง 1 เดือน ส่วนการใช้ Fenasteride เสียค่าใช้จ่ายเฉลี่ยเดือนละ 1000-1800 บาท

คนเราจะมีสุขภาพดี ต้องประกอบด้วย 5 อ. คือ อาหาร อากาศ อารมณ์ อุจจาระ และออกกำลังกาย ซึ่งสามารถแยกแยะได้ ดังนี้

สุขภาพดี

อาหาร ควรเป็นอาหารที่เหมาะสมกับร่างกาย กินแล้วให้ประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่มีโทษหรือพิษภัย หรือมีผลข้างเคียงให้เกิดโรคภัยภายหลัง

อากาศ ที่ใช้หายใจเข้าออก ต้องเป็นอากาศที่บริสุทธิ์ ปราศจากมลพิษใดๆ เพราะหัวใจของคนต้องการอากาศเข้าไป เพื่อสูบฉีดโลหิตไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ให้ทำงานตลอดเวลา อากาศบริสุทธิ์ทำให้รู้สึกสดชื่น มีความสุข

อารมณ์ ผู้ที่มีอารมณ์แจ่มใส ร่าเริง จะมีความสุขกว่าคนที่มีอารมณ์ขุ่นมัว หงุดหงิด ฉุนเฉียว นอกจากนั้นแล้วยังมีผลต่อระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายอีกด้วย

อุจจาระ คือ กากอาหาร หรือของเสียที่ร่างกายย่อยแล้ว นำส่วนที่ดีไปใช้ หลังจากนั้นก็จะขับถ่ายออกมา หากตกค้างอยู่ในร่างกายนานเกินไป จะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ คนที่มีระบบขับถ่ายที่ดี จะมีหน้าตาสดใส มีน้ำมีนวล ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่ค่อยขับถ่าย หรือที่เรียกว่า ท้องผูก

ออกกำลังกาย เป็นการบริหารอวัยวะทั้งภายในและภายนอก ทำให้ได้รับการเคลื่อนไหว ช่วยให้เกิดการเสริมสร้างส่วนที่ขาด หรือลดส่วนที่เกิน ช่วยในการทำงานของหัวใจ ปอด ฯลฯ คนที่ไม่ออกกำลังกายจะเป็นคนอ่อนแอ ขาดภูมิต้านทาน เจ็บป่วย เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย

ทีนี้มา พูดกันถึงเรื่องอาหารที่เรากินอยู่ทุกวัน อาหารอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะในโลกนี้มีอาหารมากมาย หลากหลายชนิด เรากินเข้าไปอาจมีประโยชน์ หรือไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายก็ได้ อาหารบางอย่างนอกจากไม่มีประโยชน์แล้ว ยังมีโทษต่อร่างกายด้วยซ้ำไป มีคำกล่าวไว้ว่า “การกินอาหารที่ดี ให้ประโยชน์ต่อร่างกายนั้น ต้องกินให้ครบ 5 หมู่”

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

กินอย่างไรไม่กระทบต่อระบบย่อยอาหาร !!!

สงสัยไหมว่าทำไมบางคนถึงท้องอืด ท้องเฟ้อบ่อย ทำไมบางคนถึงปวดท้องบ่อย หรือชอบมีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารบ่อยๆ แต่ทำไมบางคนจึงไม่เป็น?

เรื่องนี้ บอกได้เลยว่าพฤติกรรมการกินอาหารเป็นส่วนสำคัญของสาเหตุที่ว่ามานี้ อย่างเช่น คนที่ชอบท้องอืดท้องเฟ้อ อาจเป็นเพราะกินอาหารมากไป หรือเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด ทำให้น้ำย่อยที่มีอยู่ไม่พอที่จะย่อยอาหารได้หมด สิ่งที่ควรทำคือ ลดปริมาณอาหารแต่ละมื้อลงหรือเปลี่ยนมากินให้บ่อยขึ้น รวมทั้งเคี้ยวให้ละเอียดมากขึ้นด้วย และการกินอาหารประเภททอดที่มีน้ำมันมากๆ ก็จะทำให้กระเพาะทำงานช้าลง และทำให้ความเป็นกรดด่างในน้ำย่อยเปลี่ยนไป ทำให้เกิดอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้ด้วย

การดื่มชากาแฟก็มีส่วนทำให้เกิดอาการปวดท้องได้เช่นกัน เพราะคาเฟอีนจะกระตุ้นให้เกิดกรดในกระเพาะอาหาร ส่วนการสูบบุหรี่จัดจะส่งผลให้กระเพาะบีบตัวไม่ดี หูรูดของกระเพาะปิดเปิดได้ไม่ดี ทำให้กรดในกระเพาะล้นขึ้นมาบริเวณหลอดอาหาร ทำให้รู้สึกแสบร้อนบริเวณหน้าอกได้ และการดื่มน้ำน้อยไป หรือกินอาหารที่ไม่ค่อยมีกากใยก็จะทำให้ท้องผูกด้วย

ปรับพฤติกรรมการกินเสียใหม่ดีกว่า เพื่อไม่ให้ระบบย่อยอาหารของคุณมีปัญหาอีกต่อไป

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)เลขที่ 33

นอนป้องกันโรคหวัดได้ ต้องนอนให้หลับเต็มอิ่มให้ได้ทุกคืน

นักวิจัยมหาวิทยาลัยคาร์เนกี้ เมลลอน ที่นครพิตสเบิร์ก พบในการศึกษาวิจัยว่า หวัดป้องกันได้ง่ายๆ แค่ เพียงตบเขย่าหมอน และถอดปลอกออกเปลี่ยนบ่อยๆ หรือไม่ก็นอนหลับให้เต็มอิ่มเท่านั้น

หัวหน้าคณะผู้ทำการศึกษา อาจารย์เชลดอน โคเฮน เปิดเผยผลการศึกษาว่า "ผู้ที่นอนหลับเป็นเวลานาน ยิ่งติดหวัดยากเท่านั้น ผู้ที่นอนน้อยคืนละไม่ถึง 7 ชม. ในแต่ละอาทิตย์ หากได้รับเชื้อจะเป็นหวัดง่ายกว่าคนที่นอนนานคืนละ 8 ชม.กว่ากันถึง 3 เท่า"

ก่อนหน้านี้เคยมีการศึกษาส่อให้รู้ว่า การนอนช่วยทะนุ บำรุงระบบภูมิคุ้มกันในระดับเซลล์ให้เข้มแข็ง ในการศึกษาใหม่นี้ ได้แสดงให้เห็นว่า การนอนน้อย ทำให้เป็นหวัดกันง่ายเป็นครั้งแรก

เขากล่าวว่า อาการคัดจมูกและเจ็บคอเป็นอาการที่ร่างกายต่อสู้กับเชื้อไวรัส มากกว่าเกิดจากตัวไวรัสเอง ผู้ที่มีระดับโปรตีนไซโทไคนส์ อันเป็นโปรตีนต่อต้านเชื้อโรคพอดี จะรู้สึกไม่เป็นอะไร แต่ถ้าหากร่างกายผลิตมันขึ้นมาจนล้น ก็จะทำให้ไม่สบาย การนอนจะช่วยแต่งแก้ภูมิคุ้มกันของร่างกายให้พอเหมาะพอดี ควบคุมอาการตอบโต้โรคได้อย่างเต็มที่

แต่ ดร.แดเนียล บายสส์ นักวิจัยปัญหาเรื่องการนอน มหาวิทยาลัยพิตสเบิร์ก ก็เตือนว่า การนอนบนเตียงมากเกินไปก็ไม่ดีอาจทำให้การนอนชะงัก ซึ่งในการศึกษาพบว่า "ดูท่า จะยิ่งร้ายกว่านอนน้อย เพราะยิ่งทำให้เป็นหวัดได้ง่ายขึ้น"

พริกป่น เสี่ยงต่อสารอะฟลาท็อกซิน ไม่แพ้ ถั่วลิสง

รู้หรือไม่ ถ้าเราเก็บรักษา "พริกป่น" ไม่ดีโดยปล่อยให้มีความชื้น จะส่งผลให้เกิดสารอันตราย "อะฟลาท็อกซิน" ได้ไม่แพ้ "ถั่วลิสง" แล้วพริกป่นสำเร็จรูปที่เราทานกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันล่ะ จะปลอยภัยต่อสุขภาพแค่ไหนกัน

เกิดเป็นไทยกินอาหารอะไรก็ต้องแซ่บไว้ก่อน "พริก" จึงกลายเป็นเครื่องเทศชนิดหนึ่งที่คนไทยขาดแทบไม่ได้ แถมยังเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ สามารถพัฒนาในระดับอุตสาหกรรมเพื่อผลิตสินค้าหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น ยา ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ ยาฆ่าแมลง ส่วนผสมของสายเคเบิ้ล หรือผลิตภัณฑ์แก้ง่วง

พริกป่น เป็นผลิตภัณฑ์หนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมไม่แพ้กัน แต่พริกป่นนั้น จำเป็นต้องเก็บไว้ในที่แห้งสนิท เพราะเกิดเชื้อรา ง่าย เมื่อเกิดเชื้อราขึ้นแต่เราบริโภคเข้าไป ก็จะได้รับสารอะฟลาท็อกซิน เป็นของแถม จากข้อมูลที่ผ่านมาพบว่า พริกป่นเป็นอาหารที่เสี่ยงต่อการเกินสารอะฟลาท็อกซินได้ง่าย ไม่แพ้ถั่วลิสง ยิ่งในปัจจุบันประเทศไทยนำเข้าพริกป่นจากต่างประเทศมากขึ้น ความเสี่ยงจึงมีมากขึ้นตามไปด้วย เพราะผู้บริโภคขาดข้อมูลแหล่งผลิตสินค้า

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเฝ้าระวัง เราจึงเก็บตัวอย่าง "พริกป่น" ที่บรรจุในซองสำเร็จรูป 2 ยี่ห้อยอดนิยม ได้แก่ "ไร่ทิพย์" และ "ข้าวทอง" พร้อมด้วยพริกป่นบรรจุซองขายในห้างอีก 5 ยี่ห้อ ได้แก่ ตราเจเจ ตราบางช้าง ตรามือที่ 1 ตรานักรบและตราศาลาแม่บ้าน รวมทั้งพริกป่นแบบแบ่งขายใตตลาดสด จากนั้นไปนำส่งห้องทดสอบ สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อตรวจหาสารอะฟลาท็อกซิน

ผลการทดสอบ

พบการปนเปื้อนสารอะฟลาท็อกซิน ในพริกป่นเกือบทุกตัวอย่าง แต่ปนเปื้อนในปริมาณไม่มากจนน่าห่วง คือ พบน้อยกว่าที่ อย.กำหนดไว้ที่ไม่เกิน 20 ไมโครกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม ทั้งนี้ ตามปกติแล้วเรามักไม่บริโภคพริกป่นในปริมาณมาก เพียงแค่เติมเพื่อชูรสชาติเท่านั้น จึงไม่น่ากังวลต่อการบริโภค

อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรประมาท ทางที่ดีที่สุดจึงเป็นการเลือกพริกแห้งมาคั่วพริกป่นทานเอง หากซื้อจากแม่ค้า ก็ควรเลือกซื้อจากเจ้าที่เชื่อถือได้และหมุนเวียนสินค้าไว

คำแนะนำ

1.ควรเก็บพริกป่นในที่แห้งสนิทและใช้ช้อนกลางตักเสมอ

2.ไม่ควรซื้อพริกป่นในปริมาณมาก เพื่อเก็บไว้ทานนานๆ

3.พริกป่นที่ทำเอง จะสะอาดและเผ็ดกว่าที่ทำขาย เราสามารถทำเองได้ง่ายๆ โดยการนำพริกสดไปตากแห้งแล้วคั่วจนหอม จากนั้นให้นำใส่เครื่องปั่นหรือโขลกให้แหลก

4.ควรเลือกซื้อพริกป่นจากแหล่งผลิตที่ได้มาตรฐาน ตรวจสอบวันผลิตทุกครั้ง

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์) 006 เลขที่ 30

พริกป่น เสี่ยงต่อสารอะฟลาท็อกซิน ไม่แพ้ ถั่วลิสง

รู้หรือไม่ ถ้าเราเก็บรักษา "พริกป่น" ไม่ดีโดยปล่อยให้มีความชื้น จะส่งผลให้เกิดสารอันตราย "อะฟลาท็อกซิน" ได้ไม่แพ้ "ถั่วลิสง" แล้วพริกป่นสำเร็จรูปที่เราทานกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันล่ะ จะปลอยภัยต่อสุขภาพแค่ไหนกัน

เกิดเป็นไทยกินอาหารอะไรก็ต้องแซ่บไว้ก่อน "พริก" จึงกลายเป็นเครื่องเทศชนิดหนึ่งที่คนไทยขาดแทบไม่ได้ แถมยังเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ สามารถพัฒนาในระดับอุตสาหกรรมเพื่อผลิตสินค้าหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น ยา ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ ยาฆ่าแมลง ส่วนผสมของสายเคเบิ้ล หรือผลิตภัณฑ์แก้ง่วง

พริกป่น เป็นผลิตภัณฑ์หนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมไม่แพ้กัน แต่พริกป่นนั้น จำเป็นต้องเก็บไว้ในที่แห้งสนิท เพราะเกิดเชื้อรา ง่าย เมื่อเกิดเชื้อราขึ้นแต่เราบริโภคเข้าไป ก็จะได้รับสารอะฟลาท็อกซิน เป็นของแถม จากข้อมูลที่ผ่านมาพบว่า พริกป่นเป็นอาหารที่เสี่ยงต่อการเกินสารอะฟลาท็อกซินได้ง่าย ไม่แพ้ถั่วลิสง ยิ่งในปัจจุบันประเทศไทยนำเข้าพริกป่นจากต่างประเทศมากขึ้น ความเสี่ยงจึงมีมากขึ้นตามไปด้วย เพราะผู้บริโภคขาดข้อมูลแหล่งผลิตสินค้า

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเฝ้าระวัง เราจึงเก็บตัวอย่าง "พริกป่น" ที่บรรจุในซองสำเร็จรูป 2 ยี่ห้อยอดนิยม ได้แก่ "ไร่ทิพย์" และ "ข้าวทอง" พร้อมด้วยพริกป่นบรรจุซองขายในห้างอีก 5 ยี่ห้อ ได้แก่ ตราเจเจ ตราบางช้าง ตรามือที่ 1 ตรานักรบและตราศาลาแม่บ้าน รวมทั้งพริกป่นแบบแบ่งขายใตตลาดสด จากนั้นไปนำส่งห้องทดสอบ สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อตรวจหาสารอะฟลาท็อกซิน

ผลการทดสอบ

พบการปนเปื้อนสารอะฟลาท็อกซิน ในพริกป่นเกือบทุกตัวอย่าง แต่ปนเปื้อนในปริมาณไม่มากจนน่าห่วง คือ พบน้อยกว่าที่ อย.กำหนดไว้ที่ไม่เกิน 20 ไมโครกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม ทั้งนี้ ตามปกติแล้วเรามักไม่บริโภคพริกป่นในปริมาณมาก เพียงแค่เติมเพื่อชูรสชาติเท่านั้น จึงไม่น่ากังวลต่อการบริโภค

อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรประมาท ทางที่ดีที่สุดจึงเป็นการเลือกพริกแห้งมาคั่วพริกป่นทานเอง หากซื้อจากแม่ค้า ก็ควรเลือกซื้อจากเจ้าที่เชื่อถือได้และหมุนเวียนสินค้าไว

คำแนะนำ

1.ควรเก็บพริกป่นในที่แห้งสนิทและใช้ช้อนกลางตักเสมอ

2.ไม่ควรซื้อพริกป่นในปริมาณมาก เพื่อเก็บไว้ทานนานๆ

3.พริกป่นที่ทำเอง จะสะอาดและเผ็ดกว่าที่ทำขาย เราสามารถทำเองได้ง่ายๆ โดยการนำพริกสดไปตากแห้งแล้วคั่วจนหอม จากนั้นให้นำใส่เครื่องปั่นหรือโขลกให้แหลก

4.ควรเลือกซื้อพริกป่นจากแหล่งผลิตที่ได้มาตรฐาน ตรวจสอบวันผลิตทุกครั้ง

สูบบุหรี่มือสอง

คุณไม่สูบุหรี่แต่คุณก็มีสิทธิ์เป็นโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่หากคุณอยู่ใน สิ่งแวดล้อมที่คนสูบบุหรี่เราเรียกคนที่ได้รับบุหร ี่โดยที่ไม่ได้สูบว่า"สูบบุหรี่มือสอง" ที่มาของควันบุหรี่มาได้ 2 ทางคือ

* ควันที่เกิดจากการเผาบุหรี่หรือซิการ์

* ควันซึ่งเกิดจากหายใจออกของผุ้ที่สูบบุหรี่

เมื่อควันบุหรี่ถูกสูบเข้าไปและถูกหายใจออกมา ควันที่ออกมายังมีสารก่อมะเร็งเท่ากับควันที่ก่อนจะถูกสูด แทบไม่น่าเชื่อควันบุหรี่ที่เห็นเป็นควันสีขาวจะมีสารเคมีอยู่ 4000 ชนิดในจำนวนนี้กว่า 60 ชนิดเป็นสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง ผู้ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่สูบบุหรี่มากและได้ควันบุหรี่มาก จะมีโอกาสเกิดโรคมากด้วย การสูบบุหรี่นั้นนอกจากจะมีผลต่อผู้สูบโดยตรงแล้วยังทำให้ผู้อื่นในบรรยากาศ ของควันบุหรี่สูดเอาพิษจากควันบุหรี่เข้าไปด้วย ทำให้เกิดอันตรายเช่นเดียวกับผู้สูบบุหรี่ ซึ่งผลกระทบของบุหรี่ที่มีต่อคนข้างเคียงพอสรุปได้ดังนี้fd

1. เด็ก การสูบบุหรี่ของคนในครอบครัวทำให้เด็กป่วยด้วยโรคหลอดลมอักเสบ ปอดบวม หอบหืด หูชั้นกลางอักเสบเพิ่มขึ้น และมีสมรรถภาพปอดแย่กว่าเด็กที่พ่อแม่ไม่สูบบุหรี่

2. หญิงมีครรภ์ หญิงมีครรภ์สูบบุหรี่จะทำให้น้ำหนักตัวขณะตั้งครรภ์เพิ่มน้อยกว่าปกติ และมีโอกาสแท้ง คลอดก่อนกำหนด ตกเลือดระหว่างคลอดและหลังคลอดมากเป็น2เท่าของหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่สูบบุหรี่ นอกจากนั้นยังเกิดภาวะรกเกาะต่ำและรกรอกตัวก่อนกำหนดมากขึ้นลูกที่คลอดจาก แม่ที่สูบบุหร ี่อาจจะมีน้ำหนักและความยาวน้อยกว่าปกติ พัฒนาการทางสมองช้ากว่าปกติ อาจจะมีความผิดปกติทางระบบประสาท ระบบความจำ

3. คู่สมรสของผู้สูบบุหรี่ มีโอกาสเป็นมะเร็งปอดมากกว่าคู่สมรสที่ไม่สูบบุหรี่ 2 เท่า มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ 3 เท่า และเสียชีวิตเร็วกว่าปกติถึง 4 ปี

4. คนทั่วไป คนทั่วไปที่ต้องอยู่ในบรรยากาศที่ผู้อื่นสูบบุหรี่ ควันบุหรี่จะทำให้เคืองตา ปวดศีรษะ คัดจมูก น้ำมูกไหล โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการหอบหืด โรคหัวใจ โรคหลอดลมอักเสบ ก็จะทำให้อาการของโรคเพิ่มมากขึ้น

5. สูบบุหรี่มือสองทำให้เกิดมะเร็งปอด

6. การแยกที่สำหรับผู้สูบบุหรี่และไม่สูบบุหรี่สามารถลดปริมาณควันได้แต่ก็ได้รับควัน

7. การที่เด็กที่เสียชีวิตในขวบปีแรกก็มีความสัมพันธ์กับการสูบบุหรี่ของพ่อแม่

8. สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่นหอบหืด หลอดลมอักเสบหากได้ควันบุหรี่ก็อาจจะทำให้อาการกำเริบ

วิธีป้องกันสูบบุหรี่มือสองที่บ้าน

* ให้สมาชิกที่สูบบุหรี่ให้ไปสูบบุหรี่นอกบ้านโดยปรึกษากันถึงผลเสียที่จะเกิดกับเด็ก

* ถ้าผู้สูบไม่ยอมออกนอกบ้านให้หาห้องที่ถ่ายเทอากาศดีให้เขาสูบ

* ให้เปิดหน้าต่างเพื่อให้อากาศถ่ายเท

* สนับสนุนให้เลิกบุหรี่

* ถ้าแขกที่มาเยี่ยมสูบบุหรี่บอกเขาว่าบ้านนี้ปลอดบุหรี่ และอย่ามีจานเขี่ยบุหรี่ไว้ในบ้าน

วิธีป้องกันสูบบุหรี่มือสองที่ทำงาน

* ให้นายจ้างประกาศนโยบายสถานที่ปลอดบุหรี่

* ให้จัดที่ทำงานสำหรับผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ และให้ห่างไกลจากผู้ที่สูบบุหรี่

* บอกผู้ที่สูบบุหรี่ให้ไปสูบไกลๆคุณ

* ใช้พัดลมหรือเปิดหน้าต่างเพื่อให้อากาศถ่ายเท

* ติดป้าย"ขอบคุณที่กรุณาไม่สูบบุหรี่"ไว้ที่ทำงาน

วิธีป้องกันสูบบุหรี่มือสองในที่สาธารณะ

* เลือกสถานที่ปลอดบุหรี่ เช่นโรงแรม ร้านอาหาร หรือรถเช่าที่ปลอดบุหรี่

* หากมีผู้ที่สูบบุหรี่ในสถานที่ห้ามสูบให้แจ้งเจ้าหน้าให้จัดการ

* ไม่พาเด็กไปในที่ๆมีการสูบบุหรี่

ข้อสังเกตอาการต้อกระจก

ต้อกระจกเป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไปในผู้สูงอายุ และอาจพบบ้างในวัยอื่นๆ ต้อกระจกเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของโปรตีนภายในเลนส์ตา และหากเกิดร่วมกับบางโรคอาจทำให้เลนส์ขุ่นขึ้นได้เร็วกว่าปกติ เช่น เบาหวาน เป็นต้น ซึ่งในระยะแรกผู้ป่วยมักไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้ แต่ก็มีอาการที่พอสังเกตได้ดังนี้

1. ตามัวลง เห็นภาพพร่ามัวหรือเลือนลาง เนื่องจากเลนส์เป็นฝ้าขุ่นจนสายตาไม่สามารถโฟกัสได้โดยมากจะค่อยๆมัวลงทีละ น้อย นอกจากอุบัติเหตุหรือโรคบางชนิด อาจมัวได้อย่างรวดเร็ว

2. ต้องเปลี่ยนแว่นบ่อย เพราะสายตาสั้นมากขึ้น คือการมองไกลจะไม่ค่อยชัด และการมองระยะใกล้จะชัดเจนกว่า พบในต้อกระจกบางชนิด

3. มีปัญหาการมองเห็น โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในที่แสงจ้า หรือการมองดวงไฟในเวลากลางคืน

4. ตาข้างหนึ่งอาจเห็นภาพซ้อน ซึ่งเกิดจากแสงที่กระทบเรตินากระจายออกหลายจุด

5. มองเห็นสีต่างๆ เปลี่ยนไปจากเดิม โดยเฉพาะสีเหลือง

6. ปวดตาและมีต้อหินแทรก อาการนี้อันตรายมากค่ะ เพราะสายตาจะมัวไปเรื่อยๆ และแก้ไขให้มองเห็นใหม่ได้ยากหรือบางครั้งไม่ได้เลย

ถ้าเริ่มมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นกับตาของคุณ ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์ใกล้บ้าน และหากคุณมีอายุมากกว่า 60 ปี อย่าลืมตรวจตาเป็นประจำทุกๆ ปี

อาหารสุขภาพที่คุณควรระวัง

ถึงฉลากจะบอกว่าดีสำหรับคุณ แต่ข้อความที่ติดอยู่ข้างบรรจุภัณฑ์ก็ไม่จำเป็นต้องหมายความอย่างนั้นเสมอไป อย่าลืมว่าแผนการตลาด ‘ไขมันต่ำ’ และ ‘คุณค่าทางอาหารสูง’ อาจจะทำให้คุณเขวเหมือนกับหลายคนที่หลงกลกับเรื่องง่ายๆ เพราะฉะนั้น สิ่งที่คุณควรทำทุกครั้งก่อนเลือกซื้ออาหารสุขภาพคือ คำนวณคุณประโยชน์จริงๆ มากกว่าเชื่อในหน้าตาอาหารที่เห็นหรือเฉพาะข้อความโฆษณา และต่อไปนี้คือ 5 รายการอาหารสุขภาพที่คุณควรจะหันมาพิจารณา

ทุกครั้งก่อนที่จะเลือกซื้อหรือรับประทาน

* โยเกิร์ตผสมเนื้อผลไม้ : ในด้านหนึ่ง ดูยังไงโยเกิร์ตและผลไม้ก็เป็นอาหารที่มuประโยชน์ ในมุมมอง

ของผู้ชายที่เข้าฟิตเนสและรักสุขภาพร่างกาย แต่ในอีกด้านหนึ่ง น้ำเชื่อมที่อยู่ในโยเกิร์ต ผสมเนื้อผลไม้นั้นไม่ใช่

ทั้งโยเกิร์ตและผลไม้ล้วนมีความหวานในตัวอยู่แล้ว น้ำเชื่อมเป็นความหวานเกินพอดีจากน้ำตาลที่เพิ่มเข้าไป คุณจึงควรเลือกที่จะหลีกเลี่ยงความหวานเกินจำเป็นที่ว่า ด้วยการกินโยเกิร์ตควบคุมน้ำตาล หรือมีน้ำตาลต่ำกว่าโยเกิร์ตที่กินเป็นประจำ

* แคลิฟอร์เนีย โรล : ภาพที่เห็นคือสาหร่ายที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสารอาหารห่อข้าว มีไอโอดีน เซเลเนียม แคลเซียม และโอเมก้าที่ช่วยบำรุงสมองเป็นส่วนประกอบ แน่นอน, คุณรู้ว่ามันให้ประโยชน์มากแค่ไหน

แล้วภายใต้ชั้นสาหร่ายนั้นล่ะ ลองมาดูกันหน่อยว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ในนั้นประกอบด้วยอะไร ถ้าไม่ใช่น้ำตาลที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในการหุงข้าวญี่ปุ่น (หุงด้วยน้ำตาลและน้ำส้มสายชู) และเนื้อปูอัดอีกนิดหน่อย รวมๆ แล้วแคลิฟอร์เนีย โรลคำใหญ่จึงมีแต่แป้ง น้ำตาล และเกือบจะไม่มีโปรตีนเลย ทางออก ก็คือ การกินซูชิ

ที่ทำจากทูน่าหรือแซลมอน ความหลากหลายของโปรตีนในซูชิจะให้ปริมาณโปรตีนแบบเต็มๆ เยอะกว่ามาก และมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตน้อย ถ้ายังไม่พอใจคุณจะสั่งเมนูซาชิมิ เลี่ยงข้าว รับโปรตีนไปเต็มๆ เลยก็ยังไหว รับรองได้ว่าอร่อยและปลอดภัยจากน้ำตาลแน่นอน

* น้ำสลัดไขมันต่ำ : ดูเหมือนว่าน้ำสลัดไขมันต่ำจะช่วยลดไขมันและลดแคลอรี แต่ที่จริงแล้ว คุณรู้ไหมว่าน้ำตาลถูกเพิ่มเข้าไปแทนที่เพื่อให้ได้รสชาติที่ดี และที่แย่กว่านั้นก็คือความจริงที่ว่าไขมันที่ซึมซับวิตามินได้ถูกแยกออกไป เนื่องจากนักวิจัยมหาวิทยาลัยโอไฮโอค้นพบว่า ร่างกายของคนที่กินผักกับน้ำสลัดธรรมดาดูดซึมเบตาแคโรทีนซึ่งมีคุณสมบัติของแอนตี้ออกซิแดนท์ช่วยป้องกันการก่อมะเร็งได้มากกว่าถึง 15 เท่า และดูดซึมลูเทียน (Lutein) สารสีเหลืองซึ่งมีส่วนช่วยในการสกัดกั้นการอุดตันของเส้นเลือดในปริมาณที่มากกว่า

น้ำสลัดไขมันต่ำจึงอาจไม่ใช่ทางออกของอาหารสุขภาพที่คุณกำลังมองหา ในเวลาเดียวกันคุณสามารถกินน้ำสลัดทั่วไปได้แต่ในปริมาณน้อย หรือเลือกกินน้ำสลัดที่ทำจากน้ำมันมะกอกและน้ำมันดอกคาโนลา (Canola Oil ) ร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ได้

การเลิกสูบบุหรี่ด้วยตัวเอง

เพราะในบุหรี่หรือยาสูบมีสารนิโคติน ซึ่งออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท-สมอง มีฤทธิ์การเสพติดสูงมาก การสูบบุหรี่ทำให้สมอง และระบบประสาทส่วนกลางได้รับสารนิโคตินรวดเร็วมากคือประมาณ 6 วินาที เร็วกว่าการได้รับยาเสพติดอื่นๆ เร็วกว่าการฉีดเฮโรอินเข้าเส้นเลือดเสียอีก

เมื่อสมองและระบบประสาทส่วนกลางได้รับสารนิโคตินอย่างรวดเร็วง่ายดายและ ฤทธิ์เสพติดของบุหรี่ ทำให้มีความพอใจ มีความอยากบุหรี่เมื่อระดับนิโคตินในเลือดลดต่ำลง

แต่โดยที่การสูบบุหรี่ส่วนหนึ่งเป็นการติดพฤติกรรม หรือความเคยชินต่อพฤติกรรมการสูบบุหรี่ที่คุ้นเคยมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ทำให้ยากต่อการละ-เลิก แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถ หากเราต้องการจะเอาชนะใจตนเองให้ได้

เลิกสูบบุหรี่แล้วดีอย่างไร

ในสัปดาห์แรกที่เลิกสูบบุหรี่ จะมีอาการอยากบุหรี่อยู่ สัปดาห์ต่อมาอาการอยากจะน้อยลง ความอยากจะหายไปและต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จริงจัง ตั้งใจเลิกพฤติกรรมที่เคยชินต่อการสูบบุหรี่ เช่น ดื่มกาแฟ ดื่มสุรา นั่งเล่นที่โต๊ะอาหารหลังอิ่ม หากคุณคิดอยากเลิกสูบบุหรี่ คงอยากทราบว่าโดยทั่วไปมีวิธีอะไรบ้าง

1. การดูแลตัวเอง พร้อมความตั้งใจสูง กำลังใจของผู้ต้องการเลิกบุหรี่เอง และบุคคลรอบข้าง

2. การให้สุขศึกษา เข้าคลินิกอดบุหรี่ อาจเป็นกลุ่มหรือรายบุคคล

3. การใช้ยาช่วยระงับ ลด อาการเครียด เช่นยานอนหลับ

4. การใช้สารนิโคตินทดแทน ในรูปแบบต่างๆเช่นหมากฝรั่ง แผ่นแปะผิวหนังนิโคติน

5. การฝังเข็มช่วยลดอาการอยาก คลายอาการหงุดหงิด

6. รับคำปรึกษาจากแพทย์

7. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง

8. การใช้สื่อต่างๆสร้างพลัง-กำลังใจ การรวมกลุ่มโปรแกรมอดบุหรี่สำหรับชุมชน

เมื่อคุณเลิกบุหรี่

ร่างกายและปอดของคุณจะปลอดจากสารพิษในควันบุหรี่ ปอดจะโปร่งจากนิโคติน สารทาร์หรือน้ำมันดิน ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ก๊าซและสารเคมีอื่นๆอีกหลายพันชนิด ทางเดินหายใจจะรู้สึกโล่ง สะดวกกว่าเดิมภายใน 2 สัปดาห์ เสมหะจะลดลง ลดความเสี่ยงต่อโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่นคออักเสบ หลอดลมอักเสบ เนื่องจากไม่มีควันบุหรี่ที่เป็นสารก่อระคายเคือง และเสี่ยงต่อการที่ทำให้ติดเชื้อมากขึ้น ที่สำคัญคือลดอัตราเสี่ยงต่อมะเร็งของอวัยวะต่างๆ ลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ โรคถุงลมโป่งพอง

วิธีเลิกบุหรี่ด้วยตัวเอง

โดยส่วนใหญ่ ผู้ที่เลิกบุหรี่ได้ เลิกได้ด้วยตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องใช้ยา หรือสารนิโคตินแทนบุหรี่ การใช้สารนิโคตินทดแทนมิได้หมายความว่าจะสามารถเลิกบุหรี่ได้ทุกคน ความตั้งใจจริง กำลังใจการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง การลดความเครียดช่วงที่อยากบุหรี่ ลดอาการอยากบุหรี่ เบี่ยงเบนความสนใจความอยากบุหรี่ได้

วิธีที่ผู้เลิกสูบบุหรี่ได้สำเร็จแนะนำคือ

1. เตรียมตัว ตั้งใจแน่วแน่ ว่าต้องเลิกบุหรี่ด้วยตัวเอง เตรียมความพร้อมทังร่างกายและจิตใจ

* ให้จดบันทึกเวลาและเหตุผลการสูบบุหรี่ จดเหตุการณ์ที่ทำให้อยากสูบบุหรี่ เช่นการดื่มสุรา กาแฟ สูบขณะขับรถ

* เปลี่ยนพฤติกรรม เช่นเก็บบุหรี่ไว้อีกที่หนึ่ง ใช้มืออีกข้างสูบแทน ขณะสูบบุหรี่ไม่ต้องทำอะไรให้นึกว่าทำไมถึงสูบ

* ให้สูบนอกอาคาร

* เมื่ออยากสูบบุหรี่ให้รอสัก2-3 นาทีคิดเรื่องอื่นเพื่อเปลี่ยนความสนใจหรือเคี้ยวหมากฝรั่งและดื่มน้ำมากๆ

* ซื้อบุหรี่ครั้งละซองและซื้อชนิดที่ไม่เคยสูบ

1. กำหนดวัน"ปลอดบุหรี่"ของตนเองอาจจะเป็นวันสำคัญทางศาสนา วันเกิดของตนเอง หรือบุตร-ภรรยา ไม่ควรเลือกช่วงที่เครียด ควรหาใครบางคนรับรู้และคอยช่วยเหลือ

2. แจ้งแก่คนในครอบครัว ที่ทำงาน นายจ้าง เพื่อนสนิท เพื่อนร่วมงาน เพื่อให้กำลังใจเป็นแรงสนับสนุนให้เลิกได้สำเร็จ

3. เมื่อถึงวันสำคัญ ที่กำหนดแล้วว่า"วันปลอดบุหรี่"ให้หยุดเลย

* ทิ้งบุหรี่และอุปกรณ์ทั้งหมด เพื่อไม่ให้สิ่งเหล่านั้นมากระตุ้นให้อยากบุหรี่อีก

* เปลี่ยนพฤติกรรม เช่นไม่ดื่มกาแฟ

* ให้งดสุรา กาแฟ อาหารรสจัด ละเว้นการรับประทานอาหารให้อิ่มจนเกินไป

* ไม่ควรนั่งที่โต๊ะอาหารนานเกินไป เพราะหลังอาหารทุกมื้อจะอยากบุหรี่อีก

* ควรดื่มน้ำผลไม้ เช่นน้ำส้ม น้ำมะนาว เพราะความเป็นกรดจะชะล้างนิโคตินออกไป

* เมื่ออยากสูบบุหรี่ให้หางานอย่างอื่นทำ เคียวหมากฝรั่ง หรือไปในที่ๆสูบบุหรี่ไม่ได้ เช่นโรงหนัง รถเมล์ ขี่จักรยาน เดินเล่น โทรคุยกับเพื่อน

* ให้รางวัลตัวเองเมื่ออดบุหรี่ได้โดยไปดูหนัง

4. เมื่อเริ่มเลิกบุหรี่ได้แล้ว

* ในช่วงแรกที่อดบุหรี่อาจจะรู้สึกหงุดหงิด ให้สูดหายใจเข้าออกลึกๆ ดื่มน้ำมากๆเพื่อลดความอยากหรืออาจจะอาบน้ำถ้าเป็นไปได้

* ออกกำลังกายสม่ำเสมอ หางานอดิเรกทำเพื่อคลายเครียด เพราะส่วนใหญ่หลังเลิกบุหรี่ น้ำหนักตัวจะเพิ่มขึ้น การออกกำลังกาย การควบคุมอาหาร อดอาหารหวาน ลดอาหารไขมัน จะเป็นการคุมน้ำหนักได้อีกทางหนึ่ง

* ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ทำประจำตอนสูบบุหรี่ เลี่ยงสถานการณ์ สถานที่ที่เคยสูบบุหรี่เป็นประจำ

* ฝึกปฏิเสธ ซ้อมพูดกับตัวเอง เพื่อนฝูง"ไม่ครับ" "ผมไม่สูบ""นายแน่มากที่เลิกสูบบุหรี่ได้"

* ให้นึกถึงสิ่งที่ดีๆเมื่ออดบุหรี่ได้

* เมื่อเกิดความเครียดหรือปัญหาให้หาทางแก้ไขและบอกตัวเองว่าบุหรี่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้อีกต่อไปแล้ว

* หยอดกระปุกให้ลูกเมื่อไม่ได้สูบบุหรี่

* หากท่านล้มเหลวครั้งแรกให้พยายามใหม่ มีหลายคนที่สามารถประสบผลสำเร็จเมื่อมีความพยายาม

* บอกเพื่อนร่วมงานหรือครับครัวว่า ห้ามสูบบุหรี่ใกล้ตัว ห้ามหยิบยื่นบุหรี่ ห้ามทิ้งบุหรี่ไว้ให้เห็น ห้ามชักชวนให้สูบบุหรี่

* ปิดประกาศหน้าห้องว่า"เขตปลอดบุหรี่"

* ใช้เวลาส่วนใหญ่ในที่ๆสูบบุหรี่ไม่ได้

* หลีเลี่ยงกาแฟ สุรา อาหารรสจัด

อาการที่เกิดขึ้นจากการอดบุหรี่ และวิธีแก้ไข

1. หงุดหงิด งุ่นง่าน อยากสูบบุหรี่จนแทบคุมไม่ได้เพราะร่างกายคุณติดนิโคติน และนี่เองเป็นสาเหตุให้คุณอยากสูบบุหรี่ การแก้ไข

* ดื่มน้ำให้มากที่สุด ดื่มบ่อยๆเพื่อชำระนิโคตินออกจากร่างกายให้หมดไปให้เร็วที่สุด

* ออกกำลังกาย เช่นเดินเร็วๆ ปั่นจักรยาน เพื่อช่วยผ่อนคลาย เหงื่อจะช่วยขับนิโคตินออกไป

* อาบน้ำอุ่น และถูตัวด้วยผ้าขนหนูให้ทั่วตัวจะทำให้ผ่อนคลายได้ดี

* พูดคุยกับคนข้างเคียงที่คุ้นเคย เพื่อระบายความหงุดหงิดออกไปบ้าง

* งดเว้นอาหารจากเนื้อสัตว์ อาหารติดมัน และอาหารรสจัดต่างๆ

1. ง่วง กระสับกระส่าย ไม่มีสมาธิในการใช้ความคิด การแก้ไข

* นอนหลับ หรือนั่งเพื่อผ่อนคลายในห้องที่เงียบๆ ฟังเพลงเบาๆผ่อนความรู้สึกสับสนออกไป

* งดเว้นงานที่ต้องใช้ความคิดมากๆ

* พักร้อนหรือลาครึ่งวันเพื่อพักผ่อน

* ดื่มนมอุ่นๆ

2.

โกรธ ขุ่นเคืองง่าย การแก้ไข

* อดทนกับอารมณ์ของตัวเอง บอกคนข้างเคียงให้ทราบ และขอร้องให้อดทน เข้าใจคุณ

* แสดงออกในทางสร้างสรรค์ เช่นเต้นรำ เล่นกีฬา ออกกำลังกาย

* ถ้าทนไม่ไหวให้ทุบหมอน ชกหมอน เข้าห้องน้ำตะโกนก็ช่วยได้

* เขียนระบายความรู้สึกในสมุดบันทึก

* คุยปัญหากับเพื่อนสนิท

3.

หมดแรง ปวดศีรษะ ไอมีเสมหะ เจ็บคอ หายใจผิดปกติ บุหรี่เป็นตัวกระตุ้น เมื่อไม่ได้สูบทำให้หมดแรงเป็นธรรมดา วิธีแก้ไข

* หากิจกรรมที่กระตุ้นความรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้น เช่นออกกำลังกาย เต้นรำ

* พักผ่อนด้วยวิธีการนอนหรือออกไปสูดอากาศธรรมชาติ

* ดื่มน้ำอุ่น หรือน้ำผลไม้จะช่วยให้ชุ่มคอ

* รับประทานยาแก้ปวด

อาการทางกายเหล่านี้เป็นการเปลี่ยนแปลงทางเคมีเพื่อปรับตัวสู่ภาวะปกติเท่า นั้น อย่าตกใจ อาการจะเป็นชั่วคราวประมาณ 72 ชั่วโมงเท่านั้น

นางสาวสาธิยา พงษ์ไพรวัน cmru วิทย์ออก 02 เลขที่82

อาหารสำหรับผู้ป่วยที่เป็นความดันโลหิตสูง

ประเทศไทยได้มีการแนะนำอาหารหรือสมุนไพรเพื่อลดระดับความดันโลหิต เช่นการรับประทานกระเทียม ใบขึ่นช่าย หญ้าหนวดแมว หรืออีกหลายอย่าง แต่ยังไม่ได้มีการทดลองเชิงวิทยาศาสตร์ เมื่อเร็วๆนี้ได้มีการวิจัยบทบาทของอาหารต่อความดันโลหิตที่เรียกว่า The Approaches Dieatary Stop Hypertension เป็นการศึกษาแผนการรับประทานอาหารร่วมกับการรับประทานอาหารที่มีเกลือต่ำ ซึ่งให้ผลดีต่อการรักษาความดันโลหิตสูง และยังป้องกันความดันโลหิต บทความนี้เป็นของต่างประเทศผู้เขียนจะไม่เปลี่ยนแปลงสูตรอาหารที่กล่าวไว้ ผู้อ่านต้องปรับเปลี่ยนสูตรอาหารให้สอดคล้องกับผลการวิจัย

ความดันโลหิตคืออะไร

ความดันโลหิตเป็นแรงดันของเลือดที่กระทำต่อผนังหลอดเลือด จะวัดออกมาเป็นค่า มิลิเมตรปรอทการวัดความดันจะวัดออกมาสองค่าคือค่าตัวบนหรือที่เรียกว่า Systolic เป็นความดันโลหิตขณะที่หัวใจบีบตัว ส่วน Diastolic เป็นความดันตัวล่างเป็นความดันโลหิตขณะที่หัวใจคลายตัว ความดันโลหิตของคนเราจะขึ้นๆลงๆ เวลาหลับความดันโลหิตจะต่ำกว่าเวลาตื่น เวลาตกใจ กลัว ดีใจ เครียด เหนื่อย ความดันโลหิตจะสูงขึ้น ความดันโลหิตที่สูงไม่ยอมลงเรียกความดันโลหิตสูง

ความดันโลหิตสูงจะมีผลเสียต่อร่างกายคือ คนที่เป็นความดันโลหิตสูงอาจจะไม่มีอาการ แต่หากไม่รักษาจะทำให้หัวใจโตและหัวใจวายในที่สุด ผลจากความดันก็ทำให้หลอดเลือดแดงแข็งเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างไม่พอก็ทำให้เกิดโรคกับอวัยวะนั้น เช่นโรคไต โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ เราสามารถที่จะควบคุมความดันโลหิตโดยวิธีการดังนี้

ควบคุมน้ำหนักให้เหมาะสม

ให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

รับประทานอาหารที่มีคุณภาพ ซึ่งประกอบไปด้วยผัก ผลไม้ และมีเกลือน้อย

ดื่มสุราให้ลดลง

รับประทานยาตามแพทย์สั่ง

อาหาร DASH คืออะไร

เป็นที่ทราบกันดีว่าระดับความดันโลหิตที่สูงกว่า 120/80 มมปรอทจะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้มาก ยิ่งความดันโลหิตยิ่งสูงยิ่งเกิดโรคแทรกได้มาก ก่อนหน้านี้ก็มีความสนใจในเรื่องของสารอาหารต่อระดับความดันโลหิต แต่จะสนใจสารอาหารเป็นชนิดๆ เช่น แคลเซี่ยม โปแทสเซียม เป็นต้นการทดลองจะทำโดยการให้วิตามินเสริม สมาคมโรคหัวใจ และหลอดเลือดของประเทศอเมริกาได้มีการทดลองที่เรียกว่า DASH พบว่าหากรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว{saturated fat} ต่ำ อาหารไขมันต่ำ และมีผักผลไม้มาก โดยเน้นอาหารพวกธัญพืช ปลา นมไขมันต่ำ ถั่ว โดยหลีกเลี่ยงเนื้อแดง น้ำตาล เครื่องดื่มที่มีรสหวานจะทำให้ระดับความดันโลหิตลดลง

การทดลองจะแบ่งคนไข้เป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรกรับประทานอาหารปกติ กลุ่มที่สองรับประทานอาหารปกติแต่เพิ่มพวกผักและผลไม้ สาวนกลุ่มที่สามรับประทานอาหาร DASH แต่ละกลุ่มรับประทานเกลือเท่ากัน หลังจากรับประทานอาหารไปสองสัปดาห์ก็พบว่ากลุ่มที่รับประทานผักและผลไม้ และกลุ่มรับประทานอาหารDASH มีระดับความดันโลหิตลดลงชัดเจน

ยังมีการทดลองเพิ่มเติมโดยการให้รับประทาเกลือต่ำ พบว่าระดับความดันโลหิตลดลงทั้งสามกลุ่ม สำหรับกลุ่มที่รับประทานอาหาร DASH จะมีระดับความดันโลหิตลดลงมากที่สุดโดยเฉพาะเมื่อรับประทานเกลือน้อยกว่า 1500 มิลิกรัม

การเริ่มต้นแผนอาหารแบบ DASH

เนื่องจากอาหารแบบ DASH จะมากด้วยผักและผลไม้ สำหรับผู้ที่รับประทานผักและผลไม้น้อยเมื่อเริ่มต้นอาหาร DASH จะมีปัญหาเรื่องท้องอืด หรืออาจจะทำให้เกิดท้องร่วง ดังนั้นจึงต้องค่อยๆเริ่มต้นซึ่งมีข้อแนะนำดังนี้

หากท่านรับประทานผักวันละมื้อ ก็ให้เพิ่มผักจนครบทุกมื้อ

หากท่านไม่รับประทานผลไม้ แนะนำให้ท่านเริ่มดื่มน้ำผลไม้หลังอาหารเช้า และรับประทานผลไม้ทุกมื้อหลังอาหาร

ดื่มนมพร่องมันเนยหลังอาหารวันละ 2-3 ครั้ง

ให้อ่านสลากอาหารทุกครั้งโดยการลดเกลือและไขมันอิ่มตัว

ให้รับประทานเนื้อสัตว์วันละ 2 มื้อ

ให้รับประทานอาหารเจสัปดาห์ละ 2 มื้อ

ใช้ผลไม้เป็นอาหารว่างแทนอาหารที่ให้พลังงานสูง

สรุปส่งท้าย

สุขภาพของท่าน ท่านต้องดูแลด้วยตัวเองไม่มีใครช่วยท่านได้ ขั้นตอนในการดูแลมีดังนี้

สำรวจอาหารที่ท่านรับประทานอยู่ว่ามีอะไรที่เกินไป อะไรที่ขาดไป

เติมอาหารที่ขาด

นางสาวณัฐนี ซ้งคำ cmru วิทย์ออก 02 เลขที่88

ยาแก้แพ้ Antihistamine

ยาแก้แพ้เป็นยาหลักสำหรับการรักษาโรคภูมิแพ้ ยาแก้แพ้ในระยเริ่มแรกจะมีผลข้างเคียงที่ไม่พึงปราถนา เช่นอาการปากแห้ง ทำให้เกิดการง่วงซึมซึ่งเป็นผลเสียต่อการทำงาน การทำงานของยาแก้แพ้จะออกฤทธิ์ที่ H1-receptor คุณสมบัติของยาแก้แพ้มีดังนี้

ลดอาการที่เกิดจากการหลั่ง histamine เช่น อาการจาม คันจมูก น้ำมูกไหล

แต่ไม่ลดอาการของคัดจมูก

สามารถลดอาการคันตา และคันหู

ยาแก้แพ้ส่วนใหญ่ออกฤทธิ์เร็ว

เนื่องจากผลข้างเคียงของยาแก้แพ้มีมากจึงได้มีการพัฒนายาแก้แพ้รุ่นใหม่ที่มีผลข้างเคียงต่ำ ขณะเดียวกันก็ยังคงมีประสิทธิภาพ ยารุ่นใหม่ต้องมีประสิทธิภาพในการรักษาดังนี้

เยื่อบุจมูกอักเสบจากโรคภูมิแพ้ทั้งชนิดเป็นทั้งปี Perrenial allergic rhinitis และเป็นเฉพาะฤดู seasonal allergic rhinitis

เยื่อบุตาอักเสบจากโรคภูมิแพ้

ลมพิษ ยาที่จัดว่าได้ผลดีสำหรับลมพิษคือ cetiricine,terfenadine ซึ่งออกฤทธิ์เร็วและลดอาการคันได้เป็นอย่างดี

ผิวหนังอักเสบแบบ Atopic dermatitis ยาที่ใช้ได้ผลดีคือ cetirizine,loratadine,ketotifen

โรคหืด asthma โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหอบหืดที่มีอาการภูมิแพ้มีอาการคัดจมูก และน้ำมูกไหล

ผลข้างเคียงของยา

อาจจะทำให้ง่วง ซึม และน้ำหนักตัวเพิ่ม แต่อาการน้อยกว่ายาแก้แพ้รุ่นแรกๆ

พิษต่อหัวใจ astemazole,terfenadine จะมีผลต่อการเต้นของหัวใจ แต่ยาตัวอื่นไม่มีผลต่อการเต้นของหัวใจ

ข้อระวังในการใช้ยา

ควรจะต้องระวังการใช้ยาอื่น เพราะอาจจะเกิดปฏิกิริยา ยาที่ต้องระวังได้แก่ erythromycin,ketoconazole,itraconazole

ไม่ควรใช้ยานี้ในคนตั้งครรภ์

ไม่ควรใช้ยานี้ในคนที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่

ควรจะระมัดระวังในคนที่เป็นโรคไต และโรคตับ

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

ลิ้นสะอาด - ช่วยลดกลิ่นปาก

เนื่องจากลิ้นของเรามีผิวที่ไม่เรียบ แต่ขรุขระถ้าเปรียบไปแล้วก็เหมือนกับพรมหนาๆ ที่ถักด้วยเส้นใยผ้า มีซอกเล็กซอกน้อยเต็มไปหมด ดังนั้นลิ้นจึงเป็นที่กักเศษอาหารอย่างดีที่สุด เหมาะที่สุดที่จะให้แบคทีเรียที่ไม่ต้องการออกซิเจนในการเจริญเติบโตอาศัยอยู่ แบคทีเรียเหล่านี้ปล่อยสารพิษที่ทำอันตรายต่อเหงือกและฟันแล้ว ยังก่อให้เกิดก๊าซซัลเฟอร์มีกลิ่นเหม็นเน่า

จากการวิจัยพบว่าแบคทีเรียที่มีผลต่อกลิ่นปากมากๆ มักจะอยู่ตามโคนลิ้นมากกว่าที่ฟันและเหงือก ก็เป็นคำตอบที่ดีสำหรับหลายท่านที่สงสัยว่า

- ฟันผุก็อุดแล้ว

- เหงือกก็ไม่อักเสบ ขูดหินปูนทุก 6 เดือนตามหมอนัด

- แปรงฟันหลังอาหารทุกวัน

- เสียเงินไปก็มากกับการใช้น้ำยาบ้วนปากหลากหลายชนิด

แต่ก็ยังไม่วาย รู้สึกมีกลิ่นปาก ลมหายใจที่ไม่สะอาด....

- ลองมาสังเกตลิ้นของท่านดูว่ามีคราบอาหารจับหรือไม่ ?

- ท่านเคยทำความสะอาดลิ้นหรือเปล่า ?

การทำความสะอาดลิ้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาสุขภาพในช่องปาก นอกจากการแปรงฟัน และใช้ Dental Floss เพื่อทำความสะอาดซี่ฟัน

เราจะทำความสะอาดลิ้นอย่างไร ?

เดี๋ยวนี้มีอุปกรณ์ทำความสะอาดลิ้นทำจาก plastic เป็นรูปตัว U วิธีใช้ให้แลบลิ้นออกมาให้สุด ใช้ไม้ขูดลิ้น ขูดจากโคนลิ้นมาด้านหน้า ทำสัก 3-4 ครั้ง จะเห็นคราบอาหารติดออกมา เราจะทำวันละ 2 ครั้งต่อวัน ตอนเช้าตื่นนอน และหลังอาหารเย็นก่อนนอน

การทำความสะอาดลิ้นอย่างสม่ำเสมอ นอกจากจะช่วยลดแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่นแล้ว ยังมีผลทำให้ลิ้นสามารถรับรสได้ดีขึ้น (วารสารทันตแพทย์สมาคมสหรัฐอเมริกา ธันวาคม 1999) และก็มีข้อมูลที่น่าสนใจในวงการแพทย์ว่ามีความสัมพันธ์ที่มีนัยสำคัญว่า แบคทีเรียในช่องปากมีโอกาสทำให้ติดเชื้อและเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้ และจากวารสารของสมาคมทันตแพทย์สหรัฐอเมริกาเดือนมีนาคม 2001 ก็ยืนยันว่าก๊าซที่เกิดจากแบคทีเรียในช่องปากมีโอกาสเกิดอันตรายต่อเยื่อหุ้มปอดเช่นกัน

การขจัดแบคทีเรียในช่องปากนอกจากจะมีผลดีต่อสุขภาพในช่องปาก ทำให้ลดกลิ่นแล้ว ยังมีผลต่อสุขภาพร่างกายส่วนอื่นด้วย ไม่เป็นการเพียงพอแล้วสำหรับการแปรงฟัน ใช้ Dental Floss หรือน้ำยาบ้วนปาก

.... อย่าลืมทำความสะอาดลิ้นด้วยนะค่ะ...

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)เลขที่ 33

อาหารเพื่อสุขภาพตา

เราจึงจำเป็นต้องได้รับสารอาหารที่ช่วยรักษาสุขภาพตา คือ สารแอนติออกซิแดนท์ (วิตามินซี อี เบตาแคโรทีน ลูทีน ซีแซนทิน สังกะสี และไบโอเฟลโวนอยด์)

เบตาแคโรทีน เป็นสารอาหารที่ร่างกายเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ซึ่งช่วยในการมองเห็นในที่มืด และยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพตา ช่วยบำรุงรักษาดวงตาและป้องกันโรคตาหลายชนิด เช่น ต้อกระจก โรคตาบอดกลางคืน และยังช่วยให้ผิวเยื่อเมือกต่าง ๆ ในร่างกายชุ่มชื้นด้วย

ลูทีน (Luteine) และซีแซนทิน (Zeaxanthin) เป็นสารแคโรทีนอยด์ ชนิดหนึ่งมีสีเหลือง พบมากในพืชผักที่มีสีเหลืองและสีเขียวเข้ม เช่น ผักกาด คะน้า ปวยเล้ง ลูทีนและซีแซนทิน เป็นสารธรรมชาติที่พบมากในตาบริเวณจุดรับภาพและจอประสาทตา ทำหน้าที่ช่วยกรองหรือป้องกันรังสีจากแสงแดด ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตาไม่ให้ถูกทำลายโดยการลดอนุมูลอิสระที่ทำลายดวงตา และกรองแสงสีน้ำเงินที่จะทำลายดวงตา ร่างกายจำเป็นต้องได้รับสารลูทีนจากอาหาร ส่วนสารซีแซนทิน นอกจากจะได้จากอาหารส่วนหนึ่งแล้ว ร่างกายสามารถเปลี่ยนสารลูทีนในตาไปเป็นสารซีแซนทินได้ ปริมาณลูทิน 6 มก./วัน ช่วยลดความเสี่ยงจอประสาทตาเสื่อมถึงร้อยละ 50

ดังนั้นผู้ที่บริโภคผักผลไม้หลายๆ สีเป็นประจำสามารถลดความเสี่ยงโรคจอประสาทตาเสื่อม เนื่องจากผลไม้จะเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระดังกล่าว

ไบโอเฟลโวนอยด์ พบได้ในบลูเบอร์รี่หรือบิลเบอร์รี่ องุ่นแดง ส้ม และเครนเบอร์รี่ ไบโอเฟลโวนอยด์ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ คือ สารแอนโธไซยานิติน ช่วยป้องกันเลนส์ตาและสร้างความแข็งแรงให้กับสารคอลลาเจน

สารสกัดจากบิลเบอร์รี่ ได้รับความนิยมสูงมากรองจากลูทีน นอกจากจะช่วยป้องกันเลนส์ตาแล้ว ยังช่วยให้มองเห็นในที่มืดหรือที่มีแสงสลัว ๆ ได้ชัดเจนขึ้น บิลเบอร์รี่ เป็นพืชสมุนไพรที่ใช้กันมานานตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากนักบินทหารอากาศของอังกฤษสังเกตเห็นว่าการบริโภคแยมบิลเบอร์รี่ก่อนที่จะออกบินในเวลากลางคืน ช่วยให้สายตาทำงานในที่มืดดีขึ้น

บิลเบอร์รี่ เป็นผลไม้สมุนไพรที่มีความปลอดภัยและไม่พบพิษโดยผลจากการวิจัยต่างๆ ไม่พบผลข้างเคียง ดังนั้น นักวิจัยจึงสนใจที่จะศึกษาต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการมีสุขภาพดีของมนุษย์ด้วยการบำรุงรักษาอย่างถูกวิธี

ปัจจัยเสี่ยงจากสิ่งแวดล้อมที่จะทำลายเลนส์ตาและทำให้จอประสาทตาเสื่อมนั้น เป็นสิ่งที่สามารถปรับเปลี่ยนได้โดยการใช้แว่นกันแดดที่สกัดกั้นสารยูวี เลิกสูบบุหรี่ และบริโภคผักผลไม้ที่มีสารแอนติออกซิแดนท์และสารแอนโธไซยานิดินสูง การบริโภคผักและผลไม้วันละ 9 ส่วน ช่วยลดความเสี่ยงต้อกระจกและจอประสาทเสื่อม และเสริมสุขภาพด้านอื่นด้วยนะคะ

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์) 006 เลขที่ 30

ไข้หวัดใหญ่

ไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดต่างกันอย่างไร

ไข้หวัดใหญ่เป็นการติดเชื้อ Influenza virus เป็นการติดเชื้อทางเดินระบบหายใจ เชื้ออาจจะลามเข้าปอดทำให้เกิดปอดบวม ผู้ป่วยจะมีไข้สูง ปวดศรีษะ ปวดตามตัวปวดกล้ามเนื้อมาก จะพบมากทุกอายุโดยเฉพาะในเด็กจะพบมากเป็นพิเศษ แต่อัตราการเสียชีวิตมักจะพบมากในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปีหรือผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคปอด โรคตับ โรคไต เป็นต้น การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด สามารถลดอัตราการติดเชื้อ ลดอัตราการนอนโรงพยาบาล ลดโรคแทรกซ้อน ลดการหยุดงานหรือหยุดเรียน

สำหรับไข้หวัดเป็นการติดเชื้อไวรัส ผู้ป่วยจะมีอาการน้ำมูกไหล ไข้ไม่สูงมาก

การติดต่อ

เชื้อนี้ติดต่อได้ง่ายโดยทางเดินหายใจ วิธีการติดต่อได้แก่

ติดต่อโดยการไอหรือจาม เชื้อจะเข้าทางเยื่อบุตาและปาก

สัมผัสเสมหะของผู้ป่วยทางแก้วน้ำ ผ้า จูบ

สัมผัสทางมือที่ปนเปื้อนเชื้อโรค

อาการของโรค

ระยะฟักตัวประมาณ1-4 วันเฉลี่ย 2 วัน

ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลียอย่างเฉียบพลัน

เบื่ออาหาร คลื่นไส้

ปวดศรีษะอย่างรุนแรง

ปวดแขนขา ปวดข้อ ปวดรอบกระบอกตา

ไข้สูง 39-40 องศา

เจ็บคอคอแดง มีน้ำมูกไหล

ไอแห้งๆ ตาแดง

อาการไข้ คลื่นไส้อาเจียนจะหายใน 2 วัน แต่อาการน้ำมูกไหลคัดจมูกอาจจะอยู่ได้ 1 สัปดาห์

สำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรงมักจะเกิดในผู้สูงอายุหรือมีโรคประจำตัว

อาจจะพบว่ามีการอักเสบของเยื่อหุ่มหัวใจ ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บหน้าอก เหนื่อยหอบ

อาจจะมีเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ผู้ป่วยจะปวดศรีษะ ซึมลง หมดสติ

ระบบหายใจอาจจะมีอาการของโรคปอดบวม จะหอบหายใจเหนื่อยจนถึงหายใจวาย

โดยทั่วไปไข้หวัดใหญ่จะหายในไม่กี่วัน แต่ก็มีบางรายซึ่งอาจจะมีอาการปวดข้อและไอได้ถึง 2 สัปดาห์

การรักษา

ผู้ป่วยที่เป็นโรคไข้หวัดใหญ่ส่วนใหญ่จะหายเอง หากมีอาการไม่มากอาจจะดูแลเองที่บ้าน วิธีการดูแลมีดังนี้

ให้นอนพักไม่ควรจะออกกำลังกาย

ให้ดื่มน้ำเกลือแร่หรือดื่มน้ำผลไม้ ไม่ควรดื่มน้ำเปล่ามากเกินไปเพราะอาจจะขาดเกลือแร่

รักษาตามอาการ หากมีไข้ให้ใช้ผ้าชุมน้ำเช็ดตัว หากไข้ไม่ลงให้รับประทาน paracetamol ไม่แนะนำให้ aspirinในคนที่อายุน้อยกว่า 20 ปีเพราะอาจจะทำให้เกิดกลุ่มอาการที่เรียกว่า Reye syndrome

ถ้าไอมากก็รับประทานยาแก้ไอ แต่ในเด็กเล็กไม่ควรซื้อยารับประทาน

สำหรับผู้ที่เจ็บคออาจจะใช้น้ำ 1 แก้วผสมเกลือ 1 ช้อนกรวกคอ

อย่าสั่งน้ำมูกแรงๆเพราะอาจจะทำให้เชื้อลุกลาม

ในช่วงที่มีการระบาดให้หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์สาธรณะ ลูกบิดประตู

เวลาไอหรือจามต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากและจมูก

ช่วงที่มีการระบาดให้หลีกเลี่ยงสถามที่สาธารณะ

วราภรณ์ สุตพลสันติกุล เลขที่ 34

แชมพูขจัดรังแค

รังแค คือ ขุยขาวที่หลุดลอกออกมาจากหนังศีรษะ อาจจะติดอยู่ที่บริเวณโคนผมบนเส้นผม หรือร่วงลงมาเกาะบนเสื้อผ้าบริเวณต้นคอหรือไหล่ ซึ่งจะเห็นได้ชัดมากขึ้นเวลาใส่เสื้อสีเข้มทำ ให้เกิดความเข้าใจว่าบุคคลผู้มีรังแคนั้นมีสุขภาพหนังศีรษะไม่ดี หรือดูแลสุขภาพได้ไม่ดีผลพวง ที่ตามมาคือทำให้บุคคลที่มีรังแคนั้นเสียบุคลิกและขาดความมั่นใจไปได้

รังแคเกิดจากความผิดปกติในการแบ่งตัวและหลุดลอกของเซลล์ชั้นหนังกำพร้าของหนัง ศีรษะซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อราแบบกลากที่หนังศีรษะ การเป็นโรคสะเก็ด เงินหรือที่เรียกว่า โซไรสิส (Psoriasis) การแพ้สารเคมีที่สัมผัสหนังศีรษะ เช่น แพ้น้ำยาย้อมผม น้ำยาดัดผม เป็นต้น แต่สาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด คือ การเป็นโรคภูมิแพ้ผิวหนังหรือผิวหนังอักเสบ ที่ศีรษะแบบที่เรียกว่า เซ็บเบอริก เดอมาไตติส (Seborrheic dermatitis) ซึ่งอาจจะเป็นเพียงเล็ก น้อย คือมีแค่รังแคเท่านั้น หรือมีอาการอักเสบมากขึ้นจนมีอาการคันหรือมีผื่นแดงด้วย ซึ่งอาจจะ ลามออกมานอกบริเวณหนังศีรษะ มาที่ใบหน้าหรือตามตัวได้

เมื่อเกิดรังแคขึ้นหลายคนอาจกังวลใจ เพราะอยากขจัดรังแคให้สิ้นไป แน่นอนที่สุดว่าเรา ควรจะรักษาสาเหตุของรังแคให้ถูกกับสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งในกรณีนี้เราต้องไปพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อทราบถึงสาเหตุที่แท้จริงของรังแคของเรา แต่ในกรณีที่เป็นรังแคไม่มากนัก โดยเฉพาะไม่มี ผื่นผิวหนังอื่นร่วมด้วย การลองใช้แชมพูขจัดรังแคดูก่อนก็เป็นทางเลือกที่ดีโรคผิวหนังอักเสบ แบบอ่อน ซึ่งพบบ่อยที่สุด อาจดีขึ้นได้เมื่อใช้แชมพูที่เหมาะสม เมื่อลองใช้ดูสักระยะหนึ่ง ถ้ายังไม่ ดีขึ้นจึงค่อยไปพบแพทย์ก็ได้ เพราะอาจเป็นโรคผิวหนังอักเสบแบบรุนแรง หรือเป็นโรคผิวหนัง อื่นที่ควรให้แพทย์ทำการวินิจฉัยและรักษา

แชมพูขจัดรังแคในท้องตลาดมีหลายชนิด ซึ่งมีสรรพคุณแตกต่างกันออกไปบางชนิดมีสาร ที่ลดการแบ่งตัวของเซลล์หนังศีรษะ เช่น แชมพูน้ำมันดิน(Tar Shampoo) ซึ่งมีกลิ่นออกฉุนๆ แชมพูที่มีสารเซเลเนียมซัลไฟด์ซึ่งมีอยู่หลายยี่ห้อในท้องตลาดชมพูบางอย่างมีสารที่ลดจำนวนยีสต์ บนหนังศีรษะ ซึ่งมีวัตถุออกฤทธิ์เป็นสารพวกซิงค์ ไพริไทออน หรือคีโตโคนาโซน (ketoconazole) ซึ่งอาจได้ผลดีในรายที่มีเชื้อราเข้ามามีส่วนทำให้เพิ่มความรุนแรงของโรคผิวหนังอักเสบ

เมื่อใช้แชมพูเหล่านี้สระผมก็ควรทิ้งให้ตัวยาในแชมพูสัมผัสหนังศีรษะสักระยะหนึ่ง อาจเป็น เวลาประมาณ 5 นาทีก็ได้ ดังนั้นผู้ที่ชอบอาบน้ำสระผมอย่างรวดเร็วเหมือนกับวิ่งผ่านน้ำก็คงต้องอด ใจใช้เวลากับการสระผมสักครู่หนึ่ง และการสระผมก็ควรให้ตัวยาสัมผัสหนังศีรษะ โดยการขยี้และ เกาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะการเกามากๆ อาจเป็นการกระตุ้นให้การอักเสบบนหนังศีรษะเป็น มากขึ้นได้ และเมื่อได้เวลาอันสมควรแล้วก็ล้างแชมพูออกจากเส้นผมและหนังศีรษะให้หมด ในระยะ แรกท่านอาจสระผมบ่อยหน่อย คือทุกวัน หรือวันเว้นวันก็ได้ตามความเหมาะสม และเมื่อดีขึ้นแล้วก็ สระผมให้ถี่ห่าง ตามความเหมาะสมของแต่ละท่าน

น.ส.ปาริชาติ กันทะวงค์ เลขที่10 มฟาร์อีสเทอร์น

การดูแลรักษาเล็บมือ

เล็บคือส่วนหนึ่งที่บอกถึงความสวยงามและการมีสุขภาพที่ดีของคุณได้ สามารถบอกอะไรเกี่ยวกับตัวตนผู้เป็นเจ้าของเล็บได้หลายอย่าง เช่น ดูเล็บมือก็รู้ว่าคุณทำงานลักษณะไหน รายได้เป็นอย่างไร หรือแม้แต่งานอดิเรกของคุณน่าจะเป็นอะไร แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่เล็บจะบอกได้ ก็คือ สุขภาพร่างกายของคุณ จำเป็นมากที่คุณควรดูแลเอาใจใส่เล็บของคุณอย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรปล่อยปละละเลย เพราะจะก่อให้เกิดปัญหาตามมาที่หลัง เมื่อเล็บคุณมีสุขภาพดีก็ทำให้บุคลิกคุณดีด้วย

วิธีการดูแลก็ง่ายๆ เพื่อความสะอาดของเล็บมือ คุณควรตัดเล็บสัปดาห์ละครั้ง แต่ไม่ควรตัดสั้นเกินไปจนถึงผิวหนังปลายนิ้วหรือขอบข้างเล็บ เพราะอาจเกิดบาดแผลและมีการติดเชื้อได้ การป้องกันเล็บนั้นคุณควรใช้ครีมบำรุงมือและเล็บเป็นประจำทุกวัน เวลาตะไบแต่งปลายเล็บให้ถูตะไบไปทางเดียวกัน อย่าถูย้อนไปมา ควรตัดเล็บหลังจากที่อาบน้ำเสร็จใหม่ๆ เพราะหลังจากอาบน้ำผิวหนังรอบเล็บคุณจะอ่อนตัว ง่ายต่อการตัดและทำความสะอาด เสร็จแล้วล้างมือและเช็ดให้แห้ง อีกอย่างคุณไม่ควรไว้เล็บจนยาวเกินไปเพราะนอกจากจะดูไม่สวยงามแล้วยังก่อให้เกิดอันตรายแก่ตัวคุณและคนรอบข้างได้ด้วย

การดูแลรักษาเล็บไม่ให้เปราะง่ายทำได้โดยการทาครีมบำรุงมือและเล็บ ให้คุณทาครีมให้ทั่วทั้งเล็บถึงจมูกเล็บแล้วค่อยสวมถุงมือบางๆ ก่อนเข้านอน ตื่นเช้ามาคุณจะรู้สึกได้เลยว่าเล็บแข็งแรงมากขึ้นและการเปราะแตกนั้นแทบไม่มีเลย

การสวมถุงมือขณะทำงานบางอย่าง เช่น ซักผ้า ล้างจาน ทำสวน สามารถป้องกันอันตรายที่จะเกิดกับเล็บและมือของคุณได้

รวมถึงความสวยความงามของเล็บด้วย

การทาเล็บที่ปลอดภัยควรใช้น้ำยารองพื้นทาลงก่อน 1 รอบแล้วจึงทายาทาเล็บสีที่ชอบทับลงไป หากชื่นชอบการทาเล็บเป็นชีวิตจิตใจขอแนะนำให้คุณทาเล็บ 2 รอบสำหรับยาทาเล็บที่มีสีอ่อนๆ วิธีการนี้จะทำให้ล้างเล็บออกได้ง่ายขึ้น คุณจึงไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาล้างเล็บในปริมาณมากเกินไปจนอาจทำให้เล็บเหลืองได้ และการล้างเล็บควรระวังอย่าให้น้ำยาล้างเล็บโดนผิวหนังบริเวณรอบๆเล็บเพราะอาจเกิดอาการระคายเคืองหรือแสบได้

การเก็บรักษายาทาเล็บควรเก็บในตู้เย็นและก่อนทาก็เอาออกจากตู้เย็นก่อน 1 ชั่วโมง เพื่อให้ยาหายเย็น

อาหารที่มีส่วนสำคัญต่อสุขภาพเล็บ คุณควรกินอาหารที่บำรุงเล็บ เช่น ผัก ผลไม้ นม โยเกิร์ต อัลมอนด์ และการดื่มน้ำผักและผลไม้สดๆ เป็นประจำทุกวันช่วยลดอาการเล็บที่หลุดออกเป็นชั้นๆได้ เพราะสาเหตุของเล็บหลุดเป็นชั้นๆก็คือการขาดวิตามินและเกลือแร่

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)เลขที่ 33

ปัญหาสุขภาพวัยรุ่น ตอน สิว เรื่องพบบ่อย

ปัญหาสุขภาพวัยรุ่น ที่น่าสนใจอีกเรื่องคือ เรื่องของสิว ซึ่งพบบ่อยจนเป็นธรรมชาติ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

เรามีรีวิวจากโซน ความงาม เกี่ยวกับเรื่องสิว ในวัยรุ่นครับ

"สิวหัวขาว" เป็นเม็ดนูนเล็กๆ ไม่มีรูเปิด

"สิวหัวดำ" มีรูเปิดที่ผิวหนังมองเห็นเป็นจุดดำอยู่ตรงกลาง

"สิวหัวช้าง" เกิดเป็นตุ่มนูนเล็กๆ แดงๆ อาจเห็นเป็นตุ่มหนอง หรือตุ่มนูน แข็งเม็ดโต หรือตุ่มแดงอักเสบแบบถุงซีสต์

สิวที่สร้างความวิตกกังวลมากที่สุดคือ สิวบริเวณใบหน้า แต่ในบางรายอาจพบมากที่บริเวณลำคอ แผ่นหลัง หน้าอก และลำตัว

สาเหตุ : พันธุกรรม

ปัจจัยภายในร่างกาย

ความผิดปกติของเซลล์ในชั้นหนังกำพร้า

ปริมาณสารไขมันที่สร้างมาจากต่อมไขมัน

เชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อเรียกว่า Propionibacterium acnes

ความรุนแรงของปฎิกิริยาอักเสบที่เกิดขึ้น

ความเครียด : นอนดึก ท้องผูก กังวล

สิ่งแวดล้อม : แสงแดด อากาศร้อนชื้น

การดูแลสุขวิทยาส่วนบุคคล :

เครื่องสำอาง สบู่ โฟมล้างหน้า ผลิตภัณฑ์ตกแต่งทรงผม

สารพิษ

การเสียดสี

การดูแลและวิธีแก้ไข

ลดอาหารประเภทไขมัน รับประทานเต้าหู้วันละ 1 ขีด นมถั่วเหลืองวันละ1-2 แก้ว

ไม่แคะ แกะ เกา หรือบีบสิว

ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง

ใช้ยาตามแพทย์สั่ง เช่น ครีมแต้มสิว ยาต้านฮอร์โมน

ขับถ่ายเป็นเวลา หากท้องผูกร่างกายจะหมักหมมของเสียที่ก่อการอักเสบในที่ต่างๆ ได้

พักผ่อนให้เพียงพอ ทำใจให้สบาย ผ่อนคลาย

เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าให้เหมาะสมกับสภาพผิว

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์) 006 เลขที่ 30

โรคแพ้อากาศ

โรคแพ้อากาศ เป็นโรคแพ้อย่างหนึ่งที่พบมากในบ้านเรา เนื้อหาสั้น ๆ จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญระบบภูมิแพ้ รพ.กรุงเทพครับ

โรคภูมิแพ้อากาส เกิดจากการที่ร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้ทางการหายใจ

อาการเด่น

คันจมูก คันตา น้ำมูกใส

จามบ่อย ๆ แน่นจมูก

รู้สึกแน่นจมูกเช้า บางครั้งเจ็บคอเช้า ๆ

สารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อย

ฝุ่น นุ่น ซากแมลงสาบ ละอองเกสรพืช ไรฝุ่นในที่นอนในบ้าน ขนสัตว์ เชื้อราในอากาศ

เชื่อว่าเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ โดยพบว่า ถ้าพ่อแม่เป็น ลูกมีโอกาสที่จะเป็นด้วยถึง 75 %

สิ่งกระตุ้นให้โรคเป็นมาก คือการได้รับสัมผัส การเปลี่ยนแปลงของอากาศ สุขภาพอ่อนแอ ความเครียด

อาการที่พบร่วมบ่อย

อาจพบ หอบหืด ลมพิษ แพ้อาหาร คันตา ตาอักเสบ ร่วมกัน

การดูแลรักษา

การดูแลตนเอง

นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

ออกกำลังกายสม่ำเสมอทุกวัน

รับประทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ

หลีกเลี่ยงความเครียด

ใช้ยาตามที่แพทย์สั่ง ไม่ควรใช้ยาเอง

การดูแลสิ่งแวดล้อม

กำจัดฝุ่นละอองและตัวไรในห้องนอน

ทำความสะอาดห้องนอนทุกวัน

จัดห้องนอนให้โล่ง มีเครื่องตกแต่งน้อยชิ้นที่สุด

หลีกเลี่ยงวัสดุที่ทำจากขนสัตว์ นุ่น

หลีกเลี่ยงการใช้พรม

ที่นอน หมอน ควรนำออกตากแดดทุกสัปดาห์

ผ้าคลุมที่นอน ปลอกหมอน ผ้าห่ม มุ้ง ผ้าคลุมเตียง ควรทำความสะอาดอย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้ง

เก็บหนังสือและเสื้อผ้า ในตู้ที่ปิดมิดชิด

ใช้วัสดุที่เป็นใยสังเคราะห์ หรือฟองน้ำ

กำจัดแหล่งที่อยู่ของแมลงสาบ และแมลงอื่น ๆในบ้าน

ลดปริมาณละอองเกสรดอกไม้ หญ้า

หลีกเลี่ยงการนำดอกไม้สด หรือต้นไม้ไว้ในบ้าน

ตัดหญ้าและวัชพืชออก

ไม่ควรคลุกคลีใกล้ชิดหรือนำสัตว์เลี้ยงมาใว้ในบ้าน

กำจัดเชื้อรา

อย่าให้เกิดความชื้นหรืออับทึบ กำจัดแหล่งเชื้อรา เช่น ห้องน้ำ กระถางต้นไม้ ห้องครัว

วราภรณ์ สุตพลสันติกุล เลขที่ 34

ภูมิแพ้และไรฝุ่น

แทบทุกท่านคงเคยได้ยิน ความสัมพันธ์ของไรฝุ่น กับภูมิแพ้ หลาย ๆ ท่านอยากทราบว่า จะป้องกันอย่างไร มีประโยชน์หรือไม่

ไรฝุ่นบ้าน house dust mite เป็นแมลงที่อยู่อาศัยปะปนกับฝุ่น ในบริเวณที่แสงส่องไม่ถึง ชอบความชื้น ไม่ทนต่อความแห้ง อาศัยขี้ไคล รังแค เป็นอาหาร ส่วนใหญ่ในบ้านเรือน จะอยู่ตาม ที่นอน หมอน เฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน ตุ๊กตา ขยายพันธ์ได้รวดเร็ว ถ้าอุณหภูมิเเหมาะสมเช่น 25 องศา และความชื้นเหมาะ ร้อยละ 70-80

ขยายพันธ์เร็ว และออกไข่มาก ทั้งตัวมันและมูล มีโปรตีนในการก่อภูมิแพ้สูง ถ้าเรียงตามลำดับการก่อการแพ้ จะได้แก่ มูล ตัวแก่ ตัวอ่อน ไข่

การหลีกเลี่ยงไรฝุ่น จะทำให้การแพ้ลดลง จากมาตรฐาน การมีไรฝุ่นมากกว่า 2 ไมโครกรัมต่อกรัมฝุ่น จะก่อให้เกิดแพ้ และในปริมาณ 10 ไมโครกรัมต่อกรัมฝุ่น จะทำให้เกิดการจับหืดเฉียบพลัน

วิธีดีที่สุดในการป้องกัน คือการใช้วัสดุคลุม โดยเฉพาะผ้าทอแน่น ปัจจุบัน มีหลายชนิด เช่น พลาสติก หรือเคลือบด้วยยูรีเทน ซึ่งนอนไม่สบาย รองลงมาคือผ้าทอแน่น( tightly woven)ซึ่งยอมให้อากาศถ่ายเทได้บ้าง อีกชนิด ราคาถูกหน่อย ทำจากใยอัดแน่น ประเภทโพลีเอธีลิน ไม่ได้ทอทำให้เส้นใยสานกันยุ่งเหยิง ซึ่งมักระบุว่าป้องกันน้ำได้ และไม่แนะนำให้ซัก

วัสดุที่นำมา ต้องดูที่รูห่าง ถ้าน้อยกว่า 6 ไมครอน จะป้องกันได้ดีที่สุด และเมื่อดูในแง่เนื้อผ้า พบว่า ผ้าทอแน่น ดีกว่าเพราะสามารถซักได้และไม่เก็บไรฝุ่นในตัวเท่าไร เนื่องจากไรไม่สามารถเจาะแทรกได้

ข้อมูล สมาคมอิมมูโนวิทยาและภูมิแพ้แห่งประเทศไทย

น.สเบญจวรรณ หล้าแปง(ม.ฟาร์)เลขที่ 40

โรคอ้วน (Obesity)

ความหมาย : ภาวะที่ร่างกายได้รับพลังงานจากอาหารมากกว่าพลังงานที่ร่างกายใช้ไป ทำให้เหลือพลังงานที่สะสมไว้ในร่างกายในรูปไขมันมากขึ้นแล้วทำให้น้ำหนักร่างกายเพิ่มมากขึ้นในที่สุด

ดัชนีมวลกาย (BMI หรือ body mass index) = น้ำหนัก (กิโลกรัม) /ส่วนสูง เป็นเมตร ยกกำลังสอง

การแปลผล ดัชนีมวลกาย < 18.5 แปลผล น้ำหนักน้อย

ดัชนีมวลกาย 18.5 - 22.9 แปลผล น้ำหนักปกติ

ดัชนีมวลกาย 23 - 29.9 แปลผล น้ำหนักเกิน

ดัชนีมวลกาย 30 แปลผล โรคอ้วน

สาเหตุ :

พฤติกรรมการบริโภคไม่เหมาะสม

ค่านิยมในกลุ่มวัยรุ่น

ขาดการออกกำลังกาย

กรรมพันธุ์

การดูแลและวิธีแก้ไข :

รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ : ข้าวเป็นอาหารหลักสลับกับอาหารประเภทแป้ง

ดื่มนม 2-3 แก้ว/วัน ดื่มน้ำ 8-10 แก้ว/วัน

หลีกเลี่ยงอาหารรสหวานจัดหรือเค็มจัด ของทอด บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำอัดลม

รับประทานอาหารสะอาด ปราศจากการปนเปื้อน

งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ กาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

การออกกำลังกาย เพื่อลดน้ำหนักให้ได้ผล !!!

การลดน้ำหนักที่ได้ผลนั้น นอกจากเราจะทำการควบคุมอาหารแล้ว การออกกำลังกายที่เหมาะสม ก็เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ช่วยทำให้น้ำหนักลดลงได้ มากขึ้น เพราะร่างกายจะเผาผลาญไขมันทีสะสมให้เกิดเป็นพลังงาน ช่วยลดเนื้อเยื่อไขมัน และเพิ่มความแข็งแรงสำหรับกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะการออก กำลังกาย โดยการวิ่ง การเดินเร็ว จะเป็นการออกกำลังกายที่ใช้ออกซิเจน ซึ่งเป็นการออกกำลังกายที่ดีสำหรับทุกคน แต่ก็ควรทำอย่างต่อเนื่อง อย่างน้อย 20-30 นาที และไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 3 ครั้ง สำหรับบางคนอาจจะคิดว่า ' ไม่มีเวลา ทำยังไงดี ! ' ดังนั้นจึงจะนำเสนอบทความเรื่อง การออกกำลังกายอย่างง่ายๆ ต่อการลดน้ำหนักให้ได้ผล ให้ทุกท่านปรับใช้ตามความเหมาะสมนะครับ

เหตุผลของการออกกำลังกายให้มากขึ้นกว่าปกติ ในช่วงที่ต้องการลดน้ำหนัก มีดังนี้

1. การออกกำลังกายจะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานมากขึ้น และจะช่วยทำให้โลหิตหมุนเวียนดีขึ้น ซึ่งจะทำให้คุณรุ้สึกดีขึ้น

2. การออกกำลังกายจะช่วยควบคุมความอยากอาหาร และทำให้ความหิวน้อยลง

3. การออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยลดการชดเชยพลังงานที่เกิดขึ้น ในขณะที่น้ำหนักลดลง เพราะโดยทั่วไปอัตราการเผาผลาญจะลดลงเมื่อน้ำหนักลด ดังนั้นการออกกำลังกายจึงชดเชยผลการตอบสนองของร่างกายดังกล่าว น้ำหนักจึงได้ลดลงมากขึ้น

4. ถ้าลดน้ำหนัก โดยวิธีอื่นๆ เช่น ยา หรือ การควบคุมอาหาร จะทำให้กล้ามเนื้อลดลงด้วย จึงต้องออกกำลังกายเพือช่วยป้องกันมวลกล้ามเนื้อดังกล่าว

5. การออกกำลังกายทำให้คลายเครียด ซึ่งพบเสมอว่า ในบางคนที่มีอารมณ์เครียด โกรธ จะหาทางออกด้วยการกินๆๆๆๆๆๆ ซึ่งการออกกำลังกาย จะช่วยลดสถานการณ์ดังกล่าวได้

6. การออกกำลังกายทำให้คุณมีความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น ทำให้สามารถบรรลุความสำเร็จได้ในหลายสิ่งที่ต้องการ และรู้สึกดีต่อตนเอง

แนวทางการออกกำลังกายเพิ่มขึ้น ในชีวิตประจำวันง่ายๆ

- ใช้บันไดแทนการใช้ลิฟต์ ในการทำงานแต่ละวัน

- เมื่อเครียด หรือว่างจากการทำงาน ควรออกไปเดินเล่น หรือเลือกรับประทานอาหารกลางวันที่ต้องเดินไปกลับ อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 30 นาที

- ขี่จักรยานไปทำงาน ถ้าที่พักและที่ทำงานไม่ไกลนัก หรือเลือกเดินไกลๆ จากที่ทำงาน ไปยังลานจอดรถ หรือป้ายรถเมล์

- มีโอกาสไปท่องเที่ยวกับเพื่อนฝูง เพราะนอกจากจะสนุกแล้ว จะยังช่วยลดน้ำหนักได้ โดยเฉพาะโปรแกรมการท่องไพร เดินป่า เที่ยวน้ำตก

- เข้าร่วมทำกิจกรรมกับชมรมกีฬาต่างๆ เช่น ชมรมลีลาศ ชมรมเดินหรือวิ่งเพื่อสุขภาพ

- หาเวลาว่างก่อนรับประทานอาหารเย็น พาสมาชิกในครอบครัวเดินเล่น หรือพาสุนับวิ่งออกกำลังกาย ( สำหรับท่านที่รักสุนัข อาจจะเลือกสุนัขพันธุ์ใหญ่ ที่ต้องการการออกกำลังกาย ซึ่งจะได้ประโยชน์ทั้งตัวท่านและลูกสุนัขของท่านเอง)

- อย่าพยายามออกกำลังกายอย่างหักโหมในครั้งเดียว ควรจะค่อยๆ เพิ่มเวลาและเปลี่ยนชนิดของกีฬาที่เหมาะสมกับตนเอง ไม่ทำให้เกิดแรงตึงกับข้อ หรือทำให้กล้ามเนื้ออ่อนล้าเกินไป ซึ่งจะทำให้ท่านท้อใจในการออกกำลังกายครั้งต่อๆ ไปได้

ขอยกหัวข้อบรรยาย ของ พ.อ.หญิง รศ.พ.ญ.พรฑิตา ชัยอำนวย ผู้อำนวยการเวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ในการบรรยายครั้งหนึ่งว่า ' การลดน้ำหนักแค่ 1 กิโลกรัม ความดันโลหิตจะลดลงไป 2.5 กับ 1.7

ทำให้หัวใจบีบตัวด้วยแรงต่อต้านที่น้อยลง หัวใจทำงานเบาลง ถ้าลดน้ำหนักเป็นปกติ ในคนไข้ที่มีปัญหาโรคความดันโลหิตสูง อาจลดยาความดันหรือเลิกกินยาลดความดันซึ่งเป็นผลดีต่อการรักษาโรค

โดยพบว่า ลดน้ำหนัก 1 กิโลกรัม อายุยืน 3-4 เดือน ถ้าลด 10 กิโลกรัม อายุขัยจะยาวขึ้น ร้อยละ 35 คนที่เป็นเบาหวาน ลดน้ำหนักแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว การคุมน้ำตาลจะดีขึ้นมาก ถ้ามีไขมันในเลือดสูง ลด 1 กิโลกรัม คอเลสเตอรอลลด 2 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ไตรกลีเซอร์ไรด์ลด 1.7 คอเลสเตอรอลตัวร้ายลด 0.77 ก่อให้เกิดผลดีต่อร่างกายอย่างเห็นได้ชัด' ดังนั้นถ้าไม่อยากพึ่งยาลดน้ำหนัก

เราควรจะควบคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ที่สำคัญ พยายามอย่าขี้เกียจ แล้วอ้างคำว่า ' ไม่มีเวลา' สำหรับสุขภาพทีดีของเราเลยนะครับ

น.ส.ปาริชาติ กันทะวงค์ เลขที่10 มฟาร์อีสเทอร์น

โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)

คุณคงไม่ชอบเข้าเฝือก ที่เป็นแฟชั่นของผู้ที่กระดูกหักบ่อยๆ จึงควรตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก เพื่อทราบภาวะเสี่ยงของโรคกระดูกพรุนในการป้องกันตนเอง ไม่ให้กระดูกบางลง และเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกตั้งแต่วันนี้

โรคกระดูกพรุน Osteoporosis คือโรคที่ความหนาแน่นของเนื้อกระดูกลดน้อยลงเรื่อยๆ รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะโครงสร้างของกระดูก ซึ่งมีผลทำให้กระดูกไม่สามารถจะรับน้ำหนักหรือแรงกดดันได้ตามปกติ ทำให้เกิดอาการกระดูกหักตามมา (Decreased Bone Mass, Defective Bone Microarchitecture) นอกจากจะเรียกว่าโรคกระดูกพรุน อาจเรียก โรคกระดูกบาง โรคกระดูกผุ ก็ได้

โรคกระดูกพรุน นี้พบมากในผู้สูงอายุโดยประมาณ 60 ปีขึ้นไป โดยจะพบปัญหาในหญิงมากกว่าชาย เพราะในหญิงจะมีการลดลงของเนื้อกระดูกเป็นอย่างมากในช่วง 5 ปี หลังวัยหมดประจำเดือน สตรีวัยหมดประจำเดือนในอเมริกา ประมาณ1/3-1/2 ของสตรีกลุ่มนี้จะเป็นโรคกระดูกพรุน และเมื่ออายุสูงขึ้นโอกาสกระดูกหักก็จะมีสูงเพิ่มไปด้วย โดยจะเป็นการทรุดหักของกระดูกสันหลัง การหักของกระดูกสะโพก และสุดท้ายคือกระดูกต้นขาหัก จะเห็นว่าปัญหากระดูกพรุนนี้ก่อให้เกิดการสูญเสียต่อชีวิต คุณภาพชีวิตและทรัพย์สินอย่างมาก ดังนั้นการป้องกันจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดในขณะนี้ โรคกระดูกพรุนพบมากในสตรีผิวขาวโดยเฉพาะพวกที่อยู่ใกล้ขั้วโลก รองลงมาเป็นผิวขาวเหลืองในเอเซีย และพบน้อยลงในชาวผิวดำ

สาเหตุของโรคกระดูกพรุน สามารถกล่าวรวมๆ ของปัญหาที่มีผลทำให้การสะสมของเนื้อกระดูกได้ไม่ดี และปัจจัยที่ทำให้มีการสูญเสียมากกว่าปกติ

พันธุ์กรรม จากเชื้อชาติ ผิวขาว > เอเชีย > ผิวดำ/เพศหญิงมากกว่าเพศชาย

โภชนาการ บริโภคแคลเซียมต่ำ / ดื่มแอลกอฮอล์มาก / ดื่มกาแฟมาก / บริโภคเกลือมาก /บริโภคโปรตีนจากเนื้อสัตว์มาก

ชีวิตความเป็นอยู่ สูบบุหรี่มาก / กิจวัตรการออกกำลังกายน้อย

โรคที่มีผลต่อการเสียเนื้อกระดูก

รังไข่ฝ่อ (ขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน) / การตัดมดลูก /ต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินไป /ต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมาก เกินไป /ไตวายเรื้อรัง /โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์

ภาวะวัยหลังหมดประจำเดือน

ยาที่มีผลต่อการสูญเสียเนื้อกระดูก

ยาทดแทนไทรอยด์ / ยากลุ่มสเตียรอยด์ /ยากันชัก /ยาขับ ปัสสาวะชนิด“ Loop“/ยาลดกรดที่มีฤทธิ์จับกับฟอสเฟต / ยาเตตร้าซันคลิน /ยารักษาวัณโรค ไอโซไนเอซิค

การวินิจฉัย

ในปัจจุบันใช้การวัดความหนาแน่นของกระดูก (Bone Mineral Density Mea Surement) โดยใช้เครื่อง DEXA (Dual Energy X-ray Absorptionmetry) โดยวัดความหนาแน่นของกระดูกที่กระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก กระดูกต้นขา ปลายกระดูกข้อมือ และนำค่าที่ได้ไปเปรียบเทียบกับค่าปกติในเพศและอายุช่วงเดียวกัน

ถ้าพบว่ากระดูกมี Bone Mineral Density (BMD) < 1.00 gm/cm2 จะมีโอกาสกระดูกหักได้ง่าย

การวินิจฉัยภาวะกระดูกพรุนเมื่อ BMD< 2.5 SD (Standard Diviation) ของประชากรในวัยสาว การวัดความหนาแน่นกระดูกบุคคล 2 ครั้งห่างกัน 1-2 ปี จะช่วยให้สามารถคาดการณ์หรือพยากรณ์โรคกระดูกพรุนได้ เป็นวิธีที่ช่วยให้การประกอบการตัดสินใจในการป้องกันหรือวางแผนการรักษาโรคกระดูกพรุนต่อไป ไม่นิยมในการตรวจจากเลือด เพราะวิธีการตรวจยังไม่ไวและแม่นยำพอ บางตัวถึงแม้ให้ความแม่นยำดี แต่การวิเคราะห์สารเหล่านี้ทำได้ยาก และยังมีค่าใช้จ่ายที่สูง มักจะใช้ในการวินิจฉัยเพื่อการศึกษา ดังนั้นในปัจจุบันการตรวจวัด การวัดความหนาแน่นของกระดูก (Bone Mineral Density Measurement) จึงเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด

ข้อแนะนำสำหรับสตรี

1. การได้รับแคลเซียมอย่างเพียงพอตลอดอายุขัย ตั้งแต่วันเด็กไปจนถึงชรา จะช่วยไม่ให้เกิดโรคกระดูกพรุนได้

2. มีสุขนิสัยที่ดีในการบริโภคอาหาร โปรตีน เพื่อเป็นแกนของกระดูก / แคลเซียมและฟอสเฟต (มาจับที่กระดูกเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของกระดูก)

3. ออกกำลังกายอยู่อย่างสม่ำเสมอ อย่าเอาแต่นั่งๆ นอนๆ เพราะจะมีการสลายของกระดูกมากขึ้น

4. หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน

5. ดูแลตนเองให้มีสุขภาพที่แข็งแรง ซึ่งจะช่วยลดการสูญเสียของกระดูก

6. ได้มีการประเมินสภาวะของกระดูกว่ามีการเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนมากน้อยเพียงใด ในช่วงวัยใกล้หมดประจำเดือน

7. ในหญิงที่มีความหนาแน่นของกระดูกน้อยกว่า 1 SD ควรได้รับฮอร์โมนทดแทน แต่ควรดูข้อห้ามก่อน

8. ถ้ามีข้อตรงกับการห้ามใช้ฮอร์โมนช่วย ให้ปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีอื่นที่เหมาะสมแทน

9. ให้มีความระมัดระวังในการเคลื่อนไหวและดูแลสภาพแวดล้อมให้มีความปลอดภัย เพื่อลดการลื่นหกล้ม

ชิดชนก (ภาคค่ำ) 47322905

การออกกำลังเวลาใดดีต่อสุขภาพ

 

 

      เราทุกคนก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการออกกำลังกายนั้นจะทำให้ร่างกายของเราแข็งแรงและมีสุขภาพที่ดี  แต่จริง ๆ แล้วการออกกำลังกายนั้นเราก็ควรที่จะเลือกเวลาให้เหมาะสมเพื่อที่จะได้สุขภาพที่ดี   เราลองมาดูกันเลยว่าควรจะออกกำลังเวลาใดจึงดีต่อสุขภาพ
     


     
**ไม่ควรออกกำลังกายทันทีหลังกินอาหารอิ่มเต็มที่ 

       อาจทำให้เกิดอาการหน้ามืดเป็นลมเหตุด้วยเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ  เพราะภายใน 2 ชม.  หลังจากการกินอาหารเข้าไปจะมีเลือดมารอรับอาหารที่ถูกย่อที่กระเพาะและลำไส้เป็นจำนวนมาก  ฉะนั้นถ้าออกกำลังกายหนัก ๆ ตอนนี้  เช่น  วิ่ง  จะต้องการเลือดมาเลี้ยงที่ขา 20 เท่าของสภาวะปกติ  ทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ  ก็อาจเป็นเหตุให้กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันถึงชีวิตได้ 

 

 

      **หลังจากผ่านไป 2 ชม. สามารถออกกำลังกายได้อย่างปลอดภัย 

      เพราะอาหารถูกย่อยและดูดซึมหมดแล้ว  บรรดาเลือดที่มารออยู่ที่กระเพาะจะกระจายไปหมด


     
**ไม่ควรออกกำลังกายทันทีหลังจากตื่นนอนตอนเช้าโดยไม่กินอะไรเลย 

      เพราะจะทำให้ตับต้องดึงสารอาหารที่อุตส่าห์ปรับเปลี่ยนไปเก็บไว้ในที่ต่าง ๆ ในขณะที่นอนหลับให้กลับเป็นพลังงานในเลือดใหม่  ทำให้ตับทำงานหนักมาก  อาจทรุดโทรมได้

 

 

      **ตอนเช้าควรออกกำลังกายเบา ๆ แค่ "เดิน" ก็เพียงพอแล้ว 

      โดยควรกินอาหารเบา ๆ รองท้องก่อน  เช่น  ขนมปังหรือแซนวิชสักชิ้นกับโอวัลติน 1 ถ้วย


    
  **ควรออกกำลังกายตอนเย็น  โดยไม่ต้องกินอาหารภายหลัง 

      (หลังออกกำลังกายเสร็จให้ค่อย ๆ จิบน้ำจนรู้สึกอิ่ม)  จะช่วยให้สารอาหารที่เหลือจากการกินมื้อเช้าและเที่ยงลดน้อยลง  ช่วยให้ตับไม่ต้องทำงานหนัก  เพื่อแปรสภาพสารอาหารไปเก็บไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทำให้ไม่อ้วน

พัชรินทร์ 47322814 (ภาคค่ำ)

สะกดจิตบำบัด  ศาสตร์ใหม่แห่งการรักษา

   ในชีวิตประจำวัน  เราใช้จิตสำนึกเพียง 5-7% เพื่อการดำเนินชีวิต  แต่อีกประมาณ 93% ของจิตใต้สำนึก  กลับเป็นแรงผลักดันให้เราทำกิจกรรมต่างๆ โดยที่ไม่รู้ตัว  ก่อเกิดพฤติกรรมทั้งบวกและลบ... 

   จิตใจคนเราแบ่งได้  3  ระดับ  ตามการรับรู้  ได้แก่ 

  • จิตสำนึก (Consciousness) คือ จิตใจระดับเหตุผล ทำให้เกิดการแสดงออกซึ่งพฤติกรรมต่างๆ โดยเลือกแล้วว่าจะทำหรือไม่ทำอะไร  
  • จิตก่อนสำนึก  (Preconscious) คือ ส่วนหนึ่งของจิตใจที่ไม่ได้นึกถึง แต่หากพยายามนึกขึ้นมา ก็สามารถนึกออกมาได้ เช่นการนึกถึงเหตุการณ์บางอย่างในอดีต
  • จิตใต้สำนึก (Subconsciousness) คือ จิตใจที่อยู่เหนือเหตุผล ซึ่งรับข้อมูลจากประสบการณ์ และจดจำทั้งเรื่องดีและไม่ดีไว้ในใจ เกิดเป็นนิสัยและลักษณะของแต่ละคน ทำอะไรโดยอัตโนมัติไม่ต้องนึกคิด 

   เนื่องจากจิตใต้สำนึกเป็นแรงผลักดันให้เกิดพฤติกรรมบางอย่างโดยที่ไม่รู้ตัว การแก้ปัญหาบางอย่างจึงต้องแก้จากจิตใต้สำนึก โดยแก้ไขด้วยการป้อนข้อมูลใหม่ให้จิตใต้สำนึก เพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนั้นๆ วิธีการหนึ่งคือ การสะกดจิต

สะกดจิตบำบัด : ทางเลือกเพื่อแก้ไขพฤติกรรม
   สะกดจิตบำบัด (Hypnotherapy) เป็นวิธีช่วยให้สุขภาพของผู้ป่วยดีขึ้น ด้วยการสะกดจิตให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจ เหมาะกับผู้ที่รักษาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่สำเร็จ จึงใช้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการรักษา เพราะพฤติกรรมบางอย่างที่แก้ไขไม่หายอาจเกิดจากจิตใต้สำนึกสั่งให้ทำพฤติกรรมนั้น 

   มีงานวิจัยพบว่า การสะกดจิตช่วยรักษาและบรรเทาโรคต่างๆ ได้มากมาย เช่น โรคผิวหนัง ไมเกรน แผลในกระเพาะอาหาร ลำไส้ระคายเคือง ปัญหาทางจิต ความเครียด ช่วยสร้างความมั่นใจ ฯลฯ เมื่อสะกดจิตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเทคนิคการสะกดจิตมีหลายวิธี เช่น พูดชักจูงโดยตรง เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมและได้ผลดี โดยเสียงพูดต้องเป็นเสียงเรียบๆ เบาๆ ทิ้งจังหวะ ทำให้ผู้ถูกสะกดเคลิ้มและคล้อยตามง่าย โดยใช้คำพูดที่มีความหมาย ใช้ภาษาสุภาพแต่หนักแน่น แฝงด้วยอำนาจ  สั่งซ้ำบ่อยๆ ในบรรยากาศเงียบสงบ และผู้สะกดต้องเป็นผู้ที่บุคลิกภาพดี อุปนิสัยน่าเชื่อถือ น่าไว้วางใจและสบายใจที่จะอยู่ด้วย

   ขั้นตอนการสะกดจิตเริ่มจากนักบำบัด (แพทย์หรือนักจิตวิทยา) จะพูดคุยกับคนไข้ (ผู้ถูกสะกด) ว่ามีความเหมาะสมที่จะรักษาด้วยนี้หรือไม่ เช่น ประวัติโดยละเอียด อาการเจ็บป่วย ความเข้าใจและความสามารถในการทำตามขั้นตอนการสะกดจิต ฯลฯ หากมีความเหมาะสมจึงเข้าสู่ขั้นตอนการรักษา คือการสร้างความคุ้นเคยระหว่างผู้รักษาและผู้บำบัด และนัดครั้งต่อไปจึงเริ่มขั้นตอนการสะกดจิต ด้วยการให้คุณนั่งหรือนอนในท่าที่สบาย แล้วสะกดให้เข้าสู่ภวังค์ด้วยความเงียบ และคำสั่งซ้ำๆ จนเข้าสู่ภวังค์เต็มที่นักบำบัดจะแนะนำ (สะกดจิต) มีทั้งการสั่งจิตใต้สำนึกให้เลิกทำพฤติกรรมบางอย่าง เช่นให้รู้สึกนึกคิดเกลียดบุหรี่ (ใช้ประกอบกับการรักษาวิธีอื่น) สะกดจิตให้เกลียดอาหารเลี่ยน หวาน มัน (โดยออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย) สะกดจิตย้อนไปดูเหตุการณ์ในอดีตเพื่อหาสาเหตุของพฤติกรรม เช่น อาการติดอ่าง กัดเล็บ หรือไม่กล้าพูดต่อหน้าคนมากๆ ว่าเกิดจากอะไร แล้วจึงสั่งจิตให้ลืมเหตุการณ์หรือพฤติกรรมที่ฝังใจในอดีตนั้นให้จางหายไป 

   โดยขั้นตอนการสะกดจิตใช้เวลา 30 - 60 นาที ซึ่งคนไข้บางคนอาจสะกดจิตสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก แต่บางคนอาจต้องสะกดจิตซ้ำ 2-3 ครั้งจึงประสบความสำเร็จ ซึ่งแพทย์จะติดตามผลเป็นระยะว่าการสะกดจิตนั้นได้ผลมากน้อยเพียงใด และแพทย์อาจสอนวิธีสะกดจิตตนเองให้คนไข้ เพื่อให้การสะกดจิตมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น (ในกรณีที่รักษาโรค บรรเทาอาการเจ็บป่วย ติดสารเสพติด ต้องให้แพทย์ จิตแพทย์และนักจิตวิทยา เป็นผู้แนะนำวิธีการสะกดจิตตนเองให้ แต่การสะกดจิตเพื่อสร้างความมั่นใจหรือสร้างอารมณ์ดี สร้างสุขภาพดี สามารถทำได้ด้วยตนเอง)

   ประสิทธิภาพของการสะกดจิตจะขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัย คือ ผู้สะกด ต้องเป็นจิตแพทย์ นักจิตวิทยา ผู้ผ่านการศึกษาและมีประสบการณ์ในการสะกดจิตเป็นอย่างดี ผู้ถูกสะกด ต้องให้ความร่วมมือในการรักษา ไม่ขัดขืน ต่อต้าน มีความสามารถรับและปฏิบัติตามคำสั่งจากผู้สะกดได้ ปัญหาที่บำบัด ต้องรักษาอย่างถูกจุด เช่นติดบุหรี่เพราะความเครียด แต่รักษาด้วยการสะกดจิตเพื่อเลิกบุหรี่ ซึ่งอาจทำให้เลิกบุหรี่ได้แต่ไปติดสุราแทนเพราะยังมีความเครียดอยู่ ดังนั้นการรักษาจึงต้องวิเคราะห์ปัจจัยอย่างรอบด้านก่อนที่ทำการรักษาเพื่อแก้ปัญหาที่ต้นเหตุอย่างแท้จริง

สะกดจิตตนเอง  สร้างสุขง่ายๆ
   การสะกดจิตตนเองให้มองด้านดี เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้อารมณ์ดี มีสุขภาพจิตดี หรือแก้ปัญหาต่างๆ ได้ดีขึ้น ซึ่งคุณอาจฝึกสะกดจิตตนเองให้นึกถึงเรื่องดีๆ ได้โดย

  1. เลือกสถานที่ที่สงบ ไม่มีเสียงรบกวน เตรียมความคิดหรือคำพูดดีๆ ที่ต้องการสะกดตนเอง
  2. หายใจเข้าช้าๆ ลึกๆ กลั้นไว้ 2-3 วินาที ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ บอกตนเอง "จงผ่อนคลาย" ทำซ้ำ 3-4 ครั้ง
  3. รวบรวมสมาธิดูจุดใดจุดหนึ่งบนผนัง หรือกำแพง
  4. บอกตนเองว่ากำลังหายใจแบบพิเศษ 3 ครั้ง ครั้งแรกเพื่อผ่อนคลาย ครั้งที่สองเพื่อเตรียมเข้าสู่ภาวะสะกดจิต  ครั้งที่สามเพื่อเข้าสู่ภาวะสะกดจิต
  5. ปล่อยความเครียดออก พร้อมหายใจอย่างเป็นระบบ ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ตั้งแต่ปลายกล้ามเนื้อแขน ขา ถึงศีรษะ
  6. ใช้จินตนาการถึงบันได 10 ขั้น ที่พาไปสู่ที่พิเศษ เช่นท้องฟ้า  ภูเขา  ทะเล  นับ 10 -1 เหมือนกำลังเดินลงบันไดไปสู่สถานที่พิเศษนั้น
  7. มองสิ่งต่างๆ รอบตัว รับรู้เสียง กลิ่น และสัมผัสจากสิ่งรอบตัวในจินตนาการนั้น
  8. นึกถึงคำแนะนำด้านบวกและเป้าหมายที่กำหนดไว้ในใจ เช่น ฉันเด็กขึ้นอีกหนึ่งวัน ฉันมีความสุข ฉันอารมณ์ดี
  9. เมื่อทำเสร็จ ให้นับ 1-10 บอกตนเองว่ามีความสุขกับการผ่อนคลายนี้   

   โดยคุณอาจสะกดจิตตนเองทุกเช้า หลังตื่นนอน แล้วค่อยทำกิจวัตรประจำวัน ซึ่งใช้เวลาไม่นานสัก 5-10 นาที ข้อควรระวังของการสะกดจิตตัวเองคือ จิตใต้สำนึกไม่สามารถเข้าใจคำว่า อย่าหรือไม่ ได้จึงไม่ควรสั่งจิตว่า ไม่ทำความผิด ไม่ชอบของมัน อย่ากินของเลี่ยน เป็นต้น นอกจากนี้การนั่งสมาธิก็เป็นอีกตัวช่วยหนึ่งที่ทำให้การสะกดจิต มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพราะสมาธิระดับต้น ทำให้มีสติดี  จิตสำนึกสงบ เข้าถึงจิตใต้สำนึกได้ง่ายขึ้น

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)เลขที่ 33

อาหารบำรุงสมอง

อาหารมีความสำคัญต่อการพัฒนาสมอง ไม่แพ้การพัฒนาทางร่างกายเป็นความจริง ที่ยอมรับกันโดยทั่วไป ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลาย จึงปรนเปรออาหารการกินให้กับลูกๆ ด้วยหวังว่าอาหารเหล่านี้ จะทำให้ความคิดแล่นความจำดีสมองโปร่งใสทำให้ลูกเฉลียวฉลาด ได้ อาหารที่เชื่อกันว่าช่วยบำรุงสมองมีอยู่หลายอย่าง เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ น้ำซุปไก่เป็นต้น แต่ที่ขึ้นชื่อที่สุดเห็นจะเป็นปลา ผู้ใหญ่มักให้เด็กกินปลา โดยอ้างว่าปลาบำรุงสมอง กินปลาแล้วจะฉลาดขึ้น และถ้ากินหัวปลาได้ จะยิ่งฉลาดเข้าไปใหญ่ หากอาหารสามารถบำรุงสมองได้จริงเช่นนั้น เชื่อว่าเด็กส่วนใหญ่ในประเทศไทยคงไม่สอบตก ฉะนั้นจะหวังให้อาหารช่วยให้ฉลาดขึ้นคงจะเป็นไปไม่ได้เพราะอาหารช่วยบำรุงสมองได้ ในระยะที่สมองเติบโต หรือในระยะเริ่มแรกของชีวิตเท่านั้น เมื่อเด็กเข้าโรงเรียนสมองเติบโต เต็มที่เสียแล้ว ไม่ว่าจะทำนุบำรุงเรื่องอาหารเพียงใดก็ย่อมไม่ทำให้เฉลียวฉลาดขึ้น ความเฉลียวฉลาดของแต่ละคน ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์ ถึงกรรมพันธุ์จะเป็นตัวกำหนด ขีดขั้นตอนสติปัญญา แต่เด็กมักจะมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเต็มขั้นตากรรมพันธุ์ กำหนด หรือไม่ ยังขึ้นอยู่กับอาหารที่คุณแม่รับประทานในช่วงตั้งครรภ์และอาหารที่ลูกกิน นช่วงแรกของชีวิต ถ้าหากในช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์ คุณแม่รับประทานอาหารครบห้าหมู่และมีปริมาณเพียงพอ ต่อความต้องการของร่างกาย เซลล์สมองของลูกจะสามารถเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ เป็นรากฐานที่มั่นคง เมื่อได้รับการศึกษาได้เล่าเรียนฝึกฝนก็ย่อมมีโอกาสที่จะมีสติปัญญา เฉลียวฉลาดได้เต็มขั้นตามที่กรรมพันธุ์กำหนด ตรงกันข้าม เมื่อขาดแคลนอาหารทั้งในปริมาณ และคุณภาพเซลล์สมองไม่อาจเจริญเติบโต

อย่างเต็มที่ เมื่อสมองหยุดเจริญเติบโตแล้วจำนวนเซลล์สมองของเด็กเหล่านี้ อาจน้อยกว่าเด็กที่ได้รับอาหารอย่างเพียงพอถึงร้อยละ 15 ถึง 20 อาการซึมเศร้า และเชื่องช้าที่ปรากฏภายนอกเป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นผล ของจำนวนเซลล์ที่น้อยกว่าปกติ แม้จะได้รับการศึกษาเล่าเรียน มีโอกาสได้รับการฝึกฝน เท่าเทียมกับเด็กคนอื่น ก็ไม่อาจมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเต็มขีดขั้นที่กรรมพันธุ์ กำหนดได้ หรืออีกนัยหนึ่งถึงพ่อแม่จะฉลาดหลักแหลมเพียงใดลูกก็ไม่มีโอกาส ฉลาดเท่าเทียมพ่อแม่ได้

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์) 006 เลขที่ 30

10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพ

1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง

2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี

3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว

4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ

6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%

8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย

9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด

10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วน

ชิดชนก (ภาคค่ำ) 47322905

บูลิเมีย อนอเร็กเซีย    ภาพหลอนของคนกลัวอ้วน

         'หุ่นดีเหมือนนางแบบ'    ดูจะเป็นคำชมที่สร้างความพึงพอใจให้กับสาวๆ ยุคนี้ไม่น้อย เพราะเมื่อเปิดโทรทัศน์หรือแมกกาซีนแล้วพบว่านางแบบตัวจริงส่วนใหญ่มักเป็นสาวน้อยหุ่นเพรียวลม และรูปร่างเช่นนี้ได้กลายเป็นต้นแบบแห่งความงามที่หลายคนใฝ่ฝัน บางคนยอมทรมานร่างกายด้วยการอดอาหาร จนเป็นสาเหตุของโรคกลัวอ้วน บูลิเมียและอนอเร็กเซีย สองโรคอันตรายของคนอยากสวย

          บูลิเมีย เป็นโรคในกลุ่มของอาการผิดปกติในการกิน (Eating Disoder) ส่วนใหญ่พบในหญิงสาวช่วงวัยรุ่น อายุตั้งแต่ 14-15 ไปจนถึง 30 ปี ประวัติศาสตร์การแพทย์มีการค้นพบโรคนี้ครั้งแรกในกลุ่มของนักบัลเล่ต์ เมื่อคริสตศตวรรษที่ 15 แต่ปัจจุบันโรคนี้แพร่หลายในกลุ่มผู้หญิงรักสวยรักงามในสังคมที่มีความเป็นอยู่แบบตะวันตก  ส่วนคนไข้รายแรกๆ ในเมืองไทยเป็นกลุ่มของหญิงสาวที่มีอาชีพนางแบบ  ดารา เพราะต้องใช้รูปร่างเพื่อพรีเซนต์เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย 

     สาเหตุหลักของบูลิเมียเกิดจากค่านิยมเรื่องความอ้วนผอมเป็นสำคัญ  แต่มีการศึกษาพบว่ายังมีสาเหตุร่วมอื่นๆ อีก เช่น ผลจากกรรมพันธุ์ มีการศึกษาพบว่าแม่ที่เป็นบูลิเมียมีโอกาสถ่ายทอดไปถึงลูกสาวได้ และระดับของสารเคมีในเซลล์สมอง พบว่าผู้ป่วยที่มีระดับของฮอร์โมนซีโรโทนินในสมองต่ำกว่าคนปกติ อาจทำให้สูญเสียประสิทธิภาพควบคุมการกินอาหาร

     ผู้ป่วยบูลิเมีย มักอยากกินอาหารในทันทีแบบที่บังคับตัวเองไม่ได้ ทำให้กินมากเกินไป แล้วจึงกินยาถ่ายหรือล้วงคอให้อาเจียนเพราะกลัวอ้วน ก่อให้เกิดอันตรายทั้งร่างกายและจิตใจ เช่นความดันโลหิตต่ำ ประจำเดือนไม่มา เครียดกังวล ซึมเศร้า  อีกทั้งการใช้ยาระบายและทำให้อาเจียนเป็นประจำทำให้เกิดความผิดปกติกับไต กระเพาะปัสสาวะ อาการขาดน้ำและปัญหาการไหลเวียนของเลือด  แต่ผู้มีความผิดปกติในการกินมักไม่ยอมรับว่าตัวเองมีปัญหา ไม่สนใจอาการที่เกิดขึ้นและมักพยายามหาทางปิดบังผู้อื่นเกี่ยวกับความผิดปกติของตน การรักษาด้วยตัวเองจึงไม่ได้ผล  ต้องอาศัยบุคคลใกล้ชิดช่วยดูแลและสร้างแรงจูงใจ

     ส่วน อนอเร็กเซีย หรือ อนอเร็กเซีย เนอโวซ่า (Anorexia Nervosa) เป็นโรคของความผิดปกติในการกินเช่นเดียวกัน ผู้ป่วยจะมีปัญหาทางด้านจิตใจ มักรู้สึกว่าหากควบคุมการกินอาหารของตัวเองได้  ก็จะสามารถควบคุมชีวิตของตัวเองได้ ทำให้ร่างกายผ่ายผอมมากเนื่องจากพยายามลดอาหารและออกกำลังมากเกินไป มักเกิดในวัยรุ่นผู้หญิงอีกเช่นกัน  อาการที่เด่นชัดคือพยายามอดอาหารหรือกินให้น้อยที่สุด เพราะรู้สึกมีปมด้อย ไม่พึงพอใจเรื่องรูปร่างของตนเอง  

     อาการของโรคในช่วงแรก คือ เด็กผู้หญิงมักประจำเดือนขาด ชอบชั่งน้ำหนักตัวบ่อยๆ  วิตกกังวลเรื่องน้ำหนักตัวเกินเหตุ เลือกกินมากขึ้น ชอบคะยั้นคะยอให้คนอื่นกินแทน น้ำหนักตัวลดลงอย่างฮวบฮาบ  และหมกมุ่นอยู่กับการออกกำลังกายให้มากที่สุดแต่กินให้น้อยที่สุด บางรายพยายามล้วงคออาเจียนเอาอาหารที่กินเข้าไปออกมา  บังคับตัวเองให้อดอาหารน้ำหนักลดลงมาเรื่อยๆ จนเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ระบบต่างๆ ในร่างกายแปรปรวน การเจริญเติบโตชะงักงัน ภาวะการเจริญพันธุ์ลดลง  และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

หากคุณค้นพบว่าตัวเองเริ่มมีแนวโน้มความผิดปกติเรื่องการกินอาหาร  พึงปฏิบัติดังนี้

- กินเป็นมื้อและกินให้อิ่ม หาความสุขระหว่างมื้ออาหารด้วยการผ่อนคลายในบรรยากาศสบายกับเพื่อนฝูง ครอบครัว

- อย่าปล่อยให้ตัวเองว่าง ความเบื่อหน่ายและความเหงาเมื่ออยู่คนเดียวอาจทำให้คุณหยิบอะไรใส่ปากโดยไม่รู้สึกหิวและหมกมุ่นกับตัวเองมากเกินไป

- ควรหาคนพูดคุยระบายความรู้สึก การเก็บกดอารมณ์โกรธและความคับข้องใจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณกินเกินพอดี

- ควรให้รางวัลตัวเองด้วยการกินของโปรดประเภทช็อกโกแลต ขนมหวาน เป็นครั้งคราว  เพื่อไม่ให้รู้สึกเก็บกดกับของต้องห้ามเหล่านี้จนเกินไป

- ไม่ควรตุนของกินเล่นที่มีแคลอรี่สูงไว้ที่บ้าน

- ไม่ควรกินของเล่นระหว่างมื้ออาหาร

- ไม่ควรใช้ยาระบาย หรือล้วงคอให้อาเจียน การกินตามตามใจปากมากเกินไปมีผลร้ายน้อยกว่าการอาเจียนและการใช้ยาระบาย

พัชรินทร์ 47322814 (ภาคค่ำ)

Detoxification ล้างพิษ ล้างโรค

   ดีท็อกซ์ ในทางการแพทย์แบบองค์รวมหมายถึงวิธีการใดก็ได้ที่เอื้อให้ร่างกายขับสารพิษ และของเสียที่ตกค้างได้มากขึ้นสิ่งที่ทำให้เกิดสารพิษได้ร่างกายนั้นมีอยู่ด้วยกันอยู่ 2 สาเหตุได้แก่ สารพิษจากสิ่งแวดล้อม และ สารพิษในร่างกาย เช่น สารที่ได้จากการสันดาปของร่างกาย อาทิ สารอนุมูลอิสระ ของเสียที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียในลำไส้ และของเสียที่เกิดจากความเครียด

   “จริงอยู่ที่ร่างกายมนุษย์ถูกสร้างให้มีระบบบำบัดตนเองตามธรรมชาติ แต่การล้างพิษหรือดีท็อกซ์นี้จะช่วยเสริมประสิทธิภาพให้ระบบดังกล่าวทำงานได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

   เราควรทำดีท็อกซ์ปีละ 1 ครั้ง เพื่อช่วยร่างกายขจัดสารตกค้างและสิ่งหมักหมมที่กลไกการขับสารพิษไม่สามารถกำจัดให้หมดเองได้ หรือทำเมื่อร่างกายส่งสัญญาณว่าน่าจะถึงเวลาล้างพิษแล้ว เช่น รู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนเพลียง่าย เครียด ป่วยกระเสาะกระแสะ เป็นต้น

เลือกดีท็อกซ์ที่เหมาะกับคุณ

   การเลือกใช้วิธีล้างพิษควรพิจารณาตามสภาพร่างกายของแต่ละคน ปัจจุบันดีท็อกซ์ที่นิยมใช้กันมีอยู่ 6 วิธี

  1. กินผักผลไม้ล้างพิษ (Eat to Detoxify) ผักผลไม้ให้กากใยช่วยในการขับถ่ายและทำความสะอาดลำไส้ ช่วยเพิ่มปริมาณการกำจัดสารตกค้างในร่างกายได้
  2. อดเพื่อล้างพิษ (Fasting to Detoxify) หาใช่การงดกินอาหาร หากแต่หมายถึงการ จำกัดปริมาณอาหารเพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานไม่เกิน 800 กิโลแคลอรีต่อหนึ่งวัน ซึ่งเอื้อให้ร่างกายดึงพลังงานเก่าในร่างกายมาใช้มากขึ้น และขับสารพิษที่สะสมอยู่ออกมาพร้อมกัน นอกจากขจัดสารพิษได้แล้วยังช่วยรักษารูปร่างอีกด้วย ผู้ที่ขาดสารอาหารไม่ควรใช้วิธีอดล้างพิษ
  3. การสวนล้างลำไส้ (Colonic Irrigation) คือการทำความสะอาดลำไส้ใหญ่ ที่นิยมมี 2 วิธี
    3.1 High Colonic
    หรือการล้างตลอดลำไส้ใหญ่ โดยใช้เครื่องมือควบคุมความดัน ปั๊มน้ำสวนเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ พร้อมทั้งนวดท้องไปด้วย จากนั้นจึงถ่ายท้องออก ทำเช่นนี้ 3-4 ครั้ง เหมาะสำหรับผู้ป่วยท้องผูกเรื้อรัง หอบหืด ข้ออักเสบ และภูมิแพ้
    3.2
    การสวนล้างส่วนปลายลำไส้ใหญ่ด้วยการใช้กาแฟ หรือชา เป็นแนวคิดของ Dr. Max Gerson นายแพทย์ชาวอเมริกันเชื้อสายเยอรมันผู้นำในการรักษามะเร็งด้วยวิธีธรรมชาติบำบัดยุคแรกๆ เป้าหมายหลักของการสวนกาแฟคือ ให้สารคาเฟอีนเข้าไปเร่งการทำงานของตับให้ขับสารพิษได้มากยิ่งขึ้น ใช้ได้ทั้งกาแฟเม็ดนำมาบดและกาแฟบริสุทธิ์สำเร็จรูป ปัจจุบันชุดสวนกาแฟมีขายทั่วไปตามร้านขายยา วิธีการล้างพิษนี้เหมาะกับคนธาตุร้อนหรือคนที่มักมีอาการร้อนในง่าย หงุดหงิดง่าย น้ำกาแฟที่ใช้สวนล้างจะช่วยให้ร่างกายกลับสู่ภาวะสมดุล วิธีนี้ไม่เหมาะกับคนเป็นความดันโลหิตสูง คนธาตุเย็น หนาวง่าย อ่อนเพลียง่าย รวมทั้งคนที่ดื่มกาแฟไม่ได้ ก่อนทำควรปรึกษาแพทย์ 
  4. ฝึกลมปราณ (Prana Detoxification) เป็นการควบคุม ปราณหรือพลังชีวิตให้อยู่ใน ภาวะสมดุล เช่น การฝึกชี่กง (Qi Gong) รำไท้เก๊ก (Taichi chuan) หรือโยคะ (Yoga)
  5. ฝึกสมาธิ (Concentration to the Destruction of Cankers) การทำสมาธิเป็นประจำนอกจากจะทำให้จิตใจสงบยังช่วยปรับสภาวะการทำงานของอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกายได้ด้วย 6.การใช้สารคีเลชั่น (Chelation) อีกหนึ่งเทคนิคที่นิยมกันมากในแถบยุโรปและเริ่มแพร่ หลายเข้ามาในบ้านเรา คีเลชั่น คือการใช้กรดอะมิโน ชื่อ EDTA (Ethylenediaminetetraacetic Acid หรือ เอทิลีนไดอะไมน์เตตระอะซิติก แอซิด ) ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่ค้นพบเมื่อปี 1930 โดย Franz Munz ชาวเยอรมัน และต่อมาได้จดทะเบียนสำหรับเป็นยารักษาภาวะโลหะหนักสะสมในร่างกาย ทั้งยังช่วยรักษาความผิดปกติของผนังหลอดเลือด
    การดีท็อกซ์วิธีนี้จะนำกรดEDTA มาผสมกับวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ หยดเข้าหลอดเลือดเพื่อช่วยกำจัดโลหะหนักที่อาจตกค้างอยู่ในร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณผนังหลอดเลือดให้ไหลเวียนออกมาในกระแสเลือด รวมไปถึงที่สะสมอยู่ในเนื้อเยื่อทั่วร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้วิธีนี้

 

ปรับสมดุลร่างกายหลังล้างพิษ

   หลังจากปฏิบัติการล้างพิษคุณอาจรู้สึกอ่อนเพลีย เรามีวิธีดูแลร่างกายให้กลับเข้าสู่ภาวะสมดุลมาฝากกัน ซึ่งหากทำเป็นประจำจะช่วยกระตุ้นกลไกการล้างพิษตามธรรมชาติให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพขึ้นด้วย

  1. รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง อาทิ ข้าวกล้อง พืชผักผลไม้ปลอดสารพิษ เช่น หัวบีท อาร์ติโชก กะหล่ำปลี บล็อกโคลี่ สาหร่ายทะเล เป็นต้น
  2. รับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของสมุนไพรหรือเครื่องเทศเป็นประจำ
  3. รับประทานผลไม้ที่ให้วิตามินซีสูง เช่น ส้ม มะนาว มะขามเทศ เป็นต้น เพื่อเสริมสร้างกลูตาไธโอนในตับ ให้ขับสารพิษได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  4. ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร
  5. หายใจเข้าลึกๆ เพื่อเพิ่มการหมุนเวียนออกซิเจนในร่างกาย
  6. พยายามไม่เครียดและมองโลกในแง่ดี เพื่อรักษาสมดุลในร่างกายและจิตใจ
  7. บำบัดร่างกายด้วยน้ำ โดยการอาบน้ำอุ่น30 วินาที สลับกับน้ำเย็น 30 วินาที ทำเช่นนี้ 3 ครั้ง ก่อนนอน 30 นาที ให้กล้ามเนื้อและจิตใจผ่อนคลาย จะช่วยให้หลับสบาย
  8. หาเวลาว่างอบซาวน่า เพื่อช่วยขับของเสียออกทางผิวหนัง
  9. ใช้แปรงขนนุ่มๆ หรือใยบวบ ขัดทำความสะอาดร่างกาย ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว และกระตุ้นระบบหมุนเวียนโลหิต
  10. ออกกำลังกายเบาๆโดยการทำโยคะ ชี่กง หรือไท้เก๊ก เป็นประจำ

ธัญพืชเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่กำลังมาแรง ผู้บริโภคนิยมผสมในผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม เช่น นม หรือเครื่องดื่มธัญญาหารสำเร็จรูป ดื่มเพื่อบำรุงร่างกาย

ปัจจุบันมีธัญพืช 4 ประเภทที่กำลังฮิตในบ้านเรา อะไรบ้างและมีประโยชน์อย่างไร นิตยสาร "เชป" ฉบับม.ค.นำเสนอดังนี้

ข้าวสาลี

อุดมด้วยสารอาหารมากกว่า 100 ชนิด มีแร่ธาตุหลักๆ ที่ร่างกายต้องการครบถ้วน มี วิตามินกลุ่มบีคอมเพล็กซ์ เป็นแหล่งโปรวิตามินเอสูงที่สุดในบรรดาอาหารต่างๆ ทั้งยังมีวิตามินซี อี และเคในปริมาณมาก

วิตามินและแร่ธาตุสำคัญๆ จะอยู่บริเวณเปลือกข้าวและจมูกข้าว เครื่องดื่มบางชนิดจึงมักผสมจมูกข้าวสาลีเพื่อเพิ่มคุณประโยชน์

นอกจากนี้ต้นกล้าข้าวสาลี ยังมีคลอโรฟิลล์และออกซิเจนสูง นิยมนำมาคั้นดื่มสดๆ เพื่อล้างพิษในร่างกาย

ลูกเดือย

เป็นธัญพืชให้พลังงานสูง และมีโปรตีนคุณภาพสูง ในตำรายาจีนมักใช้ลูกเดือยบดผสมข้าวต้มกินบำรุงกำลัง

ที่สำคัญ ลูกเดือยยังมีสารอาหารอื่นๆ เช่น วิตามินบี 1 วิตามินเอ โพแทส

เซียม ฟอสฟอรัส แคลเซียม ใยอาหาร และกรดอะมิโน ช่วยให้หลับง่ายขึ้น

ข้าวโอ๊ต

อุดมด้วยใยอาหารชนิดละลายน้ำได้ ซึ่งทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำเล็กๆ คอยดูดซับอาหารจำพวกน้ำตาล แป้งและไขมันในลำไส้เล็ก และนำพาไปยังระบบขับถ่าย จึงช่วยลดคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดและลดความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ

นอกจากนี้ยังมีใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ ช่วยเร่งให้อุจจาระเคลื่อนผ่านลำไส้ใหญ่ได้เร็วขึ้น มีสรรพคุณในการป้องกันและแก้ท้องผูก ทั้งนี้ ใยอาหารทั้งสองชนิดพบในเปลือกหุ้มเมล็ดข้าวโอ๊ต จึงควรกินข้าวโอ๊ตที่ไม่ขัดสี

องค์กรอาหารและยา สหรัฐอเมริกา แนะนำให้กินข้าวโอ๊ตเป็นประจำเพื่อลดคอเลสเตอรอลและความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

งาดำ

มีแคลเซียมสูงกว่านมวัวถึง 6 เท่า อุดมด้วยวิตามินบี 1 บี 2 บี 3 บี 5 บี 6 และ บี 9 และวิตามินอีสูง ช่วยบำรุงประสาท

การกินงาดำเป็นประจำช่วยให้ร่างกายสดชื่น กระฉับกระเฉง และกระดูกแข็งแรง

ในงาดำมีไขมัน ซึ่งจัดเป็นไขมันคุณภาพดี มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ทั้งยังมีโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด และป้องกันโรคหัวใจ

ในเมล็ดงาดำยังมีกรดอะมิโนบางชนิดที่จำเป็นต่อร่างกายในปริมาณสูง ผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติประจำ ควรกินงาดำร่วมกับถั่วเพื่อให้ได้กรดอะมิโนที่จำเป็นอย่างเพียงพอ

น.ส เบญจมาศ โมงยาม วิทย์ออก เลขที่ 78 sec 02

1 อาหาร ทานอาหารให้ครบห้าหมู่โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธาตุแคล เซี่ยม ที่ใช้สร้างกระดูก เด็กวัยเจริญเติบโตต้องการวันละ 1200 มิลลิกรัม

อาหารอะไรที่ให้ แคลเซียมสูง อาหารที่ให้ปริมาณธาตุแคลเซี่ยมสูง คือ งาดำ (ให้แคลเซียมสูงมาก มีแคลเซียม มากกว่าพืชผักทั่วไปถึง 40 เท่า ) ถั่วอัลมอน ถั่วเหลือง ผักใบสีเขียวเข้ม เช่น คะน้า ผักบุ้ง ผักโขม ยอดแค ปลาตัวเล็กๆที่กินได้ทั้งตัว กุ้งแห้ง เป็นต้น

ดื่มนมมากๆแล้วจะทำให้ตัวสูง จริงหรือ

เรามักได้ยินบ่อยๆ ว่า ให้ดื่มนมมากๆ เพื่อจะให้ได้แคลเซี่ยมมาก และทำให้ตัวสูง ดอกเตอร์ วิลเลี่ยม เอลลิส ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนมเนย ของประเทศสหรัฐอเมริกา ระบุว่า มีคนไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถสันดาปโปรตีนจากนมวัวได้อย่างเหมาะสม ความจริงก็คือ คาซีน ( casein) เป็นโปรตีนหลักในนมวัว และเป็นสารจำเป็นในกระบวนการเผาผลาญอาหารของวัว แต่ไม่ใช่สารจำเป็นของมนุษย์ และคนเราจะย่อยโปรตีนนี้ได้ยากมาก จากการศึกษาของเขาพบว่า ทั้งเด็ก และ ผู้ใหญ่ ย่อย คาซีน ได้อย่างยากลำบาก มีโปรตีนบางส่วนเท่านั้น จะถูกย่อยได้และโปรตีนในส่วนที่ย่อยได้นี้จะเข้าสู่กระแสเลือด และรบกวนเนื้อเยื่อ เพิ่มโอกาสำให้เป็นภูมิแพ้ได้ และตับจะพยายามกำจัดโปรตีนที่ถูกย่อย นี้ออกไป ซึ่งผลกระทบหลักที่นมมีต่อร่างกายคือ จะก่อให้เกิดก้อนมูกที่ทำให้ภายในลำไส้เล็กแข็งตัวอุดตัน ดังนั้นการดื่มนมมากๆ นอกจะไม่ได้ปริมาณแคลเซี่ยมมากตามที่ต้องการแล้ว ยังเป็นการเพิ่มภาระให้กับระบบการขับถ่ายของร่างกายอีกด้วย และจากการศึกษาของเขา ในการตรวจ เลือดคนจำนวน 25,000 คน ทีดื่มนม 3-5 แก้วต่อวัน กลับมีแคลเซี่ยมในเลือดที่ต่ำมาก

2 การนอน ควรนอนหลับให้เพียงพอในช่วงกลางคืน เพราะ Growth Hormone จะหลั่งออกมามากขณะนอนหลับ และเริ่มหลั่งตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ จึงไม่ควรนอนดึก

3 การออกกำลังกาย การออกกำลังกายที่ ช่วยกระตุ้นความสูงคือ การออกกำลังกายที่มีการลงน้ำหนักที่เท้า เช่น กระโดดเชือก บาสเก็ต บอล วอลเล่บอล วิ่ง ฟุตบอล แบดบินตัน และ แอโรบิก เป็นต้น การออกกำลังกายประเภทนี้ จะเป็นการส่งแรงกระตุ้นไปที่แผ่นความเจริญเติบโตของกระดูก ซึ่งจะมี

อยู่ บริเวณปลายกระดูกแต่ละท่อน จึงช่วยทำให้ในช่วงที่ร่างกายยังมีการเจริญเติบโตอยู่นี้ สูงขึ้นได้เร็วกว่าปกติ และการออกกำลังกายยังช่วยให้ Growth Hormone หลั่งออกมาอีกด้วย

แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างมากที่เด็กๆ ไม่ได้สร้างปัจจัยให้ตัวเองมากพอ ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเจริญเติบโตของร่างกายให้เติบโตได้อย่างเต็มที่

เด็ก ๆส่วนใหญ่ไม่ได้รับอาหารที่มีแคลเซียมอย่างเพียงพอ ที่ร่างกายจะนำไปใช้สร้างกระดูก หรือ ขาดการออกกำลังกาย จึงเป็นการเสียโอกาสที่จะตัวสูงใหญ่ได้เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น

ฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือ ควรให้ร่างกายได้รับแคลเซียมให้ได้วันละ 1200 มิลลิกรัม พร้อมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และ พักผ่อนให้เพียงพอในตอนกลางคืน

ความสูงนอกจากจะช่วยเสริมให้บุคลิกภาพดูสง่างาม ยังช่วยเพิ่มโอกาสที่จะให้เด็กๆ เลือกอาชีพที่เขาต้องการจะเป็นในอนาคตได้อีกด้วย อย่ารอให้สายเกินไป เพราะเมื่อปลายกระดูกปิดตัวแล้ว ไม่ว่าจะพยายามบำรุงดูแลร่างกายอย่างไร ก็ไม่อาจจะช่วยอะไรได้

พัชรินทร์ 47322814 (ภาคค่ำ)

                           Voice of Life

      เสียงของมนุษย์ จัดเป็นเครื่องดนตรีประเภทเป่าลม อาศัยกล้ามเนื้อท้องและกล้ามเนื้อกระบังลมเป็นตัวควบคุมการเป่า เป็นเสียงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่มีใครเหมือนใคร ด้วยการกำหนดของ DNA และถือว่าเป็นเสียงดนตรีที่ไพเราะที่สุด

เสียงพูดกับชีวิตประจำวัน
   การพูดที่มีคุณภาพสามารถให้ความสุขต่อผู้ฟัง ที่ว่ามีคุณภาพนั้นหมายถึงใช้น้ำเสียงที่ตรงความหมายของประโยค ช่วยให้ผู้ฟังรู้ และเข้าใจประโยคนั้นได้ดียิ่งขึ้น เสียงที่ใช้พูดต้องมีการขัดเกลา มีต้นกำเนิดจากเสียงที่ใส ชัด กังวาน ดังขนาดพอดี  และไม่เร็วมาก โดยจังหวะของเสียงควรมีอัตราเท่ากับการเต้นของหัวใจ สอดคล้องกับพลังงานกายในสภาวะปกติ ซึ่งจะทำให้ผู้ฟังรู้สึกสบาย

เสียงกับสุขภาพ
   พบว่าเสียงมีองค์ประกอบของเสียง 3 ประการ ที่สัมพันธ์กับสุขภาพของมนุษย์ นั่นคือ
   1.ความสูงต่ำของเสียง เสียงสูงมากจะทำให้เกิดความเครียด  เสียงต่ำจะทำให้ผ่อนคลาย คนที่มีช่วงเสียงสูง เนื้อเสียงจะแสดงถึงความมีอำนาจ ปลุกใจ มีพลัง คนเสียงระดับกลาง เป็นเสียงที่แสดงถึงความรักความอบอุ่นได้ชัดเจน คนเสียงต่ำ
   2.ความดังและกังวานของเสียง หรือความเข้มของคลื่นเสียง เสียงเบามากๆ สร้างความรำคาญแก่ผู้ฟัง เสียงดังเกินไปก็ทำให้ผู้ฟังตกใจ ถ้าดังมากกว่า 130 เดซิเบล(เสียงฟ้าผ่า) ก่อให้เกิดความเจ็บป่วย
   3.จังหวะของเสียง จังหวะที่ทำให้สนุกคือจังหวะเร็ว แต่ถ้าเร็วเกินไปผู้ฟังจะเหนื่อย จังหวะช้าฟังแล้วรู้สึกสบาย สงบ อยากพักผ่อน

   ปัจจัยทั้ง 3 ประการสัมพันธ์กับ อัตราการเต้นของหัวใจ การหายใจ ความดันที่เปลี่ยนไป รวมถึงการเกร็งตัวหรือผ่อนคลายของกล้ามเนื้อ การได้ร้องเพลงหรือฟังเสียงดนตรีที่มีความสุข จะทำให้ร่างกายสงบ และหลั่งสาร เอ็นดรอฟิน ซึ่งช่วยลดอาการเจ็บปวดในร่างกาย เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้สดชื่นผ่อนคลาย

มลพิษจากเสียงรอบตัวเรา
   องค์การอนามัยโลกกำหนดว่า เสียงที่ดังเกิน 85 เดซิเบลเอ ทุกความถี่ ถือเป็นมลพิษทางเสียง ถ้าฟังนาน ๆ หรือฟังเสียงกระแทกที่เกิดขึ้นในระยะสั้น ๆที่ดังมาก อาจทำลายประสาทหู

   เสียงเกิน 120 เดซิเบล อาจทำให้สูญเสียการได้ยิน และพบว่าดนตรีที่มีเสียงดังส่งผลให้ปอดเกิดความล้มเหลวได้ เรียกอาการนี้ว่า "นิวโมโธแรกซ์ " เกิดจากช่องว่างระหว่างปอดกับเยื่อเมมเบรนเกิดรูโหว่เมื่อกระทบกระเทือนจาก คลื่นเสียงทีมีความถี่สูง โดยเฉพาะความถี่ของเสียงเบส ซึ่งมีความถี่ต่ำที่รุนแรง มีแรงผลักดันมาก ทำให้เยื่อปอดพองและแฟบลงอย่างรวดเร็ว

   มลพิษทางเสียงทำให้เด็กวัยก่อนเรียนหูตึง อันเป็นสาเหตุให้เด็กพูดช้า การฟังเสียงที่ดังสูงกว่า 80 เดซิเบลยังสัมพันธ์กับพฤติกรรมก้าวร้าว ทำให้ประสาทหูเสื่อมเฉียบพลัน การฟังเสียงดังมากๆ เป็นระยะเวลานานทำให้เจ็บป่วยถาวร ได้แก่ โรคเครียด ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ

ดนตรีเพื่อการบำบัด
ฟังเพลง
   การฟังเพลง ช่วยทำให้สุขภาพจิตดี พัฒนาสมองและระบบความจำ เด็กวัย 4-7 ขวบ ประสาทการรับฟังกำลังพัฒนาเต็มที่ จึงควรให้ฟังเพลงที่หลากหลายและมีคุณภาพ เพลงจะช่วยเรียกความทรงจำบางส่วนของผู้สูงอายุคืนมา ผู้ป่วยมะเร็งที่ได้ฟังเพลงก่อนการบำบัดโรค จะผ่อนคลาย มีสติและกำลังใจ เอื้อผลต่อการรักษาให้ทำได้ง่ายและได้ผลดีขึ้น

   การฟังเพลงเพื่อสุขภาพต้องมีสมาธิ ไม่มีผู้อื่นพูดคุยรบกวน และไม่ควรฟังขณะที่ต้องใช้ความคิด เพราะเวลาฟังเพลง ประสาทหู และสมองต้องทำงานร่วมกัน เพื่อแปลงคลื่นเสียงเข้าสู่ระบบประสาท การมีปัจจัยอื่นรบกวนจะทำให้ทั้งสองส่วนทำงานได้ไม่เต็มที่

   ควรฟังเพลงในห้องที่มีอุณหภูมิพอเหมาะคือ 25 องศาเซลเซียส(อุณหภูมิห้อง) แสงในห้องไม่จ้าเกินไป โดยฟังเพลงจังหวะปานกลางไปหาเร็วในตอนเช้า เพื่อปรับร่างกายและจิตใจให้พร้อมเริ่มต้นวันใหม่ และฟังเพลงสบาย ๆ หลังเลิกงานหรือก่อนนอน เพื่อช่วยคลายความเครียดที่สะสมมาทั้งวัน ปรับสภาพร่างกายให้พร้อมกับการนอน  โดยยึดแนวเพลงที่ชอบเป็นหลัก

ร้องเพลง
   ขณะที่ร้องเพลงร่างกายต้องทำงานประสานกันหลายส่วน จึงช่วยให้อวัยวะที่เกี่ยวกับการเปล่งเสียงและการหายใจทำงานได้ดีขึ้น ปอดแข็งแรง สมองสร้างระบบความจำใหม่ๆ จากทำนอง จังหวะ และภาษาที่แตกต่างไป การร้องเพลงที่ถูกวิธีจะทำให้กล้ามเนื้อเส้นเสียงแข็งแรงทำงานได้มีประสิทธิภาพ ผู้ที่ฝึกร้องเพลงเป็นประจำจึงมีเสียงที่อ่อนกว่าวัย

   การร้องเพลง ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และฝึกฝนจินตนาการ การร้องผสานกับดนตรี จะช่วยให้สมองสร้างระบบในการจำแนกคีย์หรือโน้ตต่าง ๆ ประสาทหูจึงไวต่อเสียง และร้องเพลงไม่เพี้ยน

   เสียงร้องเพลงที่มีคุณภาพ สามารถกระตุ้นเซลล์ประสาทให้ทำงานมีประสิทธิภาพ ความสั่นสะเทือนของคลื่นที่ส่งไปยังโพรงกะโหลกส่วนต่าง ๆ จะช่วยขับเอามูกหรือเสลดที่คั่งค้างอยู่ให้หลุดออกมาได้ง่าย ทำให้โพรงอากาศเหล่านั้นโล่ง หายใจได้ดี คุณภาพเสียงก็จะดีมีความกังวานใสมากขึ้น

   เลือกร้องเพลงในสถานที่ปลอดโปร่ง สะอาด เพราะว่าเวลาร้องเพลงเราต้องหายใจเข้าสู่ร่างกายมากกว่าปกติ อากาศที่เข้าสู่ร่างกายจึงควรเป็นอากาศที่ดี ท่วงท่าในการร้องก็ต้องเหมาะสม คือ ยืนหลังตรง เท้าทั้งสองข้างห่างกันเล็กน้อย ถือเป็นท่าที่ร่างกายเหมาะต่อใช้เสียง ทำให้เสียงที่ร้องออกมามีคุณภาพ  และอบอุ่นเส้นเสียงก่อนใช้เสียงทุกครั้ง ที่สำคัญควรทำสมาธิก่อนการร้องเพลง
 
เล่นดนตรี
   การเล่นดนตรีทำให้เกิดสมาธิ ความมั่นใจ และความภาคภูมิใจกับผู้เล่น ช่วยพัฒนาความสัมพันธ์ของระบบประสาทกับอวัยวะต่างๆของร่างกาย และฝึกถ่ายทอดจิตวิญญาณของตัวเองผ่านเครื่องดนตรี มาเป็นผลงานศิลปะให้ผู้อื่นฟัง

  • ไวโอลิน - เป็นเครื่องดนตรีประเภทสี มีเสียงที่กังวาน นุ่ม  ผู้เล่นจะได้ฝึกความสัมพันธ์ของนิ้วและมือทั้ง 2 ข้าง
  • กลองชุด - เป็นเครื่องดนตรีประเภทตี ฝึกความสัมพันธ์ระหว่าง แขน ขา ทำให้เกิดความแข็งแกร่งของร่างกาย  จังหวะของกลองสอดคล้องกับการเต้นของหัวใจอย่างชัดเจน
  • กีตาร์ -  ฝึกความแข็งแรงของนิ้วมือ เล่นง่ายและสะดวก  สามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้หลายรูปแบบ
  • แซกโซโฟน - ช่วยทำให้ปอดมีความจุและแข็งแรงมากขึ้น  มีผลดีต่อระบบทางเดินหายใจ  เสียงดังของแซกโซโฟนสะกดอารมณ์  ปลุกความรู้สึกมั่นใจ เร้าความรู้สึก ให้กับผู้ฟังและผู้เล่น
  • เปียโน - เป็นเครื่องดนตรีที่ต้องใช้การกดลงบนแป้นคีย์ ทำให้นิ้วมือมีกำลังและเป็นการฝึกแยกประสาทควบคุมมือทั้งสองข้าง เปียโนมีโน๊ตจำนวนมากผู้เล่นจึงคุ้นเคยกับตัวโน๊ต ส่งเสริมให้ประสาทหูในการจำแนกเสียงดี  

การเคลื่อนไหวร่างกายประกอบเสียงเพลง
   เมื่อร่างกายเคลื่อนไหวในอัตราเร็วเท่ากับจังหวะเพลง จะทำให้การเต้นของหัวใจมีความเร็วใกล้เคียงหรือเท่ากับจังหวะเพลงนั้นๆ ซึ่งจำเป็นอย่างมากต่อการรักษาโรคบางอย่าง ที่ต้องควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจ  และความดันโลหิต

   เมื่อเราออกกำลังกายควบคู่กับเสียงดนตรี จะทำให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดรอฟิน ทำให้เกิดความสุข ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค 
 
   ทั้งนี้ เพลงและกิจกรรมที่ใช้ ควรเลือกให้เหมาะสมกับความสามารถของร่างกาย  และอัตราการเต้นของหัวใจที่เปลี่ยนไปตามวัยด้วย เป็นต้นว่า ผู้สูงอายุอาจเลือกเพลงที่มีจังหวะช้า ควบคู่ไปกับการฝึกโยคะ หรือรำมวยจีน คนวัยทำงานอาจเลือกเพลงที่มีจังหวะเร็วประกอบการเต้นแอโรบิค เป็นต้น 

น.ส จุฬารัตน์ พูลอินทะจักร์ เลขที่73

ข้าวกล้องคืออะไร ?

คือข้าวที่สีเอาเปลือก (แกลบ) ออกโดยที่ยังมีจมูกข้าว และเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว (รำ) อยู่ ข้าวกล้องจะมีสีน้ำตาลอ่อน ซึ่งจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวนี้มีคุณค่าอาหารที่มีประโยชน์มาก

สำหรับข้าวขาวที่เรากินๆ กันอยู่นั้น เป็นข้าวที่เกิดจากการขัดสีหลายๆ ครั้ง จนเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวและจมูกข้าวหลุดออกไป จนเหลือแต่เนื้อในของข้าว

ข้าวกล้องบางคนเรียกกันติดปากว่า ข้าวซ้อมมือหรือข้าวแดง เนื่องจากในสมัยโบราณ ชาวบ้านใช้วิธีตำข้าวกินกันเอง จึงเรียกว่า ข้าวซ้อมมือ แต่ปัจจุบันเราใช้เครื่องจักรสีข้าวแทน จึงเรียกข้าวที่สีเอาเปลือกออกนี้ว่า ข้าวกล้อง

ข้าวกล้องมีโปรตีนประมาณ 7-12% (แล้วแต่พันธุ์ข้าว) นักค้นคว้าชื่อ โรสเดล ( Rosedale ) ได้วิเคราะห์ว่า การขัดสีข้าวกล้องจนมีสีขาว จะทำให้โปรตีนสูญหายไปประมาณ 30%

ประโยชน์มากมายของการกินข้าวกล้อง

• ได้วิตามินบีรวม ช่วยป้องกันและบรรเทาอาหารอ่อนเพลีย แขน ขาไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ โรคผิวหนังบางชนิด บำรุงสมอง ทำให้เจริญอาหาร

• ได้วิตามินบี 1 ซึ่งถ้ากินเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคเหน็บชาได้

• ได้วิตามินบี 2 ป้องกันโรคปากนกกระจอก

• ได้ฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน

• ได้แคลเซียม ทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว

• ได้ทองแดง สร้างเมล็ดโลหิต และเฮโมโกลบิน

• ได้ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง

• ได้โปรตีน ช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ

• ได้ไขมัน ให้พลังงานแก่ร่างกาย ไขมันในข้าวกล้องเป็นไขมันที่ดี ไม่มีโคเรสเตอรอล

• ได้ไนอะซิน ช่วยระบบผิวหนังและเส้นประสาท และป้องกันโรคเพลลากรา (โรคที่เกิดจากการขาดไนอะซิน จะมีอาการท้องเสีย ประสาทไหว โรคผิวหนัง)

• ได้คาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานแก่ร่างกาย

• ได้กากอาหาร ข้าวกล้องมีกากอาหารมาก ซึ่งจะทำให้ท้องไม่ผูก และช่วยป้องกันมะเร็งในลำไส้อีกด้วย

• วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ในข้าวกล้องจะช่วยให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

ข้าวกล้องมีอะไรดีกว่าข้าวขาว

ธาตุเหล็ก มีมากเป็น 2 เท่าช่วยป้องกันโลหิตจาง • ข้าวกล้องมีวิตามินบี 1 มากกว่าข้าวขาวประมาณ 4 เท่า ถ้ากินเป็นประจำ จะป้องกันโรคเหน็บชา

• วิตามินบี 2 มีมากจะป้องกันโรคปากนกกระจอก

• วิตามินบีรวม มีมากกว่าจะป้องกัน และบรรเทาอาการอ่อนเพลียและขาไม่มีแรง อาการปวดแสบและเสียวในขา ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ ลิ้นแตกหรือมีแผล ริมฝีปากเจ็บหรือมีแผล โรคผิวหนังบางชนิด โรคปลายประสาทอักเสบ และโรคเกี่ยวกับระบบประสาทบางชนิด

• วิตามินบีรวม ยังบำรุงสมอง ทำให้เรียนเก่งขึ้นและเจริญอาหาร

• ธาตุเหล็ก มีมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโลหิตจาง

• แคลเซียม มีมากกว่า จะทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว

• ไขมัน มีมากกว่าให้พลังงานแก่ร่างกาย

• กากอาหาร มีมากกว่าจะช่วยป้องกันท้องผูก และมะเร็งลำไส้ใหญ่

• เกลือแร่และวิตามินต่างๆ ในข้าวกล้อง มีรวมกัน 20 กว่าชนิด มีหน้าที่ทำให้การทำงานของส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ

• โปรตีน มีมากกว่าช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ

• แป้ง (คาร์โบไฮเดรต) มีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน ส่วนคนที่ผอมจะสมบูรณ์ขึ้น เนื่องจากได้รับสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น

• ประหยัดเงินทอง เพราะเจ็บป่วยน้อยกว่า ข้าวกล้องจะมีราคาถูกกว่า เพราะต้นทุนในการผลิตต่ำกว่า

• มีผลทำให้สุขภาพจิตและสติปัญญาดีขึ้น เพราะสุขภาพกายดีขึ้น

ปริมาณสารอาหารในข้าวขาวกับข้าวกล้อง

สารอาหาร

ข้าวขาว

ข้าวกล้อง

วิตามิน – บี 1

4 จานกว่า

1 จาน

วิตามิน – บี 2

2 จาน

1 จาน

วิตามิน – บี 6

5 จานกว่า

1 จาน

กากข้าว

2 จานกว่า

1 จาน

ผลเสียของการกินข้าวขาว

โรคและอาการต่างๆ ต่อไปนี้ จะลดลงมากหรือป้องกันได้ ถ้ากิน ข้าวกล้อง เป็นประจำ และกินอาหารเพียงพอและถูกหลัก

• โรคเหน็บชา เพราะขาดวิตามิน-บี 1 ข้าวกล้องมีวิตามิน-บี 1 มากกว่าข้าวขาว 385% (พบมากในประเทศที่กินข้าวขาวเป็นอาหารหลัก)

• โรคปากนกกระจอก เพราะขาดวิตามิน-บี 2 ข้าวกล้องมีวิตามิน-บี 2 มากกว่าข้าวขาว 66% (ตามชนบทมีเด็กเป็นโรคปากนกกระจอก 60%)

• โรคโลหิตจาง เพราะขาดธาตุเหล็ก เนื่องจากข้าวกล้องมีธาตุเหล็กมากกว่าข้าวขาว 2 เท่า (ประชากรไทยเป็นโรคโลหิตจาง 40%)

• โรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ (พบมากทางภาคเหนือและภาคอีสาน โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี) เกี่ยวเนื่องจากมาจากการขาดธาตุฟอสฟอรัส และอื่นๆ ซึ่งมีในข้าวกล้อง นอกจากนั้น ฟอสฟอรัสยังช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟันอีกด้วย

• โรคท้องผูก เพราะมีกากอาหารน้อย ข้าวกล้องมีกากอาหารมากกว่า 133% (ข้าวกล้องช่วยป้องกันท้องผูก และมะเร็งลำไส้ใหญ่)

• โรคทางระบบประสาทบางชนิด และโรคปลายประสาทอักเสบ เพราะขาดวิตามินบีรวม ซึ่งมีมากในข้าวกล้อง (วิตามินบีรวม ช่วยบำรุงสมอง ทำให้เรียนเก่งขึ้น และเจริญอาหาร)

• อารมณ์เสียง่ายกว่า หงุดหงิดเพราะชาดวิตามินบีรวม ซึ่งเป็นวิตามินที่เสริมสร้างระบบประสาทของร่างกาย และถ้าระบบประสาทของเราไม่ดี ทำให้เราควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดีนัก

• เบื่ออาหาร เพราะขาดวิตามินบีรวม ซึ่งข้าวกล้องมีมากกว่าข้าวขาว

• โรคขาดโปรตีน ข้าวกล้องมีโปรตีน ร้อยละ 7-12 (เด็กไทยประมาณร้อยละ 40-60 เป็นโรคขาดโปรตีนและพลังงาน) ข้าวกล้องมีโปรตีนมากกว่าข้าวขาว 20-30%

• โรคผิวหนังบางชนิด ขาดวิตามินบีบางตัว

• อ่อนเพลีย รู้สึกเหนื่อยกว่าปกติ ปวดเมื่อยตามตัวและขา เพราะขาดวิตามินบีรวม

• โรคชัก เนื่องจากขาดวิตามิน บี 6 ซึ่งมีมากในข้าวกล้อง

• ข้าวขาวมีแป้ง (คาร์โบไฮเดรต) พอๆ กับข้าวกล้อง แต่มีเกลือแร่และวิตามินต่างๆ น้อยกว่าข้าวกล้อง (ในข้าวกล้องจะมีวิตามินรวมกัน 20 กว่าชนิด) ที่ทำให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเสริมสร้างร่างกายให้สมบูรณ์

จะเห็นได้ว่า ผลเสียของการกินข้าวขาวมีมาก เพราะการขัดสีส่วนที่มีคุณค่าต่อร่างกายออกไป หลายท่านอาจจะกินข้าวขาว เพราะไม่รู้ว่ายังมีข้าวที่มีคุณค่ามากอย่างข้าวกล้องอยู่ จนบางคนไม่เคยรู้จักข้าวกล้องด้วยซ้ำ

คนสมัยโบราณแต่ละบ้านจะตำข้าวกินเอง ซึ่งเรียกว่า ข้าวซ้อมมือ ซึ่งก็คือ ข้าวกล้อง คนสมัยก่อนจึงมีร่างกายแข็งแรง ไม่เป็นโรคอย่างที่คนสมัยนี้เป็นกันเท่าไร เช่น โรคเบาหวาน, หัวใจวาย, มะเร็ง ฯลฯ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ก็เพราะการกินไม่เป็น

นางสาวทิพวรรณ นันต๊ะ เลขที่76

บ้านเราโชคดีที่เป็นประเทศที่มีผลไม้หลากหลายชนิดให้เลือกกินกันได้ไม่มีขาดตลอดทั้งปี แถมราคาก็ยังไม่แพง ได้ของสดๆ ตรงจากสวนจากไร่แทบไม่ต้องง้อผลไม้แช่เย็นจากแดนไกล (เว้นแต่ใครอยากกินผลไม้แปลกใหม่ไม่มีในเมืองไทยก็ไม่ว่ากัน) ซึ่งเรื่องนี้ทำเอาชาวต่างชาติมากมายติดใจไม่น้อย เพราะที่บ้านเมืองเขาอาจซื้อหาผลไม้มากินในราคาถูกแบบนี้ได้ไม่ง่ายนัก

คนส่วนใหญ่ทราบว่าเราควรกินผลไม้เพราะจะได้คุณค่าสารอาหารทั้งคาร์โบไฮเดรต วิตามิน เกลือแร่ กรดอะมิโน กรดไขมันต่างๆ ที่จำเป็น ซึ่งจะเป็นกำลังเสริมให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น ผลไม้บางครั้งยังเป็นเหมือนยาบำบัดที่ธรรมชาติสร้างให้มนุษย์ เช่นในวันที่อากาศร้อนๆ หากได้ลิ้มรสแตงโมสักชิ้นก็ทำให้ฉ่ำชื่นใจคลายร้อนไปได้มาก หรือคุณอาจเคยได้ยินว่ากินกล้วยน้ำว้าแล้วจะทำให้คลายจากท้องผูก แถมยังทำให้อารมณ์ดี เพราะเชื่อว่าในกล้วยมีสาร Tryptophan เมื่อกินเข้าไปจะเปลี่ยนเป็น Serotonin ที่เป็นสารสร้างความสุขให้กับคนเรา แต่ก็เชื่อว่าหลายๆ คนยังมองการกินผลไม้เป็นเรื่องรอง มีก็กิน ไม่มีก็ไม่กิน หรือบางคนตั้งใจกินผลไม้แต่กินผิดเวลา คุณค่าที่ควรจะได้จากผลไม้ที่กินเข้าไปก็เลยลดลงอย่างน่าเสียดาย

ร่างกายคนเราเหมาะจะย่อยผลไม้มากกว่าเนื้อสัตว์

หนังสือขายดีไปทั่วโลกชื่อ Fit for Life ของนักบรรยายเรื่องโภชนาการชาวอเมริกัน ฮาร์วีย์ และมาริลีน ไดมอนด์ ได้เสนอแนวคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับการกินผลไม้จนเราอดไม่ได้ที่ต้องนำมาถ่ายทอดสู่กันฟังว่า ที่จริงแล้วเมื่อสืบค้นถึงประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์มนุษย์ อย่างที่ ดร.อลัน วอล์คเกอร์ นักมานุษยวิทยาคนสำคัญ ได้เผยผลการศึกษาในหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์ เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2522 นั้น ดร.วอล์คเกอร์ได้ศึกษาอย่างละเอียดทั้งจากหลักฐานโครงกระดูกและฟันของมนุษย์ ตลอดจนซากฟอสซิลต่างๆ เขายืนยันว่ามนุษย์นั้นแต่เดิมไม่ใช่เป็นพวกที่กินเนื้อ เมล็ดพืช หรือแม้แต่ผักหญ้าใดๆ หากแต่ดำรงชีวิตอยู่ด้วยการเก็บผลไม้มากิน ธรรมชาติได้สร้างร่างกายคนให้รองรับกับการกินผลไม้เป็นอาหารตั้งแต่ไหนแต่ไรมา เพิ่งมามีช่วงศตวรรษที่ผ่านมานี้เองที่เราหันไปกินเนื้อสัตว์กันมากขึ้นกว่าเดิมมาก ซึ่งผลตามมาก็คือ ร่างกายต้องปรับตัวอย่างหนัก บางครั้งปรับตัวไม่ไหวก็กลายเป็นพิษ เห็นจากอุบัติการณ์เพิ่มขึ้นของโรคหลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน หรือมะเร็งนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งเม็ดเลือด เต้านม ตับ กระเพาะอาหาร ฯลฯ ขณะที่การกินผลไม้เป็นวิธีสำคัญที่ช่วยล้างพิษ เพราะผลไม้ส่วนใหญ่มีน้ำประกอบอยู่ในปริมาณ 80-90% ทั้งมีกากใย จึงช่วยกวาดล้างพิษต่างๆ ซึ่งคั่งค้างในร่างกายให้ออกไปโดยการขับถ่าย ดังนั้นเมื่อรวมกับสารอาหารที่เราได้จากผลไม้แล้ว จึงนับว่าเป็นอาหารที่ให้ประโยชน์กับร่างกายสูงกว่าอาหารอีกหลายชนิด ในข้อแม้ว่าต้องกินอย่างถูกต้องและเหมาะสมจริงๆ

นอกจากให้สารอาหารต่างๆ แล้ว ไดมอนด์ยังยืนยันว่าการกินผลไม้ แม้จะมีน้ำตาล คาร์โบไฮเดรต และแคลอรีสูง แต่ไม่ได้ทำให้เราอ้วนแบบการกินอาหารชนิดอื่นๆ โดยอ้างถึงผลงานวิจัยของ ศ.จูดิท โรแดง จากมหาวิทยาลัยเยล ที่ได้แถลงผลงานวิจัยของเธอในเดือน ต.ค.ปี 2526 เกี่ยวกับน้ำตาลในผลไม้มีผลต่อการกินอาหารมื้อต่อไปได้ลดลง โดยทดลองให้คนดื่มน้ำหวานจากน้ำตาลฟรุคโตสที่ได้จากผลไม้กลุ่มหนึ่ง เปรียบเทียบกับอีกกลุ่มที่ให้กินน้ำหวานจากน้ำตาลซูโครส แล้วให้ทั้งสองกลุ่มกินอาหารมื้อต่อไป พบว่ากลุ่มที่กินน้ำตาลผลไม้จะกินอาหารมื้อต่อไปได้น้อยกว่าอีกกลุ่มเฉลี่ยถึง 479 แคลอรี ขณะที่ ดร.วิลเลียม คาสเทลลี จากฮาร์วาร์ด และศูนย์ศึกษาโรคหัวใจฟรามิงแฮม (แมสซาชูเส็ท) พบว่าสารหลายชนิดที่พบในผลไม้มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหัวใจวายได้ โดยช่วยป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวหนาจนไปอุดตันในหลอดเลือด นอกจากนี้ร่างกายจะใช้เวลาในการย่อยและดูดซึมสารอาหารจากผลไม้ไปใช้ในร่างกายเพียง 20-30 นาทีเท่านั้น แถมยังใช้พลังงานสำหรับการย่อยน้อยมาก (โดยเฉพาะผลไม้ที่มีน้ำมาก เช่น ส้ม องุ่น ในขณะที่หากเป็นกล้วย ทุเรียน อินทผลัม ซึ่งมีน้ำน้อยจะใช้เวลาย่อยนานขึ้น) ซึ่งต่างกับการกินอาหารชนิดอื่น เช่น ข้าว เนื้อสัตว์ ฯลฯ จะต้องใช้พลังงานในการย่อยอย่างสูง ใช้เวลานานตั้งแต่ชั่วโมงครึ่ง ถึง 4 ชั่วโมง หรือหากกินอาหาร หลายๆ อย่างพร้อมกัน เช่น เนื้อสัตว์ แป้ง ในปริมาณมากๆ อาจใช้เวลาย่อยนานถึง 8 ชั่วโมง ใช้พลังงานไปกับการย่อยเต็มที่ ผลก็คือ ทำให้เรารู้สึกเพลีย ง่วงเหงาหาวนอนหลังอาหารมื้อนั้น ซึ่งอาการนี้จะไม่เกิดเลยหลังจากที่เรากินผลไม้เข้าไป

กินผลไม้ตอนท้องว่าง...ได้ประโยชน์สูงสุด

ไดมอนด์เสนอแนวความคิดว่าน้ำและกากใยในผลไม้ช่วยในการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย จึงช่วยลดน้ำหนักได้ และร่างกายจะใช้ประโยชน์จากผลไม้สูงสุดต่อเมื่อคนนั้นต้องกินผลไม้อย่างถูกวิธี คือการกินผลไม้ขณะที่ท้องว่าง ไม่ควรกินผลไม้พร้อมกับหรือหลังอาหารอื่นๆ หรือหากกินผลไม้แล้วจะกินอาหารอื่นตาม ก็ควรรอเวลาอย่างน้อย 20-30 นาทีเพื่อให้ผลไม้ที่กินเข้าไปตกสู่ลำไส้เล็กและดูดซึมสารอาหารจากผลไม้เข้าสู่ร่างกายได้อย่างเต็มที่ การห้ามกินผลไม้หลังอาหารนั้นเพราะเมื่ออาหารตกถึงกระเพาะจะใช้เวลาย่อยประมาณ 4 ชั่วโมง หากกินผลไม้ตามลงไปแทนที่จะผ่านไปยังลำไส้เล็กได้เลยก็จะต้องถูกขัดขวางจากอาหารที่รอการย่อยเหล่านั้น ระหว่างนี้ทั้งอาหารและผลไม้ที่ผสมกันในกระเพาะจึงอาจทำให้เกิดการหมักบูด เกิดแก๊ส ซึ่งมีผลให้เกิดอาการแน่น จุก หรือไม่สบายท้องได้ ทั้งนี้สอดคล้องกับแนวคิดของ ดร.เฮอร์เบิร์ต เอ็ม. เชลตัน ผู้เชี่ยวชาญเรื่องโภชนาการของสหรัฐฯ ที่เน้นว่าคุณค่าของผลไม้จะให้ประโยชน์กับเราเต็มที่เมื่อกินขณะท้องว่าง แต่หากใครที่กินผลไม้ไม่ถูกวิธี แต่ไม่รู้สึกแย่อะไร ก็แสดงว่าร่างกายคุณปรับตัวได้ดี แต่ก็น่าเสียดายที่จะไม่ได้รับคุณค่าของผลไม้เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น

ดังนั้นหากใครที่กินอาหารแล้วต้องการกินผลไม้ตาม ควรรอเวลาให้อาหารที่กินเข้าไปก่อนหน้านั้นย่อยหมดก่อน แล้วจึงค่อยกินผลไม้ หากเป็นอาหารเบาๆ เช่น สลัดผักสด ใช้เวลารอประมาณ 2 ชั่วโมง หรือหากคุณเพิ่งกินอาหารหนักอย่างเช่น ข้าว หรือเนื้อสัตว์ ที่ใช้เวลาย่อยนานขึ้น ก็อาจต้องรออย่างน้อย 4 ชั่วโมง หรือกินอาหารหลายๆ อย่างรวมกัน มีกากใยน้อย ย่อยยากขึ้น ก็อาจใช้เวลามากถึง 8 ชั่วโมงเลยทีเดียว ซึ่งไม่แนะนำให้กินผลไม้ตามไปในช่วงเวลานั้นเลย

ตามแนวคิดนี้ เวลาที่เหมาะสมที่สุดที่ควรจะกินผลไม้หรือดื่มน้ำผลไม้ คือ ช่วงเช้าของทุกวัน ตั้งแต่ตอนตื่นจนถึงเที่ยง เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายสะสมพลังงานไว้เต็มเปี่ยมตลอดคืน ดังนั้นเวลาตื่นจะเป็นช่วงที่ร่างกายสดชื่นที่สุด จึงไม่ควรจะสูญเสียพลังงานที่มีค่าของวันนี้ไปเปล่าๆ กับการย่อยอาหารนานๆ แต่การกินผลไม้ที่ใช้พลังงานในการย่อยต่ำจะช่วยให้เรามีพลังงานเหลือเฟือไว้ใช้ประโยชน์กับกิจกรรมอื่นๆ ของชีวิต และดูดซึมสารอาหารที่ควรจะได้รับอย่างเต็มที่ รวมทั้งได้กากใยช่วยชับของเสียที่สะสมมาจากวันก่อน ทั้งมีส่วนช่วยให้น้ำหนักลดลง โดยที่ในช่วงเวลาดังกล่าวเราสามารถกินผลไม้ได้มากเท่าที่อยากกิน และเว้นระยะประมาณสักครึ่งชั่วโมงจึงค่อยกินอาหารมื้อกลางวัน หากทำแบบนี้ได้เป็นประจำ ร่างกายเราก็จะได้รับสารอาหารสำคัญจากผลไม้เต็มที่ ช่วยให้เราคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวได้ดี มีอายุยืน สุขภาพดี กระชุ่มกระชวย อยู่เสมอ

มาตรฐานคือ ต้อง “ สด ” 100%

ผลไม้ที่เราจะกิน หรือน้ำผลไม้ จะเป็นชนิดไหนก็ได้ สำคัญที่สุดคือ ต้อง “ สด ” 100% ไม่ได้ผ่านความร้อน การหมักดอง หรือการปรุงรสใดๆ เพราะร่างกายเราจะนำไปใช้ประโยชน์ได้มากที่สุดเมื่อมันอยู่ในสภาพธรรมชาติเท่านั้น แต่ผลไม้ที่ผ่านความร้อนปรุงเป็นอาหาร จะสูญเสียคุณค่าในตัวเองไปหมดแล้ว หากเป็นน้ำผลไม้ก็ควรเลือกดื่มชนิดที่คั้นสด 100% จะดีกว่าชนิดที่ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยความร้อน หรือน้ำผลไม้ที่ผสมจากหัวเชื้อเข้มข้น ซึ่งแบบนั้นจะไม่ได้คุณค่าอาหารแบบที่น้ำผลไม้คั้นสดจะให้ได้ ดื่มน้ำผักหรือผลไม้คั้นสดแทนการดื่มชา กาแฟ ในยามเช้า ก็เป็นหนทางสู่การมีสุขภาพดี แถมยังช่วยให้แต่ละวันของคุณเป็นวันที่แจ่มใสได้อีกด้วย

แนวคิดของไดมอนด์ที่ปรากฏในหนังสือนั้นเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการดูแลสุขภาพร่างกายให้สอดคล้องกับที่ธรรมชาติสร้างมา ให้ใครสนใจอาจลองนำไปปฏิบัติตามได้ไม่เสียหลายนะคะ

ได้รับประโยชน์มากเลย ขอคุณครับ

ออกกำลังกาย เวลาไหนดีที่สุด

1.ออกกำลังเพื่อลดน้ำหนัก

ถ้าออกกำลังเพื่อพิฆาตความอ้วน เวลาเช้าๆ นี่ล่ะเหมาะที่สุด เพราะเป็นเวลาที่ร่างกายจะนำคาร์โบไฮเดรต จากอาหารมื้อเย็นของเมื่อวานมาใช้เป็นพลังงาน จึงสลายไขมันและเผาผลาญแคลอรีได้ดีกว่าการออกกำลังกายในตอนเย็นเยอะ

2. ออกกำลังเพื่อฟิตกล้ามเนื้อ

สงสัยหนุ่มๆ คงชอบทำข้อนี้มากกว่าสาวๆ เวลาที่ดีที่สุดสำหรับการฟิตกล้ามคือเวลาในช่วงบ่ายเพราะมี ผลการวิจัยบอกว่า กล้ามเนื้อของเราจะพร้อมและใช้งานได้ดีที่สุดตั้งแต่เวลาเที่ยงเป็นต้นไป ส่วนช่วงเช้า กล้ามเนื้อจะยังตื่นตัวไม่เต็มที่นัก

3. ออกกำลังเพื่อผ่อนคลาย

ถ้าอยากออกแรงเพื่อสลายความเครียด ขอแนะนำให้ไปอัพแอนด์ดาวน์เอาตอนบ่ายๆ หรือจะเย็นไปเลยก็ได้ เพราะการออกกำลังกายช่วงนี้จะทำให้หลับสบายในตอน กลางคืน แต่ถ้าไปออกแรงหนักๆ อย่างนี้ในตอนเช้า เดี๋ยวไปง่วงนอนตอนบ่ายแล้วเจ้านายค้อนเอาไม่รู้ด้วย

4. ออกกำลังเพื่อรับอากาศบริสุทธิ

ก็เป็นเวลาเช้าอยู่แล้ว เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่าเวลานี้เป็นช่วงที่อากาศแจ่มใสที่สุดของวัน การออกกำลังกายเล็กๆ น้อยๆ จะทำให้สมองและร่างกายทุกส่วนรับออกซิเจนได้มากขึ้น จึงจะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาก

-------ไม่ว่าจะออกเวลาไหน แต่อย่างน้อย ใน 1 อาทิตย์ ก็ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 3 วันนะคะเพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเราเอง-------

11 อาหารควรเลี่ยง เมื่อปวดหัว

อาการปวดหัวเป็นอาการที่ฟ้องเราหลายๆ เรื่อง นอกจากการปฏิบัติตัวที่เหมาะสม ทั้งการนอนให้เพียงพอ และพักผ่อนหย่อนใจไล่ความเครียด การกินอาหารอย่างถูกต้องก็มีส่วนช่วยให้หายเร็วขึ้นได้ วันนี้เรามีข้อมูลดีๆ จากคุณหมอเดวิด บุชฮอลส์ จากมหาวิทยาลัยจอนห์ฮอปกินส์ ถึงอาหารที่ควรเลี่ยงเมื่อมีอาการปวดหัวค่ะ

1. เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลมบางชนิด

2. ช็อกโกแลต

3. เนยแข็ง

4. โยเกิร์ต และซาวครีม

5. ถั่วเปลือกแข็งต่างๆ (อัลมอนด์ เม็ดมะม่วง) และเนยถั่ว

6. อาหารผ่านกรรมวิธี เช่น ไส้กรอก ฮอทด็อก เบคอน อาหารกระป๋อง ของหมักดอง

7. เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

8. ผงชูรส

9. ผลไม้ตระกูลส้ม เช่น ส้มต่างๆ มะนาว รวมถึงน้ำผลไม้เหล่านี้

10. ผลไม้อื่นๆ เช่น กล้วย ลูกเกด อะโวคาโด สับปะรด

11. ผักบางชนิด เช่น หอมหัวใหญ่ ถั่วฝักชนิดต่างๆ

หากปวดหัวบ่อยๆ นอกจากปรับอาหารแล้ว การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการปรับพฤติกรรมให้ไม่เครียดก็จำเป็นค่ะ

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)เลขที่ 33

ตรวจมะเร็งเต้านม (Clinical breast exam)

เต้านมเป็นอวัยวะที่เพศหญิงต้องหวงและห่วง เพราะเป็นที่เชิดหน้าชูตาสำหรับบางท่าน ขณะที่บางท่านอาจไม่คิดเช่นนั้น แต่เอาเถอะมีเต้าก็ยังดีกว่าไม่มี ฉะนั้นจึงควรเข้ารับการตรวจมะเร็งเต้านมเป็นประจำ แพทย์จะคลำหาก้อนในเต้านม ซึ่งก้อนที่มีอันตรายจะเป็นก้อนที่มีการขยายขนาดโตขึ้น หรือมีน้ำเหลืองหรือน้ำหนองไหลออกมาจากเต้านม รวมไปถึงเรื่องสีของเต้านม หรือหัวนมที่มีสีผิดปกติ ก็เป็นสัญญาณเตือนภัยให้รู้ได้ว่า มีความผิดปกติเกิดขึ้น

ทำไมต้องตรวจ

เพื่อหาก้อนมะเร็งเต้านม ซึ่งหากตรวจพบแต่เนิ่นๆ จะสามารถรักษาได้ง่ายกว่า โอกาสสูญเสียเต้านมจะน้อยกว่า

ตรวจบ่อยแค่ไหน

แนะนำว่า ควรตรวจเต้านมตั้งแต่อายุ 20 ปี และตรวจทุก 3 ปี แต่เมื่ออายุมากกว่า 40 ปี ควรตรวจมะเร็งเต้านมเป็นประจำทุกปี

การตรวจมะเร็งเต้านมด้วยเครื่องแมมโมแกรม (Mammogram)

นอกจากการตรวจโดยการคลำหาก้อนเนื้อแล้ว ยังมีเทคนิคการตรวจมะเร็งเต้านมทางด้านรังสีรักษา เรียกว่า การตรวจแมมโมแกรม (mammogram) โดยคุณจะต้องแนบทรวงอกเข้ากับแผ่นพลาสติกใส แล้วจึงเอกซเรย์เพื่อดูความผิดปกติของเนื้อเยื่อเต้านม

ทำไมต้องตรวจ

เพื่อค้นหาก้อนผิดปกติในเต้านม หรือก้อนที่สงสัยว่าอาจจะกลายเป็นมะเร็ง โดยมุ่งที่จะหาให้พบตั้งแต่ยังเป็นก้อนเล็กๆ เมื่อพบก้อนเนื้อต้องสงสัยก็จะตัดบางส่วนของก้อนที่พบนำมาตรวจสอบซึ่งเป็นวิธีการที่ทำให้ตรวจพบเซลล์มะเร็งตั้งแต่เริ่มแรกได้แม่นยำวิธีหนึ่ง

ตรวจบ่อยแค่ไหน

หลังจากอายุมากกว่า 40 ปี ควรตรวจแมมโมแกรม ทุก 1 หรือ 2 ปี ขึ้นอยู่กับปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งของแต่ละบุคคล

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์) 006 เลขที่ 30

อาหาร 5 อย่างเพื่อสุขภาพผู้หญิง

แครนเบอรี:

แครนเบอรีมีฤทธิ์ทำให้ปัสสาวะเป็นกรด และยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย การกินแครนเบอรีมีส่วนช่วยป้องกันโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะในผู้หญิงได้

ข้าวโอ๊ต:

วารสารไดอะบีทีส แคร์(การดูแลเบาหวาน)รายงานว่า ผู้หญิงที่มีน้ำหนักเกิน และกินขนมปังเติมข้าวโอ๊ตวันละ 3 ส่วนบริโภค หรือประมาณ 3 แผ่น(ขนาดเท่าแผ่น CD) มีน้ำตาลในเลือดลดลง เมื่อเทียบกับผู้หญิงที่มีน้ำหนักเกิน และกินขนมปังขาว

ถั่วเหลือง:

ผู้หญิงจะสูญเสียมวลกระดูกมากเป็นพิเศษในช่วง 5-7 ปีแรกหลังหมดประจำเดือน โดยจะสูญเสียมวลกระดูกไปปีละ 3-5%

วารสารโภชนาการยุโรปรายงานว่า ผู้หญิงที่กินนมถั่วเหลือง ซึ่งมีสารไอโซฟลาโวนสูง วันละ 2 แก้วป้องกันการสูญเสียมวลกระดูกได้

โยเกิร์ต:

โยเกิร์ตมีส่วนช่วยลดปริมาณเชื้อเอช. ไพโลรี (H. pylori) ที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบ แผลกระเพาะอาหาร และกระตุ้นให้เกิดมะเร็งกระเพาะอาหารบางชนิดได้

วอลนัท:

วารสารโภชนาการรายงานว่า ผู้หญิงที่กินวอลนัท (walnut) ซึ่งเป็นถั่วเปลือกแข็งหรือนัท (nut) ชนิดหนึ่ง วันละ 45 กรัม อย่างน้อย 5 ครั้งต่อสัปดาห์ มีระดับไขมันในเลือดหรือโคเลสเตอรอลรวมลดลง และมีระดับโคเลสเตอรอลชนิดเลว (LDL) ลดลงด้วย

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

การดูแลสุขภาพ

- ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส ทำตัวสบาย ๆ พักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำมาก ๆ ทานอาหารให้เป็นเวลา และเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย หมั่นออกกำลังสม่ำเสมอ ถ้าเป็นหน้าหนาว ให้ทำตัวให้อบอุ่นอยู่ตลอดเวลา ถ้าต้องออกไปกลางแดด ร้อนจัด ให้สวมหมวกกันแดด ใส่แว่นกันแดด ฯลฯ

- หากเจ็บป่วย ให้ใช้บริการของ Student Health Center ของสถานศึกษา โดยทั่วไป นักเรียนไม่ต้องเสียค่าบริการ (บางสถานศึกษาอาจคิดค่าบริการในราคาถูก) เพราะรวมอยู่ในค่าธรรมเนียมหรือค่าเล่าเรียนแล้ว SHC จะให้บริการรักษาพยาบาลกรณีโรคทั่ว ๆ ไป เช่น ปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ ท้องเสีย สำหรับกรณีเจ็บป่วยสาหัส หรือฉุกเฉิน แพทย์ประจำ SHC จะส่งตัวนักเรียนไปคลีนิคหรือโรงพยาบาลที่มีข้อตกลงกับบริษัทประกันสุขภาพ

- หากนักเรียนมีโรคประจำตัว ให้ขอเอกสารทางการแพทย์ ซึ่งครอบคลุมรายละเอียดของโรค ประวัติการรักษาพยาบาล และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง จากแพทย์เจ้าของไข้หรือสถานพยาบาลไทยที่นักเรียนใช้บริการประจำ เพื่อแพทย์ในสหรัฐฯ จะได้ดูแลรักษาได้อย่างถูกต้องและต่อเนื่อง

- นักเรียนทุกคนต้องทำประกันสุขภาพตลอดระยะเวลาที่ศึกษา สำหรับนักเรียนทุนส่วนตัว ให้สอบถามกับสถานศึกษา โดยปกติสถานศึกษาจะจัดหาบริษัทฯ ประกันให้ บางแห่งมีรายชื่อบริษัทฯ และกรมธรรม์หลายลักษณะให้เลือก ให้ศึกษาและเลือกบริษัทฯ และกรมธรรม์ที่เหมาะสม ส่วนนักเรียนทุนรัฐบาล สนร.จะมีหนังสือแนวปฏิบัติให้ทราบเป็นปี ๆ ไป

- สำหรับผู้ซึ่งมีครอบครัวมาด้วย จำเป็นต้องทำประกันสุขภาพให้กับสมาชิกในครอบครัวด้วย เพราะค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่นี่แพงมาก

ของหวาน ของอร่อยที่ต้องระวัง

เด็กกับของหวานนี่เป็นของที่แยกกันไม่ได้เลย ความหวานทำให้เกิดความสดชื่น จนบางคนถือว่าการได้กินของหวานทำให้แจ่มใสมีความสุข

และเกิดอาการติดได้ สิ่งที่เกิดขึ้นว่ากันตามหลักวิทยาศาสตร์ก็ไม่น่ามีอะไรที่เป็นปัญหามาก แต่ตามหลักทางพุทธของเราอะไรที่มากเกินไปก็มักมีปัญหาทั้งนั้นครับ แล้วเด็กจะมีปัญหาอะไรบ้าง เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง

เรื่องของหวาน ๆ นี่ตามธรรมชาติก็เป็นสิ่งที่น่าอภิรมย์สำหรับเด็กและทุกคน เนื่องจากน้ำตาลซึ่งมีรสหวานจะถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้น้ำตาลในกระแสเลือดสูงขึ้นมาในระดับที่ร่างกายต้องการ การกินน้ำตาลมักทำให้อารมณ์ดี มีความกระปรี้กระเปร่าแม้ในขณะที่หิวมาก ๆ ก็ยังรู้สึกดีขึ้นมากถ้าได้กินน้ำตาลหรือน้ำหวานสักแก้ว

ปัญหาก็คือเมื่อกินของที่มีรสหวานก็จะเกิดความอยากบ่อยขึ้นและจะเกิดการติดใจเลยกินไม่เลิก ตอนนี้แหละครับลำบาก ในเด็กนี่เร็วมากครับพอได้ลิ้มชิมรสหวานแล้วละก็ ไม่เอาแล้วของรสจืด เลิกกินกันไปเลย ปัญหาก็คือของที่เราป้อนไม่ว่าจะเป็นข้าว นม ก็เป็นของจืดทั้งนั้น เด็กก็เลยพาลไม่ยอมกินกันเลย จะกินแต่ของหวาน นาน ๆ เข้าก็เลยต้องใส่น้ำตาลในอาหารทุกอย่าง หรือแม้แต่นมก็ต้องมีรสหวาน ทีนี้แหละครับ ปัญหาก็ตามมาเป็นพรวนเลย

เมื่อเด็กกินของหวานเข้า โดยทั่วไปผู้ใหญ่มักจะคิดว่าเด็กจะกินได้มากขึ้น แต่ในเด็กที่ผอมและกินอาหารยากกลับกินไม่ลง ในทางตรงกันข้ามในเด็กที่อ้วนกลับกินไม่พอ เนื่องจากเด็กที่ผอมระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้นจะไปทำให้ระดับฮอร์โมนอินซูลินสูงขึ้น เจ้าฮอร์โมนตัวนี้ทำหน้าที่สองอย่างครับ คือทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงเนื่องจากน้ำตาลถูกนำไปใช้ หน้าที่อีกอย่างก็คือไปกดความต้องการอาหารในเด็ก ในขณะที่เด็กอ้วนนั้นระดับอินซูลินไม่สามารถระงับความต้องการอาหารได้ ก็เลยกินเอา กินเอาไม่ยอมหยุดด้วย ความเอร็ดอร่อย ทีนี้ที่คิดว่าจะแก้ปัญหาให้กินได้มากขึ้นในเด็กผอมก็เลยกลายเป็นสร้างปัญหาไป นอกจากนี้น้ำตาลหวาน ๆ พวกนี้ก็ยังสร้างปัญหาโลกแตกให้คุณหมอฟันมากเลยครับ ลองคิดดูว่าถ้าเด็กเล็กโดยเฉพาะที่อายุน้อยกว่า 3 ขวบนี่ จะแปรงฟันทีก็ยากเย็นแสนเข็ญ ถ้าติดนมหวาน ขนมหวาน แถมติดขวดนมอีก แย่แน่ เพราะจะต้องฟันผุแน่นอนครับ ปัญหาเป็นปัญหาใหญ่มากจนทำให้ที่ประเทศสิงคโปร์โฆษณาชวนเชื่อให้เด็กเลิกของหวานกันเลย แถมในรัฐแคลิฟอร์เนียก็มีข่าวแว่ว ๆ ว่าอาจไม่ให้ขายน้ำโค้ก แสดงว่าเขาเอาจริงครับ แต่ในประเทศเราท่าทางจะยากเนื่องจากความเข้าใจเรื่องนี้มีน้อย ขนาดนมในโรงเรียนยังเป็นนมหวานเลยครับ แต่ก็เป็นที่น่ายินดีที่มีข่าวว่าอีกไม่นาน นมโรงเรียนจะเปลี่ยนเป็นนมจืดทั้งหมดแล้ว แหม น่าดีใจแทนเด็ก ๆ

ความหวานนี่เคยมีคนพิสูจน์มาแล้วว่าทำให้เด็กค่อนข้างซุกซนผิดปกติ แถมยังไม่ค่อยมีสมาธิกับการเรียน ถึงแม้ว่าการศึกษาระยะหลัง ๆ ไม่ค่อยสนับสนุนนัก แต่ก็มีคนที่ค่อนข้างเชื่อว่า สมาธิกับของหวานน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกัน ก็คงต้องรองานวิจัยที่แน่ชัดต่อไป แต่ที่แน่ ๆ ก็คือ ความหวานมีส่วนทำให้เด็กที่อ้วนอยู่แล้ว อ้วนมากขึ้น และอ้วนง่าย เนื่องจากความหวานมีรสอร่อย เด็กก็เลยกินมากเป็นธรรมดา ยิ่งอร่อยยิ่งอยากกิน จนในที่สุดก็อ้วนฉุ เอ บาคนถามว่าน้ำตาลอ้วนได้ยังไง ก็ขอเล่าแจ้งแถลงไปให้ทราบกันเลยว่าน้ำตาลนี่เปลี่ยนไปเป็นไขมันได้นะครับ พออ้วนมาก ๆ เข้า ก็ทำให้มีโอกาสเกิดปัญหาต่าง ๆ มากมาย เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง สำหรับรายละเอียดของโรคเหล่านี้ผมก็เล่าแจ้งไปบ้างใน Health Today ฉบับก่อน ๆ แล้วนะครับ

มีคนมักถามว่าผลไม้หวาน ๆ ล่ะ? กินได้มั้ย คำตอบก็คือว่า ความจริง ถ้ากินผลไม้กันเป็นผล ๆ และกินไม่มากจนเกินไป ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะผลไม้ที่กินทั้งผลมักจะได้กากใยด้วย ซึ่งเป็นผลดีต่อลำไส้และการขับถ่าย แถมทำให้การดูดซึมไม่เร็วไปนัก แต่คนเดี๋ยวนี้ขี้เกียจเคี้ยวกัน จะกินผลไม้ก็ต้องกินแต่น้ำ จะกินผักก็กินแต่น้ำผัก ผมว่าท่าทางจะขี้เกียจเคี้ยวมากไปหน่อย ก็เลยทำให้อดกินของดี ๆ อีกหลายอย่างที่มีในผักและผลไม้ เดี๋ยวนี้เครื่องคั้นผลไม้แบบแยกกากมีขายกันเกร่อ ทำให้กินกันแต่น้ำผลไม้ไม่กินกากกันเลย ความจริงกากผลไม้นั่นแหละครับของดี ส่วนน้ำผลไม้นั่นไม่เท่าไหร่ มีวิตามินนิดหน่อยกับน้ำตาลก็เท่านั้นเอง ถ้ากินมาก ๆ ไปก็ไม่ใช่ว่าจะดีนะครับ บางคนกินน้ำผลไม้วันละเป็นลิตร ๆ เลยได้น้ำตาลไปมากเกินควร ก็อ้วนได้นะครับ

ก็เล่าสู่กันฟังสำหรับของหวานกับเด็ก ผมว่าความจริงแม้ว่าเด็กกับของหวานจะเป็นของคู่กันก็ตาม แต่ก็ไม่จำเป็นต้องให้เด็กกินหรือรู้จักขนมหวานมากนัก อาจให้เด็กกินผลไม้และอาหารที่มีรสหวานได้บ้าง แต่ก็ไม่ควรมากหรือบ่อยเกินไป การกินอาหารรสไม่จัดน่าจะเป็นประโยชน์กับเด็กมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นความเชื่อที่ว่าการกินนมที่มีรสหวานจะทำให้เด็กสามารถกินนมได้มากขึ้นนั้นไม่เป็นจริงอย่างที่คิด แถมยังมีผลเสียมากมาย ที่สำคัญบางคนให้เด็กกินนมเปรี้ยว และโยเกิร์ต ด้วยความหวังว่าเด็กจะได้กินนมบ้าง แต่ไม่ทันคิดว่านมเปรี้ยว และโยเกิร์ต ที่ขายตามท้องตลาดนั้นมีเนื้อนมแค่ประมาณครึ่งเดียว แต่มีน้ำตาลค่อนข้างสูงเด็กทีกิ่นแล้วเลยพาลไม่กินข้าวไปเลย

หากจะพูดเรื่องของน้ำผึ้งคงไม่มีวันจบสิ้นเพราะมีคุณค่าสารพัดประโยชน์เหลือเกิน จนทุกวันนี้มีงานวิจัยเกี่ยวกับน้ำผึ้งออกมาอยู่เรื่อย ๆ

เช่น วิจัยพบน้ำผึ้งแท้สามารถบรรเทาอาการไอจากหวัดได้ดีกว่ายาแก้ไอที่มีจำหน่ายตามท้องตลาดทั่วไป ช่วยให้นอนหลับง่ายในเด็กที่ป่วยเป็นหลอดลมส่วนบนติดเชื้อ ซึ่งเป็นงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย สเตท (The Pennsylvania State University) ประเทศสหรัฐอเมริกา

สำหรับงานวิจัยชิ้นนี้เป็นการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการไอของน้ำผึ้งกับยาแก้ไอสามัญ dextromethorphan (DM) ที่อนุญาตให้จำหน่ายตามร้านขายยาและใช้กันมากที่สุด

อย่างไรก็ดี นักวิจัยกล่าวว่า น้ำผึ้งนั้นไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ขวบ และน้ำผึ้งที่ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย สเตท นี้ศึกษาเป็นน้ำผึ้งชนิดสีเข้มซึ่งมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระด้วย และนักวิจัยระบุว่าเหตุที่น้ำผึ้งสามารถช่วยบรรเทาอาการไอได้นั้นก็เพราะว่ามันทำให้ลื่นคอและรู้สึกผ่อนคลายที่ลำคอ

ตอกย้ำให้เห็นชัดเจนเป็นรูปธรรมว่า น้ำผึ้งสามารถลดการไอได้จริง สำหรับคนไทยอาจใช้น้ำผึ้งผสมน้ำมะนาวบรรเทาอาการไอ ในเรื่องการแก้ไอของน้ำผึ้ง นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพแนะนำให้

ผสมน้ำผึ้ง 3 - 4 ส่วนกับน้ำมะนาว 1 ส่วน ควรเคี่ยวน้ำผึ้งบนเตาไฟให้เดือดก่อน เมื่อปล่อยให้เย็นแล้วค่อยเติมน้ำมะนาวลงไป สามารถเก็บใส่ขวด แบ่งจิบแก้ไอได้บ่อย ๆ เหมาะสำหรับคนทุกวัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก และผู้ที่มีอาการเบื่ออาหารร่วมด้วย นอกจากใช้แก้ไอแล้ว ยังให้พลังงานแก่ร่างกายแทนข้าวได้อีกด้วย และคุณหมอยังได้แนะไว้ว่า...

"น้ำผึ้งมีขายในท้องตลาดหลายยี่ห้อ เช่น น้ำผึ้งจากเกสรลำไย เกสรลิ้นจี่ ดอกทานตะวัน ดอกสาบเสือ เป็นต้น ในแต่ละชนิดสีสันแตกต่างกันไป ที่สำคัญพยายามหลีกเลี่ยงน้ำผึ้งปลอม หรือน้ำผึ้งที่ผสมน้ำตาลทราย เพราะน้ำผึ้งปลอมใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ไม่ได้"

สำหรับน้ำผึ้งผสม (น้ำ) มะนาวนี้ นอกจากจะแก้ไอได้แล้วบางคนยังนำมาพอกหน้าด้วย เขาบอกว่าจะทำให้ใบหน้าสดชื่น เปล่งปลั่ง นุ่มนวล ผ่องใส...แต่ต้องเป็นน้ำผึ้งแท้นะ เพราะหากเป็นน้ำผึ้งปลอมที่เพียงแต่เปิดฝาขวดออกมา มีกลิ่นน้ำอ้อยโชยมาแตะจมูกละก็...มิใช่น้ำผึ้งแท้อย่างแน่

น้ำผึ้งแท้และมีคุณภาพดีจะดูอย่างไร มีวิธีมาบอก โดย หทัยพร ศิรินามารัตนะ แห่งภาควิชาเภสัชเวท คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร บอกไว้ว่า

น้ำผึ้งที่ดีควรมีกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ระบุไว้บนฉลากข้างขวดน้ำผึ้ง เช่น น้ำผึ้งลำไยก็ควรมีกลิ่นของลำไย เป็นต้น น้ำผึ้งต้องมีความหนืด แม้ในอากาศร้อนหรืออุณหภูมิห้อง น้ำผึ้งที่ดีต้องมีสีอ่อนตามธรรมชาติที่ได้เก็บเกี่ยวมา ถ้าน้ำผึ้งมีสีเข้มมากจนดำ แสดงว่าเป็นน้ำผึ้งที่เก็บมานานแล้ว ซึ่งน้ำผึ้งที่เก็บมานานจะมีคุณประโยชน์ลดลงเรื่อย ๆ

ดังนั้นควรดูวันหมดอายุที่ข้างขวด แต่อาจเป็นข้อมูลที่ไม่เที่ยงตรงนัก เพราะน้ำผึ้งอาจถูกเก็บไว้นานเป็นปีก่อนนำมาขาย น้ำผึ้งที่ดีต้องไม่แยกชั้น ต้องอยู่เป็นเนื้อเดียวกัน แม้ในบางครั้งอาจพบน้ำผึ้งเกิดการตกผลึกได้เนื่องจากน้ำผึ้งที่ได้จากการเลี้ยงด้วยดอกไม้ต่างชนิดกัน แต่น้ำผึ้งแท้ที่ตกผลึกนั้นจะมีผลึกเป็นแท่งเหลี่ยมแหลมเปราะบาง และถ้าน้ำผึ้งนั้นตกผลึกทั้งขวดจะมองเห็นสีผลึกเป็นสีเดียวกันทั้งขวดไม่เป็นสีเข้มปนสีอ่อนตกผลึกอยู่ที่ก้นขวด เหนือผลึกขึ้นมาเป็นของเหลวเป็นส่วนมากและสีของเหลวนั้นมักมีสีเข้มกว่าผลึกอย่างเห็นได้ชัด

เราจะเรียกน้ำผึ้งลักษณะนี้ว่า ผึ้งตกตะกอน และสามารถทดสอบน้ำผึ้งที่ตกตะกอนนี้ได้โดยการนำน้ำผึ้งมาแช่ตู้เย็นจะเห็นได้ชัดเจนและรวดเร็วขึ้น น้ำผึ้งต้องสะอาดไม่มีสิ่งเจือปนอื่น ถ้ามีแสดงว่าวิธีการเก็บเกี่ยวไม่ดี ดูแล้วไม่น่าบริโภค ถ้าดูน้ำผึ้งไม่เป็นเลยก็อาจดูจากฉลาก บริษัทผู้ผลิตว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยาหรือไม่ ซึ่งเป็นแนวทางในการเลือกซื้อน้ำผึ้งได้

"น้ำผึ้ง" ที่คนทั่วไปอาจมองแต่เพียงด้านเดียวคือให้คุณประโยชน์ในด้านความหวาน ต่อไปนี้คงได้เห็นถึงคุณค่าและรู้จักใช้ประโยชน์จากน้ำผึ้งให้มากยิ่ง

ไกรสิงห์ / วิทย์ออก67

อาจารย์คับ วันนี้ผมมีวิธีการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพมาให้เพื่อน ๆ ลองอ่านกัน

เพราะการออกกำลังกายมีหลายอย่าง เช่น การออกกำลังกายเพื่อการแข่งขัน เป็นต้น

แต่วันนี้ผมเจอข้อความการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพมา ก็เลยเอามาฝากคับ

ยังไงก็ลองดูนะคับการออกกำลังกายนั้น มีประโยชน์มากมาย ทั้งในด้านการป้องกันโรค และยังเป็นการส่งเสริมสุขภาพ เช่น ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ทำให้สมรรถภาพการทำงานของหัวใจดีขึ้น รวมทั้งปอดและระบบหมุนเวียนของโลหิต กล้ามเนื้อ เอ็น เอ็นข้อต่อ กระดูก ผิวหนังแข็งแรงขึ้น ช่วยลดความเครียด ทำให้นอนหลับดียิ่งขึ้น ช่วยทำให้มีความเชื่อมั่นในตนเองยิ่งขึ้น สง่าผ่าเผย นอกจากนี้ ยังเป็นการชะลอความแก่ หรือ ช่วยให้เป็นผู้สูงอายุที่มีสุขภาพ และ คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ช่วยลดเวลาที่จะต้องใช้หยุดงานจากการเจ็บป่วย โดยรวมแล้ว ยังช่วยให้ประเทศของเราอยู่ในสถานะ ประชาชนมั่งคั่ง และประเทศชาติมั่นคงได้อีกด้วย

เราควรออกกำลังกายอย่างไร

ขึ้นอยู่กับว่าต้องการให้มีพลังแบบไหน ถ้าต้องการพลัง ความอดทน ก็ควรออกกำลังแบบที่ต้องหายใจเอาออกซิเจน เข้าไปในร่างกาย ขณะออกกำลังด้วย ที่เรียกว่า การออกกำลังกายแบบแอโรบิก (Aerobic Exercise) ถ้าอยากมีแรงเยอะๆในชั่วอึดใจ ควรออกกำลังกายแบบกลั้นลมหายใจ แบบที่เรียกว่า แอนแอโรบิก (Anaerobic Exercise)

การออกกำลังกายแบบ แอโรบิก(Aerobic) และ แอนแอโรบิก (Anaerobic) คืออะไร

Aerobic Exercise คือ การออกกำลังกายที่ไม่รุนแรงมาก แต่มีความต่อเนื่อง เช่น เดิน วิ่งเหยาะๆ หรือ

วิ่งทางไกล ว่ายน้ำ ถีบจักรยาน กระโดดเชือก เต้นแอโรบิก ฯลฯ การออกกำลังกายแบบแอโรบิก จึงเป็น วิธีการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ การออกกำลังกายชนิดนี้ใช้ทั้งแป้งและไขมันเป็นพลังงาน จึงควรทำเป็นประจำ

Anaerobic Exercise คือ การออกกำลังกายแบบช่วยกลั้นลมหายใจ เช่น วิ่งระยะสั้น ยกน้ำหนัก เทนนิส เป็นต้น ดังนั้น ไม่ใช่ว่าการออกกำลังกายหรือการเล่นกีฬาอะไรก็ได้ จะดีต่อหัวใจและหลอดเลือดเสมอไป

เราควรออกกำลังกายนานแค่ไหน

โดยทั่วไปแล้ว ควรต้องมีความต่อเนื่องกันประมาณ 20 นาที เป็นอย่างน้อย การออกกกำลังกายเพื่อสุขภาพไม่จำเป็นต้องทำมากกว่านี้ แต่ขอให้ทำอย่างสม่ำเสมอ

เราควรออกกำลังกายบ่อยแค่ไหน

อย่างน้อยควรออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ก็เพียงพอแล้ว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจด้วย แต่ไม่ควรหักโหม ขณะนี้เป็นที่ยอมรับกันในวงการแพทย์แล้วว่า การออกกำลังกายนั้น สามารถสะสมได้ เช่น ถ้าออกกำลังกายครั้งละ 10 นาที อย่างต่อเนื่อง เช่น การเดิน วันละ 3 ครั้ง ก็จะได้ประโยชน์เช่นเดียวกับการใช้เวลาออกกำลังกาย 30 นาทีครั้งเดียว

เราควรออกกำลังกายหนักแค่ไหน

ในการออกกำลังกายแต่ละครั้งนั้น ถ้าจะให้ได้ประโยชน์ ต่อระบบหมุนเวียนโลหิต จะต้องออกกำลังกายให้หัวใจเต้นอยู่ ระหว่าง 60-80% ของความสามารถสูงสุดที่หัวใจของคน ๆ นั้นจะเต้นได้

สูตรในการคำนวณ ความสามารถสูงสุดที่หัวใจจะเต้นได้ คือ 220 – อายุเป็นปี ตัวอย่างเช่น อายุ 50 ปี ก็จะมีความสามารถสูงสุดที่หัวใจจะเต้นได้ คือ 220 – 50 = 170 ครั้ง / นาที ดังนั้น 60-80 % ของ 170 จึงเท่ากับ ชีพจรระหว่าง 102 -136 ครั้ง / นาที ซึ่งเหมาะสมสำหรับคนอายุ 50 ปี กับการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ

ในความเป็นจริงแล้ว การจับชีพจร ในขณะออกกำลังกาย จะทำได้ยาก ถ้าไม่มีเครื่องวัด ดังนั้น จึงควรใช้ความรู้สึกของแต่ละบุคคล คือ ให้เกิดความรู้สึกว่าเหนื่อยนิดหน่อย พอมีเหงื่อออก แต่ยังสามารถพูดคุยกันได้ ระหว่างการออกกำลังกาย แสดงว่ายังไม่หักโหมเกินไป

การออกกำลังกายมีโทษหรือไม่

การออกกำลังกายอาจก่อให้เกิดโทษได้ ถ้าทำไม่ถูกต้อง เช่น

1. การออกกำลังกายที่ไม่เหมาะสมกับอายุ เช่นผู้สูงอายุควรใช้วิธีเดิน หรือเดินเร็ว ๆ แทนที่จะไปเล่น เทนนิส แบดมินตัน ฯลฯ แม้แต่ผู้เล่นเทนนิสเท่านั้นเป็นประจำทุกวัน ยังอาจเป็นโรคหัวใจได้ ดังนั้นการออกกำลังกายต้องให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายและจิตใจ ดังจะเห็นได้ ว่า การรำมวยจีน เป็นคณะ เป็นกลุ่ม จะเปิดโอกาสให้มีการพูดคุย มีเพื่อน แต่การเล่นกีฬาเพื่อแข่งขัน เพื่อจะเอาชนะ จะมีแต่ความเครียด

2. การออกกำลังกายผิดเวลา เช่น เวลาอากาศร้อนจัด จะยิ่งทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น จนอาจเป็นลมชักได้ หรือหลังการรับประทานอาหารเสร็จใหม่ ๆ อาจเป็นโรคหัวใจได้ เพราะเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงหัวใจขณะนั้นมีน้อย

3. การออกกำลังกายในช่วงที่ไม่สบาย เช่น ในขณะที่ท้องเสีย ร่างกายจะขาดน้ำและเกลือแร่ จึงอาจทำให้อ่อนเพลีย เป็นลม เป็นตะคริวได้ เวลาเป็นไข้ ก็ไม่ควรออกกำลังกาย เพราะอาจทำให้เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ถึงกับเสียชีวิตทันทีได้ ขอสรุปว่าถ้าไม่สบายไม่ว่าด้วยอาการใด ๆ ถึงแม้ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร ก็ควรยกเว้นการออกกำลังกายไว้ก่อน

4. การออกกำลังกายโดยไม่อุ่นเครื่องหรือยืดเส้นยืดสาย จงจำไว้ว่า ก่อนออกกำลังกาย จะต้องมีขั้นตอนการอุ่นเครื่องหรือยืดเส้นยืดสาย (warm up) ทุกครั้ง โดยไม่มีข้อยกเว้น

5. การใช้อุปกรณ์กีฬาและสถานที่ ที่ไม่เหมาะสม เช่น รองเท้า ความสั้น–ยาวของอุปกรณ์กีฬาที่ไม่เหมาะสมกับผู้เล่น รวมทั้งสถานที่ ที่ไม่ใช่ลานกีฬา สำหรับการออกกำลังกาย ซึ่งอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ หรือการบาดเจ็บได้

6. การออกกำลังกายอย่างหักโหม เช่น ถ้าวิ่งเพื่อสุขภาพ วิ่งเพียงแค่ 20 นาทีก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องวิ่งถึง 1 ชั่วโมง เป็นต้น

สุดท้าย ผมอยากจะให้ ข้อคิด ในการดูแลสุขภาพ ว่า จงยอม ” ขาดทุนเพื่อกำไร” เช่น ยอมขาดทุนการแสวงหาความสุข จากการเที่ยวเตร่ ทานเหล้า สูบบุหรี่ อดหลับอดนอน มาเป็น การออกกำลังกาย เพื่อกำไร สุขภาพ และคุณภาพชีวิตในอนาคต …ขอบคุณครับ.

จากที่ผมได้ลองอ่านดู ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเนื้อหาที่อาจารย์ได้เคยสอนผมมาทั้งนั้น แต่ยังไงก็มีความรู้เพิ่มเติมใหม่ๆ เพิ่มมาคับ

ที่มา:พ.อ.กิฎาพล วัฒนกูล MD.,MPHM.,FCFPT.

รอง ผอ.กองตรวจโรคผู้ป่วยนอก รพ.พระมงกุฎเกล้า

พัชรินทร์ 47322814 (ภาคค่ำ)

Art Therapy   ศิลปะสะท้อนชีวิต

- ศิลปะบำบัด หรือ Art Therapy     เป็นศาสตร์แห่งการรักษาบุคคลที่มีปัญหาทางอารมณ์และจิตใจ โดยเฉพาะผู้ที่ไม่สามารถถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดออกมาเป็นคำพูด มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์กับคนอื่น เจ็บป่วยจากพิษสุราเรื้อรัง ติดยาเสพติด เบื่ออาหาร มีความพิการทางกายหรือสมอง  ซึ่งการทำงานศิลปะจะช่วยให้บุคคลเหล่านี้ได้แสดงความรู้สึกนึกคิดที่เก็บกดไว้ออกมา  นอกจากจะใช้ในการบำบัดรักษาแล้วศิลปะยังใช้ในการตรวจคนไข้ได้ด้วย โดยนักจิตวิทยาจะวิเคราะห์อาการได้จากผลงาน หรือการแสดงออกของผู้ป่วย

- ดนตรีบำบัด พลังเยียวยาด้วยสุนทรียะแห่งเสียง
คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ดนตรีที่นุ่มนวลฟังสบายๆ ช่วยทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย ปล่อยวางจากทุกสิ่งที่แสนจะยุ่งเหยิงสับสนรอบๆกายได้อย่างง่ายดาย  มนุษย์เรารู้จักการใช้ดนตรีบำบัดมานานแสนนาน ดังที่เมื่อห้าพันปีก่อนชาวอียิปต์ได้เรียกดนตรีว่า "ยาแห่งวิญญาณ"  นับจากนั้นมาได้มีการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่องจนมีการกำหนดรูปแบบและมาตรฐานของวิชาดนตรีบำบัดขึ้น ซึ่งมีการนำไปใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก

- ดนตรีบำบัดทางจิตเวช
 ดนตรีสามารถใช้ทั้งป้องกันและบำบัดโรคที่เกิดจากจิตใจได้หลายประเภท ตั้งแต่โรคเครียด โรคไมเกรน โรคนักบริหาร ก้าวร้าวผิดปกติฯลฯ ในการบำบัดนั้นสามารถทำได้ 2 รูปแบบคือเปิดเพลงให้ผู้ป่วยฟังโดยต้องเลือกท่วงทำนองให้เหมาะกับโรคนั้นๆเช่น  เพลงประเภทบรรเลง หรือเพลงคลาสสิค ช่วยให้รู้สึกสบายและผ่อนคลาย สำหรับผู้ที่เป็นโรคเครียด ไมเกรน ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการซึมเศร้า จะใช้เพลงจังหวะสนุกสนาน ให้รู้สึกคึกคัก มีชีวิตชีวาขึ้น 
ส่วนการบำบัดอีกรูปแบบหนึ่งคือ การบำบัดเป็นกลุ่มประมาณ 6-10 คน เป็นกิจกรรมเคลื่อนไหวส่วนต่างๆของร่างกายไปตามจังหวะเสียงเพลง เพื่อเบนความสนใจเรื่องที่หมกมุ่นอยู่  หรือระบายความเครียด นอกจากนี้ยังทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสปรับตัวเข้าหาสังคมได้มากขึ้นด้วย

- ดนตรีบำบัดโรค
 นอกจากจะมีอิทธิพลต่อจิตใจ อารมณ์ ความนึกคิดแล้ว ดนตรียังช่วยรักษาและฟื้นฟูผู้ป่วยทางกายอย่างได้ผลเป็นรูปธรรมเมื่อใช้รักษาร่วมกับการใช้ยา เช่น ช่วยลดอาการปวดจากโรคมะเร็ง, ปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง, ผู้ป่วยอัมพาต, อาการพิการต่างๆ, ฟื้นฟูสภาพร่างกายหลังผ่าตัด หรือผู้ป่วยที่อยู่โรงพยาบาลเป็นเวลานาน, และผู้ป่วยในภาวะใกล้เสียชีวิต แต่ทั้งนี้การใช้ดนตรีบำบัดโรค ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร และเป็นไปอย่างต่อเนื่องจึงจะได้ผล

 - ดนตรีบำบัดกับเด็กออทิสติก
 ลักษณะทั่วไปของเด็กออทิสติกคือ มีความล่าช้าและผิดปกติทางด้านสังคม ไม่สามารถสร้างสัมพันธภาพกับบุคคล ทางด้านการสื่อความหมาย การพูดและการใช้ภาษา แต่จากการศึกษาวิจัยพบว่า ดนตรีบำบัดช่วยให้เด็กออทิสติกมีพัฒนาการด้านการพูด ความเข้าใจการสื่อความหมายได้ดีขึ้น โดยกิจกรรมดนตรีสามารถจูงใจให้เด็กออทิสติกที่แยกตัวออกจากสังคม ให้มีปฏิสัมพันธ์กับครูและกลุ่มเพื่อน จากการมีส่วนร่วมและการยอมรับบทบาทหน้าที่ของตน ในรูปแบบของกิจกรรมดนตรีที่หลากหลาย

- ดนตรีในชีวิตประจำวัน
 สำหรับคนปกติทั่วไปก็สามารถใช้ดนตรีในการป้องกันรักษาสุขภาพทางกายและจิตด้วยวิธีง่ายๆ เพียงเปิดเพลงบรรเลงในจังหวะช้าฟังสบาย ความนุ่มนวลของเสียงเพลงจะทำให้คุณหลุดออกจากกรอบของความคิด ความวิตกกังวลในขณะนั้น ขณะเดียวกันภายในร่างกาย กระบวนการเมตาโบลิสซึ่มจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง ฯลฯ
 
เพลงที่จังหวะแตกต่างกันย่อมให้ผลที่ต่างกันไป จังหวะช้าจะช่วยลดความเครียด ความเจ็บปวดลงได้ เพลงที่มีจังหวะปานกลาง สนุก เพลิดเพลิน ทำให้รู้สึกสุขสบาย สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนเพลงที่มีจังหวะเร็ว ตื่นเต้นเร้าใจ จะทำให้รู้สึกตื่นตัว อยากออกกำลัง และมีพลังมากขึ้น

- ศิลปะการแสดงเพื่อการบำบัด
ละครก็เป็นศิลปะอีกแขนงหนึ่งที่จะกระตุ้นให้เกิดการปลดปล่อย แสดงความรู้สึก หรือระบายอารมณ์ไม่ดีทั้งหลายที่เก็บกดไว้ในใจออกมา  โดยผู้เข้ารับการบำบัดจะได้สวมบทบาทต่างๆในเหตุการณ์จำลอง เพื่อย้อนกลับไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวเองมาแล้วในอดีตให้เป็นไปอย่างที่ต้องการ แม้ในความเป็นจริงไม่อาจย้อนเวลากลับไปทำอย่างนั้นได้  แต่การทำเช่นนี้จะช่วยให้รู้สึกคลายปมปัญหาในจิตใจลง  นอกจากเจ้าของปัญหาจะรู้สึกดีขึ้นแล้ว เพื่อนร่วมกลุ่มก็สามารถนำละครฉากดังกล่าวเชื่อมโยงเข้ากับประสบการณ์ของตนเอง และสามารถนำไปเป็นต้นแบบในการแก้ปัญหาได้
 
นอกจากการสวมบทบาทตัวละคร อาจจะใช้วิธีแสดงละครใบ้ ละครหุ่นมือ การเล่นกับหน้ากาก ก็ได้

- ละครบำบัดเหมาะกับใครบ้าง
ละครจิตบำบัดสามารถใช้ได้กับผู้ที่มีปัญหาหลากหลายรูปแบบ ใช้ได้กับคนทุกวัยในวงกว้าง ไม่จำกัดเฉพาะผู้ป่วยเท่านั้น ยังรวมไปถึงผู้ที่มีปัญหาความเครียด การเข้าสังคม การทะเลาะเบาะแว้ง อิจฉาริษยา  คนที่ปฏิเสธใครไม่เป็น เด็กที่เริ่มเข้าสู่วัยรุ่นแต่พ่อแม่ไม่รู้จะสอนเรื่องเพศสัมพันธ์หรือเรื่องยาเสพติดอย่างไรก็พาลูกมาทำกิจกรรมนี้ได้  แม้แต่ผู้ที่ไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่อยากค้นพบตัวเอง อยากพัฒนาศักยภาพของตัวเอง เสริมความมั่นใจ หรืออยากทำกิจกรรมที่สนุกสนาน ผ่อนคลาย ก็สามารถทำกิจกรรมดังกล่าวได้

ชิดชนก 47322905 (ภาคค่ำ)

"ภูมิแพ้ทางอาหาร" ร้ายแรงแค่ไหน ?

 

โรคภูมิแพ้คืออะไร 


              โรคภูมิแพ้ คือโรคที่เกิดจากปฏิกิริยาภูมิไวเกินต่อสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งในคนปกติไม่มีปฏิกิริยานี้เกิดขึ้น ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ มีปฏิกิริยาภูมิไวเกินต่อ ฝุ่น ตัวไรฝุ่น เชื้อราในอากาศ อาหาร ขนสัตว์ เกสรดอกไม้ เป็นต้น สารที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิไวเกินนี้เรียกว่า 'สารก่อภูมิแพ้' โรคภูมิแพ้ สามารถแบ่งได้ตามอวัยวะที่เกิดโรคได้เป็น 4 โรคคือ โรคโพรงจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือโรคแพ้อากาศ  โรคตาอักเสบจากภูมิแพ้  โรคหอบหืด โรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง 
              โรคภูมิแพ้ที่เกิดจากอาหาร อาจปรากฏอาการได้ในหลายระบบของร่างกาย โดยอาจเกิดเฉพาะในระบบใดระบบหนึ่งหรือร่วมกันหลายระบบก็ได้ ที่พบบ่อยได้แก่ 


              ระบบผิวหนัง เช่น อาจเป็นลมพิษแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง มีอาการที่ผิวหนังอักเสบ หรือบวมตามผิวหนัง เป็นต้น ที่พบบ่อยในเด็ก พบว่าการแพ้ไข่ หรือนมวัว มักทำให้เกิดผิวหนังอักเสบในทารก ส่วนการแพ้อาหารทะเล เช่น กุ้ง ปู ปลา มักทำให้เกิดลมพิษแบบเฉียบพลัน สารผสมในอาหารเช่นสี สารกันบูด หรือเชื้อราที่ปนเปื้อน อาจทำให้ลมพิษเรื้อรังมีอาการกำเริบขึ้นได้ เป็นต้น 


              ระบบทางเดินอาหาร อาจมีปากอักเสบ แผลในปาก ปวดท้อง ท้องเดิน เลือดออกในทางเดิน อาหาร หรือลำไส้อักเสบ เป็นต้น 


              ระบบหายใจ อาจมีจมูกอักเสบ หลอดลมอักเสบ การบวมของกล่องเสียงและหลอดลม หรือหืดได้ ซึ่งมักเกิดร่วมกับอาการในระบบอื่นด้วย 

             
              อาหารชนิดใดที่เป็นตัวการของการเกิด โรคภูมิแพ้ที่เกิดจากอาหาร 


              ในเด็ก อาหารที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้มีดังนี้คือ นมวัว ไข่ ถั่วลิสง ถั่วเหลือง ข้าวสาลี ปลา

 
              ในผู้ใหญ่ อาหารที่เป็นสาเหตุ คือ นม อาหารทะเล ปลา ถั่ว อย่างไรก็ตามอาหารชนิดอื่นนอกเหนือจากนี้ ก็มีโอกาสแพ้ได้ 

              อาการของโรคภูมิแพ้ที่เกิดจากอาหาร และสาเหตุอื่นๆ 


              อาการของโรคภูมิแพ้ที่เกิดจากอาหาร อาจเกิดขึ้นกับระบบใดๆก็ได้ในร่างกาย ในบางคน อาจมีอาการทันทีที่รับประทานอาหารที่แพ้เข้าไป บางคน อาจมีอาการหลังจากนั้นประมาณ 1-2 ชั่วโมง อาการที่พบอาจเป็นอาการทางระบบทางเดินอาหาร เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน ปวดท้องแบบบิด อาการทางผิวหนัง เช่น การมีผื่นขึ้น ริมฝีปาก ลิ้น ช่องปากบวม อาการทางระบบทางเดินหายใจเช่น หายใจมีเสียงวี๊ด หายใจลำบาก อึดอัด แน่นในลำคอ อาการที่รุนแรงที่สุดคือ อาการช็อค ซึ่งเกิดเนื่องจาก ปฏิกิริยาภูมิแพ้ที่รุนแรง ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างรีบด่วน 
              อาการต่างๆที่กล่าวมานี้ เป็นอาการที่เกิดจาก ปฏิกิริยาภูมิแพ้อย่างเดียวหรือ คำตอบคือ ไม่ใช่ อาการต่างๆ เหล่านี้ อาจเกิดจากสาเหตุอื่นที่ไม่เกี่ยวกับภูมิแพ้ ดังตัวอย่างที่กล่าวไว้เรื่องท้องเดินจากการดื่มนม ซึ่งมีสาเหตุมาจากการขาดเอนไซม์ แลคโตส ซึ่งใช้ในการย่อยนม เป็นต้น 
              สำหรับสาเหตุอื่นๆที่ทำให้เกิดอาการคล้ายโรคภูมิแพ้ ได้แก่ อาการสั่นจากอาหารหรือเครื่องดื่มที่ผสม คาเฟอีน อาการหอบ ที่เกิดจากการสารประกอบอาหารเช่นผงชูรส สารพิษที่ถูกปล่อยจากเชื้อโรคบางชนิดที่อยู่ในอาหาร ทำให้เกิดอาการท้องเดิน การติดเชื้อพยาธิในทางเดินอาหาร โรคของระบบทางเดินอาหารเอง เช่น โรคกระเพาะ โรคทางเดินน้ำดี และสาเหตุทางจิตใจ 

              การวินิจฉัย และสาเหตุที่ทำให้แพ้ 


              ถ้าท่านไม่แน่ใจว่า ท่านเป็นโรคแพ้อาหาร จริงๆหรือไม่ ลองปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้โดยตรง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะทำการซักประวัติคุณอย่างละเอียด คุณจะได้รับคำถามต่างๆมากมายเกี่ยวกับอาการที่คุณเป็น แพทย์อาจให้คุณลองงดอาหารที่สงสัยว่าจะแพ้ และสังเกตุว่า อาการของคุณดีขึ้นหรือไม่ การทดสอบภูมิแพ้ทางผิวหนังไม่ค่อยได้ประโยชน์มากนัก สำหรับสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นอาหาร

 
              การรักษาที่สำคัญที่สุด คือ หาอาหารที่แพ้ให้พบ และหลีกเลี่ยงอาหารที่ร่างกายแพ้ ลองปรึกษาแพทย์ถึงวิธีหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านี้ จากแพทย์ที่ทำการรักษาท่าน 


              การรักษา โรคภูมิแพ้ที่เกิดจากอาหาร ปัจจุบัน การรักษาการแพ้อาหารที่ดีที่สุด คือหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่แพ้ และรับประทานสารอาหารทดแทน ่เช่น ถ้าแพ้นมวัว อาจใช้นมที่มีสูตรพิเศษซึ่งมีโปรตีนชนิดพิเศษแทน ปัจจุบัน เริ่มมีการจำหน่ายนมสำหรับทารกที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้ ในประเทศไทยแล้ว โดยทั่วไป หลังจากเลี่ยงอาหารที่แพ้ มาแล้วช่วงหนึ่ง เช่นประมาณ 1-3 ปี ผู้ป่วยจะสามารถรับประทานอาหารเหล่านั้นได้ อาหารที่มักจะรับประทานได้ หลังจากเลี่ยงมาแล้วช่วงหนึ่ง ได้แก่ นมวัว และไข่ไก่ เนื่องจากร่างกายจะสามารถปรับตัวได้ โดยที่ภูมิคุ้มกันของลำไส้ จะทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้สารแพ้จากอาหารผ่านเข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น ทำให้อาการแพ้ ลดความรุนแรงลง จากการศึกษาจากประเทศออสเตรเลีย พบว่า ร้อยละ 60 ของเด็กที่แพ้นมวัว จะสามารถรับประทานนมวัวได้โดยไม่มีปฏิกิริยา เมื่ออายุ 6 ปี สำหรับผู้ป่วยบางคน เช่น ในผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่แพ้อาหารทะเล เช่นกุ้ง หรือถั่วลิสง และผู้ที่มีอาการแพ้ที่รุนแรง มักจะแพ้สารอาหารเหล่านั้นตลอดชีวิต และจะเกิดอาการซ้ำแล้วซ้ำอีก แม้ว่าจะเลี่ยงอาหารนั้นมานานแล้ว ผู้ป่วยบางคนที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรงอาจจะเกิดอาการได้ ถึงแม้กระทั่งได้กลิ่นหรือควันที่เกิดจากการประกอบอาหาร เช่นควันจากการปิ้งย่างอาหารทะเล ก็จะเกิดอาการได้โดยไม่ต้องรับประทานอาหารนั้นๆ 


              การรักษาสำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรง อาจจำเป็นต้องให้น้ำเกลือในกรณีที่เสียน้ำจากการถ่ายเหลวมากๆ หรือให้ยาฉีดพวก แอดดรีนาลีน ในรายที่มีอาการช็อค ในรายที่มีอาการทางผิวหนัง อาจให้ยาแก้แพ้ ยาต้านฮิสตามีน หรืออาจใช้ยาพวกเสตียรอยด์ในระยะสั้นๆ ผู้ที่มีอาการรุนแรง อาจต้องพกยาฉีดที่มียาแอดดรีนาลีน ชนิดบรรจุเสร็จไว้ติดตัว

ออกกำลังกายลดอ้วน-ป้องกันความจำเสื่อม

เป็นที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าการออกกำลังกายเป็นวิธีการดูแลสุขภาพที่ดีที่สุด นอกเหนือจากการรับประทานที่มีประโยชน์และพักผ่อนอย่างเพียงพอ โดยนอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้แล้ว การออกกำลังกายยังสามารถลดความอ้วน และส่งผลดีต่อสมองของคนเรา ถ้าพูดถึงโรคความจำเสื่อม ทุกคนย่อมรู้ดีว่า มันคืออาการที่คนเราจะหลงๆลืมๆ จำอะไรไม่ค่อยได้ สืบเนื่องมากจากการที่สมองส่วนความจำของนั้นเริ่มเสื่อมถอยลงไปตามกาลเวลา

วิธีป้องกันโรคนี้ก็คือ การเพิ่มเซลล์สมองนั่นเอง ฟังดูอาจดูเหมือนยากแต่จริงๆแล้วง่ายนิดเดียว แค่เพียงหมั่นออกกำลังกายเท่านั้น

จากผลการวิจัยในอเมริกาที่ตีพิมพ์ในนิตรสาร Proceedings Of The National Academy Of Science พบว่า การออกกำลังกาย นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรง ยังช่วยเพิ่มเซลล์สมองในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความจำอีกด้วย และจากการทดลองของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ร่วมกับสถาบันซอล์ก ในแคลิฟอร์เนีย โดยใช้เครื่องMRI สแกนสมองของอาสาสมัคร 11 คน โดยให้อาสาสมัครเหล่านั้น ออกกำลังการแบบเอโรบิค เป็นเวลา3เดือน พบว่า การออกกำลังกาย ทำให้เลือดไหลเวียนไปยัง เดนเทตไกรัสได้มากขึ้น รวมทั้งมีเซล์สมองในส่วนของความทรงความจำ เกิดขึ้นมาใหม่อย่างเห็นได้ชัด

ขณะเดียวกันเรื่องของความอ้วน ก็เป็นสิ่งที่ไม่มีใครปรารถณา โดยเฉพาะคุณสาวๆทั้งหลาย ที่อาจมีหลายคนทดลองใช้วิธีต่างๆในการลดความอ้วนมาแล้วมากมาย แต่ก็ไม่ได้ผลสักที ดังนั้นจึงขอนำเสนอวิธีการลดน้ำหนักตามธรรมชาติที่เห็นผลอย่างรวดเร็ว ซึ่งสามารถลดน้ำหนักได้ถึง 3 กิโลกรัมใน 10 วันมาฝากกัน

เริ่มแรก ควรงดข้าวมื้อเย็นเสียก่อน ส่วนมื้อเช้าและเที่ยงนั้นสามารถทานได้ตามปกติ แต่มื้อเย็นไม่ควรมีข้าวในมื้ออาหาร อาจจะหันไปทานผักสด ผลไม้ หรือน้ำพริกปลาทูก็ได้ หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกของมันๆ และกะทิด้วย

ต่อมาใน 1 อาทิตย์ ควรมีสักวันหนึ่งที่เราจะทานเฉพาะผักและผลไม้อย่างเดียว เช่นมะละกอสุก หรือถ้ามีความมุ่งมั่นมาก จะกินแต่น้ำผลไม้ 3 วันเลยก็ได้ ไม่ผิดสูตร

อีกวิธีนึงคือ ใน 2 วันแรกให้กินแต่ผลไม้ ต่อจากนั้นก็กินทั้งผักสดและผลไม้ชนิดต่างๆกันไปด้วย ทำอย่างนี้จนครบ 10 วัน น้ำหนักจะลดลงไป 3-4 กิโลเลยทีเดียว

แต่ถ้าใครอยากรู้สูตรลดความอ้วนตามแบบฉบับของซูเปอร์โมเดลชื่อดัง เราก็มีมาฝากเช่นกันโดย ในการทานอาหารแต่ละมื้อ ให้เพิ่มจำนวนของผักไว้เยอะๆ เพราะผักมีแคลลอรี่น้อย แต่กินพื้นที่ในกระเพาะมาก ทำให้อิ่มเร็วมีไฟเบอร์สูง ช่วยให้ย่อยง่าย รวมทั้งรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่อีกด้วย

ส่วนอีกวิธีหนึ่งคือ การกินอาหารเฉพาะมื้อเช้ากับกลางวัน เพียงแค่สองมื้อเท่านั้น โดยจะไม่ทานอาหารหลัง 6 โมงเย็นไปแล้ว ส่วนในแต่ละมื้อ ให้เน้นไปที่พวกผักและผลไม้ มื้อกลางวันสามารถทานได้ตามต้องการ แต่ถ้าเลือกได้ก็ทานอะไรที่มันไม่อ้วนมากอย่างก๋วยเตี๋ยว เพราะไม่หนักท้องเหมือนข้าวราดแกง

ใครที่อยากมีรูปร่างดีก็ลองนำวิธีลดน้ำหนักเหล่านี้ไปใช้กันได้ และที่สำคัญอย่าลืมออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยสมองจะได้ไม่ฝ่อ

ทำไมจึงต้องออกกำลังกาย

ฮิปโปเครทส บิดาของวงการแพทย์ชาวกรีก กล่าวไว้หลายพันปีแล้วว่า การออกกำลังกายและรับประทานอาหารที่เหมาะสมเป็นวิธีการดูแลสุขภาพที่ดีที่สุด

ประเทศไทย ใช้งบประมาณในการดูแลสุขภาพ ปีละ 3 แสนล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นทุกๆปีๆ ละ 10-15% ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ไปในการรักษา ซึ่งได้ผลดีไม่เท่าการป้องกันโรค และการเสริมสร้างสุขภาพ ซึ่งจะเป็นการประหยัดงบประมาณ ลดการหยุดงาน และเพิ่มคุณภาพชีวิต

โรคและสาเหตุที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตมากที่สุด คือ

1. โรคหัวใจและหลอดเลือด

2. โรคมะเร็ง

3. อุบัติเหตุและการเป็นพิษ

ซึ่งทั้ง 3 สาเหตุสามารถป้องกันได้ไม่มากก็น้อยด้วยการออกกำลังกาย

โรคที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ

ประเทศไทยมีผู้สูงอายุ (เกิน 60 ปี) ถึง 8.33% (5 ล้านคน) ของประชากร (2543) และจะเพิ่มขึ้นเป็น 15% ใน พ.ศ. 2563 และร่างกายจะมีความเสื่อมตามธรรมชาติเมื่อมีอายุสูงขึ้น (ตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป)

1. โรคหลอดเลือดหัวใจตีบและอุดตัน

2. โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต

3. โรคความดันโลหิตสูง

4. โรคไขมันในเลือดสูง

5. โรคเบาหวาน

6. โรคสมองเสื่อม

7. โรคกระดูกบาง พรุน และหกล้ม ทำให้กระดูกหัก

8. โรคมะเร็งบางชนิด เช่น เต้านม ลำไส้ใหญ่ ฯลฯ

ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถป้องกันได้ด้วยการออกกำลังกายซึ่งยัง :

• ช่วยทำให้หัวใจ ปอด ระบบหมุนเวียนโลหิต กล้ามเนื้อ เอ็น เอ็นข้อต่อ กระดูก ผิวหนัง ฯลฯแข็งแรง ชะลอความแก่

• ลดความอ้วน (ไขมัน) เพิ่มกล้ามเนื้อ (อาจทำให้น้ำหนักไม่ลด)

• ลดไขมันในเลือดโคเลสเตอรอล, ไตรกลิเซอไรท์ (เป็นไขมันที่ไม่ดีถ้ามีมากไป ทำให้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและอุดตัน)

• เพิ่มเอชดีแอล (เป็นไขมันที่ดี ยิ่งสูงยิ่งช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบและอุดตัน)

• ลดความดันโลหิตได้ประมาณ 10-15 มม.ปรอท

• ลดอัตราการเต้นของหัวใจ เป็นการประหยัดการทำงานของหัวใจ

• ช่วยให้ร่างกายนำไขมันมาเป็นพลังงานได้ดีกว่าเดิม

• ลดความเครียด ช่วยทำให้นอนหลับ ความจำดีขึ้น

• เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ

• ช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นตนเอง

• ป้องกันอาการปวดหลัง

• ช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ลดการเจ็บป่วย การหยุดงาน

• ทำให้มีสุขภาพดีทั่วหน้า

• เป็นฐานของความเป็นเลิศทางกีฬา

การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ (aerobic, for health ฯลฯ) ไม่ใช่การออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬาอะไรก็ได้ก็จะดีต่อสุขภาพ

แต่การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ คือ การออกกำลังกาย ที่ใช้กล้ามเนื้อกลุ่มใหญ่ เช่น แขนหรือขา อย่างต่อเนื่อง นานพอ (20-40 นาที) หนักพอ (ให้หัวใจเต้น 70% ของความสามารถสูงสุด ที่หัวใจจะเต้นได้) บ่อยครั้งพอ (อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์) การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ จะต้องทำให้หัวใจ ระบบหมุนเวียนโลหิต และปอดแข็งแรง การออกกำลังกายชนิดนี้ จะต้องใช้ออกซิเจนในการเผาผลาญ พลังงานในการออกกำลังกาย ตัวอย่างของการออกกำลังกาย ที่เป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ คือ การเดิน วิ่ง ว่ายน้ำ ถีบจักรยานอยู่กับที่ เต้นแอโรบิก กระโดดเชือก ฯลฯการออกกำลังกายประเภทนี้ จะใช้แป้งและไขมันเป็นพลังงาน (ซึ่งเป็นการดี เพราะจะช่วยลดไขมัน) ส่วนการออกกำลังแบบ anaerobic (แอนแอโรบิก) เป็นการออกกำลังกายที่หนัก เช่น ยกน้ำหนัก วิ่งเร็ว จะเป็นการออกกำลังกายที่ต้องใช้แป้งอย่างเดียว (ไม่ใช้ไขมัน) จึงเป็นการออกกำลังกาย ที่ไม่ดีถ้าทำอย่างเดียว

ควรออกกำลังกาย แบบแอโรบิกตลอดเวลาเพื่อสุขภาพ เมื่ออยู่ตัวแล้ว จึงอาจเล่นกีฬาประเภทอื่นด้วย เช่น ตีเทนนิส แบดมินตัน เพื่อความบันเทิงหรือสังคม แต่อย่าหยุดออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น อาจเดิน หรือวิ่ง หรือว่ายน้ำ หรือถีบจักรยานอยู่กับที่ หรือเต้นแอโรบิก สัปดาห์ละ 3 ครั้ง (เป็นการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ) เมื่อทำเช่นนี้แล้ว 3 เดือนอาจจะตีเทนนิส หรือตีแบดมินตัน หรือตีกอล์ฟด้วยก็ได้ แต่อย่าหยุดออกกำลังกายแบบแอโรบิก เพราะการตีเทนนิสอย่างเดียว อาจทำให้เสียชีวิตได้

นอกจากนั้น สุภาพสตรีควรพยายามออกกำลังกาย แบบแอโรบิกที่ต้องแบกน้ำหนักตนเองบ้าง เช่น เดิน หรือวิ่ง หรือเต้นแอโรบิก (ไม่ใช่ว่ายน้ำ หรือถีบจักรยาน) เพื่อที่จะให้ร่างกาย สร้างกระดูกได้มากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการป้องกันโรคกระดูกบางหรือพรุน

กินปลาต้านเบาหวาน

ประเทศไทยมี ผู้ป่วยเบาหวานแล้วกว่า 3 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง องค์การอนามัยโลกประเมินว่า ปัจจุบันทั่วโลกมีผู้ป่วยเบาหวาน 194 ล้านคน และจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 300 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2568 ขณะที่

ศ.นพ.สุรัตน์ โคมินทร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนวิทยาคลินิกและโรคเบาหวาน โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า เบาหวานมี 2 ชนิด โดยเบาหวานชนิดที่ 1 เป็นชนิดที่มีความรุนแรงและมักเกิดกับเด็ก เกิดจากความผิดปกติของการอักเสบของตับอ่อนที่อาจเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ส่งผลให้อินซูลินที่ควบคุมน้ำตาลทำงานบกพร่อง ส่วนเบาหวานชนิดที่ 2 มาจากความอ้วนเกิดจากพฤติกรรมการบริโภค ส่งผลให้ตับอ่อนที่ผลิตอินซูลินต้องทำงานหนักมากขึ้น

การบริโภคเนื้อปลาช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงโรคเบาหวานทั้ง 2 ชนิดได้ เพราะโอเมก้า 3 ในปลาจะช่วยลดการอักเสบของตับอ่อนลงได้ นอกจากนี้ปลายังมีคุณภาพโปรตีนที่สูงกว่าเนื้อวัวและเนื้อหมู เรียกว่าเป็นโปรตีนชั้นเลิศ ช่วยให้อิ่มเร็วและย่อยง่าย ป้องกันการเกิดโรคอ้วน ดังนั้นควรกินปลาอย่างสม่ำเสมอ

โอเมก้า 3 มีสารอาหารที่มีอยู่ทั้งในปลาน้ำจืดและปลาทะเล มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวานและหัวใจได้ และช่วยในการพัฒนาเซลล์สมอง ลดไขมันในเลือด และช่วยให้การเต้นของหัวใจเป็นปกติได้ ทั้งนี้มีรายงานการวิจัยของกรมประมงยืนยันว่า ผู้ที่กินปลาน้ำจืดจะไม่มีอาการแพ้ ต่างจากการกินปลาทะเลที่บางคนอาจเกิดอาการแพ้ได้ ดังนั้นผู้ที่มีอาการแพ้ง่ายควรเลือกกินปลาน้ำจืดแทน

นพ.ฆนัท ครุฑกูล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ โภชนวิทยาคลินิกและโรคเบาหวาน โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า ควรกินปลาอย่างน้อย 2 มื้อต่อสัปดาห์ แต่คนไทยกินปลาน้อยมาก เพียง 32 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ขณะที่คนอเมริกันกินปลา 50 กิโลกรัมต่อคนต่อปี และคนญี่ปุ่นกินถึง 69 กิโลกรัมต่อคนต่อปี ทั้งนี้เมื่อเปรียบเทียบคุณค่าสารอาหารในปลาทะเลและปลาน้ำจืด พบว่าไม่แตกต่างกันมาก แต่จะขึ้นอยู่กับประเภทของเนื้อปลามากกว่า โดยเฉพาะโอเมก้า 3 ปลาที่มีไขมันมากก็จะมีปริมาณโอเมก้า 3 มากกว่า เช่น ปลาแซลมอน และปลาสวาย ส่วนปลากลุ่มที่มีไขมันน้อยก็จะมีโอเมก้า 3 น้อยกว่า แต่จะมีปริมาณโปรตีนมากกว่า เช่น ปลากะพง ปลานิล เป็นต้น ดังนั้นจึงไม่เกี่ยวว่าปลาทะเลจะมีโอเมก้า 3 มากกว่าปลาน้ำจืดเสมอไป ต้องดูลักษณะของเนื้อปลาเป็นหลัก อย่างไรก็ตามผู้บริโภคสามารถกินปลาได้จากทั้ง 2 แหล่ง และกินได้ในปริมาณที่ไม่จำกัด

ข้อดีของปลาทะเล คือ มีโปรตีนและไอโอดีนสูง ช่วยป้องกันภาวะขาดสารไอโอดีน แต่มีข้อเสีย คือ อาจมีสารตกค้างจำพวกปรอทและตะกั่วได้ เพราะอาจมีการปนเปื้อนจากน้ำทะเล จากโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยน้ำเสียลงทะเล ขณะที่ปลาน้ำจืดสามารถควบคุมได้ เพราะส่วนใหญ่เป็นการเลี้ยง ในฟาร์ม

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบไข่ปลา ในไข่ปลาแม้ว่าจะมีโอเมก้า 3 สูง แต่ก็มีคอเลสเตอรอลสูงเช่นกัน ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ ควรระมัดระวังไม่ควรกินในปริมาณมาก ส่วนการกินปลาดิบก็ไม่ได้ให้คุณค่าสารอาหารมากกว่าปลาที่ผ่านการปรุงสุกแล้ว เป็นเพียงค่านิยมที่เชื่อว่ามีรสชาติที่ดีกว่า ทั้งยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคจากพยาธิได้

ในบ้านเรามีปลาสวายมาก และราคาถูก แต่มีปริมาณโอเมก้า 3 สูงถึง 2,570 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม เมื่อเปรียบกับปลาแซลมอนพบว่ามีปริมาณโอเมก้า 3 น้อยกว่า โดยอยู่ที่ 1,000-1,700 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ขณะนี้ปลาสวายเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศมาก โดยเฉพาะยุโรป เนื่องจากเป็นปลาเนื้อขาว ซึ่งปลาเนื้อขาวถือว่ามีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าปลาเนื้อสี ดังนั้นปลาสวายจึงมีราคาสูงมากในยุโรป และมีแนวโน้มการส่งออกที่มากขึ้น แต่ในประเทศกลับไม่เป็นที่นิยม.

บทความยาทาเพื่อลดอาการไอ

เป็นข้อมูล ที่ได้รับข้อความจากต่างประเทศที่ได้พบวิธี

ลดการไอ ด้วย

Vicks Vaporub และได้ผล 100% …. ด้วยเนื้อหาโดยสรุป

ดังนี้

มีการวิจัยจาก Canada Reserch Council พบว่า

การทา Vick Vaporub ที่ใต้ฝ่าเท้าและสวมถุงเท้านอน จะ

ลดการไอได้ผล 100%

และถือเป็นการยืนยันจากผู้ที่เคยทดลองทั้งเด็ก และ

ผู้ใหญ่ที่เวลานอนมีอาการไอและสามารถลดการไอได้อย่าง

อัศจรรย์ ( Amazing! )

พวกเราถ้าใครมีปัญหาดังกล่าวก็นำไปลองทำดู

หากใช้ได้ผล....ช่วยแจ้งบอกคนอื่นๆด้วย ถือเป็น

วิทยาทาน

และ ช่วยให้คนหายป่วยจากการไอที่ทุกข์ทรมารจะได้ผลบุญ

อันยิ่งใหญ่

สุดท้าย ขอให้อาการที่เคยไอจงหายไป

– การนอนไม่หลับหรือรู้สึกรำคาญเวลานอนไม่สามารถหลับ

ต่อเนื่องก็จะหมดไป

– ที่สำคัญบุตรหลานที่เคยต้องทนทุกข์กับการกินยาแก้ไอ

อย่างต่อเนื่อง

( อาจมีผลข้างเคียงก็ทำให้ผู้ปกครองหมดกังวลทั้งเรื่อง

รายจ่าย และ ความปลอดภัยของผลข้างเคียงต่อเด็กๆ )

เพื่อสังคมและพวกเราคนไทยทั่วประเทศครับ เพื่อโปรดทราบ

และนำไปลองปฏิบัติ

ชิดชนก 47322905 (ภาคค่ำ)

เดินเร็วห่างไกลโรค

แม้เป็นที่ทราบกันดีกว่า การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพแต่ก็มีบุคคลส่วนหนึ่งที่ไม่สามารถออกกำลังกาย

การเดินจึงเป็นทางเลือกแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ เดินช้า เดินเร็ว และเดินแข่ง

เดินช้า คือ การเดินที่ยังร้องเพลงได้ เพราะผิวปาก ฮัมเพลงได้เพราะ หรือลากเสียงยาวๆ ได้ เช่น การเดินจงกรม เดินซื้อของ เดินเล่น

เดินเร็ว หมายถึง การเดินเร็วติดต่อกันนานกว่า 10 นาทีต่อครั้ง เกินครึ่งชั่วโมงต่อวัน อย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ คนปกติร่างกายแข็งแรงดี ควรเดินด้วยความเร็วได้ประมาณ 400-700 เมตร ในเวลา 6 นาที หรือเดินเร็วจนร้องเพลงไม่ได้ เพราะผิวปาก ฮัมเพลง ลากเสียงยาวๆ ไม่ได้ ถ้าเดินแล้วยังร้องเพลงเพราะ ลากเสียงยาวๆ ได้ แสดงว่ายังเดินช้าอยู่ ถ้าเดินเร็วจนพูดไม่เป็นคำ ไม่รู้เรื่องแล้ว ก็เป็นการเดินแข่ง (เดินเร็วไป)

เดินแข่ง เป็นกิจกรรมทางกายอย่างหนัก คือ เดินเร็วจนกระทั่งพูดไม่เป็นคำ คุยกันไม่รู้เรื่อง เพราะหายใจหอบเหนื่อยมาก หายใจไม่ทัน สำหรับเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ทนทาน ยืดหยุ่นให้ร่างกายผู้ที่ต้องการเดินเพื่อป้องกันหรือรักษาโรคแห่งการพอกพูนสะสม การเดินเร็วก็เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องเดินแข่ง วิ่ง เต้นแอโรบิคก็ได้

ประโยชน์ของการเดิน ทำให้ลดโอกาสเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด ลดหรือควบคุมน้ำหนัก ควบคุมระดับไขมัน คอเลสเตอรอลในเลือด และเพิ่มไขมันดี(แอชดีแอล) ในเลือด ช่วยป้องกันและรักษาโรคความดันสูง ช่วยป้องกันโรคกระดูกบาง กระดูกพรุน เพิ่มความแข็งแกร่งหรือทนทานของกล้ามเนื้อ

แผนการเดินยังช่วยคลายเครียด ทำให้หลับสนิท ลดอาการซึมเศร้า ยิ่งถ้าเดินปรับทุกข์ เดินคุยกับเพื่อนที่รู้ใจ ช่วยให้คลายทุกข์ไปได้มาก ไม่ต้องพึ่งพาบุหรี่ สุรา บริโภควัตถุที่เป็นโทษหรือยาเสพติด เป็นต้น

 

4 อาหารต้านไมเกรน

คุณเคยมีอาการปวดหัวแบบไมเกรนไหมค่ะ

อาจจะมีอาการปวดตุ๊บๆ แถวขมับ หรืออาจปวดบริเวณเบ้าตาเหมือนหัวใจเต้นตุ๊บๆ และมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย ซึ่งเป็นอาการปวดที่สร้างความรำคาญและทรมานให้กับผู้ป่วย

ไมเกรน มักจะพบมากในช่วงวัยรุ่นอายุ 10-25 ปี แต่ก็พบในเด็กอายุ 7-8 ขวบได้ ยิ่งอายุมากขึ้น อาการก็จะลดน้อยลง

การกินอาหารที่จำเป็นบางอย่างช่วยป้องกันไมเกรนได้ ทั้งวิตามินและเร่ธาตุที่สำคัญได้แก่

1. กรดไขมันโอเมก้า-3 จากปลาทะเล จำพวกปลาทู แซลมอน ทูน่า และซาร์ดีนช่วยให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ช่วยบำรุงระบบประสาท และป้องกันไมเกรนได้

2. แมกนีเซียม การวิจัยพบว่ากินแมกนีเซียม 200 มิลลิกรัมเสริมทุกวัน ช่วยลดความถี่ของอาการไมเกรนลง หรืออาจจะกินจากอาหารก็ได้ โดยแมกนีเซียมมีมากในเมล็ดธัญญพืชเต็มรูป เช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโอ๊ต และผักใบเขียว เช่น ปวยเล้ง ผักโขม บรอกโคลี คะน้า

3. แคลเซียมและวิตามินดี ช่วยป้องกันไมเกรนได้เช่นกัน พบมากในผักใบเขียว และถั่ว ส่วนในนมถึงแม้มีแคลเซียมสูง แต่เป็นตัวนำไมเกรนชั้นยอด จึงควรหลีกเลี่ยง

4. นอกจากนี้จากงานวิจัยยังพบว่า การกิน ไรโบฟลาวิน หรือ วิตามินบี 2 ทุกวัน จะช่วยลดจำนวนครั้งการเป็นไมเกรนลง 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งพบมากในธัญพืช ข้าวซ้อมมือ และมันฝรั่ง

สมุนไพรแก้ไข้

อาการไข้

????? ร่างกายของคนเราจำเป็นต้องมีการปรับอุณหภูมิให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสม ไม่เปลี่ยนแปลงไปมาก เมื่อเปรียบเทียบกับการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิของอากาศภายนอก เพื่อให้การทำงานของร่างกายเป็นไปได้อย่างปกติ ศูนย์ที่ทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมินี้อยู่ในสมองส่วนกลาง ซึ่งศูนย์นี้จะมีหน้าท่ควบคุมอุณหภูมิรับสัญญาณจากบริเวณต่างๆของร่างกาย และคอยควบคุมให้ร่างกายเก็บความร้อน สร้างความร้อนเพิ่มหรือลดความร้อนโดยถ่ายเทความออกไปมากขึ้น อุณหภูมิปกติของคนไม่ได้คงที่ตลอดเวลา มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในแต่ละช่วงของวัน โดยเฉพาะในช่วงค่ำ 18.00-20.00 น. อุณหภูมิมักสูงสุดและจะค่อยๆลดลงจนต่ำสุดในเวลาใกล้สว่าง 2.00-4.00 น. และจะเพิ่มสูงขึ้นอีกเช่นนี้ทุกวัน การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเช่นนี้สังเกตเห็นได้ชัดในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่

????ไข้ เป็นอาการ ที่แสดงถึงความผิดปกติของร่างกาย หมายถึง สภาวะที่อุณหภูมิของร่างกายสูงกว่า 37 องศาเซลเซียส ผู้ป่วยจะรู้สึกไม่สบาย ผิวหนังร้อน โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก ลำตัว ซอกรักแร้และขาหนีบ เป็นต้น

?????ไข้จำแนกตามระดับอุณหภูมิได้เป็น 3 ระดับ คือ

?????ไข้ต่ำ อุณหภูมิร่างกายอยู่ระหว่าง 37.0 ํc - 38.9 ํc

?????ไข้ปานกลาง อุณหภูมิร่างกายอยู่ระหว่าง 38.9 ํc - 39.5 ํc

?????ไข้สูง อุณหภูมิร่างกายอยู่ระหว่าง 39.5 ํc - 40.0 ํc

?????สาเหตุของไข้มีมากมาย ดังนี้คือ

1. การติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และโปรโตซัว เช่น ไข้หวัด ไข้มาลาเรีย ไข้จากแผล ฝีหนอง

2. การกระตุ้นจากเหตุผิดปกติบางอย่างในร่างกายที่ไม่ใช่การติดเชื้อ เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

3. ศูนย์ควบคุมอุณหภูมิมิได้รับการกระทบกระเทือนจากความผิดปกติในสมองโดยตรง เช่น เนื้องอกในสมอง เส้นเลือดในสมองแตก

4. ศูนย์ควบคุมอุณหภูมิมิได้รับการกระทบกระเทือนจากเหตุภายนอก เช่น การผ่าตัด การตื่นเต้นสุดขีด เป็นต้น

5. การแพ้ยาหรือเซรุ่ม เช่น ไข้ภายหลังการให้เลือด

6. เหตุอื่นๆ เช่น การออกกำลังกายกลางแดด เป็นต้น

????? การวัดไข้โดยใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า เทอร์โมมิเตอร์ จะช่วยจำแนกความหนักเบาของไข้ได้ง่ายขึ้น ถ้าไม่มีอุปกรณ์ให้ใช้หลังมือสัมผัสหน้าผาก ลำตัว หรือบริเวณอื่นก็พอรู้สึกได้คร่าวๆ

?????อาการไข้ที่ควรส่งโรงพยาบาล

?????อาการไข้ ที่เกิดร่วมกับอาการต่อไปนี้จัดเป็นอาการที่เป็นอันตราย ควรส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว คือ

1. ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัว

2. คอแข็ง ก้มไม่ลง หรือทารกที่มีอาการกระหม่อมโป่งตึง

3. ขากรรไกรแข็ง อ้าปากไม่ค่อยขึ้น

4. กลัวน้ำ

5. ชัก

6. หอบหรือเจ็บหน้าอกรุนแรง

7. ผิวหนังซีดหรือเป็นสีเหลือง หรือมีจุดแดง หรือจ้ำเขียวตามตัว ปวดตามข้อหรือบวม

8. ปวดสีข้าง ปัสสาวะขุ่น

????? สมุนไพรลดไข้ส่วนใหญ่ จะมีฤทธิ์ลดไข้อย่างเดียว ไม่มีฤทธิ์แก้ปวดควบคู่เหมือนยาแผนปัจจุบัน และพบว่าสมุนไพรจำพวกนี้มักจะมีรสขมรับประทานยาก ทั้งวิธีใช้ส่วนใหญ่เป็นวิธีต้ม ไม่มีการกลบกลิ่น รส แต่อย่างไรก็ดี รสขมนี้สามารถทำให้การหลั่งน้ำลายเพิ่มขึ้น กระตุ้นให้อยากอาหาร มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยซึ่งต้องการสารอาหารเพิ่มเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง เช่นเดิม

?????สมุนไพรแก้ไข้ ควรนำมาใช้กับอาการไข้ปานกลางหรือต่ำ และมีข้อควรระวัง ดังนี้ คือ

1. เป็นอาการไข้ที่ไม่นานเกิน 7 วัน

2. ไม่มีอาการร่วมกับไข้ที่รุนแรง เช่น หนาวสั่นมาก ปวดศีรษะรุนแรง เจ็บหน้าอก หรือปวดท้องรุนแรง

3. ไข้ที่เกิดจากการอักเสบที่ผิวหนัง เช่น แผลผุพอง ฝี นอกจากใช้ยาแก้ไข้ ให้ใช้ยาฆ่าเชื้อ พร้อมกับการทำความสะอาดแผลหรือผ่าฝี เพื่อรักษาสาเหตุ

4. ไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ขวบ เพราะเด็กมีความทนต่อยาต่ำกว่าผู้ใหญ่

5. ถ้าใช้สมุนไพรแก้ไข้นาน 3-4 วัน อาการคงเดิมหรือเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวลง ควรเปลี่ยนวิธีการรักษา???

?สมุนไพรลดไข้ ได้แก่

บอระเพ็ด ใช้เถาสดครั้งละ 2 คืบครึ่ง หรือ 30-40 กรัม ตำคั้นเฉพาะน้ำหรือต้มกับน้ำ 3 ส่วนเคี่ยวให้เหลือ 1 ส่วน ดื่มจนหมด วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้าและเย็น หรือดื่มเมื่อมีอาการ

ชิงช้าชาลี ใช้เถาสดยาว 2 นิ้วต่อครั้ง ต้มน้ำ 3 ส่วน เคี่ยวให้เหลือ 1 ส่วน ดื่มก่อนอาหาร วันละ 1-2 ครั้ง หรือเมื่อมีอาการ

ย่านาง ใช้รากแห้งครั้งละ 1 กำมือ (15 กรัม) ต้มน้ำดื่มก่อนอาหาร วันละ 3 ครั้ง

ลักกะจั่น ใช้แก่นที่มีสีแดงหรือที่เรียกว่า จันทน์แดง ประมาณ 5-10 ชิ้น (แต่ละชิ้นกว้างยาวประมาณ 2*3 นิ้ว) สับให้มีขนาดเล็กพอประมาณ ต้มกับน้ำ 6 ถ้วย เคี่ยวให้เหลือ 4 ถ้วย แบ่งดื่มครั้งละครึ่งถ้วยเมื่อมีไข้ หรือใช้ยาประสะจันทน์แดงชนิดผง ละลายน้ำสุกครั้งละ 1 ช้อนกาแฟ

************ไม่น่าเชื่อว่า แม้คนเราจะขับถ่ายปัสสาวะกันมาก ตั้งแต่แรกเกิด แต่หลายคนไม่ทราบวิธีที่ดีที่ทำให้ระบบขับถ่ายปัสสาวะเป็นปกติ วันนี้จะขอเสนอ *************

14 อุปนิสัยที่ดีในการขับถ่ายปัสสาวะ

            อย่ากลั้นปัสสาวะ เมื่อรู้สึกปวดต้องไปปัสสาวะ เวลาปัสสาวะไม่ควรรีบร้อนเบ่งมาก เพราะอาจทำให้หูรูดปัสสาวะชำรุดได้ ควรถ่ายปัสสาวะให้เหลือน้อยที่สุดในหนึ่งครั้ง

            นั่นคือเมื่อรู้สึกถ่ายหมดแล้วให้เบ่งต่ออีกนิดหน่อย ปัสสาวะที่เหลือจะไหลออกมา ไม่ควรบังคับให้ตนเองถ่ายปัสสาวะบ่อย เพราะจะติดเป็นนิสัย เวลาที่เหมาะสมคือ 2-4 ชั่วโมงควรถ่ายปัสสาวะหนึ่งครั้ง ให้สังเกตการถ่ายปัสสาวะ และน้ำปัสสาวะของตนเองทุกครั้งว่า ต้องเบ่งมากผิดปกติหรือไม่

            น้ำปัสสาวะลำพุ่งดีหรือไม่ ลำน้ำปัสสาวะมีขนาดเล็กลงกว่าเดิมหรือไม่ น้ำปัสสาวะมีสีเหลืองใสหรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเป็นอาการผิดปกติที่สามารถบอกโรคได้ อาจจะล้างทำความสะอาดหลังปัสสาวะ แต่อย่าให้บริเวณนั้นเปียกชื้น เพราะอาจเกิดเชื้อราได้ ทางที่ดีหลังปัสสาวะทุกครั้ง ควรซับให้แห้ง

             เมื่อปัสสาวะไม่ออก ต้องหาสาเหตุโดยการไปพบแพทย์ อย่าซื้อยาขับปัสสาวะรับประทานเพราะจะเกิดอันตรายได้ เมื่อเข้าสู่วัยกลางคน การบริหารอุ้งเชิงกรานโดยการขมิบ (ฝ่ายหญิงขมิบช่องคลอด ฝ่ายชายขมิบทวารหนัก) วันละ 100 ครั้ง จะช่วยป้องกันอาการปัสสาวะเล็ด ดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 10 แก้ว หรือหนึ่งลิตร จะช่วยให้น้ำปัสสาวะใส มีจำนวนพอดีและป้องกันภาวะปัสสาวะอักเสบ ก่อนมีเพศสัมพันธ์ และหลังมีเพศสัมพันธ์

            คุณผู้หญิงควรถ่ายปัสสาวะทิ้ง จะช่วยป้องกันการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ น้ำปัสสาวะจะต้องเป็นน้ำเท่านั้น ถ้ามีมูก หนอง น้ำเหลือง เลือดปนออกมา ถือว่าผิดปกติต้องไปพบแพทย์ การขับถ่ายปัสสาวะ ต้องขับถ่ายคล่องไม่มีอาการเจ็บปวด ถ้าปัสสาวะแสบขัดลำบากนับว่าเป็นอาการผิดปกติ ต้องไปพบแพทย์อีกเช่นกัน คนเราทุกคนต้องปัสสาวะทุกวัน วันละ 4-6 ครั้ง

            ถ้าไม่ปัสสาวะเลย 1 วัน ถือว่าตกอยู่ในภาวะอันตราย ต้องไปพบแพทย์โดยด่วน ก่อนเดินทางไกล ก่อนยกของหนัก ควรปัสสาวะทิ้งก่อน

พัชรินทร์ 47322814 (ภาคค่ำ)

Functional Drink ดื่มแล้วฉลาด ชะลอแก่ได้จริงหรือ ?

   สารอาหารทั้ง 5 นี้พบได้มากขึ้นในเครื่องดื่มที่มีขายตามท้องตลาด ซึ่งผู้ผลิตพากันแข่งขันเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคปัจจุบันที่เน้นกระแสรักสุขภาพ เครื่องดื่มทั่วไปที่คุ้นตาจึงพัฒนามาเป็น Functional drink หรือเครื่องดื่มทางเลือก และเพื่อให้เข้าใจว่าสารอาหารทั้ง 5 มีประโยชน์อย่างไร มารู้จักความหมาย หน้าที่ และกลไกการทำงาน รวมทั้งแหล่งอาหารตามธรรมชาติของสารอาหารเหล่านี้กันดีกว่า

แอลกลูตาไธโอน (L-glutathione) หรือกลูตาไธโอน

   ช่วยขจัดสารพิษหรือขับของเสียโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตับ และยังทำหน้าที่เปลี่ยนสารพิษกลุ่มที่ไม่ละลายน้ำ เช่น สารพิษในอาหารปิ้ง ย่าง รมควัน สารพิษจากเชื้อราต่างๆ หรือยาบางชนิดให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้เพื่อให้ร่างกายกำจัดออกได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นผู้ช่วยของเอนไซม์ที่ทำลายอนุมูลอิสระ ซึ่งเสริมการทำงานของวิตามินซีและอี ช่วยป้องกันตับจากการถูกทำลายโดยแอลกอฮอล์และบุหรี่ จึงเป็นจุดเด่นที่ผู้ผลิตเครื่องดื่มบางชนิดนำมาใช้ชูโรง ซึ่งก็ได้ผลตอบรับอย่างดีจากคอแอลกอฮอล์ที่ยังห่วงใยสุขภาพ

   กลูตาไธโอนพบได้ทั่วไปในเนื้อสัตว์ ผลไม้และผัก โดยเฉพาะหน่อไม้ฝรั่ง โดยปกติร่างกาย ผลิตสารนี้ได้เอง นอกจากคนที่เป็นโรคบางชนิด เช่น โรคตับ เบาหวาน ความดัน รวมถึงผู้สูบบุหรี่จัด อย่างไรก็ดีจากรายงานวิจัยของสถาบันวิจัยโภชนาการพบว่า กลูตาไธโอนที่อยู่ในอาหารเสริมหรือเครื่องดื่มนั้นจะถูกดูดซึมเข้าสู่ระบบทางเดินอาหารได้ไม่ดีนัก และไม่ควรรับประทานเกิน 250 มิลลิกรัมต่อวัน ฉะนั้นการโฆษณาว่าเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกลูตาไธโอนแก้เมาค้างและบำรุงตับได้นั้น จึงเป็นการกล่าวอ้างที่ยังไม่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาหรือ อย.

แอลคาร์นิทีน (L-carnitine)

   อีกหนึ่งสารที่ร่างกายสร้างได้เองภายในตับและไต ทำหน้าที่เปลี่ยนกรดไขมันให้เป็นพลังงาน เพื่อให้กล้ามเนื้อทั่วร่างกายนำไปใช้ ไม่ว่าจะเป็นแขน ขา กล้ามเนื้อหัวใจ สมอง และช่วยระบบเผาผลาญ ในเพศชาย แอลคาร์เนทีนยังมีส่วนเพิ่มการผลิตและควบคุมการเคลื่อนที่ของสเปิร์มด้วย ข้อดีของแอลคาร์เนทีนที่ถูกยกมาเป็นจุดขายของผลิตภัณฑ์ คือ ให้พลังงานมากขึ้นจึงเหมาะสำหรับผู้รักการออกกำลังกาย พร้อมทั้งช่วยเผาผลาญไขมัน

   ประโยชน์อื่นๆ ของแอลคาร์เนทีน

  • แอลคาร์เนทีนทำให้เราแก่ช้าลง เพราะเมื่ออวัยวะต่างๆ ได้รับพลังงานเพียงพอ เซลล์ของอวัยวะนั้นๆ ก็จะมีอายุยืนยาวขึ้น
  • ทำให้ค่าไตรกลีเซอไรด์อยู่ในระดับต่ำ พร้อมกันนั้นยังช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) ในเส้นเลือด และช่วยป้องกันโรคหัวใจ
  • ช่วยให้น้ำหนักลดเมื่อเราลดการรับประทานแป้ง
  • ลดความเสียหายของเซลล์ประสาทจากความเครียด ช่วยป้องกันอัลไซเมอร์ในคนอายุน้อย
  • ช่วยในการทำงานของตับและภูมิคุ้มกันของร่างกาย

   สารแอลคาร์เนทีน พบมากในเนื้อแดง นม ผลิตภัณฑ์จากนม ธัญพืช ผักใบเขียว อะโวคาโด ถั่วรับประทานทั้งฝัก อัลฟาฟ่า และผลิตภัณฑ์จากถั่วหมัก ภาวะขาดแอลคาร์เนทีนอาจเกิดได้กับผู้ที่รับประทานมังสวิรัติ รวมทั้งผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยและดูดซึมอาหาร เด็กและสตรีมีครรภ์ไม่ควรได้รับแอลคาร์เนทีนในรูปของผลิตภัณฑ์หรือเครื่องดื่มที่เสริมสารอาหาร

โคเอนไซม์คิวเท็น (Co-enzyme Q10)

   เป็นสารอาหารทำหน้าที่คล้ายวิตามินที่ร่างกายสามารถผลิตได้เอง ทำหน้าที่ดักจับอิเลคตรอนเพื่อส่งให้ไมโตคอนเดรียผลิตพลังงานแก่เซลล์ คิวเทนถูกพบมากในอวัยวะที่ต้องการพลังงานสูง เช่น หัวใจ ตับ กล้ามเนื้อ และสมอง เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแหล่งพลังงานสำคัญของร่างกาย ที่ช่วยให้อวัยวะสำคัญต่างๆ ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และด้วยคุณสมบัติในการดักจับอิเลคตรอนนี่เอง จึงเชื่อกันว่าคิวเทนเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ จนถูกนำมาทำเสริมอาหารในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งเครื่องดื่ม

    ในความเป็นจริง การทำงานของโคเอนไซม์คิวเทนไม่ได้เพียงแค่จับอิเลคตรอนไว้กับตัว แต่ยังส่งผ่านหน้าที่ไปยังส่วนอื่นเพื่อให้เกิดการทำงานครบกระบวน ดังนั้นในทางทฤษฎีแทนที่จะเป็นสารต้านอนุมูลอิสระเพียงอย่างเดียว โคเอนไซม์คิวเทนอาจกลายเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระเสียเองได้ ดังนั้นการบริโภคเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคิวเทน จึงไม่ช่วยต้านอนุมูลอิสระแต่จะไปเพิ่มปริมาณโคเอนไซม์คิวเทน ให้ร่างกายนำไปใช้ได้เลยโดยไม่ต้องสร้างเอง

    นอกจากร่างกายของเราจะสร้างคิวเทนได้เองแล้ว ในสัตว์และพืชบางชนิดยังเป็นแหล่งอุดมโคเอนไซม์คิวเทนเช่นกัน อาทิ ปลาซาร์ดีน แมคเคอเรล แซลมอน อาหารทะเลต่างๆ เครื่องในสัตว์โดยเฉพาะหัวใจ ตับ และไต เนื้อสัตว์ รำข้าว ผลิตภัณฑ์จากถั่ว น้ำมันถั่วเหลือง และบรอคโคลี่ ส่วนแหล่งอุดมสารต้านอนุมูลอิสระจากธรรมชาติคือ ถั่วงอก โดยเฉพาะถั่วงอกหัวโตที่งอกจากเมล็ดถั่วเหลือง จะมีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าถั่วชนิดอื่น และไม่ถูกทำลายเมื่อโดนความร้อน จึงรับประทานได้ทั้งแบบสดและสุก

คอลลาเจน (Callagen)

   เป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง (scleroprotien) ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของ เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน อยู่ในรูปของไฟเบอร์ที่ประกอบด้วยสายไขมัน (peptide chain) 3 สาย ทำให้ผิวหนังมีความชุ่มชื้น ยืดหยุ่น แต่เมื่อเวลาผ่านไปความยืดหยุ่นที่เคยมีก็เสื่อมลง คงไว้แต่ความเหนียวที่เพิ่มมากขึ้น แต่อุ้มน้ำได้น้อยลง ผิวจึงแห้งเหี่ยวยับย่น และด้วยคุณสมบัติเพิ่มความยืดหยุ่นแก่ผิวหนังนี่เอง เครื่องดื่มเสริมคอลลาเจนจึงถือกำเนิดขึ้นมา พร้อมคำบรรยายสรรพคุณที่ว่าช่วยให้ผิวพรรณสวยงาม เต่งตึง แลดูอ่อนกว่าวัย

   แท้จริงแล้วคอลลาเจนในเครื่องดื่มนั้นไม่สามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้โดยตรง ต้องผ่านกระบวนการย่อยเป็นโปรตีนก่อนนำไปใช้ประโยชน์ ฉะนั้นสิ่งที่จะได้รับจากเครื่องดื่มผสมคอลลาเจนจึงเป็นโปรตีนไม่ใช่คอลลาเจนอย่างที่เข้าใจ

   หากอยากเพิ่มคอลลาเจนแก่ผิวแนะนำให้กินอาหารจำพวกหนังสัตว์ เช่น ขาหมู หมูพะโล้ หมูหนาว อาหารเหล่านี้หากนำไปแช่แข็งให้แยกตัวจะเห็นส่วนที่เป็นหนัง ไขมัน และชั้นวุ้นใสๆ ชัดเจน และชั้นวุ้นใสนี่เองที่เรียกว่าคอลลาเจน นอกจากนี้ควรรับประทานผักผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินซีซึ่งเป็นสารตั้งต้นการสังเคราะห์คอลลาเจน เช่น ฝรั่ง ส้ม เบอร์รี่และผลไม้รสเปรี้ยวทั้งหลาย เพียงเท่านี้ผิวพรรณร่างกายก็ดูสดใสสมวัยแล้ว

ซอย เปปไทด์ (Soy Peptide)

   คือ โมเลกุลขนาดเล็กที่สุดของโปรตีนจากถั่วเหลือง ที่พร้อมดูดซึมเพื่อให้ร่างกายนำไปใช้งานได้อย่างเต็มที่ มีผลการทดลองเรื่องซอย เปปไทด์กับการทำงานของสมองโดยทีมวิจัยมหาวิทยาลัยโทโฮคุ ฟุกุชิ เมืองเซนได ประเทศญี่ปุ่นพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับซอย เปปไทด์ 4,000 มิลลิกรัม จะมีปริมาณออกซิเจนในสมองส่วนหน้าเพิ่มขึ้นและฮีโมโกลบินในเลือดเข้มข้นขึ้นด้วย อาจส่งผลดีต่อสมองส่วนหน้าที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความรู้หรือการจดจำ

   ด้วยคุณสมบัตินี้ จึงเป็นที่มาของเครื่องดื่มสกัดจากถั่วเหลืองเข้มข้นเพื่อบำรุงสมองและเพิ่มความฉลาด หากดื่มเพื่อบำรุงสมองนั้นดูจะมีความเป็นไปได้ แต่ดื่มแล้วจะฉลาดจริงหรือไม่ ยังไม่มีคำยืนยันแน่นอน เพราะสมองมนุษย์จะพัฒนาได้ดีที่สุดขณะอยู่ในครรภ์มารดา และเสริมความฉลาดเพิ่มได้ในช่วงขวบปีแรกๆ ฉะนั้น การดื่มซอย เปปไทด์ จึงไม่น่าจะช่วยให้สมองฉลาดขึ้นได้

   ข้อพึงระวังคือ เครื่องดื่มที่ผสมซอย เปปไทด์มีความเข้มข้น อาจทำให้ผู้สูงอายุท้องอืด ลองดื่มน้ำนมถั่วเหลืองแทน ได้ประโยชน์พอกัน แต่ความเข้มข้นน้อยกว่า ร่างกายจึงไม่ต้องใช้พลังงานในการย่อยและดูดซึมมาก ที่สำคัญน้ำนมถั่วเหลืองนอกจากหาซื้อง่าย ราคาไม่แพงแล้ว ยังจัดเป็นสุดยอดเครื่องดื่มธัญพืชปราบมะเร็ง เพราะถั่วเหลืองมีไฟโตเอสโตรเจน ที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการเกิดมะเร็ง ทั้งมะเร็งปากมดลูก และมะเร็งเต้านมในทั้งหญิงและชาย

ชิดชนก 47322905 (ภาคค่ำ)

ธัญพืชเพื่อสุขภาพ

ธัญพืชเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่กำลังมาแรง ผู้บริโภคนิยมผสมในผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม เช่น นม หรือเครื่องดื่มธัญญาหารสำเร็จรูป ดื่มเพื่อบำรุงร่างกาย

ข้าวสาลี

อุดมด้วยสารอาหารมากกว่า 100 ชนิด มีแร่ธาตุหลักๆ ที่ร่างกายต้องการครบถ้วน มี วิตามินกลุ่มบีคอมเพล็กซ์ เป็นแหล่งโปรวิตามินเอสูงที่สุดในบรรดาอาหารต่างๆ ทั้งยังมีวิตามินซี อี และเคในปริมาณมาก

วิตามินและแร่ธาตุสำคัญๆ จะอยู่บริเวณเปลือกข้าวและจมูกข้าว เครื่องดื่มบางชนิดจึงมักผสมจมูกข้าวสาลีเพื่อเพิ่มคุณประโยชน์

นอกจากนี้ต้นกล้าข้าวสาลี ยังมีคลอโรฟิลล์และออกซิเจนสูง นิยมนำมาคั้นดื่มสดๆ เพื่อล้างพิษในร่างกาย

ลูกเดือย

เป็นธัญพืชให้พลังงานสูง และมีโปรตีนคุณภาพสูง ในตำรายาจีนมักใช้ลูกเดือยบดผสมข้าวต้มกินบำรุงกำลังที่สำคัญ ลูกเดือยยังมีสารอาหารอื่นๆ เช่น วิตามินบี 1 วิตามินเอ โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แคลเซียม ใยอาหาร และกรดอะมิโน ช่วยให้หลับง่ายขึ้น

ข้าวโอ๊ต

อุดมด้วยใยอาหารชนิดละลายน้ำได้ ซึ่งทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำเล็กๆ คอยดูดซับอาหารจำพวกน้ำตาล แป้งและไขมันในลำไส้เล็ก และนำพาไปยังระบบขับถ่าย จึงช่วยลดคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดและลดความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ

นอกจากนี้ยังมีใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ ช่วยเร่งให้อุจจาระเคลื่อนผ่านลำไส้ใหญ่ได้เร็วขึ้น มีสรรพคุณในการป้องกันและแก้ท้องผูก ทั้งนี้ ใยอาหารทั้งสองชนิดพบในเปลือกหุ้มเมล็ดข้าวโอ๊ต จึงควรกินข้าวโอ๊ตที่ไม่ขัดสี

องค์กรอาหารและยา สหรัฐอเมริกา แนะนำให้กินข้าวโอ๊ตเป็นประจำเพื่อลดคอเลสเตอรอลและความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ

งาดำ

มีแคลเซียมสูงกว่านมวัวถึง 6 เท่า อุดมด้วยวิตามินบี 1 บี 2 บี 3 บี 5 บี 6 และ บี 9 และวิตามินอีสูง ช่วยบำรุงประสาท การกินงาดำเป็นประจำช่วยให้ร่างกายสดชื่น กระฉับกระเฉง และกระดูกแข็งแรง

ในงาดำมีไขมัน ซึ่งจัดเป็นไขมันคุณภาพดี มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ทั้งยังมีโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด และป้องกันโรคหัวใจ

ในเมล็ดงาดำยังมีกรดอะมิโนบางชนิดที่จำเป็นต่อร่างกายในปริมาณสูง ผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติประจำ ควรกินงาดำร่วมกับถั่วเพื่อให้ได้กรดอะมิโนที่จำเป็นอย่างเพียงพอ

รัตนาภรณ์ 51322617 เลขที่ 34 (ภาคค่ำ)

5วิธีง่ายๆในการลดความอ้วน

1.รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่พยามยามลดอาหารประเภทแป้ง น้ำตาล และไขมัน และไม่ควรงดมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะอาจทำให้คุณรับประทานอาหารมื้อถัดไปมากขึ้น ที่สำคัญควรรับประทานประเภทผักใบเขียว เพราะจะมีใยอาหารอยู่มาก

2.พยายามดื่มน้ำก่อนอาหาร เพื่อถ่วงกระเพาะอาหาร ซึ่งจะทำให้ทานอาหารได้น้อยลง หรือเลือกรับประทานใยอาหารก่อนอาหารประมาณครั้งชั่วโมงแทน

3.เพื่อผลทางจิตวิทยา ควรใช้ภาชนะเล็กลง โดยมีปริมาณอาหารเท่าเดิมเพื่อให้ดูว่ามีอาหารมากขึ้น และควรใช้ช้อนขนาดเล็กเพื่อจะได้รับประทานช้าลง ที่สำคัญควรฝึกเคี้ยวช้า ๆ จะทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง และรู้สึกอิ่มได้เร็วขึ้น

4.หาเวลาออกกำลังกายที่เหมาะสมมากขึ้น มักมีความเชื่อผิด ๆ กันว่า การออกกำลังกายมากขึ้นจะทำให้หิวเร็งและรับประทานอาหารมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว การที่ไม่ได้ออกกำลังกายจะทำให้รู้สึกเบื่อหน่าย จึงมักขจัดความเยื่อนี้ด้วยการรับประทาน การออกกำลังกายจึงเป็นวิธีช่วยลดความเบื่อหน่าย และเพิ่มการใช้พลังงานเพื่อเผาผลาญไขมันสะสมให้ลดน้อยลง

5.สร้างสิ่งจูงใจ หรือทัศนคติดี ๆ ต่อพฤติกรรมใหม่ ๆ เช่น การเขียนข้อความเกี่ยวกับการลดความอ้วน หรือชุดสวย ๆ ในสมัยก่อนที่เคยใส่ได้ เพื่อให้เห็นถึงเป้าหมาย และสามารถกระตุ้นหรือจูงใจให้มีความพยายามมากขึ้น และที่สำคัญที่สุด พยายามพักผ่อนให้มาก ๆ ไม่มีประโยชน์เลย ถ้ามีรูปร่างที่สวยงามอย่างที่ต้องการ แต่ต้องอาศัยอยู่ในโรงพยาบาล เนื่องจากสุขภาพไม่ดี

พัชรินทร์ 47322814 (ภาคค่ำ)

เบาหวานน่ารู้

เบาหวานสามารถแบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ ที่มีอาการ สาเหตุ  ความรุนแรง และการรักษาต่างกัน ได้แก่
 
1.  เบาหวานชนิดพึ่งอินซูลิน (Insulin-dependent diabetes mellitus/ IDDM)  Type I Diabetes  
             เป็นชนิดที่พบได้น้อย แต่มีความรุนแรงและอันตรายสูง มักพบในเด็กและคนอายุต่ำกว่า 25 ปี แต่ก็อาจพบในคนสูงอายุได้บ้าง ตับอ่อนของผู้ป่วยชนิดนี้ จะสร้างอินซูลินไม่ได้เลย หรือได้น้อยมาก เชื่อว่าร่างกายมีการสร้างแอนติบอดีขึ้น ต่อต้านทำลายตับอ่อนของตัวเอง จนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้ ดังที่เรียกว่า "โรค ภูมิแพ้ต่อตัวเอง" หรือ "ออโตอิมมูน (autoimmune)" ทั้งนี้ เป็นผลมาจาก ความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ ร่วมกับการติดเชื้อ หรือการได้รับสารพิษจากภายนอก ผู้ป่วยจำเป็นต้องพึ่งพาการฉีดอินซูลิน เข้าทดแทนในร่างกายทุกวัน จึงจะสามารถเผาผลาญน้ำตาลได้เป็นปกติ มิเช่นนั้น ร่างกายจะเผาผลาญไขมัน จนทำให้ผ่ายผอมอย่างรวดเร็ว  และถ้าเป็นรุนแรง จะมีการคั่งของ สารคีโตน (ketones) ซึ่งเป็นสารที่เกิดจาก การเผาผลาญไขมัน สารนี้จะเป็นพิษ ต่อระบบประสาท ทำให้ผู้ป่วยหมดสติถึงตายได้รวดเร็ว เรียกว่า "ภาวะคั่งสารคีโตน หรือ คีโตซิส (Ketosis)"  
   
2.  เบาหวานชนิดไม่พึ่งอินซูลิน (Non-insulin-dependent diabetes mellitus/ (NIDDM) Type II Diabetes  
             
เป็น เบาหวาน ชนิดที่พบเห็นกันเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมักจะมีความรุน แรงน้อย มักพบในคนอายุมากกว่า 40 ปี ขึ้นไป แต่ก็อาจพบในเด็ก หรือวัยหนุ่มสาวได้บ้าง ตับอ่อนของผู้ป่วยชนิดนี้ ยังสามารถ
สร้างอินซูลิน แต่ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย จึงทำให้มีน้ำตาลที่เหลือใช้ กลายเป็นเบาหวานได้ ผู้ป่วยชนิดนี้ ยังอาจแบ่งเป็นพวกที่อ้วนมากๆ กับพวกที่ไม่อ้วน (รูปร่างปกติ หรือผอม) สาเหตุอาจเกิดจากกรรมพันธุ์ อ้วนเกินไป มีลูกดก จากการใช้ยา หรือพบร่วมกับโรคอื่นๆ ผู้ป่วยมักไม่เกิดภาวะคีโตซิส เช่นที่เกิดกับ ชนิดพึ่งอินซูลิน การควบคุมอาหาร หรือการใช้ยาเบาหวานชนิดกิน ก็มักจะได้ผลในการควบคุม ระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติได้ หรือบางครั้งถ้าระดับน้ำตาลสูงมากๆ ก็อาจต้องใช้อินซูลิน ฉีดเป็นครั้งคราว แต่ไม่ต้องใช้อินซูลินตลอดไป จึงถือว่าไม่ต้องพึ่ง อินซูลิน 

สาเหตุ
             โรคนี้เกิดจากตับอ่อน สร้างฮอร์โมนอินซูลิน (lnsulin) ได้น้อยหรือไม่ได้เลย ฮอร์โมนชนิดนี้ มีหน้าที่คอยช่วยให้ร่างกาย เผาผลาญน้ำตาลให้เป็นพลังงาน  เมื่ออินซูลินในร่างกายไม่พอ หรือมีพอแต่ใช้ไม่ได้ น้ำตาลก็ไม่ถูกนำไปใช้ จึงเกิดการคั่งของน้ำตาลในเลือด และอวัยวะต่างๆ เมื่อน้ำตาลคั่งในเลือดมากๆ ก็จะถูกไตกรองออกมาในปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะหวาน หรือมีมดขึ้นได้ จึงเรียกว่า เบาหวาน ผู้ป่วยมักจะมีอาการ ปัสสาวะบ่อยและมาก  เนื่องจากน้ำตาลที่ออกมาทางไต จะดึงเอาน้ำออกมาด้วย จึงทำให้มีปัสสาวะมากกว่าปกติ เมื่อถ่ายปัสสาวะมาก ก็ทำให้รู้สึกกระหายน้ำ ต้องคอยดื่มน้ำบ่อยๆ เนื่องจากผู้ป่วยไม่สามารถนำ น้ำตาลมาเผาผลาญเป็นพลังงาน จึงหันมาเผาผลาญกล้ามเนื้อ และไขมันแทน ทำให้ร่างกายผ่ายผอม ไม่มีไขมัน กล้ามเนื้อฝ่อลีบ อ่อนเปลี้ย เพลียแรง นอกจากนี้ การมีน้ำตาลคั่งอยู่ในอวัยวะต่างๆ ทำให้อวัยวะต่างๆ เกิดความผิดปกติ และนำมาซึ่งภาวะแทรกซ้อนมากมาย โรคนี้มักมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ กล่าวคือ มักมีพ่อแม่ หรือญาติพี่น้อง เป็นโรคนี้ด้วย

              นอกจากนี้ ยังอาจมีสาเหตุอย่างอื่น เช่น อ้วนเกินไป (หรือกินหวานมากๆ จนอ้วน ก็อาจเป็นเบาหวานได้) มีลูกดก หรือเกิดจากการใช้ยา เช่น สเตอรอยด์, ยาขับ ปัสสาวะ, ยาเม็ดคุมกำเนิด หรืออาจพบร่วมกับโรคอื่นๆ เช่น ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง, มะเร็งของตับอ่อน, ตับแข็งระยะสุดท้าย, โรคฟีโอโครโมไซโตมา (Pheochromocytoma)  ซึ่งเป็นเนื้องอกของต่อมหมวกไตชนิดหนึ่ง, โรคคุชชิง  เป็นต้น

ชิดชนก 47322905 (ภาคค่ำ)

ข้าวกล้อง วิตามิน...เพียบ

 

ข้าวกล้องคืออะไร
                   คือข้าวที่สีเอาเปลือก (แกลบ) ออกโดยที่ยังมีจมูกข้าว และเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว (รำ) อยู่ ข้าวกล้องจะมีสีน้ำตาลอ่อน ซึ่งจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวนี้มีคุณค่าอาหารที่มีประโยชน์มาก สำหรับข้าวขาวที่เรากินๆ กันอยู่นั้น เป็นข้าวที่เกิดจากการขัดสีหลายๆ ครั้ง จนเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวและจมูกข้าวหลุดออกไป จนเหลือแต่เนื้อในของข้าว  ข้าวกล้องบางคนเรียกกันติดปากว่า ข้าวซ้อมมือหรือข้าวแดง เนื่องจากในสมัยโบราณ ชาวบ้านใช้วิธีตำข้าวกินกันเอง จึงเรียกว่า ข้าวซ้อมมือ แต่ปัจจุบันเราใช้เครื่องจักรสีข้าวแทน จึงเรียกข้าวที่สีเอาเปลือกออกนี้ว่า ข้าวกล้อง  ข้าวกล้องมีโปรตีนประมาณ 7-12% (แล้วแต่พันธุ์ข้าว) นักค้นคว้าชื่อ โรสเดล ( Rosedale ) ได้วิเคราะห์ว่า การขัดสีข้าวกล้องจนมีสีขาว จะทำให้โปรตีนสูญหายไปประมาณ 30%

ประโยชน์มากมายของการกินข้าวกล้อง 
                  • ได้วิตามินบีรวมช่วยป้องกันและบรรเทาอาหารอ่อนเพลีย แขน ขาไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ โรคผิวหนังบางชนิด บำรุงสมองทำให้เจริญอาหาร 
                  •
ได้วิตามินบี 1 ซึ่งถ้ากินเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคเหน็บชาได้ 
                  •
ได้วิตามินบี 2 ป้องกันโรคปากนกกระจอก 
                  •
ได้ฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน 
                  •
ได้แคลเซียม ทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว 
                  •
ได้ทองแดง สร้างเมล็ดโลหิต และเฮโมโกลบิน 
                  •
ได้ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง 
                  •
ได้โปรตีน ช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ 
                  •
ได้ไขมัน ให้พลังงานแก่ร่างกาย ไขมันในข้าวกล้องเป็นไขมันที่ดี ไม่มีโคเรสเตอรอล 
                  •
ได้ไนอะซิน ช่วยระบบผิวหนังและเส้นประสาท และป้องกันโรคเพลลากรา (โรคที่เกิดจากการขาดไนอะซิน จะมีอาการท้องเสีย ประสาทไหว โรคผิวหนัง) 
                  •
ได้คาร์โบไฮเดรต ให้พลังงานแก่ร่างกาย 
                  •
ได้กากอาหาร ข้าวกล้องมีกากอาหารมาก ซึ่งจะทำให้ท้องไม่ผูก และช่วยป้องกันมะเร็งในลำไส้อีกด้วย 
                  •
วิตามินและเกลือแร่ต่างๆ ในข้าวกล้องจะช่วยให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ 


ข้าวกล้องมีอะไรดีกว่าข้าวขาว
ธาตุเหล็ก มีมากเป็น 2 เท่าช่วยป้องกันโลหิตจาง   
                 • ข้าวกล้องมีวิตามินบี 1 มากกว่าข้าวขาวประมาณ 4 เท่า ถ้ากินเป็นประจำ จะป้องกันโรคเหน็บชา 
                 •
วิตามินบี 2 มีมากจะป้องกันโรคปากนกกระจอก 
                 •
วิตามินบีรวม มีมากกว่าจะป้องกัน และบรรเทาอาการอ่อนเพลียและขาไม่มีแรง อาการปวดแสบและเสียวในขา ปวดน่อง ปวดกล้ามเนื้อ ลิ้นแตกหรือมีแผล ริมฝีปากเจ็บหรือมีแผล โรคผิวหนังบางชนิด โรคปลายประสาทอักเสบ และโรคเกี่ยวกับระบบประสาทบางชนิด 
                 •
วิตามินบีรวม ยังบำรุงสมอง ทำให้เรียนเก่งขึ้นและเจริญอาหาร 
                 •
ธาตุเหล็ก มีมากเป็น 2 เท่า ช่วยป้องกันโลหิตจาง 
                 •
แคลเซียม มีมากกว่า จะทำให้กระดูกแข็งแรง ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว 
                 •
ไขมัน มีมากกว่าให้พลังงานแก่ร่างกาย 
                 •
กากอาหาร มีมากกว่าจะช่วยป้องกันท้องผูก และมะเร็งลำไส้ใหญ่ 
                 •
เกลือแร่และวิตามินต่างๆ ในข้าวกล้อง มีรวมกัน 20 กว่าชนิด มีหน้าที่ทำให้การทำงานของส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ 
                 •
โปรตีน มีมากกว่าช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึกหรอ 
                 •
แป้ง (คาร์โบไฮเดรต) มีน้อยกว่าข้าวขาว ช่วยลดความอ้วน ส่วนคนที่ผอมจะสมบูรณ์ขึ้น เนื่องจากได้รับสารอาหารต่างๆ ที่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น 
                 •
ประหยัดเงินทอง เพราะเจ็บป่วยน้อยกว่า ข้าวกล้องจะมีราคาถูกกว่า เพราะต้นทุนในการผลิตต่ำกว่า 
                 •
มีผลทำให้สุขภาพจิตและสติปัญญาดีขึ้น เพราะสุขภาพกายดีขึ้น 

ผลเสียของการกินข้าวขาว
โรคและอาการต่างๆ ต่อไปนี้ จะลดลงมากหรือป้องกันได้ ถ้ากิน ข้าวกล้อง เป็นประจำ และกินอาหารเพียงพอและถูกหลัก 
                • โรคเหน็บชา เพราะขาดวิตามิน-บี 1 ข้าวกล้องมีวิตามิน-บี 1 มากกว่าข้าวขาว 385% (พบมากในประเทศที่กินข้าวขาวเป็นอาหารหลัก) 
                •
โรคปากนกกระจอก เพราะขาดวิตามิน-บี 2 ข้าวกล้องมีวิตามิน-บี 2 มากกว่าข้าวขาว 66% (ตามชนบทมีเด็กเป็นโรคปากนกกระจอก 60%) 
                •
โรคโลหิตจาง เพราะขาดธาตุเหล็ก เนื่องจากข้าวกล้องมีธาตุเหล็กมากกว่าข้าวขาว 2 เท่า (ประชากรไทยเป็นโรคโลหิตจาง 40%) 
                •
โรคนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ (พบมากทางภาคเหนือและภาคอีสาน โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี) เกี่ยวเนื่องจากมาจากการขาดธาตุฟอสฟอรัส และอื่นๆ ซึ่งมีในข้าวกล้อง นอกจากนั้นฟอสฟอรัสยังช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟันอีกด้วย 
                •
โรคท้องผูก เพราะมีกากอาหารน้อย ข้าวกล้องมีกากอาหารมากกว่า 133% (ข้าวกล้องช่วยป้องกันท้องผูก และมะเร็งลำไส้ใหญ่) 
                •
โรคทางระบบประสาทบางชนิด และโรคปลายประสาทอักเสบ เพราะขาดวิตามินบีรวม ซึ่งมีมากในข้าวกล้อง (วิตามินบีรวม ช่วยบำรุงสมอง ทำให้เรียนเก่งขึ้น และเจริญอาหาร) 
                •
อารมณ์เสียง่ายกว่า หงุดหงิดเพราะชาดวิตามินบีรวม ซึ่งเป็นวิตามินที่เสริมสร้างระบบประสาทของร่างกาย และถ้าระบบประสาทของเราไม่ดี ทำให้เราควบคุมอารมณ์ได้ไม่ดีนัก 
                •
เบื่ออาหาร เพราะขาดวิตามินบีรวม ซึ่งข้าวกล้องมีมากกว่าข้าวขาว 
                •
โรคขาดโปรตีน ข้าวกล้องมีโปรตีน ร้อยละ 7-12 (เด็กไทยประมาณร้อยละ 40-60 เป็นโรคขาดโปรตีนและพลังงาน) ข้าวกล้องมีโปรตีนมากกว่าข้าวขาว 20-30% 
                •
โรคผิวหนังบางชนิด ขาดวิตามินบีบางตัว 
                •
อ่อนเพลีย รู้สึกเหนื่อยกว่าปกติ ปวดเมื่อยตามตัวและขา เพราะขาดวิตามินบีรวม 
                •
โรคชัก เนื่องจากขาดวิตามิน บี 6 ซึ่งมีมากในข้าวกล้อง 
                •
ข้าวขาวมีแป้ง (คาร์โบไฮเดรต) พอๆ กับข้าวกล้อง แต่มีเกลือแร่และวิตามินต่างๆ น้อยกว่าข้าวกล้อง (ในข้าวกล้องจะมีวิตามินรวมกัน 20 กว่าชนิด) ที่ทำให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและเสริมสร้างร่างกายให้สมบูรณ์ 

                จะเห็นได้ว่า ผลเสียของการกินข้าวขาวมีมาก เพราะการขัดสีส่วนที่มีคุณค่าต่อร่างกายออกไป หลายท่านอาจจะกินข้าวขาว เพราะไม่รู้ว่ายังมีข้าวที่มีคุณค่ามากอย่างข้าวกล้องอยู่ จนบางคนไม่เคยรู้จักข้าวกล้องด้วยซ้ำ  คนสมัยโบราณแต่ละบ้านจะตำข้าวกินเอง ซึ่งเรียกว่า ข้าวซ้อมมือ ซึ่งก็คือ ข้าวกล้อง คนสมัยก่อนจึงมีร่างกายแข็งแรง ไม่เป็นโรคอย่างที่คนสมัยนี้เป็นกันเท่าไร เช่น โรคเบาหวาน, หัวใจวาย, มะเร็ง ฯลฯ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ก็เพราะการกินไม่เป็น 

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)เลขที่ 33

การออกกำลังกายแบบ แอโรบิก(Aerobic) และ แอนแอโรบิก (Anaerobic) คืออะไรAerobic Exercise คือ การออกกำลังกายที่ไม่รุนแรงมาก แต่มีความต่อเนื่อง เช่น เดิน วิ่งเหยาะๆ หรือ วิ่งทางไกล ว่ายน้ำ ถีบจักรยาน กระโดดเชือก เต้นแอโรบิก ฯลฯ การออกกำลังกายแบบแอโรบิก จึงเป็น วิธีการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ การออกกำลังกายชนิดนี้ใช้ทั้งแป้งและไขมันเป็นพลังงาน จึงควรทำเป็นประจำ

Anaerobic Exercise คือ การออกกำลังกายแบบช่วยกลั้นลมหายใจ เช่น วิ่งระยะสั้น ยกน้ำหนัก เทนนิส เป็นต้น ดังนั้น ไม่ใช่ว่าการออกกำลังกายหรือการเล่นกีฬาอะไรก็ได้ จะดีต่อหัวใจและหลอดเลือดเสมอไปเราควรออกกำลังกายนานแค่ไหนโดยทั่วไปแล้ว ควรต้องมีความต่อเนื่องกันประมาณ 20 นาที เป็นอย่างน้อย การออกกกำลังกายเพื่อสุขภาพไม่จำเป็นต้องทำมากกว่านี้ แต่ขอให้ทำอย่างสม่ำเสมอ เราควรออกกำลังกายบ่อยแค่ไหนอย่างน้อยควรออกกำลังกายสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ก็เพียงพอแล้ว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจด้วย แต่ไม่ควรหักโหม ขณะนี้เป็นที่ยอมรับกันในวงการแพทย์แล้วว่า การออกกำลังกายนั้น สามารถสะสมได้ เช่น ถ้าออกกำลังกายครั้งละ 10 นาที อย่างต่อเนื่อง เช่น การเดิน วันละ 3 ครั้ง ก็จะได้ประโยชน์เช่นเดียวกับการใช้เวลาออกกำลังกาย 30 นาทีครั้งเดียว

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์) 006 เลขที่ 30

แนะ! วิธีออกกำลังกาย ลดไขมัน ต้นขา

วิธีบริหารต้นขาแบบง่าย ๆ

- ว่ายน้ำ หรือยืนในน้ำแล้วยกขาตีน้ำโดยใช้มือแตะขอบสระ แล้วยกขาที่ละข้างเหวี่ยงไปมา(ทำทีละข้าง)ทำประมาณ 20 ครั้ง

- ปั่นจักรยานกลางอากาศประมาณ 100 ครั้ง โดยใช้หมอนรองไว้ที่ก้นหรือใช้มือยันไว้ไม่ให้เจ็บ

- นอนราบกับพื้น ยกขาทั้งสองข้างขึ้นเหยียดตรงค้างไว้ 2 นาที แล้วแยกขาออกจากกัน แล้วหุบขาชิด ทำไปมา 20 ครั้ง

- นั่งกับพื้นเหยียดขาตรงยกขาตีไปมา ประมาณ 50 – 100 ครั้ง แต่วิธีนี้ต้องออกแรงและเหนื่อยหน่อย

- เวลานอนควรนุ่งกางเกงกระชับไขมัน หรือห่มผ้าหนา ๆ เพื่อให้เหงื่อออก และอาจจะทำให้นอนไม่หลับเพราะมันร้อน

วิธีบริหารต้นขาแบบนี้จะช่วยทำให้ต้นขาของคุณดูเรียวสวยได้ แต่ต้องหมั่นทำบ่อย ๆ นะค่ะ และอย่าลืมว่าต้องพยายามควบคุมอาหารและออกกำลังกายด้วย

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)เลขที่ 33

เคล็ดลับเลือกวิธีออกกำลังกาย ก่อนเข้าฟิตเนส

เดี๋ยวนี้ มีสถานที่ออกกำลังกาย หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า ฟิตเนส เปิดให้บริการมากกว่าเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด สาเหตุสำคัญคงเป็นเพราะ คนยุคนี้เริ่มหันมาใส่ใจกับสุขภาพของตัวเองมากขึ้น ด้วยเห็นว่า อัตตราเสี่ยงในการป่วยเป็นโรคที่รักษาได้ยากเพิ่มปริมาณขึ้นทุกวัน และการออกกำลังกายก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถป้องกันและบำบัดได้ นอกจากนี้ ผู้ที่มาใช้บริการ ยังต้องการลดความเครียดจากการทำงานในชีวิตประจำวัน โดยการปลีกตัวเอง ออกมาพบปะสังสรรค์กลุ่มคนที่รักสุขภาพเหมือนกันแม้ต่างสาขาอาชีพ การเข้าคลาสต่างๆ จึงเป็นไปตามความคุ้นเคย และการนัดรวมตัวกัน แต่ในความเป็นจริงนั้น ผู้เล่นอาจจะได้รับประโยชน์ไม่ตรงกับปัญหาที่ต้องการแก้ไขมากที่ควร วันนี้ หญิงไทย จึงนำโปรแกรมการออกกำลังกายที่ฟิตเนส มาแนะนำให้กับผู้ที่สนใจได้ทำความรู้จักเพิ่มเติม เพื่อคุณผู้อ่านจะได้เลือกใช้โปรแกรมให้เหมาะสมกับตัวเองมากยิ่งขึ้น โดยผู้ที่จะมาให้คำแนะนำในครั้งนี้เป็นพรีเซ็นเตอร์สาวสวยจากโฆษณานมถั่วเหลืองผสมงาดำยี่ห้อหนึ่ง เธอชื่อ Ruifer Li หรือที่เรียกกันติดปากว่า ครูยูกิ ปัจจุบันเธอเป็นครูฝึกสอนคลาสออกกำลังกายอยู่ที่ California Wow Xperience ครูยูกิเป็นครูสอนที่นี่ได้ 2 ปีแล้ว แต่ก่อนหน้านี้เธอเคยเป็นนักกีฬายิมนาสติกและว่ายน้ำ เป็นครูสอนโยคะ จากนั้นจึงมาฝึกเป็นครูสอนที่บริษัทแห่งนี้ ฝึกฝนอยู่หลายปีกว่าจะได้ก้าวเข้ามาสอนเต็มตัวสาวฮ่องกงพูดไทยได้ชัดเจนเล่าว่า คนที่จะมาเล่นฟิตเนส ส่วนใหญ่จะเป็นสาวๆออฟฟิศ ที่ใช้ชีวิตหลังเลิกงานให้เป็นประโยชน์ ปัญหาสุขภาพที่เธอพบจากคนกลุ่มนี้เป็นประจำ คือเรื่องการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ตั้งแต่ต้นคอ ไล่ลงมาที่หัวไหล่ กระดูกสันหลัง เอว สะโพก ขา ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการเลือกคลาส สเตรชชิ่ง ในการบริหารร่างกาย เพราะรูปแบบการออกกำลังกายของคลาสนี้ จะช่วยการยืดกล้ามเนื้อ ที่เกร็งตัวมาทั้งวันให้ค่อยๆคลายออก และเมื่อร่างกายยืดหยุ่นได้ดี จึงค่อยๆ บริหารกล้ามเนื้อส่วนนั้นๆเพื่อเสริมความแข็งแรง อาจจะช่วยด้วยการยกเวท หรือเล่นโยคะ ฯลฯ รวมถึงการออกกำลังกายในรูปแบบอื่นที่เหมาะสม แต่มีข้อแม้ว่า สุขภาพของผู้เล่นจะต้องไม่มีปัญหา กับการออกกำลังกายในรูปแบบนั้นด้วย ถ้าไม่ต้องการความยุ่งยากในการออกกำลังกาย แต่สามารถผ่อนคลายกล้ามเนื้อและความเครียดได้ คลาส บอดี้ บาลานซ์ ก็เป็นอีกคลาส ที่น่าสนใจ เพราะคลาสนี้เป็นการออกกำลังกายแนวใหม่ ที่ผสมผสานระหว่างโยคะ ไทชิ และพิลาทิส เข้าด้วยกัน วิธีเล่นคือการกำหนดลมหายใจ และเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ไปกับเสียงเพลง บอดี้ บาลานซ์ จะช่วยให้ร่างกาย จิตใจ ได้รับความสมดุล หน้าท้องแข็งแรง และยังเป็นการออกกำลังกายที่ไม่ซับซ้อนมาก สามารถเล่นได้ทุกเพศวัยแต่ถ้าชอบความสนุก ตื่นเต้น และผู้เล่นไม่มีปัญหาเรื่องการปวดกล้ามเนื้อ เจ็บข้อต่อ คลาสบอดี้ คอมแบ็ท ก็สามารถช่วยให้เพลินไปกับการออกกำลังกายได้ คลาสนี้เป็นคลาสที่นิยมกันมากในกลุ่มคนที่ชอบเล่นฟิตเนสเพราะมีทั้ง มวยไทย คาราเต้ เทควันโด้ เข้ามาประยุกต์รวมกัน สำหรับผู้สูงวัยถ้าสนใจก็สามารถที่จะเล่นได้ เพียงแต่ ควรออกแรงและเคลื่อนไหวให้สมดุลกับตัวเองเท่านั้น คนที่อยากจะให้ตัวเองมีกล้ามเนื้อกระชับทุกส่วน คลาส บอดี้ พั้ม ก็เป็นอีกหนึ่งคลาสที่ครูยูกิแนะนำ โปรแกรมนี้ เป็นการออกกำลังกาย โดยใช้การยกน้ำหนักมาประยุกต์เล่นให้เข้ากับเสียงเพลง อุปกรณ์สำคัญที่ใช้เล่นด้วยคือ ที่ยกน้ำหนัก (Barbell) การที่จะใส่น้ำหนักมาก น้อย ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของแต่ละบุคคล ถ้าออกกำลังกับคลาสนี้สม่ำเสมอ รูปร่างจะสมส่วนได้อย่างรวดเร็ว และยังเป็นการกระชับกล้ามเนื้อทุกส่วนไม่ว่าจะเป็นไหล่ หน้าแขน หลังแขน หลังช่วงบน หลังช่วงล่าง หน้าท้อง ขา และน่อง ส่วนคนที่มีปัญหากล้ามเนื้อส่วนไหนอยู่ ถ้าเข้าคลาสนี้ ควรหยุดเล่นตรงกล้ามเนื้อส่วนนั้นก่อน เพราะถ้าฝืนอาจจะทำให้กล้ามเนื้อบาดเจ็บมากขึ้นได้ สาวๆที่มีปัญหาเรื่องต้นขาใหญ่ น่องใหญ่ สะโพกใหญ่ คลาสที่น่าสนใจคือปั่นจักรยาน ครูยูกิบอกว่า หลายๆคนมักเข้าใจผิด คิดว่าถ้าเข้ามาเล่นคลาสนี้จะยิ่งทำให้ต้นขา น่อง สะโพก ใหญ่ขึ้น แต่ความจริงแล้ว การปั่นจักรยานจะช่วยในการเผาผลาญไขมันส่วนเกินได้อย่างรวดเร็ว ถ้าทำเป็นประจำจะทำให้ กล้ามเนื้อที่อยู่ตรงส่วนดังกล่าวกระชับ สามารถลดปัญหากังวลที่เกิดขึ้นได้การปั่นจักรยานมีด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ แบบไซคลิ่ง และอาร์ พี เอ็ม การปั่นจักรยานแบบ ไซคลิ่ง ผู้สอนสามารถสอนได้ตามความเหมาะสม ส่วนอาร์ พี เอ็ม จะมีเพลงประกอบและมีท่าสอนที่ตายตัว แต่เพื่อเป็นการไม่ให้ผู้เล่นเบื่อ เพลงจึงมีการเปลี่ยนใหม่ทุกๆ 3 เดือน การปั่นจักรยาน สามารถที่จะเผาผลาญพลังงานถึง 800 แคลอรีต่อชั่วโมง ในขณะที่คลาสปกติ ถ้าใช้เวลาในการเล่น 50 นาที จะเผาผลาญอย่างน้อย 600 แคลอรี ด้วยเหตุนี้ การปั่นจักรยานจึงได้การต้อนรับเป็นอย่างดี จากผู้เล่นเสมอมา ส่วนคนที่มีปัญหาเรื่องหน้าท้อง และต้องการลดเฉพาะส่วนนี้ คลาสคลันช์ สามารถตอบโจทย์ที่คุณต้องการได้เป็นอย่างดี คลาสนี้จะออกกำลังกายเฉพาะหน้าท้องอย่างเดียว 30 นาที ครูยูกิกระซิบบอกเพิ่มมาอีกนิดว่าคลาสคลันช์ ผู้เล่นจะต้องมีความตั้งใจจริงมาก เพราะถึงแม้จะใช้เวลาเพียง 30 นาที แต่ก็ทำให้ผู้สอนและผู้เรียนเมื่อยไม่น้อยเลยทีเดียวการเล่นฟิตเนสให้ได้ผลดี ไม่ใช่เพียงขยันออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอเท่านั้น ผู้เล่นจะต้องรู้จักการเลือกคลาสในการเล่นให้กับตัวเองด้วย อย่างเช่น ถ้าในวันนี้ เลือกบอดี้ คอมแบ็ท ในการออกกำลังกาย ในวันต่อๆมา ควรจะเลือกคลาสที่เบากว่าเข้ามาสลับกันแทน เพราะถ้าออกกำลังกาย รูปแบบนี้ มากเกินไป อาจจะทำให้ผู้เล่นเบื่อ และยังทำให้ หัวใจทำงานหนักมากเกินความจำเป็น

นอกจากนี้ในหนึ่งอาทิตย์ ควรจะมีเวลาให้ร่างกายได้พักผ่อน และรับประทานอาหารอย่างเต็มที่ 2 วัน เพื่อปรับสมดุลไม่ให้ร่างกายเหนื่อยล้าจนเกินไป ครูยูกิบอกสูตรพักผ่อนของตัวเองเพิ่มเติมว่า ถ้าเมื่อยมาก อาจจะช่วยด้วยการแช่น้ำอุ่น จากนั้น จุดกลิ่นหอมอโรมาก่อนนอน ก็จะช่วยให้ร่างกายสดชื่นขึ้นมาได้อีกทางหนึ่ง การออกกำลังกาย ควรจะค่อยเป็นค่อยไป ไม่ควรเร่งรีบที่จะผอม หรือเแข็งแรง เพราะถ้าผู้เล่นใจร้อนจะส่งผลให้ ผิวพรรณหย่อนคล้อย ไม่สดใส และ ผู้เล่นจะต้องมีวินัย ทั้งการเล่น การรับประทานอาหารด้วย หากทำได้อย่างสม่ำเสมอ ใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือน ก็จะเห็นผลความตั้งใจจริงของตัวเอง อีกเรื่องสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือ การดูแลตัวเองทั้งก่อนและหลังออกกำลังกาย ก่อนที่จะเข้าคลาสควรจะรับประทานอาหารมาก่อนหน้าประมาณ 2 ชั่วโมง เพราะถ้าทานในเวลาที่กระชั้นชิดอาจจะเกิดปัญหาระหว่างที่กำลังออกกำลังกายอยู่ได้ ถ้าแต่หิวมาก สามารถทานกล้วยหอม หรือโยเกิร์ตได้บ้าง และไม่ควรอาบน้ำก่อนเข้าคลาสเพราะจะทำให้ หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ จะทำให้เรารู้สึกเหนื่อยกว่าคนอื่นถ้าเพิ่งออกกำลังกายเสร็จใหม่ๆ ไม่ควรเคลื่อนไหวตัวเองอย่างรวดเร็ว เพราะร่างกายยังปรับสมดุลไม่ทัน ควร พักซักครู่ ยืดเส้นยืดสาย เบาๆ ช้าๆ ก่อน และไม่ควรอาบน้ำทันที ควรรอให้เหงื่อแห้งเสียก่อนเช่นกัน เมื่ออาบน้ำเสร็จแล้ว ประมาณครึ่งถึง 1 ชั่วโมง จึงทานข้าว การปฏิบัติตนเช่นนี้ จะทำให้ร่างกายได้รับสมดุลที่ดี และมีสุขภาพที่แข็งแรงอย่างที่เราปรารถนาได้Ž ครูยูกิ กล่าวทิ้งท้ายฟิตเนส มีการออกกำลังกายง่ายๆอีกหลายรูปแบบ ถ้าไม่ถนัดในการเล่นโปรแกรมต่างๆที่จัดไว้ ก็ยังมีอุปกรณ์อย่างอื่นให้เลือกเล่นอีกมากมาย แต่อย่างไรก็ดี ก่อนที่จะเลือกสมัครสมาชิก ก็ขอให้ย้อนกลับไปมองชีวิตประจำวันในการทำงานของเราด้วยว่า มีความเป็นไปได้แค่ไหนที่จะมีเวลามาออกกำลังกายในรูปแบบนี้ เนื่องจากค่าสมัครในการใช้บริการสถานที่ออกกำลังกายแต่ละที่ล้วนมีค่าใช้จ่ายสูง การออกกำลังกายที่ดี ไม่ได้อยู่ที่แฟชั่น แต่อยู่ที่ความเหมาะสมกับการใช้ชีวิตประจำวัน ของคนคนๆนั้น ถ้าเรารู้ว่า เป็นคนรักสุขภาพ มีเวลาว่าง และมีรายได้เพียงพอ ฟิตเนสก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่น่าสนใจ แต่ถ้าชีวิตไม่ได้เป็นอย่างที่กล่าวมา คงต้องมาพิจารณาอีกครั้งแล้วว่า สถานที่ใดที่เหมาะกับการรักษาสุขภาพของเรา ให้เวลาใส่ใจในเรื่องนี้กับตัวเองซักหน่อย แล้วผลลัพธ์ดีๆที่รอคอยจะมาหาเราเองค่ะ...

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์) 006 เลขที่ 30

ออกกำลังกายอย่างไร?...ให้ปลอดภัย

1. มีอาการเจ็บป่วยไม่สบาย เพราะจะทำให้อาการเจ็บป่วยหรืออาการอักเสบนั้นแย่ลง

2. หลังกินอาหารอิ่มใหม่ๆ เพราะจะทำให้จุกและเป็นตะคริวได้

3. หลังจากฟื้นไข้ใหม่ๆ หากออกกำลั งกายในขณะที่ร่างกายสูญเสียเหงื่อและน้ำมากกว่าปกติ ทำให้เหนื่อยง่าย และอาจเป็นลมหมดสติได้ นอกจากจะงดออกกำลังกายชั่วขณะแล้ว หากมีอาการบางอย่างก็ควรจะหยุดออกกำลังกายทันที เช่น

1. รู้สึกเหนื่อยผิดปกติ

2. หัวใจเต้นผิดปกติ

3. หายใจขัดหรือหายใจไม่ทั่วท้อง

4. เวียนศีรษะ

5. คลื่นไส้

6. หน้ามืด

7. ชีพจรเต้นเร็ว ในผู้สูงอายุเร็วกว่า 140 ครั้งต่อนาที สำหรับหนุ่มสาวเร็วกว่า 160 ครั้งต่อนาที

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

สารให้ความหวานในอาหาร

ความหวานช่วยให้อาหารและเครื่องดื่ม มีรสชาติอร่อยน่ารับประทานมากขึ้น และก็มีคนไม่น้อยที่ชอบอาหารรสชาติหวานๆ ไม่ว่าจะเป็นอาหารคาวหรือขนมหวาน จริงๆ แล้วสารให้ความหวานมีอยู่ในอาหารธรรมชาติ เช่น ในผัก ผลไม้ ดังนั้น ถ้าคุณรับประทานผักผลไม้ร่างกาย ก็จะได้รับสารให้ความหวานเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว

ในทางการแพทย์สารให้ความหวานแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ สารให้ความหวานที่มีคุณค่าทางโภชนาการ (nutritive sweetener) และสารให้ความหวานที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ (nonnutritive sweetener)

สารให้ความหวานที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ที่รู้จักกันดีและใช้กันทั่วไป ได้แก่ น้ำตาล (sugar) ถ้าใช้คำว่า sugar หมายถึง น้ำตาลซูโครส ถ้า sugars หมายถึงน้ำตาลอื่นๆ ร่วมด้วย ซึ่งมีหลายชนิด เช่น ซูโครส กลูโคส ฟรุคโตส และมอลโตส เป็นต้น น้ำตาลซูโครสคือน้ำตาลทรายที่ใช้ปรุงอาหาร ฟรุคโตสพบในผัก ผลไม้ มอลโตสมีมากในน้ำนม ซึ่งน้ำผึ้ง น้ำผลไม้ น้ำเชื่อม น้ำอ้อย ก็จัดเป็นน้ำตาลชนิดหนึ่ง ดังนั้นผลิตภัณฑ์ที่โฆษณาว่าปราศจากน้ำตาลส่วนใหญ่ จะหมายถึงไม่มีน้ำตาลซูโครส แต่อาจจะมีน้ำตาลชนิดอื่นๆ น้ำตาลจัดเป็นอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ซึ่งอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตทุกชนิดจะถูกแปลงเป็นน้ำตาลกลูโคส เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานของสมองและระบบต่างๆ ของร่างกาย

น้ำตาลยังเป็นตัวการสำคัญของโรคและมีผลกระทบกับสุขภาพร่างกายหลายด้านอีกด้วย เช่น ทำให้ฟันผุ เนื่องจากเมื่อเรารับประทานอาหารที่มีน้ำตาลเข้าไปเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก จะทำการย่อยสลายน้ำตาลในปากไปเป็นกรด ซึ่งสามารถทำลายสารเคลือบฟันของเราจนทำให้ฟันผุ นอกจากนี้ยังควรทำความเข้าใจด้วยว่า การรับประทานน้ำตาลในปริมาณมากไม่ได้เป็นสาเหตุของการเกิดภาวะพฤติกรรมการไม่อยู่เฉย (hyperactive) ในเด็ก รวมทั้งไม่ได้เป็นสาเหตุของโรคเบาหวานโดยตรงในผู้ที่ไม่มีความเสี่ยง แต่ในผู้ที่เป็นโรคเบาหวานอยู่แล้วควรหลีกเลี่ยงอาหารหวานหรือขนมหวาน เนื่องจากจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน เช่น มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน ผู้ที่เป็นโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ การรับประทานน้ำตาลปริมาณมากก็สามารถกระตุ้นให้เกิดโรคเบาหวานขึ้นได้

นอกจากนี้คุณอาจจะเคยเห็นผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานมีการโฆษณาว่าปราศจากน้ำตาล แท้จริงแล้วปราศจากน้ำตาลซูโครส แต่ส่วนใหญ่แล้วจะใช้ฟรุคโตสแทน เนื่องจากการรับประทานน้ำตาลฟรุคโตส มีผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นน้อยกว่าการรับประทานแป้งและซูโครส ดังนั้นจึงนำมาเป็นส่วนผสมในอาหารขนม เช่น ลูกกวาด แยม เครื่องดื่มสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน

แต่อย่างไรก็ตามถ้ารับประทานน้ำตาลต่างๆ มากกว่าร้อยละ 20 ของพลังงานจะมีผลเพิ่มระดับไขมันโคเลสเตอรอลรวม และโคเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL) ซึ่งถ้าโคเลสเตอรอลรวมและโคเลสเตอรอล LDL สูงก็จะยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดมากขึ้น

ในส่วนของผู้ที่ต้องการลดหรือควบคุมน้ำหนักก็ไม่ควรรับประทานน้ำตาลในปริมาณมาก เพราะจะทำให้ได้พลังงานมาก น้ำตาลให้พลังงาน 4 แคลอรี/กรัม หรือน้ำตาล 1 ช้อนชา ให้พลังงาน 16 กิโลแคลอรี ถ้าร่างกายได้รับพลังงานมากเกิน ก็จะสะสมในรูปไขมันและเกิดโรคอ้วนในที่สุด ผลตามมาจากความอ้วนมีมากมาย เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูงอาจก่อให้เกิดหลอดเลือดหัวใจอุดตันโรคหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน ข้อเสื่อม นิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งเต้านมในเพศหญิง มะเร็งต่อมลูกหมากในเพศชาย การทำงานของปอดลดลง เนื่องจากชั้นไขมันหนารอบทรวงอกทำให้การขยายตัวของปอดทำได้ไม่ดีนัก และไขมันที่หนาบริเวณท้องก็ทำให้กระบังลมยืดหยุ่นตัวได้ไม่ดี ดังนั้นจึงสังเกตว่าในคนที่อ้วนมากจะมีอาการหายใจลำบาก หรือมีการหยุดหายใจเป็นระยะๆ ในขณะนอนหลับเรียกว่า sleep apnea ซึ่งจะทำให้มีอาการปวดศีรษะในเวลาเช้า ง่วงนอน หายใจช้าในเวลากลางวัน เป็นต้น

สำหรับ สารให้ความหวานที่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ (nonnutritive sweetener) ที่ใช้กันทั่วไปเป็นสารให้ความหวานที่องค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริการับรองว่าปลอดภัย ได้แก่ Saccharine (sweet' N low) มีความหวาน 300 เท่าของน้ำตาล Aspartam (Nutrasweet, Equal) มีความหวาน 180 เท่า Acesulfame potassium นิยมใส่ในเครื่องดื่ม soft drink ความหวาน 200 เท่า sucralose ความหวาน 600 เท่าของน้ำตาล สารเหล่านี้มีค่าที่กำหนดปริมาณที่ใช้ผสมในอาหารที่คนสามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัยต่อวัน (Acceptable Daily Intake, ADI) แต่ก็มีการงานวิจัยบางชิ้นอ้างว่าน้ำตาลประเภทนี้บางชนิดก็เป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งได้เช่นกัน

ในทางปฏิบัติการเลือกรับประทานอาหารให้หลากหลาย ร่างกายจะได้ทั้งน้ำตาล และสารอาหารครบเนื่องจากในผัก ผลไม้ มีทั้งน้ำตาล และคุณค่าสารอาหารอย่างอื่นด้วย ถ้าคุณไม่ต้องการเพิ่มน้ำหนัก และห่างไกลจากความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่างๆ ก็ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานของหวานๆ เครื่องดื่มรสหวาน และอาหารที่มีน้ำตาลมากก็จะดีไม่น้อยทีเดียว

โรคกลิ่นตัวเหม็น (Primary Trimethylaminuria)

โรคกลิ่นตัวเหม็นนั้น มีมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยสุโขทัย เมื่อประมาณ 700 กว่าปีที่ผ่านมา แต่ไม่มีการศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง ตามหลักวิทยาศาสตร์ในแถบยุโรปมีอุบัติการณ์เกิดโรคนี้ไม่น้อยกว่า 1% และผู้ที่เป็นโรคนี้ มักจะประสบปัญหาดังกล่าวข้างต้นเกือบทุกราย สำหรับในประเทศไทยยังไม่ทราบอุบัติการณ์เกิดโรคนี้แน่นอน แต่ก็มีผู้ที่เป็นโรคนี้มาพบแพทย์ตามโรงพยาบาลต่างๆ อยู่เรื่อยๆ บางรายแพทย์ต้องให้ยากล่อมประสาท ยาคลายเครียดและยาแก้ความซึมเศร้าไปรับประทาน ซึ่งยาประเภทนี้นอกจากจะไม่ทำให้อาการของโรคทุเลาลงแล้ว กลิ่นตัวยังจะทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นด้วย ในวงการแพทย์เองก็ยังไม่ทราบว่าจะบำบัดรักษาโรคนี้อย่างไรดี มีคนที่เป็นโรคกลิ่นตัวเหม็นหลายราย ต้องหันไปพึ่งไสยศาสตร์ หมอพระ หมอผี แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ

ปัจจุบันทราบว่าอาการกลิ่นตัวเหม็นของผู้ป่วยโรคนี้เกิดจากสารเคมีที่ชื่อว่า TMA (Trimethylamine) ซึ่งได้มาจากอาหารบางชนิด สารตัวนี้จะระเหยได้ง่าย มีจุดเดือดเพียง 3 องศา และสามารถส่งกลิ่นแพร่ไปได้ในปริมาณ และความเข้มข้นซึ่งถึงแม้ว่าจะน้อยมาก แต่จมูกของคนเราก็สามารถรับกลิ่นได้ เมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไป อาหารก็จะถูกย่อยโดยจุลินทรีย์ (Bacteria) ที่มีอยู่มากบริเวณลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ แล้วเปลี่ยนไปเป็น TMA จากนั้น TMA ก็จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด เข้าสู่ร่างกายไปถูกทำลายที่ตับ ในคนปกติตับก็จะใช้เอนไซม์ ชื่อ FMO3 เปลี่ยน TMA ให้เป็น TMA-O ซึ่งละลายน้ำได้ดีและไม่มีกลิ่นเหม็น และถูกกำจัดออกจากร่างกายทาง Body Secretions เช่น เหงื่อ น้ำลาย ปัสสาวะ เป็นต้น ส่วนคนที่เป็นโรคกลิ่นตัวเหม็น FMO3 จะไม่ทำงานหรือทำงานไม่ได้ อันเป็นเหตุมาจากความผิดปกติทางพันธุกรรม TMA ก็จะไม่ถูกทำลาย แล้วมันก็จะถูกขับออกมาทางเหงื่อ และปัสสาวะ ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว โรคกลิ่นตัวเหม็นนี้สามารถถ่ายทอดสู่ลูกหลานได้ ทางพันธุกรรมโดยวิธี autosomal recessive transmission

สำหรับการบำบัดและดูแลรักษาโรคกลิ่นตัวเหม็นนั้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือ GENE THERAPY โดยขบวนการตัดต่อยีนส์ แล้วนำ FMO3 GENE ที่ตัดต่อได้ใส่เข้าไปในผู้ป่วย แต่ในขณะนี้เทคนิคหรือวิธีการนี้เพิ่งจะได้รับการพัฒนา ซึ่งคาดว่าในอนาคตอันใกล้นี้ ก็น่าจะนำมาใช้ในการรักษาโรคผู้ป่วยกลิ่นตัวเหม็นได้

สำหรับการบำบัดรักษาในขณะนี้ทำได้ 3 วิธี คือ

1. ควบคุมอาหารโดยพยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นแหล่งของ TMA เช่น ไข่แดง ตับ ถั่ว เนื้อสัตว์ สะตอ และทุเรียน เป็นต้น

2. ใช้ยา Flagyl (Metronidazole) และ Yakult หรือนมเปรี้ยว โดยรับประทาน Flagyl ขนาด 250 มก. วันละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 2 สัปดาห์ และรับประทาน Yakult วันละ 2 ขวด เช้าและเย็น ซึ่งจะสามารถช่วยให้กลิ่นตัวเหม็นทุเลาลงได้ แต่ยังไม่หายขาด ต้องรับประทานเป็นช่วงๆ ตามความจำเป็น

3. ใช้ Copper Chlorophyllin ในขนาด 180 มก. ต่อวัน เป็นเวลา 3 สัปดาห์ ซึ่งจากการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นพบว่า สามารถลดอาการเหม็นของกลิ่นตัวได้ไม่น้อยกว่า 7 สัปดาห์ แต่อย่างไรก็ตาม ยาตัวนี้ยังไม่มีขายในประเทศไทย มันเป็นอาหารเสริมที่วางขายอยู่ทั่วไปในยุโรปและสหรัฐอเมริกา

กล่าวโดยสรุป โรคกลิ่นตัวเหม็น เป็นโรคทางพันธุกรรม (genetic disease) เกิดจากการที่ร่างกายของคนเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลง TMA ให้เป็น TMA-O ได้ ดังนั้น TMA จึงถูกขับออกมาจากร่างกายทุกๆ ทาง เช่น น้ำลาย เหงื่อ และปัสสาวะ เป็นต้น ส่วนการดูแลรักษานั้น ในขั้นต้นก็ต้องดูแลเรื่องสุขอนามัยของตนเองให้ดี ควบคุมอาหารโดยหลีกเลี่ยงอาหารบางประเภท เช่น เนื้อสัตว์ ไข่แดง นม ถั่ว เป็นต้น นอกจากนี้ ยังต้องพยายามหลีกเลี่ยงยาบางชนิด เช่น ยากล่อมประสาท ยาคลายเครียด ซึ่งจะทำให้กลิ่นตัวของผู้ป่วยโรคนี้ทวีความรุนแรงมากขึ้น เพราะยาประเภทนี้จะไปยับยั้งการทำงานของ FMO3 ซึ่งการทำงานของมันในผู้ป่วยเหล่านี้ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

กินหนีอ้วน กับ เทคนิคลด 100 แคลอรี่ในแต่ละวัน

เทคนิคลด100 แคลอรี่ในแต่ละวัน

1. จากที่เคยทาขนมปังด้วยเนย 2 ช้อนโต๊ะ (200 กิโลแคลอรี) ใช้แยมแทน 1 ช้อนโต๊ะ (100 กิโลแคลอรี) หรือถ้าใช้เนยถั่ว 1 ช้อนโต๊ะ ก็จะได้คุณค่าทางอาหารที่ดีเพิ่มข้น คือได้โปรตีนและไขมันที่ดีแทนที่จะได้คาร์โบไฮเดรตล้วนๆ

2. หากอาหารเช้าของคุณเป็นแบบสไตล์อเมริกัน ให้งดเบคอน (3 ชิ้น = 109 กิโลแคลอรี) หรือชีส (1 แผ่น = 105 กิโลแคลอรี)

3. เลือกปลาทูน่าสเต็กในน้ำเกลือ (ขนาด 168 กรัม = 175 กิโลแคลอรี) แทนปลาทูน่าในน้ำมัน (275 กิโลแคลอรี)

4. ถ้าคุณเป็นคนรับประทานข้าวมาก ให้ลดข้าว 1 ทัพพี (1/2 ถ้วยตวง = 108 แคลอรี)

5. หากรับประทานถั่วเม็ดมะม่วง ให้จำกัดปริมาณไว้เพียง 3 ช้อนโต๊ะ (18 เม็ด = 163 กิโลแคลอรี 30 เม็ด = 273 กิโลแคลอรี) หรือลดปริมาณทองหยิบลง 1 ดอก (105 แคลอรี)

6. หากคุณจำเป็นต้องเลือกอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ด อย่าเลือกเครื่องดื่มน้ำอัดลมขนาดใหญ่ (ขนาด 21 ออนซ์ 210 กิโลแคลอรี) เลือกขนาดเล็กของเด็กแทน (ขนาด 12 ออนซ์ = 110 กิโลแคลอรี)

7. เปลี่ยนจากน้ำสลัดชนิดครีม 2 ช้อนโต๊ะ (ช้อนละ 75-100 แคลอรี) เป็นน้ำสลัดประเภทไขมันต่ำ หรือประเภทน้ำใส 2 ช้อนโต๊ะ

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)เลขที่ 33

5 กุญแจสำคัญสู่สุขภาพผิวดี

14-11-2008 Views: 5157

การดูแลสุขภาพผิวพรรณเป็นสิ่งจำเป็น เพราะผิวพรรณเปรียบเสมือนด่านหน้าที่จะช่วยตัดสินความมีสุขภาพดีของเราได้ ต่อไปนี้เป็นหลักการโดยทั่วไปที่จะช่วยให้มีผิวพรรณที่ดีอยู่เสมอ

กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณ เพราะอาหารเป็นสิ่งสำคัญต่อผิวมากกว่าเครื่องสำอางใดๆ ดังนั้นเราจึงควรเลือกอาหารที่จะช่วยดูแลสุขภาพผิวพรรณอย่างถูกต้อง เช่น

o อาหารอุดมวิตามินเอ เช่น นมสด ผลิตภัณฑ์จากนม ตับ ฟักทอง แคร์รอต ผักบุ้ง ตำลึง อาหารพวกนี้นอกจากจะช่วยทำให้ผิวสวยแล้ว ยังช่วยซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อในร่างกายอีกด้วย

o อาหารอุดมด้วยวิตามินบี เช่น เนื้อปลา เป็ด ไก่ ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ

o อาหารอุดมด้วยวิตามินซี เช่น ผักผลไม้ทั้งหลาย วิตามินซีในผักผลไม้จะช่วยทำให้ผิวหนังยืดหยุ่น กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

o อาหารอุดมด้วยวิตามินอี เช่น จมูกข้าวสาลี ธัญพืชต่างๆ วิตามินอีจะช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน ป้องกันแผลเป็น

o น้ำมันปลา ซึ่งมีกรดไขมันโอเมกา-3 จะช่วยฟื้นฟูผิวให้ดูมีสุขภาพดี

o ดื่มน้ำให้ได้วันละ 2 ลิตร หรือ 6-8 แก้วต่อวัน เพื่อให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว

ทำอารมณ์ให้แจ่มใสอยู่เสมอ แม้อารมณ์จะมีความสำคัญโดยอ้อมกับผิวพรรณ แต่ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ เพราะถ้าอารมณ์หงุดหงิด โกรธง่ายจะทำให้ระบบการไหลเวียนเลือดไม่ดี ท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ไม่อยากอาหาร ซึ่งจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ จึงส่งผลให้สุขภาพผิวแย่ไปด้วย

พักผ่อนให้เพียงพอ การพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยทำให้ใบหน้าดูสดใสเต่งตึง เนื่องจากผิวได้รับการซ่อมแซมในระหว่างหลับอย่างเต็มที่ การพักผ่อนในที่นี้ยังรวมถึงการผ่อนคลายในรูปแบบต่างๆ ด้วย เช่น การเล่นโยคะ บริหาร่างกาย นั่งสมาธิ อ่านหนังสือ เป็นต้น

ออกกำบังกาย การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะช่วยให้โลหิตนำพาออกซิเจนไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยขับถ่ายพิษหรือของเสียออกจากร่างกายทางเหงื่อได้ ผิวพรรณจึงดูสดใส เปล่งปลั่ง และมีเลือดฝาด

ดูแลความสะอาดของผิวพรรณ เป็นวิธีช่วยเพิ่มเสน่ห์ของผิวพรรณได้อีกทางหนึ่ง เพราะจะทำให้ผิวสดชื่นปลอดจากเชื้อโรคหรือเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคผิวหนัง การอาบน้ำอุ่นอุณหภูมิพอเหมาะ (ประมาณ 38 องศาเซลเซียส) จะช่วยทำความสะอาดผิวหนังได้ดีมาก และยังกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด แต่หากอาบน้ำอุ่นจัดเป็นเวลานานเกินไปอาจทำให้อ่อนเพลียได้ง่าย สำหรับสบู่ที่ใช้ทำความสะอาดผิวควรมีค่า pH5 หรือน้อยกว่านั้นและควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำชนิดโฟม เพราะทั้งสบู่ที่มีฤทธิ์แรงและโฟมจะทำลายไขมันตามธรรมชาติที่เคลือบอยู่บนผิว ทำให้ผิวแห้ง หลังอาบน้ำควรทาครีมบำรุงผิวให้ทั่วตัว เพื่อรักษาความชุ่มชื้นให้กับผิว

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์) 006 เลขที่ 30

1. ครีมถนอมผิว (Moisturizer, Emoillient)

ครีมที่ใช้ทาบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นขึ้น ส่วนใหญ่จะมีสารประกอบพวกยูเรีย กลีเซอรีน มิเนอรัลออยล์ เลซิทิน วิตามินอี ลาโนลิน ยูเซอริน ฯลฯ ใช้ทาเพื่อทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น ไม่แห้ง ไม่เหี่ยวเฉา

ควรจะทาครีมหรือโลชั่นทุกครั้งหลังจากอาบน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าท่านชอบอาบน้ำอุ่นเป็นประจำหรืออาบน้ำนานมาก เพราะผิวจะแห้งมาก

ไนท์ครีม น่าจะทาหน้าก่อนนอนเป็นประจำ โดยเฉพาะถ้าท่านชอบนอนห้องแอร์

ถ้าต้องล้างมือบ่อย ควรทาครีมบำรุงผิวมือบ่อยๆ หลังล้างมือ

ส่วนจะใช้ยี่ห้อไหนดี ใช้ยี่ห้อไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงมาก ใช้ที่มีส่วนประกอบของสารข้างต้น ครั้งแรกลองใช้ทาเฉพาะที่ก่อน ถ้าทาไป 3-4 วัน แล้วไม่แพ้ก็ใช้ทาทั่วไปได้

2. ครีมกันแดด (Sunscreen)

ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดช่วงเวลา 11.00-15.00 น. เพราะแสงแดดช่วงเวลานี้ จะมีรังสีอัลตราไวโอเลตสูงมาก

ควรสวมหมวกใบใหญ่ ปีกกว้าง ถือร่ม ใส่เสื้อแขนยาว ใส่แว่นตากันแดด ถ้าท่านต้องตากแดดเป็นประจำ

ทายากันแดดที่มี SPF มากกว่า 15 ขึ้นไป

ยากันแดดใช้ยี่ห้อไหนดี ถ้าท่านแพ้ง่าย ควรใช้ยากันแดดที่มีส่วนผสมของติเตเนียมไดออกไซด์ ซึ่งใช้หลักการคล้ายกับการสะท้อนแสง ทาแล้วจะกันแดดได้ดีเพียงแต่ทาแล้ว อาจจะมีใบหน้าขาววอกไปหน่อย ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งจะมีส่วนผสมของซินนาเมต ซึ่งก็ใช้ทากันแดดได้ผลดีเช่นกัน และหน้าไม่ขาววอกเกินไป

ครั้งแรกที่ทายากันแดด ควรเริ่มทาที่บริเวณหน้าผากก่อน ทดลองทาดูประมาณ 3-4 วัน ถ้าไม่แพ้ วันหลังจึงทาทั่วใบหน้าได้นะคะ

การทายากันแดด ควรทาประมาณ 1/2 ชั่วโมงก่อนออกไปตากแดด ถ้าต้องตากแดดทั้งวันตอนบ่ายควรทายากันแดดซ้ำอีก 1 ครั้ง

3. ครีมที่ทำให้หน้าขาว (Whitening cream)

ปัจจุบัน มีครีมที่ทำให้หน้าขาวใสขึ้น ไร้รอยเหี่ยวย่น ลบริ้วรอยต่างๆ ซึ่งมีมากมายหลายชนิด ถ้าท่านอยากให้หน้าใสขึ้นก็ใช้ทาได้ ถ้าไม่แพ้นะคะ ถ้าแพ้ระคายเคืองก็ต้องหยุดใช้ยายี่ห้อนั้นๆ ดังกล่าวที่ค่อนข้างใช้ได้ผลดี และไม่ค่อยแพ้ ไม่อันตรายจนเกินไป มักจะมีส่วนประกอบของสารสำคัญดังนี้ คือ

กลุ่มกรดผลไม้ AHA

กลุ่ม BHA

กลุ่มกรดวิตามินเอ (Retinoic acid)

กลุ่มกรดอะเซเลอิค (Azeleic acid)

กลุ่มอื่นๆ เช่น วิตามินซี กรดโคจิค สารสกัดมัลเบอร์รี่

ถ้าท่านผิวดีอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ครีมที่ทำให้หน้าขาวนะคะ

4. บำรุงสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง

กินอาหารให้ถูกสุขลักษณะ ให้ครบ 5 หมู่ เน้นผักผลไม้มากๆ ดื่มน้ำเปล่ามากๆ วันละ 6-8 แก้ว หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เครื่องดื่มเหล้า เบียร์ แอลกอฮอล์ต่างๆ น้ำชา กาแฟ มากเกินไป ไม่ดีนะคะ

อย่าทำงานหนักเกินไป อย่าเครียดงานมากเกินไป ถ้าท่านทำหน้านิ่วคิ้วขมวดทั้งวัน จะเกิดร่องรอยตีนกาชัดเจนมากขึ้น อย่างรวดเร็วมาก

ต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ประมาณ 6-8 ชั่วโมง แล้วแต่บุคคลและวัยนะคะ

ต้องออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ประมาณ 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์

5. หลีกเลี่ยงน้ำร้อน

น้ำที่ร้อนจัดเกินไป หรือน้ำอุ่นแต่อาบน้ำนานมาก จะทำให้ผิวหนังแห้งมากจนเกินไป ถ้าอาบเป็นประจำทุกวัน ก็จะทำให้ผิวหนังเกิดอาการระคายเคืองคันได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าท่านเป็นโรคผื่นแพ้คันอยู่แล้ว ควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นมากจนเกินไปนะคะ

หลีกเลี่ยงการอาบน้ำร้อน อาบน้ำอุ่นนานๆ บ่อยๆ

หลีกเลี่ยงการล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นบ่อยๆ

อย่าอบไอน้ำ อบตัวด้วยความร้อน อบเซาว์น่า บ่อยๆ จนเกินไปหรือนานเกินไป

6. หลีกเลี่ยงการทรมานผิวต่างๆ

ท่านที่ชอบการขัดหน้า นวดหน้า พอกหน้า หลายๆ รูปแบบนั้น จะยิ่งมีโอกาสเกิดการระคายเคืองได้ง่าย หน้าจะยิ่งบางลง และไวต่อแสงแดดมากขึ้น มีโอกาสเกิด ฝ้า กระ สิว ได้มากขึ้น นอกจากจะเสียเงินมากขึ้นแล้ว ยังเสียเวลาและเสียดายใบหน้าอีกด้วยนะคะ

การขัดตัว การที่ท่านไปขัดตัวตามสถานที่ต่างๆ หรือซื้อฟองน้ำ ใยบวบหรือหินขัดต่างๆ มาขัดด้วยตนเอง พอกสารหลายอย่าง แล้วขัดถูตัวกันอย่างจริงจังนั้น เป็นการทรมานผิวหนังของท่านมากจนเกินไปนะคะ คิดดูซิคะว่า ผิวหนังจะสกปรกอะไรกันนักหนา ถึงต้องขัดตัวขนาดนั้น เพราะฉะนั้นอาบน้ำฟอกสบู่เบาๆ ใช้แค่สบู่เด็กอ่อนๆ ถูเบาๆ ก็เพียงพอแล้วนะคะ

น.ส.กาญจนา จันทร์หล้า เลขที่70 วิทย์-ออก sec02

ภาวะเล็บขบ

เล็บขบอาจเป็นปัญหาให้แก่หลายคนจนไม่สามารถ ออกจากบ้านไปไหนมาไหนได้ตามปกติ เพราะมีความเจ็บปวดค่อนข้างมาก บางรายต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบหรือที่เรียกไข่ดันอาจจะ ความเจ็บปวดเกิดจากขอบเล็บที่งอกเข้าไปในผิวหนังข้างๆ แล้วทำให้เกิดการอักเสบติดเชื้อ และเป็นหนองข้างๆ เล็บได้ สำหรับสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการตัดเล็บที่ไม่ถูกวิธี เครื่องมืออาจจะไม่สะอาดเพียงพอ มีแผลเลือดออกจากการตัดเล็บแล้วไม่ทำความสะอาดให้ดี บางรายอาจเกิดจากรองเท้าคับเกินไป บางรายอาจเกิดขึ้นได้บ่อยๆ เพราะลักษณะการงอกของเล็บมักจะงอกเข้าในเนื้อแทนที่จะงอกออกมาตรงๆ เล็บขบของนิ้วโป้งพบได้บ่อยกว่านิ้วอื่นๆ

การป้องกันไม่ให้เล็บขบ ท่านจะต้องพยายามตัดเล็บให้ถูกวิธี พิถีพิถันอย่าตัดลึกจนเกินไป จนเกิดแผลเลือดออก และให้ทำความสะอาดถ้าเกิดบาดแผล และควรใส่รองเท้าที่เหมาะสม ไม่บีบรัดที่หัวรองเท้าจนเกินไป

การรักษาภาวะเล็บขบ กรณีมีอาการไม่มาก ท่านอาจดูแลตนเองโดยพยายามใช้เท้าให้น้อย ยกเท้าสูง ทำความสะอาดรอบๆ เล็บที่อักเสบโดยอาจแช่เท้าด้วยน้ำผสมด่างทับทิม หรือใช้สำลีชุป แอลกอฮอล์เช็ดทำความสะอาด หากเกิดการอักเสบจนนิ้วเท้าบวมแดง สงสัยว่าจะมีหนองตรงใต้ขอบเล็บ ท่านควรไปรับการตรวจรักษาให้ถูกต้องตั้งแต่เริ่มต้น เพราะหากรอไว้ การอักเสบอาจลุกลามจนต้องตัดเล็บออกบางส่วน เพื่อให้หนองไหลออกได้สะดวก มิฉะนั้นการอักเสบติดเชื้อจะไม่หาย

ที่มา:www.bangkokhealth.com

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)เลขที่ 33

สุขภาพ

การดื่มสุรา

การดื่มสราเป็นปริมากมากจะให้ผลเสียต่อร่างกาย ทำให้เกิดโรคตับแข็ง มะเร็ง ความดันโลหิตสูง เลือดออกทางเดินอาหาร อุบัติเหตุ และยังมีแนวโน้มที่จะทำร้ายตัวเองและผู้อื่น ประเทศไทยได้ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่บริโภคสุราติดเป็นอันดับ 5 ของโลกผู้ที่จำหน่ายก็รวยติดอันดับโลก การดื่มสุราเป็นปริมาณน้อยจะทำให้อัตราการตายจากโรคต่างๆลดลง

สุราให้เพียงแต่พลังงานแต่คุณค่าทางโภชนาการต่ำมาก

คำแนะนำ

เนื่องจากสุราให้พลังงาน และมีคุณค่าทางโภชนาการต่ำ ดังนั้นคนที่ดื่มสุรามักจะขาดสารอาหารและมีน้ำหนักเกิน

การรับประทานสุราแต่พอควรโดยกำหนดให้ผู้หญิงดื่มไม่เกินวันละ 1 หน่วยสุรา ส่วนผู้ชายไม่เกิน 2 หน่วยสุรา

เบียร์ไม่เกิน 360 ซีซี

ไวน์ไม่เกิน 150 ซีซี

สุราอื่นไม่เกิน 45 ซีซี

คนบางจำพวกไม่ควรดื่มสุราได้แก่

ผู้ที่ไม่สามารถควบคุมปริมาณสุราที่จะดื่ม

หญิงวัยเจริญพันธุ์

คนตั้งครรภ์

ผู้ที่เลี้ยงลูกด้วยนมตัวเอง

ผู้ที่รับประทานยา

ผู้ที่ทำงานต้องใช้ทักษะหรือสมาธิ เช่นคนขับรถ

ผู้ที่มีวัยกลางคนเมื่อสุราตามที่กำหนดจะมีอัตราการเกิดโรคหัวใจ และอัตราการเสียตำ่กว่าผู้ที่ไม่ดื่มสุรา

ผู้ที่ดื่มสุราต้องรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ ไม่สูบบุหรี่ รักษาน้ำหนักมิให้เกิน

วัยรุ่นไม่ได้รับประโยชน์จากการดื่มสุรา

ไม่แนะนำให้ดื่มสุราเพื่อเหตุผลทางสุขภาพ

ชนิดของสุรา ปริมาณพลังงานใน 30 ซีซี(1 oz) ปริมาณที่ดื่ม[ oz] ปริมาณการอดสุรา โรคพิษสุราเรื้อรัง คุณเมาหรือไม่ อาการขาดสุรา สุราช่วยลดอัตราการเสียชีวิต

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์) 006 เลขที่ 30

สุขภาพ >> บุหรี่ >>

การสูบบุหรี่

ถ้าจะถามผู้ที่สูบบุหรี่ว่ารู้หรือไม่ว่าบุหรี่มีโทษ ส่วนใหญ่จะรู้ว่ามีโทษ

ถามว่าทำไมไม่เลิกมักจะได้คำแก้ตัวต่างๆกัน เช่น"ลงทุนสูบมามากแล้ว""คนที่สูบไม่เห็นเป็นไรคนที่เลิกแล้วตายเร็ว""เลิกบุหรี่แล้วทำให้อ้วน" เหตุผลต่างๆนำมาแก้ตัวทั้งนั้น ความจริงคือคุณติดสารนิโคตินที่อยู่ในบุหรี่

การสูบบุหรี่จะทำร้ายตัวเอง

ทำให้เกิดโรคมากมายที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่

ทุกปีจะมีผู้เสียชีวิตจากบุหรี่มากมาย

สูญเสียทางเศรษฐกิจ เช่นเสียเงินซื้อ เสียเงินรักษาโรค หยุดงานเพราะป่วย

การสูบบุหรี่จะทำร้ายคนอื่น

จะทำลายสุขภาพของสมาชิกในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน

ทำให้เกิดโรคในเด็ก เช่นหอบหืด หูอักเสบ

คุณพร้อมหรือยังที่จะทำให้โลกสะอาดขึ้น เพื่อสุขภาพของลูกเมีย และเพื่อนร่วมงาน

ส่วนประกอบของบุหรี่

ผลเสียของการสูบบุหรี่

การสูบบุหรี่มือสอง

ผลดีของการเลิกบุหรี่

การเลิกบุหรี่ด้วยตัวเอง

การใช้ยานิโคติน

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

เคล็ดลับผิวสุขภาพดีของจุดซ่อนเร้น

ผู้หญิงหลายคนอาจไม่รู้ว่า การดูแลรักษาความสะอาดผิวพรรณของจุดซ่อนเร้น เพื่อให้คงสมดุลตามธรรมชาติได้นั้น สำคัญยิ่งกว่ากับการดูแลผิวพรรณของร่างกาย

เพราะผิวบริเวณนั้นของผู้หญิง อ่อนโยนและบอบบางกว่าผิวพรรณของร่างกายเป็นอย่างมาก ยิ่งผู้หญิงสมัยนี้ ยิ่งจำเป็นจะต้องดูแลรักษาความสะอาดของจุดซ่อนเร้นเป็นพิเศษกว่าแต่ก่อน เราจึงต้องการสิ่งที่สามารถช่วยทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นและดูแลผิวบริเวณส่วนนั้น ให้พ้นจากอาการไม่พึงปรารถนาที่อาจเกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง เช่น อาการคันและระคายเคืองที่บริเวณจุดซ่อนเร้น ซึ่งอาจเกิดจากการแพ้ หลังจากการใช้สบู่หรือครีมอาบน้ำที่มีส่วนผสมของสารเคมี และมีค่า pH Balance เป็นด่าง ซึ่งอาจไม่เหมาะสมนักในการนำมาทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น ซึ่งเป็นส่วนที่อ่อนโยนและบอบบางที่สุดของร่างกาย โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่อยู่ในประเทศที่มีสภาพอากาศร้อน อย่างประเทศไทยของเรา การดูแลทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นเป็นประจำอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากจุดซ่อนเร้นและผิวบริเวณนั้นจะมีการอับชื้นเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดอาการดังกล่าวข้างต้น

และอาจทำให้เป็นแหล่งสะสมของสิ่งสกปรกที่มาจากภายนอก เพราะผู้หญิงยุคนี้ ส่วนใหญ่มักจะทำงานนอกบ้านและมีการเดินทางไปมาตลอดเวลา ไม่ว่าการเดินทางไปที่ทำงาน ไปพบลูกค้า หรือแม้แต่การเดินทางไปต่างจังหวัด โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่ชอบนุ่งกางเกงเป็นประจำแล้ว ยิ่งต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษ เพราะการสวมใส่กางเกงนานๆ จะเป็นการทำให้จุดซ่อนเร้นอับชื้นกว่าการใส่กระโปรง แต่ใช่ว่าคุณผู้หญิงที่ชอบนุ่งกระโปรงจะมองข้ามส่วนนี้ไปนะคะ เพราะคุณก็จำเป็นต้องดูแลจุดซ่อนเร้นของคุณเช่นกัน การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นที่เหมาะสม ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะผิวในส่วนที่เป็นจุดซ่อนเร้น ซึ่งนอกจากจะบอบบางแล้ว ยังสามารถติดเชื้อได้ง่าย ฉะนั้น ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ควรกับส่วนนั้นของผู้หญิง

ควรเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปกป้องและทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นได้อ่อนโยนแม้ผิวแพ้ง่าย และนุ่มละมุนต่อจุดซ่อนเร้น ซึ่งอาจให้ความมั่นใจมากกว่าการใช้สบู่ทั่วไปในการทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

เลือกแปรงสีฟันอย่างไรให้ถูกวิธี

ปัจจุบันนี้ การมีฟันที่ขาวและมีสุขภาพฟันที่ดีเป็นประกายเงางามกำลังเป็นที่ได้รับความนิยม อย่างมากแม้ว่าจะมียาสีฟันที่ช่วยให้ฟันขาวและ อุปกรณ์ในการขัดฟันเป็นอุปกรณ์หลักในห้องน้ำอยู่แล้ว แต่สิ่งที่สำคัญที่จะช่วยทำให้ปากสะอาดก็คือ แปรงสีฟันที่ดีนั่นเอง มีหลักอยู่ 3 ประการ ที่ต้องคำนึงถึงในการเลือกแปรงสีฟันดังนี้ คือ

1.ควรเลือกขนแปรงชนิดอ่อนนุ่ม ขนแปรงชนิดที่ทำจากไนลอนสามารถขัดหรือทำความสะอาดฟันได้ง่ายควรหลีกเลี่ยงขนแปรง ชนิดแข็ง ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อเหงือกและทำลายสารเคลือบฟันได้

2.ทดลองใช้หลายรูปร่างและขนาด แปรงสีฟันที่คุณใช้ควรจับแล้วเหมาะมือเพื่อที่จะทำให้คุณแปรงฟันได้อย่างนุ่มนวลและทำมุมได้เหมาะสม ไม่มีใครบอกได้ว่าแปรงสีฟันรูปร่างใดถูกต้องที่สุด คุณควรจะเลือกให้เหมาะสมกับลักษณะการแปรงฟันของคุณ

3.ช่วยลดปริมาณขยะ คุณทราบหรือไม่ว่า มีปริมาณขยะจากแปรงสีฟันถึง 50 ล้านปอนด์ต่อปี บางบริษัทจึงมีการผลิตแปรง สีฟันทำให้ใช้ได้ทนนานโดยผลิต

จากวัสดุที่ไม่เสื่อมสลาย หรือผลิตแปรงสีฟันที่สามารถเปลี่ยนหัวแปรงได้เพื่อลดปริมาณขยะ

ด้ามจับเหมาะมือ

ขนแปรง : ทำจากไนลอน

คุณประโยชน์ในการใช้สอย : มีขนาดใหญ่ หัวแปรงเอียงทำมุมและด้ามจับหนา ทำให้การแปรงฟันเป็นไปอย่างนุ่มนวลโดยทำมุมที่เหมาะสม มีทั้งแปรงที่เหมาะสำหรับคนถนัดมือซ้ายและมือขวา

ปัจจัยการเกิดขยะ : นำไปรีไซเคิลไม่ได้ แต่ใช้วัสดุที่ไม่เสื่อมสลาย เช่น ยาง หรือเซลลูโลสมาทำด้ามจับทำให้มีความทนทาน ขนแปรงใช้ได้นานกว่า แปรงสีฟันส่วนใหญ่ 2-3 เท่า

วัสดุรีไซเคิล

ขนแปรง : ทำจากไนลอน

คุณประโยชน์ในการใช้สอย : ด้ามจับเอนไปทางด้านหลังทำมุม 45 องศากับฟันเพื่อให้มีความสะดวกในการแปรง

ปัจจัยการเกิดขยะ : ทำจากพลาสติกรีไซเคิล 100%

การทดแทน

ขนแปรง : ทำจากไนลอน

คุณประโยชน์ในการใช้สอย : รูปแบบมาตรฐานด้ามจับตรง

ปัจจัยการเกิดขยะ : ทิ้งเฉพาะหัวแปรงเท่านั้น ส่วนด้ามจับที่เป็นพลาสติกสามารถนำกลับมาใช้ได้

โรคข้อเข่าเสื่อมและกระดูกพรุน

โรคข้อเข่าเสื่อมนี้เกิดจากการเสื่อมตามอายุขัยส่วนใหญ่ เกิดกับข้อใหญ่ๆ เช่น ข้อสะโพก ข้อเข่าและข้อกระดูกสันหลัง

สาเหตุ

ปัญหา ปวดเข่าพบได้มากในผู้สูงอายุหญิงมากกว่าชาย เนื่องจากขนบธรรมเนียมไทยที่ต้องนั่งคุกเข่าพับเพียบ ขัดสมาธิ ซึ่งเป็นท่าที่ทำให้ข้อเข่าถูกกดพับ และเอ็นกล้ามเนื้อถูกยึดมาก การนั่งเช่นนั้นนานๆ ทำให้การหมุนเวียนของเลือดไปเลี้ยงเข่าไม่ได้ดี และเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุไม่ค่อยชอบออกกำลังกาย อีกทั้งต้องทำงานหนักไม่มีการพัก ประกอบกับน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ทำให้เข่าต้องแบกน้ำหนักส่วนเกินนั้น กล้ามเนื้อจึงหย่อนสมรรถภาพลง จึงทำให้เป็นโรคเข่าเสื่อมได้ง่าย

อาการเริ่มแรกที่เตือนให้รู้ว่าเข่ากำลังมีปัญหา

เจ็บปวด เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด อาจเป็นปวดแบบเมื่อยๆ พอทน ปวดแบบเป็นๆ หายๆ หรือในรายที่เข่าได้รับบาดเจ็บ จะปวดแบบเฉียบพลันและปวดรุนแรง

เข่าบวม เข่าที่บวมทันทีภายหลังจากได้รับบาดเจ็บ มักเกิดจากมีเลือดออกภายในข้อเข่า บวมที่เกิดขึ้นช้าๆ มักเกิดจากมีความผิดปกติขององค์ประกอบภายในข้อเอง

เข่าอ่อนหรือเข่าสะดุดติด อาจเกิดจากสาเหตุหลายประการ แต่ที่พบบ่อยคือ เกิดจากมีบางสิ่งบางอย่างภายในข้อ ทำให้งอ หรือเหยียดเข่าในทันทีทันใดไม่ได้ เช่น เส้นเอ็นหรือกระดูกอ่อนที่ฉีกขาด หรือเศษกระดูกที่หยุดอยู่ในข้อ

เข่าฝืดหรือยึดติด อาจเป็นเฉพาะบางช่วงเวลาของวัน เช่น ตอนเช้าหลังตื่นนอน นั่งนานๆ แล้วลุกขึ้น หรือเกิดขึ้นภายหลังจากได้รับบาดเจ็บที่ข้อเข่า

เมื่อ ปรากฎอาการดังกล่าวแล้วแสดงว่า ท่านเริ่มมีปัญหาของข้อเข่า ควรให้ความสนใจอย่างจริงจัง และพิจารณาดูว่า มีอะไรเป็นสาเหตุดังกล่าว จะเป็นต้องเริ่มต้นฝึกออกำลังกล้ามเนื้อของข้อเข่าให้แข็งแรงขึ้น ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่จะให้หลักประกันได้ว่า ท่านจะสามารถยืนและเดินอยู่บนขา และเข่าของตนเองได้ตลอดไป

วิธีป้องกันและการปฏิบัติ

- ควบคุมไม่ให้อ้วนเกินไป โดยการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย

- บริหารกล้ามเนื้อรอบๆ ข้อนั้นให้แข็งแรง (วิธีการบริหารดูในการออกกำลังกาย)

- ลดการใช้งานข้อนั้นในท่าที่ผิดจากธรรมชาติ เช่น การนั่งยองๆ การนั่งพับเพียบ คุกเข่าและการนั่งขัดสมาธินานเกินไป เป็นต้น

- ขณะที่มีอาการปวด ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อให้การรักษาภาวะอักเสบของข้อ แล้วเริ่มทำกายภาพบำบัดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

โรคกระดูกพรุน (osteoporosis)

เป็น โรคที่พบได้ในผู้สูงอายุทุกคน เป็นภาวะที่มีการกร่อนของเนื้อกระดูก เนื่องจากมีความผิดปกติในการสร้างสารเนื้อกระดูก ทำให้กระดูกอ่อนตัวลง สาเหตุที่สำคัญอันหนึ่ง คือ การทำงานของฮอร์โมนที่ลดลงในผู้สูงอายุ พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย การเคลื่อนไหวลดลง ภาวะกระดูนทรุดยุบมีอาการ การเคลื่อนไหวลดลง ปวดหลัง หลังค่อมทำให้ความสูงลดลง กระดูกหักง่าย แม้มีอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อย

การป้องกัน

* ออกกำลังกายเป็นกิจวัตร โดยเฉพาะกลางแจ้ง ตอนที่มีแดดอ่อนๆ เช่น เวลาเช้าหรือเย็น

* เมื่อมีความเจ็บป่วยไม่ว่าจากสาเหตุใด ควรรีบทำกายภาพบำบัด หรือเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกาย ให้เร็วที่สุดเท่าที่สภาพร่างกายจะเอื้ออำนวย

* รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง วิตามินดีสูง เช่น ปลากระป๋อง ซึ่งสามารถรับประทาน, กระดูกปลาได้ นมพร่องไขมันเนย ผักผลไม้ เป็นต้น

* งดการดื่มสุรา และสูบบุหรี่

* ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง เช่น ยาลูกกลอน เพราะมักจะมีสารพวกสเตียรอยด์ผสมอยู่ทำให้กระดูกพรุนได้

อาการปวดเมื่อยในผู้สูงอายุ

อาการ ปวดมาจากข้อต่อ บางคนจะบ่นปวดหลัง ปวดน่อง ปวดส้นเท้า ปวดคอ อาการปวดนี้เกิดขึ้นได้ทั่วร่างกาย สาเหตุของการปวดเมื่อยที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะในการเคลื่อนไหวของร่างกายแบ่ง ได้เป็น 5 พวกใหญ่ๆ ประกอบด้วย

อาการปวดเมื่อยที่พบบ่อย

1. ปวดเมื่อยที่มีสาเหตุจากกล้ามเนื้อ จะแสดงออกด้วยอาการปวดเมื่อย เมื่อยล้ามักจะบอกตำแหน่งที่ปวดไม่ค่อยชัดเจน

2. ปวดเมื่อยที่มีสาเหตุจากเส้นเอ็น อาการปวดจากเส้นเอ็นจะเป็นการปวดเฉพาะที่ปวดมากเวลาถูกกดและเมื่อมีอาการ เคลื่อนไหว พบบ่อยบริเวณไหล่ ส้นเท้า บริเวณมือและบริเวณเอ็นร้อยหวาย

3. ปวดเมื่อยสาเหตุจากเส้นประสาท สาเหตุจากเส้นประสาทถูกกดถูกทับ ทำให้มีอาการปวดแสบปวดร้อน และร้าวไปตามเส้นประสาทส่วนนั้น มักจะมีอาการชาร่วมอยู่ด้วย พบบ่อยที่บริเวณหลังมีการถูกกดของเส้นประสาท ทำให้มีอาการปวดร้าวจากหลังไปบริเวณน่องและปลายเท้าอีกตำแหน่งหนึ่งคือ บริเวณคอ เมื่อเส้นประสาทถูกทับจะมีอาการปวดร้าวจากคอไปบริเวณแขนและมือ

4. ปวดเมื่อยจากเส้นเลือด พบบ่อยจากเส้นเลือดขอดบริเวณขาทำให้มีอาการปวดถ่วงๆ เส้นเลือดขอดจะโป่งออกมา ปวดมากเมื่อยืนนานๆ เมื่อนั่งหรือนอนยกขาสูงขึ้นอาการปวดจะลดลงได้

5. ปวดจากข้อเป็นอาการที่ปวดจากข้อต่อ พบว่าในบริเวณที่เป็นจะบวมกว่าข้อต่อด้านตรงข้ามที่ปกติ อาการปวดจะเป็นมากขึ้นเมื่อมีการขยับเขยื้อน ถ้าเป็นข้อต่อซึ่งใช้ในการลงน้ำหนัก เมื่อเดินจะปวดมากขึ้น และถ้างอข้อต่อมากอาการจะปวดมากขึ้นตามไปด้วย

อาการ ปวดเมื่อย ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แสดงถึงความเสื่อมของข้อต่อกระดูก ตลอดจนเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อรอบๆ ข้อต่อ จะพบสาเหตุที่ทำให้เกิดการปวดเมื่อย ดังนี้

สาเหตุที่ทำให้เกิดการปวดเมื่อย

1. เริ่มมีการอักเสบของเส้นเอ็นบริเวณรอบๆ ข้อ เช่น ข้อไหล่ แล้วไม่ยอมใช้ไหล่ข้างนั้นๆ นานๆ เพราะกลัวเจ็บ

2. ยกของหนักเกินไป ในท่าที่ไม่ถูกต้อง ทำให้กล้ามเนื้อฉีกขาด หรืออักเสบ ปวดหลัง

3. ท่านอน เช่น หนุนหมอนสูงเกินไป ที่นอนนิ่มเกินไป นอนตะแคงแล้วศีรษะห้อยลง หรือบิดทำให้ปวดต้นคอ ปวดบริเวณหลัง

4. การที่ปล่อยตัวให้อยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานๆ เช่น นั่ง ยืน เดิน ศีรษะ งุ้มไปทางด้านหน้าหรือเงยจนมากเกินไป หรือเอนไปด้านใดด้านหนึ่งนานๆ ทำให้รู้สึกปวดเมื่อย

5. เกิดจากอุบัติเหตุ เช่น ถูกกระแทก หรือหกล้ม อาจจะทำให้กระดูกหัก กล้ามเนื้อฉีกขาดหรือเกิดการอักเสบ ทำให้ปวดเมื่อยได้

การป้องกันและการรักษา

1. อาการปวดหลัง เกิดจากการทรงตัวอยู่ในลักษณะท่าทางที่ไม่ถูกต้องนานๆ ป้องกันได้โดยวิธีการออกกำลังกายโดยการบริหารร่างกาย และปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง เช่น ยืนเอวไม่แอ่น หลังไม่ค่อม ศีรษะตั้งตรงไว้เสมอ

2. อาการปวดเข่า มักจะเป็นกับคนอ้วนที่มีน้ำหนักมาก และคนที่มีลักษณะขาโก่ง ป้องกันได้โดยการลดน้ำหนักตัวและบริเวณข้อเข่า

3. อาการปวดกล้ามเนื้อ และเส้นเอ็นที่อยู่รอบๆ ข้อ กล้ามเนื้อจะขนาดเล็กลง และมีการเคลื่อนไหวน้อยลง หรือเส้นเอ็นขาดได้ง่าย ป้องกันโดยทำให้ข้อมีการเคลื่อนไหว การยึด และกล้ามเนื้อมีการยืดหยุ่นตัวดีจะทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง

การช่วยเหลือตนเองโดยทั่วๆ ไป

1. ให้พักผ่อน หรือหยุดทำงานทันทีเมื่อรู้สึกปวดอย่างเฉียบพลัน

2. ประคบความร้อนบริเวณที่ปวด

3. นวดบริเวณที่ปวดกล้ามเนื้อ

4. ใช้อุปกรณ์ช่วยลดอาการปวด เช่น บริเวณคอใช้ปลอกคอ

5. หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ

5.1 โดยการจัดทำท่าให้ถูกต้อง

5.2 ให้มีการเคลื่อนไหวของข้อและข้อต่อไว้เสมอ

5.3 หมั่นออกกำลังกาย เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อลีบ และทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง

6. ถ้าปวดมากให้ปรึกษาเจ้าหน้าที่สาธารณสุข

ข้อมูลอีกเว็ปนึง ปวดเมื่อยเมื่อสูงอายุ รศ.นพ.ปรีชา รักษ์พลเมือง ภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิคส์และกายภาพบำบัด เมื่อย่างเข้าสู่วัยชรา หรือผู้สูงอายุ อวัยวะต่างๆ ย่อมเสื่อมลงเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะแขนขา ข้อต่อต่างๆ และกล้ามเนื้อ ซึ่งอาการปวดเมื่อยจะมีตั้งแต่ อาการเล็กน้อยจนกระทั่งถึงปวดรุ่นแรง จนทนไม่ไหว ถาม อาการปวดเมื่อยในผู้สูงอายุเกิดจากอะไรได้บ้าง ตอบ อาการปวดเมื่อยในผู้สูงอายุมีได้หลายสาเหตุ อันแรกคือ โรคข้อเสื่อม ซึ่งเกิด ตามข้อต่างๆ เกิดในคนที่มีอายุมาก ซึ่งจะเป็นเกือบทุกคน และอีกอย่างคือโรค กระดูกผุ มีเนื้อของกระดูกบางลง อันดับที่สามคือโรคหมอนรองกระดูกทับประสาท และอีกประการหนึ่งก็ได้แก่ พวกโรครูมาติสซั่ม นอกจากนั้นก็อาจจะมาจากโรคไตหรือ โรคกระเพาะอาหาร ถาม อาการปวดเมื่อยจากความชรา แตกต่างจากโรคดังกล่าวหรือไม่ ตอบแตกต่างกัน เพราะคนชราปวดเมื่อย ถ้าให้พักผ่อนก็จะหายได้ อาการปวดมัก เป็นช้าๆ ทีละน้อยผิดกันกับโรคต่างๆ ที่กล่าวแล้ว ซึ่งอาจจะเป็นทันทีโดยรุนแรงและ รวดเร็ว การพักผ่อนอาจจะไม่หายปวด ถาม สาเหตุของการปวดเมื่อยในผู้สูงอายุเกิดได้อย่างไร ตอบเนื่องจากสาเหตุปวดเมื่อยมีหลายอย่าง การเกิดจะแตกต่างกันไป ถ้าเกิดจาก ความเสื่อมของข้อก็เพราะเสื่อมไปตามกาลเวลา ยิ่งถ้ามีการใช้งานข้อมากกว่าปกติ เช่น แบกของหนัก ทำงานหนักมาก การเกิดโรคกระดูกผุจะพบได้จากผู้ป่วยสูงอายุ ที่เป็นหญิง เพราะฮอร์โมนเพศหญิงลดลง ทำให้แคลเซียมละลายออกจากร่างกายมาก กว่าที่เก็บสะสมไว้ แต่ถ้าเกิดจากการยกของหนักๆ ผิดท่า โดยเฉพาะการออกกำลัง กายโดยไม่มีการอุ่นเครื่อง (warm up) เสียก่อน ก็ทำให้ปวดมากได้ทันที ถาม ผู้สูงอายุควรจะทำอย่างไร เมื่อมีอาการปวดเมื่อยดังกล่าว ตอบ โดยทั่วๆ ไปแล้ว ควรพักผ่อน มักก็จะช่วยได้เสมอและการนวดแต่เพียงเบาๆ ได้ผลดี รวมทั้งการทำกายภาพบำบัด จะให้ผลดีเช่นกัน ถาม มีวิธีป้องกันหรือไม่ ที่จะไม่ให้เกิดอาการดังกล่าว ตอบ การป้องกัน ได้แก่ การออกกำลังกายสม่ำเสมอทำให้กระดูและกล้ามเนื้อ แข็งแรง การยกของ การทำงานด้วยท่าทางที่เหมาะสมสำหรับวัยและหลีกเลี่ยงงาน หนักมากๆ ถาม อาหารจะเกี่ยวข้องหรือไม่กับการปวดเมื่อย ตอบ อาหารมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่บ้าง เช่น โรคเก๊าท์ ปวดข้อจากการมีระดับกรด ยูริคสูง ต้องจำกัดอาหารประเภทเครื่องใน การขาดวิตามินและเกลือแร่ทำให้กระดูก บางลงอาจทำให้ปวดเมื่อยได้ในภายหลัง อาหารแป้งและไขมันที่จะเพิ่มน้ำหนักตัวต้อง จำกัดด้วยเช่นกัน เพราะจะทำให้มีอาการปวดหลัง ปวดเข่าได้ง่ายเช่นกัน

สารอาหารสำหรับผู้ไม่ออกกำลังกาย

หากคุณเป็นคนที่เพื่อนๆพากันขนานนามว่า คุณเป็นพวก Couch Potato ที่วันๆไม่ทำอะไร เอาแต่นอนอืดดูทีวีอยู่กับบ้าน เผลอๆก็เอาสแน็คที่หาคุณค่าทางอาหารไม่ได้เลย มาเคี้ยวกรุบๆทั้งวัน

รู้หรือไม่ว่าบัดนี้คุณอาจจะเป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มเสี่ยงสำหรับพวกโรคอ้วนเกินพิกัด หรือพวกโรคทางหัวใจและหลอดเลือดก็ได้ ในความเป็นจริงผู้ที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยงดังกล่าว อาจนับรวมถึงผู้ที่นอนป่วยนานๆหรือเพิ่งจะฟื้นไข้ หรือคนจำพวกหนอนหนังสือที่วันๆทำอะไรไม่เป็นเลยนอกจากอ่านและอ่านเท่านั้น

รามีสูตรวิตามินเจ๋งๆ 5 ชนิดที่ออกแบบมาเพื่อที่จะช่วยคุณๆที่เข้าข่ายดังกล่าว เริ่มจาก

1. Omega-3 Fatty Acids

พบมากในน้ำมันปลาและน้ำมันเมล็ดลินิน (Flax seed ) ซึ่งจะให้สัดส่วนของกรดไขมันชนิด EPA สูง โดยปริมาณ EPA ที่แนะนำ / วันควรอยู่ในช่วง 250-3,000 mg. และควรระวังซักนิดหากคุณต้องทานยาต้านการเกาะตัวของเกล็ดเลือดอยู่ก่อน ข้อดีสำหรับ Omega-3 คือ การปรับปรุงระบบการทำงานของหลอดเลือดและหัวใจ ระบบประสาท การสืบพันธุ์ และภูมิต้านทานร่างกาย นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณทางเภสัชวิทยาในการเป็น สารต้านการ clot ของเลือด ช่วยลดระดับไขมันในเลือด สารต้านอักเสบ บำรุงสุขภาพผมผิวและเล็บ และจุดเด่นสำคัญคือการช่วยนำส่ง Oxygen ไปยังเซลล์ต่างๆทั่วร่างกาย ซึ่งสัมพันธ์กับการลดอาการเบื่อและขี้เกียจได้

2. Bioflavonoid

ขนาดรับประทาน 50-300 mg./ วัน ร่วมกับการทานวิตามิน C 500-3,000 mg./ วันจะให้ผลในเรื่องความ แข็งแรงของผนังหลอดเลือดฝอย ซึ่งจะช่วยป้องกันการแข็งตัวของเลือดจากการนั่งนานๆ

3. Garlic

ซึ่งจะให้สารสำคัญที่เป็นกลิ่นเฉพาะตัวของกระเทียมที่ชื่อ Allicin โดยขนาดที่แนะนำควรอยู่ระหว่าง 600-5,000 mcg./ วัน ซึ่งจะให้ประโยชน์ในแง่ของการลดการเกาะตัวของเลือด ลดความดันเลือด ลดระดับไขมันและน้ำตาลในเลือด ต้านการติดเชื้อแบคทีเรียและไวรัส และควรระวังซักนิดหากคุณต้องทานยาต้านการเกาะตัวของเกล็ดเลือดอยู่ก่อนแล้ว

4. Folic Acid

ขนาดรับประทาน 400-1,000 mcg./ วัน ( หากเป็นสตรีตั้งครรภ์ควรได้รับ 600 mcg. และ 500 mcg. ใน สตรีให้นมบุตร ) ข้อดีของกรดโฟลิก คือการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ช่วยปรับความผิดปกติทางอารมณ์ที่ไม่รุนแรงนัก ความรู้สึกซึมเศร้า เบื่อหน่ายซึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจากการขาดการออกกำลังกาย นอกจากนี้หากรับประทานกรดโฟลิกขนาดสูงนานๆ ควรได้รับวิตามิน B12 เพิ่มเติมเนื่องจากกรดโฟลิกสามารถบดบังภาวะการขาด B 12 ในบางรายได้

5. Chromium

ขนาด 50-200 mcg./ วัน ในรูป Chromium Picolinate ซึ่งเป็นรูปแบบที่ดีที่สุดในแง่การดูดซึมและให้ประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจะให้ฤทธิ์ในการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและปรับปรุงระบบเมตาบอลิซึม ทำให้สามารถลดการอยากอาหารในผู้ที่ชอบทานขนมจุบจิบได้ นอกจากนี้ยังสามารถกระตุ้นการทำงานของระบบอินซูลินในร่างกายได้

นอกจากนี้คุณควรจะให้ความสนใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตร่วมด้วย โดยอาจจะมีการออกกำลังกายทดแทนบ้าง หรือหางานอดิเรกที่ชื่นชอบ สิ่งเหล่านี้น่าจะมีส่วนสำคัญในการเปลี่ยน Life style ของคุณที่น่าเบื่อและไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย มาเป็นนักกิจกรรมตัวยงที่มีสุขภาพดีคนหนึ่งเลยทีเดียว

ข้าวกล้องของดีเพื่อสุขภาพ

"ข้าวกล้องมีประโยชน์ทำให้ร่างกายแข็งแรง ข้าวขาวเม็ดสวยแต่เขาเอาของดีออกไป หมดแล้ว มีคนบอกว่าคนจนกินข้าวกล้อง เรากินข้าวกล้องทุกวัน เรานี่แหละเป็นคนจน"

ข้าวกล้องเมล็ดสีน้ำตาล หน้าตาไม่สวยใสเหมือนข้าวขัดขาว แต่การกินข้ากล้องนั้นทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็วและอิ่มได้นานกว่า จึงไม่ทำให้อ้วน เพราะข้าวกล้องอุดมด้วยเส้นใยอาหารและคุณ ค่าทางอาหารมากกว่าข้าวที่ขัดสีจนขาว บางคนอาจจะคุ้นเคยกับการเรียกข้าวกล้องว่า ข้าวซ้อมมือ หรือข้าวแดง เพราะในสมัยโบราณชาวบ้านใช้วิธีตำข้าวกินเอง จึงเรียกกันว่าข้าวซ้อมมือ แต่ปัจจุบันเราใช้เครื่องจักรสีข้าวจึง เปลี่ยนมาเรียกว่า ข้าวกล้อง แต่ไม่ว่าจะเรียกอะไรก็ล้วนแล้ว แต่มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายเหมือนกัน

การกินข้าวกล้องเป็นประจำทุกวัน จะช่วยป้องกันโรคเหน็บชา โรคโลหิตจาง กรรมวิธีการหุงข้าวกล้องก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร แต่ถ้าใครหุงไม่เป็นอาจทำให้ข้าวแข็งไม่น่ารับประทาน พลอย ทำให้ไม่อยากทานข้าวกล้องไปเสียอีก วิธีง่ายๆ เลยคือเริ่มจาก การเก็บสิ่งแปลกปลอมออกเสียก่อน และควรซาวข้าวเพียงครั้ง เดียวเพื่อไม่ให้สูญเสียวิตามินไปกับน้ำซาวข้าว

ในการหุงข้าวกล้องนั้น ต้องใส่น้ำในปริมาณที่มากกว่าการหุงข้าว ขาวเพราะข้าวกล้องมีเยื่อหุ้มเมล็ด การดูดซึมน้ำจะยากกว่าจึงต้อง ใช้เวลาหุงนาน แต่เพื่อเป็นการประหยัดเวลาควรจะแช่ข้าวกล้อง ก่อนหุงประมาณ 5-10 นาที ข้าวกล้องที่หุงแล้วจะได้นุ่มหอมน่ารับ ประทาน

การรับประทานข้าวกล้องนั้น สำหรับผู้ที่รับประทานใหม่ๆ อาจจะ ไม่เคยชิน รู้สึกฝืดคอแต่หากรับประทานไประยะหนึ่งจะรู้สึกว่า ข้าวกล้องหอม ยิ่งเคี้ยวนานๆ ก็จะได้รสชาติหวานอร่อย ได้รส ชาติมากกว่าข้าวขาว

เคล็ดลับในการรับประทานข้าวกล้องอีกประการหนึ่งที่อยากจะ แนะนำคือ ควรรับประทานขณะที่ยังอุ่น เพราะข้าวจะนุ่มและ ควรรับประทานข้าวกล้องที่สุกแล้วให้หมด ในมื้ออาหารนั้น เพราะข้าวกล้องจะบูดเสียได้ง่ายกว่าข้าวขาวทั่วไป

ชิดชนก 47322905 (ภาคค่ำ)

นมวัว กับ นมถั่วเหลือง

ในเรื่องของโปรตีน ถ้าทำน้ำถั่วเหลืองจากสูตร ถั่วเหลือง 1 ส่วนต่อน้ำ 8 ส่วน จะได้โปรตีนใกล้เคียงกับนมวัว คือ ดื่มนมถั่วเหลือง 1 แก้ว (200 มิลลิลิตร) จะ ได้โปรตีน ประมาณ 6 กรัม (นมวัว 1 แก้ว จะได้โปรตีนประมาณ 7 กรัม) แต่ คุณภาพ โปรตีนในนมวัวมีความสมบูรณ์ ของกรดอะมิโนที่เป็นส่วนประกอบของโปรตีนดีกว่า โปรตีนจากถั่วเหลือง ที่มาจากพืช แต่คุณภาพของโปตีนในนมถั่วเหลือง ก็สามารถ เสริมให้ดีขึ้นได้ ด้วยการ เติมเครื่องต่างๆ อย่างที่นิยมกัน เช่น ลูกเดือย สาคู ถั่วแดง ลงไป ได้ทั้งความอร่อยแถมคุณค่าของโปรตีนสมบูรณ์ขึ้น

พลังงานที่ได้จากนมวัวจะมีไขมันมากกว่านมถั่วเหลืองถึง 2 เท่า คือนม วัว 1 แก้วจะให้พลังงาน ประมาณ 170 แคลอรี่ ส่วนนมถั่วเหลืองจะให้เพียง 80 แคลอรี่ เท่านั้น แต่คนที่ดื่มนมถั่วเหลืองเติมน้ำตาลมาก จนมีรสหวานกว่านมสดรสหวาน ก็จะ ได้พลังงานทั้งหมดพอๆ กัน แม้ว่านมถั่วเหลืองจะให้แคลเซียม ที่น้อยกว่านมวัว แต่ให้ธาตุเหล็กและวิตามินบีหนึ่งที่มากกว่า

เราดื่มนมถั่วเหลืองทดแทนนมวัวไม่ได้ เพราะจะมีแคลเซียมน้อยกว่านมวัวอยู่มาก แต่หากมีการเสริมแคลเซียมลงในนมถั่วเหลือง ก็เท่ากับว่าเสริมคุณค่าทางโภชนาการ ให้สมบูรณ์มากขึ้น สำหรับผู้ที่ต้องการดื่มนมถั่วเหลืองเป็นอาหารเสริมก็ควรดื่ม วันละ 1-2 แก้ว หากเป็นนมถั่วเหลืองธรรมดาที่ไม่ได้มีการเสริมแคลเซียม ขอแนะนำ ให้ดื่มนมวัวบ้างประมาณวันละ 1-2 แก้ว สำหรับผู้ใหญ่ หรือ 2-3 แก้วสำหรับเด็ก เช่นเดียวกับหญิงมีครรภ์หรือให้นมบุตร เพื่อจะได้แคลเซียมอย่างเพียงพอกับความ ต้องการของร่างกายในสภาวะนั้นๆ

สาธิยา พงษ์ไพรวัน เลขที่82 cmruวิทย์ออก02

เคล็ดลับในการรับประทานผัก

เรามาทานผักให้ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่กันดีกว่าค่ะ เคล็ดลับในการรับประทานผักให้ได้สารอาหารที่มีคุณค่าอย่างครบถ้วน เพื่อให้ได้ประโยชน์ในการรับประทานผักอย่างเต็มที่ได้แก่

ควรเลือกรับประทานผักตามฤดูกาล เนื่องจากผักตามฤดูกาลนั้นมีสารอาหารมากเป็นพิเศษ เช่น มะเขือเทศมีวิตามินซีมากที่สุดในเดือนกันยายน ในเดือนพฤศจิกายนปริมาณวิตามินซีในมะเขือเทศเหลือเพียง 2 ใน 3 เท่านั้น ผักบุ้งในฤดูร้อน เมื่อเทียบกับผักชนิดเพียวกัน ซึ่งออกในฤดูหนาว มีปริมาณวิตามินซีเหลือเพียง 1 ใน 3 หรือ 1 ใน 4 เท่านั้น และปริมาณแคโรทีนเหลือเพียง 2 ใน 3 เท่านั้น ผักตามฤดูกาลมีรสชาติ สี และกลิ่นน่ารับประทาน อีกทั้งราคาถูก รวมทั้งการเลือกผักตามฤดูกาลยังเป็นทางเลือกหนึ่ง ในการหลีกเลี่ยงพิษภัยจากสารเคมีตกค้าง เนื่องจากผักตามฤดูกาลมีความต้านทานต่อโรคและแมลงสูง โดยไม่จำเป้นต้องใช้สารเคมีในการเร่งการเจริญเติบโต และกำจัดแมลงศัตรูพืช

ช่วงเดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม ควรเลือกรับประทานคะน้า กวางตุ้ง บวบ ผักกาดหอม ชะอม ผักบุ้ง ดอกแค ช่วงเดือนมิถุนายน-กันยายน ควรเลือกรับประทานคะน้า กวางตุ้ง แตงกวา บวบ ผักกาดหอม ชะอม ผักบุ้ง ตำลึง หน่อไม้ ถั่วฝักยาว มะระ ต้นหอม ผักชี ส่วนในเดือนธันวาคม-มกราคม ควรเลือกรับประทานฟักทอง ฟักแฟง กะหล่ำปลี แครอท ผักกาดขาว หัวไชเท้า สลัดแก้ว ผักกาดฮ่องเต้ ถั่วแขก ถั่วพู กะหล่ำดอก บร็อคเคอรี่ ตั้งโอ๋ ปวยเล้ง ถั่วลันเตา หอมหัวใหญ่ พริกชี้ฟ้า และพริกหวาน

การรับประทานผักควรรับประทานทุกส่วนเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด ผักที่รับประทานได้ทั้งต้นอย่างกะหล่ำปลี ผักกาด ไม่ควรทิ้งใบนอก หรือใจผัก เพราะใบส่วนนอก และใจผักของกะหล่ำปลีมีวิตามินซีมากกว่าในส่วนกลางถึงร้อยละ 30 ส่วนผักกาดมีมากกว่าถึง 2 เท่า การรับประทานผักทุกส่วนทำให้มีโอกาสได้รับวิตามินต่าง ๆ คุ้มกับค่าเงินที่เสียไปในการซื้อผักด้วย

สีเขียวในผักเกิดจากคลอโรฟิล ในคลอโรฟิลมีแคโรทีนปนอยู่ด้วย สียิ่งเข้มแคโรทีนก็ยิ่งมากขึ้น ส่วนสีแสดในพืช แม้จะมีสีเข้มมาก แต่จำนวนแคโรทีนไม่ได้เพิ่มตามไปด้วยเสมอ

สารอาหารจำพวกแคโรทีนซึ่งมีอยู่ในผักหลายชนิด หากรับประทานในลักษณะผักดิบ ลำไส้จะดูดซึมแคโรทีนได้เพียงร้อยละ30 และถ้านำไปผัดหรือทอดในน้ำมันการดูดซึมแคโรทีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 50-70 ดังนั้นถ้าจะรับประทานผักดิบควรรับประทานร่วมกับอาหารชนิดอื่น ๆ ที่มีน้ำมันปนอยู่ เนื่องจากน้ำมันจะช่วยให้ลำไส้ดูดซึมแคโรทีนได้มาก และง่ายขึ้น

วิตามินเอ และแคโรทีนไม่ละลายน้ำ แต่ไม่ทนความร้อน แสงแดด และออกซิเจน การปรุงอาหารทำให้วิตามินเอสูญเสียไปถึงร้อยละ 10-40 ดันนั้นไม่ควรหั่นผักทิ้งไว้นาย ๆ หรือวางตากแดด การผัดผักนั้นควรให้ภาชนะร้อนเต็มที่ น้ำมันที่ใช้ควรเป็นน้ำมันพืช วิตามินอีในน้ำมันพืชป้องกันการสูณเสียวิตามินเอจากความร้อนในการปรุงอาหาร

วิธีการต้มผัก ควรใส่ผักเมื่อน้ำเดือดพล่าน อย่าต้มนาน ปริมาณวิตามินในผักจะลดลงตามระยะเวลาในการต้ม ข้อควรระวังอย่าใส่ผักมากเกินไปในการต้มแต่ละครั้ง ถ้าต้องการต้มผักในปริมาณมาก ควรแบ่งต้มหลายครั้ง เมื่อต้มแล้วควรนำไปจุ่มในน้ำให้เย็น

แครอท แตงกวา ฟักทอง และผักอื่น ๆ บางอย่างมีกรดที่จะทำลายวิตามินซี แม้ว่ากรดชนิดนี้ทนความร้อน แต่หากรับประทานผักดังกล่าวในรูปของผักสดปนกับผักอื่น ๆ กรดดังกล่าวจะทำลายวิตามินซีของผักอื่น ๆ การคลุกผักดังกล่าวด้วยน้ำส้มสายชูจะช่วยแก้ปัญกาในส่วนนี้ได้

วิตามินซีมีอยู่ในผักทั่ว ๆ ไป ผักที่สีเข้มจะมีวิตามินซีมากกว่า ผักสีอ่อน เช่นเดียวกับประมาณแคโรทีนในผัก แต่การรับประทานสลัดผักทุกวันก็ใช่ว่าจะได้รับปริมาณวิตามินซีเพียงพอ เนื่องจากผักที่ใช้ทำสลัดส่วนใหญ่มีวิตามินซีไม่มาก การรับประทานผักที่ถูกต้องคือ ควรทานผักสีเข้มร่วมกับผักสีอ่อน ในแต่ละวันผู้ใหญ่ควรรับประทานผักประมาณ 300 กรัมต่อคน ต่อวัน โดย 1 ใน 3 ควรเป็นผักสีเข้ม และส่วนที่เหลือเป็นผักสีอ่อน

ความคิดเห็น

การรับประทานผักนั้นดีต่อสุขภาพค่ะ แต่ต้องเป็นผักที่ปลอดสารพิษนะค่ะ

การรับประทานผักในยุคเศรษฐกิจพอเพียงนนี้ดีมากเลยค่ะนอกจากจะชวยประหยัดค่าใช้จ่ายแล้วยังสามารถเป็นประโยชน์ให้กับร่างกายด้วยค่ะ

เคล็ดลับในการดูแลผิวให้แลดูอ่อนเยาว์และการเลือกผลิตภัณฑ์ลดริ้วรอยมีทั้งหมด 4 วิธีด้วยกันคือ

1.แสงแดด : พยายามหลีกเลี่ยงแสงแดดจ้าในช่วงเวลา 10.00-15.00 น. และควรจะหาเกราะป้องกันให้แก่ผิวพรรณด้วยการทายากันแดดที่มีค่า SPF อย่างน้อย 15 ขึ้นไปโดยทาก่อนออกแดดประมาณ 30 นาที

 2.อาหารผิว : อย่าลืมเติมมอยส์เจอร์ไรเซอร์เป็นอาหารให้ผิว ซึ่งปัจจุบันมีครีมบำรุงผิวให้เลือกมากมาย ดังนั้น ควรใส่ใจในการศึกษาข้อมูลด้วยการเลือกใช้ให้เหมาะกับสภาพผิวของตัวเอง และราคามิใช่เป็นคำตอบเสมอไป หากแต่ควรพิจารณาซื้อจากบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือ ขณะที่การเลือกใช้บริการทางการแพทย์ เช่น ดึงหน้า เลเซอร์ ฉีดสารเคมี ฯลฯ จำเป็นต้องรู้ถึงข้อดี ข้อเสียและระยะเวลาในการรักษาด้วย

3.ใส่ใจอาหาร : พยายามบังคับตัวเองให้รับประทานอาหารให้ครบหมู่ ดื่มน้ำสะอาดวันละ 6-8 แก้ว และงดเว้นการสูบบุหรี่ ดื่มชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นตัวบ่อนทำลายเซลล์ผิวหนังให้เสื่อมเร็วกว่าวัยอันควร

4. พักผ่อน-ออกกำลังกาย-คลายเครียด : จะช่วยให้ระบบโลหิตไหลเวียนดีขึ้น ทำให้ผิวหนังได้รับสารอาหารและออกซิเจนเพิ่มมากขึ้น ส่วนการทำจิตใจสดใสคลายเครียดนั้น ก็เหมือนกับการผ่อนคลายกล้ามเนื้อไปในตัวด้วย

ยิ่งนอนดึก ยิ่งเร่งวันตาย

การนอนดึกเป็นเหตุให้อายุสั้น เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การทำงานดึกทำให้ร่างกายล้า เหมือนกับ เครื่องยนต์ overload ไม่ช้าเครื่องก็พัง วิธีแก้ไขในกรณีต้องทำงานดึก (เพื่อไม่ให้ร่างกายโทรมเร็ว) ผู้ที่มีหน้าที่บริหารงาน มักจะพบปัญหานี้กันมาก เพราะต้องเร่งงาน ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนนอนดึก

1. ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการล้า

2. ระบบร่างกายจะรวน ดังนี้ ระบบการย่อยอาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ คืออาหารที่ทานเข้าไป ถ้าไม่นอนดึก อุจจาระจะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่ เหมือนกับแท่งทอง แต่ถ้าอดนอนแล้วอุจจาระจะหยาบ จะมีเศษ อะไรต่างๆ ติดอยู่ เหมือนกับรถที่มีเขม่าติด เกิดจากการที่ร่างกายย่อยไม่หมด เพราะล้า แนวทางแก้ไข ให้ลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาหารเหนียวๆ มิฉะนั้นลำไส้ทำงานหนัก ยิ่งนอนดึกแม้ เราหลับไปแล้ว แต่ลำไส้ไม่หลับ ยังคงย่อยอยู่ต่อไป พอตื่นขึ้นมาก็เพลีย ให้ทานไข่ นม แทนพวกเนื้อ สัตว์ ก็จะพอถูไถไปได้ มิฉะนั้นท้องจะผูกเป็นประจำ ริดสีดวงทวารจะถามหา (ถ้าหากอ้วนก็ให้ทานนม แทนไข่) ท้องผูก มี 2 ลักษณะ

1. ผูกแข็ง คือ อุจจาระแข็ง

2. ผูกเหลว คือ อาการถ่ายอุจจาระไม่หมด ยังค้างอยู่ แต่ลำไส้ล้า กระเพาะอาหารล้า ทำให้ไม่มี แรงบีบให้ออกจนหมด ดังนั้นในวันหนึ่งๆ จึงต้องถ่ายหลายครั้ง โรคที่จะตามมาก็คือ ผื่นคันบริเวณขาหนีบ (ไม่ใช่เพราะความ สกปรกหมักหมม) จะคันทั้งวัน ปกติอุจจาระจะกึ่งแข็งกึ่งเหลว ถ้าแข็งแสดงว่าส่วนที่เป็นน้ำได้ซึมกลับเข้ามาในลำไส้ ซึ่ง มันเป็นของเสีย ที่ต้องขับออก ผลก็คือทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะมาประทุบริเวณเนื้ออ่อนๆ เช่นที่ขาหนีบ สาเหตุก็มาจาก ท้องผูกนั่นเอง

เพราะฉะนั้น อย่านอนดึก ถ้าต้องดึกก็ให้ออกกำลังหน้าท้อง ให้ท้องเกิดกำลัง จะได้รีดอุจจาระออกมา ได้เร็ว ทานเสร็จแล้วอย่านอน ให้เดินสักครึ่งชั่วโมง เพราะพอขาได้เดิน ลำไส้มันก็ต้องไปกับขาด้วย จะช่วย ทำให้ย่อยได้ดีขึ้น ท้องจะผูกน้อยลง ผื่นคันก็จะหาย ถ้ายังไม่หาย (เนื่องจากอายุมาก) ให้ทานน้ำขิงสด (ไม่ใช่ขิงผง เป็นซองๆ) พวกที่นอนดึกต้องให้ท้องอุ่นมากๆ ให้หาผ้ามาห่ม เดี๋ยวท้องจะอืด เฟ้อ บางทีต้องให้เท้าอุ่นด้วย ให้หา ถุงเท้ามาใส่ มิฉะนั้นเท้าจะชา ระบบปัสสาวะ ถ้านอนไม่ดึก ประมาณ 3-4 ทุ่ม พอตื่นเช้าขึ้นมาจะปัสสาวะครั้งเดียวจบ แต่ถ้านอนดึก ยิ่งนอนตีหนึ่ง กลางดึกจะต้อง ลุกเข้าห้องน้ำถี่ เพราะร่างกาย overload ต้องการน้ำมาก กล้ามเนื้อข้างในจะบีบคั้นเอาพลังงานออ กมาใช้ จึงต้องใช้น้ำมาก ผลก็คือปัสสาวะบ่อย ทำให้พวกเกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะด้วย ยิ่งอายุ 35 ขึ้นไปจะยิ่งแย่ แนวทางแก้ไข ให้ทานแคลเซี่ยมเม็ดได้ แต่อย่ามาก แค่ 1 เม็ดก็พอ ถ้าทานมากจะทำให้แคลเซี่ยมพอก คืออาการที่กระดูกงอกทับเส้นประสาท (ถ้าเป็นแล้วต้องให้คนนวด และทานยาละลายแคลเซี่ยมช่วย) ถ้าไม่ทานแคลเซี่ยมชดเชย จะทำให้เลือดจาง เม็ดโลหิตจาง สรุปแล้วการอดนอน เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การนอนดึกต้องดื่มน้ำให้มาก และเติมเกลือในน้ำด้วย คือพอเราดื่มแล้วมันออกมาหมดทั้งทางปัสสาวะแล ะเหงื่อ เราทานเกลือมากๆ ยังออกทางเหงื่อได้ แต่ถ้าทานแคลเซี่ยมมากทำให้กระดูกงอก ส่วนโค้ก เป๊ปซี่ กระทิงแดง อย่าทาน พอเราอยู่ดึกและกลั้นปัสสาวะ มันจะซึมกลับเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะไปประทุที่ขาหนีบ หรือท้องแขนเป็นเม็ดแดงๆ เป็นจ้ำขึ้นทั่วเลย บางคนไม่กลั้น แต่ดื่มน้ำน้อย อาการก็จะเหมือนกับการโม่ แป้งฝืดๆ ลำไส้บีบตัวไม่ไหว ต้องเค้น ก็จะเพลีย แต่ถ้าดื่มน้ำมาก ทำให้ถ่ายสบาย ถ้าดื่มน้ำน้อยจะทำให้กรดยูเรียเข้มข้น พอเรากลั้นปัสสาวะมันก็จะซึมเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ถ้ากลั้นบ่อยๆ จะทำให้ปัสสาวะไม่หมด ระบบเหงื่อ คนที่ไม่มีเหงื่อออก จะแย่ ถ้าขับเหงื่อให้ออกได้ร่างกายสบาย ถ้าเหงื่อไม่ออกความร้อนภายในร่างกา ยจะระบายไม่ได้ ทำให้อึดอัด ของเสียในร่างกายก็ออกไม่ได้ โรคผิวหนังจะถามหา สิวฝ้าจะขึ้น เพราะฉะนั้น ดื่มน้ำให้มากพอและออกกำลังกาย เท่านั้นพอ เอาจนเหงื่อออกให้ได้ คนนอนดึกเหงื่อจะไม่ค่อยออก ของเสียตกใน สิวฝ้าขึ้น มันก็จะไปออกทางปัสสาวะแทน ไตเลยทำงาน หนัก ระบบหายใจ ระบบหายใจจะเสียตามมา ร่างกายจะเอาออกซิเจนไปแลกเลือดดำให้เป็นเลือดแดงได้ต้องมีความชื้น ถ้าความชื้นน้อยมันจะไม่แลก ทำให้อึดอัด เหมือนอยู่ห้องแอร์แล้วอึดอัด เพราะความชื้นไม่พอ ไม่ใช่ อากาศไม่พอ อากาศมันแห้งเลยเอาความชื้นในตัวเราไป ทำให้ปอดทำงานไม่สะดวก และออกซิเจนไม่ ได้ แนวทางแก้ไข ให้เอาน้ำใส่กะละมังไว้ข้างตัว ยิ่งเป็นน้ำร้อนยิ่งดี ถ้าอึดอัดให้เอาผ้าหนุนเท้าให้สูง เลือดก็จะไหลลงมาได้ จะทำให้นอนสบาย การดื่มน้ำหวานๆ ตอนอยู่ดึกๆ ก็ช่วยได้ แต่อย่าหวานมากจะทำให้อ้วน ถ้าจะให้ดีที่สุดอย่าอยู่ดึก ดึกได้ เป็นครั้งคราวถ้าจำเป็น คนนอนดึกเสียงจะแห้ง เพราะไตมันล้า การใช้สบู่ ให้ใช้สบู่เด็ก เพราะเป็นสบู่อ่อน การกัดจะน้อย อย่าใช้สบู่แรงๆ ให้ฟอกสบู่วันละครั้งก็พอ ถ้าฟอกวันละหลายๆ ครั้งไขมันจะหมด จะทำให้ผิวแตก ถ้าคันมากๆ อันเนื่องมาจากการนอนดึก ถ้า เราไม่ทราบเราจะยิ่งฟอกสบู่หนักเข้าซึ่งไม่ดี ให้ฟอกวันเว้นวัน การดูแลรักษาร่างกายให้ดี จะทำให้นั่งสมาธิได้ดี นั่งได้นาน ไม่คัน ไม่เข้าห้องน้ำบ่อย

นงนุช คำแปง เลขที่ 77 วิทย์ออก

ทานวิตามินเกินขนาดอาจมีโทษ

การทานวิตามินมีประโยชน์ต่อร่ายกาย แต่ถ้าทานเยอะเกินไปอาจมีโทษต่อร่างกาย

วิตามินโดยทั่วไป หากทานมากเกินไป ไม่มีอันตราย ร่างกายจะขับออก แต่มีวิตามินบางชนิด หากได้รับมาก จะต้องได้รับสารอื่น เช่น หากได้วิตามิน C มากต้องได้แร่ทองแดง ดังนั้น ไม่ควรทานเกินกว่ากำหนด ตัวอย่าง วิตามิน A หากได้มากกว่า 25000 IU จะทำให้ปวดศรีษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ผิวแห้ง คันและผมร่วง หากได้มาก ตับม้ามจะโต ปวดกระดูก

ส่วนวิตามิน D หากได้มากเกิน 50000 IU จะทำให้เบื่ออาหาร คลื่นไส้ ท้องร่วง น้ำหนักลดและมีพิษต่อตับ และวิตามิน C โดยทั่วไปไม่มีพิษ แต่หากได้เกิน 1 กรัมจะทำให้เกิดคลื่นไส้ ท้องร่วง ตะคริวและเกิดนิ่วที่ไตธาตุเหล็ก หากได้รับขนาดสูง จะระคายกระเพาะและท้องผูก

รู้อย่างนี้แล้ว ควรทานวิตามินแค่พอประมาณจะดีกว่า เพื่อร่ายกายที่แข็งแรง.

นงนุช คำแปง เลขที่ 77 วิทย์ออก

ผมหงอกก่อนวัย

อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์เมื่อไม่นานมานี้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า อาชีพถอนหงอก ที่หลายคนคาดไม่ถึง จะสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ จนมีบางคนเปิดกิจการรับถอนหงอก คิดชั่วโมงละ 80 บาทเลยทีเดียว ผลปรากฏว่า ลูกค้าไปใช้บริการเพียบ ส่วนใหญ่เป็นคนวัยทำงานอายุประมาณ 30 ต้น ๆ

ทั้ง ๆ ที่ยังไม่แก่เลย แต่ทำไมผมหงอกก่อนวัย ? เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์โรคผิวหนัง อธิบายว่า สาเหตุของผมหงอก เกิดจาก เม็ดสีเมลานิน ที่ทำให้เส้นผมมีสี จะลดลงเมื่อสูงวัยขึ้น ทำให้ผมเป็นสีขาว หยาบ แลดูไม่เป็นประกาย ดังนั้นผมหงอกที่พบในผู้สูงอายุเมื่อเกิดแล้วจะอยู่ถาวร

กรณีผมหงอกที่กลับดำได้นั้น เป็นผมหงอกที่เกิดจากโรคภายในร่างกาย ถ้ารักษาโรคหายผมจึงกลับดำได้ โรคที่ทำให้เกิดผมหงอกได้ เช่น โรคเบาหวาน โรคโลหิตจาง โรคต่อมไทรอยด์ การบาดเจ็บและโรคของระบบประสาท โรคด่างขาว โรคผมร่วงเป็นหย่อม การล้มป่วยบางอย่าง เช่น มาลาเรีย และเป็นไข้หวัดใหญ่

ที่สงสัยกันว่า โดยพบว่า ในฝรั่งผิวขาว ผมจะเริ่มหงอกครั้งแรกตั้งแต่อายุ 24-44 ปี ในคนผิวดำเริ่มหงอกเมื่ออายุ 34-54 ปี ส่วนชาวเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น จะเริ่มหงอกตั้งแต่อายุ 30-40 ปี ผมที่เริ่มหงอกตามวัยนี้ไม่สามารถกลับมาดำได้อีกเลย

คำว่า ผมหงอกก่อนวัย ในฝรั่งผิวขาว คือ ผมหงอกก่อนอายุ 20 ปี ส่วนในคนผิวดำ และคนไทย คือ ผมหงอกก่อนอายุ 30 ปี จัดว่าเป็น ผมหงอกก่อนวัย ซึ่งเป็นเรื่องตามธรรมชาติ และเป็นกรรมพันธุ์เสียส่วนใหญ่ แต่บางคนอาจมาจากโรคทางร่างกายได้ ซึ่งอาจต้องการการวินิจฉัยที่ถูกต้อง

การขาดสารอาหารบางตัว เช่น วิตามิน บี 12 อาจทำให้มีผมหงอกได้ หรือในบางกรณีความเครียดอาจทำให้ผมหงอกได้เช่นกัน คนที่อายุยังน้อยแต่มีผมหงอก ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากมีภาวะความเครียดสูง บางคนเชื่อว่า ความเครียดทำให้ร่างกายขาดวิตามินบี ถ้ากินวิตามินบีขนาดสูงอาจทำให้ผมหงอกกลับดำได้ ทั้งนี้พบว่าการดื่มแอลกอฮอล์ก็ทำให้ขาดวิตามินบีได้เช่นกัน หรือการกินยาบางตัว อาจทำให้คนที่มีผมสีอ่อนหรือผมน้ำตาลแดงกลายเป็นสีขาวได้ มีการทดลองในหนูพบว่า ถ้าขาดสาร กรดแพนโททีนิก หรือวิตามินบี 5 ทำให้ขนกลายเป็นสีขาวได้ และพบว่าในวัวและสัตว์หลายชนิดที่ขาดทองแดงขนจะเปลี่ยนเป็นสีขาวได้

วิธีแก้ปัญหาผมหงอกมีหลายวิธีด้วยกัน อย่างแรก คือ ไม่ต้องทำอะไรกับมันเลย ปล่อยให้มันหงอกขาวอยู่นั่นแหละ หรือถ้าผมหงอกเฉพาะส่วนปลายผม คือ หงอกปลายผมไม่เกิน 1 ใน 10 ก็อาจใช้การตัดซอยเอาเฉพาะส่วนปลายที่หงอกทิ้งไป วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ผมเริ่มหงอกในช่วง 1-2 ปีแรก เพราะผมจะเริ่มหงอกเฉพาะส่วนปลายเท่านั้น

อีกวิธีหนึ่งก็คือย้อมผมเฉพาะบางจุดเท่านั้น ตามธรรมชาติของคนเรานั้น เส้นผมไม่ได้มีสีสม่ำเสมอสีเดียวกันทุกเส้นหรอกครับ แต่จะมีเฉดสีแตกต่างกันได้ถึง 11 สี ดังนั้นการย้อมสีเส้นผมเฉพาะบางจุดหรือบางส่วน อาจทำให้สีทรงผมแลดูเป็นธรรมชาติกว่า

ส่วนการถอนผมหงอกนั้น เมื่อถอน ออกไปแล้วก็อาจจะทำให้เกิดความพึงพอใจ มีผลในแง่จิตวิทยา เพราะผมหงอกถูกถอนออกไปหมด แต่สุดท้ายผมก็งอกขึ้นมาใหม่ หงอกเหมือนเดิม ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับความพอใจของแต่ละคนว่าจะใช้วิธีนี้หรือไม่ แต่ที่หลายคนไม่กล้าถอน โดยมีความเชื่อว่าถอนผมหงอกเส้นเดียวจะมีผมหงอกขึ้นมาแทนที่หลายเส้น ซึ่งเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง ถอนเส้นเดียวก็ขึ้นมาเพียงเส้นเดียว ไม่ได้หงอกเพิ่ม

อย่างไรก็ตามในกรณีที่ผมหงอกเกิดจากการขาดสารอาหารนั้น การได้รับวิตามินเสริมอาจแก้ปัญหาได้ แต่โดยทั่วไปถือว่าการรับประทานอาหารให้ครบหมู่มีประโยชน์โดยรวมมากกว่าการรับประทานวิตามินเสริม สำหรับอาหารที่มีทองแดงมาก ได้แก่ หอยนางรม อาหารทะเล และเมล็ดทานตะวัน อาหารที่มีกรดแพนโทเทนิก หรือวิตามินบี 5 พบมากใน ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด แอปเปิล และเมล็ดงา

ท้ายนี้ก็ขึ้นอยู่กับท่านที่ผมหงอกก่อนวัย ว่าจะเลือกใช้วิธีใดกำจัดผมหงอก ถ้าจะให้เข้ากับยุควิกฤติเศรษฐกิจ ก็ไม่ต้องทำอะไรเลย แต่ถ้ายังห่วงเรื่องความสวยความหล่อ จะไปย้อม ตัด หรือถอน ก็ตามแต่สะดวก.

8 ความลับของสาวผอมเพรียว

ทำตัวให้เหมือนกับว่าคุณรูปร่างผอมเพรียว แล้วคุณก็จะผอมได้เช่นกัน

เราทุกคนคงต่างก็มีเพื่อนรูปร่างผอมบางกัน อย่างน้อยก็คนหนึ่งที่ดูเหมือนจะไม่เคยอ้วนขึ้นเลยสักที นั่นเพราะผลจากงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าคนที่มีรูปร่างผอมบางมักไม่ได้คิดถึงเรื่องอาหารแบบเดียวกับคนอื่นๆ พวกเธอจะผ่อนคลายกับการกิน ขณะที่คนซึ่งน้ำหนักเกินส่วนใหญ่มักจะหมกหนุ่มกับเรื่องการกินมากกว่า ลองมาแอบดูว่าคนผอมๆ ทำหรือไม่ทำอะไร แล้วคุณจะเลียนแบบพวกเธอได้ยังไงบ้าง

1. พวกเธอเลือกอาหารที่ทำให้พึงพอใจมากกว่าอิ่มจนแน่นท้อง

ในอัตราส่วนความอิ่มจาก 1 ถึง 10 ผู้หญิงรูปร่างผอมจะหยุดกินเมื่อถึงระดับ 6 หรือ 7 ขณะที่คนส่วนมากมักกินต่อไปจนถึงระดับ 8 หรือ 10 มันอาจเพราะคุณสำคัญผิดระหว่างความอิ่มกับความพึงพอใจ หรือคุณอาจเคยชินกับการกินทุกอย่างตรงหน้าจนหมดเกลี้ยงไม่ว่าคุณจะต้องการมันจริงๆ หรือไม่ก็ตาม

วิธีเลียนแบบ เพื่อกินแบบเดียวกับผู้มีรูปร่างผอม วางช้อนลง และประเมินความอิ่มจากอัตราส่วน 1 ถึง 10 ทำแบบเดียวกันอีกครั้ง เมื่อเหลือสักห้าคำ เป้าหมายก็คือเพิ่มความรู้ตัวถึงความพึงพอใจของตัวเองในระหว่างการกิน (มันยังทำให้คุณกินช้าลงซึ่งให้โอกาสความอิ่มส่งสัญญาณเข้ามา)

2 . พวกเธอรู้ว่าความหิวไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน

คนส่วนใหญ่ที่ดิ้นรนกับเรื่องน้ำหนักตัวมักมองความหิวเป็นสิ่งที่ต้องจัดการอย่างเร่งด่วน ดังนั้น ถ้าคุณกลัวความหิว คุณอาจกินมากเกินไปอยู่เสมอ แต่คนผอมๆ จะทนได้มากกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงมัน วิธีเลียนแบบ เลือกวันที่ยุ่งๆ เพื่อชะลอเวลาอาหารกลางวันออกไปอย่างจงใจสักหนึ่งหรือสองชั่วโมง หรือลองพยายามงดของว่างมื้อบ่ายสักหนึ่งวัน คุณจะเห็นได้ว่าตัวเองก็ยังสบายดีอยู่ จากนั้น ครั้งต่อไปที่คุณได้ยินเสียงท้องร้อง คุณจะหยุดตัวเองไม่ให้ตรงดิ่งไปยังตู้เย็นในทันทีได้

3. พวกเธอไม่ใช้อาหารเพื่อเยียวยาอารมณ์เศร้า

ไม่ใช่ว่าผู้หญิงรูปร่างผอมบางมีภูมิด้านทานต่อการกินตามอารมณ์ แต่พวกเธอมักจะรู้ตัว เวลาที่ทำอย่างนั้นและหยุดมันได้

วิธีเลียนแบบ ถ้าคุณหิวจริงๆ กินของว่างที่มีประโยชน์ อย่างเช่นถั่วหนึ่งกำมือ เพื่อหยุดตัวเองเอาไว้ ก่อนรออาหารมื้อต่อไป แต่ถ้า คุณหงุดหงิด เหงา หรือเหนื่อย ลองหาทางออกที่ปราศจากแคลอรี่ เช่น ออกไปวิ่งหรือกระโดดโลดเต้นไปมารอบๆ อัตราการเต้นของหัวใจที่เพิ่มขึ้นจะช่วยให้ความโกรธหายไป เหงาก็โทรหาเพื่อน หรือไปเดินเล่นที่ศูนย์การค้าหรือถ้าเหนื่อยก็ไปนอนเสียดีกว่า

4. พวกเธอกินผลไม้มากกว่า

งานวิจัยเมื่อปี 2006 ใน Journal of the American Dieletic Association ระบุว่า โดยเฉลี่ยแล้วผู้หญิงรูปร่างผอมบาง มักกินผลไม้มากกว่าหนึ่งครั้งในแต่ละวัน กินเส้นใยอาหารมากกว่าและกินไขมันน้อยกว่าเมื่อเทียบกับคนอ้วน วิธีเลียนแบบ ลองเริ่มสำรวจการกินของคุณเพื่อหาทางเพิ่มผลไม้ (ไม่ใช่น้ำผลไม้นะ) เข้าไป ตั้งเป้ากินให้ได้สองหรือสามส่วนต่อวัน เช่น เพิ่มผลไม้ลงไปในอาหารแต่ละมื้อ หรือกินผลไม้เป็นของหวาน

5. พวกเธอสร้างความเคยชิน

การกินอาหารหลากหลายเป็นสิ่งที่ดี แต่ถ้าหลากหลายมากเกินไปก็อาจส่งผลเสียได้ งานวิจัยแสดงให้เห็นว่าการกินอาหารที่มีรสชาติแตกต่างกันมากเกินไปทำให้คุณยิ่งกินมากขึ้น คนผอมมักจะมีรูปแบบของการกินที่วางแผนมาแล้วอย่างดี มีของแปลกๆ เพิ่มเข้ามา 2-3 อย่าง แต่ส่วนใหญ่อาหารของพวกเธอจะคาดเดาได้

วิธีเลียนแบบ ลองกินอาหารหลักๆ ซ้ำกันในแต่ละมื้อ เช่น กินซีเรียลตอนเช้า กินสลัดตอนกลางวัน กินปลาตอนเย็น เป็นต้น มันโอ.เค. ที่จะเพิ่มทูน่าหรือไก่ย่าง เข้าไปกับสลัดผักในบางวัน แต่การกินกับอาหารหลักๆ ที่เดาได้ คุณจะจำกัดโอกาสที่จะกินมากเกินไปได้

6. พวกเธอรู้จักการควบคุมตัวเอง

งานวิจัยที่มหาวิทยาลัย Tufts พบว่า ปัจจัยที่ทำนายได้ถึงการมีน้ำหนักขึ้นของผู้หญิงในวัย 50 และ 60 คือระดับของความยับยั้งชั่งใจ ผู้หญิงที่มีความยับยั้งชั่งใจสูงจะมีดัชนิมวลกายต่ำกว่า

วิธีเลียนแบบ เตรียมพร้อมสำหรับช่วงเวลาที่คุณมักจะขาดความยับยั้งชั่งใจอย่างมาก เช่น ท่ามกลางบรรยากาศการเฉลิมฉลองหรือเวลาอยู่กับเพื่อน ถ้าคุณชอบกินตอนงานเลี้ยง บอกตัวเองว่าคุณจะกินของว่างแค่หนึ่งชิ้นในรอบที่สี่ ซึ่งมันถูกส่งผ่านมา ถ้าคุณกินมื้อค่ำนอกบ้านลองสั่งอาหารมาแบ่งกันกับเพื่อน หรือถ้าคุณเครียด ก็ให้แน่ใจว่าคุณมีของว่างที่เคี้ยวได้ (อย่างเช่น ผลไม้หรือแครอตแท่ง) เอาไว้ใกล้มือ

7. พวกเธอชอบเคลื่อนไหว

โดยเฉลี่ยผู้หญิงรูปร่างผอมจะยืนมากกว่า 2 ชั่วโมงครึ่งในแต่ละวัน ที่สามารถช่วยเผาผลาญได้ 33 ปอนด์ต่อปี นี่เป็นผลจากการศึกษาของลินิกเมโย ในเมืองโรเชลเตอร์ สหรัฐฯ

วิธีเลียนแบบ การศึกษาแสดงให้เห็นว่าคนเรามักประเมินความแอ็คทีฟของตัวเองเกินจริง คนส่วนใหญ่มักใช้เวลา 16-20 ชม. ในแต่ละวันไปกับการนั่ง ใส่เครื่องนับก้าวเพื่อดูว่าคุณเข้าใกล้จำนวน 10,000 ก้าวแค่ไหน และในแต่ละวันคุณควรออกกำลัง 30 นาที รวมกับการเคลื่อนไหวอื่นๆ เช่น การเดินขึ้นบันได

8. พวกเธอนอนหลับสนิท

ผู้หญิงที่ผอมบางมักนอนมากกว่า 2 ชม. ต่อสัปดาห์ เมื่อเทียบกับคนน้ำหนักเกิน งานวิจัยของโรงเรียนแพทย์อีสเทิร์นเวอร์จิเนียบอกเช่นนั้น นักวิจัยเชื่อว่าการนอนน้อยทำให้ระดับของฮอร์โมนที่ช่วยกดความอยากอาหาร (Lepfin) ต่ำลง และระดับของฮอร์โมนที่เพิ่มความอยากอาหาร (Ghrelin) สูงขึ้น

วิธีเลียนแบบ ลองชั่วโมงต่อสัปดาห์ก็คือประมาณ 17 นาที/ต่อวัน ซึ่งสามารถทำได้ง่ายกว่ามาก แม้คุณจะงานยุ่งเพียงใดก็ตาม เริ่มต้นตรงนั้นและค่อยๆ เพิ่มเวลานอนให้ได้วันละ 8 ชม. ในแต่ละคืน ซึ่งเป็นปริมาณที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ใหญ่ส่วนมาก

กะเพรา รักษาหูด

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ocimum sanctum L.

ชื่อสามัญ : Holy basil, Sacred Basil

วงศ์ : Lamiaceae (Labiatae)

ชื่ออื่น : กะเพราขน กะเพราขาว กะเพรา (ภาคกลาง) กอมก้อ กอมก้อดง (เชียงใหม่) อีตู่ไทย (ภาคอีสาน)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้พุ่ม สูง 30-60 ซม. โคนต้นค่อนข้างแข็ง กะเพราแดงลำต้นสีแดงอมเขียว ส่วนกะเพราขาวลำต้นสีเขียวอมขาว ยอดอ่อนมีขนสีขาว ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกตรงข้ามกัน รูปรี กว้าง 1-3 ซม. ยาว 2.5-5 ซม. ปลายใบมนหรือแหลม โคนใบแหลม ขอบใบจักเป็นฟันเลื่อย แผ่นใบสีเขียว มีขนสีขาว ดอก ออกเป็นช่อที่ปลายยอด ดอกสีขาวแกมม่วงแดงมีจำนวนมาก กลีบเลี้ยงโคนเชื่อมติดกัน ปลายเรียวแหลม ด้านนอกมีขน กลีบดอกแบ่งเป็น 2 ปาก ปากบนมี 4 แฉก ปากล่างมี 1 แฉก ปากล่างยาวกว่าปากบน มีขนประปราย เกสรเพศผู้มี 4 อัน ผล เป็นผลแห้ง เมื่อแตกออกจะมีเมล็ด สีดำ รูปไข่

ส่วนที่ใช้ : ใบสด

สรรพคุณ :

ใช้ใบสดของกะเพรา ถ้าเป็นกะเพราแดงจะมีฤทธิ์แรงยิ่งขึ้น ขยี้ทาตรงหัวหูด เช้า-เย็น จนกว่าหัวหูดจะหลุด

สารเคมี :

ใบ มี Apigenin, Citric acid, Fumric acid , Luteolin, Tartaric acid, Ursolic acid, Malic acid

พัชรินทร์ 47322814 (ภาคค่ำ)

ระวัง .. โรคผิวหนัง ที่มาพร้อมกับหน้าหนาว


นพ.ธัญธรรศ โสเจยยะ อายุรแพทย์โรคผิวหนัง รพ. วิภาวดี

     เมื่อลมหนาวพัดมา ปัญหาที่คุณสาวๆ หรือแม้แต่คุณคุณผู้ชายต้องประสบ ก็คือ ปัญหาผิวหน้า และผิวหนังแห้ง ซึ่งเราจะเห็นว่าเมื่อลมหนาวโชยมา บวกกับความชื้นสัมพัทธ์ต่ำ มักจะส่งผลให้เกิดปัญหาผิวหนังแห้งและคัน หลายคนมักเข้าใจผิดคิดว่า อาการคันเหล่านี้เกิดจากผิวแห้ง หรือไม่ก็เกิดจากความสกปรก จึงใช้สบู่กระหน่ำฟอกถูทาๆบริเวณนั้นมากขึ้น จนอาการก็หนักขึ้นเคยได้ยินโรคเซ็บเดิม หรือรังแคของผิวหน้าบ้างไหมครับ โรคนี้ที่พบมากขึ้นในคนไทยโดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาว 

    
ขณะนี้ พบโรคเซ็บเดิมในคนไทยมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาว สาเหตุคือการที่เรามีความเครียด และการอยู่ห้องแอร์ เป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญ เนื่องจาก โรคเซ็บเดิม เป็นโรคในกลุ่มเดียวกับรังแคและโรคสะเก็ดเงิน ซึ่งเป็นโรคผิวหนังเรื้อรังที่ไม่ติดต่อ โดยที่โรคเซ็บเดิม จะแสดงอาการเป็นผื่นแดงตามหน้าผาก ข้างแก้ม คิ้ว หรือเป็นผื่นมีขุยที่เหนือคิ้ว ร่องจมูก และแนวไรผม สำหรับผู้ที่เป็นรุนแรงมาก แผลจะเห็นได้ชัดเจนมาก ซึ่งดูแล้วไม่ต่างไปจากโรคสะเก็ดเงิน นอกจาก จะพบผื่นที่ใบหน้าแล้ว ยังอาจพบผื่นที่หนังศีรษะคล้ายรังแค แต่หนังศีรษะจะมีผื่นแดง และยังพบตามตำแหน่งอื่น ๆ ที่มีต่อมไขมันมาก ได้แก่ ในรูหู หลังหู ในสะดือ และหัวเหน่า เป็นต้น 

    
ในอดีต โรคเซ็บเดิม นี้พบบ่อยในฝรั่งแต่ปัจจุบันคนไทยมีสภาพความเป็นอยู่คล้ายชาวตะวันตก รวมถึงมีความเครียดสูงขึ้นด้วย ปัจจัยที่ทำให้โรคเซ็บเดิม หรือรังแคของผิวหน้ากำเริบ ได้แก่ ความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ ผิวหน้าแห้ง ล้างหน้าบ่อยครั้งเกินไป การโดนแสงแดดจัด ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และรับประทานอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มที่ร้อนจัด สิ่งเหล่านี้ ล้วนทำให้เกิดรังแคของผิวหน้ากำเริบได้ 

    
การรักษาโรคนี้ คือหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นดังที่กล่าวมาข้างต้น และหากเป็นมากควรพบอายุรแพทย์โรคผิวหนัง เนื่องจากโรคนี้มักเป็น ๆ หาย ๆ ผู้ป่วยจึงไม่ควรวิตกกังวลมากเกินไป เพราะจะทำให้เครียด และโรคยิ่งกำเริบมากขึ้น

 

 

 

เบญจวรรณ หล้าแปง(ม,ฟาร์เลขที่ 40)

5 เคล็ดลับ กินไขมันอย่างสุขภาพดี

ทำไมหลายคนจึงมองว่าไขมันเป็นสิ่งเลวร้าย หรือคุณรู้จักไขมันกันน้อยเกินไป เพราะไขมันไม่เพียงเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายแล้วไขมันบางชนิดยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคและเสริมสุขภาพได้อีกด้วย วันนี้จึงมี 5 เคล็ดลับดีๆ เกี่ยวกับการกินไขมันมาฝากกัน

1. อยากกินของผัด ของทอดต้องเลือกน้ำมัน คงเป็นที่ยอมรับกันว่าอาหารผัด หรือทอดเป็นอาหารจานโปรดของใครหลายคน แต่ที่ต้องลดหรืองดนั้นก็เพราะห่วงเรื่องสุขภาพ ดังนั้นการเลือกน้ำมันที่ใช้ทอดจึงเป็นทางออกที่ดีสำหรับคนที่อดไม่ได้ ซึ่งเดี๋ยวนี้มีน้ำมันเมล็ดชาที่มีคุณสมบัติที่ดีคล้ายน้ำมันมะกอกแต่มีจุดเดือดสูงจึงสามารถนำมาผัด หรือทอดอาหารได้อย่างปลอดภัยไร้กังวล

2. พิถีพิถันกับประเภทไขมัน ไม่ใช่ปริมาณไขมัน คงต้องยอมรับว่าไขมันหรือน้ำมันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เราจึงต้องเลือกชนิดของไขมันหรือน้ำมันที่ดีในการประกอบอาหาร ซึ่งน้ำมันที่ดีที่ควรรับประทาน ควรมีองค์ประกอบของกรดไขมันอิ่มตัวต่ำและไขมันไม่อิ่มตัวตำแหน่งเดียวสูง ได้แก่ น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดชา น้ำมันคาโนลา เป็นต้น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงโรคร้ายต่างๆ ลดระดับคอเลสเทอรอลโดยไม่ลดเอชดีแอล ช่วยลดไตรกลีเซอร์ไรด์ได้

3. หลีกเลี่ยงการกินไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานซ์ ไขมันเหล่านี้มักพบใน เนยเทียม มาการีน กะทิ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม เนื้อสัตว์ติดมัน ฯลฯ ซึ่งเป็นไขมันที่ควรหลีกเลี่ยงเพราะนอกจากจะทำให้อ้วนแล้ว ยังทำให้ระดับคอเลสเทอรอลในเลือดสูง เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด และนำไปสู่โรคร้ายต่างๆ ตามมา

4. อย่าลดไขมันตามแบบแฟชั่นด้วยอาหารไขมันต่ำ เพราะอาหารไขมันต่ำไม่ได้แปรว่าแคลอรี่จะต่ำไปด้วย มีหลายผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าไขมันต่ำ แต่พบวามีน้ำตาล สารเพิ่มความเหนียว และสารปรุงแต่งอื่นๆ อีกมากมาย จึงทำให้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ให้พลังงานสูงกว่าอาหารไขมันตามธรรมชาติ ทางออกที่ดีลองหันมาทานอาหารแบบชาวเมดิเตอร์เรเนียนที่ใช้นำมันมะกอกปรุงอาหาร หรือชาวจีนที่ใช้น้ำมันเมล็ดชาปรุงอาหาร เพราะน้ำมัน 2 ชนิดนี้ ได้รับการยอมรับจากวงการโภชนาการว่ามีสัดส่วนของกรดไขมันชนิดต่างๆ ในปริมาณที่ส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรค

5. ทดแทนไขมันหนักด้วยไขมันน้ำ เนย ครีม ไขมันสัตว์ เป็นไขมันหนักที่ทานแล้วจะทำให้มีแนวโน้มเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน โรคอ้วน และภาวะคอเลสเทอรรอลสูง ดังนั้นจึงควรทดแทนไขมันหนักเหล่านี้ด้วยการใช้ไขมันน้ำแทน เช่น น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดชา เป็นต้น เพื่อให้ร่างกายได้รับไขมันเพียงพอในแต่ละวัน

แม้จะรู้ว่าไขมันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดแต่ก็ควรกินในปริมาณที่พอเหมาะกับร่างกายแต่ละคน เพื่อสุขภาพดีจะได้อยู่กับเราตลอดไป

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์ 006)เลขที่30

สุขภาพ

สุขภาพดีคือสิ่งที่ทุกคนปรารถนา สุขภาพดีเป็นสิ่งพรหมลิขิตให้แต่ไม่ทั้งหมด หลายคนไขว่ขว้าหาสุขภาพดี ใช้เงินใช้ทองซื้อทำสปา เข้าโปรแกรมลดน้ำหนัก ซื้ออาหารลดน้ำหนักมารับประทาน การมีสุขภาพที่ดีต้องอาศัยตัวเองดูแลสุขภาพ ให้เวลากับตัวเองเพียงวันละ 1 ชั่วโมงในการออกกำลังกาย อีก 7 ชั่วโมงในการนอนหลับ และรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ ธรรมชาติคงไม่ให้สุขภาพที่ดีแด่คนที่ชอบทำร้ายตัวเองอยู่เรื่อย แม้ว่าจะทราบแล้วว่าสิ่งนั้นไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ สุขภาพไม่สามารถซื้อด้วยเงินถึงแม้คุณจะรวยเป็นมหาเศรษฐีหากคุณไม่ดูแลตัวเองให้ดี เงินที่มีอยู่เพียงบรรเทาอาการเท่านั้น หลายท่านคิดว่าการออกกำลังกายเสียเวลา ท่านลองจิตนาการถึงภาระงานที่ท่านรับผิดชอบในแต่ละวันว่ามีมากน้อยเพียงใด หากท่านไม่ดูแลตัวเองและเกิดโชคร้ายท่านเป็นโรคอัมพาตหรือโรคหัวใจ ภาระที่ท่านว่ามากมายจนไม่มีเวลาออกกำลังกาย ภาระเหล่านั้นใครจะเป็นคนดูแล และหากโชคร้ายถึงขั้นช่วยตัวเองไม่ได้ ใครจะมาเป็นคนดูแลท่าน ท่านเพียงเสียเวลาวันละประมาณ 1 ชั่วโมง หรือท่านอาจจะใช้เวลาในการดูทีวีและออกกำลังกายไปด้วยกันซึ่งก็จะทำให้ท่านมีสุขภาพที่ดีขึ้น หลายท่านเชื่อว่า คนผอมเท่านั้นที่มีสุขภาพดี จึงทำการลดน้ำหนักด้วยการอดอาหารเป็นการใหญ่เพื่อให้น้ำหนักได้มาตรฐาน แต่การลดน้ำหนักอาจจะเป็นเรื่องลำบาก และการอดอาหารเป็นเวลานานๆอาจจะมีอันตรายต่อสุขภาพ จึงอยากให้ท่านผู้อ่านได้เปลี่ยนมุมมองใหม่ การมีสุขภาพที่ดีไม่ได้หมายถึงน้ำหนักที่อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานแต่หมายถึงการที่เราดูแลตัวเองอย่าถูกต้องตั้งแต่เรื่อง การออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร การพักผ่อน การป้องกันโรค การลดหรือเลิกสิ่งที่บั่นทอนสุขภาพ ร่างกายเรากระปี้กระเปร่าพร้อมที่จะดำเนินชีวิตประจำวัน เนื้อหาที่จะกล่าวจะเป็นแนวทางในการดูแลสุขภาพของท่าน การปฏิบัติตามแนวทางไม่ได้ต้องการให้ท่านมีอายุยาวหมื่นๆปีแต่ต้องการให้ท่านมีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่ป่วยบ่อย สามารถหลีกเลี่ยงโรคที่ป้องกันได้ อายุยืนยาวขึ้น การที่จะมีสุขภาพที่ดีต้องประกอบไปด้วยการดูแลดังต่อไปนี้

อาหารสุขภาพ

รักษาน้ำหนักที่เหมาะสม

การออกกำลังกาย

การดื่มสุรา

กาแฟกับสุขภาพ

สารตะกั่วกับสุขภาพ

การหยุดสูบบุหรี่

การจัดการกับความเครียด

การจัดการกับอาการปวดหลัง

การคาดเข็มขัดนิรภัย

กลิ่นปาก

การดูและฟัน

การจัดตั้งคอมพิวเตอร์

เกี่ยวกับเชื้อรา

สุขภาพในที่ทำงาน

ลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรค

การตรวจสุขภาพ

การแปลผลเลือด

ความปลอดภัยเครื่องไฟฟ้า

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์ 006)เลขที่30

โยเกิตทำเอง เพื่อสุขภาพที่ดี

โยเกิตนอกจากจะเป็นอาหารลดน้ำหนักยอดฮิตของหญิงสาวแล้ว โยเกิตยังเป็นอาหารคุณภาพเยี่ยมที่อุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัส ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง มีโปรตีน วิตามินบี 2 และบี 12 ที่ช่วยสร้างเม็ดเลือดและบำรุงระบบประสาท แต่เนื่องจากโยเกิตที่ขายตามท้องตลาดทั่วไปมักผสมน้ำตาล น้ำเชื่อมผลไม้ ซึ่งหากร่างกายไม่สามารถเผาผลาญได้หมดก็จะกลายเป็นแคลอรีให้สาวๆต้องปวดใจ (กับไขมันที่เพิ่มขึ้น) เพราะฉะนั้นมาทำโยเกิตเพื่อสุขภาพด้วยตัวเองแบบง่ายๆดีกว่าค่ะ

ส่วนผสม :

นมสดหรือนมพร่องมันเนย 2 ลิตร, โยเกิตสำเร็จรูปรสธรรมชาติ 1 ถ้วย

วิธีทำ :

1. เทนมใส่ภาชนะแก้วหรือเซรามิก นำไปตั้งไฟ พออุ่นยกลง

2. นำโยเกิตที่เตรียมไว้ผสมลงไปคนให้ละลายทั่วกัน ตักแบ่งใส่ถ้วยแล้วปิดฝาให้สนิท

3. นำไปวางเรียงในกระติกน้ำแข็งหรือกล่องโฟมใบใหญ่ ปิดฝาให้สนิท ตั้งทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องปกติประมาณ 8 ชั่วโมง

แล้วคุณจะได้โยเกิตแช่เย็นเก็บไว้รับประทานได้นาน 7 วันทีเดียวค่ะ

เคล็ดลับ สุขภาพดี ด้วย 18 วิธี ง่ายๆ

1. แอปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวี ต้องระวัง ผล ไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้มีประโยชน์มาก แต่ถ้าคุณกำลังทานยาปฏิชีวนะอยู่ ผลไม้พวกนี้จะกลายเป็นโทษทันทีเพราะมันบูดในลำไส้ได้ง่าย อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้ 2. ผลไม้กับมื้ออาหาร ก่อน ทานอาหารควรจะเรยีกน้ำย่อยด้วยสับปะรดและมะละกอสัก 2-3 ชิ้น ผลไม้สองชนิดนี้มีเอนไซม์ที่จะช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่กำลังจะ ตามลงมาได้ง่ายขึ้น และหลังจากจบมื้ออร่อยแล้วควรตบท้ายด้วยแอปเปิ้ลสัก 1 ชิ้นเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลายซึ่งจะทำให้จำนวนแบคทีเรียในช่องปากลดลง และช่วยให้เหงือกแข็งแรงด้วย

3. อย่าปล่อยให้หิว ควร จะทานอาหารให้ตรงเวลาทุกวันแม้จะยังไม่รู้สึกหิวก็ตาม เพราะเวลาที่เราหิวร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนควมเครียดออกมา ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นประจำก็จะทำให้คุณกลายเป็นสาวเครียด และนำไปสู่อาการความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวาน

4. เนื้อสัตว์กับผลไม้ ไม่เข้ากัน ถ้า ทานน้อยๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามื้อไหนคุณทานเนื้อเป็นจำนวนมากแล้วควรจะงดผลไม้ไป เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ส่าวนผลไม้ซึ่งย่อยเร็วจะถูกกักอยู่ในกระเพาะ จึงทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้

5. นาฬิกาชีวภาพ หลัก การสุขภาพดีบอกไว้ว่าเราควรจะเข้านอนในเวลาเดียวกันทุกๆ วัน แต่ส่วนใหญ่พอถึงคืนวันศุกร์กับวันเสาร์เรามักจะนอนดึกเพราะถือว่าเป็นวัน หยุด การทำอย่างนี้จะทำให้ความเคยชินหรือที่เรียกว่าชีวภาพของร่างกายรวรเร จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่วันจันทร์เราจะง่วงนอนกว่าปกติ

6. ความเครียดทำลายผิว ถ้า อยากผิวสวย แก่ช้า ดูอ่อนกว่าวัย สิ่งแรกที่ต้องปรับคือความคิดของตัวเราเอง พยายามคิดในทางบวก มองโลกในแง่ดี หลีกเลี่ยงความคิดที่ทำให้ตึงเครียด เพื่อไม่ให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกทำลายตัวเราเอง

7. หลีกเลี่ยงภาชนะพลาสติก เพราะ ความร้อนรวมทั้งรสชาติเผ็ดเปรี้ยว เค็มจากอาหารสามารถเข้าไปกัดเซาะสารสังเคราะห์ในพลาสติกให้ละลายออกปะปนกับ อาหารได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการใช้ภาชนะพลาสติกใส่อาหารเข้าอุ่นในเตาไมโครเวฟยิ่งเป็นสิ่งที่ ต้องหลีกเลี่ยง เพราะเป็นการเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเป็นอย่างมาก

8. อย่าประมาทอาการไอเรื้อรัง หลัง จากหายหวัดแล้วอาการไออาจจะยังไม่หายไป แต่สาวหลายคนมักจะไม่สนใจเพราะคิดว่าอาการไอเป็นเรื่องชิลๆ แต่ที่จริงอาการไอเรื้อรังร้ายแรงกว่าที่คุณคิด เพราะมันอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะ ที่หมอให้มารักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ วิธีหยุดอาการไอที่ได้ผลที่สุดคือการดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ และนอนหลับให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้เต็มที่

9. เท้าและข้อเท้าบวม ถ้า มีอาการแบบนี้อย่าปล่อยไว้ เพราะฝ่าเท้าเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย ถ้าบริเวณเท้ามีปัญหาก็จะส่งผลถึงร่างกายทุกส่วน วิธีแก้ไขคือให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาทีจากนั้นก็ขยับข้อเท้าไปข้างหน้าและข้างหลังเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียน ได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงขนนุ่มๆ แปรงผิวหนังเบาๆ โดยเริ่มจากฝ่าเท้าแล้วค่อยๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวานเพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) ตบท้ายด้วยการอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น

10. งดเครื่องดื่มคาเฟอีน เครื่อง ดื่มพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นชาหรือกาแฟ ปกติก็ไม่ควรดื่มอยู่แล้ว แต่ถ้าบังเอิญคุณเป็นโรคปวดหลัง เครื่องดื่มพวกนี้จะเป็นศัตรูของคุณไปทันที เพราะคาเฟอีนจะไปลดการหลั่งสารเอนโดรฟินซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดอาการปวด ตามอวัยวะต่างๆ อาการปวดของคุณก็จะไม่หายหรืออาจจะเป็นมากขึ้นด้วย 11. ดื่มน้ำเร็ว...อันตราย ใครๆ ก็บอกว่าควรจะดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว แต่ต้องค่อยๆ ดื่มไปตลอดวัน ไม่ใช่ทั้งวันไม่ดื่มเลย แล้วมารวบยอดเอาในครั้งเดียว เพราะการดื่มน้ำปริมาณมากๆ ในครั้งเดียวอาจทำให้เกิดอาการน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง และอาจทำให้เป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็งตามมา ยิ่งถ้าอาการเกร็งไปเกิดที่สมอง หัวใจ หรือปอด ก็อาจจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้

12. แดดอ่อนตอนเช้า แสง แดดยามเช้าจัดว่าเป็นยาตามธรรมชาติที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของโดยไม่ต้องเสีย เงินซื้อ นอกจากทำให้กระดูกแข็งแรงแล้วยังทำให้อารมณ์ดี เพราะแดดอ่อนๆ มีวิตามินที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข ออกมาต่อต้านอาการซึมเศร้าในตัวเรา คนที่เดินเล่นรับแดดอ่อนจึงมีหน้าตาเบิกบานกว่าคนที่มัวแต่หลบแดดอยู่ในบ้าน มาก

13. เบาหวานอย่าทานไข่ ถ้า สมาชิกในครอบครัวคุณคนไหนเป็นเบาหวาน ควรให้เขางดไข่ไปเลย เพราะมีรายงานทางการแพทย์ว่าถ้าคนที่เป็นเบาหวานทานไข่อาทิตย์ละ 1 ฟอง จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากขึ้น

14. อยากผอมต้องน้ำเย็น การ ดื่มน้ำเย็น 50 ออนซ์ จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี ช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 2.5 กิโลกรัม เพราะเมื่อเราดื่มน้ำเย็นร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำให้น้ำนั้นเปลี่ยน อุณหภูมิเป็นอุณหภูมิปกติก่อน แล้วจึงนำไปใช้ได้ จึงเป็นการใช้พลังงานมากกว่าเดิม

15. สุขภาพดีทันทีที่ตื่น ถ้า อยากดูแลสุขภาพพร้อมกับการเริ่มต้นวันใหม่ ทันทีที่ตื่นนอนสาวๆ ควรผสมน้ำส้มสายชู (ที่หมักจากผลแอปเปิ้ล) กับน้ำผึ้งในสัดส่วนเท่ากัน ใส่น้ำอุ่นนิดหน่อย คนให้เข้ากันแล้วนำมาดื่ม จะช่วยให้การดูดซึมของระบบลำไส้และการเผาผลาญของร่างกายทำงานได้ดีตลอดวัน 16. ผู้ชายอย่าพลาดมะเขือเทศ สำหรับ หนุ่มซ่าที่กำลังเริ่มมีอาการเตะปี๊ปไม่ดังหรือกลัวว่าจะเป็นหมัน มะเขือเทศคือผลไม้ที่คุณจะพลาดไม่ได้ เพราะมะเขือเทศสุกมีสารโคปีนสูงมาก ช่วยให้ต่อมลูกหมากทำงานได้ดี ประสิทธิ์ภาพและสมรรถภาพต่างๆ จึงทำงานได้เป็นปกติ ถ้าผู้ชายทานมะเขือเทศอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้น ความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็จะน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญควรจะทานแบบสุกๆ เช่น ทานเป็นน้ำพริกอ่อง สปาเก็ตตี้ เพราะเวลามะเขือเทศถูกความร้อนมันจะปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น

17. ป้องกันกรดในกระเพาะอาหาร สำหรับ ที่ท้องอืดบ่อย ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่างเช่น มะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุต หรือน้ำมะเขือเทศสดนั่น เพราะน้ำพวกนี้มีกรดมากทำให้ท้องอืด หรือถ้าเสพติดไปแล้วอดไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะทำให้เจือจางลงด้วยการผสมน้ำมากๆ

18. หลบอัลไซเมอร์ด้วยเกม ถ้า ไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์หรือเป็นโรคขี้หลงขี้ลืม สาวๆ ควรจะฝึกสมองด้วยการเล่นเกมที่ต้องใช้สมาธิ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ เกมในคอมพิวเตอร์ หรืออาจจะทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิอย่างเรียนดนตรี เล่นหมากรุก เป็นต้น เพราะเกมเหล่านี้จะช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ

นภา ใจเฟย ม.ฟารร์(28)

4 อาหารเลวที่ดีต่อร่างกายของคุณ

ถ้าคุณได้ชื่อว่าเป็นพวกที่ทานอาหารเพื่อสุขภาพอยู่ละก็ เชื่อว่าคุณคงกำลังหลีก เลี่ยงอาหารจำพวกเนย นม และชีสอยู่แน่ แต่รู้ไหมว่าอาหารที่ได้ชื่อว่าเลวร้าย นั้น อันที่จริงมันก็มีสารอาหารบางอย่างที่สำคัญอยู่ และคุณจะได้คุณจากมัน มากกว่าโทษ หากรู้จักกินแบบ "มีลิมิต" นั่นคือ

ชีส

แน่นอน ชีสอุดมด้วยไขมันและแคลอรี แต่ในขณะเดียวกันมันยังเป็นแหล่งสำคัญของ แคลเซียม รวมทั้งกรดไลโนเลอิกโมเลกุลคู่ ซึ่งเป็นไขมันประเภทดี ทำให้คุณลดความ เสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ เบาหวาน กรดชนิดนี้ยังช่วยในการลดน้ำหนัก ด้วยการไปสกัดกั้นการกักเก็บไขมันในร่างกาย

เลือกชีสชนิด Strong-flavored เช่น เฟต้าชีส บลูชีส และชีสพาร์เมซานสด (ไม่ขูด) ซึ่งคุณจะใช้ในปริมาณน้อยหากนำไปปรุงอาหาร

เลี่ยงชีสประเภทไขมันต่ำ เพราะชีสพวกนี้มีไขมันเพียง 6 กรัมต่อออนซ์ เมื่อนำไป ปรุงอาหาร แล้วจะไม่ได้รสชาติ เราจึงโน้มเอียงที่จะอนุญาตให้ตัวเองกินมันมากขึ้น เช่น เดียวกับชีสไม่มีไขมัน ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีรส

ช็อกโกแลต

ลืมไปเลยที่ว่าช็อกโกแลตเป็นสาเหตุของสิว และไมเกรน ที่จริงมันมีส่วนผสม บางอย่างที่ต่อต้านการเกิดมะเร็ง และโรคหัวใจเช่นเดียวกับในผักและผลไม้ เว้นแต่ ว่ามีไขมันสูงกว่าเท่านั้น แต่ถ้าหากคุณมองหาช็อกโกแลตในตอนที่หดหู่นั่นก็ถูก ต้อง เพราะมันจะเพิ่มสารชีโรโตนินในสมอง ทำให้อารมณ์ดีขึ้น

เลือกดาร์กช็อกโกแลต ช็อกโกแลตยิ่งเยอะก็หมายความว่าใส่โกโก้บัตเตอร์ซึ่งอุดม ด้วยไขมันน้อยลง

เลี่ยงช็อกโกแลตที่ผสมคาราเมล มาร์ชแมลโลว และไขมันที่ทำให้อ้วนอื่น ๆ

เนื้อวัว

พักการทานไก่ย่างชั่วคราวแล้วหันมากินสเต็กสักชิ้นเนื้อวัวเป็นแหล่งดีเลิศของ โปรตีน และสารอาหารที่ผู้หญิงมักได้รับจากอย่างอื่นไม่เพียงพอ เช่น เหล็ก สังกะสี และวิตามินบี 12

เลือกเนื้อท่อนโคนขา หรือเนื้อสะโพก ซึ่งเป็นส่วนของเนื้อที่มีเนื้อมากกว่ามัน เพราะจะมีไขมันอิ่มตัวเพียง 4.5 กรัมหรือน้อยกว่า ต่อเนื้อน้ำหนัก 3 ออนซ์ ปรุง แบบหมุนย่าง ซึ่งจะทำให้เราเหลือเนื้อที่ในจานสำหรับใส่ผักได้มากขึ้น

เลี่ยงเนื้อซี่โครงและทีโบนชั้นเลิศ เพราะมีไขมันและแคลอรีมากเป็นเท่าตัวของ ส่วนอื่น ๆ

กาแฟ

ไม่จำเป็นต้องงดดื่มกาแฟ การวิจัยเร็ว ๆ นี้ปฏิเสธว่า กาแฟไม่เกี่ยวข้องกับการ เกิดโรคหัวใจ เนื้อเยื่อในหน้าอกผิดปกติ หรือความดันโลหิตสูง หากแต่คาเฟอีนช่วย บรรเทาอาการแพ้ ทำให้คุณกระฉับกระเฉงและสมาธิดีขึ้น

เลือกกำหนดตัวเองให้ดื่มกาแฟไม่เกิน 2 - 3 แก้วต่อวัน และอย่าใส่ครีมกับน้ำตาล ให้มากนัก

เลี่ยงกาแฟแก้วใหญ่พิเศษ ที่อุดมไปด้วยครีม น้ำตาล น้ำแร่ และวิปครีม ซึ่งให้ แคลอรีมากถึง 300 แคลอรี

ถ้าทำได้ตามนี้ ก็รับประกันว่าจะได้ความอร่อยที่ไม่เป็นโทษแน่ ๆ

เมนูหลับสบาย คลายเครียด

เฮลธ์คลับ ช็อกโกแลต -กล้วยเชื่อม เมนูหลับสบาย คลายเครียด

"ภาวะเครียด" เป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการฆ่าตัวตายในสังคมปัจจุบัน

โดยกรมสุขภาพจิตชี้ว่า ในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา จำนวนคนฆ่าตัวตายมีอัตราเพิ่มขึ้นถึง 60% ซึ่งเป็นการสวนทางกันอย่างสุดขั้วระหว่างความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและความตกต่ำของภาวะจิตใจ

อย่างไรก็ดี ภาวะความเครียด ยังถือเป็นปัญหาของคนเมืองที่มีอัตราเพิ่มสูงขึ้นทุกปี เช่น ภาวะซึมเศร้า ภาวะวิตกกังวล ภาวการณ์ปรับตัวที่ผิดปกติ โดยตั้งแต่ช่วงหลังภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่แตก มีผู้โทรมาขอคำปรึกษาแนะนำทางโทรศัพท์จากหน่วยงานให้บริการคำปรึกษาแนะนำทางโทรศัพท์เป็นจำนวนมาก โดยประเด็นที่ทำให้โทรมามากที่สุดคือ "รู้สึกเครียด" และปัจจุบัน โรคเครียดได้กลายเป็นปัญหาสาธารณสุขที่ร้ายแรงที่สุดในขณะนี้

"ภาวะเครียด" ส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติทางร่างกาย

จากงานสัมมนาพิเศษ "สายสุขภาพไฟเซอร์กับเคล็ดลับฝ่าวิกฤติโรคเครียด" จัดโดย "ไฟเซอร์" ผู้เชี่ยวชาญด้านการค้นคว้าวิจัยเวชภัณฑ์ระดับโลกร่วมกับ "สายสุขภาพไฟเซอร์ 0-2664-5888" ซึ่งเป็นบริการรับปรึกษาปัญหาสุขภาพทางโทรศัพท์ โดยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน มีข้อมูลเกี่ยวกับภาวะเครียดที่น่าสนใจจาก น.พ.พนมทวน ชูแสงทอง จิตแพทย์ และอาจารย์แพทย์ วิทยาลัยแพทยศาสตร์กรุงเทพมหานคร และวชิรพยาบาล ว่า

"ภาวะเครียด" เป็นเรื่องของจิตใจที่เกิดจากความตื่นตัว เตรียมเผชิญกับเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งไม่น่าพึงพอใจ หรือคาดไม่ถึง เป็นเรื่องที่เราเองคิดว่าหนักหนาสาหัสเกินกำลังความสามารถที่จะแก้ไขได้ ทำให้เกิดความรู้สึกหนักใจ กังวล ไม่สบายใจ หรือแม้แต่คับข้องใจ และส่งผลให้เกิดอาการผิดปกติทางร่างกายเกิดขึ้น หากว่าความเครียดนั้นมีมากและคงอยู่เป็นระยะเวลานาน แต่ทว่าความเครียดที่ไม่มากนัก จะเป็นแรงกระตุ้นที่ดี ช่วยให้คนเราเกิดแรงฮึดมุมานะที่จะเอาชนะปัญหาและอุปสรรคต่างๆ หากแต่เรามีความเครียดมากมาย และไม่รู้จักผ่อนคลาย และหากปล่อยไว้นานเข้า อาจมีปัญหาความผิดปกติทางร่างกายและจิตใจได้ในที่สุด

สาเหตุของความเครียดมีสาเหตุ 3 ด้าน

สำหรับสาเหตุของความเครียดมีสาเหตุ 3 ด้าน ได้แก่ สาเหตุทางด้านจิตใจ เช่น ความกลัวว่าจะไม่ได้ดังหวัง กลัวจะไม่ประสบความสำเร็จ หนักใจกังวลใจในงานที่ได้รับมอบหมาย หรือแม้แต่กลัวกังวลสิ่งที่ยังมาไม่ถึง สาเหตุที่จากเกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิต เช่น การเปลี่ยนช่วงวัย แต่งงาน การตั้งครรภ์ การเริ่มเข้าทำงานหรือการเปลี่ยนงาน เปลี่ยนที่เรียน สุดท้ายคือสาเหตุจากการเจ็บป่วยทางร่างกาย เช่น การเจ็บไข่ต่างๆ โรคที่รุนแรง และเรื้อรัง หรือโรคที่คาดว่าถึงแก่ชีวิตในที่สุด

อาการเครียดสามารถสังเกตได้ดังนี้ วิตกกังวล หงุดหงิด อารมณ์เสียง่าย ควบคุมอารมณ์ตนเองยากขึ้น ปวดศีรษะ มึนงง ตื่นเต้น ตกใจง่าย หลับไม่สนิท เบื่ออาหาร ไม่อยากรับประทานอะไร แต่บางคนอาจรับประทานมากขึ้น ใจสั่นถอนหายใจบ่อยๆ ท้องผูก หรือท้องเสีย ท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดต้นคอหรือไหล่ ปวดเมื่อยตามตัว เหนื่อยง่าย รู้สึกอ่อนเพลียบ่อย ไม่มีสมาธิ ทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพเหมือนเดิม ประจำเดือนไม่ปกติ สมรรถภาพทางเพศลดลง และความเครียดอาจก่อให้เกิดโรคอื่นๆ ตามได้ เช่น โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง หอบหืดและภูมิแพ้ ปวดหลัง เบาหวาน ข้ออักเสบ รวมทั้งภาวะติดสารเสพติดต่างๆ

"อาหารคลายเครียด (Food Therapy)" คือหนึ่งในวิถีแห่งการผ่อนคลายความเครียด โดยสารอาหารที่ช่วยลดระดับความเครียด คือ ทริปโตฟาน (1-2 กรัม ก่อนนอน) พบได้ใน ไข่ ถั่วเหลือง นมวัว เนื้อสัตว์ วิตามินบี 6 (40 มิลลิกรัมต่อวัน) พบในธัญพืชต่างๆ ยีสต์ รำข้าว เครื่องใน เนื้อ ถั่ว ผัก วิตามินบี 3 (1,000 มิลลิกรัมต่อวัน) พบในตับเครื่องใน เนื้อ เป็ด ไก่ ปลา ถั่ว ยีสต์ สารอาหารอื่นๆ เช่น แคลเซียม กระเทียมและดอกไม้จีน เป็นต้น

สำหรับเมนูอาหารคลายเครียดยอดฮิตคือ ซ็อคโกแลตกับน้ำมะตูมจะช่วยลดอาการกระวนกระวายและอาการตึงเครียดได้ ส่วนกล้วยเชื่อมกับนมสด หากดื่มก่อนนอนเป็นประจำทุกวันจะช่วยลดอาการตึงเครียดและทำให้นอนหลับสบาย (แต่หากเกรงว่ากล้วยเชื่อมจะทำให้อ้วน สามารถทานกล้วยสดแทนก็ได้เช่นกัน)

นอกจากอาหารคลายเครียดแล้ว การฝึกฝนให้รู้เท่าทันอารมณ์ของตนเอง และการรู้จักปล่อยวาง เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คุณมองทะลุ เข้าใจถึงเหตุและผลของการเกิดอารมณ์ได้เป็นอย่างดี และช่วยให้สามารถควบคุมความเครียดที่กำลังเกิด ณ ขณะนั้น อันจะส่งผลให้คุณไม่ต้องทุกข์ทรมานกับ "โรคเครียด" อีกต่อไป

ระแวดระวังภัย... โรคจากที่สาธารณะ

ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่สาธารณะ ไม่ว่าจะเป็น ห้องน้ำสาธารณะ ตู้โทรศัพท์สาธารณะ หรือแม้แต่ สระว่ายน้ำสาธารณะ ก็มักจะมีผู้คนมากหน้า หลายตา แวะเวียนไปใช้บริการเป็นจำนวนมาก และด้วยจำนวนคนที่มากมายก่ายกองนี่เอง สถานที่เหล่านี้จึงกลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคติดอันดับต้นๆ ที่มี ให้คุณเลือกหลายชนิดหลายแบบ สำหรับสถานที่สาธารณะที่น่าจะมีโผติด 3 อันดับสถานที่ที่มีเชื้อโรคมากที่สุด ก็น่าจะเป็นสถานที่ทั้ง 3 แห่งที่กล่าวมาข้างต้น เราลองมาดูสิว่า ทั้ง 3 สถานที่นั้นคุณจะเจอเชื้อโรคอะไรบ้าง

เชื้อโรคจากโทรศัพท์สาธารณะ

ตู้โทรศัพท์สาธารณะเป็นสถานที่ที่เราสามารถรับเชื้อได้โดยตรงจากการสัมผัสเชื้อ­โรค เชื้อที่เราจะได้พบเจอในตู้โทรศัพท์สาธารณะ คือ

- เชื้อไข้หวัดทั้งหลาย ซึ่งถ้ามีน้ำมูกแล้วน้ำมูกไปติดอยู่ที่ตัวเครื่องรับโทรศัพท์ หรือบริเวณรอบๆตู้โทรศัพท์ หากเชื้อเหล่านี้ยังมีชีวิตรอดอยู่หลายชั่วโมง และผู้ใช้โทรศัพท์เหล่านั้นไปสัมผัสจับต้องสารคัดหลั่งดังกล่าว แล้วนำมาป้ายโดนจมูกก็มีโอกาสติดเชื้อได้

- วัณโรค ซึ่งตามทฤษฎีแล้ว จะไม่ติดจากการสัมผัสในการใช้โทรศัพท์ แต่จะเกิดการติดเชื้อได้จากการไอหรือจาม ซึ่งจะได้รับเชื้อโดยการสูดหายใจเข้าไปโดยตรง

- เชื้อเริม ติดต่อจากการสัมผัสโดยตรง ซึ่งถ้าผู้ป่วยเริมมีแผลอยู่แล้วไปใช้โทรศัพท์ เมื่อคนที่มาใช้โทรศัพท์คนต่อไปไปจับต้องเชื้อไวรัส แล้วใช้มือขยี้ตาหรือป้ายโดนปากโดนน้ำลาย ก็มีโอกาสที่จะติดเชื้อเหล่านั้นได้

- หูด เป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่สามารถติดต่อได้จากการสัมผัสโดยตรง เพราะฉะนั้นผู้ใช้บริการโทรศัพท์สาธารณะก็จะมีโอกาสติดเชื้อนี้ได้

- โรคแอนแทรกซ์ เป็นโรคที่สามารถติดต่อได้ง่าย ซึ่งเคยมีข่าวว่าคนอเมริกันได้รับจดหมาย แล้วสัมผัสเอาสปอร์ของเชื้อโรคแล้วเป็นโรคนั้นได้ ถ้าได้ไป สัมผัสโดยตรงหรือสูดหายใจเอาสปอร์ที่อยู่บริเวณนั้นเข้าไป ก็มีอาการเป็นโรคได้ง่ายๆอย่างไรก็ตาม โอกาสในการติดเชื้อจากการใช้บริการของโทรศัพท์สาธารณะนั้นไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ แต่ต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างด้วยกัน ขึ้นอยู่กับปริมาณเชื้อว่ามีปริมาณมากหรือน้อย และเชื้อดังกล่าวที่อยู่ในบริเวณนั้นตายไปแล้วหรือยัง ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อจากการใช้โทรศัพท์สาธารณะ ส่วนใหญ่ถ้าเป็นไข้หวัดก็จะติดจากบุคคลอื่นที่เป็นหวัดอยู่แล้ว ซึ่งอาจจะติดจากเพื่อนร่วมงาน จากบุคคลใกล้ตัวหรือโรงภาพยนตร์ที่มีผู้คนแออัด

การป้องกันการติดเชื้อจากโทรศัพท์สาธารณะ

- ระหว่างการใช้โทรศัพท์ อย่าใช้มือป้ายตา ป้ายปาก ป้ายจมูก

- ระวัง! ไม่นำกระบอกโทรศัพท์มาแนบปากจนเกินไป

- ให้รีบล้างมือทันทีหลังจากใช้โทรศัพท์แล้ว เพราะเชื้อเมื่อออกมาจากตัวผู้ป่วยแล้วยังอยู่ได้หลายชั่วโมงหรือเป็นวัน

เชื้อโรคจากห้องน้ำสาธารณะ

การใช้บริการห้องน้ำสาธารณะ มีความเสี่ยงในการติดโรคได้เช่นกัน เพราะห้องน้ำสาธารณะส่วนใหญ่ไม่ค่อยสะอาด และมีโอกาสที่จะติดโรคได้ เช่น เริม ซึ่งพิสูจน์ยากว่าติดต่อจากการใช้บริการห้องน้ำสาธารณะ เพราะโรคนี้จะติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นส่วนใหญ่ ถ้าผู้ใช้บริการห้องน้ำสาธารณะมีแผลเริมอยู่ ถ้าเป็นแผล เปิดและเมื่ออีกคนเข้าไปใช้ต่อทันที ก็มีสิทธิ์ที่จะติดเชื้อได้นอกจากนี้ยังมีเชื้อโรคอื่นๆ เช่น อหิวาตกโรคหรือไข้รากสาด ถ้าคนที่เข้าห้องน้ำถ่ายอุจจาระแล้วไม่ได้ล้างมือให้สะอาด เกิดมีอุจจารปนเปื้อนบริเวณมือ เมื่อมือไปจับก๊อกน้ำหรือจับลูกบิด คนที่ไปจับต่อมาแล้วไปสัมผัสโดนปากหรือน้ำลายก็มีโอกาสได้รับเชื้อ เช่นกัน ยิ่งหากเป็นห้องน้ำสาธารณะที่มีทั่วไปในกรุงเทพฯหลายๆ แห่งจะสกปรก ไม่มีน้ำให้ราดไม่มีกระดาษชำระหรือแม้แต่ถังทิ้งกระดาษชำระ ฉะนั้นจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษด้วย การป้องกันการติดเชื้อจากห้องน้ำสาธารณะ ในปัจุบัน คนส่วนใหญ่ได้ใส่ใจกับสุขภาพอนามัยมากขึ้นรู้จักล้างมือและชำระล้างสิ่งสกปรกหร­ือเชื้อโรคจากร่างกาย ก่อนที่จะมาสัมผัสกับส่วนต่างๆ ของร่างกาย ขยี้ตา หรือจับปาก จับ จมูก ต้องล้างมือให้สะอาดเรียบร้อยก่อน ก็จะช่วยป้องกันการติดเชื้อได้

เชื้อโรคจากสระว่ายน้ำสาธารณะ

โรคที่เราจะได้ตามมาจากสระว่ายน้ำสาธารณะคือ ติดเชื้อในช่องคลอดจากการ ว่ายน้ำ ในสระว่ายน้ำที่ไม่สะอาดและไม่ได้มาตรฐาน ถึงแม้ว่ามีการใช้ยาฆ่าเชื้อโรค เช่น คลอรีนก็ตามก็สามารถที่จะติดเชื้อโรคได้เช่นกัน แต่หากเป็นสระว่ายน้ำมาตรฐานจะมีระบบกรองน้ำ มีการไหลเวียนถ่ายเทน้ำ มียาฆ่าเชื้อโรคใส่ไว้ในปริมาณที่เหมาะสม ร่วมกับรังสีและความร้อนจากแสงแดดทำให้น้ำในสระสะอาดและปลอดภัย เพราะฉะนั้น การเล่นน้ำในสระว่ายน้ำเหล่านี้จะมีความปลอดภัยกว่าโรคเกี่ยวกับอวัยวะเพศ หรือ ช่องคลอดจากการว่ายน้ำ ที่พบบ่อย คือ อาการอักเสบของเยื่อบุปากช่องคลอด ผู้ป่วยเหล่านี้ หลังจากว่ายน้ำแล้ว จะมีอาการแสบๆ ที่ปากช่องคลอด โดยเฉพาะเมื่อปัสสาวะไหลมาถูกบริเวณนั้น บางคนมีอาการตกขาวร่วมด้วยเมื่อตรวจภายในก็พบมีอาการอักเสบของเยื่อบุช่องคลอดอ­ย่างชัดเจน แต่ตรวจไม่พบเชื้อที่เป็นสาเหตุที่จะทำให้เกิดโรคได้ พวกนี้สาเหตุมักเกิดจากการแพ้คลอรีนที่มีอยู่ในน้ำโดยเฉพาะอย่างยิ่ง น้ำที่มีคลอรีนในอัตราส่วนที่เข้มข้นเกินไป โรคที่เกิดในช่องคลอดทเคยพบเนอื่ งมาจากการวายนำในสระ ไดแก่โรคพยาธิในช่องคลอด และ โรคเชื้อราเพราะเชื้อพยาธิและเชื้อรา สามารถอยู่ในน้ำสะอาดที่มีคลอรีนที่เจือจางได้นานอย่างน้อย 30 นาที เมื่อมีโอกาสเข้าไปในช่องคลอดของนักว่ายน้ำได้ ก็จะทำให้เกิดอักเสบตกขาว และคันบริเวณอวัยวะเพศและช่องคลอดได้ แต่บางคนก็ไม่มีอาการ ส่วนเชื้อกามโรคอื่นๆ เช่น หนองในแท้ หนองในเทียม ซิฟิลิส และโรคเริม ไม่เคยพบมีรายงานที่แน่ชัดว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อเหล่านี้มาจากการว่ายน้ำธรรมดาๆ เพราะเชื้อหนองในแท้และหนองใสิ่งสำคัญขณะที่เล่นน้ำ ไม่ควรให้น้ำเข้าปาก เพราะเชื้อโรคบางชนิดอาจมีอยู่ในน้ำได้ เช่น โรคท้องร่วง และตับอักเสบ เป็นต้นสระว่ายน้ำบางแห่งไม่ได้รับการดูแลเท่าที่ควร มีกระเบื้องแตกหรือชำรุดอยู่ในสระ เมื่อว่ายน้ำไปถูกกระเบื้องเหล่านี้บาดจนเป็นแผล อาจจะกลายเป็นแผลเรื้อรังขนาดใหญ่ได้ในบางครั้ง ซึ่งแผลเหล่านี้ มักจะเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ที่เรียกว่า Mycobacterium marinum เชื้อนี้ทำให้เกิดแผลเรื้อรังคล้ายแผลที่เกิดจากเชื้อวัณโรคผิวหนังได้ แผลนี้รักษาค่อนข้างยาก แต่หายได้

การป้องกันการติดเชื้อจากสระว่ายน้ำสาธารณะ

1. ปฏิบัติตามกฏเกณฑ์ของสระว่ายน้ำโดยเคร่งครัด เช่น อาบน้ำให้สะอาดทุกครั้งก่อนลงสระ ไม่บ้วนน้ำมูกหรือน้ำลายลงในสระ เป็นต้น

2. นักว่ายน้ำควรได้รับการตรวจร่างกายอย่างละเอียด เจาะเลือดตรวจดู ภาวะภูมิคุ้มกันโรคและโรคที่มีอยู่ในร่างกาย ถ้าพบโรคใด เช่น โรคซิฟิลิส ก็ควร รักษาเสีย ถ้าขาดภูมิต้านทานโรค ควรรับการฉีดวัคซีนให้เรียบร้อยก่อน โดย เฉพาะโรคตับอักเสบ เป็นต้น หญิงที่แต่งงานแล้วหรือหญิงสาวที่มีอายุมากกว่า 25 ปี ควรได้รับการตรวจภายในปีละครั้ง เพื่อตรวจรักษาโรคบางชนิดที่มีอยู่ใน ช่องคลอดแต่ไม่มีอาการให้หมดไปเสีย อย่างน้อยก็ได้รับการตรวจหามะเร็ง ระยะแรกเริ่ม

3. เมื่อมีสิ่งผิดปกติเกิดหลังจากว่ายน้ำแล้ว ควรรีบไปรับการตรวจจากแพทย์ และควรงดเล่นน้ำในระยะนี้

4. ไม่ควรให้น้ำเข้าปาก

5. ไม่ควรใช้เครื่องนุ่งห่มหรือของใช้ส่วนตัวร่วมกัน 6. สระน้ำและน้ำในสระ ควรได้รับการตรวจบำรุงไม่ให้มีสิ่งบกพร่อง ที่ อาจทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย และเสี่ยงต่อการติดเชื้อของนักว่ายน้ำ

แม้จะเป็นสถานที่ที่อุดมไปด้วยเชื้อโรคมากมาย แต่หากเราสามารถที่จะ ป้องกันตนเองจากเชื้อโรคเหล่านี้ได้ ปัญหาที่กล่าวมาคงจะไม่เกิดขึ้น

อาหาร 7 อย่างที่พึงเลี่ยงเมื่อท้องว่าง

เมื่อคนมันหิว อะไรใกล้มือก็มักจะคว้าเข้าปากกันไปก่อน ใครมีนิสัยอย่างนี้ขอให้ ลองปรับตัวเสียใหม่

เพราะอาหารบางอย่างอาจเป็นเมนูที่ไม่ ค่อยเหมาะกับร่างกายในยามนั้นได้ “7 เมนู ที่ควรหลีกเลี่ยงยามท้องว่าง” ที่จะนำมาบอกกล่าวในครั้งนี้ นำมาจากคอลัมน์ “สุข กาย” ในจดหมายข่าว “สร้างสุข” ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ( สสส.) เดือนพฤษภาคม 2550 มีรายการดังต่อไปนี้

1. เหล้า กระเทียม ทั้งสองอย่างนี้จะยิ่งกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เป็นโรคกระเพาะอาหาร อักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

2. น้ำตาลหรืออาหารหวาน เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาล ส่งผลต่อการ ดูดซึมโปรตีนทุกชนิด และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต

3. ชาแก่ จะทำ ให้กรดเกลือของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือ จาง เกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่ มีแรง

4. ลูกพลับ เป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดเกลือออกมามาก ทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร

5. กล้วย เพราะจะเพิ่มธาตุแมกนีเซียมในเลือดให้สูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียม และแมกนีเซียม เป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นอันตรายต่อ สุขภาพอย่างมาก

6. ผัก เพราะหากรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้ท้องอืด

7. นมและถั่วเหลือง แม้จะอุดมด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อกระเพาะอาหารมีสารประเภท แป้งอยู่

แถมท้ายอีกนิดว่า ขณะท้องว่างไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกาย เพราะอาจทำให้เกิด อาการช็อกได้ง่าย เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำ

นอนไม่หลับ 33 วิธีนี้ช่วยได้

1. อย่าเข้านอนเพราะว่า "ถึงเวลานอนแล้ว" แต่จงเชื่อนาฬิกาในตัวคุณเอง ถ้าดูไม่ออกว่าตอนไหน ขอให้รู้ไว้ว่าร่างกายจะสื่อให้ทราบเมื่อถึงเวลา แต่ทว่า มนุษย์เรา ไม่รู้ ความหมายอยู่บ่อย ๆ ซึ่งได้แก่ การหาวนอน อาการแสบตา ความรู้สึกประเภท "ลานหมด" หัวจะทิ่มลงท่าเดียว ส่วนหนังตา ก็หย่อน พาลจะหลับให้ได้…. ถ้ายังไม่รับ ทราบสัญญาณเหล่านี้ คุณก็จะพลาดรถไฟ สายเจ้าหญิงนิทรา และจะต้องรอไปอีกสองชั่วโมง จึงจะง่วงนอนอีกครั้ง เนื่องจากต่าง คนต่างก็มีช่วงจังหวะของตัวเอง จึงเปล่าประโยชน์ที่ คุณ จะเข้านอนแต่เนิ่น ๆ ถ้าคุณเป็นสมาชิกครอบครัว นอนดึก หรือรอจนดึกดื่น จึงเข้านอน ถ้าคุณเป็นพวกนอนหัวค่ำ

2. อย่านอนผิดเวลาทุกวัน คุณรับประทานอาหารประมาณเวลาเดิม ก็ขอให้เข้า นอน และ ตื่นนอนตามตารางเวลา เดิมเป็น ประจำด้วย มิฉะนั้นคุณก็เสี่ยง ที่จะง่วง นอนผิดเวลา

3. ทดลองหลับแว่บเดียว ทำเหมือนจิตรกรซัลวาดอร์ ดาลี ที่ดูเหมือนเป็น หนึ่งใน บรรดา ลูกสมุนของเทคนิค "แสงแว่บ" เรียกสติคืนมา นั่งบน เก้าอี้โซฟา มือถือ ช้อนชาคันหนึ่ง ตรงปลายเท้าของคุณวางจานโลหะ ไว้หนึ่งใบ เมื่อผล็อย หลับ มือก็จะปล่อยช้อนหล่นลงมาบนจานโลหะ ส่งเสียงดัง ซึ่งจะปลุกคุณให้ตื่น…. ในทางทฤษฎีถือว่า อาการของคุณปกติดี คำอธิบาย….เมื่อหลับตา คุณตัดข้อมูล ไม่ให้เข้าสู่สมองได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ควรฝึกวันละหลายครั้ง

4. พักกลางคัน ถ้าคุณไม่สนใจพักแป๊ปเดียวเพื่อให้ตนเอง กระปรี้กระเปร่า ก็ใช้วิธีนี้ นั่งท่าสบาย ๆ อยู่ที่โต๊ะ ทำงาน ของคุณ หนุนศีรษะบนแขนที่ไขว้ กัน หรือนอนท่าเหยียด ยาว หลับตาและปล่อยตัวตามสบาย 5 นาที เพื่อผ่อนคลาย ง่าย ๆ

5. สะสมการนอน "ช่วงสั้น" ใน วันทำงาน คงยากที่ จะนั่งสัปหงกหน้าแป้นพิมพ์ คอมพิวเตอร์ตอน บ่ายอ่อน ๆ เก็บสะสมความอยากเอนหลังนาน ๆ เป็นชั่วโมง ครึ่งถึงสองชั่วโมง (ซึ่งเป็นหนึ่งวัฏจักรของการ นอนหลับพักผ่อน ที่เต็มอิ่ม) เอาไว้ชดเชยตอนบ่ายของวันสุดสัปดาห์ คุณจะได้พักผ่อนอย่าง อิ่มเอม ใช้หนี้ความเหนื่อยล้าตลอดสัปดาห์

6. บอกเลิกการตีเทนนิสหรือการออกกายบริหารที่ฟิตเนสทุกเย็นวันอังคาร นอกเสียจากว่าคุณไม่ กลัวนอนดึก การเล่นกีฬาตอนหัวค่ำยิ่งไม่เอื้อ ต่อการนอน เพราะทำให้ร่าง กายสดชื่นตื่นตัว แต่ก็อีกนั่นแหละ ต้องจับตาดูความรู้สึกส่วนตัวของแต่ละคน เพราะสิ่งที่ทำให้คนใกล้ตัว หลับบางที คือสิ่งที่กลับปลุกให้คุณตื่น

7. ลงมือฝึกชี่กง (ลมปราณ) ชี่กงเหมาะมากสำหรับสงบความคิดจิตใจ และขจัด ความอ่อนเพลีย ในไม่ช้าคุณจะเรียนรู้ที่จะทำท่าที่ชวนให้ง่วงนอนเป็น

8. รับประทานอาหารค่ำแต่หัวค่ำ คุณจะรู้สึกว่าเวลาช่วงค่ำยาวนานขึ้น ควรหลีก เลี่ยงการเข้านอน "ขณะยังย่อยอาหารอยู่" ปล่อยให้เวลาผ่านไป อย่างน้อย สอง ชั่วโมงหลังอาหารค่ำแล้วจึงค่อยนอน

9. ค้นพบความเพลิดเพลินและประโยชน์ของการเดินย่อยอาหารมื้อค่ำ

10. ละเว้นสารกระตุ้นต่าง ๆ เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ กาแฟ น้ำชา….ความจริง ที่มนุษย ์ส่วนใหญ่ยังคงละเลยอยู่ ถึงแม้ว่าจะมีความสามารถจะรับและ มีปฏิกริยา โต้ตอบ พิเศษกับคาเฟอีนก็ตาม เพราะระบบเผาผลาญ บางคนต้อง ใช้เวลาสิบสอง ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงเพื่อกำจัดกาแฟเพียงถ้วยเดียว ไม่น่าแปลกใจ ที่คำว่า "kawa" หรือ "กาแฟ" ในภาษาอาหรับ หมายถึง "ตัวทำลายความง่วง"

11. จงหาว ถ้าเกิดง่วงนอนและมีอาการหาวบ่อย ๆ การบังคับตนเองให้หาว จะช่วย ผ่อนคลาย ได้และทำให้อยากนอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้า ได้ยืดแข้งยืดขาด้วย

12. ดื่มเครื่องดื่มชาสมุนไพรที่มีคุณสมบัติในการกล่อมประสาทอย่าง ชาคาโมมายล์ ลาเวนเดอร์….จะช่วยให้นอนหลับได้

13. ลดปริมาณอาหาร และ กลูไซด์ (อินทรียสารในคาร์โบไฮเดรต) ตอนมื้อค่ำ หลีกเลี่ยงน้ำตาล ของหวานที่หวานจัด น้ำผึ้ง น้ำอัดลม…. เพราะเสี่ยงที่จะ เสริม ให้ โลหิตมี ปริมาณกลูโคสต่ำกว่าปกติในตอนกลางคืน

14. รับประทานแอปเปิ้ล ผักกาดหอม และผลิตภัณฑ์จากนม ตามความเชี่อที่ว่า อาหารเหล่า นี้เป็นเพื่อนกับความง่วง เพราะประกอบด้วยสารหลักใน ตัวยาที่ออกฤทธิ์ วิตามินและเอ็นไซม์ที่เป็นสื่อกลางช่วยให้ง่วงเหงาหาวนอน ควรเลือกผลิตภัณฑ ์จากนมที่ย่อยได้ง่ายที่สุด อย่างโยเกิร์ต (นมเปรี้ยว) นมข้น และเนยแข็งสีขาว ดีกว่าพวกเนยแข็งที่ ไขมันสูงและผ่านการหมักเชื้อ สำหรับอาหารค่ำ ควรเลือกอาหารจำพวกปลานึ่ง ผักนึ่ง และผลไม้ที่ย่อยง่าย เลีกเลี่ยงอาหาร ที่มีไขมัน ผลิตภัณฑ์จากหมูเนื้อ เครื่องเทศและเครื่องปรุงรส

15. ก่อนเข้านอนอย่าดื่มน้ำมากเกินไป แต่ให้ดื่มมาก ๆ ในระหว่างวันตั้งแต ่เวลา 18 นาฬิกาเป็นต้นไปจงลดการบริโภคของเหลว

16. ปกป้องตนเองให้พ้นจากเสียงรบกวนหาสำลีอุดหูหรือติดกระจกซ้อนสองชั้น ปูพรมตลอดห้อง ใช้เพดาน เก็บเสียง….เสียงรบกวนจากสภาพแวดล้อม ทีเราใช้ ชีวิต อยู่มีส่วนในการลด ทอนคุณภาพการนอนได้

17. หัวเราะวันละหลาย ๆ ครั้ง การหัวเราะเป็นกิจกรรมตามธรรมชาติและ เกิดขึ้นเอง ซึ่งเป็นการรักษาสมดุลของระบบประสาท สำหรับบางคน "หัวเราะนาทีเดียวมี ค่าเท่ากับการ ผ่อนคลายร่างกายสี่สิบห้านาทีเต็ม"

18. การพักผ่อนนอนหลับเป็นเรื่องใหญ่ ที่นอนเป็นเรื่องสำคัญ จงหันไปเลือก ฟูก ขนาด 160 คูณ 200 ซ.ม. กว้างขวางกว่าฟูกมาตรฐานขนาด 140 คูณ 190 ซ.ม. หรือ ไม่ก็ไปหาฟูกแบบอเมริกัน เลือกตามชอบใจว่าจะเป็น คิงไซส์ ขนาด 190 คูณ 200 ซ.ม. หรือแคลิฟอร์เนียนคิงไซส์ ขนาด 180 คูณ 210 ซ.ม.

19. เพื่อความสมดุลสงบ เวลานอนควรตรวจสอบทิศทางที่ถูกต้อง สำหรับการวาง เตียงนอน คือให้ศีรษะหันไปทางทิศเหนือ เท้าไปทางทิศใต้ตามทิศทาง ของคลื่นแม่ เหล็กโลก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อย่าให้ศีรษะหันไปทางทิศ ตะวันออก

20. ถ้าคุณต้องทาสีผนังห้องนอนใหม่ ขอให้ทราบด้วยว่าสีฟ้ากลาง ๆ เป็นสีสำหรับ การนอนที่ดีที่สุด

21. กรองแสงสว่างเหมือนกับการหรี่ศูนย์ความรู้สึดตื่นของเราค่อย ๆ หรี่จาก แสง สว่างจ้าให้มืดลงเรื่อย ๆ ลดไฟฟ้าในห้องนอนของคุณ หรือปิดตาสักครู่ ก่อน ดับไฟ คุณจะ ช่วยร่างกายให้ปฏิบัติหน้าที่ ง่ายขึ้นโดยช่วงเวลา เปลี่ยนแปลงคือ สองสามนาที และปฏิบัติกลับกันในตอนเช้า

22. ไม่ควรนำต้นไม้ใบเขียวไว้ในห้องนอน อย่างน้อยเวลากลางคืน หลีกเลี่ยง ไม่ให้ มาแย่งออกซิเจน

23. ใช้วารีบำบัด สปาบางแห่งเสนอวิธีบำบัดที่ช่วย ให้คุณค้นพบกุญแจ สำหรับการ นอนหลับใน โปรแกรม ประกอบด้วยการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ในสระว่ายน้ำ ที่ บรรจุน้ำทะเลอุ่น ๆ ตามด้วยเสียงดนตรีใต้น้ำ การแช่น้ำ ในอ่างจากุชซี่ที่ผสม หัวน้ำมันดอกลาเวนเดอร ์จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย

24. อย่าให้ห้องนอนของคุณร้อนเกินไป จะดีที่สุดให้อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 20 ถึง 25 องศาเซลเซียส

25. ควบคุมการหายใจขณะตื่นอยู่ ร่างกายเพิ่มการหายใจในระดับทรวงอกเอง โดยสัญชาตญาณ จงหายใจเข้าช้า ๆ และลึก ๆ โดยใช้ท้องอย่างไม่ต้องฝืน และ ต่อเนื่องกันราบ รื่น หายใจออกแล้วหยุดไว้สองวินาที ก่อนหายใจใหม่ อีกครั้ง การหยุดช่วงสั้น ๆ นี้มีบทบาททำให้ระบบประสาทสงบลง ให้ปฏิบัติ การหายใจ ในท่านอนเหยียดยาว ก่อนนอน

26. นวดตัว โดยเน้นที่เท้า กลุ่มเส้นประสาท เส้นโลหิต หรือต่อมน้ำเหลือง ด้วยน้ำมันหอม ระเหยผสมลงไปในน้ำมันฐาน หรือครีมที่เป็นกลาง ถ้าชอบจะ เพิ่ม น้ำมันหอมระเหย (ดอกลาเวนเดอร์ ดอกมาร์จอแลน ดอกบาซิลิก หรือเนโรลี) โดยหยดผสมไปกับน้ำมันฐาน (น้ำมันหอม ระเหยมากที่สุด 5 เปอร์เซ็นต์ น้ำมันฐานถ้าเป็นไปได้ ใช้ชนิด บริสุทธิ์ 100 เปอร์เซ็นต์ ตามธรรมชาติ) เทคนิค อื่นในการคลาย เครียดได้แก่ การใช้ฝ่ามือทั้งสองนวด โดยกางนิ้วออก นวดศีรษะเบา ๆ ไล่จากคางขึ้น ไปถึงหน้าผาก แล้วย้อนกลับ ลง มาที่ท้ายทอย คุณนวดที่หางตาได้ ด้วยเช่นกัน

27. ฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ วิธีนี้ช่วยลดภาวะตึงเครียด สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับ การนอนง่ายคือบังคับควบคุม ความรู้สึกของสายตาและ ไม่คิดอะไรอีกต่อไป ได้สำเร็จ ขณะ นอนหลับ สัมผัสทั้งห้าของเราถอดสายปลั๊ก ตามธรรมชาต ิเริ่มต้น จากการมอง การรับกลิ่น การรับรส การสัมผัส และสุดท้ายการได้ยิน

28. อาบน้ำร้อน โดยค่อย ๆ เพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้นจาก 35 ถึง 39 องศาเซลเซียส การทำเช่นนี้มี ปฏิกริยากล่อมประสาทให้ง่วงนอน (สำหรับแปดในสิบหน) คุณสามารถเติมสมุนไพร สกัดลงในอ่างน้ำร้อนได้ แต่เพื่อความเพลิดเพลิน เท่านั้น เพราะมีเพียงความร้อนเท่านั้นที่ ทำปฏิกริยา คุณเพียงแต่แช่ เท้าใน น้ำร้อน ก็ได้ ซึ่งจะต่อเนื่องถึง อุณหภูมิของร่างกาย และมีผลผ่อนคลายกลุ่ม ร่างแหเส้นประสาท หรือเส้นโลหิต หรือหลอดน้ำเหลือง ให้ปฏิบัติ ก่อนเข้านอน

29. เพียงแค่วางมือทั้งสองข้างบนหน้าท้อง ความร้อนจากมือช่วยผ่อนคลาย อวัยวะภาย ในช่องท้องที่ ขวางการไหลเวียนพลังงาน

30. อย่าคาดหมายล่วงหน้า พยายามอย่านึกคิดล่วงหน้าถึง การนัดหมาย สำคัญทาง อาชีพการงานใน วันรุ่งขึ้น แนวคิดคือเข้านอนดึกด้วย ความกังวลจะทำให้ คุณหลับ ไม่ลง

31. ผ่อนคลายตัวเองด้วยการหลับตาและจินตนาการถึงการอาบน้ำ ฝักบัวเย็น ฉ่ำ ที่ราดรด ลงมาจาก ศีรษะแล้วไหลไปตามลำคอ นำพาความเครียดทั้งวัน ที่ผ่านมาให้ไหลไป ตามทางน้ำ หรือใช้วิธีหายใจลึก ๆ อย่างรู้สติเป็นชุด ๆ ผสานกับการคิดแต่ในแง่ดี ("ฉันยอมหลับอย่างวางใจ" "ฉันรู้สึกผ่อนคลาย เต็มที่")

32. สามชั่วโมงก่อนนอน บอกเลิกกิจกรรมทุกอย่างที่คร่ำเคร่งและใช้สติปัญญา หยุดอ่านหนังสือถ้ามัน จุดจินตนาการของคุณให้ทำงาน ผลักดันให้ฝันหรือ ใช้ความคิดใคร่ ครวญ

33. พยายามคอยสังเกตสิ่งที่คุณทำแล้วหลับได้สนิทดี จะได้นำมาใช้ใหม่ ในค่ำคืน ที่นอนไม่หลับสักที

เสาวลักษณ์ ทองอินทร์_Far31

สัญญาณ 10 ประการที่ร่างกายคุณฟ้องว่าคุณท­านอาหารไม่เหมาะสม

ร่างกายของคุณเกิดมีปฏิกิริยาตอบกลับมาเป็นผดผื่น คัน ผิวหนังลอกเป็นขุยแล้วล่ะ ก็ แสดงว่าคุณกำลังทานอาหารไม่ถูกต้องอยู่นะคะ วันนี้เราจึงนำ สัญญาณ 10 ประการที่ร่างกายคุณฟ้องว่าคุณทานอาหารไม่เหมาะสมมา ฝากกัน

1. ผิวหนังมีปัญหา

เช่น มีอาการคัน หรือลอกเป็นขุย แม้จะไม่ใช่ช่วงหน้าหนาว อาการเช่นนี้อาจเป็นลักษณะของการ ขาดวิตามิน A ผักและผลไม้ ที่มีสีเหลือง สีส้ม หรือสีเขียวเข้ม ล้วนแต่อุดมไปด้วยวิตามิน A เพียงพอที่จะทำให้ผิวคุณเป็นปกติ ไม่ควรทานวิตามิน A เสริมที่อยู่ในรูปแบบเม็ด เพราะการได้รับโดยตรงเช่นนี้มาก เกินไปจะเป็นอันตรายได้

2. ผมไม่เงางาม

ในกรณีที่รุนแรง ผมของคุณจะไม่สามารถจัดทรงได้เลย เป็นผลมาจากการ ขาดโปรตีนและธาตุเหล็ก โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เป็นมังสวิรัติ หรือคน ที่จำกัดอาหารอย่างมาก ดังนั้นคุณจึงควรที่จะทานอาหารที่มีกากใยควบคู่ไปกับการ ออกกำลังกาย ส่วนคนที่เป็นมังสวิรัติ ต้องได้สารอาหารจาก พืชผัก ข้าว และ ถั่ว ในอัตราส่วนที่เหมาะสม เพื่อที่จะได้โปรตีนทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่ขาดไป และเพิ่มเติมด้วยกะหล่ำดอก และผลไม้เปลือกแข็ง เช่น เกาลัด ถั่วแขก และถั่ว เหลือง ซึ่งอุดมไปด้วยไบโอติน

3. ท้องผูก

เป็นอาการที่กำลังบอกคุณว่า คุณต้องได้สารอาหารพวก ไฟเบอร์ หรืออาหารที่มีกากใย เช่น ผักผลไม้ต่าง ๆ อย่างน้อยวันละ 25 กรัม และดื่มน้ำให้มากขึ้นด้วย

4. ผายลมบ่อย ( ตด...เหม็น)

แม้ว่าไฟเบอร์จะมีประโยชน์ แต่ถ้ากินมากเกินไป หรือได้รับสารอาหารประเภทนี้เร็ว เกินไป เช่น กินถั่ว หรือไม้จำพวกที่มีฝัก เช่น กระถิน ทองหลาง ร่างกายของคุณจะ ผลิตแก๊สตามออกมามากกว่าอาหารที่ย่อยง่ายตามปกติ วิธีแก้ปัญหาคือค่อย ๆ เพิ่มสารอาหารพวกไฟเบอร์อย่างช้า ๆ ถ้าคุณเคยกินแค่เพียง วันละ 10 กรัม อย่าผลีผลามเพิ่มเป็น 25 กรัมในวันรุ่งขึ้น ในสัปดาห์แรกเพิ่มแค่ เพียง 5 กรัม แล้วสัปดาห์ต่อมาค่อยเพิ่มอีก 5 กรัม

5. ข้อต่อมีเสียงดังหรือปวดบริเวณข้อต่อ

อย่าเพิ่งไปโทษโรคข้ออักเสบ อาจเป็นไปได้ว่าคุณกิน ปลาน้อยเกินไป กรดไขมัน ประเภทโอเมก้า -3 ที่พบมากในปลา เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า จะทำให้ข้อต่อของคุณ เคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น ซึ่งจะช่วยให้กระแสโลหิตไหลเวียนดีขึ้น ลดอาการบวมและ ปวดบริเวณข้อต่อ

6. สเปิร์มน้อยลงไปมาก

ถ้าคุณกำลังพยายามที่จะมีลูก และมีปัญหาระดับของสเปิร์มต่ำกว่าปกติ อาจเป็นไป ได้ว่าคุณ ขาดวิตามิน C ซึ่งเป็นตัวสำคัญในการกระตุ้นการทำงานระบบภูมิคุ้มกัน ของร่างกายจากการศึกษาพบว่า วิตามิน C ยังช่วยในการรักษาปริมาณและความสมบูรณ์ ของตัวสเปิร์มด้วย Earl Dawson, Ph.D., ที่ University of Texas Medical Branch ที่ Galveston แนะนำว่าให้ผู้ชายดื่มน้ำส้มอย่างน้อยวันละประมาณ 1 ลิตรทุกวัน โดยบอกว่าวิตามิน C มีส่วนช่วยป้องกันสเปิร์มจากอันตรายและความเสียหายในทุกๆ ด้าน

7. หัวใจเต้นผิดปกติ

หัวใจของคนเราเป็นกล้ามเนื้อที่มีการบีบตัวมากกว่า 100,000 ครั้งต่อวัน คงไม่ สามารถทำงานอย่างสมบูรณ์แบบได้ตลอดเวลา แต่ถ้าอยู่ ๆ คุณรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็ว กว่าปกติ หรือเต้น ๆ หยุด ๆ โดยไม่มีเหตุผล ถ้ามีอาการเจ็บปวด หรือหน้ามืด เวียนศีรษะด้วย ให้รีบไปพบแพทย์ทันที แต่ถ้าแพทย์พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ หัวใจคุณก็ยังมีอาการเต้นผิดปกติในบางครั้ง คุณอาจจะ ขาดสารอาหารพวกแม็กนีเซียม หรือโปแตสเซียม สำหรับโปแตสเซียม ให้ดื่มน้ำส้มวันละ 2-3 แก้ว ช่วงอาหารเช้าให้ เพิ่มกล้วยเข้าไปในส่วนหนึ่งของเมนู สำหรับแม็กนีเซียม ให้ทานอาหารว่างที่เป็น พวกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดทานตะวัน หรือเมล็ดฟักทอง และผักโขม เป็นอีกตัว หนึ่งที่มีแร่ธาตุช่วยในการทำงานของหัวใจ

8. ปวดเหงือก

ถ้าการเจ็บปวดเกิดจากการอักเสบ ก่อให้เกิดความเจ็บปวดและปัญหาของเหงือก แสดงว่า ปากของคุณกำลังต้องการ แบคทีเรียที่มีประโยชน์ ให้มาช่วยจัดการกับแบคทีเรียใน ปากที่มีอันตราย ให้กินโยเกิร์ตที่มีแบคทีเรียที่เราต้องการเป็นอาหารว่างในช่วง เช้าของทุกวัน

9. กระดูกแตก

ถ้ากระดูกคุณแตกมากกว่า 2-3 ครั้งตั้งแต่โตเป็นผู้ใหญ่ อาจเป็นไปได้ว่ากระดูก ของคุณอยู่ในภาวะอ่อนแอ อาจมีสาเหตุมาจากการขาดวิตามิน D และแคลเซียม ซึ่งเป็น ตัวประกอบที่สำคัญในการสร้างกระดูก ผู้ชายก็ต้องการแคลเซียมมากเหมือน ๆ ผู้หญิง เพราะผู้ชายมักจะกินเนื้อมากกว่า ซึ่งอุดมไปด้วยฟอสฟอรัส ยิ่งร่างกายได้รับ ฟอสฟอรัสมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องการแคลเซียมมากขึ้นเท่านั้น อาหารที่อุดมไปด้วย แคลเซียม ได้แก่ ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง โยเกิร์ต นมและเนยแข็ง (ไขมันต่ำได้ก็ ดี)

10. ขี้ลืม

อาจเป็นได้ว่าคุณขาดวิตามิน B ในการศึกษาที่ USDA Human Nutrition Research Center in Boston นักวิจัยพบว่าผู้ชายที่มีระดับของวิตามิน B 6 B 12 และ B folate สูงในเลือด จะมีความทรงจำที่ดีกว่าจากการทดสอบพบว่าสารอาหารพวกนี้ช่วย ให้สมองทำงานได้เต็มที่ และยังช่วยควบคุม homocysteine ซึ่งเป็นกรดอะมิโนชนิด หนึ่งที่อยู่ในร่างกาย ซึ่งเป็นตัวขัดขวางการที่เลือดจะไปหล่อเลี้ยงสมอง ถั่ว เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน B 6 และโฟเลต มากที่สุด และไม่ต้องกังวลกับการ ขาดวิตามิน B 12 เพราะมีมากในเนื้อสัตว์และอาหารทะเล

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)เลขที่ 33

ช็อกโกแลต:เพื่อสุขภาพและความงาม

ช็อกโกแลตเป็นขนมสุดโปรดของทุกเพศทุกวัยหลายคนส่ายหัวกลัวอ้วนแต่ก็อดไม่ได้ที่จะแอบชิมเล็กน้อยว่าแล้วมาดูประโยชน์และโทษกันดีกว่

ว่าถึงข้อดีก่อนการวิจัยหลายสำนักบอกว่าสารฟลาโวนอยด์ส ที่มีอยู่ในช็อกโกแลตช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระป้องกันมะเร็งบางชนิดและป้องกันไม่ให้เกิดคราบไขมันสะสมที่ผนังหลอดเลือดหัวใจนอกจากนี้ยังเพิ่มการไหลเวียนของเลือดป้องกันความดันโลหิตสูงและยังช่วยบรรเทาอาการท้องเสียได้อีกด้วยส่วนสารทีโอโบรไมน์ (Theobromine) มีฤทธิ์คล้ายกาเฟอีนช่วยหยุดอาการไอเรื้อรังได้ ส่วนสารเฟนิลไทลามิน (Phenylethylamine) เชื่อว่าสามารถผลิตความรู้สึกที่เรียกว่า“รัก”ได้

นอกจากผลทางสุขภาพผู้คนก็นิยมนำมาพอกตัวทำสปาเพื่อผิวพรรณความงามภายนอก ผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะได้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสเพราะช็อกโกแลตมีวิตามินเอและอีที่จะเป็นตัวช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวรักษาความชุ่มชื่นให้กับผิวกายช่วยชะลอความแก่เหี่ยวย่น นอกจากนี้แมกนีเซียมในช็อกโกแลตยังช่วยคลายกล้ามเนื้อผ่อนคลายความตึงเครียดจากอาการเหนื่อยล้าได้เช่นกัน

แต่ของทุกอย่างมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย อย่างสารเฟนิลไทลามินทีโอโบรไมน์และกาเฟอีนอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตสูงได้ นอกจากนี้ช็อกโกแลตยังให้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรตไขมันวิตามินเอดีเคและธาตุเหล็กค่อนข้างสูงหากกินมากเกินไปอาจส่งปัญหาด้านสุขภาพทำให้เป็นโรคต่างๆได้เช่นโรคอ้วนความดันโลหิตสูงเป็นต้น

10 อาหารสุขภาพ ที่สาวๆ ควรมีติดตู้เย็น

1. น้ำเปล่า

ไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากมายสำหรับความจำเป็นและคุณประโยชน์ทำให้เราต้องดื่มน้ำ เพราะ "น้ำ" ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิต ช่วยทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเป็นไม่อย่างปกติ ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดี หัวใจทำงานปกติและมีประสิทธิภาพแข็งแรงขึ้น รวมทั้งช่วยให้การขับถ่ายของเสียทำงานได้ดี ที่สำคัญยังช่วยให้ผิวชุ่มชื่น โดยน้ำที่เหมาะแก่การดื่มคือน้ำอุณหภูมิปกติ เรียกว่าสาวคนใดอยากสุขภาพดีอย่าลืมดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8 แก้วนะคะ

2. ผัก

เหมาะมากสำหรับการเป็นอาหารในยุคเศรษฐกิจพอเพียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณปลูกพืชผักสวนครัวไว้ทานเอง คุณจะได้ทานผักที่สดและปลอดภัยจากสารพิษ รวมทั้งประหยัดเงินในกระเป๋า ในส่วนของคุณประโยชน์ของผักนั้น "ผัก" ถือเป็นอาหารที่มีคุณค่ามาก เพราะมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการ อาทิ วิตามิน เกลือแร่ อยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ในผักยังมี "ใยพืช" (Fiber) ซึ่งช่วยกระตุ้นลำใส้ให้ทำงานดีขึ้น ทำให้ท้องไม่ผูก ป้องกันโรคริดสีดวงทวาร โรคมะเร็งลำไส้

3. ไข่ไก่

หากคุณกำลังหาอาหารไว้ติดตู้เย็นสักชนิดที่ทั้งราคาถูกและมีคุณค่าทางอาหาร เราขอแนะนำ "ไข่ไก่" ค่ะ เพราะในไข่ไก่มีทั้งโปรตีนและกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย 9 ชนิด ทั้งยังมีวิตามินกับเกลือแร่อีกหลายชนิด เช่น วิตามินเอ , บี, ดี และ อี ธาตุเหล็ก , สังกะสี, ซีลีเนียม และไอโอดีน ส่วนใครที่เคยเชื่อมาผิดๆ ว่าทานไข่แล้วจะเสี่ยงกับความอ้วนนั้น คุณเข้าใจผิด เพราะโคเลสเตอรอลในไข่แดงมีประมาณ 230 มิลลิกรัมต่อฟอง ซึ่งนับว่าปลอดภัยกว่าการกินเนย แป้ง น้ำตาล และเนื้อสัตว์ติดมันมาก

4. นม

"นม" ในที่นี้จะเป็นประเภทใดก็ได้ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นนมวัว นมถั่วเหลือง หรือนมเปรี้ยว เพราะทุกประเภทล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าเราต้องอ่านฉลากข้างกล่องหรือขวดให้ดีก่อนจะซื้อมาเก็บไว้ในตู้เย็นนะคะ เพราะในนมแต่ละยี่ห้อแต่ละสูตรก็จะมีปริมาณน้ำนมและสารปรุงแต่งไม่เท่ากัน สำหรับคนที่ไม่มีปัญหาในเรื่องระบบย่อยอาหารคุณควรดื่มนมวัวค่ะ เพราะในนมวัวมีแคลเซียมและโปรตีนซึ่งมีความสมบูรณ์ของกรดอะมิโนดีกว่าโปรตีนจากถั่วเหลือง

5. เนื้อปลา

สาวๆยุคใหม่หลายคนมองข้ามการทานเนื้อสัตว์ไปเพราะกลัวอ้วน แต่เราว่าคุณจะต้องเปลี่ยนความคิดใหม่หลังจากที่ทราบคุณประโยชน์ของ "เนื้อปลา" เพราะโปรตีนจากเนื้อปลามีไขมันต่ำ ย่อยง่าย และมีสาอาหาร คือ กรดโอเมก้า 3 ซึ่งมีกรด DHA และกรด EPA โดย DHA จะช่วยบำรุงเซลล์สมอง เซลล์ประสาท และเรตินาในดวงตา ส่วนกรด EPA ช่วยควบคุมระดับโคเลสเตอรอล และลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในร่างกาย จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

6. ผลไม้รสเปรี้ยว

ต้องย้ำไว้ก่อนค่ะว่าเป็นผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม , มะม่วง,ฝรั่ง, กีวี่ ,ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เพราะผลไม้ประเภทนี้จะมีวิตามินซีสูง (แถมยังปลอดภัยจากความอ้วนกว่าผลไม้รสหวานที่มีน้ำตาลมาก) ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของภูมิต้านทานโรค ช่วยลดระดับไขมันที่จะไปพอกพูนเส้นเลือดในร่างกายแล้วทำให้หลอดเลือดอุดตัน ทั้งยังช่วยควบคุมโคเลสเตอรอล และป้องกันการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี ที่สำคัญวิตามินซีททำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นเหตุของการเสื่อมของร่างกายอีกด้วย

7. โยเกิร์ต

เป็นผลิตภัณฑ์จากนมยอดฮิตที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์ โดยใน "โยเกิร์ต" มีวิตามิน ได้แก่ วิตามิน เอ, บี1, บี 2, บี3,บี6, บี12, ดี, อี มีกรดที่ช่วยในการดูดซึมโปรตีน แคลเซียมและเหล็กเข้าสู่ร่างกาย ช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร และระบบการขับถ่าย ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด ช่วยบำรุงผิวพรรณ แต่ก่อนซื้อต้องอ่านฉลากให้ดีก่อนนะคะว่าในโยเกิร์ตรสและยี่ห้อนั้นๆ มีส่วนประกอบและคุณค่าทางอาหารอะไรบ้าง แนะนำว่าโยเกิร์ตธรรมชาติที่มีน้ำตาลน้อยดีที่สุดค่ะ

8. แอปเปิ้ล

คำกล่าวที่ว่า "ถ้ารับประทานแอปเปิ้ลวันละผลแล้วล่ะก็จะไม่ต้องไปหาหมอ" คงเป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริงนัก เพราะแอปเปิ้ลมีสารอาหารที่มีประโยชน์หลายชนิด อาทิ สารเบตาแคโรทีน วิตามินซี นอกจากนี้แอปเปิ้ลยังเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยมาก ซึ่งจะทำหน้าที่ทำความสะอาดลำไส้ ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น อ้อ ถ้าอยากได้คุณค่าเต็มเปี่ยมแนะนำให้ทานแอปเปิ้ลทั้งเปลือกค่ะ เพราะเปลือกของแอปเปิ้ลแดง 1 ผลนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่ากับวิตามินซี 820 มิลลิกรัมทีเดียว

9. ถั่ว

"ถั่ว" ถือเป็นโปรตีนจากพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูงไม่แพ้โปรตีนจากเนื้อสัตว์เชียวค่ะ ดังนั้นคนที่อยู่ในช่วงทานเจหรือมังสวิรัติแต่ไม่อยากให้ร่างกายขาดโปรตีน ถั่วจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดของคุณค่ะ ที่สำคัญถั่วยังอุดมไปด้วยวิตามินที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของผิวหนัง ผม การควบคุมความดันโลหิต ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบการแข็งตัวของเลือด นอกจากนี้ไขมันไม่อิ่มตัวในถั่วจะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล ใครที่อยากทานอาหารสุขภาพราคาประหยัดต้องไม่พลาดถั่วค่ะ

10. ธัญพืช

มื้อเช้าที่เร่งรีบ ถ้าคุณไม่มีเวลาในการเข้าครัวเพื่อทำกับข้าว การมี "ธัญพืช" จำพวกข้าวโพด , ลูกเดือย ,งา ,ข่าวฟ่าง,เมล็ดทานตะวัน, จมูกข้าว, รำจ้าว (ชนิดที่อบกรอบพร้อมทาน) ติดตู้เย็นไว้จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาได้มากทั้งยังดีต่อสุขภาพ โดยในธัญพืชจะมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ต้องใช้เวลาในการย่อย ทำให้น้ำตาลในเลือดไม่ขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว จึงไม่ทำเกิดเป็นโรคเบาหวานตามมาในภายหลัง (ต่างจากแป้งขัดขาวซึ่งน้ำตาลจะถูกย่อยเร็ว) นอกจากนี้ธัญพืชยังเปี่ยมด้วยวิตามิน เกลือแร่ และไฟเบอร์

น.ส.กิตติยา จำปาคำ ม.ฟาร์อีส เลขที่5

อยู่อย่างผู้สูงอายุ ที่มีความสุข

เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ อายุ 60-70 ปี ขึ้นไปตามที่เรียกกันว่า ผู้สูงอายุ หรือ คนแก่ อย่าไปมัวแต่คิดถึงอายุที่ล่วงไปด้วยความหวาดวิตก อาลัยอาวรณ์ แต่จะคิดว่าเราจะเป็นคนหนึ่งที่ผ่านโลกผ่านชีวิตมามากพอ เฉลียวฉลาดจากการได้รับประสบการณ์ต่างๆ มามากแล้ว พอที่จะอำนวยคุณประโยชน์ให้พวกเด็กๆ และคนหนุ่มสาวได้ ในการให้คำปรึกษา แนะนำ ให้ข้อคิดจากความชำนาญในชีวิตมามาก และภาคภูมิใจในตัวเองว่ายังคงเป็นคนที่มีค่า มีประโยชน์ต่อสังคม แม้ร่างกายอาจเป็นไปได้ที่ไม่สามารถจะกระทำสิ่งใดๆ ได้ เหมือนกับครั้งยังหนุ่มสาว แต่ความคิดอ่าน สติปัญญา ความรอบรู้จะยังคงมีให้ใครๆ ได้เสมอ

ยังคงปรารถนาที่ให้ทุกคนเห็นว่าเราก็เป็นคนที่เหมือนคนทั้งหลาย ซึ่งมีความต้องการและไม่ต้องการ มีความพึงใจและไม่พึงใจ มีความรู้สึกนึกคิดเยี่ยงปุถุชนทั้งหลาย และจำทำตัวเป็นคนมีค่ามีประโยชน์ต่อสังคมเรื่อยไปเท่าที่จะสามารถทำได้

ไม่คอยแต่รบกวนใครๆ เขาจนเกินไป ไม่ต้องมาคอยให้ใครเป็นห่วง คอยกังวล สงสารเวทนา จนเขาไม่เป็นอันทำงาน ประกอบอาชีพ หรือศึกษาเล่าเรียน ไม่ต้องการรบกวนเวลาหรือขัดขวางความสุขของใครอื่น แต่ต้องคอยระวังดูแลตัวเอง ใช้สมอง และความคิดตัดสินปัญหาต่างๆ ด้วยตัวเอง

ควรที่จะมีผุ้ให้คำแนะนำปรึกษาหารือบ้างเมื่อมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้นกับตัว อย่าอวดดื้อถือดีว่าตัวเองรู้อะไรดีไปหมดเสียทุกอย่าง และไม่ต้องการพึ่งใคร

สำนึกอยู่เสมอว่าชีวิตกับงานเป็นของคู่กัน งานจะช่วยให้ความสุขใจได้ อย่านั่งๆ นอนๆ หรือนิ่งเฉย ควรหางานทำเพื่อช่วยคลายเหงา และช่วยให้เกิดความสุขทางใจ และควรเป็นงานี่สามารถทำได้ และเป็นงานที่เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่น เพื่อที่จะได้ภูมิใจว่าตัวเองยังมีค่ามีประโยชน์ต่อสังคม

ควรคิดเสมอว่า "อายุ" ไม่ใช่อุปสรรค ที่จะทำให้เลิกเคารพนับถือตนเองและผู้อื่น รู้จักตัวเอง รู้จักผู้อื่น และคิดหาทางช่วยผู้อื่นเสมอเมื่อเขาต้องการ อายุเป็นเพียงตัวเลข ที่บอกถึงเวลาที่ชีวิตล่วงเลยมาตามกาลเวลาเท่านั้น

ยึดมั่นต่อคำกล่าวที่ว่า "คนเราไม่แก่เกินเรียน" สิ่งที่ควรจะต้องทำอย่างต่อเนื่องก็คือ การศึกษาหาความรู้ อ่านเขียน และเรียนให้รู้ถึงเรื่องต่างๆ ที่ทำให้เกิดความรู้ความคิดแปลกๆ ใหม่ๆ เสมอ แล้วจะหาทางเผยแพร่ให้ผู้อื่นรู้ด้วยต่อไป

หาเวลาพักผ่อนหย่อนใจบ้าง สร้างความสนุกสนานเบิกบานใจให้แก่ตัวเอง มีงานอดิเรกทำพอที่จะให้เพลิดเพลินใจ หาเวลาเดินทางท่องเที่ยว ไปงานเลี้ยงของญาติและเพื่อนๆ ไปมาหาสู่คนอื่นๆ จะได้พูดคุยสนทนากันวิพากษ์วิจารณ์กันถึงเรื่องของโลก ได้คุยทบทวนถึงชีวิตแต่หนหลังที่เคยมีสุขมีทุกข์มา และไม่ควรพูดคุยกับเด็กอยู่ตลอดเวลา ถึงความแตกต่างของสมัยนี้กับสมัยก่อน อย่าพยายามเปรียบเทียบอดีตกับปัจจุบัน เพราะการพูดเปรียบเทียบอยู่ซ้ำๆ ซากๆ พวกเด็กๆ จะรำคาญ ไม่อยากฟัง

หากพูดผิดๆ หรือทำสิ่งใดผิดพลาดไปบ้าง ก็อย่าคิดว่าตัวเองอายุมากผ่านชีวิตมามาก เมื่อพูดหรือทำอะไรแล้วต้องถูกเสมอ พูดผิดทำผิดจะต้องได้คิดแก้ไข เด็กรุ่นใหม่อาจมีความรู้ ความฉลาดในเรื่องบางอย่างยิ่งกว่าเราก็ได้

หากแสดงอารมณ์หงุดหงิดเกรี้ยวกราดออกมา ควรใช้สติพิจารณาด้วยเหตุผลถึงการกระทำที่ผ่านมา เมื่ออารมณ์เหล่านั้นสิ้นไป และเตือนตัวเองเสมอว่าไม่บังควรเอาแต่อารมณ์ตัวเองอีกต่อไป

น.ส.วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว ม.ฟาร์อีส เลขที่ 3

การออกกำลังกาย

การออกกำลังกายไม่ได้หมายถึงการที่ต้องไปแข่งขันกีฬากับผู้อื่น แต่การออกกำลังกายเป็นการ

แข่งขันกับตัวเอง

หลายคนก่อนจะออกกำลังมักจะอ้างเหตุผลของการไม่ออกกำลังกาย เช่น ไม่มีเวลา ไม่มีสถานที่ ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ ปัญหาเกี่ยวอากาศ ทั้งหมดเป็นข้ออ้างที่จะไม่ออกกำลังกาย แต่ลืมไปว่าการออกกำลังกายอาจจะให้ผลดีมากกว่าสิ่งที่เขาเสียไป

เป็นที่น่าดีใจว่าการออกกำลังให้สุขภาพดีไม่ต้องใช้เวลามากมาย เพียงแค่วันละครึ่งชั่วโมงก็พอ และก็ไม่ต้องใช้พื้นที่หรือเครื่องมืออะไร มีเพียงพื้นที่ในการเดินก็พอแล้ว การออกกำลังจะทำให้รูปร่างดูดี กล้ามเนื้อแข็งแรง ป้องกันโรคหัวใจ ป้องกันโรคกระดูกพรุน ป้องกันโรคอ้วน การออกกำลังกายทำให้ร่างกายสดชื่น มีพลังที่จะทำงานและต่อสู้กับชีวิต นอกจากนั้นยังสามารถลดความเครียด

โรคที่มากับคนที่ไม่ออกกำลังกาย

กลุ่มโรคความดันโลหิตสูงและโรคหัวใจขาดเลือด

โรคอ้วน

โรคเบาหวานและไขมันในเลือดสูง

โรคเครียด

โรคภูมิแพ้

โรคปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ

โรคมะเร็ง

การเริ่มต้นออกกำลังกาย

หลายท่านไม่เคยออกกำลังมาก่อนเมื่อเริ่มออกกำลังอาจจะทำให้เหนื่อยง่ายวิธีดีที่สุดของการเริ่มต้นออกกำลังกาย คือให้เริ่มออกกำลังกายจากกิจวัตรประจำวันเช่น

ใช้การเดินหรือขี่จักรยานเมื่อไปที่ไม่ไกล

หยุดใช้รถหนึ่งวันแล้วใช้การเดินไปทำงานสำหรับผู้ที่บ้านและที่ทำงานไม่ไกล

ใช้บันไดแทนการขึ้นลิฟต์หรือบันไดเลื่อน

ขี่จักรยานรอบหมู่บ้าน

ทำงานบ้าน เช่นทำสวน ล้างรถ ถูบ้าน

ทำกิจวัตรเหล่านั้นทุกวันเป็นเวลา 2-3 เดือน หลังจากเพิ่มกิจกรรมได้พักหนึ่งจึงเริ่มต้นเพิ่มการออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น เช่น

เดินให้เร็วขึ้นสลับกับเดินช้า

ขี่จักรยานนานขึ้น

ขึ้นบันไดหลายชั้นขึ้น

ขุดดิน ทำสวนนานขึ้น

ว่ายน้ำ

เต้น aerobic แต่ไม่ต้องมาก

เต้นรำ

เล่นกีฬา เช่น แบดมินตัน เทนนิส ปิงปอง

หลังจากที่เตรียมความพร้อมร่างกายแล้วเรามาเริ่มต้น ฟิตร่างกายกัน

หลังจากเตรียมความพร้อมแล้ว คุณได้ออกกำลังเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันแล้วหากคุณต้องการฟิตร่างกายก็สามารถทำได้โดย

โดยการวิ่งเร็วขึ้น นานขึ้น

ว่ายน้ำนานขึ้น

การฟิตร่างกาย คุณต้องติดตามความก้าวหน้าของการออกกำลังกายเช่น เวลาที่ใช้ในการออกกำลังเพิ่มขึ้น ระยะทางในการออกกำลังเพิ่มขึ้น หัวใจเต้นได้ดี รายละเอียดของการออกกำลังกายคลิกที่นี่

เทคนิคของการออกกำลังกายเป็นประจำ

จะต้องตระหนักว่าการออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตซึ่งจะขาดไม่ได้เหมือนการนอนหลับ หรือการรับประทานอาหาร

เลือกการออกกำลังกายที่ชอบที่สุด และสะดวกที่สุด

ครอบครัวอาจจะมีส่วนร่วมด้วยก็จะดี

ช่วงแรกๆของการออกกำลังกายไม่ควรจะหยุด ให้ออกจนเป็นนิสัย

บันทึกการออกกกำลังกายไว้

หาเป็นไปได้ควรจะมีกลุ่มเพื่อออกกำลังกายร่วมกันเพราะกลุ่มจะช่วยกันประคับประคอง

ตั้งเป้าหมายการออกกำลังและการรับประทานทุกเดือนโดยอย่าตั้งเป้าหมายสูงเกินไป

ติดตามความก้าวหน้าโดยดูจากสมุดบันทึก

ให้รังวัลเมื่อสามารถบรรลุเป้าหมาย(ห้ามการเลี้ยงอาหาร)

ที่สำคัญการออกกำำลังแม้เพียงเล็กน้อยดีกว่าการไม่ออกกำลังกาย

ออกกำลังกายอย่างปลอดภัย

ถ้าหากท่านได้เตรียมความพร้อมที่จะออกกำลังกายแล้วอยากจะฟิตร่างกายท่านสามารถทำได้ทันที แต่หากมีอาการหรือโรคต่อไปนี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนฟิตร่างกาย

ถ้าท่านอายุมากกว่า 45ปี

หรือมีโรคประจำตัวเช่นโรคความดันโลหิตสูง

โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง

สูบบุหรี่

หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคหัวใจ

มีอาการเจ็บหน้าอก เหนื่อยมาก

มีอาการหน้ามืด

จำเป็นต้องอุ่นร่างกายหรือไม่ Warm up

ก่อนออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาจำเป็นต้องอบอุ่นร่างกายทุกครั้งเพื่อเตรียมความพร้อมของหัวใจ และหลังจากการออกกำลังควรจะอบอุ่นร่างกายอีกครั้ง รายละเอียดดูได้จากการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ

ความฟิตคืออะไร Physical fittness

ความฟิตไม่ได้หมายถึงว่าคุณสามารถวิ่งได้ระยะทางเท่าใด หรือยกน้ำหนักได้เท่าใด แต่ ความฟิตหมายถึงประสิทธิภาพของหัวใจ ปอดและกล้ามเนื้อทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทั่วไปถ้าหากออกกำลังกายได้อย่างน้อยวันละ 30 นาทีโดยออกหนักปานกลาง สัปดาห์ละอย่างน้อย 5 วันถือว่าได้ออกกำลังแบบ aerobic exercise รายละเอียดมีในออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ความฟิตของร่างกายต้องประกอบด้วยปัจจัย 5 อย่าง

Cardiorepiratory endurance หมายถึงความสามารถของหัวใจที่จะสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆได้อย่างเพียงพอในขณะที่ออกกำลังกาย การออกกำลังกายแบบ areobic จะเป็นการฝึกให้หัวใจแข็งแรง

Muscular strength ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อซึ่งเราสามารถเพิ่มความแข็งแรงได้โดยการยกน้ำหนัก หรือวิ่งขึ้นบันได

Muscular enduranceความทนของกล้ามเนื้อหมายถึงความสามารถของกล้ามเนื้อที่จะทำงานอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่เกิดอาการเมื่อยล้า

สัดส่วนของร่างกาย หมายถึงสัดส่วนของกล้ามเนื้อ กระดูก ไขมัน การออกกกำลังจะทำให้มีปริมาณกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นแต่ปริมาณไขมันจะลดลง อาจจะดูได้จากดัชนีมวลกาย

Flexibility ความยืดหยุดของกล้ามเนื้อ เอ็น เพื่อป้องกันกล้ามเนื้อหรือข้อได้รับอุบัติเหตจากการออกกำลังกาย อ่านและฟังที่นี่

ขณะป่วยควรออกกำลังกายหรือไม่

ขณะที่เจ็บป่วยไม่ควรออกกำลังกายเพราะจะทำให้โรคเป็นมากขึ้นควรจะพักจนอาการดีขึ้น แต่ถ้าท่านเป็นโรคเรื้อรังควรปรึกษาแพทย์ในการออกกำลังกาย

จริงหรือไม่ที่การออกกำลังกายโดยการเดินดีพอๆกับการวิ่ง

การเริ่มต้นออกกำลังควรใช้วิธีเดินเนื่องจากจะไม่เหนื่อยมาก ยังลดน้ำหนักได้และอาการปวดข้อไม่มาก ส่วนการวิ่งจะเป็นการออกกำลังที่คุณเตรียมร่างกายไวพร้อมแล้วเพราะการวิ่งจะทำให้หัวใจเต้นเร็ว ทำให้เหนื่อย และทำให้ปวดข้อ ดังนั้นการออกกำลังโดยการเดินเหมาะสำหรับคนอ้วน หรือผู้ที่เริ่มออกกำลังกายแต่ถ้าผู้ที่ต้องการความฟิตของร่างกายควรออกกำลังโดยการวิ่ง

คนท้องควรออกกำลังหรือไม่

คนท้องควรออกกำลังกายเป็นประจำแต่ออกกำลังแบบเบาๆโดยการเดิน ไม่ควรวิ่ง ไม่ควรยกของหนัก รายละเอียดอ่านได้จากการออกกำลังในคนท้อง

จะรู้ได้อย่างไรว่าออกกำลังกายมากเกินไป

ท่านสามารถสังเกตขณะออกกำลังกายว่ามากไปหรือไม่โดยสังเกตจากอาการดังต่อไปนี้

หัวใจเต้นเร็วมากจนรู้สึกเหนื่อย

หายใจเหนื่อยจนพูดไม่เป็นประโยค

เหนื่อยจนเป็นลม

ไม่มีอาการปวดข้อหลังออกกำลังกาย

หากมีอาการดังกล่าวให้หยุดการออกกำลังสองวันและเวลาออกกำลังให้ลดระดับการออกกำลังกาย

ประโยชน์ของการออกกำลังกาย

ผลต่อโรคความดันโลหิตสูง(140/90)

ผู้ที่ไม่ออกกำลังกายจะมีโอกาศเป็นความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้น 35%

การออกกกำลังอย่างสท่ำเสมอจะลดทั้งความดัน systole และ diastole อย่างชัดเจน

คนไข้ที่มีความดันโลหิตสูงที่ออกกำลังอย่างสม่ำเสมอจะมีอัตราการเสี่ียงชีวิตจากโรคแทรกซ้อน น้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ออกกำลัง

การออกกำลังจะช่วยเพิ่มอายุ 1-1.5ปี

ผลต่อโรคเส้นเลือดสมอง

อัตราการเกิดโรคหลอดเลือดสมองลดลงเมื่ออกกำลังกายเพิ่มขึ้น

เมื่อขึ้นบันไดวันละ 20 ขั้นจะลดอัตราการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดลงร้อยละ 20

ผู้ที่ออกกกำลังกายโดยการเดินเร็วๆสัปดาห์ละ 3 ชั่วโมงจะมีอุบัติการของโรคหัวใจและหลอดเลือดลดลงร้อยละ 40

ผลต่อโรคเบาหวาน

ผู้ที่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะมีโอกาสการเกิดโรคเบาหวานลดลงร้อยละ 42

ผู้ออกกกำลังมากจนกระทั่งเหงื่อออก 1 ครั้งต่อสัปดาห์จะมีอุบัติการของการเกิดโรคเบาหวานลดลงร้อยละ 22

ผลต่อหัวใจ

ผู้ที่ไม่ออกกำำลังกายจะมีโอกาศเสียชีวิตเป็นสองเท่าของผู้ที่ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายจะทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจเพิ่มขึ้น

การออกกำลังกายจะทำให้หัวใจสะสมพลังงานไว้ใช้เมื่อเวลาหัวใจต้องทำงานหนัก

เพิ่มความแข็งแรงในการบีบตัวของหัวใจ

ลดระดับไขมันในเลือด เพิ่มระดับ HDL (ซึ่งเป็นไขมันที่ดี)

ลดระดับความดันโลหิต ลดการเต้นของหัวใจ ทำให้หัวใจทำงานน้อยลง

ผลต่อมะเร็ง

การออกกำลังกายจะลดการเกิดโรคมะเร็งได้ร้อยละ 46

ผลต่อคุณภาพชีวิต

การออกกำลังกาย 1500 กิโลแครอรีต่อสัปดาห์(ออกกำลังกายหนักปานกลาง)จะเพิ่มอายุ 1.57 ปีและลดอุบัติการการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรลงร้อยลง 67

สำหรับผู้สูงอายุทุก 1 ไมล์ที่เดินจะลดอุบัติการเสียชีวิตลงร้อยละ 19

การออกกกำลังอย่างสม่ำเสมอ(อายุ 45-84)จะลดการเสียชีวิตร้อยละ 18

การออกกำลังกาย การออกกำลังของผู้ที่มีโรคหัวใจ การออกกำลังเพื่อให้หัวใจแข็งแรง การออกกำลังกับโรคไต การออกกำลังในน้ำ การออกกำลังในโรคเบาหวาน

น.ส.กิตติยา จำปาคำ ม.ฟาร์อีส เลขที่ 5

กลิ่นปาก

กลิ่นปากหรือปากเหม็น หรือลมหายใจไม่สะอาด หากเกิดขึ้นกับใครก็ทำให้ขาดความมั่นใจ จะปรึกษาใครก็รู้สึกเป็นสิ่งน่าอาย บทความนี้อาจจะช่วยให้ท่านลดกลิ่นปาก ตำแหน่งที่เกิดกลิ่นปากมากที่สุดคือลิ้นเนื่องจากผิวลิ้นหยาบ ดังนั้นหากเกิดกลิ่นปากลองทำความสะอาดลิ้นก่อนเป็นอันดับแรก

กลไกการเกิดกลิ่นปาก

เกิดจากเชื้อแบคทีเรียในปากตายทำให้เกิดสาร sulfur ออกมาจึงเกิดกลิ่น

แบคทีเรียสลายอาหารที่อยู่ในปาก

น้ำลายลดลงทำให้เชื้อแบคทีเรีย หรืออาหารไม่ถูกชะล้าง

สาเหตุ

การไม่ดื่มน้ำหรือไม่รับประทานอาหาร ทำให้แบคทีเรียไม่ถูกชะล้างจึงเกิดกลิ่นปาก

โรคฟัน เช่นฟันผุ สุขลักษณะช่องปากไม่ดี มีการขังของเศษอาหารในช่องปาก

กลิ่นจากอาหารที่รับประทานเข้าไป เช่นกาแฟ สุรา หอมใหญ่ กระเทียม พริก บุหรี่

หายใจทางปากเนื่องจากเป็นหวัด

โรคระบบทางเดินหายใจ เช่นผีในปอด ไซนัสอักเสบ คออักเสบ เป็นต้น

โรคบางชนิดเช่น โรคไต โรคตับ

การทดสอบกลิ่นปาก

ล้างข้อมือด้วยสบู่ให้สะอาดแล้วล้างน้ำจนสะอาด ใช้ผ้าสะอาดเช็ดให้แห้ง เลีย 4 ครั้งหลังจากนั้น 30 นาทีให้ดมว่ามีกลิ่นหรือไม่

การดูแลรักษา

ให้รับประทานอาหารครบ 3 มื้อทุกวัน

ให้ดื่มน้ำมะนาวซึ่งจะเพิ่มปริมาณน้ำลาย

ให้ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว

เคี้ยวหมากฝรั่งหรืออมลูกอมระหว่างมืออาหาร

แปรงฟันหลังอาหารทุกครั้ง และให้แปรงลิ้น

ใช้ Dental flossing

หากแปรงเสียให้เปลี่ยนแปรง

ถ้าอาการไม่ดีภายหลังจากได้ปฏิบัติแล้ว 10 วันให้ปรึกษาทันต์แพทย์ หรือแพทย์ของท่าน

กลิ่นปากในเด็ก

ท่านผู้ปกครองหากเด็กมีกลิ่นปากไม่หาย ท่านไม่ต้องกังวลว่าจะเด็กจะมีโรคเหมือนผู้ใหญ่ เช่น โรคที่ศีรษะ คอ และกระเพาะอาหารเพราะว่าสาเหตุส่วนใหญ่ของกลิ่นปากเกิดจากในปาก สาเหตุที่พบบ่อยได้แก่

สุขอนามัยไม่ดี มีเศษอาหารและเชื้อแบคทีเรียเหลือตามซอกฟัน เด็กมักจะมีกลิ่นมากมากในตอนเช้า หากเป็นมากจะมีตอนสาย

ฟันผุ บางรายเด็กไม่มีอาการปวดฟันแต่มีฟันผุ

ไซนัสอักเสบทั้งเฉียบพลันและเรื้อรังสามารถทำให้เกิดกลิ่นปากได้ นอกจากกลิ่นปากเด็กโดยมากจะเกิดอาการ น้ำมูกไหล ไอกลางคืน

คออักเสบ เด็กจะมีไข้เจ็บคอ และมีกลิ่นปาก

ภูมิแพ้ทำให้มีเสมหะไหลไปที่คอทำให้เกิดกลิ่นปาก

คำแนะนำ

อย่าทำให้เด็กขาดความมั่นใจ ควรใช้โอกาสนี้สอนเด็กแปรงฟัน และล้างปาก

เลือกแปรงที่มีขนาดเหมาะกับปากและมีขนอ่อนนุ่มพอควรพร้อมยาสีฟัน ยาสีฟันควรมีสาร fluoride

ควรแปรงฟันพร้อมเด็ก ให้เด็กแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง

สอนเด็กใช้ Dental flossing

หากเห็นเศษอาหารติดที่คอก็ให้เด็กกรวกคอบ้วนปาก

ให้ตรวจฟันทุกปี

น.ส.นุชรินทร์ จันต๊ะพรม เลขที่ 6

การรักษาน้ำหนัก

อาหารที่เรารับประทานเข้าไปจะใช้เป็นพลังงานในการดำเนินชีวิต เช่นใช้หล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ใช้ในการเดิน การหายใจ การทำงาน แต่ถ้าหากเรารับประทานอาหารที่มีพลังงานมากกว่าที่เราใช้ส่วนเกินของพลังงาน จะสะสมในรูปไขมันผลทำให้น้ำหนักท่านเพิ่ม

ท่านผู้อ่านควรที่จะรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติคือดัชนีมวลกายอยู่ระหว่าง 20-20 กก./ตารางเมตร หากต่ำกว่านี้ร่างกายอาจจะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ หากมากกว่านี้อาจจะทำให้เกิดโรคต่างๆเช่น โรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง

โรคอ้วนทำให้เกิดโรคอะไร

คนอ้วนมักจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดโรค ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง ซึ่งปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวจะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนั้นโรคอ้วนยังเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งได้หลายชนิด

การลดน้ำหนัก

วิธีลดน้ำหนักที่ดีที่สุดคือการลดพลังงานจากอาหาร และการออกกำลังกายหรืออาจจะทำทั้งสองอย่างพร้อมกัน

ลดพลังงานจากอาหาร

รับประทานอาหารพวกผักผลไม้ให้มาก ไม่ปรุงอาหารด้วยไขมัน

ลดอาหารไขมัน เช่นอาหารทอด ผัด เช่นปาท่องโก๋ กล้วยทอด ไก่ทอด ฟิซซ่า โรตี กะทิ

ดื่มนมพร่องมันเนย งดเนย

ลดการบริโภคน้ำตาล ของหวาน

ลดสุรา

การออกกำลังกาย

ใช้การเดินแทนการนั่งรถ

ใช้บันไดแทนการขึ้นลิฟต์

ไปเล่นกับลูก ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน

อยากทราบรายละเอียดเกี่ยวกับโรคอ้วนคลิกที่นี่ ผู้ที่อ้วนลงพุงจะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจสูงกว่าพวกอ้วนธรรมดา

น.ส.วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว ม.ฟาร์อีส เลขที่ 3

กินแบบสาวสุขภาพดี

คงจะดีไม่น้อยนะคะ ถ้าคนช่างกินอย่างเราๆ สามารถกิน กิน และก็กิน แล้วได้สุขภาพดี โดยไม่จำเป็นต้องอด ฉบับนี้เราโชคดีมากเลยค่ะที่มีสาวสวยสุขภาพดีแบบจุ๋ย วรัทยา นิลคูหา มาบอกวิธีการกินที่ทำให้สุขภาพดีขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์...และไม่ยากเลยค่ะ หากคุณจะกินแบบเธอ

กินมาก ไม่กินบ้าง

พฤติกรรมการกินแบบผิดๆ ที่มีมาตั้งแต่เด็ก ทำให้คุณจุ๋ยสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงนัก มีโรคประจำ และอ้วนง่าย ส่งผลไม่ดีต่ออาชีพนักแสดง เธอจึงต้องดูแลสุขภาพควบคู่ไปกับความงาม ซึ่งวิธีที่เธอเลือกคือการกินอาหารที่มีประโยชน์ให้มาก และกินอาหารให้หลากหลาย แต่ลดปริมาณบางอย่างลง ทำให้เธอสวยสุขภาพดีจากภายใน

“จุ๋ยเป็นคนอ้วนง่าย เมื่อก่อนกินจังก์ฟู้ด ของทอดของมัน ตอนเด็กๆ อยากกินอะไรกินก็กินหมดเลย เพราะระบบเผาผลาญที่ดีอยู่แล้ว แต่พออายุเกิน 20 ก็จะเริ่มเห็นเซลลูไลท์ แล้วก็มีโรคประจำตัวเป็นกระเพาะ ถ้าช่วงไหนเครียดน้ำย่อยจะออกมาผิดปกติ และบางทีก็ย่อยไม่ค่อยได้ แล้วก็เป็นโรคลำไส้อักเสบ และท้องผูกด้วย ระบบขับถ่ายไม่ดีเลย ยิ่งถ้ากินอะไรที่เสี่ยงต่อระบบย่อยและขับถ่ายก็จะยิ่งไปกันใหญ่ ท้องจะอืดมาก เลยหันมากินผักให้มากขึ้น ใครบอกว่าผักที่ไหนอร่อยสดก็จะไปหามากินเลย อย่างผักออร์แกนิกส์ และสวนผักน้ำอาหารจานโปรดจะเป็นสลัดทูน่า และซีซาร์สลัด แต่ไม่เอาผงชีส ขนมปังกรอบ และเบคอน แล้วก็เน้นกินปลาค่ะ แรกๆ ทำใจไม่ได้เพราะรู้สึกว่ากินหมูกินไก่อร่อยกว่า ก็จะกินปลาทอด หลังๆ มาก็กินปลานึ่ง อย่างปลานึ่งมะนาว เพราะเป็นคนอ้วนง่าย จุ๋ยต้องรักษาสุขภาพและความงามควบคู่กัน”

“กินให้หลากหลายแต่ลดปริมาณลง เพื่อให้ร่างกายไม่ต้องชินกับการย่อยอย่างใดอย่างหนึ่งมากจนเกินไป จุ๋ยว่าร่างกายเราเป็นสิ่งมหัศจรรย์นะ มีความจำ ถ้าไม่กินเลยก็จะย่อยไม่ได้ เพียงแต่เราพยายามเลือกสิ่งที่ดีที่สุด เช่น ประเภทคาร์โบไฮเดรต จุ๋ยเลือกข้าวกล้อง ถ้าบางคนไม่ชินกับข้าวกล้องก็ผสมข้าวขาวก่อน และบางประเภทที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายก็กินให้น้อย หรือเลี่ยงไปเลย คือ น้ำมัน กับน้ำตาล”

การกินสำหรับคุณจุ๋ยจึงเป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้ และจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีพฤติกรรมการกินที่ดีแบบถาวร “อาหารการกินเป็นสิ่งสำคัญมากนะ ต้องดูแลพฤติกรรมการกินให้ดี และควรเริ่มตั้งแต่เด็กๆ ใส่ใจตั้งแต่วัยรุ่นจะดีกว่า คนเราจะดูดีแต่ภายนอกอย่างเดียวไม่ได้ ตอนนี้จุ๋ยก็เปลี่ยนพฤติกรรมได้อย่างถาวรแล้ว ต่อให้เอาขนมปังมาไว้ตรงหน้าก็ไม่อยากกินแล้ว รู้สึกไม่สบายตัวชอบกินผักมากกว่า”

โยเกิร์ต...ตัวช่วยสบายท้อง

ตัวช่วยที่ดีที่ทำให้ระบบการย่อยและระบบขับถ่ายของเธอดีขึ้น ก็คือการกินโยเกิต ซึ่งต้องใส่ใจดูรายละเอียดก่อนซื้อ และผลลัพธ์ของการกินก็คือระบบย่อยกับระบบขับถ่ายดีขึ้นมาก ทั้งยังช่วยให้อิ่มท้องได้ดีด้วย

“อีกอย่างหนึ่งที่ช่วยให้เข้าห้องน้ำได้ดีคือโยเกิต จุ๋ยกินประจำ ชอบกินรสธรรมชาติกับรสสตอเบอรี่เป็นพิเศษ จะมีมีติดบ้านไว้ตลอดเลยค่ะ ไม่ต่ำกว่า 10 ถ้วย เวลาซื้อก็จะดูจำนวนกิโลแคลอรี่ พยายามไม่ให้เกิน 1500 กิโลแคลอรี่ และดูวันเดือนปีที่ผลิตกับวันหมดอายุด้วย กินแล้วช่วยย่อย และเพิ่มจุลินทรีย์บางชนิดเข้าไป ถ้ากินก่อนข้าวจะทำให้อิ่มเร็วขึ้น หรือทานข้าวไปแล้ว ถ้าไม่อยากกินมากเกินไป แต่ยังไม่อิ่มก็กินโยเกิตตาม จะอิ่มพอดี แต่ไม่แนะนำให้กินแทนข้าวเพื่อลดความอ้วน เพราะไม่นานก็จะกลับมาอ้วนอีกเพราะร่างกายต้องการสารอาหารอื่นด้วย”

ดื่มน้ำเพื่อท้องและผิว

นอกจากนี้การดื่มน้ำให้มากขึ้นยังทำให้ปัญหาสุขภาพของเธอหายเป็นปลิดทิ้ง รวมถึงผิวพรรณก็ผ่องใสขึ้น

“จริงๆ แล้วเป็นคนไม่ค่อยดื่มน้ำเลย แต่ตอนนี้คุณแม่บอกว่าดื่มน้ำสำคัญมาก จุ๋ยเลยดื่มน้ำให้มากขึ้น ตอนตื่นนอนดื่ม 2 แก้ว ก่อนนอนดื่มครึ่งขวด 500 มิลลิลิตร และดื่มอีกระหว่างวัน ซึ่งรู้สึกดีมากๆ เลยค่ะ ทำให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น และผิวก็ดีขึ้นด้วย ไม่หมอง สดใส และหน้าตาดูสดชื่น เพราะร่างกายเรามีน้ำเพียงพอ”

กินอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น กินอาหารให้หลากหลายโดยลดปริมาณบางอย่างลง กินโยเกิร์ต และดื่มน้ำให้มากขึ้น (ในกรณีที่มีนิสัยดื่มน้ำน้อย) กินแบบนี้...ในเร็ววันนี้เป็นสาวสุขภาพดีแบบคุณจุ๋ยแน่นอนค่ะ

Startip : คุณจุ๋ยบอกเคล็ดลับการกินที่ไม่อ้วน และดีต่อกระเพาะว่า “เมื่อก่อนจุ๋ยกินเร็วมาก ทำให้กินเยอะ เพราะกระเพาะยังไม่สั่งงานให้รู้อิ่ม และปวดท้องเพราะกระเพาะย่อยไม่ทัน แต่ตอนนี้กินช้าลง ถ้าเราค่อยๆ กินให้ช้า กระเพาะจะมีระยะเวลาสั่งสมองว่าอิ่มแล้ว และไม่ทำงานหนักมากเกินไป ย่อยอาหารได้ดี”

น.ส.นุชรินทร์ จันต๊ะพรม เลขที่ 6

มารู้จักสิวผดกัน

สิวผด (Acne Estivalis) จัดเป็นสิวประเภทหนึ่ง ที่พบได้บ่อยๆ มีลักษณะคล้ายผดผื่นเล็กๆและแหลม โดยพบว่า มักจะดูเรียบหรือดีขึ้นในตอนเช้า และจะเห่อๆ ในตอนบ่ายๆ ผื่นอาจมีสีแดงและคันได้ หากผู้ป่วยล้างหน้าบ่อยขึ้น มักเป็นมากขึ้น และหากรักษาไม่ถูกต้องจะเป็นมากขึ้น บริเวณที่พบได้บ่อยๆ คือ บริเวณใบหน้า โดยเฉพาะ หน้าผาก ขมับ ( ดูภาพประกอบ) ลองมาทำความรู้จักกับสิวผดกันหน่อยนะครับ

สาเหตุ : มีได้หลายสาเหตุ ที่พบบ่อย มีได้ดังนี้

1. สาเหตุจากความร้อน

2. แสงแดด

3. การเช็ดถูหน้าบ่อยๆ หรือ การเช็ดถูหน้าแรงๆ

4. เครื่องสำอางบางประเภท

5. บางครั้ง เชื่อว่า เชื้อรา P.OVALE มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

การป้องกันและแก้ไข:

1. ลดการรบกวนต่อผิวหน้าให้น้อยที่สุด (Mechanical Irritation) เช่น การนวดหน้า, การขัดหน้า, หรือเช็ดถูหน้าบ่อยๆ

2. ล้างหน้าเฉพาะที่จำเป็น หรือบริเวณที่ผิวมัน เพราะ การล้างหน้าบ่อยๆ จะทำให้สิวผด รุนแรงมากขึ้นได้

3. ลด หรือหลีกเลี่ยง การใช้ครีมหรือยาที่ทำให้ผิวหน้าระคายเคืองมากขึ้น (Chemical Irritation) เช่น การใช้ยารักษาสิวประเภท Retinoic Acid, Benzoyel Peroxide AHA, BHA เป็นต้น

4. ควรล้างหน้าด้วยน้ำเปล่า, หลีกเลี่ยงการใช้สบู่ และไม่ควรใช้น้ำอุ่นล้างหน้า และควรล้างหน้าไม่เกิน 2-3 ครั้งต่อวัน

5. ควรหลีกเลี่ยงแสงแดด และใช้ครีมกันแดดทุกครั้งที่ต้องออกนอกบ้าน ควรเลือกกันแดดที่มี SPF >15-30 และมีค่า PA++ เป็นอย่างน้อย

6. ไม่ควรซื้อยามารักษาผื่นเอง เพราะมักทำให้เป็นมากขึ้น และยาที่หาซื้อได้จากร้านขายยา มักเป็น STEROID ซึ่งมีผลข้างเคียงมาก

7. ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังที่มีความชำนาญ เพื่อหาสาเหตุ และพร้อมทั้งการแก้ไขและรักษาที่ถูกต้องต่อไป

การพยากรณ์โรค:

สิวผดเป็นสิวที่ขึ้นง่าย หายเร็ว มักไม่อักเสบเป็นหัวหนอง หรือสิวอุดตัน แต่มักจะเกิดขึ้นบ่อยๆ จนเป็นที่รำคาญ การได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ผิวหนัง จะทำให้สิวผดหายเร็ว และสามารถป้องกันไม่ให้ขึ้นมาอีกได้ ในระยะยาว

ชิดชนก 47322905 (ภาคค่ำ)

วิตามินซี" เพื่อสุขภาพ

 

 

มาทำความรู้จักกับ วิตามินซีกับบทบาทสำคัญ ... คุณสมบัติที่โดดเด่นของวิตามินซี ก็คือ ความเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) นั่นเอง โดยประโยชน์หลักๆ เมื่อร่างกายได้รับวิตามินซีเป็นประจำ คือ เพิ่มภูมิต้านทานแก่ร่างกาย ป้องกันการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง บำรุงผิวพรรณหรือชะลอความแก่ ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันหรือเหงือกอักเสบ ในทางกลับกัน หากร่างกายเราขาด วิตามินซีหรือมีปริมาณวิตามินซีน้อยเกินไป อาจส่งผลทำให้เกิดอาหารเหล่านี้ได้

 

- เป็นหวัดง่าย ภูมิต้านทานโรคและความสามารถในการกำจัดพิษลดลง
- ผิวหนังขาดความยืดหยุ่น เกิดจุดด่างดำ ฝ้า มีเลือดออกตามไรฟัน
- อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง ประสาทสัมผัสด้อยลง
- มีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะ ตับ และส่วนอื่นๆ
- ประสิทธิภาพของต่อมหมวกไตลดลง เป็นภูมิแพ้ได้ง่าย
- เป็นโรคโลหิตจาง หรือโรคต่างๆ ง่าย บาดแผลหายยาก หากขาดมากจะเป็นโรค โลหิตเป็นพิษ
- เกิดโรคลักปิดลักเปิด

 

สำหรับผู้ที่กำลังกลุ้มใจ เพราะไม่รู้ว่าจะหาวิตามินซีมาทานได้จากที่ไหน ... อยากจะบอกว่า ความจริงแล้วแหล่งของวิตามินซี เราสามารถหาได้จาก อาหารที่มีอยู่ในธรรมชาติทั่วไป แต่แหล่งที่มีมาก คือ ผักสดและผลไม้ต่างๆ โดยเทียบง่ายๆ จากประเภทของอาหาร (100 กรัม) และวิตามินซี (มิลลิกรัม)


ดังนั้น มะขามป้อม 276, ฝรั่ง 160, พุทรา 154, มะขามเทศ 133, มะปรางสุก 107, มะละกอสุก 73,แคนตาลูป 33, มะนาว 25 และมะยม 8

 

อย่างไรก็ตาม พึงตระหนักไว้ว่าวิตามินซีเป็นวิตามินที่มีความสำคัญเช่นเดียวกับวิตามินอื่นๆ และร่างกายไม่สามารถผลิตขึ้นได้เอง ดังนั้น ทุกคนจึงควรบริโภควิตามินซี แต่จะมากหรือน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับความต้องของแต่ละบุคคล

 

สาธิยา พงษ์ไพรวัน เลขที่82cmruวิทย์ออก

สูตรอาหารลดน้ำหนัก ลดความอ้วนของสมเด็จพระเทพ และสูตรอื่นๆ !

สูตรลดน้ำหนักของสมเด็จพระเทพฯ

**ก่อนรับประทานอาหารควรดื่มน้ำก่อน 2 แก้ว**

วันแรก

มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือโยเกริต์ มื้อกลางวัน : ไข่ต้มสองฟอง มื้อเย็น : สลัดผัก

วันที่สอง

มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม มื้อกลางวัน : ไข่ต้มสองฟอง มื้อเย็น : โยเกริต์

วันที่สาม

มื้อเช้า : โยเกริต์หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม มื้อกลางวัน : เกาเหลาลูกชิ้นหมู มื้อเย็น : สับปะรด 1 ชิ้น

วันที่สี่

มื้อเช้า : ขนมปัง 1 แผ่น น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม มื้อกลางวัน : สลัดผักและไก่ย่าง 1 ชิ้น มื้อเย็น : โยเกริต์

วันที่ห้า

มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม มื้อกลางวัน : ส้มตำและไก่ย่าง 1 ชิ้น มื้อเย็น : สลัดผัก

วันที่หก

มื้อเช้า : น้ำผลไม้หรือกาแฟไม่ใส่น้ำตาลไม่ใส่ครีม มื้อกลางวัน : ปลานึ่งหรือปลาเผา มื้อเย็น : นมสด

วันที่เจ็ด

มื้อเช้า : ข้าวสวย 1 ทัพพี และหมูย่าง 1 ชิ้น หรือ ข้าวสวย 1 ทัพพี และไข่ต้ม 1 ลูก มื้อกลางวัน : เกาเหลาลูกชิ้นหมู มื้อเย็น : สับปะรด 1 ชิ้น

วันที่แปด

มื้อเช้า มื้อกลางวัน มื้อเย็น : ให้รับประทานอะไรก็ได้ตามใจชอบ แต่ถ้าอยากลดน้ำหนักต่อให้เริ่มทำตั้งแต่วันแรก

อาหารประเภทไหนที่ควรมีไว้ในตู้เย็น

- น้ำเปล่า

"น้ำ" ถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการดำรงชีวิต ช่วยทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเป็นไม่อย่างปกติ ช่วยให้การไหลเวียนของโลหิตดี หัวใจทำงานปกติและมีประสิทธิภาพแข็งแรงขึ้น รวมทั้งช่วยให้การขับถ่ายของเสียทำงานได้ดี ที่สำคัญยังช่วยให้ผิวชุ่มชื่น โดยน้ำที่เหมาะแก่การดื่มคือน้ำอุณหภูมิปกติ

- ผัก

"ผัก" ถือเป็นอาหารที่มีคุณค่ามาก เพราะมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการ อาทิ วิตามิน เกลือแร่ อยู่เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ในผักยังมี "ใยพืช" (Fiber) ซึ่งช่วยกระตุ้นลำไส้ให้ทำงานดีขึ้น ทำให้ท้องไม่ผูก ป้องกันโรคริดสีดวงทวาร โรคมะเร็งลำไส้

- ไข่ไก่

"ไข่ไก่" เพราะในไข่ไก่มีทั้งโปรตีนและกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย 9 ชนิด ทั้งยังมีวิตามินกับเกลือแร่อีกหลายชนิด เช่น วิตามินเอ , บี, ดี และ อี ธาตุเหล็ก , สังกะสี, ซีลีเนียม และไอโอดีน ส่วนใครที่เคยเชื่อมาผิด ๆ ว่าทานไข่แล้วจะเสี่ยงกับความอ้วนนั้น คุณเข้าใจผิด เพราะโคเลสเตอรอลในไข่แดงมีประมาณ 230 มิลลิกรัมต่อฟอง ซึ่งนับว่าปลอดภัยกว่าการกินเนย แป้ง น้ำตาล และเนื้อสัตว์ติดมันมาก

- นม

"นม" ในที่นี้จะเป็นประเภทใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นนมวัว นมถั่วเหลือง หรือนมเปรี้ยว เพราะทุกประเภทล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าเราต้องอ่านฉลากข้างกล่องหรือขวดให้ดีก่อนจะซื้อมาเก็บไว้ในตู้ เย็น เพราะในนมแต่ละยี่ห้อแต่ละสูตรก็จะมีปริมาณน้ำนมและสารปรุงแต่งไม่เท่ากัน สำหรับคนที่ไม่มีปัญหาในเรื่องระบบย่อยอาหารคุณควรดื่มนมวัว เพราะในนมวัวมีแคลเซียมและโปรตีนซึ่งมีความสมบูรณ์ของกรดอะมิโนดีกว่าโปรตีน จากถั่วเหลือง

- เนื้อปลา

"เนื้อปลา" เพราะโปรตีนจากเนื้อปลามีไขมันต่ำ ย่อยง่าย และมีสาอาหาร คือ กรดโอเมก้า 3 ซึ่งมีกรด DHA และกรด EPA โดย DHA จะช่วยบำรุงเซลล์สมอง เซลล์ประสาท และเรตินาในดวงตา ส่วนกรด EPA ช่วยควบคุมระดับโคเลสเตอรอล และลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ในร่างกาย จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้

- ผลไม้รสเปรี้ยว

ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม , มะม่วง,ฝรั่ง, กีวี่ ,ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เพราะผลไม้ประเภทนี้จะมีวิตามินซีสูง (แถมยังปลอดภัยจากความอ้วนกว่าผลไม้รสหวานที่มีน้ำตาลมาก) ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของภูมิต้านทานโรค ช่วยลดระดับไขมันที่จะไปพอกพูนเส้นเลือดในร่างกายแล้วทำให้หลอดเลือดอุดตัน ทั้งยังช่วยควบคุมโคเลสเตอรอล และป้องกันการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี ที่สำคัญวิตามินซีทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นเหตุของการเสื่อมของร่างกายอีกด้วย

- โยเกิร์ต

"โยเกิร์ต" มีวิตามิน ได้แก่ วิตามิน เอ, บี1, บี2, บี3, บี6, บี12, ดี, อี มีกรดที่ช่วยในการดูดซึมโปรตีน แคลเซียมและเหล็กเข้าสู่ร่างกาย ช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร และระบบการขับถ่าย ช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือด ช่วยบำรุงผิวพรรณ แต่ก่อนซื้อต้องอ่านฉลากให้ดีก่อนว่าในโยเกิร์ตรสและยี่ห้อนั้น ๆ มีส่วนประกอบและคุณค่าทางอาหารอะไรบ้าง แนะนำว่าโยเกิร์ตธรรมชาติที่มีน้ำตาลน้อยดีที่สุด

- แอปเปิ้ล

แอปเปิ้ลมีสารอาหารที่มีประโยชน์หลายชนิด อาทิ สารเบตาแคโรทีน วิตามินซี นอกจากนี้แอปเปิ้ลยังเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยมาก ซึ่งจะทำหน้าที่ทำความสะอาดลำไส้ ช่วยให้ตับและระบบย่อยทำงานได้ดียิ่งขึ้น และถ้าอยากได้คุณค่าเต็มเปี่ยมแนะนำให้ทานแอปเปิ้ลทั้งเปลือก เพราะเปลือกของแอปเปิ้ลแดง 1 ผลนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระเทียบเท่ากับวิตามินซี 820 มิลลิกรัม

- ถั่ว

“ถั่ว” ถือเป็นโปรตีนจากพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูงไม่แพ้โปรตีนจากเนื้อสัตว์เชียว ดังนั้นคนที่อยู่ในช่วงทานเจหรือมังสวิรัติแต่ไม่อยากให้ร่างกายขาดโปรตีน ถั่วจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด และที่สำคัญถั่วยังอุดมไปด้วยวิตามินที่สำคัญต่อการเจริญเติบโตของผิวหนัง ผม การควบคุมความดันโลหิต ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบการแข็งตัวของเลือด นอกจากนี้ไขมันไม่อิ่มตัวในถั่วจะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอล

- ธัญพืช

"ธัญพืช" จำพวกข้าวโพด , ลูกเดือย ,งา ,ข่าวฟ่าง,เมล็ดทานตะวัน, จมูกข้าว, รำจ้าว (ชนิดที่อบกรอบพร้อมทาน) ติดตู้เย็นไว้จะช่วยให้คุณประหยัดเวลาได้มากทั้งยังดีต่อสุขภาพ โดยในธัญพืชจะมีคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ต้องใช้เวลาในการย่อย ทำให้น้ำตาลในเลือดไม่ขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว จึงไม่ทำเกิดเป็นโรคเบาหวานตามมาในภายหลัง (ต่างจากแป้งขัดขาวซึ่งน้ำตาลจะถูกย่อยเร็ว) นอกจากนี้ธัญพืชยังเปี่ยมด้วยวิตามิน เกลือแร่ และไฟเบอร์

รู้อย่างนี้แล้ว ลองหาอาหารแต่ละชนิดมาติดไว้ในตู้เย็น เพื่อสุขภาพที่ดี.

น.ส.ปาริชาติ กันทะวงค์ เลขที่10 มฟาร์อีสเทอร์น

ประโยชน์ของพริก

พริก...ช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด ช่วยให้ระบบการหายใจสะดวกสบายยิ่งขึ้น สารแคปไซซินที่อยู่ในพริกมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำมูกหรือลดปริมาณสารที่ขัดขวางระบบการหายใจ ในผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด ไซนัส หรือโรคภูมิแพ้ต่างๆ ช่วยบรรเทาอาการไอ สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของตัวยาหลายๆ ชนิด นอกจากนั้นสารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยป้องกันการติดเชื้อต่างๆ ในบริเวณเนื้อเยื่อบุผนังช่องปาก จมูก ลำคอ และปอด

พริก...ช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด หรือการเสียชีวิตอันเนื่องมาจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน การบริโภคพริกเป็นประจำจะช่วยลดอัตราความเสี่ยงจากการอุดตันของเส้นเลือด นับเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคหัวใจล้มเหลว เนื่องจากพริกช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นและช่วยลดความดัน เพราะว่าในพริกมีสารจำพวกเบตาแคโรทีนและวิตามินซี ซึ่งช่วยเสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรงเพิ่มการยืดตัวของผนังหลอดเลือด ทำให้ปรับตัวเข้ากับแรงดันระดับต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น

พริก...ช่วยลดปริมาณสารคอเลสเตอรอล สารแคปไซซินช่วยป้องกันมิให้ตับสร้างคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL-Low density lipoprotein) ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้มีการสร้างคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-high density lipoprotein) มากขึ้น ทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือดต่ำลง เป็นผลดีต่อสุขภาพของผู้บริโภค

พริก...ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง เนื่องจากพริกเป็นพืชผักที่มีวิตามินซีสูง การบริโภคอาหารที่มีวิตามินซีมากๆ จะช่วยปกป้องการเกิดโรคมะเร็งได้ วิตามินซียับยั้งการสร้างไนโตรซามีนซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร วิตามินซีช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นส่วนประกอบของกระดูกอ่อน รวมถึงเป็นส่วนประกอบของผิวหนัง กล้ามเนื้อและปอด คอลลาเจนเป็นโปรตีนที่สามารถหยุดการแพร่กระจายของเซลล์เนื้อร้ายได้

นอกจากนี้ วิตามินซียังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) คือสามารถยุติหรือขัดขวางบทบาทของอนุมูลอิสระ (free radicals) ที่จะก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์จนเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด สารเบตาแคโรทีนในพริกช่วยลดอัตราการเสี่ยงของโรคมะเร็งในปอด และในช่องปาก คนที่รับประทานผักที่มีสารเบตาแคโรทีนน้อย จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งมากกว่าคนที่รับประทานผักที่มีเบตาแคโรทีนสูงถึง 7 เท่า

คุณสมบัติของสารเบตาแคโรทีนจะช่วยลดอัตราการกลายพันธุ์ของเซลล์และทำลายเซลล์มะเร็ง สำหรับพริกบางชนิดที่มีสีม่วงจะมีสารพวกแอนโทไซยานิน ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ คือ สามารถทำลายอนุมูลอิสระได้เช่นกัน

พริก...ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด เช่น ลดอาการปวดฟัน บรรเทาอาการเจ็บคอ และการอักเสบของผิวหนัง เป็นต้น ในปัจจุบันมีการใช้สารแคปไซซินเป็นส่วนประกอบของขี้ผึ้ง ใช้บรรเทาอาการปวดอันเนื่องมาจากผดผื่นคันและอาการผื่นแดงบริเวณผิวหนัง รวมทั้งอาการปวดที่เกิดจากเส้นเอ็น โรคเกาต์ หรือโรคข้อต่ออักเสบ เป็นต้น นอกจากนี้ผลการทดลองใหม่ๆยังบ่งชี้ว่าสารแคปไซซินช่วยลดอาการปวดศีรษะและไมเกรนลงได้

พริก...ช่วยเสริมสร้างสุขภาพและอารมณ์ดี เนื่องจากสารแคปไซซินมีส่วนในการส่งสัญญาณให้ต่อมใต้สมองสร้างสาร เอนดอร์ฟิน (endorphin มาจากคำว่า endogenous morphine) ขึ้น สารเอนดอร์ฟินเป็นเปปไทด์ขนาดเล็ก (โปรตีนสายสั้นๆ) มีคุณสมบัติคล้ายมอร์ฟีน คือ บรรเทาอาการเจ็บปวด ในขณะเดียวกันก็สร้างอารมณ์ให้ดีขึ้น ยิ่งรับประทานเข้าไปมากเท่าใด ร่างกายก็จะสร้างเอนดอร์ฟินขึ้นมามากขึ้นเท่านั้น ปกติร่างกายของคนเราจะสร้างสารเอนดอร์ฟินขึ้นภายหลังการออกกำลังกาย ดังนั้นการออกกำลังกายแม้จะทำให้ร่างกายเมื่อยล้า แต่ผู้ออกกำลังกายจะรู้สึกสดชื่นแจ่มใส

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)เลขที่ 33

การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพคืออะไร

คือ การออกกำลังกายเพื่อเพิ่ม หรือคงไว้ซึ่งความทนทานของระบบไหลเวียน

โลหิตและปอด โดยมีขบวนการใช้ออกซิเจน ในขบวนการเผาผลาญ เพื่อให้

เกิดพลังงานสำหรับการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง จึงมีชื่อเรียกการออก

กำลังกายชนิดนี้ว่า AEROBIC EXERCISE

ประโยชน์ต่อสุขภาพ

1. ระบบไหลเวียนโลหิต

1.1 ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงมากขึ้น สามารถสูบฉีดโลหิตได้ปริมาณ

มากขึ้น

1.2 เพิ่มหลอดโลหิตฝอยมาเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจมากขึ้น

1.3 ลดอัตราการเต้นของหัวใจ ทั้งในขณะพัก และออกกำลังกาย ทำให้ไม่

เหนื่อยง่าย

1.4 ลดแรงต้านทานส่วนปลายของหลอดโลหิตฝอยทำให้ความดันโลหิตลดลง

ทั้งขณะพัก และออกกำลังกายลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิต

สูง

2. ระบบหายใจ

2.1 ความจุปอดเพิ่มขึ้น ทำให้การแลกเปลี่ยนออกซิเจนมากขึ้น

2.2 เพิ่มปริมาณโลหิตไปสู่ปอด ทำให้การไหลเวียนของปอดดีขึ้น

2.3 เพิ่มประสิทธิภาพในการแลกเปลี่ยนก๊าซที่ปอด ทำให้ประสิทธิภาพการ

หายใจดีขึ้น

3. ระบบชีวเคมีในเลือด

3.1 ลดปริมาณคอเลสเตอรอล (Cholesterol) และไตรกลีเซอไรด์

(Triglyceride) จึงลดอัตราเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน และ

โรคหลอดเลือดสมองอุดตัน

3.2 เพิ่ม HDL Cholesterol ซึ่งช่วยลดการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน

3.3 ลดน้ำตาลส่วนเกินในเลือด เป็นการช่วยป้องกันโรคเบาหวาน

4. ระบบประสาทและจิตใจ

4.1 ลดความวิตกกังวลและคลายความเครียด

4.2 มีความสุขและรู้สึกสบายใจจากสาร Endorphin ที่หลั่งออกมาจาก

สมองขณะออกกำลังกาย

ขั้นตอนและหลักในการปฏิบัติ

ถ้ามีอายุมากกว่า 35 ปี ควรตรวจสุขภาพ ว่ามีโรคหัวใจหรือไม่ก่อน

การออกกำลังกายชนิดนี้ ควรรู้วิธีเหยียดและยืดกล้ามเนื้อ รวมทั้งอุ่นเครื่อง

(Warm up) และเบาเครื่อง (Cool down) หลักในการปฏิบัติ เป็นการใช้

กล้ามเนื้อมัดใหญ่อย่างน้อย 1 ใน 6 ส่วนของร่างกาย ออกกำลังอย่างสม่ำ

เสมอ

คำศัพท์

Frequency (F) หมายถึงความถี่ในการออกกำลังกายใน 1 สัปดาห์ อย่าง

น้อย 3 วัน อย่างมาก 6 วัน

Intensity (I) หมายถึงความหนักในการออกกำลังกาย ใช้อัตราการเต้น

ของชีพจรเป็นเกณฑ์ ให้ได้ประมาณระหว่างร้อยละ 70-90 ของอัตราเต้น

สูงสุดของหัวใจ ซึ่งสามารถคำนวนได้จากการนำอายุไปลบออกจากเลข 220

ตัวอย่างเช่น ชายอายุ 20 ปี จะใช้ความหนักในการออกกำลังกายชนิดนี้เท่า

ใด

คำตอบคือ (220-20)x 70 ถึง 90 หาร 100 เท่ากับ 140 ถึง 180 ครั้งต่อนาที

Time (T) หมายถึง ช่วงเวลาในการออกกำลังกายในแต่ละวัน อย่างน้อย

10-15 นาที ใน 6 วัน อย่างมาก 30-45 นาทีใน 3 วัน

รูปแบบการออกกำลังกาย

มีหลากหลายชนิดเช่น วิ่งเหยาะ, เดินเร็ว, ขี่จักรยาน, ว่ายน้ำ, เต้นแอโรบิค,

ฟุตบอล, บาสเก็ตบอล, เทนนิส, แบดมินตัน, ตระกร้อข้ามตาข่าย, วอลเลย์

บอล เป็นต้น

ข้อควรระวัง

ควรงดการออกกำลังกาย ในขณะเจ็บป่วย มีไข้ พักผ่อนไม่พอควรออกกำลัง

กายก่อนอาหารหรือหลังอาหารหนักผ่านไป 3-4 ชั่วโมง และดื่มน้ำอย่างเพียง

พอ ควรหลีกเลี่ยงสภาพอากาศที่ร้อนจัด หนาวจัด ฝนฟ้าคะนอง มลภาวะมาก

สวมเสื้อผ้าที่เหมาะสมควรพักหากมีอาการแน่นหน้าอก คลื่นไส้ อาเจียน

และไปพบแพทย์

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์) 006 เลขที่ 30

ดูแลรักษาร่างกาย และของใช้ให้สะอาด

อาบน้ำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง

การอาบน้ำให้สะอาด จะต้องใช้สบู่ฟอกทุกส่วนของร่างกายให้ทั่ว และมีการขัดถูขี้ไคล บริเวณลำคอ รักแร้ แขนขา ง่ามนิ้วมือ ง่ามนิ้วเท้า ขาหนีบ โดยเฉพาะอวัยวะเพศ ต้องรักษาความสะอาดเป็นพิเศษ หลังจากนั้นล้างด้วยน้ำ และเช็ดตัวให้แห้ง ด้วยผ้าที่สะอาด จะช่วยให้ร่างกายสะอาด และสดชื่น

สระผม อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง

การสระผมช่วยให้ผสม และหนังศีรษะสะอาด ไม่สกปรก หรือมีกลิ่นเหม็น โยใช้สบู่ หรือแชมพูสระผมจนสะอาด แล้วเช็ดผมให้แห้ง หร้อมทั้งหวีผมให้เรียบร้อย การหมั่นหวีผม จะช่วยนวดศีรษะให้เลือดมาเลี้ยงศีรษะมากขึ้น และต้องล้างหวี หรือแปรงให้สะอาดเสมอ การไม่สระผม หรือสระผมไม่สะอาด ทำให้เป็นชันนะตุ รังแค และเกิดอาการคัน เกิดโรคผิวหนัง และเชื้อราบนหนังศีรษะ ทำให้เกิดผมร่วง และเสียบุคลิกภาพ

การรักษาอนามัยของดวงตา

ดวงตาเป็นอวัยวะสำคัญ เราควรหวงแหน และให้ความเอาใจใส่ ควรปฏิบัติดังนี้

อ่าน หรือเขียนหนังสือในระยะห่างประมาณ 1 ฟุต โดยมีแสงสว่างเพียงพอ แสงเข้าทางด้านซ้าย หรือตรงข้ามกับมือที่ถนัด หากรู้สึกเพลียสายตา ควรพักผ่อนสายตา โดยการหลับตา หรือมองไปไกลๆ ชั่วครู่

ดูโทรทัศน์ในระยะห่างอย่างน้อย 1 เมตรครึ่ง

บำรุงสายตาด้วยการรับประทานอาหารที่มีคุณค่า เช่น มะละกอสุก ฟักทอง และผักบุ้ง เป็นต้น

ใส่แว่นกันแดด ถ้าจำเป็นต้องมองในที่ๆ มีแสงสว่างมากเกินไป

ตรวจสายตาอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยแผ่นทดสอบสายตา (E-Chart) ถ้าสายตาผิดปกติ ให้พบจักษุแพทย์ เพื่อตรวจสอบ และประกอบแว่นสายตา

การรักษาอนามัยของหู

หูเป็นอวัยวะที่สำคัญอย่างหนึ่งของร่างกาย ที่จะต้องเอาใจใส่ดูแลให้ถูกต้อง ดังนี้

เช็ด บริเวณใบหู และรูหู เท่าที่นิ้วจะเข้าไปได้ ห้ามใช้ของแข็งแคะเขี่ยใบหู รูหู

คนที่มีประวัติว่า มีการอักเสบของหู ต้องระวังไม่ให้น้ำเข้าหูเด็ดขาด

หากมีน้ำเข้าหู ให้เอียงหูข้างนั้นลง น้ำจะค่อยๆ ไหลออกมาได้เอง หรือใช้ไม้พันสำลีเช็ดบริเวณช่องหูด้านนอก

ถ้าเป็นหวัด ไม่ควรสั่งน้ำมูกแรงๆ เพราะจะทำให้เชื้อโรคจากจมูก หรือคอ ถูกดันเข้าไปในหูชั้นกลาง ทำให้เกิดการติดเชื้อ และเกิดเป็นโรคหูน้ำหนวก

เมื่อมีแมลงเข้าหู อย่าพยายามแคะ ให้ใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันพืช หยอดหูทิ้งไว้ชั่วขณะ แมลงจะเคลื่อนไหวไม่ได้ และตายในที่สุด ควรพบแพทย์เพื่อเอาแมลงออก

หลีกเลี่ยงจากการถูกกระทบกระแทกหูโดยแรง หรือการตบหู เพราะจะทำให้แก้วหู และกระดูกภายในหูหลุด เกิดการสูญเสียการได้ยินตามมา รวมทั้งการหลีเลี่ยงเสียงอึกทึก และเสียงดังมากๆ อาจทำให้หูพิการได้

ต้องรู้จักสังเกตอาการผิดปกติของหู และการได้ยินอยู่เสมอ หากมีอาการผิดปกติ เช่น รู้สึกปวดหู เจ็บหู คันหู หูอื้อ มีน้ำหรือหนองไหลจากหู เวียนศีรษะ มีเสียงดังรบกวนในหู การได้ยินเสียงน้อยลง หรือได้ยินไม่ชัด ต้องรีบไปพบแพทย์เฉพาะทาง หู คอ จมูก ทันที

การรักษาอนามัยของจมูก ข้อควรปฏิบัติดังนี้

ไม่ถอนขนจมูก เพราะจะทำให้จมูกอักเสบได้

ถ้าเป็นหวัดเรื้อรัง หรือมีเลือดกำเดาออกบ่อยๆ ต้องพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา

ห้ามใส่เมล็ดผลไม้ หรือสิ่งแปลกปลอมอื่นเข้าไปในรูจมูก

การไอหรือจาม ต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปาก จมูก เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรคในอาการ เป็นผลให้ผู้อื่นติดโรคได้

ต้องสั่งน้ำมูก ใส่ในผ้า หรือกระดาษเช็ดหน้าที่สะอาด

ตัดเล็บมือเล็บเท้าให้สั้นอยู่เสมอ

มือและเท้าเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่สำคัญ ต้องมีการดูแลรักษา ไม่ปล่อยให้เล็บมือเล็บเท้ายาว การปล่อยให้เล็บยาว โดยไม่ดูแลความสะอาด จะทำให้เชื้อโรคที่สะสมอยู่ตามซอกเล็บ ติดไปกับอาหาร เป็นการนำเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายทาปากโดยตรง ทำให้เกิดโรคอุจจาระร่วง ก่อน และหลังรับประทานอาหาร และหลังจากเข้าส้วมแล้ว ต้องล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดทุกครั้ง และต้องสวมรองเท้าเมื่อออกจากบ้าน

ถ่ายอุจจาระเป็นเวลาทุกวัน

ควรฝึกขับถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลาทุกวัน ในตอนเช้า อย่าให้ท้องผูกบ่อยๆ เพราะจะทำให้เกิดโรคริดสีดวงทวาร และเป็นมะเร็งในลำไส้ใหญ่ได้

ใส่เสื้อผ้าที่สะอาด ไม่อับชื้น และให้ความอบอุ่นเพียงพอ

การรักษาความสะอาดของเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม และเครื่องนอนเป็นิส่งสำคัญ เสื้อผ้าที่ใช้แล้วทิ้ง ชั้นนอกและชั้นใน ต้องมีการทำความสะอาดด้วยสบู่ หรือผงซักฟอกทุกครั้ง นำไปผึ่งหรือตากแดดให้แห้ง ประการสำคัญ การสวมเสื้อผ้า ต้อใช้ให้เหมาะสมกับสภาพอากาศ ไม่ใส่เสื้อผ้าซ้ำๆ หรือซักไม่สะอาด อับชื้น เพราะจะทำให้เกิดโรคผิวหนังได้

นงนุช คำแปง เลขที่ 77

15 ผักและผลไม้ที่ผิวหน้าต้องการ

ว่านหางจระเข้

บำรุงผิว ป้องกันฝ้า ลบรอยจุดด่างดำ รักษาสิว

แตงกวา

ช่วยสมานผิว ลบรอยเหี่ยววววว ย่น

มะเขือเทศ

ช่ายสมานผิว ลบรอยเหี่ยววววว ย่นและจุดด่างดำ

ขมิ้นสด

บำรุงผิวหน้าผุดผ่องสดใสอ่อนวัย และช่วยให้สิวยุบเร็ว

กล้วยน้ำว้าสุก

บำรุงผิวนุ่มเนียนอ่อนวัย

หัวไชเท้า

ช่วยลดรอยฝ้าและกระให้จางหาย

ใบบัวบก

ลดรอยตีนกา

มะขามเปียก

บำรุงผิวหน้าขาวเนียน ลดรอยฝ้าจุดด่างดำ ชำระสิ่งสกปรก

กล้วยหอม

ลดรอยเหี่ยววววว ย่น ถนอมผิวหน้าให้ชุ่มชื่น

ทุเรียน

ลดปัญหาสิวเสี้ยน

มะนาว

ลดสีเข้มของกระบนใบหน้า

มะม่วงสุก

แก้ปัญหาฝ้าและสิว

มะเขือเทศ

รักษาสิวหัวดำ ป้องกันรูขุมขนอุดตัน ทำความสะอาดผิวหน้า

สับปะรด

บำรุงผิวหน้าขาวใส และช่วยขจัดเซลล์ตาย ให้หลุดออก

แตงโม

บำรุงผิวหน้าชุ่มชื่นสดใส

สาธิยา พงษ์ไพรวัน เลขที่ 88 CMRU

ปัญหาขอบตาดำ

ดวงตาเป็นหน้าต่างของดวงใจ เป็นประโยคที่ได้ยินเป็นประจำ การที่เราจะมองใครคนหนึ่งว่าสวยหรือไม่ ตาก็เป็นจุดที่สำคัญจุดหนึ่ง ถ้าใครมีดวงตาที่ผ่องใส ผิวหนังรอบตาไม่มีมลทิน ก็ทำให้หน้าดูสวยไปแล้วครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าใครมีปัญหาขอบตาคล้ำ ก็ทำให้ใบหน้าดูหมอง ไม่สดใส ความสวยงามก็ลดลงไปแล้ว ดังนั้น การรักษาผิวรอบดวงตาที่หมองคล้ำทำให้กลับมาสดใสจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ปัญหาใต้ตาคล้ำ เป็นสิ่งที่พบได้บ่อยๆ ในคนไทย ก่อนจะมาถึงการรักษา ควรจะต้องทราบถึงสาเหตุเสียก่อน เพื่อให้การรักษาได้ผลดีขึ้น และเป็นการป้องกันไม่ให้รอยดำเป็นมากขึ้น

สาเหตุของขอบตาดำ

ขอบตาดำ มีอยู่ด้วยกันหลายสาเหตุ บางคนมีสาเหตุจากหลายๆ สาเหตุ

- กรรมพันธุ์ ถ้าคนไทยมีขอบตาดำ แล้วลองหันไปมองญาติพี่น้อง พ่อแม่ของคุณดูว่าเป็นแบบเดียวกับที่คุณเป็นหรือไม่ ถ้าเป็นละก็ การรักษาและป้องกันอาจจะยาก

- ภูมิแพ้ คนที่เป็นภูมิแพ้ จะพบว่าเส้นเลือดดำที่อยู่รอบตาจะขยายใหญ่มากกว่าคนทั่วไป และเส้นเลือดดำเหล่านี้นี่เองที่เป็นสาเหตุให้ขอบตาของคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ดูคล้ำกว่าคนทั่วไป

- การระคายเคืองแถวๆ รอบตา เช่น การขยี้ตาบ่อยๆ เพราะการขยี้ตาจะกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีให้เพิ่มจำนวนขึ้นบริเวณนั้น

- แพ้ครีมทารอบดวงตา บางคนอาจแพ้สารบางอย่างในครีม ซึ่งไม่สามารถบอกได้ว่า ใครจะแพ้สารตัวใด ใครบ้างที่จะเป็น ถ้ารู้ว่าแพ้คงต้องหยุดการทาครีมดังกล่าว ถ้าไม่ทราบอาจต้องพึ่งการทดสอบว่าแพ้สารที่ต้องสงสัยหรือไม่

- อดนอน สาเหตุนี้เป็นสาเหตุที่พบบ่อยในสภาพสังคมปัจจุบัน ใครที่รู้ตัวว่าอดนอนบ่อยๆ หรือนอนดึก ก็ขอให้นอนเร็วขึ้น เพื่อที่ขอบตาจะได้ดูสดใสกว่าเดิม

- เป็นปานโอตะ ปานโอตะคือ เซลล์เม็ดสีที่อยู่ในชั้นหนังแท้ พบในบางคนที่มีความผิดปกติที่เซลล์สร้างเม็ดสีอยู่ผิดที่ ซึ่งมักพบบริเวณรอบๆ ตา โดยมากมักจะเป็นข้างเดียว แต่มีบางคนอาจเป็นได้ทั้ง 2 ข้าง ทำให้ขอบตาดูเขียวคล้ำ

การรักษาขอบตาดำ

ถ้าไม่ใจร้อน รักษาแบบได้ผลช้าๆ ก็ใช้เป็นยาทาใต้ตาที่มีส่วนผสมของ Whitening เช่น วิตามินซี แต่ถ้าต้องการให้เห็นผลดีมากขึ้น และได้ผลเร็วๆ การรักษาด้วยเลเซอร์ หรือเครื่องแสงเข้มข้น เป็นวิธีที่ได้ผลดี เลเซอร์ที่ใช้รักษาขอบตาดำได้ ที่นิยมมากที่สุดคือ Nd-yag laser นอกจากนี้เลเซอร์ตัวนี้ยังสามารถรักษาภาวะปานโอตะได้ด้วย หลังยิงเลเซอร์ ผิวบริเวณนั้นจะเป็นสะเก็ด และสะเก็ดจะหลุดออกภายใน 1-2 อาทิตย์ และผิวของตาที่คล้ำก็จะดูขาวขึ้น เครื่องแสงเข้มข้น คล้ายกับเลเซอร์ แต่ต่างกันที่หลังจากยิงเสร็จแล้วจะไม่เป็นแผล แต่อาจจะเป็นสะเก็ดฝอยๆ เล็กน้อย แต่เครื่องนี้ไม่สามารถรักษาภาวะปานโอตะได้

ขอบตาดำเป็นเรื่องที่ต้องรักษากันนาน และถ้าไม่รู้จักดูแลตัวเองให้ดี นอนหลับไม่เพียงพอ ไม่ช้าขอบตาก็กลับมาดำได้อีก ดังนั้น การดูแลเอาใจใส่รอบดวงตาเสียแต่เนิ่นๆ ก่อนที่จะเริ่มเป็นจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

สารอาหารที่ร่างกายต้องการเมื่อ­มีความเครียด

ร่างกายเราต้องการอาหารเหมือนกับรถยนต์ต้องการน้ำมันเพื่อใช้เป็นพลังงานในการ ขับเคลื่อน และน้ำมันเครื่องนั้นก็ต้องเหมาะสม เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานอย่างมี ประสิทธิภาพ และมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน แต่ในความเร่งรีบของชีวิตประจำวันอาจ ทำให้หลายคนไม่ได้พิถีพิถันกับการเลือกอาหาร คิดแค่ว่ากินอะไรก็ได้เพื่อให้มี แรงทำงาน โดยไม่ใส่ใจว่าอาหารนั้นให้สารอาหารอื่นที่เป็นประโยชน์หรือไม่ บางคน ดำรงชีวิตระหว่างชั่วโมงทำงานที่เคร่งเครียดด้วยกาแฟนับสิบถ้วย ขนมหรือของว่าง ตามแต่จะหาได้ เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจในแต่ละวันจึงจบด้วยอาหารมื้อใหญ่ หลังจาก นั้นไม่นานก็ต้องรีบเข้านอนเพื่อจะตื่นขึ้นมาทำกิจกรรมที่เร่งรีบในวันต่อไป แต่ บางครั้งความเครียดที่สะสมมาทั้งวันหรืออาหารมื้อใหญ่ที่เพิ่งผ่านไป กลับส่งผล ให้เกิดปัญหานอนไม่หลับ ซ้ำยิ่งทำให้เครียดมากยิ่งขึ้น หากดำรงชีวิตเช่นนี้ไป เรื่อยๆ สุขภาพคงค่อยๆ เสื่อมถอยลดลง เมื่อมีความเครียดร่างกายจะมีการนำสารอาหารหลายชนิดไปใช้ในการสร้างฮอร์โมน เพื่อช่วยในการตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ และยังมีการขับสารอาหารบางชนิดออกทาง ปัสสาวะมากขึ้นด้วย จึงทำให้มีความต้องการสารอาหารบางชนิดเพิ่มขึ้น และหากมี ความเครียดสะสมเป็นเวลานานด้วยอีก ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะอ่อนแอ ทำให้ เจ็บป่วยง่าย จึงเป็นเรื่องที่ควรรู้ถึงสารอาหารที่ร่างกายต้องการเพิ่มขึ้น เมื่อมีความเครียด สารอาหารที่ร่างกายต้องการเพิ่มขึ้นเมื่อมีความเครียด วิตามินบีชนิดต่างๆ ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงต่อการคลายความเครียด พบมากในผักใบเขียว ข้าวกล้อง จมูกข้าวสาลี ธัญพืช นม ไข่ และอาหารทะเล วิตามินซี ช่วยในการสร้างสารสื่อประสาทและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ พบมากในผลไม้ โดยเฉพาะผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว ฝรั่ง และในผัก เช่น พริก บล็อกโคลี มะเขือเทศ กะหล่ำปลี ผักใบเขียว แตงต่างๆ วิตามินอี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ พบมากในถั่วเปลือกแข็ง งา จมูกข้าวสาลี โปแตสเซียม ช่วยในการรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกาย ทำให้หัวใจเต้นสม่ำเสมอ ควบ คุมความดันโลหิต และจำเป็นสำหรับการส่งสัญญานประสาททุกชนิด พบมากในอาหารจากพืช เช่น ถั่วเปลือกแข็ง ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืชที่ไม่ขัดสี ผลไม้แห้ง มันฝรั่ง มะเขือเทศ และผลไม้ โดยเฉพาะกล้วยและส้ม แมกนีเซียม มีหน้าที่ช่วยในการส่งสัญญานประสาท พบมากในข้าวกล้อง ถั่วเมล็ดแห้ง และผักใบเขียว สังกะสี มีหน้าที่ช่วยในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน พบมากในเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ตับ ไข่แดง นม ธัญพืช และอาหารทะเล จะเห็นว่าสารอาหารที่ร่างกายต้องการเพื่อใช้ต่อสู้กับความเครียด มีอยู่ในอาหาร ทั่วๆไปที่หาซื้อได้ง่าย หากท่านยังนึกไม่ออกว่าจะกินอะไรดี ก็แนะนำให้ลองดู ตัวอย่างเมนูอาหารคลายเครียดด้านล่าง ตัวอย่างเมนูคลายเครียด อาหารเช้า :น้ำเต้าหู้ใส่เครื่องโรยงาหรือจมูกข้าวสาลี + ผลไม้สด หรือ แซนวิชทูน่า(ทำจากขนมปังโฮลวีท) + นม/โยเกิร์ตชนิดพร่องไขมัน + ผลไม้สด/ น้ำผลไม้ อาหารกลางวัน :ข้าวราดผัดกระเพรา + ผลไม้ปั่น/สมูทตี้ หรือ เย็นตาโฟ/บะหมี่หมูแดง + เต้าฮวยฟรุ้ตสลัด อาหารว่างบ่าย ถั่วลิสงต้ม/อบ หรือเม็ดมะม่วงหิมพานต์อบ หรือกล้วยปิ้ง หรือผล ไม้สด หรือนม/โยเกิร์ต ชนิดพร่องไขมัน อาหารเย็น :ข้าวต้มปลา + ผลไม้สด หรือ ข้าว + แกงส้มผักรวมใส่กุ้ง + ไข่เจียว +ผลไม้สด อย่างไรก็ตามบางท่านอาจมีงานยุ่งจนแทบหาเวลากินไม่ได้ หรือทำงานที่ต้องเดินทาง ตลอด ทำให้บางช่วงอาจไม่สามารถแวะหาของกินได้ หากเป็นเช่นนี้การหาอาหารมี ประโยชน์และไม่เสียง่าย ติดไว้ในที่ทำงานหรือในรถเพื่อกินรองท้องแทนขนมหวานชนิด ต่างๆ อาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ตัวอย่างของอาหารเหล่านี้ เช่น แครกเกอร์โฮลวีท ถั่วชนิดต่างๆ นมพร่องไขมันชนิดยูเอชทีหรือสเตอริไรส์ น้ำผลไม้ชนิดยูเอชที เป็น ต้น และเมื่อทำธุระต่างๆ เสร็จสิ้นแล้วก็อย่าลืมหาอาหารประเภทธัญพืชที่ไม่ขัดสี ผักใบเขียว เนื้อสัตว์ไม่ติดมันชนิดต่างๆ และผลไม้สดกินเพิ่มเติมในปริมาณที่ เหมาะสม เพียงเท่านี้ท่านก็ได้รับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ ให้พลังงานแก่ ร่างกาย มีประโยชน์ช่วยในการผ่อนคลายความเครียด และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำ งาน(ทั้งนี้ควรงดอาหารหวานจัด หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เนื่องจากอาหารและเครื่องดื่มเหล่านี้มีผลทำให้เกิดการ สูญเสียสารอาหารต่างๆ ตามที่กล่าวมาข้างต้น)

วิธีลดรอยแผลขรุขระบนใบหน้า

ใครที่เป็นแผลขรุขระบนใบหน้า และอยากลดรอยแผล วันนี้มีวิธีมาบอกค่ะ

ใครที่เป็นแผลขรุขระบนใบหน้า และอยากลดรอยแผล วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีมาบอก...

1. การใช้ยาทา แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาทา ในกรณีที่เป็นไม่มากนัก หรือใช้ร่วมกับวิธีอื่น ๆ ยาที่ใช้มักเป็นยาในกลุ่มวิตามิน A โดยตัวยาจะไปกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ทำให้รอยแผลตื้นขึ้น

2. การจี้ด้วยน้ำยา TCA เพื่อกระตุ้นในรอยแผลมีการสร้างเซลล์ หลังการจี้จะเกิดสะเก็ดดำ ๆ อยู่ประมาณสัปดาห์ แล้วจึงหลุดไปเอง แต่ว่าห้ามแกะเด็ดขาด

3. การรักษาด้วย ไอออนโต (IONTO) เป็นการใช้กระแสไฟฟ้าขับตัวยา ซึ่งนิยมใช้ คือกลุ่มวิตามิน A เข้าไปในผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการสร้างใยคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ เพื่อให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น

4. การรักษาด้วย โฟโน (PHONO) เป็นการใช้คลื่นเสียงขับยาเข้าไปในผิวหนัง โดยใช้ยาในกลุ่มวิตามิน A บำรุงและสร้างใยคอลลาเจน

5. การรักษาด้วยวิธี MD (MICRODERMABRASION) เป็นการผลัดผิวใหม่โดยใช้เครื่องมือพ่นผงคริสตัลลงไปยังผิวหน้า เพื่อขัดผิว ส่วนคราบไคล และหนังกำพร้าชั้นบนออกไป แล้วจึงใช้ตัวยาเร่งการสร้างเซลล์ใหม่ ขึ้นมาทดแทน ช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น

6. การรักษาด้วยวิธีการกรอแผลโดยใช้เครื่องเลเซอร์ ช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น แต่ต้องใช้เวลาในการรักษาแผลค่อยข้างนาน

7. การฉีดสารสังเคราะห์โดยแพทย์ จะฉีดสารสังเคราะห์ เช่น อาติคอล หรือสาร HA เข้าไปในรอยแผล เพื่อให้รอยแผลเต็มขึ้น

สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547

                                            การรักษาน้ำหนัก

อาหารที่เรารับประทานเข้าไปจะใช้เป็นพลังงานในการดำเนินชีวิต เช่นใช้หล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ใช้ในการเดิน การหายใจ การทำงาน แต่ถ้าหากเรารับประทานอาหารที่มีพลังงานมากกว่าที่เราใช้ส่วนเกินของพลังงาน จะสะสมในรูปไขมันผลทำให้น้ำหนักท่านเพิ่ม

ท่านผู้อ่านควรที่จะรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติคือดัชนีมวลกายอยู่ระหว่าง 20-20 กก./ตารางเมตร หากต่ำกว่านี้ร่างกายอาจจะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ หากมากกว่านี้อาจจะทำให้เกิดโรคต่างๆเช่น โรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง

รคอ้วนทำให้เกิดโรคอะไร

คนอ้วนมักจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดโรค ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง ซึ่งปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวจะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนั้นโรคอ้วนยังเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งได้หลายชนิด

การลดน้ำหนัก

วิธีลดน้ำหนักที่ดีที่สุดคือการลดพลังงานจากอาหาร และการออกกำลังกายหรืออาจจะทำทั้งสองอย่างพร้อมกัน

1.ลดพลังงานจากอาหาร

  • รับประทานอาหารพวกผักผลไม้ให้มาก ไม่ปรุงอาหารด้วยไขมัน
  • ลดอาหารไขมัน เช่นอาหารทอด ผัด เช่นปาท่องโก๋ กล้วยทอด ไก่ทอด ฟิซซ่า โรตี กะทิ
  • ดื่มนมพร่องมันเนย งดเนย
  • ลดการบริโภคน้ำตาล ของหวาน
  • ลดสุรา

2.การออกกำลังกาย

  • ใช้การเดินแทนการนั่งรถ
  • ใช้บันไดแทนการขึ้นลิฟต์
  • ไปเล่นกับลูก ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน
สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547

สุราให้เพียงแต่พลังงานแต่คุณค่าทางโภชนาการต่ำมาก


คำแนะนำ

  • เนื่องจากสุราให้พลังงาน และมีคุณค่าทางโภชนาการต่ำ ดังนั้นคนที่ดื่มสุรามักจะขาดสารอาหารและมีน้ำหนักเกิน
  • การรับประทานสุราแต่พอควรโดยกำหนดให้ผู้หญิงดื่มไม่เกินวันละ 1 หน่วยสุรา ส่วนผู้ชายไม่เกิน 2 หน่วยสุรา
    • เบียร์ไม่เกิน 360 ซีซี
    • ไวน์ไม่เกิน 150 ซีซี
    • สุราอื่นไม่เกิน 45 ซีซี
  • คนบางจำพวกไม่ควรดื่มสุราได้แก่
    • ผู้ที่ไม่สามารถควบคุมปริมาณสุราที่จะดื่ม
    • หญิงวัยเจริญพันธุ์
    • คนตั้งครรภ์
    • ผู้ที่เลี้ยงลูกด้วยนมตัวเอง
    • ผู้ที่รับประทานยา
    • ผู้ที่ทำงานต้องใช้ทักษะหรือสมาธิ เช่นคนขับรถ
  • ผู้ที่มีวัยกลางคนเมื่อสุราตามที่กำหนดจะมีอัตราการเกิดโรคหัวใจ และอัตราการเสียตำ่กว่าผู้ที่ไม่ดื่มสุรา
  • ผู้ที่ดื่มสุราต้องรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ ไม่สูบบุหรี่ รักษาน้ำหนักมิให้เกิน
  • วัยรุ่นไม่ได้รับประโยชน์จากการดื่มสุรา
  • ไม่แนะนำให้ดื่มสุราเพื่อเหตุผลทางสุขภาพ
ชนิดของสุรา
ปริมาณพลังงานใน 30 ซีซี(1 oz)
ปริมาณที่ดื่ม[ oz]
ปริมาณพลังงานที่ได้รับทั้งหมด
Beer (regular)
12
12
144
Beer (light)
9
12
108
White wine
20
5
100
Red wine
21
5
105
Sweet dessert wine
47
3
141
80 proof distilled spirits (gin, rum, vodka, whiskey)
64
1.5
96

การอดสุรา โรคพิษสุราเรื้อรัง คุณเมาหรือไมอาการขาดสุรา สุราช่วยลดอัตราการเสียชีวิต

สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547

                                                     กาแฟ

หลังจากตื่นนอนตอนเช้าได้กาแฟหอมๆสักแก้วจะรู้สึกกระชุ่มกระชายตลอดทั้งเช้า บางท่านรับกาแฟและขนมบางอย่างเป็นอาหารเช้า หลังจากทำงานก็ยังมี coffee break บางท่านยังดื่มหลังอาหารเที่ยงและตอนสายๆ ยิ่งต้องเข้าประชุมกาแฟหอมๆสักแก้วจะทำให้สดชื่นหายง่วง ปัจจุบันการดื่มกาแฟเป็นที่นิยมการอย่างแพร่หลายตามปั้มน้ำมัน ตามห้างสรรพสินค้ามีการขายอย่างมากมาย จะเห็นได้ว่ากาแฟเป็นส่วนหนึ่งหรือบางคนอาจจะเป็นส่วนสองส่วนสามของชีวิตประจำวัน แต่จะมีใครกังวลหรือไม่ว่าที่เราดื่มทุกวันวันละหลายแก้วแล้วมันมีโทษ หรือคุณประโยชน์อะไรบ้าง หากคุณเป็นคอกาแฟคุณควรจะอ่านบทความนี้

ส่วนประกอบที่สำคัญของกาแฟ

ส่วนประกอบที่สำคัญของกาแฟคือ caffeine หรือมีชื่อทางเคมีว่า 1,3,7-trimethylxanthine ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของยาขยายหลอดลม theophylline

caffeine สามารถพบได้ในหลายชนิดได้แก่ เมล็ดคา เมล็ดกาแฟ ใบชา โคลา caffeineถูกผสมลงในน้ำอัดลม ยาแก้หวัดบางชนิด ยาแก้ปวด ยาลดน้ำหนัก

กาแฟจะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วหลังจากที่เราดื่มกาแฟและจะถูกขับออกไปครึ่งหนึ่งในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมงกาแฟจะไม่สะสมในร่างกายโดยจะถูกทำลายและขับออกหมด ผู้ที่สูบบุหรี่จะมีการขับถ่ายกาแฟมากกว่าผู้ที่ไม่สูบดังนั้นคนที่สูบบุหรี่หากต้องการการกระตุ้นของกาแฟจะต้องดื่มกาแฟบ่อยกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ คนท้องและผู้ที่กินยาคุมกำเนิดจะมีการขับกาแฟน้อยกว่าคนทั่วไป กาแฟจะออกฤทธิ์โดยการกระตุ้นสมองทำให้รู้สึกสดชื่นและมีสมาธิ

ปริมาณcaffeine ที่มีในเครื่องดื่มแต่ละชนิดขึ้นกับความเข้มข้น ตารางข้างล่างเป็นตัวอย่างปริมาณกาแฟ

Milligrams of Caffeine

ชนิดของเครื่องดื่ม

ปริมาณ

Range*

Coffee (150ml cup)
ต้ม, drip method

เครื่องต้มกาแฟ
กาแฟสำเร็จ
Decaffeinated
Espresso (30ml cup)


115

80
65
3
40


60-180

40-170
30-120
2-5
30-50

Teas (150ml cup)
ชาที่ต้ม

ชาเป็นซอง
ชาเย็น (240ml glass)


40

30
45


20-90

25-50
45-50

น้ำอัดลม (180ml)

18

15-30

Cocoa beverage (150ml)

4

2-20

นมรสChocolate  (240ml)

5

2-7

Chocolateนม (30g)

6

1-15

Dark chocolate, semi-sweet (30g)

20

5-35

Cooking chocolate (30g)

26

26


นักวิทยาศาสตร์ประมาณว่าวันหนึ่งๆเราจะรับสาร caffeine ประมาณ 250-600 มก.ซึ่งไม่เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย

ผลดีของกาแฟ

กาแฟจะกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางทำให้ไม่ง่วง สมาธิในการทำงานดีขึ้น ผู้ที่ดื่มกาแฟจะทำให้ไม่ง่วงนอน มีสมาธิในการทำงาน และยังทำให้ความสามารถในการทำงานดีขึ้น และยังลดอาการปวดเมื่อยเนื่องจากไขหวัด

ผลต่อสมรรถภาพของร่างกายดีขึ้น เช่นการขี่จักรยาน การว่ายน้ำ เล่นกีฬาได้นานขึ้น

ผลดีของกาแฟจะทำให้ไม่ง่วงนอนโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเป็นกะ และช่วยลดอุบัติเหตุขณะขับรถ

กระตุ้นอวัยวะของร่างกายและเพิ่มการเผาผลาญไขมันและช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย กาแฟจะมีฤทธิ์ขับปัสสาวะอ่อนๆดังนั้นขณะออกกำลังกายหรือหลังออกกำลังกายไม่ควรรับเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาแฟเพราะจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ

ดื่มนานๆจะติดกาแฟหรือไม่

องค์การอนามัยโลกกล่าวว่าไม่มีหลักฐานว่ากาแฟจะเป็นสารซึ่งหากดื่มนานๆแล้วจะเสพติด การดื่มกาแฟจะเป็นนิสัยมากกว่าเสพติดเนื่องจากไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณของกาแฟ และเมื่อหยุดกาแฟบางคนก็เกิดอาการปวดหรือมึนศีรษะเพียงเล็กน้อย

ผลดีของกาแฟต่อสุขภาพ

  • โรคหอบหืด มีรายงานว่าการดื่มกาแฟวันละ 3 แก้วจะลดอาการหอบหืด หากดื่มมากกว่า 6 แก้วการทดสอบสมรรถภาพปอดจะดีขึ้น

     

  • กาแฟก็เหมือนกับพืชอื่นๆมีสาร flavanoid ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ

     

  • การดื่มกาแฟจะลดอาการง่วงนอน และทำให้มีสมาธิในการทำงานดีขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเป็นกะ และลดอุบัติเหตุขณะขับขี่

     

  • กาแฟช่วยลดอาการซึมเศร้าและคลายความวิตกกังวล

     

  • การดื่มกาแฟเป็นประจำจะลดอุบัติการณ์การเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ และยังลดอุบัติการณ์ของนิ่วในถุงน้ำดี

     

  • มีหลักฐานพอจะเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่เมื่อดื่มวันละ 4 แก้ว

     

กาแฟกันสุขภาพสตรี

  • กาแฟกับการตั้งครรภ์ The Food Standards Agency ก่อนหน้านี้มีความเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะเป็นผลเสียต่อการตั้งครรภ์ แต่จากหลักฐานยังไม่พบผลเสียดังกล่าว ประเทศอังกฤษได้แนะนำว่าการดื่มวันละ 3-4 แก้วขณะตั้งครรภ์ไม่เกิดผลเสีย สำหรับผู้ที่ตั้งท้องหากงดได้ก็น่าจะงด

     

  • การเป็นหมัน พบว่าหากดื่มกาแฟมากกว่า 1แก้วจะมีโอกาสเกิดการเป็นหมันเพิ่มขึ้น

     

กาแฟกับโรคกระดูกพรุน

  • ยังมีรายงานทั้งสนับสนุนว่าการดื่มกาแฟทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน บางรายงานก็กล่าวว่าไม่เกิดโรค ผู้ที่เกิดโรคกระดูกพรุนมักจะได้รับแคลเซียมไม่พอแนะนำว่าควรจะดื่มนมเริมสำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 2 แก้วขึ้นไป

     

กาแฟกับโรคมะเร็ง

  • มีรายงานจากWorld Cancer Research Fund ว่าการดื่มกาแฟปริมาณปานกลางไม่มีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็ง

     

  • มีรายงานกล่าวว่าการดื่มกาแฟมีผลดีต่อการป้องกันมะเร็งตับอ่อนเล็กน้อย

     

  • มีรายงานว่าการดื่มกาแฟอาจจะมีผลป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ๋

     

กาแฟกับโรคหัวใจ

  • เท่ามีรายงานขณะนี้พบว่าการดื่มกาแฟวันละ 4 แก้วไม่มีความสัมพันธ์กับโรคหัวใจ

     

  • การดื่มกาแฟเป็นประจำไม่ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น การดื่มกาแฟครั้งแรกจะทำให้ความดันขึ้นชั่วคราว

     

กาแฟกับโรคเบาหวาน

  • จากการศึกษาพบว่าการดื่มกาแฟจะทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินเพิ่มขึ้น 15 % กรดไขมันในเลือดเพิ่มขึ้น ฮอร์โมน epinephrineเพิ่มสูงขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน

สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547

                                           ความเครียด

ความเครียดสามารถเกิดได้ทุกแห่งทุกเวลาอาจจะเกิดจากสาเหตุภายนอกเช่น การย้ายบ้าน การเปลี่ยนงาน ความเจ็บป่วย การหย่าร้าง ภาวะว่างงานความสัมพันธ์กับเพื่อน ครอบครัว หรืออาจจะเกิดจากภายในผู้ป่วยเอง เช่นความต้องการเรียนดี ความต้องการเป็นหนึ่งหรือความเจ็บป่วย ความเครียดเป็นระบบเตือนภัยของร่างกายให้เตรียมพร้อมที่กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การมีความเครียดน้อยเกินไปและมากเกินไปไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ ส่วนใหญ่เข้าใจว่าความเครียดเป็นสิ่งไม่ดีมันก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ หัวใจเต้นเร็ว แน่นท้อง มือเท้าเย็น แต่ความเครียดก็มีส่วนดีเช่น ความตื่นเต้นความท้าทายและความสนุก สรุปแล้วความเครียดคือสิ่งที่มาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชีวิตซึ่งมี่ทั้งผลดีและผลเสีย

ชนิดของความเครียด

  1. Acute stress คือความเครียดที่เกิดขึ้นทันทีและร่างกายก็ตอบสนองต่อความเครียดนั้นทันทีเหมือนกันโดยมีการหลั่งฮอร์โมนความเครียด เมื่อความเครียดหายไปร่างกายก็จะกลับสู่ปกติเหมือนเดิมฮอร์โมนก็จะกลับสู่ปกติ ตัวอย่างความเครียด

     

  • เสียง
  • อากาศเย็นหรือร้อน
  • ชุมชนที่คนมากๆ
  • ความกลัว
  • ตกใจ
  • หิวข้าว
  • อันตราย
  1. Chronic stress หรือความเครียดเรื้อรังเป็นความเครียดที่เกิดขึ้นทุกวันและร่างกายไม่สามารถตอบสนองหรือแสดงออกต่อความเครียดนั้น ซึ่งเมื่อนานวันเข้าความเครียดนั้นก็จะสะสมเป็นความเครียดเรื้อรัง ตัวอย่างความเครียดเรื้อรัง
  • ความเครียดที่ทำงาน
  • ความเครียดที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
  • ความเครียดของแม่บ้าน
  • ความเหงา

ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความเครียด

เมื่อมีภาวะกดดันหรือความเครียดร่างกายจะฮอร์โมนที่เรียกว่า cortisol และ adrenaline ฮอร์โมนดังกล่าวจะทำให้ความดันโลหิตสูงและหัวใจเต้นเร็วเพื่อเตรียมพร้อมให้ร่างกายแข็งแรงและมีพลังงานพร้อมที่จะกระทำเช่นการวิ่งหนีอันตราย การยกของหนีไฟถ้าหากได้กระทำฮอร์โมนนั้นจะถูกใช้ไป ความกดดันหรือความเครียดจะหายไป แต่ความเครียดหรือความกดดันมักจะเกิดขณะที่นั่งทำงาน ขับรถ กลุ่มใจไม่มีเงินค่าเทอมลูก ความเครียดหรือความกดดันไม่สามารถกระทำออกมาได้เกิดโดยที่ไม่รู้ตัว ทำให้ฮอร์โมนเหล่านั้นสะสมในร่างกายจนกระทั่งเกิดอาการทางกายและทางใจ

ผลเสียต่อสุขภาพ

ความเครียดเป็นสิ่งปกติที่สามารถพบได้ทุกวัน หากความเครียดนั้นเกิดจากความกลัวหรืออันตราย ฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจะเตรียมให้ร่างกายพร้อมที่จะต่อสู้ อาการทีปรากฏก็เป็นเพียงทางกายเช่นความดันโลหิตสูงใจสั่น แต่สำหรับชีวิตประจำวันจะมีสักกี่คนที่จะทราบว่าเราได้รับความเครียดโดยที่เราไม่รู้ตัวหรือไม่มีทางหลีกเลี่ยง การที่มีความเครียดสะสมเรื้อรังทำให้เกิดอาการทางกาย และทางอารมณ์ อ่านรายละเอียดที่นี่

โรคทางกายที่เกิดจากความเครียด

โรคทางเดินอาหาร

โรคปวดศีรษะไมเกรน

โรคปวดหลัง

โรคความดันโลหิตสูง

โรคหลอดเลือดสมอง

โรคหัวใจ

ติดสุรา

โรคภูมิแพ้

โรคหอบหืด

ภูมิคุ้มกันต่ำลง

เป็นหวัดง่าย

อุบัติเหตุขณะทำงาน

การฆ่าตัวตายและมะเร็ง

ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคที่เกิดจากความเครียด

 คุณมีความเครียดหรือไม่

ถามตัวคุณเองว่ามีอาการเหล่านี้หรือไม่

อาการแสดงทางร่างกาย

มึนงง ปวดตามกล้ามเนื้อ กัดฟัน ปวดศีรษะ แน่นท้อง เบื่ออาหาร นอนหลับยาก หัวใจเต้นเร็ว หูอื้อ มือเย็น อ่อนเพลีย ท้องร่วง ท้องผูก จุกท้อง มึนงง เสียงดังให้หู คลื่นไส้อาเจียน หายใจไม่อิ่ม ปวดท้อง

อาการแสดงทางด้านจิตใจ

วิตกกังวล ตัดสินใจไม่ดี ขี้ลืม สมาธิสั้น ไม่มีความคิดริเริ่ม ความจำไม่ดี ไม่สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

อาการแสดงทางด้านอารมณ์

โกรธง่าย วิตกกังวล ร้องไห้ ซึมเศร้า ท้อแท้ หงุดหงิด ซึมเศร้า มองโลกในแง่ร้าย นอนไม่หลับ กัดเล็บหรือดึงผมตัวเอง

อาการแสดงทางพฤติกรรม

รับประทานอาหารเก่ง ติดบุหรี่สุรา โผงผาง เปลี่ยนงานบ่อย แยกตัว

การแก้ไขเมื่ออยู่ในภาวะที่เครียดมาก

หากท่านมีอาการเครียดมากและแสดงออกทางร่างกายดังนี้

  • อ่อนแรงไม่อยากจะทำอะไร

     

  • มีอาการปวดตามตัว ปวดศีรษะ

     

  • วิตกกังวล

     

  • มีปัญหาเรื่องการนอน

     

  • ไม่มีความสุขกับชีวิต

     

  • เป็นโรคซึมเศร้า

     

ให้ท่านปฏิบัติตามคำแนะนำ 10 ประการ

1.  ให้นอนเป็นเวลาและตื่นเป็นเวลา เวลาที่เหมาะสมสำหรับการนอนคือเวลา 22.00น.เมื่อภาวะเครียดมากจะทำให้ความสามารถในการกำหนดเวลาของชีวิต( Body Clock )เสียไป ทำให้เกิดปัญหานอนไม่หลับหรือตื่นง่าย การกำหนดเวลาหลับและเวลาตื่นจะทำให้นาฬิกาชีวิตเริ่มทำงาน และเมื่อความเครียดลดลง ก็สามารถที่จะหลับได้เหมือนปกติ ในการปรับตัวใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ บางครั้งเมื่อไปนอนแล้วไม่หลับเป็นเวลา 45 นาที ให้หาหนังสือเบาๆมาอ่าน เมื่อง่วงก็ไปหลับ ข้อสำคัญอีกประการหนึ่งคือให้ร่างกายได้รับแสงแดดยามเช้า เพื่อส่งสัญญาณให้ร่างกายปรับเวลา

 

2.  หากเกิดอาการดังกล่าวต้องจัดเวลาให้ร่างกายได้พัก เช่นอาจจะไปพักร้อน หรืออาจจะจัดวาระงาน งานที่ไม่สำคัญและไม่เร่งด่วนก็ให้หยุดไม่ต้องทำ

 

3.  ให้เวลากับครอบครัวในวันหยุด อาจจะไปพักผ่อนหรือรับประทานอาหารนอนบ้าน

 

4.  ให้เลื่อนการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆในช่วงนี้ เช่นการซื้อรถใหม่ การเปลี่ยนบ้านใหม่ การเปลี่ยนงาน เพราะการเปลี่ยนแปลงจะทำให้เกิดความเครียด

 

5.  หากคุณเป็นคนที่ชอบทำงานหรือชอบเรียนให้ลดเวลาลงเหลือไม่เกิน 40 ชม.สัปดาห์

 

6.  การรับประทานอาหารให้รับประทานผักให้มากเพราะจะทำให้สมองสร้าง serotonin เพิ่มสารตัวนี้จะช่วยลดความเครียด และควรจะได้รับวิตามินและเกลือแร่ในปริมาณที่เพียงพอ

 

7.  หยุดยาคลายเครียด และยาแก้โรคซึมเศร้า

 

8.  ให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และอาจจะมีการเต้นรำด้วยก็ดี

 

หากปฏิบัติตามวิธีดังกล่าวแล้วยังมีอาการของความเครียดให้ปรึกษาแพทย์

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความเครียด

  • ความเครียดเหมือนกันทุกคนหรือไม่ สิ่งที่กระตุ้นให้เกิดความเครียดในแต่ละคนไม่เหมือนกันและการตอบสนองต่อความเครียดก็แตกต่างในแต่ละคน
  • ความเครียดเป็นสิ่งไม่ดีจริงหรือไม่ ความเครียดเปรียบเหมือนสายกีตาร์ ตึงไปก็ไม่ดี หย่อนไปเสียก็ไม่ไพเราะ เช่นกันเครียดมากก็มีผลต่อสุขภาพเครียดพอดีจะช่วยสร้างผลผลิต และความสุข
  • จริงหรือไม่ที่ความเครียดมีอยู่ทุกแห่งคุณไม่สามารถจัดการกับมันได้ แม้ว่าจะมีความเครียดทุกแห่งแต่คุณสามารถวางแผนที่จะจัดการกับงาน ลำดับความสำคัญ ความเร่งด่วนของงานเพื่อลดความเครียด
  • จริงหรือไม่ที่ไม่มีอาการคือไม่มีความเครียด ไม่จริงเนื่องจากอาจจะมีความเครียดโดยที่ไม่มีอาการก็ได้และความเครียดจะสะสมจนเกินอาการ
  • ควรให้ความสนใจกับความเครียดที่มีอาการมากๆใช่หรือไม่ เมื่อเริ่มเกิดอาการความเครียดแม้ไม่มากก็ต้องให้ความสนใจ เช่นอาการปวดศีรษะ ปวดท้องเพราะอาการเพียงเล็กน้อยจะเตือนว่าคุณต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการดำเนินชีวิตเพื่อลดความเครียด
  • ความเครียดคือโรคจิตใช่หรือไม่ ไม่ใช่เนื่องจากโรคจิตจะมีการแตกแยกของความคิด บุคลิคเปลี่ยนไปไม่สามารถดำเนินชีวิตเหมือนคนปกติ
  • ขณะที่มีความเครียดคุณสามารถทำงานได้อีก แต่คุณต้องจัดลำดับก่อนหลัง และความสำคัญของงาน
  • ไม่เชื่อว่าการเดินจะช่วยผ่อนคลายความเครียด การเดินจะช่วยผ่อนคลายความเครียดนั้น
  • ความเครียดไม่ใช่ปัญหาเพราะเพียงแค่สูบบุหรี่ความเครียดก็หายไป การสูบบุหรี่หรือดื่มสุราจะทำให้ลืมปัญหาเท่านั้นนอกจากไม่สามารถแก้ปัญหาแล้วยังก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพในระยะยาวอีกด้วย

เมื่อใดต้องปรึกษาแพทย์

  • เมื่อคุณรู้สึกเหมือนคนหลงทางหาทางแก้ไขไม่เจอ
  • เมื่อคุณกังวลมากเกินกว่าเหตุ และไม่สามารถควบคุม
  • เมื่ออาการของความเครียดมีผลต่อคุณภาพชีวิตเช่น การนอน การรับประทานอาหาร งานที่ทำ ความสัมพันธ์ของคุณกับคนรอบข้าง

ความเครียดคืออะไร ความเครียดกับผู้หญิง ความเครียดในเด็ก ความเครียดที่ทำงาน ความเครียดหลังการสูญเสีย การจัดการกับความเครียด การจัดการกับความโกรธ การแก้ปัญหาระหว่างบุคคล

สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547

                                              กลิ่นปาก

กลิ่นปากหรือปากเหม็น หรือลมหายใจไม่สะอาด หากเกิดขึ้นกับใครก็ทำให้ขาดความมั่นใจ จะปรึกษาใครก็รู้สึกเป็นสิ่งน่าอาย บทความนี้อาจจะช่วยให้ท่านลดกลิ่นปาก ตำแหน่งที่เกิดกลิ่นปากมากที่สุดคือลิ้นเนื่องจากผิวลิ้นหยาบ ดังนั้นหากเกิดกลิ่นปากลองทำความสะอาดลิ้นก่อนเป็นอันดับแรก

h

กลไกการเกิดกลิ่นปาก

  • เกิดจากเชื้อแบคทีเรียในปากตายทำให้เกิดสาร sulfur ออกมาจึงเกิดกลิ่น
  • แบคทีเรียสลายอาหารที่อยู่ในปาก
  • น้ำลายลดลงทำให้เชื้อแบคทีเรีย หรืออาหารไม่ถูกชะล้าง

สาเหตุ

  • การไม่ดื่มน้ำหรือไม่รับประทานอาหาร ทำให้แบคทีเรียไม่ถูกชะล้างจึงเกิดกลิ่นปาก
  • โรคฟัน เช่นฟันผุ สุขลักษณะช่องปากไม่ดี มีการขังของเศษอาหารในช่องปาก
  • กลิ่นจากอาหารที่รับประทานเข้าไป เช่นกาแฟ สุรา หอมใหญ่ กระเทียม พริก บุหรี่
  • หายใจทางปากเนื่องจากเป็นหวัด
  • โรคระบบทางเดินหายใจ เช่นผีในปอด ไซนัสอักเสบ คออักเสบ เป็นต้น
  • โรคบางชนิดเช่น โรคไต โรคตับ

การทดสอบกลิ่นปาก

ล้างข้อมือด้วยสบู่ให้สะอาดแล้วล้างน้ำจนสะอาด ใช้ผ้าสะอาดเช็ดให้แห้ง เลีย 4 ครั้งหลังจากนั้น 30 นาทีให้ดมว่ามีกลิ่นหรือไม่

การดูแลรักษา

  • ให้รับประทานอาหารครบ 3 มื้อทุกวัน
  • ให้ดื่มน้ำมะนาวซึ่งจะเพิ่มปริมาณน้ำลาย
  • ให้ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว
  • เคี้ยวหมากฝรั่งหรืออมลูกอมระหว่างมืออาหาร
  • แปรงฟันหลังอาหารทุกครั้ง และให้แปรงลิ้น
  • ใช้ Dental flossing
  • หากแปรงเสียให้เปลี่ยนแปรง

ถ้าอาการไม่ดีภายหลังจากได้ปฏิบัติแล้ว 10 วันให้ปรึกษาทันต์แพทย์ หรือแพทย์ของท่าน

กลิ่นปากในเด็ก

ท่านผู้ปกครองหากเด็กมีกลิ่นปากไม่หาย ท่านไม่ต้องกังวลว่าจะเด็กจะมีโรคเหมือนผู้ใหญ่ เช่น โรคที่ศีรษะ คอ และกระเพาะอาหารเพราะว่าสาเหตุส่วนใหญ่ของกลิ่นปากเกิดจากในปาก สาเหตุที่พบบ่อยได้แก่

  • สุขอนามัยไม่ดี มีเศษอาหารและเชื้อแบคทีเรียเหลือตามซอกฟัน เด็กมักจะมีกลิ่นมากมากในตอนเช้า หากเป็นมากจะมีตอนสาย
  • ฟันผุ บางรายเด็กไม่มีอาการปวดฟันแต่มีฟันผุ
  • ไซนัสอักเสบทั้งเฉียบพลันและเรื้อรังสามารถทำให้เกิดกลิ่นปากได้ นอกจากกลิ่นปากเด็กโดยมากจะเกิดอาการ น้ำมูกไหล ไอกลางคืน
  • คออักเสบ เด็กจะมีไข้เจ็บคอ และมีกลิ่นปาก
  • ภูมิแพ้ทำให้มีเสมหะไหลไปที่คอทำให้เกิดกลิ่นปาก

คำแนะนำ

  • อย่าทำให้เด็กขาดความมั่นใจ ควรใช้โอกาสนี้สอนเด็กแปรงฟัน และล้างปาก
  • เลือกแปรงที่มีขนาดเหมาะกับปากและมีขนอ่อนนุ่มพอควรพร้อมยาสีฟัน ยาสีฟันควรมีสาร fluoride
  • ควรแปรงฟันพร้อมเด็ก ให้เด็กแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง
  • สอนเด็กใช้ Dental flossing
  • หากเห็นเศษอาหารติดที่คอก็ให้เด็กกรวกคอบ้วนปาก
  • ให้ตรวจฟันทุกปี
สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547

                    โรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด การควบคุมเชื้อรา

เชื้อรา

เชื้อราเป็นเชื้อที่พบในธรรมชาติสามารถพบได้ทั้งในบ้านและนอกบ้าน หน้าที่สำคัญของเชื้อรานอกบ้านคือการสลายของเสีย เช่นใบไม้ ต้นไม่ หรือขยะ ส่วนเชื้อราที่อยู่ในบ้านเราไม่อยากให้มันเกิดเพราะว่าเชื้อราสามารถสร้างสารพิษ Toxin หรือตัวเชื้อราสร้างสปอร์ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ เช่น โรคหอบหืด ไวนัสอักเสบเป็นต้น

เชื้อราก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพอย่างไร

เชื้อราที่อยู่ในบ้านมักจะไม่อันตราย แต่สปอร์ Spore ของมันจะทำให้เกิดผลเสีต่อสุขภาพเช่น

  • ปฏิกิริยาภูมิแพ้ Allergic Reactions เมื่อได้รับสปอร์ได้แก่อาการ ไข้ บางคนมีอาการจาม น้ำมูกไหล หากสัมผัสบ่อยๆก็อาจจะเกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้หนักถึงกับเสียชีวิต
  • โรคหอบหืด
  • ปอดอักเสบจากภูมิแพ้ Hypersensitivity Pneumonitis
  • ก่อให้เกิดระคายเคืองต่อตา จมูก หลอดลม ทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อน
  • ก่อให้เกิดสารพิษ

สำหรับผู้ที่แพ้ราเมื่อได้สัมผัสเชื้อราทั้งทางสัมผัส การสูดดมอาจจะก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่างๆ เช่น แพ้หญ้า Hay fever หอบหืด ผื่นแพ้ ตาอักเสบ เจ็บคอ น้ำมูกไหล

เราจะกำจัดเชื้อรานี้ได้อย่างไร

เนื่องจากเชื้อราเราพบได้ตามธรรมชาติเราไม่สามารถกำจัดได้หมด แต่เราสามารถป้องกันมิให้เชื้อเจริญเติบโตโดยการควบคุมความชื้นในบ้าน เมื่อคุณพบเชื้อราในบ้าน คุณต้องรีบกำจัดและหาสาเหตุโดยเฉพาะความชื้น หากคุณไม่แก้ก็จะเกิดเชื้อราขึ้นใหม่

ใครจะเป็นกำจัดเชื้อรา

เนื่องจากเชื้อราอาจจะก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพดังได้กล่าวข้างต้น และการหาสาก็อาจจะมีความยุ่งยาก ดังนั้นหากพื้นที่ที่เป็นเชื้อราไม่มากก็อาจจะกำจัดเองได้ แต่หากเป็นพื้นที่กว้างก็อาจจะต้องอาศัยผู้ที่เชี่ยวชาญในการกำจัด ข้อแนะนำเกี่ยวกับการกำจัดเชื้อรา

  • หากบริเวณที่เป็นเชื้อราไม่มากขนาด 10 ตารางฟุตเราสามารถกำจัดเองได้
  • หากมีเชื้อราเป็นบริเวณกว้างและอาคารนั้นเป็นที่สาธารณะ เช่น โรงเรียน ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล ก็ควรจะใช้บริการของมืออาชีพ
  • หากคุณใช้ผู้เชี่ยวชาญมืออาชีพต้องให้แน่ใจว่ามีความรู้และทักษะเพียงพอ และสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดได้
  • หากคุณพบว่ามีเชื้อราที่ระบบทำความเย็น ต้องหยุดใช้เครื่องปรับอากาศและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งอาจจะต้องทำความสะอาดระบบท่อส่ง รวมทั้งหารอยรั่วที่ทำให้เกิดความชื้น
  • หากคุณคิดว่าเชื้อราเกิดจากความชื้นที่เกิดจากรอยรั่ว ควรจะปรึกษาช่างเพื่อจัดการรอยรั่วนั้น
  • หากคุณมีปัญหาสุขภาพ คุณควรจะอยู่ห่างๆในระหว่างที่มีการกำจัดเชื้อรา

วิธีกำจัดเชื้อรา

วิธีที่นำเสนอนี้เป็นวิธีง่ายๆที่ทำได้ด้วยตัวเอง เมื่อเกิดเชื้อราขึ้นกับอุปกรณ์นั้นอาจจะทำให้เกิดรอยด่างบนอุปกรณ์นั้น

  • เมื่อเกิดรอยรั่วหรือชื้น รีบแก้ไขและรักษาอุกรณ์หรือบริเวณนั้นให้แห้งทันที
  • สำหรับวัสดุผิวแข็งให้ล้างบริเวณที่เป็นเชื้อราด้วยน้ำสบู่ และทำให้แห้ง
  • สำหรับพรม หรือฝ้า หรือวัสดุที่มีรู เมื่อเกิดเชื้อราให้โยนทิ้ง เพราะเราไม่สามารถทำความสะอาดเชื้อราที่อยู่ในรู
  • เมื่อมีเชื้อราที่ฝ้าต้องรีบกำจัด และอย่าอยู่ใกล้หรือสัมผัส
  • ไม่ควรทาสีบนอุปกรณ์ที่มีเชื้อรา เพราะไม่ใช่วิธีกำจัด ต้องทำความสะอาดเชื้อราก่อนและทำให้แห้ง แล้วจึงทาสีทับ
  • หากอุปกรณืที่มีเชื้อรามีราคาแพง หรือมีคุณค่าและไม่อยากทิ้ง ท่านสามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อซ่อมหรือกำจัดเชื้อราให้หมดไป

การป้องกันตัวเองระหว่างทำกำจัดเชื้อรา

  • สวมหน้ากากอนามัยชนิด N95 เพื่อป้องกันการหายใจเอาเชื้อราเข้าไป หรืออาจจะใช้หน้ากากที่มีคุณภาพสูงกว่า
  • ใสถุงมือยาวเป็ถุงมือยางเพื่อป้องกันเชื้อมาสัมผัส
  • ใส่แว่นตาป้องกันเชื้อกรเด็นเข้าตา

รู้ได้อย่างไรว่ากำจัดเชื้อราหมดไปแล้ว

ปัจจัยที่สำคัญคือต้องกำจัดแหล่งที่จะทำให้เกิดความชื้นเสียก่อน หากยังมีความชื้นอยู่ก็จะเกิดเชื้อราขึ้นใหม่

  • ดูด้วยตาไม่พบเชื้อราในบริเวณดังกล่าว หรือไม่มีกลิ่น
  • หลังจากจัดการเรียบร้อยแล้ว ให้หมั่นตรวจสอบว่ามีความชื้นหรือเชื้อราเกิดขึ้นหรือไม่
  • คนสามารถทำงานหรืออยู่บริเวณนั้นโดยที่ไม่เกิดปัญหาต่อสุขภาพ

การป้องกันความชื้น

เป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันเชื้อราในบ้าน หรือที่ทำงาน

  • เมื่อเกิดความชื้นขึ้นในบ้านหรือที่ทำงานจะต้องแก้ไขรอยรั่วหรือซึมทันที และจะต้องจัดล้างหรือทำให้บริเวณที่เปียกชื้นให้แห้งโดยทันที หากปล่อยทิ้งเกิด 24 ชั่วโมงอาจจะทำให้เกิดเชื้อรา
  • จะต้องดูแลรางน้ำบริเวณหลังคามิให้มีสิ่งแปลอกปลอมที่จะขวางทางเดินของน้ำ
  • ตรวจสอบสนามหญ้าในบ้านว่ามีความลาดเอียงถูกต้องหรือไม่ เพื่มมิให้เกิดน้ำขังบริเวณบ้าน
  • ตรวจสอบเครื่องปรับอากาศว่าถาดรองน้ำมีสิ่งที่จะทำให้เกิดน้ำขังหรือไม่ และตรวจสอบสายระบายว่าอุดตันหรือไม่
  • รักษาความชื้นภายในบ้านให้ต่ำกว่า 60% อาจจะซื้อเครื่องมือตรวจความชื้น
  • หากคุณพบว่ามีคราบน้ำจับที่กระจก และรีบเช็ดให้แห้งพร้อมทั้งหาว่ามีน้ำรั่วที่ใดและให้รีบแก้ไข

วิธีการลดความชื้นภายในบ้าน

  • อุกรณ์ที่จะทำให้เกิดความชื้นให้เอาออกนอกบ้าน เช่น อย่าตากผ้าไว้ในบ้าน เตาต้มน้ำ ทำกับข้าว
  • ใช้เครื่องปรับอากาศ หรือเครื่องลดความชื้น
  • ใช้พัดลมดูดอากาศในห้องน้ำ หรือในห้องครัวเพื่อลดความชื้น

การป้องกันน้ำกลั่นตัวเป็นหยดน้ำ

  • ลดความชื้นภายในบ้าน
  • ให้อากาศภายในห้องถ่ายเทโดยการเปิดหน้าต่างหรือใช้พัดลมดูดอากาศ
  • เพิ่มอุณหภูมิห้อง
  • ใช้ผ้าพันวัสดุที่มีผิวเย็นเช่นโลหะ

การตรวจสอบเชื้อรา

โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องมีการนำไปตรวจสอบเชื้อ เพราะเราเห็นด้วยตา และกรรมวิธีตรวจสอบก็มีขั้นตอนมากมาย

การค้นเชื้อราในที่ลับ

เชื้อราขึ้นในที่ลับ

เชื้อราในท่อแอร์

เชื้อราที่wall paper

เชื้อราที่ผนัง

ห้องที่มีความชื้นแต่คุณไม่สามารถตรวจสอบว่ามีเชื้อรา ผู้ที่อยู่อาศัยมีปัญหาเกี่ยวกับภูมิแพ้ แต่ไม่สามารถตรวจสอบหาเชื้อราให้ถึงถึงเชื้อราในที่ลับในที่นี้หมายถึงบริเวณที่เรามิได้นึกถึงเช่น ใต้พรม ด้านบนของฝ้าเพดาน ใต้ wall paper ผนังด้านในของท่อแอร์ ฝาผนังเป็นต้น

เมื่อคุณสงสัยว่าจะมีเชื้อราซ่อนเร้นให้ปรึกษาผู้เชียวชาญเพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง

การน้ำยาฆ่าเชื้อรา

โดยทั่วไปไม่แนะนำให้ใช้น้ำยาฆ่าเชื้อรา เพราะเราไม่สามารถห่าเชื้อได้หมด เราเพียงแต่แก้ไขเรื่องความชื้นเชื้อราก็ไม่สามารถเจริญเติบโต จะพิจารณาในกรณีที่ผู้อยู่อาศัยเป็นโรคที่มีภูมิคุ้มกันไม่ดี

การแก้ไขเมื่อมีการเปียกน้ำของวัสดุในบ้าน

วัสดุ การแก้ไข
หนังสือและกระดาษ
  • หนังสือหรือกระดาษไม่มีค่าก็ให้ทิ้ง
  • ทำสำเนาเก็บไว้ ส่วนที่เปียกทิ้งไป
  • แช่แข็ง
พรม
  • ให้เอาน้ำออกโดยใช้เครื่องดูดน้ำจากพรม
  • ลดความชื้นของห้อง
  • ใช้พัดลมช่วย
ฝ้า
  • ให้เปลี่ยนใหม่
ฉนวนหุ้มท่อแอร์
  • ให้เปลี่ยนใหม่
คอนกรีต ถ่าน
  • ให้เอาน้ำออกโดยใช้เครื่องดูดน้ำ
  • ใช้พัดลมหรือเครื่องทำความร้อนช่วย
ปลอกไฟเบอร์
  • ทิ้งและเปลี่ยนใหม่
เสื่อน้ำมัน กระเบื้อง กระเบื้องยาง
  • ใช้เครื่องดูดน้ำ หรือเช็ดให้แห้ง
  • ให้ตรวจใต้เสื่อว่าเปียกหรือไม่
ผนังยิบซัม
  • ถ้าไม่บวมก็ไม่ต้องเปลี่ยน
  • ใช้พัดล่มช่วย
ผ้าม่าน
  • ถอดไปซักและทำให้แห้ง

ได้ดูตัวอย่างการปฏิบัติตัวของคุณพ่อ (พลตรีพงศ์ เภกะนันทน์) ซึ่งมีอายุยืนยาวถึง 91 ปี ไม่เคยเจ็บป่วยร้ายแรง มีความสมดุลในการดำรงชีวิตทุกด้าน คือ..

       1. กินอาหารทุกชนิดครบ 5 หมู่ + วิตามินเสริมแร่ธาตุ

       2.ออกกำลังกายทุกวัน (ตีแบดมินตั้น นับคะแนนแพ้-ชนะ)

       3. กินยาหมอเฉย..หมอยิ้ม..อารมณ์ดี ปล่อยวาง

      4.ทำงานบ้านเบาๆและออกแดดยามเช้าทุกวัน

      5.อ่านหนังสือและเขียนบันทึกฝึกสมองเสมอๆ

     6.นอนเป็นเวลา ไม่ดึกเกินไป

     7.ออกจากบ้านไปเข้าสังคมพบเพื่อนฝูงญาติมิตรเป็นประจำ

     8.ถือศีลฟังธรรมตามกาล

     9.หมั่นตรวจสุขภาพประจำปีและซ่อมสุขภาพตามคำสั่งหมออย่างเคร่งครัด ถือหลัก หยิน-หยาง เพื่อสร้างสมดุลของร่างกาย

      ท่านเพิ่งเสียชีวิตด้วยโรคชราด้วยอาการเส้นโลหิตในสมองแตก ไม่เป็นอัมพาธ รู้ตัวตลอดจนสิ้นลมภายใน 11 วัน ด้วยอาการสงบ....

                               nongnarts

     

สาวิตรี ศรีธรรมราช_Far039(47)

14 พฤติกรรม เสี่ยง 'มะเร็ง'

ความน่ากลัวของ “มะเร็ง” คือ เป็นแล้วมักลาม หายแล้วเป็นใหม่ได้ ด้วยเหตุนี้ผู้ป่วยหลายคนจึงถูกมะเร็งคร่าชีวิตไปนับไม่ถ้วน แม้จะได้รับการเยียวยารักษาอย่างดีแล้วก็ตาม

สำหรับพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งนั้น นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ บอกว่า มี 14 ประการ ดังต่อไปนี้

1.นอนดึก ทำให้ไม่มีฮอร์โมนต้านมะเร็งหลั่งออกมา นอกจากนี้ยังจะทำให้เกิดโรคร้ายอื่น เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง และโรคอ้วน เพราะการนอนดึก มักจะหิวและต้องหาของขบเคี้ยวมากินแก้ปากว่างกัน

2.คึกสูบบุหรี่และขี้เหล้า ทั้งสองสิ่งนี้ทำให้ปอดและตับทำงานหนัก ทำให้คนที่เสพทั้งแก่เร็วและตายไวได้จากโรคมะเร็ง

3.เอาแต่ไขมันเข้าปากและอยากแต่เนื้อแดง ไขมันอิ่มตัวและโปรตีนจากเนื้อนั้นเป็นแหล่งอาหารชั้นหนึ่งของมะเร็งที่จะใช้เจริญเติบโตได้ไม่แพ้ทารกเกิดใหม่ มัน จะสร้างหลอดเลือดยื่นไปดูดกินเลือดเนื้อของเราจนแทบ ไม่เหลือเลือดอันสมบูรณ์ไปเลี้ยงอวัยวะอื่น ตัวเราจึงผอมเอา ๆ ตรงข้ามกับมะเร็งกาฝากที่โตไว

4.แฝงด้วยเครียดจัด จนมีสารทุกข์หลั่งออกมาหล่อเลี้ยงมะเร็งให้โตขึ้นเร็ว ราวกับน้ำมันราดบนกองไฟให้คุโชนขึ้น

5.ไวรัสตับอักเสบบีและมีภูมิแพ้ที่รักษาไม่หาย ในคนที่ภูมิไม่ดี ไม่มีการออกกำลัง พักผ่อนน้อย โดยเฉพาะผู้อายุมากที่ภูมิต่ำก็จะได้มะเร็งแถมเข้ามาในชีวิตทันที ดังนั้นถ้าเคยมีประวัติไวรัสตับอักเสบบีแล้ว ก็ต้องพยายามเสริมภูมิต้านโรคไว้ให้รู้สึกอยู่เสมอว่าเรามีระเบิดเวลาในกายจะได้ไม่ประมาท

6.ปล่อยกายให้อ้วน สร้างให้เกิดธาตุแก่ออกมาแช่อิ่มอวัยวะภายในร่างกาย และไขมันตามตัวยังสร้างให้เกิดฮอร์โมนกระตุ้นให้มะเร็งแบ่งตัวดีขึ้นด้วย

7.ล้วนขาดวิตามิน ด้วยวิตามินทำหน้าที่ต้านเชื้อมะเร็งให้ดับเป็นจุณไปก่อนที่จะเผยอหน้าขึ้นมาแบ่งตัวปนเปไปในร่างกายเรา

8.กินของร้อนจัดไป เช่น ซดชาร้อน หรือกาแฟร้อนจัดประเภทควันฉุย จะไปลวกให้เซลล์หลอดอาหารอักเสบอยู่ทุกบ่อย เมื่ออักเสบเป็นอาจิณก็จะมีโอกาสเปลี่ยนไปเป็นเซลล์มะเร็งง่ายขึ้น

9.ทำให้คอเลสเตอรอลลดต่ำ พบว่า ถ้าต่ำเกินไปก็ไม่ดี มีผลกับภูมิคุ้มกันที่แย่ลง เมื่อภูมิต่ำแล้วก็จะหมดปัญญาต้านเซลล์มะเร็งที่จะเข้ามาหา

10.ทำกลั้นปัสสาวะ น้ำปัสสาวะเป็นของเสียยิ่งอยู่นิ่งเป็นเวลานานจากการอั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำนิ่งในคลองแสนแสบซึ่งทิ้งไว้ไม่นานจะกลายเป็นน้ำเน่า แต่ถ้าเน่าในกระเพาะฉี่เราก็มีผลให้เกิดเซลล์มะเร็งงอกขึ้นมาได้

11.ปะทะเค็มจัด พบว่า สิ่งมีชีวิตที่ทานอาหารเค็มมีอัตราการเกิดมะเร็งสูงกว่า โดยเฉพาะในอาหารจำพวก เนื้อเค็ม เนื้อแห้ง หมูแดง ที่นอกจากเค็มแล้วยังมีสีแดงดีจากดินประสิวอีกด้วย

12.ประวัติมะเร็งในครอบครัว มะเร็งร้ายในครอบครัวบางอย่างสามารถถ่ายทอดมาทางพันธุกรรมได้ แม้จะไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์แต่ต้องรับไว้ด้วยความไม่เต็มใจ เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่ถ้าป้องกันไว้ดี ๆ แล้วบางทีก็ไม่เกิดขึ้นมา

13.ตัวตากแดดบ่อย แสงแดดเป็นรังสี ที่กระตุ้นอณูเซลล์ของคุณให้สะดุ้งตกใจจนเครื่องในรวนหมด เมื่อเครื่องในรวนแล้วก็ไม่สามารถที่จะคุมการแบ่งตัว ได้ ทำให้แบ่งต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งกลายเป็นก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ

14.ไม่ค่อยช่วยใคร ถ้าพูดให้ง่ายเข้า คือ เห็นแก่ตัวและไม่ค่อยได้ทำบุญนั่นเอง เพราะเมื่อใดก็ตามที่ได้หมั่นช่วยเหลือผู้อื่นจนชินแล้วเรามักไม่ค่อยได้นึกถึงตัวเองนัก และเมื่อไม่หมกมุ่นกับตัวเองแล้วก็ไม่ค่อยเกิดความ “อยาก” อันนำไปสู่ความเครียดร้อนอกร้อนใจ หรือถ้าไม่มีเวลาก็แค่อนุโมทนากับบุญที่เราได้พานพบก็ทำให้มี “สารสุข” หลั่งออกมาเสริมภูมิรู้สู้มะเร็งแล้ว.

สาวิตรี ศรีธรรมราช_Far039(47)

โรคแพ้สัตว์เลี้ยง

ตามที่มีข่าว นายบารัค โอบามา ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่ กำลังหาสุนัขประจำทำเนียบขาว แต่มีข้อจำกัดว่า จะต้องเป็นสุนัขที่ไม่กระตุ้นโรคภูมิแพ้ เพราะลูกสาวเป็นโรคภูมิแพ้สุนัขนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์อเมริกันบอร์ดสาขาโรคผิวหนังและภูมิแพ้ผิวหนัง บอกว่า ปัจจุบันพบโรคภูมิแพ้ที่เกิดจากสัตว์เลี้ยงบ่อยมาก ในสหรัฐ พบว่าผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ 15-30% เกิดจากการแพ้สัตว์เลี้ยง ดังนั้นในสหรัฐจึงมีคนแพ้สุนัขและแมวถึงกว่า 10 ล้านคน ด.ญ.มาเลีย ลูกสาวคนโตของโอบามาวัย 10 ขวบ ก็เป็นโรคภูมิแพ้ต่อสุนัข ไม่มีสุนัขพันธุ์ใดที่ไม่กระตุ้นโรคภูมิแพ้ และความเข้าใจที่ว่าโรคภูมิแพ้เกิดจากขนสุนัขนั้นผิด ที่จริงแล้วสารก่อภูมิแพ้ในสุนัขนั้น คือ โปรตีนที่อยู่ในเศษขี้ไคล น้ำลายและฉี่ ซึ่งสุนัขทุกตัวมีโปรตีนเหล่านี้

อาการของการแพ้สัตว์เลี้ยง คือ ไอ คันตามีน้ำตาไหล น้ำมูกไหล จามคัดจมูก หายใจลำบาก หอบหืด ผื่นคันที่ใบหน้า คอ แขนขาและลำตัว

อาการเหล่านี้มักกำเริบหลังสัมผัสสัตว์เลี้ยงภายใน 30 นาที แต่ในบางรายก็อาจแสดงอาการในเวลาหลายชั่วโมงอาการแพ้สัตว์เลี้ยงพบบ่อยในผู้ที่ชอบนำสัตว์เลี้ยงมาไว้ในห้องนอน ผู้ที่ทำงานที่ต้องใช้สัตว์ในการทดลอง สัตวแพทย์ ช่างแต่งขนสุนัข การแพ้สุนัข แมว และม้า มักเกิดจากโปรตีนที่พบในเศษขี้ไคล น้ำลาย และ ฉี่ ส่วนการแพ้กระต่าย หนูแฮมสเตอร์ หนูตะเภา หนูแก็ตสบีนั้น เป็นการแพ้โปรตีนที่อยู่ในฉี่มากกว่า

สำหรับคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ที่ต้องการเลี้ยงสุนัขจริง ๆ อาจต้องปรึกษาแพทย์ และไม่ควรให้สุนัขเข้าห้องนอน

เพราะเศษขี้ไคลสุนัขมักสะสมตามหมอน ผ้าปูเตียง และให้ซักผ้าปูที่นอนปลอกหมอนด้วยน้ำร้อนจัด ควรอาบน้ำให้สุนัขทุกสัปดาห์ หรือสัปดาห์ละสองครั้ง เวลาแปรงขนให้สุนัข ควรแปรงในที่โล่งและต้องสวมหน้ากาก ถ้าสุนัขเป็นโรคผิวหนังต้องพาไปหาสัตวแพทย์ ต้องทำความสะอาดเสื้อ ที่นอน และของเล่นของสุนัขอย่างสม่ำเสมอ เครื่องใช้ในบ้านเช่น โซฟา ควรบุด้วยหนังไม่ควรบุผ้า นอกจากนี้ควรล้างมือล้างหน้าหลังเล่นกับสุนัขทุกครั้ง ถ้ากอดรัดฟัดเหวี่ยงกับสุนัขแล้ว ควรอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย การสวมเสื้อให้สุนัขอาจช่วยลดการกระจายของเศษขี้ไคลจากผิวสุนัขลงได้ พื้นบ้านไม่ควรใช้พรมปูพื้นเพราะทำความสะอาดยากและกักเก็บเศษขี้ไคลสุนัข ให้ใช้เป็นพื้นไม้เนื้อแข็งหรือปูกระเบื้องจะทำความสะอาดได้ง่ายกว่า.

สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547

                                               การตรวจสุขภาพ

การตรวจสุขภาพด้วยตัวเอง

ปัจจุบันสังคมไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงจากสังคมเกษตรกรรมไปสู่สังคมอุตสาหกรรม การใช้ชีวิตของคนเปลี่ยนไปทั้งในแง่การใช้แรงงานทำงานมาใช้สมองนั่งโต๊ะทำงาน การใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบทำให้เกิดความเครียด ขาดการออกกำลังกาย ขาดการรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ ขาดความสนใจต่อสุขภาพตัวทำให้เกิดโรคต่างๆซึ่งเกิดจากการไม่ดูแลตัวเองให้ดีเช่น โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดสมอง ความดันโลหิตสูง โรคมะเร็งซึ่งโรคเหล่านี้สามารถป้องกันหรือลดอุบัติการณ์ได้โดยการที่เราใส่ใจดูแลตัวเอง เพียงใช้เวลาวันละประมาณ 1 ชั่วโมงก็สามารถทำให้สุขภาพดีขึ้น

คนไทยทุกวันนี้รักสุขภาพมากขึ้นจะเห็นได้จากกระแสการใช้สมุนไพร การนวด spa ชาเขียว อาหารเสริมต่างๆ การตรวจสุขภาพต่างๆ ทั้งที่อาจจะไม่มีรายงานว่าได้ผลจริงทำให้เกิดการสูญเสียทางเศรษฐกิจและเสียงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อน

ในความหมายของคนทั่วไปการตรวจสุขภาพคือไปพบแพทย์และตรวจตามโปรแกรมตามที่แพทย์หรือโรงพยาบาลเสนอ ในความเป็นจริงการตรวจสุขภาพตนเองควรจะเริ่มต้นโดยตัวเองสำรวจสุขภาพตนเองได้แก่

คำแนะนำให้ทำเป็นประจำ

การพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพ

แม้ว่าคุณจะดูแลสุขภาพของคุณอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม ยังมีความจำเป็นสำหรับคนบางประเภทที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสูง สมควรที่จะได้พบกับแพทย์เพื่อตรวจร่างกายและเจาะเลือด สภานพยาบาลหลายแห่งจึงจัดรายการตรวจสุขภาพ ทั้งการตรวจหาโรคหัวใจ การตรวจหาโรคมะเร็งซึ่งการตรวจบางอย่างเกินความจำเป็น

ควรจะตรวจสุขภาพตั้งแต่อายุเท่าใด

ในความเป็นจริงเราเริ่มต้นตรวจสุขภาพตั้งแต่แรกเกิดเลย จะเห็นได้ว่าหลังจากคลอดคุณหมอจะนัดพาเด็กไปตรวจสุขภาพชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดรอบศีรษะและฉีดวัคซีนป้องกันโรค แต่สำหรับผู้ใหญ่ที่แข็งแรง ไม่มีโรคทางกรรมพันธุ์ในครอบครัวก็อาจจะจะเริ่มต้นตรวจเมื่ออายุ 35 ปี แต่หากคุณเป็นคนอ้วน มีประวัติเบาหวานในครอบครัว ประวัติโรคหลอดเลือดหัวใจของญาติสายตรง ไขมันสูงในครอบครัวหรือเจ็บป่วยบ่อยก็อาจจะเริ่มต้นตรวจที่อายุน้อยกว่านี้บางประเทศเช่นในอเมริกาแนะนำให้ตรวจไขมันในเลือดตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป ส่วนเรื่องความถี่ก็ขึ้นกับสิ่งที่ตรวจพบหากพบว่ามีโรคหรือเสี่ยงต่อการเกิดโรคก็อาจจะต้องตรวจถี่ หากไม่เสี่ยงก็อาจจะตรวจทุก 3-5 ปี

จะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

หากต้องการเจาะเลือดควรจะงดอาหารไปอย่างน้อย 8 ชั่วโมงหากต้องการตรวจไขมันในเลือดควรจะงดอาหาร 12 ชั่วโมง หากไม่ได้ตรวจไขมันหรือน้ำตาลก็ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร หลังจากเจาะเลือดก็ไปรับประทานอาหาร สิ่งที่สำคัญคือคุณต้องทำตัวเหมือนปกติก่อนตรวจไม่ควรที่จะควบคุมตัวเองเป็นพิเศษเพื่อที่จะให้ผลตรวจออกมาดี ไม่ควรกังวลหรือดื่มสุรก่อนการตรวจ การอดอาหารหมายถึงอาหารทุกอย่างทั้งน้ำชา กาแฟ นมดื่มได้เฉพาะน้ำเท่านั้น ม่ควรจะออกกำลังกายก่อนการเจาะเลือดเพราะมีผลต่อการตรวจเลือด

แพทย์เขาจะตรวจอะไรบ้าง

การตรวจร่างกายโดยทั่วไปจะเริ่มต้นซักประวัติ

  • สุขภาพโดยทั่วไป
  • ประวัติโรคในครอบครัวเพื่อค้นหาโรคทางพันธุกรรม
  • ประวัติการเจ็บป่วยในอดีต
  • ประวัติการใช้ยา
  • การตรวจร่างกาย วัดความดันโลหิต ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง คำนวณดัชนีมวลกาย ตรวจร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า สำหรับผู้หญิงก็แนะนำเรื่องการตรวจเต้านมด้วยตัวเอง และการตรวจภาย

การเจาะเลือดเขาตรวจดูอะไรบ้าง

โดยปกติก็จะมีการตรวจเลือด CBC,LFT,Lipid,Creatinin,Urine analysis,X-ray แต่หากคุณต้องการตรวจอย่างอื่นให้ปรึกษาแพทย์ ตารางที่แสดงข้างล่างจะแสดงชื่อโรค วิธีการตรวจ และข้อบ่งชี้ในการตรวจ

โรคที่อยากรู้
รายการตรวจ
ข้อบ่งชี้ในการตรวจ
การวัดความดันโลหิต ความดันโลหิต
  • 18-35ปีให้วัดทุก 2 ปี
  • มากกว่า35ปีให้วัดทุกปี
การวัดสายตา วัดสายตา
  • ผู้ที่อายุมากกว่า 40ปีให้ตรวจทุกปี
การตรวจเต้านม มะเร็งเต้านม การตรวจเต้านมโดยแพทย์
  • 20-40ปีให้ตรวจทุก 3 ปี
  • มากกว่า 40ปี ให้ตรวจทุกปี
การตรวจรังสีเต้านม Mamography
  • ควรทำในผู้ที่อายุมากกว่า 40 ปี
  • ญาติสายตรงที่เป็นมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งรังไข่
การตรวจทางทวารหนักมะเร็งลำไส้ใหญ่ การใช้นิ้วล้วงก้น
  • ผู้ที่อายุมากกว่า 35 ปีให้ตรวจทุก 3 ปี
ภาวะโลหิตจาง CBC
  • ตรวจสุขภาพทุกครั้ง
การตรวจแยกฮีโมโกลบิน Hemoglobin typing
  • ก่อนการแต่งงาน
การตรวจปัสสาวะ การตรวจปัสสาวะ
  • ตรวจสุขภาพทุกครั้งทุกวัย
ตรวจพยาธิ ตรวจอุจาระ
  • ทุกวัยให้ตรวจทุก 3-5 ปี
โรคเบาหวาน
ระดับน้ำตาลในเลือด
ไขมันในเลือด
เจาะหาไขมัน
การทำงานของตับ
Liver function test  
ไต
BUN Creatinin(Cr)  
หัวใจ
  • ตรวจหาระดับน้ำตาล
  • ระดับน้ำตาลในเลือด
  • ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
  • X-ray ปอดและหัวใจ
  • การตรวจโดยการวิ่งสายพาน
  • Cardiac enzyme
โรคเก๊าท์ Uric acid  
การตรวจความหนาแน่นกระดูก Bone density
  • ผู้ที่มีน้ำหนักตัวน้อย
  • มีญาติสายตรงเป็นโรคกระดูกพรุน
  • ได้รับยาที่อาจจะเป็นโรคกระดูกพรุน เช่น steroid
ต่อมลูกหมาก PSA  
การตรวจภายใน PV ควรจะตรวจทุก 1 ปี
ต่อมไทรอยด์ Thyroid function test
  • ควรจะตรวจในรายที่เคยผ่าตัดธัยรอยด์ หรือได้รับไอโอดีนกัมมันตรังสี
โรคเอดส์ เจาะเลือดตรวจเอดส
การตรวจอัลตราซาวนด์ตับ Ultrasound
  • ผู้ที่เป็นโรคตับอักเสบบี
  • ผู้ที่เป็นโรคตับ
การตรวจความดันตา โรคต้อหิน

การตรวจตาสำหรับประชาชน

  • ตรวจทุก 1 ปี
  • สำหรับผู้ที่มีโรคเสี่ยง เช่น ต้อหิน สายตาสั้นมาก เบาหวาน
  • เริ่มตรวจเมื่ออายุมากกว่า40 ปี

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับตรวจสุขภาพ

การตรวจสุขภาพของประชาชนโดยทั่วไปหมายถึงการเจาะเลือดเมื่อทราบผลว่าไม่เป็นโรคก็สบายใจ แต่ในความเป็นจริงหากเขาอยู่ในความเสี่ยงของการเกิดโรคเขาจะต้องป้องกันเพื่อมิให้โรคนั้นเป็นกับตัวเขา ดังตัวอย่าง คนที่มีพ่อหรือแม่เป็นเบาหวาน ดังนั้นเขาจะมีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคเบาหวานเมื่อผลเลือดบอกไม่เป็นเบาหวานแทนที่เขาจะปรับฟฤติกรรมเพื่อป้องกันเบาหวาน แต่เขาก็ยังใช้ชีวิตแบบสบายๆ ไม่คุมน้ำหนักไม่ออกกำลังกาย หากดำรงชีวิตแบบเก่าสักวันหนึ่งเขาก็จะเป็นเบาหวาน

หรือคนที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเอดส์เมื่อผลเลือดปกติก็ควรที่จะลดความเสี่ยงของการติดเชื้อแต่เขาก็ยังมีพฤติกรรมเสี่ยงอยู่ หรือคนที่ดื่มสุราเจาะเลือดเพื่อตรวจดูว่าเป็นโรคตับหรือยังเมื่อผลเลือดปกติ เขาก็ยังดื่มสุราอยู่ การตรวจสุขภาพดังกล่าวไม่น่าจะมีผลดีต่อผู้ป่วย

การตรวจสุขภาพสตรการตรวจสุขภาพบุรุษ การแปลผลเลือด

สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547

อาหารที่รับประทานต้องมีพลังงานเพียงพอ และมีสารอาหารเพียงพอ

กลุ่มคนทั่วๆไป

  • รับประทานอาหารหลากหลายให้ครบห้าหมู่โดยหลีกเลี่ยงอาหารไขมันอิ่มตัว [Saturated fat],Tranfatty acid น้ำตาล เกลือ และสุรา
  • ปริมาณพลังงานที่ได้รับไม่ควรเกินค่าที่กำหนด

กลุ่มคนต่างๆ

  • ผู้ที่สูงอายุมากกว่า 50 ปีควรจะได้รับวิตามิน B12 เสริม
  • หญิงตั้งครรภ์หรือวางแผนตั้งครรภ์ควรจะเสริมอาหารที่มีธาตุเหล็ก และอาหารที่มีวิตามินซีสูงเพื่อเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็ก
  • หญิงตั้งครรภ์หรือวางแผนตั้งครรภ์ควรจะเสริมอาหารที่มีกรดโฟลิก
  • ผู้สูงอายุที่มีผิวคล้ำหรือไม่ถูกแดดควรจะได้วิตามินดีเสริม

สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547

                                      กลุ่มคนอ้วนหรือมีน้ำหนักเกิน

คำแนะนำ

  • การควบคุมน้ำหนักจะต้องรับประทานอาหารให้พลังงานที่ได้รับและใช้ไปเกิดความสมดุล
  • การลดน้ำหนักจะต้องค่อยลดพลังงานที่ได้รับจากอาหารโดยที่ไม่ขาดสารอาหาร และเพิ่มการออกกำลังกาย
  • สำหรับเด็กที่มีน้ำหนักเกินจะต้องปรึกษาแพทย์ดูแล ก่อนการจำกัดอาหาร
  • สำหรับคนท้องต้องควบคุมน้ำหนักอย่าให้เกิน
  • สำหรับคนทั่วไปที่มีโรคจะต้องปรึกษาแพทย์ก่อนการควบคุมอาหาร

การจัดการเรื่องน้ำหนัก

ปัญหาเรื่องคนอ้วนหรือน้ำหนักเกินเป็นปัญหาทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย นอกจากนั้นยังว่าว่าเด็กและเด็กวัยรุ่นมีปัญหาเรื่องน้ำหนักเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคเรื้องรังต่างๆตามมา คนที่มีน้ำหนักเกินมักจะเกิดจากพฤติกรรมในการรับประทานอาหารที่มากเกินไป และพฤติกรรมในการออกกำลังกายน้อยเกินไป ลำพังการลดปริมาณวันละ 100 กิโลแคลอรีก็จะป้องกันน้ำหนักเพิ่ม หรือลดปริมาณลงวันละ 500 กิโลแคลอรีก็จะทำให้น้ำหนักลดลงได้ แต่การลดน้ำหนักโดยให้ลดอาหารเป็นเรื่องยากจึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใส่น้ำตาล หรือการรับประทานอาหารมัน หรือเครื่องดื่ม คำแนะนำสำหรับการลดน้ำหนัก

  • การรักษาน้ำหนักให้ดีต้องปรับพลังงานที่ได้จากอาหารที่รับประทาน ให้สมดุลกับพลังงานที่เราใช้(น้ำหนักเท่าเดิม)
  • การป้องกันน้ำหนักเกินทำได้โดยการลดปริมาณอาหาร ลดน้ำตาล และเพิ่มการออกกำลังกาย

คำแนะนำสำหรับคนอ้วนแต่ละกลุ่ม

  • สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักต้องลดอาารที่มีแคลรี่ต่ำ
สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547

                                           การออกกำลังกาย

ส่งเสริมให้มีกิจกรรมให้มาก อย่านั่งๆนอนๆจะทำให้สุขภาพกาย สุขภาพใจ และการควบคุมน้ำหนักดีขึ้น

  • สำหรับผู้ใหญ่ ส่งเสริมให้มีกิจกรรมที่ใช้พลังงานปานกลาง มากกว่าปกติวันละ 30 นาทีทุกวันไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน หรือที่บ้าน เช่นการถูบ้าน การเดินขึ้นบันได การเดินเร็วๆไปจ่ายตลาด
  • ถ้าต้องการให้สุขภาพแข็งแรงให้ออกกำลังกายชนิดหนัก หรือออกกำลังกายนานขึ้น
  • ถ้าต้องการควบคุมน้ำหนักหรือป้องกันน้ำหนักเพิ่มต้องออกกำลังกายชนิดปานกลางหรือชนิดหนักวันละ 60 นาทีทุกวัน โดยที่รับประทานอาหารที่มีพลังงานเท่าเดิม
  • ถ้าต้องการลดน้ำหนักลดน้ำหนักต้องออกกำลังกายปานกลางถึงหนักวันละ 60-90 นาทีโดยที่รับประทานอาหารที่ให้พลังงานไม่เกิน

ส่งเสริมให้ร่างกายแข็งแรงโดยการ ออกกำลังเพื่อให้หัวใจแข็ง ออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ออกกำลังกายเพื่อให้ข้อเคลื่อนไหวได้ดี ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายมีความอดทน

การออกกำลังสำหรับกลุ่มต่างๆ

  • เด็กและวัยรุ่นให้ออกกำลังกายวันละ 60 นาทีทุกวัน
  • ในคนท้องที่ไม่มีข้อห้ามในการออกกำลังกายให้ออกกำลังปานกลางวันละ 30นาทีทุกวัน แต่ต้องหลีกเลี่ยงการออกกำลังที่จะเกิดอันตรายต่อการตั้งครรภ์
  • ผู้สูงอายุต้องมีกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อลดอัตราการเสื่อมของอวัยวะ

ข้อเท็จจริงบางประการ

  • ปี 2002ร้อยละ 25 ของประกรของอเมริกาไม่ได้ออกกำลังกาย
  • ปี2003 ร้อยละ 38 ของประชากรวัยรุ่นใช้เวลาดูทีวีวันละ 3 ชั่วโมง
  • การออกกำลังกายชนิดหนักจะให้ผลดีต่อสุขถาพดีกว่าชนิดปานกลาง และใช้พลังงานมากว่า
  • การออกกำำลังกายจะทำให้การควบคุมอาหารทำได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราคนที่ออกกำลังกายสามารถรับประทานอาหารได้เพิ่มขึ้น
  • ต้องป้องกันร่างกายขาดน้ำโดยการดื่มอย่างเพียงพอ หรือดื่มขณะออกกำลังกาย หรือหลังการออกกำลังกาย
  • ให้มีการออกกำลังกายอย่างสมำ่เสมอ ลดการนอนหรือดูทีวีซึ่งจะทำให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตดี
    • เพื่อป้องกันหรือลดอุบัติการณ์ของการเกิดโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ ให้ออกกกำลังกายปานกลางวันละ 30 นาที หรือกิจกรรมประจำวัน
    • หากออกกกำลังกายหนักเพิ่มขึ้น(ชนิดหนัก)ก็จะส่งผลดีต่อสุขภาพ
    • หากต้องการควบคุมน้ำหนักไม่ให้เพิ่มต้องออกกำลังกายชนิดปานกลางวันละ 60 นาทีทุกวัน
    • หากต้องการลดน้ำหนักอย่างต่อเนื่องต้องออกกำลังกายชนิดปานกลาง-หนักวันละ 60-90 นาที

คำแนะนำ

  • เด็กและวันรุ่นต้องออกกำลังกายวันละ 60 นาทีทุกวัน
  • คนท้องหากไม่มีข้อห้ามในการออกกำลังกายให้ออกกำลังกายปานกลางวันละ 30 นาทีทุกวัน แต่ต้องหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการหกล้ม
  • คนให้นมบุตร ต้องตระหนักว่าการออกกำลังกายอาจจะทำให้น้ำนมลดลง
  • คนสูงอายุ การออกกำลังสำหรับผู้สูงอายุจะทำให้สุขภาพดี ลดการเสื่อมของอวัยวะ แต่ผู้สูงอายุบางท่านต้องปรึกษาแพทย์ก่อนออกกำลังกาย
สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547

                                      คำแนะนำชนิดของอาหาร

  • รับประทานผักและผลไม้ให้มากโดยรับประทานน้ำผลไม้วันละ 2 แก้ว ผักวันละ 2 ถ้วย
  • ให้มีการรับประทานผักและผลไม้ที่หลากหลายสับเปลี่ยนกันอยู่ตลอดเวลา
  • ให้รับประทานธัญพืชวันละกำมือ เช่นถั่วต่าง เม็ดทานตะวัน เม็ดแตงโม
  • ให้รับประทานนมพร่องมันเนยหรือผลิตภัณฑ์นมพร่องมันเนยวันละ 3 ถ้วย

คำแนะนำอาหารสำหรับเด็ก

  • เด็กและวัยรุ่นต้องรับประทานธัญพืชบ่อยๆ เด็กอายุ 2-8ขวบควรจะดื่มนมพร่องมันเนยวันละ 2 แก้ว เด็กมากกว่า 9 ขวบควรดื่ม 3 แก้ว

กลุ่มอาหาร

  • เลือกรับประทานผักและผลไม้อย่างเพียงพอโดยพลังงานที่ได้รับต้องไม่เกินเกณฑ์ตัวอย่างคนที่ได้รับพลังงาน 2000 กิโลแคลรอรีจะรับผลไม้ได้ไม่เกิน ผัก 21/2ถ้วยหรือนำผลไม้ไม่เกิน 2 ถ้วย
  • ให้เลือกผักและผลไม้ทั้ง 5 กลุ่มสับไปมา
  • ให้รับประทานส่วนประกอบของธัญพืช หรือเมล็ดธัญพืช เช่น ข้าว อย่างน้อยวันละ 3 ส่วน
  • ดื่มนมพร่องมันเนยวันละ 3 ถ้วย

กลุ่มผักและผลไม้

  • ผลและผลไม้เป็นแหล่งให้สารอาหารแก่ร่างกายเป็นจำนวนมากตามตารางข้างล่าง
  • การรับประทานผักและผลไม้จะทำให้ร่างกายได้รับใยอาหารอย่างเพียงพอ
  • ผลและผลไม้แต่ละชนิดจะให้คุณค่าทางอาหารแตกต่างกันไป ดังนั้นต้องสับเปลี่ยนกันไปในแต่ละอาทิตย์ แบ่งผักออกเป็น 5 ชนิดและปริมาณที่ควรจะรับประทานในแต่ละสัปดาห์
    • ผักใบเขียว 3ถ้วยต่อสัปดาห์
    • ผักใบเหลือง 2 ถ้วยต่อสัปดาห์
    • ถั่ว 3 ถั่วต่อสัปดาห์
    • ผักพวกใหแป้ง(ผักพวกหัว) 3 ถั่วต่อสัปดาห์
    • ผักอื่นๆ 6 1/2 ต่อสัปดาห์

ธัญพืชครบส่วน Whole grain

ธัญพืชครบส่วนเป็นแหล่งที่ให้ใยอาหารและสารอาหาร ปกติเมล็ดพืช จะมีส่วนประกอบที่สำคัญคือ เปลือก รำ ส่วนแพร่พันธ์ และอาหารสำหรับเลี้ยงส่วนแพร่พันธ์ เมื่อเรากระเทาะเอาเปลือกออกก็จะเหลือธัญพืชครบส่วน(ซึ่งประกอบด้วย รำ ส่วนแพร่พันธ์ และอาหาร) หากเรานำไปขัดก็จะสูญเสียสารอาหารที่สำคัญ vitamins, minerals, lignans, phytoestrogens, phenolic compounds, and phytic acid. ธัญพืชที่ผ่านการขัดบางชนิดจะมีการเติมวิตามินบางชนิดก่อนขาย แนะนำว่าควรจะรับอาหารธัญพืขครบส่วนอย่างน้อยวันละ 3 ออนซ์ ตัวอย่างสำหรับแป้งที่ทำจากธัญพืช

ตารางแสดงธัญพืชครบส่วนที่ไม่ผ่านการขัดและที่ผ่านการขัด

 
100 Percent Whole-Grain Wheat Flour
Enriched, Bleached, All-Purpose White Flour
Calories, kcal
339.0
364
Dietary fiber, g
12.2
2.7
Calcium, mg
34.0
15
Magnesium, mg
138
22
Potassium, mg
405
107
Folate, DFE, ?g
44
291
Thiamin, mg
0.5
0.8
Riboflavin, mg
0.2
0.5
Niacin, mg
6.4
5.9
Iron, mg
3.9
4.6

ตารางแสดงธัญพืชครบส่วน

Whole wheat
Whole oats/oatmeal
Whole-grain corn
Popcorn
Brown rice
Whole rye
Whole-grain barley
Wild rice
Buckwheat
Triticale
Bulgur (cracked wheat)
Millet
Quinoa
Sorghum
สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547

                        คำแนะนำเรืองการรับประทานอาหารอย่างปลอดภัย

  • ล้างมือ อาหาร ผลไม้ทุกครั้ง
  • เวลาไปวื้อาหาร ให้แยกอาหารที่พร้อมรับประทานออกจากอาหารสด
  • ปรุงอาหารให้สุก
  • อาหารที่แช่เย็นหรือแช่แข็งต้องทำละลายก่อนไปปรุงอาหาร
  • หลีกเลียงอาหารสุกๆดิบๆ นมที่ไม่ได้มีการฆ่าเชื้อโรค ไข่ดิบ

แนวทางการรับประทานอาหารร่วมกับการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะช่วยลดอุบัติการณ์ของโรคต่าง

หากใช้เกณฑ์การรับประทานอาหารใหม่จะต้องปรับอาหารอย่างไร ปริมาณวิตามินที่ควรจะรับประทานในแต่ละอายุ

เกณฑ์อาหารสุขภาพใหม่ของอเมริกาเพิ่งจะประกาศ การทำเกณฑ์ใหม่จะอาศัยของมูลทางวิชาการซึ่งมีหลักฐานสนับสนุน เกณฑ์ใหม่นี้จะมีการเปลี่ยนแปลงหลายประการ และจะลงรายละเอียดถึงปริมาณสารอาหารรวมทั้งเกลือแร่ มีการศึกษาพบว่าลำพังการรับประทานอาหารให้ถูกต้องจะลดอัตราการเสียชีวิตลงได้ร้อยละ 16 และ9สำหรับชายและหญิงที่มีอายุมากกว่า 45 ปีการเปลี่ยงแปลงมีดังนี้ี้

  • ปริมาณผลไม้จะต้องมีการเพิ่มปริมาณที่รับประทานอีกร้อละ 100-150 เพิ่ม .8-1.2 ถ้วยตวง
  • ต้องมีการเพิ่มปริมาณผักอีกร้อยละ 50 เพิ่ม0.9 ถ้วยตวง
  • ต้องดื่มนมเพิ่มอีกร้อยละ 50-100 เพิ่ม 1.2-1.6 ถ้วงตวง
  • เนื้อสัตว์ลดลงร้อยละ10 เนื้อสัตว์ลดลง 1.4 oz
  • ลดอาหารไขมันลงร้อยละ10 ลดลง 4.2 กรัม
  • เพิ่มผักใบเขียวประมาณ ครึ่งถ้วยตวง
  • เพิ่มส้ม 0.2 ถ้วงตวง
  • เพิ่มอาหารจำพวกถั่ว 0.3 ถั่วตวง
  • เพิ่มธัญพืช 2.2 oz
  • ลดไขมัน 18-27 กรัม
  • ลดน้ำตาล 14-18 ช้อนชา
สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547

                                               คำแนะนำสำหรับอาหารไขมัน

  • รับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว saturated fat ต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของพลังงานที่ได้รับหรือไม่เกินวันละ 300 กรัมของคลอเลสสเตอรอลล์ และหลีกเลี่ยงไขมันชนิด trans fatty acid
  • ปริมาณพลังงานที่ได้จากไขมันต้องไม่เกิน 30%ของปริมาณทั้งหมด และควรจะเป็นพวกไขมันไม่อิ่มตัวpolyunsaturated
    and monounsaturated fatty acids จากพืชและถั่ว
  • เมื่อจะรับประทานเนื้อสัตว์ต้องเลือกเนื้อที่มีไขมันต่ำ เช่นเนื้อสันใน หรือแกะเอาหนังและไขมันทิ้ง
  • ลดการรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและไขมัน trans fatty
  • สำหรับเด็กเล็กอายุ 2-3 ขวบให้รับประทานไขมันได้ถึงร้อยละ 30-35 สำหรับเด็กอายุ 4-18 ปีให้รับประทานอาหารไขมันได้ถึงร้อยละ 25-35 และแหล่งไขมันควรจะเป็นไขมันไม่อิ่มตัว polyunsaturated and monounsaturated
    fatty acids,เช่น ปลา ถั่ว และน้ำมันพืช
สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547

       อัตราการเต้นหัวใจเป้าหมายTarget Heart Rate Calculator

การออกกำลังกายที่ดีจะทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงมี กล้ามเนื้อและข้อมีความยืดยุ่น หัวใจและหลอดเลือดแข็งแรงซึ่งเรียกว่า aerobic exercise การออกกำลังกายแบบนี้จะต้องออกกำลังให้หัวใจเต้นถึงเกณฑ์เป้าหมายซึ่งจะทำให้หัวใจและหลอดเลือดแข็งแรง ลดน้ำหนัก ลดไขมันในร่างกาย ป้องกันโรคเบาหวาน สูตรการคำนวณหาอัตราการเต้นหัวใจเป้าหมายอยู่บ้างล่าง

อายุของคุณ    
เลือกระดับของการออกกำลังกาย
 

ไม่เคยออกกำลังหรือเพิ่งจะเริ่มต้น
เริ่มต้นออกกำลังบ้างแล้ว
ออกกำลังสม่ำเสมอจนถึงปานกลาง
ออกกำลังกายหนักหรือหนักมาก

อัตราการเต้นหัวใจอยู่ระหว่าง
และ ครั้งต่อนาที

ท่านที่ออกกำลังกายแล้วน้ำหนักไม่ลดอาจจะเกิดจากการออกกำลังแล้วหัวใจเต้นไม่ได้ตามเกณฑ์เป้าหมาย หรืออาจจะไม่นานพอ หรืออาจจะรับประทานอาหารมากเกินไป

ท่านสามารถทราบว่าหัวใจเต้นตามเกณฑ์ได้อย่างไร

  • จากการจับชีพขจรที่ข้อมือ
  • จากเครื่องมือซึ่งมักจะติดมากับอุปกรณ์การออกกำลังกาย

ข้อควรระวังสำหรับผู้ที่จะออกกำลังกายอย่างหนัก

  • หากท่านมีโรคประจำตัว เช่นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ควรปรึกษาแพทย์
  • ท่านที่มีโรคหัวใจต้องปรึกษาแพทย์ว่าท่านออกกำลังกายได้หนักแค่ไหน
  • ท่านมี่มีอายุมากกว่า 40 ปีที่ไม่เคยออกกำลังกาย
  • ท่านที่มีน้ำหนักเกิน
  • ท่านที่มีอาการแน่นหน้าอกขณะออกกำลังกาย
  • ท่านที่เหนื่อยมากขณะออกกำลังกาย
  • หรือมีโรคอื่นๆ
สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547

 

                                        ดัชนีมวลกาย

 
น้ำหนัก: กิโลกรัม
    ส่วนสูง: เซ็นติเมตร

ดัชนีมวลกาย

การจัดระดับอ้วนนี้จัดตามการศึกษาของ The Asia-Paciffic Perspective:Redefinding obesity and its treatment Feb 2000:

ดัชนีมวลกายน้อยกว่า 18.5

คุณมีน้ำหนักน้อยเกินไป ซึ่งอาจจะเกิดจากนักกีฬาที่ออกกำลังกายมาก และได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ วิธีแก้ไขต้องรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ และมีปริมาณพลังงานเพียงพอ และออกกำลังกายอย่างเหมาะสม

ดัชนีมวลกายระหว่าง 18.5-22.9

คุณมีน้ำหนักปกติและมีปริมาณไขมันอยู่ในเกณฑ์ปกติ มักจะไม่ค่อยมีโรคร้าย อุบัติการณ์ของโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูงต่ำกว่าผู้ที่อ้วนกว่านี้

ดัชนีมวลกายอยู่ระหว่าง 23-24.9

คุณเริ่มจะมีน้ำหนักเกิน หากคุณมีกรรมพันธ์เป็นโรคเบาหวานหรือไขมันในเลือดสูงต้องพยายามลดน้ำหนักให้ดัชนีมวลกายต่ำกว่า 23

ดัชนีมวลกายอยู่ระหว่าง 25-29.9

คุณจัดว่าเป็นคนอ้วนระดับ1 และหากคุณมีเส้นรอบเอวมากกว่า 90 ซม.(ชาย) 80 ซม.(หญิง) คุณจะมีโอกาศเกิดโรคความดัน เบาหวานสูง จำเป็นต้องควบคุมอาหาร และออกกำลังกาย

ดัชนีมวลกายมากกว่า 30

คุณจัดว่าอ้วนระดับ2 คุณเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่มากับความอ้วน หากคุณมีเส้นรอบเอวมากกว่าเกณฑ์ปกติคุณจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคสูง คุณต้องควบคุมอาหาร และออกกำลังกายอย่างจริงจัง

สมศักดิ์ กันทะวัง เลขที่28 ภาคพิเศษจัน-ศุกร์ 50324547

การคำนวณพลังงานที่ใช้ในการออกกำลังกาย

 
เลือกชนิดของการออกกำลังกาย
ระยะเวลาที่ออกกำลัง (นาที.)
น้ำหนักของคุณ (ปอนด์.)

 


คุณได้ใช้พลังทั้งหมด(แคลอรี่)

ข้อแนะนำ-เพื่อให้การออกกำลังกายได้ประสิทธิภาพเต็มที่ คุณต้องออกกำลังกายจนได้อัตราการเต้นของหัวใจตามเป้าหมาย การออกกำลังกายอย่างหนักแต่ใช้เวลาสั้นๆจะไม่สามารถลดน้ำหนัก การออกกำลังกายที่หนักพอควรหัวใจเต้นตามเป้าหมายและนานพอควรจะทำให้เกิดการเผาผลาญของไขมัน และแข็งแรง

รีดแคลอรีส่วนเกิน

ความอ้วนกับสาว ๆ มักเป็นของ (ไม่คู่กัน) โดยเฉพาะวัยทีนทั้งหลาย จะกังวลกับเรื่องรูปร่างเป็นพิเศษ หลายคนถึงขนาดอดอาหารจนหิว หรือไม่ก็โหมออกกำลังกายจนหนักหน่วง แต่รู้หรือไม่? อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดแคลอรีส่วนเกินนั้น มาจากพฤติกรรมประจำวันของเรานี่เอง

มีวิธีลดแคลอรีไม่พึงประสงค์มาฝาก ขอบอกว่าง่าย ๆ แค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเท่านั้นเอง

1.ไม่ควรงดอาหาร ไม่ว่าจะมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะจะทำให้หิวและทานมื้อถัดไปมากขึ้น ที่สำคัญไม่ควรงดอาหารเช้า เพราะอาหารเช้าจะช่วยให้ทานอาหารมื้ออื่น ๆ ได้น้อยลง

2.ทานอาหารให้อิ่มพอดี ไม่ควรทานจนรู้สึกอึดอัด หรือหลายคนเสียดายอาหารที่เหลือ แต่นั่นแหละ คือ ตัวการเพิ่มแคลอรี ทางที่ดีควรกำหนดปริมาณอาหารที่จะรับประทานแต่ละมื้อให้พอเหมาะ โดยการตักแต่พอดี และระหว่างทานควรเคี้ยวช้า ๆ จะทำให้ทานอาหารได้น้อยลง และรู้สึกอิ่มเร็วขึ้น

3.กินน้ำ / ลูกอม แทนขนม ในระหว่างวันหากรู้สึกหิว ลองเปลี่ยนจากการทานขนมเป็นน้ำเปล่า หรือลูกอมแทน ในส่วนของลูกอมนั้นมี 20 แคลอรี ช่วยให้หายหิวได้ประมาณ 20 นาที แต่! ไม่ควรทานเป็นของจุกจิก เพราะความหิวหายไปจริง แต่ฟันผุอาจมาเยือนแทน

4.ใช้บันไดแทนลิฟต์ หากห้องเรียนหรือห้องทำงาน อยู่บนชั้นที่ไม่สูงมากก็ควรใช้บันได หรือหากอยู่บนชั้นสูง ๆ ควรออกจากลิฟต์ก่อนถึงชั้นที่อยู่ประมาณ 2 ชั้น แล้วชั้นที่เหลือใช้เดินขึ้นบันไดแทน เพราะการเดิน 5-10 นาที เป็นวิธีช่วยเผาผลาญแคลอรีระหว่างวันได้ดี

5.พักผ่อนให้เพียงพอ เพราะการนอนดึกจะยิ่งทำให้อยากทานของจุกจิก ตรงกันข้ามหากได้นอนเต็มที่ ร่างกายจะสามารถเพิ่มระบบเผาผลาญได้มากขึ้นจากปกติถึง 40%

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมข้างต้น มีส่วนช่วยลดแคลอรีส่วนเกินที่ไม่พึงประสงค์ของสาว ๆ ได้อย่างดี ที่สำคัญเป็นวิธีไดเอทที่ไม่ต้องอด ทั้งยังรักษาสมดุลให้ร่างกายแข็งแรง สดใสอีกด้วย.

โรคหัวใจ

สถานการณ์โรคหัวใจ

โรคหัวใจอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งอาหาร ความเครียด และการไม่ออกกำลังกาย รวมไปถึงการใช้ชีวิตแบบตะวันตก เช่น การเดินทางด้วยยานยนต์อันสะดวกสบาย การบริโภคเนื้อและเนยแข็งปริมาณมาก หรือการนั่งทำงานบนเก้าอี้นุ่มๆ ทั้งวัน คือปัจจัยที่ส่งผลให้จำนวนผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงทางพันธุกรรมเป็นอีกตัวแปรหนึ่งด้วย

ในบรรดาโรคเกี่ยวกับหัวใจต่างๆ อาทิเช่น ลิ้นหัวใจรั่วและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบนั้น ภาวะหลอดเลือดแดงหัวใจตีบแข็ง (atherosclerosis) ที่ทำให้หลอดเลือดแดงที่นำออกซิเจนเข้าสู่หัวใจตีบและแข็งตัว คือสาเหตุการเสียชีวิตของผู้คนปีละ 7.2 ล้านคนทั่วโลก แม้ว่าจะเข้ารับการรักษาแล้ว แต่โรคนี้อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการเส้นเลือดอุดตันและโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้อีกในภายหลัง อันอาจส่งผลให้เกิดอาการหัวใจวายและนำไปสู่หัวใจล้มเหลวได้ในที่สุด

แพทย์อาจรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจโดยการสั่งยาลดคอเลสเตอรอล ซึ่งช่วยขยายหลอดเลือดแดง แนะนำให้ผู้ป่วยปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต หรือทำการผ่าตัดในรายที่มีอาการรุนแรง นั่นคือการขยายหลอดเลือดหัวใจตีบ การผ่าตัดเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจที่มีปัญหา หรือการทำบายพาส การปลูกถ่ายหัวใจใหม่จะช่วยชีวิตผู้ป่วยที่หัวใจเสียหายขั้นรุนแรง ในขณะที่หัวใจเทียมหรือหัวใจโพลียูรีเทนจะยืดชีวิตผู้ป่วยที่รอรับการบริจาคหัวใจมนุษย์ได้ แม้จะมีราคาสูงลิบลิ่ว แต่ความต้องการหัวใจเทียมนี้กลับสูงมาก

อย่างไรก็ตาม แม้การรักษาโรคหัวใจโดยวิธีต่างๆ ข้างต้นจะช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น หายใจสะดวกขึ้น และอาจมีชีวิตยืนยาวขึ้น แต่ก็ยากจะรักษาให้หายขาดได้ และในสถานการณ์ที่โรคหัวใจพบได้ทั่วโลก และมีอัตราการเกิดโรคสูงขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้ วิธีแก้ปัญหาชั่วครั้งชั่วคราวเหล่านี้ไม่สามารถตอบได้ว่า ใครบ้างที่มีความเสี่ยงจะเกิดอาการหัวใจวาย และเพราะเหตุใด

แนวคิดในการรักษาโรคหัวใจ

เลือดแต่ละระลอกจะไหลออกจากหัวใจด้วยแรงดันมหาศาล ปกติกระแสการไหลเวียนโลหิตที่มีความดันขนาดนี้จะช่วยให้หลอดเลือดสะอาดเกลี้ยงเกลาได้ แต่ในจุดที่หลอดเลือดแดงโค้งงอ เลือดจะไหลช้าและหมุนวนคล้ายกระแสน้ำวน ทำให้คอเลสเตอรอลและไขมันที่เหนียวคล้ายขี้ผึ้งแทรกตัวเข้าไปในผนังหลอดเลือดแดงและรวมตัวกับออกซิเจน เมื่อสารอื่นๆ เข้ามาสะสมรวมตัวอยู่ด้วย ก็จะทำให้คราบไขมันก่อตัวเป็นแคลเซียมคล้ายหินปูนเกาะอยู่ในหลอดเลือดแดง

หัวใจวายส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพราะคราบหินปูนที่ฝังอยู่ในผนังหลอดเลือดแดงแตก ทำให้ผนังหลอดเลือดฉีกขาดและไปกระตุ้นให้เกิดการก่อตัวของลิ่มเลือด ซึ่งจะปิดกั้นการไหลเวียนของเลือดไปยังกล้ามเนื้อหัวใจ ทำให้หัวใจหยุดทำงานเพราะขาดออกซิเจนและสารอาหาร เปรียบได้กับปั๊มที่จู่ๆ ก็หยุดทำงานไปเฉยๆ

ก่อนหน้านี้ หทัยแพทย์รักษาโรคหัวใจเหมือนช่างซ่อมท่อน้ำ ตะกอนที่ขัดขวางการไหลของน้ำในท่อเปรียบได้กับคราบหินปูนสะสมที่ขัดขวางการไหลของเลือดในหลอดเลือดแดง ยิ่งมีคราบสกปรกมากเท่าใด โอกาสที่หลอดเลือดแดงตีบจะก่อให้เกิดหัวใจวายก็มากขึ้นเท่านั้น แต่แพทย์ในปัจจุบันจะมองลึกลงไปถึงระดับโมเลกุล เพราะการรักษาโรคหัวใจไม่ใช่แค่การขจัดคราบสกปรกในหลอดเลือดเท่านั้น

หลักฐานการค้นพบหนึ่งที่หักล้างแนวคิดเรื่องท่อตันก็คือ อาการหัวใจวายมักพบในหลอดเลือดแดงที่มีการอุดตันเล็กน้อยหรือปานกลาง และการเกิดหัวใจวายขึ้นกับ ชนิด ของคราบหินปูนมากกว่าปริมาณ นักวิทยาศาสตร์พยายามหาคำตอบว่า ไขมันชนิดใดคือตัวการสำคัญที่สุด และผลที่อาจฟังดูขัดกับความเชื่อเดิม ชี้ชัดว่า คราบหินปูนเกิดใหม่ที่มีลักษณะอ่อนนุ่มและอุดมด้วยคอเลสเตอรอล จะไม่ค่อยมั่นคงและแตกได้ง่ายกว่าคราบหินปูนแข็งๆ ที่เกาะเต็มหลอดเลือด แต่เรายังต้องศึกษาอีกมากกว่าจะเข้าใจสาเหตุแท้จริงของการเกิดโรค เพราะหัวใจมนุษย์นั้นไม่ได้หล่อขึ้นจากแม่พิมพ์เหมือนท่อประปา แต่เป็นผลผลิตจากยีน ไม่ต่างจากอวัยวะอื่นๆ ในร่างกาย

โรคหัวใจที่เกิดจากยีนผิดปกติ

เมื่อหัวใจของมนุษย์เป็นผลผลิตจากยีน จึงมีความเป็นไปได้ที่โรคเกี่ยวกับหัวใจจะเกิดขึ้นจากความผิดปกติของยีน ผลการศึกษาดีเอ็นเอของครอบครัวสเตฟเฟนเซนซึ่งอยู่ในสหรัฐอเมริกาชี้ให้เห็นว่า ยีนที่ผิดปกติบางตัวอาจก่อให้เกิดโรคหัวใจ และยีนผิดปกติเหล่านี้ยังสามารถถ่ายทอดไปสู่สมาชิกในครอบครัวได้

ครอบครัวสเตฟเฟนเซนนั้นมีสมาชิกในครอบครัวซึ่งป่วยเป็นโรคหัวใจหลายคน แต่กระนั้น ก็ไม่มีใครเฉลียวใจและคิดที่จะค้นหาสาเหตุของโรค เนื่องจากลงความเห็นว่าเป็นเพราะอาหาร

ถึงแม้การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง และพฤติกรรมบางอย่าง เช่น การไม่ออกกำลังกาย ความเครียด และการสูบบุหรี่ จะเป็นตัวการหลักที่เชื่อว่าเป็นต้นเหตุให้เกิดโรคหัวใจ แต่ความผิดปกติของยีนที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมก็เป็นสาเหตุต้องสงสัยที่ไม่ควรมองข้าม ในที่สุด สมาชิกหลายคนในครอบครัวสเตฟเฟนเซนก็ตัดสินใจส่งตัวอย่างเลือดไปยังคลีฟแลนด์คลินิก ซึ่งทำการศึกษาวิจัยเรื่องการเกิดโรคหัวใจทางพันธุกรรมทำการตรวจสอบ หทัยแพทย์และนักวิจัยด้านพันธุศาสตร์ทำการตรวจและศึกษาดีเอ็นเอของสมาชิกในครอบครัวสเตฟเฟนเซนอยู่หนึ่งปี และพบการกลายพันธุ์ในยีน เอ็มอีเอฟทูเอ (MEF2A) ซึ่งสร้างโปรตีนผิดปกติที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ

ในการศึกษาการกลายพันธุ์ของ เอ็มอีเอฟทูเอ นักวิจัยได้เพาะเลี้ยงเซลล์เนื้อเยื่อบุผนังด้านในหลอดเลือดแดง ทั้งเซลล์ที่มีโปรตีนสเตฟเฟนเซนและเซลล์ที่มีโปรตีนปกติ เซลล์โปรตีนทั้งสองจะติดสารเรืองแสงสีเขียว เพื่อบอกตำแหน่งบนจอคอมพิวเตอร์ ภาพที่ได้แสดงความแตกต่างอย่างชัดเจน โปรตีน เอ็มอีเอฟทูเอ ในเซลล์ปกติจะอยู่กลางนิวเคลียส ทำให้ดูคล้ายไข่ดาวที่มีไข่แดงเรืองแสงสีเขียว ขณะที่นิวเคลียสของเซลล์ที่มีโปรตีนกลายพันธุ์ไม่เรืองแสง แต่กลับมีเส้นสีเขียวสว่างบางๆ ของโปรตีน เอ็มอีเอฟทูเอ เรียงอยู่ตามขอบเยื่อหุ้มเซลล์ นักวิจัยเชื่อว่า ความผิดปกติดังกล่าวส่งผลต่อความแข็งแรงของผนังหลอดเลือดแดงหัวใจ ทำให้หลอดเลือดร้าวได้ง่ายเมื่อคราบหินปูนที่อยู่ข้างในแตกออก และรอยร้าวแต่ละรอยก็คือความเสี่ยงต่อหัวใจวายที่เพิ่มขึ้น

ถึงแม้ว่านักวิทยาศาสตร์จะพบการกลายพันธุ์ของยีนอื่นๆ ที่ส่งผลต่อการเกิดโรคหัวใจนอกเหนือจาก เอ็มอีเอฟทูเอ และถึงแม้ว่าความผิดปกติของ เอ็มอีเอฟทูเอ จะพบได้น้อยมาก แต่ผลการวิจัยระบุว่า ผู้ที่มียีน เอ็มอีเอฟทูเอ ผิดปกตินั้นมีโอกาสเป็นโรคหัวใจสูงถึงเกือบร้อยละ 100 หรือสูงกว่าการกลายพันธุ์ของยีนอื่นๆ ส่วนใหญ่ที่พบแล้วจนถึงปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยด้านหัวใจหลายคนเชื่อว่า มียีนหลายสิบตัวร่วมกันก่อโรค บางตัวมีผลต่อความแข็งแรงของหลอดเลือดแดง บางตัวทำให้เกิดการอักเสบ (ซึ่งทั้งสองตัวเป็นสาเหตุและเร่งให้หลอดเลือดแดงแตกร้าว) และบางตัวส่งผลต่อกระบวนการก่อตัวของไลปิด (ไขมันและคอเลสเตอรอลที่กลายเป็นคราบหินปูน) ในบรรดายีนหลายสิบตัวเหล่านี้ การกลายพันธุ์ของยีนตัวหนึ่งอาจทำให้ความเสี่ยงต่อโรคของเราเพิ่มขึ้นร้อยละหนึ่ง แต่ตัวเลขนี้อาจเพิ่มหรือลดโดยปัจจัยภายนอก เช่น อาหารและการออกกำลังกาย

หากมีแบบตรวจเลือดที่คำนวณความเสี่ยงต่อโรคทางพันธุกรรมของผู้ป่วยได้อย่างแม่นยำ สามารถค้นหาการกลายพันธุ์ทุกอย่างได้ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด และนำตัวแปรที่เป็นโทษไปวิเคราะห์รวมกับปัจจัยสำคัญอื่นๆ อาทิเช่น การสูบบุหรี่ น้ำหนักตัว ความดันโลหิต และระดับคอเลสเตอรอล ก็จะเอื้อให้แพทย์วินิจฉัยอาการของผู้ป่วยและทำการรักษาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เช่น ให้ยาสเตตินปริมาณสูง แนะนำให้ผู้ป่วยออกกำลังกาย หรือปรับวิถีชีวิตเพื่อให้อาการดีขึ้น ยีนบางตัวสามารถบอกได้ว่า ระดับคอเลสเตอรอลของผู้ป่วยคนใดตอบสนองต่อการเปลี่ยนนิสัยการกินได้ การประเมินความเสี่ยงของโรคเป็นสิ่งสำคัญเพราะโรคหัวใจมักไม่แสดงอาการ อันที่จริง ผู้ชายร้อยละ 50 และผู้หญิงร้อยละ 64 เสียชีวิตฉับพลันจากหัวใจวายไม่เคยมีอาการแสดงใดๆ มาก่อนเลย

ยาและความก้าวหน้าในการคิดค้น

ผู้ป่วยโรคหัวใจที่มีอาการกล้ามเนื้อหัวใจตายจากการขาดเลือดเฉียบพลัน อาจรอดชีวิตได้จากยาไนโตรกลีเซอรีน ไนโตรกลีเซอรีนคือสารที่ใช้ทำวัตถุระเบิด ซึ่งหากร่างกายได้รับในปริมาณที่เจือจางมากๆ จะปล่อยสารไนตริกออกไซด์ที่ช่วยคลายเซลล์กล้ามเนื้อเรียบในหลอดเลือดดำและหลอดเลือดแดง ส่งผลให้หลอดเลือดขยายใหญ่ขึ้น เลือดจึงไหลผ่านบริเวณที่อุดตันเข้าสู่หัวใจได้

แต่ในการรักษาโรคหัวใจทั่วไป แพทย์จะสั่งยาในกลุ่มสเตติน เช่น ยาลิปิเตอร์ ซึ่งจะช่วยลดปริมาณแอลดีแอลคอเลสเตอรอล (ไลโปโปรตีนความหนาแน่นน้อยชนิด 'เลว') ที่ตับสร้างขึ้น ในขณะที่แอลดีแอลเป็นคอเลสเตอรอลชนิดเลว เอชดีแอลคอเลสเตอรอล (ไลโปโปรตีนความหนาแน่นสูงชนิด "ดี") กลับเป็นโปรตีนที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะช่วยขจัดคอเลสเตอรอลจากหลอดเลือดแดงที่ตีบตันได้ แม้ว่าเอชดีแอลบางชนิดจะไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ผลการทดลองในหนูที่ถูกตัดต่อพันธุวิศวกรรมชี้ว่า การเพิ่มขึ้นของเอชดีแอลทำให้คราบหินปูนในหลอดเลือดแดงเล็กลงได้

ปัจจุบัน บริษัทยาหลายต่อหลายแห่งกำลังพยายามผลิตคิดค้นหรือทดลองยาที่ช่วยเพิ่มระดับเอชดีแอลในมนุษย์ขึ้น แต่ก่อนที่การคิดค้นยานั้นจะเป็นผลสำเร็จ ยาในกลุ่มสเตตินก็ยังคงครองตำแหน่งยาที่มีการสั่งจ่ายมากที่สุดในโลก ยาลิปิเตอร์อาจเป็นยาที่ขายดีที่สุดด้วยรายได้ปีละ 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั่วโลก แต่ยาในกลุ่มนี้สเตตินก็มีผลข้างเคียงไม่ต่างจากยาอื่นๆ อาการที่รู้จักกันดีก็คือการปวดกล้ามเนื้อ และผู้ที่กินยากลุ่มนี้ยังต้องเข้ารับตรวจเลือดเพื่อตรวจการทำงานของตับเป็นระยะอีกด้วย แต่ไม่ว่าอย่างไร ยาก็ช่วยให้เรามีความสุขกับการกินอาหารที่มีไขมันสูงอย่างเช่นชีสเบอร์เกอร์ นั่งๆ นอนๆ ดูโทรทัศน์ และนั่งชูคอเฉิดฉายในรถยนต์ได้

ปัญหาในการตรวจรักษาโรคหัวใจ

แม้การตรวจมาตรฐานทั่วไปจะตรวจหาภาวะหลอดเลือดแดงหัวใจตีบแข็งได้ แต่ก็ใช่จะไร้ข้อผิดพลาด ผลการตรวจอาจแสดงคราบหินปูน แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นภัยต่อชีวิตหรือไม่ ตัวอย่างเช่น การฉีดสีตรวจหลอดเลือดหัวใจอาจบอกได้ว่าเลือดไหลผ่านหลอดเลือดแดงมากน้อยแค่ไหน แต่ไม่อาจแสดงให้เห็นคราบหินปูนที่ฝังอยู่ในผนังหลอดเลือดแดงซึ่งมักจะเป็นสาเหตุของหัวใจวายได้

การแก้ปัญหาโดยใช้เครื่องสแกนที่แสดงภาพผนังหลอดเลือดแดงโดยตรงก็มีความยุ่งยากไม่น้อย เพราะผนังหลอดเลือดแดงปกติมีความหนาประมาณ 1 มิลลิเมตรเท่านั้น ขณะเดียวกันหลอดเลือดแดงหัวใจก็จะขยับตามจังหวะการเต้นของหัวใจ 70 ครั้งต่อนาที การจับภาพที่ชัดเจนของสิ่งเล็กๆ ที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เมื่อนำเครื่องซีทีสแกน (computed tomography) หรือเครื่องเอกซเรย์สามมิติแบบเดียวกับที่ใช้แสดงภาพเนื้องอก ไปใช้ร่วมกับยาลดอัตราการเต้นของหัวใจ และการฉีดสารทึบแสงเพื่อเน้นหลอดเลือดแดง ก็จะได้ภาพที่ชัดเจนอย่างน่าทึ่ง

แม้เครื่องซีทีสแกนจะทรงประสิทธิภาพ แต่ก็ยังไม่ใช่เครื่องมือที่สมบูรณ์แบบสำหรับพยากรณ์โรคหัวใจ นอกจากจะมีราคาแพงแล้ว รังสีเอกซ์ปริมาณสูงที่ปล่อยออกมายังไม่เหมาะในการตรวจร่างกายคนปกติด้วย และถึงจะเห็นคราบหินปูนนุ่มๆ ในผนังหลอดเลือดแดง เครื่องซีทีสแกนก็ไม่อาจบอกได้ว่า คราบหินปูนเหล่านั้นจะแตกและก่อให้เกิดอาการหัวใจวายหรือไม่

ตราบใดที่ยังไม่มีการตรวจสอบที่แน่ชัด ซึ่งอาจเป็นการตรวจสอบความเสี่ยงทางพันธุกรรมหรืออื่นๆ ที่ชัดเจนกว่านี้ แพทย์แนะนำให้เราออกกำลังกาย ระวังเรื่องอาหารการกิน และกินยาลดคอเลสเตอรอล ซึ่งไม่ต่างจากแนวทางป้องกันโรคหัวใจในสมัยที่แนวคิดเรื่องท่อตันยังเป็นที่ยอมรับ

และถึงแม้ว่าเราจะยังไม่เข้าใจโรคนี้ได้อย่างกระจ่างชัด แต่อีกไม่ช้าไม่นานนี้ การศึกษาทางพันธุกรรมที่ได้ผลคืบหน้าอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้เรารู้จักและเข้าใจทั้งหัวใจและยีนของเราได้อย่างละเอียดยิ่งขึ้น และเมื่อถึงตอนนั้น ความรู้และการประยุกต์ใช้ความรู้เหล่านั้น ย่อมจะช่วยให้มนุษย์เรามีอายุยืนยาวและมีสุขภาพดีขึ้นได้อย่างคาดไม่ถึง

ขอเพียงเรารักษาหัวใจให้แข็งแรงเพื่อรอ...วันนั้น

วิธีการดูแลและรักษาสุภาพในหน้าหนาว

หน้า นี้เป็นหน้าหนาว อาจจะหนาวบ้าง ไม่หนาวบ้าง แต่เราก็ยัง เรียกมันว่าหน้าหนาว และในหน้าหนาวนี้ก็มีโรคประจำฤดูกาลที่อาจ เกิดขึ้นได้บ่อยๆ ส่วนใหญ่เป็นโรคที่ป้องกันได้ แต่มักไม่ค่อยใส่ใจกัน บางท่านมักอ้างว่าตนเองมีภูมิคุ้มกันดี ไม่ป่วยง่ายๆหรอก ตายไปแยะ เหมือนกันประเภทนี้ ลองมาดูโรคหน้าหนาวสัก 2-3 โรค

โรคไข้หลี ชื่อโรคนี้บัญญัติโดยศาตราจารย์นายแพทย์เสนอ อินทรสุขศรี ฟังดูเหมือนเป็นโรคของหนุ่มๆที่ไปหลีสาวๆ พาลนึกไปถึงโรคทางเพศสัมพันธ์ไปโนน่ แท้ที่จริงไม่ใช่หรอกครับ เป็นคำผวน ไข้หลี ก็ ขี้ไหล โรคขี้ไหลก็คือโรคท้องร่วง หรือโรคอุจจาระร่วง นั่นเอง โรคไข้หลีนี้มีหลายประเภท ตั้งแต่ท้องเสียธรรมดาๆ ไปจนถึงอหิวาตกโรค แต่สาเหตุก็เหมือนๆกัน คือ การกินอาหารที่ไม่สะอาด หน้าหนาวนี้น้ำเริ่มน้อย ใกล้เข้าสู่ภาวะแล้งซ้ำซาก การทำความสะอาดอาหารตลอดจนภาชนะก็ไม่ค่อยดีพอ มือไม้ไม่สะอาด ระวังนะครับ อาจเกิดอาการถ่ายอุจจาระซ้ำซาก โปรดระวังเป็นพิเศษในเด็กทารก และผู้สูงอายุ เพราะกลุ่มนี้ไม่ค่อยมีพลังสำรองในตัว เป็นปุ๊บอาจจะตายปั๊บ และถ้าตายมีตายหนเดียว ไม่มีตายซ้ำซาก

โรคไข้หวัด โรคนี้เป็นโรคยอดนิยมอันดับ 2 รองจากท้องร่วง มักเป็นมากในช่วงหน้าหนาว เพราะอากาศแห้ง ไอน้ำในบรรยากาศน้อย ร่างกายไม่แข็งแรง ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส เป็นเองหายเองได้ ถ้าไม่เป็นมากขึ้น แล้วลุกลามเป็นอย่างอื่นไปเสียก่อน เช่นลุกลามเป็นปอดบวม ป้องกันง่ายๆเหมือนกัน คือรักษาร่างกายให้แข็งแรง อบอุ่น(คนโสดควรจะมีคู่ซะ จะได้อบอุ่น) ออกกำลังกาย กินอาหารให้ครบ 5 หมู่(1. เนื้อนมไข่ ให้โปรตีน 2. ข้าวแป้งน้ำตาล ให้พลังงาน 3.ผักผลไม้ 4. เกลือแร่วิตามิน 5. ไขมัน)

โรคตาแดง โรคนี้ก็มักพบบ่อยในหน้าหนาวนี้เหมือนกัน ส่วนใหญ่เป็นเชื้อไวรัส เกิดจากมือไม่สะอาด จับไปทั่ว แล้วมาป้ายตาตัวเอง ระบาดได้ง่าย โดยเฉพาะในเด็กนักเรียน ป้องกันก็ไม่ยาก หมั่นล้างมือให้สะอาด ไม่เอามือขยี้ตา ไม่คลุกคลีกับคนเป็นโรค เมื่อเป็นโรคควรหยุดงานหรือหยุดเรียน จะได้ไม่ไปติดต่อผู้อื่น

โรคขี้เมา เมากันจังเลยครับ เศรษฐกิจก็ไม่ค่อยดี ลดๆลงหน่อยนะครับ เมาแล้วมักเกิดอุบัติเหตุ รถชนกัน รถชนเสาไฟฟ้า ทั้งๆที่เสามันไม่ได้ทำอะไรให้ ไม่รู้จะชนกับใครก็ล้มเองก็แยะ หน้าเละ ดั้งยุบ ขาหัก แขนเดาะ มากมาย และถ้าจำเป็นต้องดื่มเหล้าจริงๆ อย่าลืมรองท้องด้วยข้าวปลาอาหารไว้ก่อน เพราะหลายรายประเภทคอทองแดง ไม่ชอบกับแกล้ม มาโรงพยาบาลด้วยอาการหมดสติจากน้ำตาลในเลือดต่ำ ตายได้เหมือนกัน

เบญจวรรณ หล้าแปง(ม.ฟาร์เลขที่ 40)

7 สุดยอดอาหารที่ทำให้อารมณ์ดี

เป็นธรรมดาที่คนเราต้องมีวันที่อารมณ์เสีย หรือหงุดหงิดกันบ้าง...แต่ทราบไหมคะว่าเราสามารถแก้ไขอารมณ์

บูด ๆ ของเราด้วยอาหารที่รับประทานเข้าไปในแต่ละวันได้ด้วย

...Susan Moores โฆษกจากสมาคมโภชนาการของอเมริกา และที่ปรึกษาด้านสารอาหารในเซนต์ปอล กล่าว?ประจำวันเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยรักษาสมดุลของอารมณ์ เพราะนอกจากอาหารจะให้พลังงานแล้ว ยังสร้างเซโรโทนิน ซึ่งเป็นเคมีในสมองทำให้จิตใจคุณสงบและเย็นขึ้น ดังนั้นเมื่อคนเราเลือกอาหารที่ดี อารมณ์ของเราก็จะดีไปด้วย?

นอกจากนั้นมัวร์ยังกล่าวว่า เดี๋ยวนี้คนหันมานิยมการรับประทานอาหารแบบโลว์คาร์โบไฮเดรต (การรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตแต่น้อย) กันมากเป็นเหตุให้มีผลทางด้านอารมณ์ เพราะคาร์โบไฮเดรตจะมีผลต่อการสร้างเซโรโทนิน เมื่อเราขาดแคลนคาร์โบไฮเดรตอารมณ์ของคนเราก็เปลี่ยนไปด้วย...และถ้าคุณอยากเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนอารมณ์ดี อาหารเหล่านี้เป็นสิ่งที่เหล่าคุณหมอเขาใช้ในการบำบัดคนไข้ค่ะ

ปลาซัลมอนและแม็กคาเรล

ปลา 2 ประเภทนี้มีโอเมก้า 3 อยู่เยอะมาก ดังนั้นจึงแนะนำกันว่าเป็นอาหารที่เยี่ยมมากสำหรับมื้อดินเนอร์ ที่สำคัญมีการวิจัยมาแล้วว่าโอเมก้า 3 มีผลกับอารมณ์ของคนเรา นอกเหนือจากที่โอเมก้า 3 ช่วยป้องกันโรคหัวใจและมะเร็ง ที่ดีไปกว่านั้นซัลมอนยังเต็มไปด้วยเซเลเนียมที่เป็นสาระสำคัญในการต่อต้านอนุมูลอิสระด้วย

คาโนลาออยล์ (Canola Oil)

เป็นน้ำมันจากดอกคาโนลาซึ่งกำลังได้รับความนิยมมาก เนื่องจากเต็มไปด้วยวิตามินอีซึ่งมีผลต่อระดับอารมณ์ของคนเรา แต่ด้วยความที่ในน้ำมันจะมีไขมัน ทำให้แนะนำกันว่าให้รับประทานได้ไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม โดยพยายามใช้น้ำมันนี้เวลาคุณทอดปลาซัลมอนหรือทำอาหารสุขภาพรับประทาน

ผักโขมและถั่วสด

ในผักใบสีเขียวเข้มอย่างผักโขมหรือถั่วนั้นมีโฟเลตสูง ซึ่งช่วยให้อารมณ์ของคนเราอยู่ในระดับปกติ เนื่องจากโฟเลตมีส่วนสำคัญในการสร้างเซโรโทนิน นอกจากนั้นการรับประทานถั่วยังได้รับวิตามินซีและไฟเบอร์ด้วย แต่มีคำแนะนำว่าถั่วกระป๋องจะมีสารอาหารน้อยกว่าถั่วสด ดังนั้นถ้าเป็นไปได้คุณควรเลือกรับประทานถั่วสด ๆ เพื่อสารอาหารที่เต็มที่...ผสมถั่วลงในทูน่าสลัด หรือเพิ่มผักใบเขียวในชามสลัดของคุณก็จะเป็นมื้ออาหารที่ไม่เลวเลยทีเดียว

ถั่ว Chickpeas

เป็นอาหารที่มีโฟเลตสูงแต่ไขมันต่ำ และสำหรับคนที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์สามารถที่จะทานถั่วชนิดนี้แทนได้เพราะมีโปรตีนอยู่สูง แถมมีรสอร่อย นอกจากนั้นชิกพียังมีไฟเบอร์, ไอออน และวิตามินอีอยู่เยอะ มีคำแนะนำการประกอบอาหารง่าย ๆ จากถั่วชิกพีมาด้วยว่า

ให้นำชิกพีกระป๋องมาเทเอาน้ำออก ผสมกระเทียมสับใส่ลงไป ใส่น้ำมะนาว และน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันคาโนลา ปั่นในเบลนเดอร์หรือเครื่องผสมอาหาร เติมเกลือพริกไทยหรือเครื่องปรุงรสที่ชอบ แค่นี้ก็จะได้อาหารสุขภาพที่นำมาจิ้มรับประทานกับผักสดได้อร่อย

ไก่

เป็นอาหารที่มีวิตามินบี 6 อยู่มาก ซึ่งโดยหลักแล้วจะช่วยสร้างเซโรโทนินขึ้นในร่างกายของเรา นอกจากนั้นในไก่ยังเป็นแหล่งของเซเลเนียม วิตามินและสารอาหารอื่น ๆ ด้วย เพียงแต่ต้องคำนึงถึงนิดหนึ่งว่าการรับประทานหนังไก่จะช่วยเพิ่มไขมันให้กับเราไม่น้อยเช่นกัน ฉะนั้นเลือกรับประทานอกไก่ที่ปราศจากหนังดีกว่าค่ะ เพราะให้พลังงานเพียง 106 แคลอรี/3.5 ออนซ์ (ประมาณครึ่งอก) เท่านั้น

การบริหารลิ้นเพื่อสุขภาพ

เป็นการบริการใบหน้าซึ่งช่วยกระตุ้นเส้นประสาทและ กระตุ้นการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้า เช่น แก้ม ปากและลิ้น ให้มีความแข็งแรง เคลื่อนไหวคล่องขึ้น เนื่องจากเมื่อคนเราอายุมากขึ้น กล้ามเนื้อใบหน้ารอบ ๆ ปากและลิ้นทำงานช้าลง น้ำลายจะหลั่งน้อยลงปากจะแห้ง ทำให้บางครั้งเคี้ยวอาหารได้ไม่ถนัด เพราะมีเศษอาหารตกค้างอยู่ในช่องปากและกระพุ้งแก้ม

แบ่งเป็น 2 ประเภท การบริหารใบหน้า

การบริหารลิ้น

ถ้าทุกคนสามารถฝึกทำเป็นประจำทุกวันจะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าและลิ้น แข็งแรง ใบหน้าจะเต่งตึง ดูอ่อนกว่าอายุจริง สำหรับการบริหารลิ้น จะช่วยให้การเคลื่อนไหวของลิ้นดีขึ้น คลุกเคล้าอาหารได้ดี ป้องกันไม่ให้อาหารตกสู่หลอดลม ช่วยให้ออกเสียงพูดชัดเจนและกระตุ้นการหลั่งของน้ำลาย

1. การบริหารใบหน้า แนะนำให้ทำหลังล้างหน้าตอนเช้า ทำ 3 ขั้นตอน แต่ละขั้นตอนใช้เวลาประมาณ 10 วินาที แล้วผ่อนคลาย ขั้นตอนที่1-3 นับเป็น 1 รอบ จากนั้นให้ปฏิบัติซ้ำตั้งแต่ต้นจนจบอีก 3 รอบ

ขั้นตอนที่ 1 เริ่มด้วย สูดลมหายใจเข้าให้เต็มปอด เหยียดริมฝีปากออกไปด้านข้างเป็นแนวกว้าง ขยับแก้มให้สูง หลับตาให้สนิท

ขั้นตอนที่ 2 อ้าปากค้าง ลืมตาค้าง

ขั้นตอนที่ 3 ปิดปากให้สนิท ป่องแก้ม ขยับปากซ้าย – ขวา

2. การบริหารลิ้น แนะให้ทำก่อนรับประทานอาหาร การบริหารลิ้น มี 2 แบบดังนี้

* การบริหารโดยการปิดปาก (ปฏิบัติขั้นตอนละ 5 ครั้ง)

ขั้นตอนที่ 1 แลบลิ้น เข้าและออก

ขั้นตอนที่ 2 แลบลิ้น แล้วเคลื่อนไหวไปทางซ้าย – ขวา หมุนลิ้นไปทางซ้าย – ขวา เพื่อเลียรอบ ๆ ริมฝีปาก

ขั้นตอนที่ 3 แลบลิ้น แล้วขยับลิ้นขึ้น – ลง เพื่อที่จะเลียที่ปลายจมูกหรือคาง

*การบริหารโดยการเปิดปาก (ปฏิบัติขั้นตอนละ 5 ครั้งๆละประมาณ 10 วินาที)

ขั้นตอนที่ 1 ดันริมฝีปากล่างด้วยลิ้น

ขั้นตอนที่ 2 ดันริมฝีปากบนด้วยลิ้น

ขั้นตอนที่ 3 ดันแก้มซ้าย ขวา ด้วยลิ้น หมุนลิ้นไปรอบ ๆ ทั้งซ้ายและขวา

และอีกหนึ่งวิธีที่สามารถบริหารลิ้นให้แข็งแรงได้โดยการ ใช้ลิ้นแตะเพดานปากบ่อยๆ จะทำให้ทำให้ต่อมน้ำลายกระตุ้นการทำงานและหลั่งต่อเนื่องสามารถช่วยย่อย อาหารได้ดีขึ้น

แถมให้อีกนิดครับ...สำหรับเรื่องของการบริโภค เลือกเครื่องดื่มให้ตรงกรุ๊ปเลือด -------------------------------------------------------------------------------- - เลือดกรุ๊ปโอ จะมีกรดในกระเพาะอาหารสูง สามารถย่อยอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่ควรกินอาหารจำพวกแป้งมากเกินไป เพราะจะย่อยยาก และเมื่อเกิดการสะสมแป้ง ร่างกายจะเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาล และจะกลายเป็นโรคเบาหวานและทำให้อ้วนง่าย อาหารที่ควรทานคืออาหารจำพวกสาหร่าย เกลือไอโอดีน อาหารทะเล และควรกินตับ กินบลอกโคลี ผักโขม เพราะจะช่วยในเรื่องประสิทธิภาพการเผาผลาญมากขึ้น เครื่องดื่มที่เหมาะกับคนเลือดกรุ๊ปโอ คือ น้ำสัปปะรด น้ำลูกพรุน แต่ไม่ควรดื่มน้ำแอบเปิ้ล น้ำส้ม น้ำกระหล่ำปลี - เลือดกรุ๊ปเอ กรุ๊ปนี้จะตรงข้ามกับกรุ๊ปโอแทบจะทุกอย่าง เพราะเลือดกรุ๊ปนี้จะมีกรดในกระเพาะอาหารต่ำ จึงเหมาะกับอาหารมังสวิรัติและควรหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ เพราะหากกินมากเกินไปร่างกายจะไม่ยอมย่อย ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เช่นโรคหัวใจและโรคมะเร็ง หากต้องการกินเนื้อจริงๆ ควรบริโภคแค่เนื้อไก่เพราะไม่มีไขมันมาก หรือกินถั่วเหลืองแทนเพื่อทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ แล้วควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกอาหารสำเร็จรูป เช่นไส้กรอก แฮม เพราะอาหารจำพวกนี้มีสารดินประสิวที่ไปกระตุ้นให้เกิดมะเร็งในกระเพาะอาหาร ควรหันมากินผักและอาหารจากถั่วเหลือง เพื่อช่วยในเรื่องของระบบย่อยอาหารให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เครื่องดื่มที่เหมาะกับคนเลือดกรุ๊ปเอ คือ น้ำแอปปริคอต น้ำแครอต น้ำเซเลรี น้ำเกรปฟรุต น้ำสัปปะรด น้ำมะนาว เพราะมีวิตามินซีสูง แต่ไม่ควรดื่มน้ำส้ม น้ำมะละกอ และน้ำมะเขือเทศ - เลือดกรุ๊ปบี เป็นกรุ๊ปเลือดที่สามารถต้านทานโรคมะเร็งและโรคหัวใจได้ แต่ยังมีปัญหาเรื่องภูมิคุ้มกันของร่างกาย จึงควรกินอาหารจำพวกผักใบเขียว ตับ ไข่ นมไขมันต่ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญ เครื่องดื่มที่เหมาะกับคนเลือดกรุ๊ปบี คือ น้ำกระหล่ำปลี น้ำแครนเบอร์รี่ น้ำองุ่น น้ำมะละกอ น้ำสัปปะรด แต่ไม่ควรดื่มน้ำมะเขือเทศ - เลือดกรุ๊ปเอบี คนเลือดกรุ๊ปนี้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหาร จึงควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินซี เช่น บรอกโคลี เชอร์รี่ ส้มโอ เกรปฟรุต กะหล่ำปลี เครื่องดื่มที่เหมาะกับคนเลือดกรุ๊ปเอบี คือ น้ำแครอต น้ำเซเลรี น้ำแครนเบอร์รี่ น้ำองุ่น และน้ำมะละกอ เพราะช่วยต้านมะเร็งได้ แต่ไม่ควรดื่มน้ำส้มเพราะทำให้ย่อยยาก ถ้าอยากมีสุขภาพแข็งแรง ก็หันมาดื่มเครื่องดื่มตามกรุ๊ปเลือดกันดีกว่า.

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)เลขที่ 33

ผ่าตัดใส่เลนส์เสริม แก้สายตาผิดปกติ

การแก้ไขปัญหาสายตาผิดปกติ ทั้งสายตาสั้น ยาว หรือเอียง มีหลายวิธีด้วยกันทั้งการใส่แว่นตา คอนแทคเลนส์ และการผ่าตัดด้วยเลเซอร์ หรือ เลสิค แต่การทำเลสิค ก็มีข้อจำกัด มิใช่ว่าผู้ที่มีสายตาผิดปกติจะทำได้ทุกราย ดังนั้นการใส่เลนส์เสริม จึงเป็นทางเลือกหนึ่ง ที่สถานพยาบาลบางแห่งนำมาใช้ในการรักษา ผู้ที่มีปัญหาสายตาแล้วไม่สามารถทำเลสิค หรือใส่คอนแทคเลนส์ได้

น.พ.นพรัตน์ สุจริตจันทร์ จักษุแพทย์ อธิบายว่า การทำเลสิคเป็นวิธีการแก้ไขปัญหาสายตาผิดปกติด้วยเลเซอร์ ที่มีประสิทธิภาพ และปลอดภัย แต่ก็มีข้อจำกัดคือ ไม่สามารถรักษาความผิดปกติได้ทุกระดับสายตา เช่น คนที่กระจกตาบางจนเกินไป การยิงเลเซอร์จะยิ่งทำให้กระจกตาบางลง ความโค้งของกระจกตาไม่พอดี สายตาสั้นมาก ๆ สายตายาวมาก ๆ หรือมีภาวะตาแห้งมาก ๆ ดังนั้นเลนส์เสริม จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในแก้ไขปัญหา

เลนส์เสริม เป็นเลนส์ขนาดเล็กที่ถูกออกแบบสำหรับใช้ใส่เข้าไปในตาอย่างถาวร มีอยู่หลายชนิดขึ้นอยู่กับตำแหน่งของการใส่ ด้านหน้าหรือด้านหลังของรูม่านตา มีขนาดเลนส์ตั้งแต่ลบ 300 ไปจนถึง 2,300 ไดออพเตอร์

การผ่าตัดใส่เลนส์เสริมเหมาะสำหรับผู้ที่มีสายตาสั้นในช่วง 500-2,300 หรือสายตายาว 300-1,200 ผู้ที่ไม่มีโรคตาที่ซับซ้อน โดยเฉพาะโรคต้อหิน ต้อกระจก หรือโรคจอประสาทตา และไม่มีการบาดเจ็บทางตา ไม่เป็นโรคเบาหวาน หรือโรคทางร่างกายที่ร้ายแรง รวมทั้งควรมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป สายตาคงที่แล้ว ขนาดของลูกตาจะต้องมีช่องว่างใหญ่พอ เซลล์ของกระจกตาต้องแข็งแรง เพราะจะต้องทำการผ่าตัดเพื่อใส่เลนส์เว้าสำหรับสายตาสั้น และเลนส์นูนสำหรับสายตายาว

ผู้ที่มีปัญหาทางสายตาผิดปกติที่มาพบจักษุแพทย์และได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดว่าสภาพตาเหมาะแก่การใส่เลนส์เสริมหรือไม่ โดยจักษุแพทย์จะอธิบายให้เห็นถึงผลดีผลเสียของการผ่าตัดใส่เลนส์เสริม ซึ่งมีอยู่ 2 ชนิด คือ ชนิดที่ใส่หน้ารูม่านตา และชนิดที่ใส่หลังรูม่านตา โดยชนิดที่ใส่หน้ารูม่านตาจะมีราคาถูกกว่า

เมื่อคนไข้ตกลงใจแล้วว่าจะเลือกใช้เลนส์ชนิดใส่หน้า หรือ หลังรูม่านตา จะต้องวางเงินมัดจำเพื่อสั่งซื้อเลนส์จากต่าง ประเทศ และก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์ จักษุแพทย์ต้องยิงเลเซอร์เพื่อเปิดช่องรูม่านตาสำหรับป้องกันไม่ให้ความดันลูกตาสูงขึ้นหลังการผ่าตัด

ในการผ่าตัดจักษุแพทย์จะใช้ยาชาหยอด ตาหรือฉีดยาชา จากนั้นจะค่อย ๆ เจาะช่องเล็ก ๆ ระหว่างตาดำและตาขาวให้มีความยาวประมาณ 5 มม. แล้วสอดเลนส์เสริมที่มีกำลังขยายพอดีเข้าไปในบริเวณที่ต้องการ โดยเลนส์แก้วตาธรรมชาติยังคงสภาพเดิมอยู่ กระบวนการผ่าตัดจะใช้เวลาประมาณ 20 นาที หลังการผ่าตัดคนไข้สามารถกลับบ้านได้เลย โดยไม่ต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาล

ผลข้างเคียงไม่ว่าการผ่าตัดใด ๆ อาจมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นได้ที่ดวงตา กระจกตา หรือจอประสาทตา เช่น การอักเสบ ติดเชื้อ เลนส์ที่ใส่เข้าไปไม่ตรง หรือนาน ๆ ไปอาจทำให้เกิดต้อกระจกแต่พบได้น้อยมากประมาณ 1% เท่านั้น

โรคข้อเข่าเสื่อมและกระดูกพรุน

โรคข้อเข่าเสื่อมนี้เกิดจากการเสื่อมตามอายุขัยส่วนใหญ่ เกิดกับข้อใหญ่ๆ เช่น ข้อสะโพก ข้อเข่าและข้อกระดูกสันหลัง

สาเหตุ

ปัญหา ปวดเข่าพบได้มากในผู้สูงอายุหญิงมากกว่าชาย เนื่องจากขนบธรรมเนียมไทยที่ต้องนั่งคุกเข่าพับเพียบ ขัดสมาธิ ซึ่งเป็นท่าที่ทำให้ข้อเข่าถูกกดพับ และเอ็นกล้ามเนื้อถูกยึดมาก การนั่งเช่นนั้นนานๆ ทำให้การหมุนเวียนของเลือดไปเลี้ยงเข่าไม่ได้ดี และเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุไม่ค่อยชอบออกกำลังกาย อีกทั้งต้องทำงานหนักไม่มีการพัก ประกอบกับน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น ทำให้เข่าต้องแบกน้ำหนักส่วนเกินนั้น กล้ามเนื้อจึงหย่อนสมรรถภาพลง จึงทำให้เป็นโรคเข่าเสื่อมได้ง่าย

อาการเริ่มแรกที่เตือนให้รู้ว่าเข่ากำลังมีปัญหา

เจ็บปวด เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด อาจเป็นปวดแบบเมื่อยๆ พอทน ปวดแบบเป็นๆ หายๆ หรือในรายที่เข่าได้รับบาดเจ็บ จะปวดแบบเฉียบพลันและปวดรุนแรง

เข่าบวม เข่าที่บวมทันทีภายหลังจากได้รับบาดเจ็บ มักเกิดจากมีเลือดออกภายในข้อเข่า บวมที่เกิดขึ้นช้าๆ มักเกิดจากมีความผิดปกติขององค์ประกอบภายในข้อเอง

เข่าอ่อนหรือเข่าสะดุดติด อาจเกิดจากสาเหตุหลายประการ แต่ที่พบบ่อยคือ เกิดจากมีบางสิ่งบางอย่างภายในข้อ ทำให้งอ หรือเหยียดเข่าในทันทีทันใดไม่ได้ เช่น เส้นเอ็นหรือกระดูกอ่อนที่ฉีกขาด หรือเศษกระดูกที่หยุดอยู่ในข้อ

เข่าฝืดหรือยึดติด อาจเป็นเฉพาะบางช่วงเวลาของวัน เช่น ตอนเช้าหลังตื่นนอน นั่งนานๆ แล้วลุกขึ้น หรือเกิดขึ้นภายหลังจากได้รับบาดเจ็บที่ข้อเข่า

เมื่อ ปรากฎอาการดังกล่าวแล้วแสดงว่า ท่านเริ่มมีปัญหาของข้อเข่า ควรให้ความสนใจอย่างจริงจัง และพิจารณาดูว่า มีอะไรเป็นสาเหตุดังกล่าว จะเป็นต้องเริ่มต้นฝึกออกำลังกล้ามเนื้อของข้อเข่าให้แข็งแรงขึ้น ซึ่งเป็นวิธีเดียวที่จะให้หลักประกันได้ว่า ท่านจะสามารถยืนและเดินอยู่บนขา และเข่าของตนเองได้ตลอดไป

วิธีป้องกันและการปฏิบัติ

- ควบคุมไม่ให้อ้วนเกินไป โดยการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย

- บริหารกล้ามเนื้อรอบๆ ข้อนั้นให้แข็งแรง (วิธีการบริหารดูในการออกกำลังกาย)

- ลดการใช้งานข้อนั้นในท่าที่ผิดจากธรรมชาติ เช่น การนั่งยองๆ การนั่งพับเพียบ คุกเข่าและการนั่งขัดสมาธินานเกินไป เป็นต้น

- ขณะที่มีอาการปวด ควรรีบปรึกษาแพทย์ เพื่อให้การรักษาภาวะอักเสบของข้อ แล้วเริ่มทำกายภาพบำบัดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

โรคกระดูกพรุน (osteoporosis)

เป็น โรคที่พบได้ในผู้สูงอายุทุกคน เป็นภาวะที่มีการกร่อนของเนื้อกระดูก เนื่องจากมีความผิดปกติในการสร้างสารเนื้อกระดูก ทำให้กระดูกอ่อนตัวลง สาเหตุที่สำคัญอันหนึ่ง คือ การทำงานของฮอร์โมนที่ลดลงในผู้สูงอายุ พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย การเคลื่อนไหวลดลง ภาวะกระดูนทรุดยุบมีอาการ การเคลื่อนไหวลดลง ปวดหลัง หลังค่อมทำให้ความสูงลดลง กระดูกหักง่าย แม้มีอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อย

การป้องกัน

* ออกกำลังกายเป็นกิจวัตร โดยเฉพาะกลางแจ้ง ตอนที่มีแดดอ่อนๆ เช่น เวลาเช้าหรือเย็น

* เมื่อมีความเจ็บป่วยไม่ว่าจากสาเหตุใด ควรรีบทำกายภาพบำบัด หรือเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกาย ให้เร็วที่สุดเท่าที่สภาพร่างกายจะเอื้ออำนวย

* รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง วิตามินดีสูง เช่น ปลากระป๋อง ซึ่งสามารถรับประทาน, กระดูกปลาได้ นมพร่องไขมันเนย ผักผลไม้ เป็นต้น

* งดการดื่มสุรา และสูบบุหรี่

* ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง เช่น ยาลูกกลอน เพราะมักจะมีสารพวกสเตียรอยด์ผสมอยู่ทำให้กระดูกพรุนได้

อาการปวดเมื่อยในผู้สูงอายุ

อาการ ปวดมาจากข้อต่อ บางคนจะบ่นปวดหลัง ปวดน่อง ปวดส้นเท้า ปวดคอ อาการปวดนี้เกิดขึ้นได้ทั่วร่างกาย สาเหตุของการปวดเมื่อยที่เกี่ยวข้องกับอวัยวะในการเคลื่อนไหวของร่างกายแบ่ง ได้เป็น 5 พวกใหญ่ๆ ประกอบด้วย

อาการปวดเมื่อยที่พบบ่อย

1. ปวดเมื่อยที่มีสาเหตุจากกล้ามเนื้อ จะแสดงออกด้วยอาการปวดเมื่อย เมื่อยล้ามักจะบอกตำแหน่งที่ปวดไม่ค่อยชัดเจน

2. ปวดเมื่อยที่มีสาเหตุจากเส้นเอ็น อาการปวดจากเส้นเอ็นจะเป็นการปวดเฉพาะที่ปวดมากเวลาถูกกดและเมื่อมีอาการ เคลื่อนไหว พบบ่อยบริเวณไหล่ ส้นเท้า บริเวณมือและบริเวณเอ็นร้อยหวาย

3. ปวดเมื่อยสาเหตุจากเส้นประสาท สาเหตุจากเส้นประสาทถูกกดถูกทับ ทำให้มีอาการปวดแสบปวดร้อน และร้าวไปตามเส้นประสาทส่วนนั้น มักจะมีอาการชาร่วมอยู่ด้วย พบบ่อยที่บริเวณหลังมีการถูกกดของเส้นประสาท ทำให้มีอาการปวดร้าวจากหลังไปบริเวณน่องและปลายเท้าอีกตำแหน่งหนึ่งคือ บริเวณคอ เมื่อเส้นประสาทถูกทับจะมีอาการปวดร้าวจากคอไปบริเวณแขนและมือ

4. ปวดเมื่อยจากเส้นเลือด พบบ่อยจากเส้นเลือดขอดบริเวณขาทำให้มีอาการปวดถ่วงๆ เส้นเลือดขอดจะโป่งออกมา ปวดมากเมื่อยืนนานๆ เมื่อนั่งหรือนอนยกขาสูงขึ้นอาการปวดจะลดลงได้

5. ปวดจากข้อเป็นอาการที่ปวดจากข้อต่อ พบว่าในบริเวณที่เป็นจะบวมกว่าข้อต่อด้านตรงข้ามที่ปกติ อาการปวดจะเป็นมากขึ้นเมื่อมีการขยับเขยื้อน ถ้าเป็นข้อต่อซึ่งใช้ในการลงน้ำหนัก เมื่อเดินจะปวดมากขึ้น และถ้างอข้อต่อมากอาการจะปวดมากขึ้นตามไปด้วย

อาการ ปวดเมื่อย ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แสดงถึงความเสื่อมของข้อต่อกระดูก ตลอดจนเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อรอบๆ ข้อต่อ จะพบสาเหตุที่ทำให้เกิดการปวดเมื่อย ดังนี้

สาเหตุที่ทำให้เกิดการปวดเมื่อย

1. เริ่มมีการอักเสบของเส้นเอ็นบริเวณรอบๆ ข้อ เช่น ข้อไหล่ แล้วไม่ยอมใช้ไหล่ข้างนั้นๆ นานๆ เพราะกลัวเจ็บ

2. ยกของหนักเกินไป ในท่าที่ไม่ถูกต้อง ทำให้กล้ามเนื้อฉีกขาด หรืออักเสบ ปวดหลัง

3. ท่านอน เช่น หนุนหมอนสูงเกินไป ที่นอนนิ่มเกินไป นอนตะแคงแล้วศีรษะห้อยลง หรือบิดทำให้ปวดต้นคอ ปวดบริเวณหลัง

4. การที่ปล่อยตัวให้อยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานๆ เช่น นั่ง ยืน เดิน ศีรษะ งุ้มไปทางด้านหน้าหรือเงยจนมากเกินไป หรือเอนไปด้านใดด้านหนึ่งนานๆ ทำให้รู้สึกปวดเมื่อย

5. เกิดจากอุบัติเหตุ เช่น ถูกกระแทก หรือหกล้ม อาจจะทำให้กระดูกหัก กล้ามเนื้อฉีกขาดหรือเกิดการอักเสบ ทำให้ปวดเมื่อยได้

การป้องกันและการรักษา

1. อาการปวดหลัง เกิดจากการทรงตัวอยู่ในลักษณะท่าทางที่ไม่ถูกต้องนานๆ ป้องกันได้โดยวิธีการออกกำลังกายโดยการบริหารร่างกาย และปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง เช่น ยืนเอวไม่แอ่น หลังไม่ค่อม ศีรษะตั้งตรงไว้เสมอ

2. อาการปวดเข่า มักจะเป็นกับคนอ้วนที่มีน้ำหนักมาก และคนที่มีลักษณะขาโก่ง ป้องกันได้โดยการลดน้ำหนักตัวและบริเวณข้อเข่า

3. อาการปวดกล้ามเนื้อ และเส้นเอ็นที่อยู่รอบๆ ข้อ กล้ามเนื้อจะขนาดเล็กลง และมีการเคลื่อนไหวน้อยลง หรือเส้นเอ็นขาดได้ง่าย ป้องกันโดยทำให้ข้อมีการเคลื่อนไหว การยึด และกล้ามเนื้อมีการยืดหยุ่นตัวดีจะทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง

การช่วยเหลือตนเองโดยทั่วๆ ไป

1. ให้พักผ่อน หรือหยุดทำงานทันทีเมื่อรู้สึกปวดอย่างเฉียบพลัน

2. ประคบความร้อนบริเวณที่ปวด

3. นวดบริเวณที่ปวดกล้ามเนื้อ

4. ใช้อุปกรณ์ช่วยลดอาการปวด เช่น บริเวณคอใช้ปลอกคอ

5. หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ

5.1 โดยการจัดทำท่าให้ถูกต้อง

5.2 ให้มีการเคลื่อนไหวของข้อและข้อต่อไว้เสมอ

5.3 หมั่นออกกำลังกาย เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อลีบ และทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง

6. ถ้าปวดมากให้ปรึกษาเจ้าหน้าที่สาธารณสุข

ข้อมูลอีกเว็ปนึง ปวดเมื่อยเมื่อสูงอายุ รศ.นพ.ปรีชา รักษ์พลเมือง ภาควิชาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิคส์และกายภาพบำบัด เมื่อย่างเข้าสู่วัยชรา หรือผู้สูงอายุ อวัยวะต่างๆ ย่อมเสื่อมลงเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะแขนขา ข้อต่อต่างๆ และกล้ามเนื้อ ซึ่งอาการปวดเมื่อยจะมีตั้งแต่ อาการเล็กน้อยจนกระทั่งถึงปวดรุ่นแรง จนทนไม่ไหว ถาม อาการปวดเมื่อยในผู้สูงอายุเกิดจากอะไรได้บ้าง ตอบ อาการปวดเมื่อยในผู้สูงอายุมีได้หลายสาเหตุ อันแรกคือ โรคข้อเสื่อม ซึ่งเกิด ตามข้อต่างๆ เกิดในคนที่มีอายุมาก ซึ่งจะเป็นเกือบทุกคน และอีกอย่างคือโรค กระดูกผุ มีเนื้อของกระดูกบางลง อันดับที่สามคือโรคหมอนรองกระดูกทับประสาท และอีกประการหนึ่งก็ได้แก่ พวกโรครูมาติสซั่ม นอกจากนั้นก็อาจจะมาจากโรคไตหรือ โรคกระเพาะอาหาร ถาม อาการปวดเมื่อยจากความชรา แตกต่างจากโรคดังกล่าวหรือไม่ ตอบแตกต่างกัน เพราะคนชราปวดเมื่อย ถ้าให้พักผ่อนก็จะหายได้ อาการปวดมัก เป็นช้าๆ ทีละน้อยผิดกันกับโรคต่างๆ ที่กล่าวแล้ว ซึ่งอาจจะเป็นทันทีโดยรุนแรงและ รวดเร็ว การพักผ่อนอาจจะไม่หายปวด ถาม สาเหตุของการปวดเมื่อยในผู้สูงอายุเกิดได้อย่างไร ตอบเนื่องจากสาเหตุปวดเมื่อยมีหลายอย่าง การเกิดจะแตกต่างกันไป ถ้าเกิดจาก ความเสื่อมของข้อก็เพราะเสื่อมไปตามกาลเวลา ยิ่งถ้ามีการใช้งานข้อมากกว่าปกติ เช่น แบกของหนัก ทำงานหนักมาก การเกิดโรคกระดูกผุจะพบได้จากผู้ป่วยสูงอายุ ที่เป็นหญิง เพราะฮอร์โมนเพศหญิงลดลง ทำให้แคลเซียมละลายออกจากร่างกายมาก กว่าที่เก็บสะสมไว้ แต่ถ้าเกิดจากการยกของหนักๆ ผิดท่า โดยเฉพาะการออกกำลัง กายโดยไม่มีการอุ่นเครื่อง (warm up) เสียก่อน ก็ทำให้ปวดมากได้ทันที ถาม ผู้สูงอายุควรจะทำอย่างไร เมื่อมีอาการปวดเมื่อยดังกล่าว ตอบ โดยทั่วๆ ไปแล้ว ควรพักผ่อน มักก็จะช่วยได้เสมอและการนวดแต่เพียงเบาๆ ได้ผลดี รวมทั้งการทำกายภาพบำบัด จะให้ผลดีเช่นกัน ถาม มีวิธีป้องกันหรือไม่ ที่จะไม่ให้เกิดอาการดังกล่าว ตอบ การป้องกัน ได้แก่ การออกกำลังกายสม่ำเสมอทำให้กระดูและกล้ามเนื้อ แข็งแรง การยกของ การทำงานด้วยท่าทางที่เหมาะสมสำหรับวัยและหลีกเลี่ยงงาน หนักมากๆ ถาม อาหารจะเกี่ยวข้องหรือไม่กับการปวดเมื่อย ตอบ อาหารมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่บ้าง เช่น โรคเก๊าท์ ปวดข้อจากการมีระดับกรด ยูริคสูง ต้องจำกัดอาหารประเภทเครื่องใน การขาดวิตามินและเกลือแร่ทำให้กระดูก บางลงอาจทำให้ปวดเมื่อยได้ในภายหลัง อาหารแป้งและไขมันที่จะเพิ่มน้ำหนักตัวต้อง จำกัดด้วยเช่นกัน เพราะจะทำให้มีอาการปวดหลัง ปวดเข่าได้ง่ายเช่นกัน

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์) 006 เลขที่ 30

14 วิธีขับถ่ายปัสสาวะ เพื่อสุขภาพที่ดี

ไม่น่าเชื่อว่า แม้คนเราจะขับถ่ายปัสสาวะกันมาก ตั้งแต่แรกเกิด แต่หลายคนไม่ทราบวิธีที่ดีที่ทำให้ระบบขับถ่ายปัสสาวะเป็นปกติ วันนี้จะขอเสนอ 14 อุปนิสัยที่ดีในการขับถ่ายปัสสาวะ

อย่ากลั้นปัสสาวะ เมื่อรู้สึกปวดต้องไปปัสสาวะ

เวลาปัสสาวะไม่ควรรีบร้อนเบ่งมาก เพราะอาจทำให้หูรูดปัสสาวะชำรุดได้

ควรถ่ายปัสสาวะให้เหลือน้อยที่สุดในหนึ่งครั้ง นั่นคือเมื่อรู้สึกถ่ายหมดแล้วให้เบ่งต่ออีกนิดหน่อย ปัสสาวะที่เหลือจะไหลออกมา

ไม่ควรบังคับให้ตนเองถ่ายปัสสาวะบ่อย เพราะจะติดเป็นนิสัย เวลาที่เหมาะสมคือ 2-4 ชั่วโมงควรถ่ายปัสสาวะหนึ่งครั้ง

ให้สังเกตการถ่ายปัสสาวะ และน้ำปัสสาวะของตนเองทุกครั้งว่า ต้องเบ่งมากผิดปกติหรือไม่ น้ำปัสสาวะลำพุ่งดีหรือไม่ ลำน้ำปัสสาวะมีขนาดเล็กลงกว่าเดิมหรือไม่ น้ำปัสสาวะมีสีเหลืองใสหรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเป็นอาการผิดปกติที่สามารถบอกโรคได้

อาจจะล้างทำความสะอาดหลังปัสสาวะ แต่อย่าให้บริเวณนั้นเปียกชื้น เพราะอาจเกิดเชื้อราได้ ทางที่ดีหลังปัสสาวะทุกครั้ง ควรซับให้แห้ง

เมื่อปัสสาวะไม่ออก ต้องหาสาเหตุโดยการไปพบแพทย์ อย่าซื้อยาขับปัสสาวะรับประทานเพราะจะเกิดอันตรายได้

เมื่อเข้าสู่วัยกลางคน การบริหารอุ้งเชิงกรานโดยการขมิบ (ฝ่ายหญิงขมิบช่องคลอด ฝ่ายชายขมิบทวารหนัก) วันละ 100 ครั้ง จะช่วยป้องกันอาการปัสสาวะเล็ด

ดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 10 แก้ว หรือหนึ่งลิตร จะช่วยให้น้ำปัสสาวะใส มีจำนวนพอดีและป้องกันภาวะปัสสาวะอักเสบ

ก่อนมีเพศสัมพันธ์ และหลังมีเพศสัมพันธ์ คุณผู้หญิงควรถ่ายปัสสาวะทิ้ง จะช่วยป้องกันการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

น้ำปัสสาวะจะต้องเป็นน้ำเท่านั้น ถ้ามีมูก หนอง น้ำเหลือง เลือดปนออกมา ถือว่าผิดปกติต้องไปพบแพทย์

การขับถ่ายปัสสาวะ ต้องขับถ่ายคล่องไม่มีอาการเจ็บปวด ถ้าปัสสาวะแสบขัดลำบากนับว่าเป็นอาการผิดปกติ ต้องไปพบแพทย์อีกเช่นกัน

คนเราทุกคนต้องปัสสาวะทุกวัน วันละ 4-6 ครั้ง ถ้าไม่ปัสสาวะเลย 1 วัน ถือว่าตกอยู่ในภาวะอันตราย ต้องไปพบแพทย์โดยด่วน

ก่อนเดินทางไกล ก่อนยกของหนัก ควรปัสสาวะทิ้งก่อน

สุภัทตรา วิทย์ออก เลขที่12

14 พฤติกรรม เสี่ยงมะเร็ง

ความน่ากลัวของ มะเร็ง คือ เป็นแล้วมักลาม หายแล้วเป็นใหม่ได้

ความน่ากลัวของ มะเร็ง คือ เป็นแล้วมักลาม หายแล้วเป็นใหม่ได้ ด้วยเหตุนี้ผู้ป่วยหลายคนจึงถูกมะเร็งคร่าชีวิตไปนับไม่ถ้วน แม้จะได้รับการเยียวยารักษาอย่างดีแล้วก็ตาม

สำหรับพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งนั้น นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ บอกว่า มี 14 ประการ ดังต่อไปนี้

1.นอนดึก ทำให้ไม่มีฮอร์โมนต้านมะเร็งหลั่งออกมา นอกจากนี้ยังจะทำให้เกิดโรคร้ายอื่น เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง และโรคอ้วน เพราะการนอนดึก มักจะหิวและต้องหาของขบเคี้ยวมากินแก้ปากว่างกัน

2.คึกสูบบุหรี่และขี้เหล้า ทั้งสองสิ่งนี้ทำให้ปอดและตับทำงานหนัก ทำให้คนที่เสพทั้งแก่เร็วและตายไวได้จากโรคมะเร็ง

3.เอาแต่ไขมันเข้าปากและอยากแต่เนื้อแดง ไขมันอิ่มตัวและโปรตีนจากเนื้อนั้นเป็นแหล่งอาหารชั้นหนึ่งของมะเร็งที่จะใช้เจริญเติบโตได้ไม่แพ้ทารกเกิดใหม่ มัน จะสร้างหลอดเลือดยื่นไปดูดกินเลือดเนื้อของเราจนแทบ ไม่เหลือเลือดอันสมบูรณ์ไปเลี้ยงอวัยวะอื่น ตัวเราจึงผอมเอา ๆ ตรงข้ามกับมะเร็งกาฝากที่โตไว

4.แฝงด้วยเครียดจัด จนมีสารทุกข์หลั่งออกมาหล่อเลี้ยงมะเร็งให้โตขึ้นเร็ว ราวกับน้ำมันราดบนกองไฟให้คุโชนขึ้น

5.ไวรัสตับอักเสบบีและมีภูมิแพ้ที่รักษาไม่หาย ในคนที่ภูมิไม่ดี ไม่มีการออกกำลัง พักผ่อนน้อย โดยเฉพาะผู้อายุมากที่ภูมิต่ำก็จะได้มะเร็งแถมเข้ามาในชีวิตทันที ดังนั้นถ้าเคยมีประวัติไวรัสตับอักเสบบีแล้ว ก็ต้องพยายามเสริมภูมิต้านโรคไว้ให้รู้สึกอยู่เสมอว่าเรามีระเบิดเวลาในกายจะได้ไม่ประมาท

6.ปล่อยกายให้อ้วน สร้างให้เกิดธาตุแก่ออกมาแช่อิ่มอวัยวะภายในร่างกาย และไขมันตามตัวยังสร้างให้เกิดฮอร์โมนกระตุ้นให้มะเร็งแบ่งตัวดีขึ้นด้วย

7.ล้วนขาดวิตามิน ด้วยวิตามินทำหน้าที่ต้านเชื้อมะเร็งให้ดับเป็นจุณไปก่อนที่จะเผยอหน้าขึ้นมาแบ่งตัวปนเปไปในร่างกายเรา

8.กินของร้อนจัดไป เช่น ซดชาร้อน หรือกาแฟร้อนจัดประเภทควันฉุย จะไปลวกให้เซลล์หลอดอาหารอักเสบอยู่ทุกบ่อย เมื่ออักเสบเป็นอาจิณก็จะมีโอกาสเปลี่ยนไปเป็นเซลล์มะเร็งง่ายขึ้น

9.ทำให้คอเลสเตอรอลลดต่ำ พบว่า ถ้าต่ำเกินไปก็ไม่ดี มีผลกับภูมิคุ้มกันที่แย่ลง เมื่อภูมิต่ำแล้วก็จะหมดปัญญาต้านเซลล์มะเร็งที่จะเข้ามาหา

10.ทำกลั้นปัสสาวะ น้ำปัสสาวะเป็นของเสียยิ่งอยู่นิ่งเป็นเวลานานจากการอั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำนิ่งในคลองแสนแสบซึ่งทิ้งไว้ไม่นานจะกลายเป็นน้ำเน่า แต่ถ้าเน่าในกระเพาะฉี่เราก็มีผลให้เกิดเซลล์มะเร็งงอกขึ้นมาได้

11.ปะทะเค็มจัด พบว่า สิ่งมีชีวิตที่ทานอาหารเค็มมีอัตราการเกิดมะเร็งสูงกว่า โดยเฉพาะในอาหารจำพวก เนื้อเค็ม เนื้อแห้ง หมูแดง ที่นอกจากเค็มแล้วยังมีสีแดงดีจากดินประสิวอีกด้วย

12.ประวัติมะเร็งในครอบครัว มะเร็งร้ายในครอบครัวบางอย่างสามารถถ่ายทอดมาทางพันธุกรรมได้ แม้จะไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์แต่ต้องรับไว้ด้วยความไม่เต็มใจ เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่ถ้าป้องกันไว้ดี ๆ แล้วบางทีก็ไม่เกิดขึ้นมา

13.ตัวตากแดดบ่อย แสงแดดเป็นรังสี ที่กระตุ้นอณูเซลล์ของคุณให้สะดุ้งตกใจจนเครื่องในรวนหมด เมื่อเครื่องในรวนแล้วก็ไม่สามารถที่จะคุมการแบ่งตัว ได้ ทำให้แบ่งต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งกลายเป็นก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ

14.ไม่ค่อยช่วยใคร ถ้าพูดให้ง่ายเข้า คือ เห็นแก่ตัวและไม่ค่อยได้ทำบุญนั่นเอง เพราะเมื่อใดก็ตามที่ได้หมั่นช่วยเหลือผู้อื่นจนชินแล้วเรามักไม่ค่อยได้นึกถึงตัวเองนัก และเมื่อไม่หมกมุ่นกับตัวเองแล้วก็ไม่ค่อยเกิดความ อยาก อันนำไปสู่ความเครียดร้อนอกร้อนใจ หรือถ้าไม่มีเวลาก็แค่อนุโมทนากับบุญที่เราได้พานพบก็ทำให้มี สารสุข หลั่งออกมาเสริมภูมิรู้สู้มะเร็งแล้ว.

นวพรรษ บุญชาญ

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

สุภัทตรา วิทย์ออก เลขที่12

กินดี สมองแล่น งานวิ่งฉิว

สมองจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพต้องได้รับสารอาหารที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ

รศ.ดร.อรอนงค์ กังสดาลอำไพ เภสัชกร

สังคมในปัจจุบันคนเราต้องทำงานแข่งกับเวลา หลายคนทำงานจนลืมเวลาอาหาร โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ทำงานในสำนักงาน ในการทำงานของคนกลุ่มนี้จะใช้แรงงานน้อย แต่จะต้องใช้สมองมาก การทำงานของสมองจะมีประสิทธิภาพดีหรือไม่ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง สารอาหารเป็นหนึ่งในปัจจัยนี้

ซึ่งสารอาหารนี้ได้แก่ กลูโคส กรดอะมิโน วิตามิน และแร่ธาตุ อาหารจำเป็นสำหรับให้เซลล์สมองยังคงสภาพอยู่ได้และมีส่วนในการสร้างสารนำสื่อประสาท สมองจะใช้กรดอะมิโนจากอาหารในการสังเคราะห์สารนำสื่อประสาทและโปรตีน ในการทำงานสมองจะต้องใช้พลังงานจากกลูโคส

กลูโคสเป็นน้ำตาลที่ได้จากการย่อยอาหารคาร์โบไฮเดรต เช่น แป้ง ข้าว เผือก มันหรือน้ำตาลทราย เป็นต้น กลูโคสจะถูกดูดซึมผ่านลำไส้เข้ามาในเลือด กลูโคสสามารถผ่านเข้าไปในสมองแล้วเผาผลาญเป็นพลังงานให้แก่สมอง ถ้าสมองขาดพลังงานสมองจะไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นคนเราจึงต้องรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรต เพื่อคงระดับน้ำตาลกลูโคสในร่างกาย สมองจะได้นำกลูโคสไปใช้เป็นพลังงาน ขณะเดียวกันการที่ร่างกายหรือสมองจะนำกลูโคสมาใช้เป็นพลังงานได้จำเป็นต้องมีวิตามินบีเป็นตัวช่วยในการทำงานของเอนไซม์ วิตามินบีที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสลายกลูโคสได้แก่ วิตามินบี1 วิตามินบี2 ไนอาซิน วิตามินบี6 วิตามินบี12 และโฟเลท เป็นต้น

คนที่อดอาหาร เซลล์ส่วนใหญ่ในร่างกายจะใช้พลังงานจากกรดไขมันได้ แต่เซลล์สมองไม่สามารถใช้กรดไขมันเป็นพลังงาน ยังคงต้องใช้พลังงานจากกลูโคส โดยปกติกลูโคสที่ร่างกายได้รับในแต่ละวันถูกนำไปใช้เป็นพลังงานให้กับเซลล์ประสาทและสมองประมาณร้อยละ 60

นอกจากนี้การขาดสารอาหารเป็นเวลานานทำให้ความจำและการเรียนรู้เสื่อม เนื่องจากการสังเคราะห์สารนำสื่อประสาท ต้องอาศัยสารอาหารซึ่งได้รับจากอาหาร เช่น สารนำสื่อประสาท Serotonin จะถูกสร้างจากกรดอะมิโน Tryptophan ซึ่งการทำงานของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสารนำสื่อประสาทนี้ต้องอาศัยวิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามินบี1 วิตามินบี6 วิตามินบี12 โฟเลท วิตามินซี และเหล็ก การขาดสารอาหารระดับปานกลางเป็นเวลานาน จะทำให้การรับรู้ลดลง ซึ่งมักจะพบในคนสูงอายุ การสูญเสียการรับรู้นี้ป้องกันหรือชะลอได้โดยการให้สารอาหารที่เกี่ยวข้องนี้

สารอาหารที่เกี่ยวข้องกับสมองและการรับรู้ได้แก่

ไทอะมิน (วิตามินบี1) เป็นส่วนของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสลายกลูโคสให้เป็นพลังงาน การขาดวิตามินบี1 จะทำให้อ่อนเพลีย ซึมเศร้า เบื่ออาหาร อาหารไม่ย่อย แขนขาไม่มีแรง ชาปลายมือปลายเท้า ถ้าขาดมากจะเป็นเหน็บชา ผู้ที่ดื่มสุราเรื้อรัง มีโอกาสขาดวิตามินบี1 ถ้าได้รับจากอาหารไม่เพียงพอ เนื่องจากแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ขัดขวางการดูดซึมวิตามินบี1 และการเผาผลาญแอลกอฮอล์จำเป็นต้องใช้วิตามินบี1เช่นกัน วิตามินบี1 นี้พบมากในตับ ไต หัวใจ ข้าวซ้อมมือ ถั่วต่าง ๆ และเนื้อสัตว์

ไรโบฟลาวิน (วิตามินบี2) เป็นวิตามินที่เป็นส่วนประกอบของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสลายกลูโคสให้เป็นพลังงาน การขาดวิตามินบี 2 จะมีผลให้ริมฝีปากและลิ้นอักเสบ บวมแดง ปากและมุมปากแตก ตาไม่สู้แสง ระบบประสาทผิดปกติ และสับสน วิตามินบี2 พบมากในนม เครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ ปลา และผักใบเขียว

ไนอาซิน (วิตามินบี3 ) เป็นวิตามินที่เป็นส่วนของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสลายกลูโคสให้เป็นพลังงาน การขาดไนอาซิน ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง เบื่ออาหาร อาหารไม่ย่อย ลิ้นบวมแดง ปวดศีรษะ ความจำเสื่อมหงุดหงิด สับสน อาหารที่มีไนอาซินสูงได้แก่ เนื้อสัตว์ ถั่วและยีสต์

วิตามินบี6 เป็นส่วนของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสลายกลูโคสออกมาจากไกลโคเจน ไกลโคเจนเป็นคาร์โบไฮเดรตที่สะสมอยู่ในร่างกายในตับและกล้ามเนื้อ ร่างกายจะสลายไกลโคเจนออกมาให้เป็นกลูโคสในช่วงที่ไม่ได้รับอาหาร เพื่อคงระดับกลูโคสในเลือดในช่วงแรกของการอดอาหาร ร่างกายจะใช้ไกลโคเจนหมดภายในเวลาประมาณ 12 ชั่วโมง วิตามินบี6 ยังเกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์สารนำสื่อประสาท วิตามินบี6 พบมากในอาหารพวกเนื้อสัตว์ ตับ ธัญญาหาร ผักและถั่วต่างๆ การขาดวิตามินบี6 ทำให้อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ เป็นแผลในปาก โลหิตจาง ซึมเศร้า สับสน และมีอาการชักได้

วิตามินบี12 เป็นส่วนของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเซลล์และเยื่อหุ้มปลายประสาท การขาดวิตามินบี12 ทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง เยื่อหุ้มปลายประสาทถูกทำลาย มีอาการทางประสาท ชาและปวดแสบปวดร้อน ความจำเสื่อม สมาธิสั้น วิตามินบี12 พบในอาหารที่มาจากสัตว์ เช่น ตับ นม ไข่ และเนื้อสัตว์ แต่จะไม่พบในแหล่งอาหารที่มาจากพืช ดังนั้นบุคคลที่รับประทานอาหารมังสวิรัติแบบเข้มงวดโดยรับประทานเฉพาะอาหารที่มาจากพืชนานเป็นปี ๆ จะมีปัญหาการขาดวิตามินบี12 ได้

กรดโฟลิกหรือโฟเลท เป็นวิตามินที่เกี่ยวข้องกับการสร้างเซลล์ โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดแดง การขาดโฟเลทจะทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง ถ้าสตรีมีภาวะการขาดโฟเลทตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ ทารกที่คลอดออกมาอาจมีโอกาสเสี่ยงต่อความผิดปกติของหลอดประสาทไขสันหลัง (Neural Tube defect)

ปัจจุบันจึงแนะนำให้สตรีตั้งครรภ์ได้รับโฟเลทเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสตรีที่เคยรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดมาก่อน เมื่อวางแผนจะตั้งครรภ์ควรได้รับการเสริมโฟเลท เนื่องจากพบว่าการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดมีส่วนทำให้ระดับโฟเลทในเลือดต่ำลง โฟเลทพบมากในอาหารพวกตับ ยีสต์ ผักใบเขียว เนื้อสัตว์ ไข่ และนม

เหล็ก เป็นส่วนประกอบของฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง ซึ่งทำหน้าที่นำออกซิเจนไปยังเซลล์ในร่างกาย

เหล็กยังเป็นส่วนประกอบของเอนไซม์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างพลังงานให้เซลล์ต่างๆในร่างกาย รวมทั้งสมอง อาหารที่พบเหล็กมากได้แก่ เลือด ตับสัตว์ เนื้อสัตว์ต่างๆ โดยเฉพาะเนื้อที่มีสีแดง การขาดเหล็กจะทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ สมรรถภาพในการทำงานและการเรียนรู้ลดลง

ดังนั้นเพื่อให้สมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องรับประทานอาหารทุกมื้อ โดยเฉพาะอาหารเช้า เนื่องจากไม่ได้รับอาหารมาหลายชั่วโมง ในขณะที่ร่างกายและสมองจะต้องทำงานตลอดวัน ดังนั้นจึงไม่ควรอดอาหารโดยเฉพาะอาหารคาร์โบไฮเดรตซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักของสมองตามที่กล่าวมาแล้ว และควรรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ เพื่อให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน นอกจากอาหารแล้ว การออกกำลังกายและการพักผ่อนอย่างเพียงพอจะมีส่วนต่อประสิทธิภาพในการทำงานของสมองเช่นกัน

บรรณานุกรม

1. Cataldo C.B. , Rolfes S.R. and Whitney E.N. Understanding Clinical Nutrition 2nded. 1998. Singapore West/Wadsworth. An International Thomson Publishing Co. pp 678-680

2. Roman G.C. Nutritional disorders of the Nervous system. In eds. Shils M.E. et al. Modern nutrition in Health and Disease 10thed. 2006. Philadelphia : Lippincott Williams Wilkins pp. 1362-1380.

3. Smolin L.A. and Grosvenor M.B. Nutrition Science and Application 3rded. Philadelphia : Saunders College Publishing. 2000.

4. Ward law G.M.; Hampl J.S. and DiSilvestro R.A. Perspectives in Nutrition. New York : McGraw Hill 2004

5. คณะกรรมการจัดทำข้อกำหนดอาหารที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย ปริมาณสารอาหารอ้างอิงที่ควรได้รับประจำวันสำหรับคนไทย พ.ศ. 2546 กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

น.ส.ขวัญแรก ปันสา cmru sex 02 No.58

เทคนิคง่ายๆเพื่อลดน้ำหนักให้ได้ผล

1. ไม่ควรรับประทานของหวานในมื้อกลางวันและมื้อเย็น และไม่ควรรับประทานอาหารหลังเวลา 18.00 น.

2. ดื่มน้ำเปล่ามากๆและดื่มน้ำ 2 แก้วก่อนรับประทานอาหารแต่ละมื้อ จะทำให้คุณรับประทานอาหารได้น้อยลง

3. หมั่นชั่งน้ำหนักเพื่อสำรวจดูว่า น้ำหนักขึ้นหรือลด

4. ก่อนรับประทานอาหารประมาณครึ่งชั่วโมง รับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอยางไฟเบอร์แคปซูล จะทำให้หิวน้อยลง

5. เสิร์ฟอาหารในจานเล็กลง เพื่อลดปริมาณอาหารในแต่ละมื้อ

6. ค่อยๆลดปริมาณอาหารลงทีละน้อยเพื่อให้ร่างกายได้มีเวลาปรับตัว

7. ระหว่างดูทีวี หากติดนิสัยชอบรับประทานจุบจิบ ควรเตรียมผักและผลไม้สดไว้เสมอ รวมทั้งน้ำผักผลไม้สด

8. อย่าเก็บขนมหวานไว้ใกล้ตา และควรกำจัดอาหารเพิ่มน้ำหนัก เช่น น้ำอัดลม ชอกโกแลต และใส่ผักผลไม้แทน

9. ลงรถเมล์ก่อนถึงที่หมายซักหนึ่งป้าย จะได้เดินออกกำลังกายไปในตัว

10. ใช้บันไดแทนลิฟท์ ในกรณีที่เดินขึ้นลงเพียงไม่กี่ชั้น

11. ปรุงอาหารด้วยวิธีไม่ใช้น้ำมัน อย่าง นึ่ง ย่าง ต้ม

12. เมื่อออกไปรับประทานอาหารนอกบ้าน พยายามใส่กระโปรงหรือกางเกงคับๆจะได้รับประทานได้น้อยลง

13. การที่เรารู้สึกไม่ค่อยหิวในช่วงตื่นนอนใหม่ๆเป็นเรื่องปกติ ลองตื่นแต่เช้า ออกกำลังกายยืดเส้นยืดสาย แล้วค่อยมาอาบน้ำและเติมพลังโดยการรับประทานอาหารเช้าเบาๆ การรับประทานอาหารมื้อเช้าจะทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า และไม่รู้สึกหิวมากในเวลามื้อกลางวัน

14. พยายามตั้งเป้าหมายอย่างเป็นจริงและชัดเจน เพราะหากตั้งเป้าหมายสูงเกินไป อาจท้อใจและล้มเลิกการควบคุมอาหารได้ง่ายๆ เช่น อาจตั้งเป้าที่จะลดน้ำหนักให้ได้ 1 ก.ก. ในหนึ่งสัปดาห์

15. รับประทานอาหารให้ตรงเวลา จะได้ไม่รุ้สึกหิวมากระหว่างมื้ออาหารและลดการกินจุบจิบลง

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)เลขที่ 33

รอบเดือน

บางคนจะมีอาการไม่สบายเนื้อตัวก่อนมีรอบเดือน เช่น ปวดหัว เป็นไข้ คัดหน้าอก ปวดท้อง ปวดหลัง ท้องอืด สิว อยากอาหารมากกว่าปกติ ภูมิแพ้กำเริบ อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิด หดหู่ ขาดสมาธิ หรือมีสิวขึ้น

เราเตรียมตัวเพื่อรับสถานการณ์เหล่านี้ได้ ถ้าออกกำลังกายเป็นประจำ ช่วงก่อนมีประจำเดือนราว 1 อาทิตย์ ถ้าได้ออกกำลังกายอย่างพอเหมาะพอควรอาการปวดท้อง และอาการต่างๆ จะดีขึ้น ควรงดอาหารที่มีไขมันสูง ของทอด กินอาหารที่มีวิตามินบี 6 อี แคลเซียม แมกนีเซียม ธาตุเหล็ก สังกะสี เช่น ธัญพืช นม ไข่ ถั่ว สาหร่าย ผักสีเขียวจัด ผลไม้ และดื่มน้ำมากๆ เพื่อทดแทนวิตามินเกลือแร่ที่สูญเสียไป คุณจะได้ไม่อ่อนเพลียหรือซูบซีดไงคะ แล้วพยายามมีสติรับรู้ว่าขณะนี้อารมณ์เราเป็นอย่างไร หากิจกรรมเพื่อการผ่อนคลายบ้างจะช่วยให้อารม ไม่มีใครโดนลูกหลง

พอถึงวัยใกล้หมดประจำเดือนจะมีอาการร้อนวูบวาบ ประจำเดือนมามากมานาน เร็วกว่าปกติ ช่องคลอดแห้ง ใจสั่น นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย วิตกกังวล อารมณ์แปรปรวน ควรเน้นเรื่องอาหารที่ดีต่อสุขภาพ แคลเซียมสูง ไขมันต่ำ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ อาจจะเดินเร็วหรือว่ายน้ำ อาทิตย์ละ 3-4 ครั้ง เพื่อให้สุขภาพดีอยู่เสมอ และอาจต้องปรึกษาแพทย์ถ้าอาการต่างๆ รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของคุณ เราสรรหาฮอร์โมนเอสโตรเจนเพื่อทดแทนที่หมดไปได้จากธัญพืชต่างๆ ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วฝักเขียว เมล็ดทานตะวัน ข้าวโพด บร็อกโคลี กะหล่ำปลี แครอต แตงกวา มะเขือ กระเทียม ผักชีฝรั่ง พริกหวาน ส้ม แอปเปิล สตอรเบอรี่ ฯลฯ

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์) 006 เลขที่ 30

เคล็ดลับเพื่อรอยยิ้มสดใส

ฟันขาวสดใสเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของรอยยิ้มอันงดงาม

และนี่คือ 5 เคล็ดลับง่ายๆ ที่จะทำให้รอยยิ้มของคุณสดใสขึ้นในทันที โดยไม่ต้องใช้กระบวนการราคาแพงหรืออุปกรณ์ฟอกฟันขาว

ขาวใสในขณะเคี้ยว ทุกคนต่างรู้ว่าไวน์และกาแฟทำให้ฟันมีคราบเหลือง แต่อาหารบางอย่าสามารถทำให้ฟันคุณขาวขึ้นได้ในขณะกิน อาหารต่อไปนี้ชวนขจัดคราบด้วยการขัดผิวฟันก่อนที่รอยเปื้อนจังตัวลงไปในฟัน (เหมือนการขัดลอกผิวคุณ) อาหารที่ทำให้ฟันขาวขึ้นก็อย่างเช่น แอปเปิ้ล เซเลอรี่ แครอต บร็อกโคลี่ ฝรั่ง ผักกาดแก้ว

ลิปสติก สีบางสีสามารถทำให้ฟันของคูณดูขาวขึ้นหรือคล้ำลงได้ ถ้าฟันคุณมีสีออกเทาๆ หลีกเลี่ยงลิปสติกสีแดงที่มีอันเดอร์โทนสีน้ำเงิน ลองใช้สีโทนน้ำตาล อย่างเช่น สีนู้ดอมชมพูที่เกือบเป็นสีน้ำตาล ถ้าฟันคุณสีออกเหลือง หลีกเลี่ยงเฉดสีเข้มๆ หรือสดใสเกินไป หรือกลอสที่มันวาวเป็นพิเศษ ลองเฉดสีชมพูที่มีอันเดอร์โทนสีน้ำเงินหรือสีนู้ด

เครื่องประดับ ลองใส่เครื่องประดับที่เป็นพลอยสีขาวหรือเครื่องเงิน จะทำให้ผิวของคุณดูขาวขึ้น หลีกเลี่ยงสีทองที่จะเน้นให้โทนสีเหลืองในฟันดูชัดเจนยิ่งขึ้น

เสื้อผ้า เสื้อสีขาวมีแต่จะเน้นให้เห็นฟันเหลืองมากขึ้นไปอีก ลองเลือกเฉดสีออฟไวต์หรือสีครีม การลดความแตกต่างจะทำให้ฟันดูขาวสดใสขึ้น

วราภรณ์ สุตพลสันติกุล เลขที่ 34

เคล็ดลับเติมความสดใสแบบทันใจ

ถ้าคุณตื่นขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกห่อเหี่ยวแบบไร้สาเหตุ ลองใช้วิธีเหล่านี้เพื่อปลุกความรู้สึกของคุณให้สดชื่นขึ้น พอที่จะยิ้มไปได้ตลอดวัน

1 เติมความหอมกรุ่น ลองเปลี่ยนกลิ่นหอมที่ใช้ทุกวันเป็นกลิ่นหอมใหม่ ที่จะทำให้คุณตื่นตัวกว่ากลิ่นหอมเดิมๆ และลองฉีดน้ำผมลงบนฝ่ามือและลูบลงบนเรือนผมเล็กน้อย (อย่าฉีดน้ำหอมลงบนผมโยตรง แอลกอฮอล์ในน้ำหอมจะทำให้ผมแห้ง) กลิ่นหอมที่กรุนกำจายออกมาทุกครั้งยามสะบัดผม จะทำให้คุณยิ้มได้ไปทั้งวัน

2 เล็บสวยเงางาม อย่าปล่อยให้มือแห้งเหี่ยว หยิบยาทาเล็บสีสันสดใสมาเติมแต่งเล็บ และให้ความรู้สึกสดชื่นทุกครั้งที่เหลือบลงมอง

3 ผิวเปล่งประกาย ผิวจะดูสุขภาพดีขึ้นเมื่อมันเปล่งประกาย และคุณก็จะรู้สึกดีๆ ตามไปด้วย ชะโลมน้ำมันหรือโลชั่นแบบที่มีส่วนผสมของชิมเมอร์ เพื่อให้ผิวดูเปล่งประกายอย่างทันใจ

นางสาวไพลิน จันทร์ทะวงศ์ เลขที่25 ภาคพิเศษจันทร์-ศุกร์ cmru

6 วิธี สร้างนิสัยกิน “กากใย” บรรเทาท้องผูก

อาหารที่มีกากใยสูง จะช่วยการทำงานของระบบทางเดินอาหาร และระบบขับถ่ายให้เป็นปกติแล้ว หากเรากินกากใยน้อยเกินไป ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาท้องผูก ริดสีดวงทวาร และความผิดปกติอื่น ๆ ในลำไส้ได้เช่นกัน

มี 6 วิธีง่าย ๆ เพื่อช่วยสร้างนิสัยในการกิกกากใยอาหารให้ได้มากมาแนะนำ

1. สร้างเป็นนิสัยการกินประจำบ้าน โดยเน้นกินข้าวกล้อง หรือข้าวซ้อมมือ หรือผลิตภัณฑ์จากข้าวที่ไม่ได้ขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีท ซึ่งจะมีกากใยอาหารมากกว่าขนมปังขาวถึง 3 เท่า รวมถึงมองหา ร้านอาหารสุขภาพ ที่มีข้าวกล้องขายสำหรับมื้ออื่น ๆ นอกบ้านด้วย

2. กินผักและผลไม้ให้มาก ๆ ควรล้างผลไม้ให้สะอาด และถ้าเป็นไปได้ควรเลือกรับประทานผลไม้ที่รับประทานได้ทั้งเปลือก เช่น แอปเปิ้ล ฝรั่ง และองุ่น

3. พยายามกินผักที่กินทั้งต้น และก้านให้มากขึ้น เช่น ผักคะน้า ผักบุ้ง ผักกวางตุ้ง ถ้ารู้ว่าก้านผักนั้นแข็ง ให้ปอกเปลือกออกบ้าง แล้วฝานหรือหั่นให้เล็กลง นอกจากนั้น อย่าลืมหัดกินผักสด โดยกินร่วมกับน้ำพริก ใส่สลัด หรือกินเป็นของขบเคี้ยวเล่น ก็อร่อยและได้ประโยชน์

4. กินผลไม้สดแทนการดื่มน้ำผลไม้คั้น ส้มสดหนึ่งผลนั้นมีกากใยอาหารมากกว่าน้ำคั้นถึง 6 เท่า

5. เติมถั่วชนิดต่าง ๆ ลงในอาหาร เช่น ใส่ถั่วลันเตา ถั่วแขกในอาหารผัด แกงต่าง ๆ หรือสลัด

6. เลือกกินขนมที่ทำจากผลไม้ เช่น ถั่วเขียว หรือถั่วแดงต้ม ฟักทอง หรือเผือกต้ม เพียงอย่างเดียว

นางสาวไพลิน จันทร์ทะวงค์ เลขที่25 ภาคพิเศษจันทร์-ศุกร์ cmru

10 พฤติกรรมที่ทำให้สมองฝ่อเร็ว

1. ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้าแล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่นี่จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอทำให้สมองเสื่อม

2. กินอาหารมากเกินไป การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัวเป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น

3. การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคสมองฝ่อและโรคอัลไซเมอร์

4. ทานของหวานมากเกินไป จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและ ขัดขวางการพัฒนาของสมอง

5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะ เข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อย ส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง

6. การอดนอน การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน การอดนอนเป็นเวลานาน จะทำให้เซลล์สมองตายได้

7. นอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ ให้มากขึ้น และลดออกซิเจนให้น้อยลง ส่งผงต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนในขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง เหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว

9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกของสมอง การขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ

10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง

รู้อย่างนี้แล้วก็หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่กล่าวมาจะดีกว่า เพื่อจะได้มีสมองที่ดี

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

4 วิธีแก้คอเคล็ด เพราะตกหมอน

1. อย่าพยายามเคลื่อนไหวคอและให้อยู่นิ่งๆ โดยการนอนราบชั่วคราว เพื่อให้กล้ามเนื้อคอได้พัก

2.ประคบร้อน ด้วยกระเป๋าน้ำร้อนหรือผ้าชุบน้ำอุ่นบริเวณกล้ามเนื้อต้นคอที่เจ็บประมาณ 20-30 นาที และกดนวดบริเวณคอเพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว อาการจะค่อยๆ ดีขึ้น

3.ดัดยืดคอด้วยตนเอง โดยใช้มือช่วยดันศีรษะไปในทิศทางที่เกิดอาการตึงช้าๆ จนรู้สึกตึงเล็กน้อยแต่ไม่เจ็บ ดันค้างไว้ประมาณ 10-15 วินาที แล้วทำซ้ำ 5-10 ครั้ง จนเริ่มรู้สึกทุเลาลง

4.นวดเบาๆ โดยใช้มือบีบลงบนแนวของกล้ามเนื้อที่รู้สึกปวดเมื่อย ให้แรงบีบพอประมาณที่ทำให้รู้สึกแน่นตึงและไม่เจ็บ บีบและคลายเป็นจังหวะ การประคบร้อนก่อนการนวดจะช่วยให้นวดได้ง่ายขึ้น และผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้เร็วขึ้น

กติกาตะกร้อลอดห่วงครับ

1. สนามแข่งขัน

สนามเป็นพื้นราบ จะอยู่ในร่มหรือกลางแจ้งก็ได้ วัดจากพื้นสนามขึ้นไปอย่างน้อยประมาณ 8 เมตร ต้องไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ และให้มีวงกลมรัศมี 2 เมตร จากจุดศูนย์กลางสนาม ความกว้างของเส้นวงกลม มีความกว้าง 4 เซนติเมตร มีห่วงชัยแขวนอยู่ ณ จุดศูนย์กลางของวงกลม โดยเชือกที่แขวนห่วง มีความยาวจากรอกไม่น้อยกว่า 50 เซนติเมตร

2. ห่วงชัย

ห่วงชัยประกอบด้วยวงกลม 3 ช่อง ขนาดเท่ากัน มีเส้นผ่าศูนย์กลางวัดจากภายใน กว้าง 45 เซนติเมตร ห่วงทั้ง 3 นี้ จะทำด้วย โลหะ หวาย หรือไม้ ก็ได้ แต่ต้องผูกหรือบัดกรีติดกันแน่นเป็นรูป 3 เส้า วงห่วงแต่ละห่วงตั้งตรง และหุ้มด้วยวัสดุที่มีความนุ่มแล้ว วัดโดยรอบไม่เกิน 10 เซนติเมตร และมีถุงตาข่ายทำด้วยด้ายสีขาว ผูกรอบห่วงทุกห่วง

ห่วงชัย ต้องแขวนกลางสนาม ขอบล่างของห่วงชัย ต้องได้ระดับสูงจากพื้นสนาม ดังนี้

- ประเภทเยาวชนอายุไม่เกิน 18 ปี และหญิง ความสูงของห่วงชัย 5.50 เมตร

- ประเภทประชาชน ความสูงของห่วงชัย 5.70 เมตร

3. ตะกร้อที่ใช้แข่งขัน

ตะกร้อให้สานด้วยหวาย 9-11 เส้น หรือผลิตด้วยใยสังเคราะห์ ซึ่งให้มีขนาดและน้ำหนัก ดังนี้

- ประเภทเยาวชนอายุไม่เกิน 18 ปี และหญิง ขนาดเส้นรอบวง ไม่น้อยกว่า 40 เซนติเมตร และน้ำหนักไม่เกิน 200 กรัม

- ประเภทประชาชน ขนาดเส้นรอบวงไม่น้อยกว่า 40 เซนติเมตร และน้ำหนักไม่เกิน 240 กรัม

4. ให้ฝ่ายจัดการแข่งขัน จัดลูกตะกร้อไว้ ให้ผู้เข้าแข่งขัน ในกรณีที่ผู้เข้าแข่งขันนำลูกตะกร้อมาเอง จะต้องผ่านการตรวจสอบจากคณะกรรมการฯ ก่อนการแข่งขันทุกครั้ง หากลูกตะกร้อที่นำมาเองไม่ถูกต้องตามกติกา ต้องใช้ลูกตะกร้อที่คณะกรรมการฯ จัดไว้ ทำการแข่งขัน

5. กรรมการผู้ตัดสิน

ต้องมีผู้ตัดสินอย่างน้อย 3 คน ให้ทำหน้าที่ บันทึกคะแนน, รักษาเวลา, ประกาศคะแนน และผู้ชี้ขาด

6. ทีมที่เข้าแข่งขัน

6.1 ให้ส่งรายชื่อเข้าทำการแข่งขันได้ไม่เกิน 8 คน มีผู้เล่นเข้าทำการแข่งขัน 7 คน หากทีมใดมีผู้เล่นไม่ถึง 6 คน ไม่มีสิทธิ์เข้าแข่งขันในครั้งนั้น โดยให้ส่งรายชื่อก่อนการแข่งขัน 30 นาที

6.2 ในระหว่างแข่งขัน สามารถเปลี่ยนตัวผู้เล่นได้ ซึ่งจะเปลี่ยนเวลาใดก็ได้ โดยผู้จัดการทีม ต้องยื่นขอต่อกรรมการผู้ชี้ขาด เมื่อลูกตะกร้อไม่ได้อยู่ในการเล่น (ลูกตาย) ซึ่งแต่ละทีมสามารถเปลี่ยนตัวผู้เล่นได้เพียง 1 คน โดยผู้ที่เปลี่ยนตัวเข้าไปใหม่ จะต้องไม่เล่น ในท่าที่ผู้เล่นเดิมทำครบแล้ว 2 ครั้ง และผู้ที่ถูกเปลี่ยนตัวออกไปแล้ว จะไม่อนุญาตให้เปลี่ยนตัวกลับคืนได้อีก

6.3 ผู้เล่นทุกคนต้องติดหมายเลขที่เสื้อด้านหน้า และด้านหลังอย่างเรียบร้อยด้วยตัวเลขที่อ่านง่าย สีของหมายเลขต้องตัดกับสีของเสื้อ หมายเลขด้านหลังต้องสูงไม่น้อยกว่า 10 เซนติเมตร โดยผู้เล่นทีมเดียวกันจะใช้หมายเลขซ้ำกันไม่ได้

6.4 เครื่องแต่งกายของผู้เล่น

สำหรับผู้ชายต้องสวมเสื้อยืด กางเกงขาสั้น ส่วนผู้หญิง ให้สวมเสื้อยืดมีแขน และกางเกงขาสั้นระดับเข่า สวมใส่รองเท้าพื้นยาง (ถุงเท้าด้วย) กรณีที่อากาศหนาวอนุญาตให้ผู้เล่นสวมใส่ชุดวอร์มแข่งขันได้

6.4.1 ส่วนต่างๆ ของเครื่องแต่งกายของผู้เล่นถือเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย และชายเสื้อต้องอยู่ในกางเกงตลอดเวลาการแข่งขัน

6.4.2 สิ่งใดก็ตามที่จะช่วยเร่งความเร็วของลูกตะกร้อ หรือช่วยในการเคลื่อนที่ของผู้เล่น ไม่อนุญาตให้ใช้

6.5 เมื่อถึงเวลาการแข่งขัน คณะกรรมการจัดการแข่งขัน จะเริ่มจับเวลา โดยให้ถือเป็นเวลาของการแข่งขันของทีมนั้นๆ หากทีมนั้นพร้อมเมื่อใด ก็ให้ทำการแข่งขันตามเวลาที่เหลืออยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป 10 นาทีแล้ว ยังไม่สามารถลงสนามแข่งขันหรือยังไม่พร้อมทำการแข่งขัน ให้ทีมนั้นหมดสิทธิ์ในการแข่งขันครั้งนั้นๆ โดยไม่มีอุทธรณ์

7. กำหนดเวลาการแข่งขัน

7.1 ให้ใช้เวลาในการแข่งขัน 40 นาที เมื่อเวลาการแข่งขันผ่านไปครึ่งเวลา (20 นาที) กรรมการต้องประกาศให้ทราบทั้งเวลาและคะแนนที่ทำได้

7.2 ผู้เข้าแข่งขันในทีมใดเกิดอุบัติเหตุขึ้นในระหว่างการแข่งขันอยู่ และไม่สามารถทำการแข่งขัน ให้ขออนุญาตจากกรรมการผู้ตัดสินออกจากสนามชั่วคราวได้

7.3 หากนักกีฬาทีมที่บาดเจ็บนั้น จะกลับเข้าทำการแข่งขันต่อไปอีก ให้ขออนุญาตต่อกรรมการผู้ตัดสินก่อนทุกครั้ง ทั้งนี้ ต้องให้เป็นไปตาม ข้อ 6.1

8. การแข่งขัน

8.1 ให้ผู้เล่น ยืนเป็นรูปวงกลม เว้นระยะห่างกันพอสมควร ในระหว่างการแข่งขันผู้เล่นจะสลับเปลี่ยนที่กันก็ได้

8.2 เมื่อผู้ตัดสินให้สัญญาณเริ่มการแข่งขัน ให้ผู้เล่นคนใดคนหนึ่งโยนลูกตะกร้อให้แก่คู่หนึ่งหรือคู่สองของตน ต่อจากนั้นไป เมื่อลูกตาย ผู้เล่นใดถูกลูกก่อนจะต้องเป็นผู้โยน และต้องโยนให้คู่หนึ่งหรือคู่สองของตน เพื่อเล่นต่อไปทุกคราว โดยผู้โยนและผู้รับลูกโยน ต้องอยู่นอกวงกลม

8.3 เมื่อลูกตายแล้ว จะเปลี่ยนลูกตะกร้อก็ได้

8.4 ในการโต้ลูก ห้ามไม่ให้ผู้เล่นใช้มือ ถ้าผู้เล่นใช้มือจับลูก ผู้เล่นที่ใช้มือจับลูกต้องโยนลูกให้คู่ของตนเตะแล้วปล่อยให้ลูกตายก่อน จึงนำลูกมาโยนเพื่อเล่นต่อไปได้

8.5 กรณีต่อไปนี้ให้ถือเป็นลูกตาย ให้โยนใหม่

(1) ลูกตกถึงพื้นสนาม

(2) ลูกถูกมือผู้เล่น ยกเว้นกรณีที่ผู้เล่นเตะลอดบ่วงมือ แล้วลูกกระทบบ่วงมือนั้น

(3) ลูกติดกับห่วงชัย

(4) ลูกถูกวัตถุใดๆ ที่ไม่ใช่อุปกรณ์ตะกร้อลอดห่วง

8.6 ถ้าลูกโต้ยังดีอยู่เข้าห่วง หรือลูกตะกร้อที่หวายขาดไปเกี่ยวกับตาข่าย และค้างอยู่ภายในรัศมีวงกลมห่วงชัย ให้กรรมการผู้ตัดสินให้คะแนนตามลักษณะของท่าที่กำหนดในข้อ 8.เว้นแต่กรณีดังต่อไปนี้

(1) ผู้เล่นโต้ลูกโยนไปเข้าห่วง

(2) ผู้เล่นถูกลูกเข้าห่วงภายหลังสัญญาณหมดเวลา

(3) ลูกเข้าห่วงแล้วกระดอนออก

(4) ผู้เล่นคนใดเตะลูกเข้าห่วง ซ้ำท่าเกินกว่า 2 ครั้ง

9. การให้คะแนนของท่าการเล่น

ลำดับ

1

2

3

4

5

6

7

8

9

10

11

12

13

14

15

16

17

18

18

20

21

22

23

24

25

26

27

ท่าการเล่น

ลูกด้านหน้า

ลูกหน้าเท้า (ลูกแป)

ลูกหลังเท้า

ลูกไขว้หน้าด้วยหลังเท้า

ลูกแข้ง

ลูกเข่า

ลูกไขว้หน้าด้วยเข่า

ลูกไหล่

ลูกศีรษะ (โหม่ง)

ลูกด้านข้าง

ลูกข้าง

ลูกข้างบ่วงมือ

ลูกไขว้

ลูกไขว้บ่วงมือ

ลูกส้นไขว้

ลูกส้นไขว้บ่วงมือ

ลูกกระโดดไขว้ (ขึ้นม้า)

ลูกกระโดดไขว้บ่วงมือ (ขึ้นม้าบ่วงมือ)

ลูกตัดไขว้

ลูกด้านหลัง

ลูกศอกหลัง

ลูกตบหลัง

ลูกข้างหลัง

ลูกข้างหลังบ่วงมือ

ลูกแทงส้นตรงหลัง

ลูกแทงส้นตรงหลังบ่วงมือ

ลูกตบหลังบ่วงมือ

ลูกตบหลังสองเท้าพร้อมกัน

ลูกกระโดดพับหลังตบ

ลูกกระโดดพับหลังตบบ่วงมือ

คะแนน

10

15

30

15

15

20

10

10

10

15

15

25

20

30

10

15

25

15

20

20

25

30

40

30

50

40

50

10. การตัดสิน

10.1 ทีมใดได้คะแนนมากที่สุด ทีมนั้นชนะ

10.2 ถ้าได้คะแนนเท่ากัน ทีมใดได้จำนวนครั้งที่เข้าห่วงมากกว่า ทีมนั้นชนะ

10.3 ถ้าได้คะแนน และจำนวนครั้งที่เข้าห่วงเท่ากัน ทีมใดได้เข้าห่วงด้วยท่าที่คะแนนสูง

กว่า ทีมนั้นชนะ

10.4 ถ้าทั้งหมดดังกล่าวเท่ากัน ให้เป็นไปตามระเบียบของการแข่งขันครั้งนั้นๆ

____________________________________________________

ขอโทษด้วยนะครับ ผลจัดหน้าในเวปไม่เป็นครับ

ด้วยรักและเคารพอย่างสูง เด็ก pe 48

สวัดีคับ ช่วงนี้ผมสับสนกับเวลาเรียนครับจึงไม่ค่อยได้เข้าเรียนนะครับ

จึงขออภัยมานะที่นี้ด้วยครับขอบคุณครับ ด้วยรักและเคารพ

เท้ามีกลิ่นอับจะกำจัดอย่างไร

หลายคนคงจะมีปัญหา กลิ่นอับ อันไม่พึงประสงค์ จากเท้าคุณ ตอนนี้ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว เรามีสูตรดี ๆ จะมาบอกต่อขั้นตอนนั้นก็ไม่มีอะไรมากมาย

เพียงคุณ หั่นผลส้ม (ซึ่งตอนนี้ถูกสุด ๆ ) เป็นแผ่นบาง ๆ ตามยาว ( ในกรณีนี้อาจจะเพิ่มมะนาว หรือ ลูกองุ่น หั่นบางเช่นกัน เพื่อสื่อสัมผัสที่ดียิ่งขึ้น )

จากนั้น เติมน้ำอุ่น ลงในอ่างที่มีขนาดพอเหมาะ แล้วนำผลไม้ทั้งหมดที่เตรียมไว้เทใส่ลงไปพร้อมกัน แช่เท้าของคุณไว้ประมาณ 20 นาที

และเพื่อเพิ่มความอ่อนนุ่มของจุดที่หยาบกร้าน ให้ถูเท้าของคุณด้วยผลไม้นั้น

สุดท้าย เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวเท้า ด้วยการชำระล้างด้วยน้ำเย็น

เพียงเท่านี้คุณก็ไม่ต้องกังวลกับกลิ่นอับ และเท้าคุณก็จะสัมผัสนุ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

10 health tips

1. สำรองผลไม้ในตู้เย็นผักผลไม้ที่ควรสำรองในตู้เย็นอย่าให้ขาด ได้แก่ กะหล่ำปลี แครอท ส้มแอปเปิ้ล ซึ่งนอกจาก จะมีประโยชน์มากสำหรับสาว ๆ ที่กำลังไดเอตแล้วการรับประทานผักผลไม้เป็นประจำยังช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วยนะ

2. เหงือกดีด้วยน้ำชายามเช้าองค์การอาหารและยาของสหรัฐและสวีเดน บอกว่า การบ้วนปากในช่วงเช้าด้วยน้ำชา จะช่วยลด แบคทีเรียในช่องปากได้เนื่องจากสารโพลีฟีนอลจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ที่เป็นต้นเหตุ ของ ฟันผุส่วนการดื่มชาหลังมื้ออาหาร ก็ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเหงือกได้

3. ดื่มน้ำมากขึ้นดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 5 แก้ว จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้ เกือบ 50 %เชียวล่ะ

4. เปลือยเท้าคลายเครียดการย่ำเท้าเปล่า ไปบนทรายนุ่ม ๆ จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายเนื่องจากการเดินเท้าเปล่า จะช่วย กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด

5. รับแสงแดดอ่อน ๆมีข้อมูลจากการวิจัยระบุว่าผู้หญิงที่ไม่ค่อยโดนแดดเอาเสียเลยมีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งเต้านมมากกว่าผู้หญิงที่อยู่ในเมืองที่มีแดดเนื่องจากแสงแดดช่วยสังเคราะห์วิตามินดีในร่างกายแต่การโดนแดดจัดในช่วงบ่าย ๆ ก็เป็นอันตรายเช่นกัน ควรรับแดดอ่อน ๆในช่วงเย็นจะดีกว่า

6. หันมารับประทานขนมปังโฮลวีทกันเถอะสำหรับมื้อว่างยามบ่าย แทนที่จะไปคว้าคุ๊กกี้หรือเค็กช็อกโกแลตซึ่งเพียบด้วยแคลอรี่ เปลี่ยนมาทาน ขนมปังโฮลวีทสัก 2 แผ่นรับรองว่า จะช่วยให้คุณรู้สึกมีกำลังวังชาแล้วยังไม่อ้วนอีกด้วยล่ะ

7.สลัดปลาทูน่าเพิ่มความจำใครที่รู้ตัวว่า เริ่มจะหลง ๆ ลืม ๆ ลองหันมาทานสลัดปลาทูน่าหรืออาหารเมนูปลา รวมทั้ง เพิ่มอาหารที่มีวิตามินบี2 เช่น ไข่ นมถั่วเหลือง นอกจากจะช่วยให้อารมณ์ดีแล้ว ยังช่วยเพิ่มพลังความจำให้กับสมองได้

8. เดินไวไว ช่วยทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงคนที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกาย แต่ยังห่วงใยสุขภาพของตัวเองอยู่ลองใช้วิธีเดินให้ไวขี้นอีกนิด อาจใช้เวลาเดินในช่วงเช้า หรือหลังเลิกงาน เดินไปที่ป้ายรถเมล์สักสามสี่ป้ายหรือเดินขึ้นลงบันไดให้ได้ วันละ 20 นาทีจะช่วยบริหารหลอดเลือดหัวใจให้แข็งแรงและยังทำให้หุ่นสลิมสมส่วนเป็นของแถม

9. เติมไขมันดี ๆ ให้ร่างกายไขมันนั้น ไม่ได้เป็นผู้ร้ายซะทีเดียว เพระไขมันมีอยู่หลายชนิดไขมันที่เป็นมหามิตรกับร่างกายน่ะ หากร่างกายขาดแคลนอาจมีผลต่อการดูดซึมวิตามินเอ ดี อี เค และทำให้รู้สึกอ่อนเพลียได้เลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันชนิดไม่อิ่มตัว จากน้ำมันมะกอก น้ำมันถั่ว และไขมัน โอเมก้า 3 จากปลา ซึ่งเป็นไขมันดี ๆ ที่ไม่เพียงให้ พลังงานทำให้มีเรี่ยวแรงแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคมะเร็งและหัวใจอีกด้วย

10. Just Do Nothingลองหยุดภารกิจวุ่น ๆ สักสัปดาห์ละวัน หรือวันละ 1 ชั่วโมงให้ปลอดจากเรื่องงาน และคนรอบข้าง ใช้เวลาอยู่คนเดียวตามลำพังจะช่วยทำให้คุณรู้สึกสงบ เป็นเวลาที่จะได้เรียนรู้วิธีหยุดพักใจอาจจะฟังเพลง เงียบ ๆ คนเดียว หรืออาบน้ำอุ่น ๆแล้วอ่านหนังสือเล่มโปรด ค่อย ๆ จิบน้ำชา ชมดอกไม้เป็นการเติมความรื่นรมย์ด้านจิตใจ ทำให้คุณสดชื่นและมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ และยังห่างไกล จากโรคความรีบร้อนอันหมายถึง โรคที่ทำให้คุณตื่นตัว และเร่งรีบจนแทบไม่มีเวลาสำหรับตัวเอง

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)เลขที่ 33

คำแนะนำเรืองการรับประทานอาหารอย่างปลอดภัย

ล้างมือ อาหาร ผลไม้ทุกครั้ง

เวลาไปวื้อาหาร ให้แยกอาหารที่พร้อมรับประทานออกจากอาหารสด

ปรุงอาหารให้สุก

อาหารที่แช่เย็นหรือแช่แข็งต้องทำละลายก่อนไปปรุงอาหาร

หลีกเลียงอาหารสุกๆดิบๆ นมที่ไม่ได้มีการฆ่าเชื้อโรค ไข่ดิบ

แนวทางการรับประทานอาหารร่วมกับการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมจะช่วยลดอุบัติการณ์ของโรคต่าง

หากใช้เกณฑ์การรับประทานอาหารใหม่จะต้องปรับอาหารอย่างไร ปริมาณวิตามินที่ควรจะรับประทานในแต่ละอายุ

เกณฑ์อาหารสุขภาพใหม่ของอเมริกาเพิ่งจะประกาศ การทำเกณฑ์ใหม่จะอาศัยของมูลทางวิชาการซึ่งมีหลักฐานสนับสนุน เกณฑ์ใหม่นี้จะมีการเปลี่ยนแปลงหลายประการ และจะลงรายละเอียดถึงปริมาณสารอาหารรวมทั้งเกลือแร่ มีการศึกษาพบว่าลำพังการรับประทานอาหารให้ถูกต้องจะลดอัตราการเสียชีวิตลงได้ร้อยละ 16 และ9สำหรับชายและหญิงที่มีอายุมากกว่า 45 ปีการเปลี่ยงแปลงมีดังนี้ี้

ปริมาณผลไม้จะต้องมีการเพิ่มปริมาณที่รับประทานอีกร้อละ 100-150 เพิ่ม .8-1.2 ถ้วยตวง

ต้องมีการเพิ่มปริมาณผักอีกร้อยละ 50 เพิ่ม0.9 ถ้วยตวง

ต้องดื่มนมเพิ่มอีกร้อยละ 50-100 เพิ่ม 1.2-1.6 ถ้วงตวง

เนื้อสัตว์ลดลงร้อยละ10 เนื้อสัตว์ลดลง 1.4 oz

ลดอาหารไขมันลงร้อยละ10 ลดลง 4.2 กรัม

เพิ่มผักใบเขียวประมาณ ครึ่งถ้วยตวง

เพิ่มส้ม 0.2 ถ้วงตวง

เพิ่มอาหารจำพวกถั่ว 0.3 ถั่วตวง

เพิ่มธัญพืช 2.2 oz

ลดไขมัน 18-27 กรัม

ลดน้ำตาล 14-18 ช้อนชา

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์) 006 เลขที่ 30

ล้างพิษใน 1 วัน ที่คุณทำเองได้

1. เลือกผลไม้ที่คุณชอบมา 1 อย่าง เช่น มะละกอ ฝรั่ง แคนตาลูป แอปเปิ้ล ส้มโอ ชมพู่ มะม่วง ฯลฯ ยกเว้นอยู่ 2 อย่าง คือ ทุเรียนและสับปะรด เพราะทุเรียนมีแคลอรีสูงเกินไปและย่อยยาก ทานแล้วจะเป็นภาระกับระบบย่อย ส่วน สับปะรดนั้นมีกรดสูงมาก ถ้ากินทั้งวันท้องก็จะอืดได้

2. ทานแต่ผลไม้ชนิดเดียวตลอดทั้งวัน โดยอาจจะปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ เช่น ถ้าเลือกมะละกอก็อาจจะทานเป็นเนื้อมะละกอสุก หรือส้มตำ (มะละกอดิบ) ที่ใส่แต่มะละกอกับน้ำปลามะนาวเท่านั้น ไม่ใส่เครื่องประกอบอย่างอื่นเด็ดขาด

3. พอมาถึงมื้อกลางวันก็ทานมะละกออีก แต่อาจจะเป็นน้ำมะละกอปั่นใส่น้ำตาลน้อยที่สุด หรือน้ำมะละกอคั้นสดก็ได้

4. มื้อเย็นก็ยังต้องทานมะละกออีกครั้งเป็นมื้อสุดท้ายของวัน โดยอาจจะบีบมะนาวลงไปด้วยนิดหน่อยเพื่อเพิ่มรสชาติให้ไม่เลี่ยนเกินไป

5. วันรุ่งขึ้นก่อนที่จะเริ่มมื้อเช้า คุณจะต้องดื่มน้ำมะนาวผสมน้ำอุ่นประมาณ 2 ขวดก่อน เพราะเมื่อเราล้างสารพิษ ตับจะขับสารพิษให้มารวมกันอยู่ที่ลำไส้เล็กส่วนต้น จึงต้องดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวเข้าไปกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว เพื่อให้สารพิษถูกดันออกมากับอุจจาระ หลังจากที่ดื่มน้ำอุ่นแล้วคุณจะรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำทันที แต่ถ้าไม่มีการดื่มน้ำกระตุ้นและไปทานอาหารเช้า สารพิษก็จะถูกดูดกลับเข้าไปในกระแสเลือดเหมือนเดิม ทำให้การอดอาหารล้างพิษของเราต้องเสียเปล่าไป

วิธีเตรียมน้ำอุ่นผสมมะนาว

อุปกรณ์

1. ขวดน้ำขนาด 1 ลิตร 2 ขวด

2. มะนาว 4 ลูก

3. เกลือป่น 2 ช้อนชา แต่ห้ามใช้เกลือไอโอดีน

วิธีทำ

1. ใส่น้ำดื่มให้เต็มขวดจากนั้นบีบมะนาวใส่ลงไปขวดละ 2 ลูก และเกลือ 1 ช้อนชา เขย่าให้เข้ากัน

2. มะนาวจะไปกระตุ้นให้ลำไส้ทำงาน ส่วนเกลือก็จะช่วยอุ้มน้ำไว้ ไม่ให้ถูกร่างกายดูดซึมไปหมด น้ำจะได้เหลือไปจนถึงทวารหนักเพื่อขับอุจจาระ

3. หลังจากดื่มน้ำมะนาวประมาณ 10-20 นาที คุณจะรู้สึกปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำ นั่นคือ อาการปกติ หลังจากถ่ายท้องเรียบร้อยแล้วก็เริ่มทานอาหารได้

กระบวนการล้างพิษจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นถ้าหากทำเป็นประจำสัก 2 อาทิตย์ ต่อหนึ่งครั้ง

น.ส.ปาริชาติ กันทะวงค์ เลขที่10 มฟาร์อีสเทอร์น

วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น

- ไฟฟ้าช็อต -

ตรวจสอบดูว่าผู้ป่วยยังสัมผัสกับสายไฟอยู่หรือไม่ หากใช่ดึงสายไฟออกทันทีเพราะค่าไฟปัจจุบันแพงมาก ควรประหยัดพลังงานหารสอง เป็นเรื่องที่ควรสนับสนุน

ขั้นต่อไปคือตรวจสอบชีพจรของผู้ป่วย (ถ้ายังไม่เป็นเถ้าถ่านตอตะโก และคุณรู้ว่าชีพจรคืออะไร ชีพจรไม่เคยลงเท้า อย่าเชื่อคำร่ำลือ) ขับรถนำคนป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด หากรถของคุณสตาร์ทไม่ติดเพราะแบตเตอรี่ไฟอ่อน ลองใช้มือผู้ป่วยแตะขั้วไฟรถอาจติดโดยง่าย

......................................

- ไฟไหม้/น้ำร้อนลวก -

ราดด้วยน้ำเย็นทันที (กรณีที่ไฟที่แผลยังไม่ดับ) หรือนำบาดแผลเข้าตู้เย็น (ถ้าทำได้) หรือวางตู้เย็นลงบนแผล (ถ้าทำได้อีกเช่นกัน) กรณีที่ไฟกำลังลุกไหม้ผู้ป่วยท่วมตัว ให้โยนผู้ป่วยลงในคลอง แล้วปฏิบัติตามคู่มือการช่วยคนจมน้ำ ซึ่งจะออกวางตลาดเร็วๆ นี้ กรณีที่ถูกน้ำร้อนลวกหรือของเหลวร้อนๆกระเด็นใส่เสื้อผ้าให้เปลื้องเสื้อผ้าผู้ป่วยให้หมดโดยทันที วิธีนี้จะช่วยได้มาก เพราะผู้ป่วยจะเกิดความอายและเลิกสนใจ กับอาการปวดแสบปวดร้อน เป็นวิธีแก้ปวดที่สามารถนำไปประยุกต์

ใช้ได้กับการปวดข้อ ปวดหัว ปวดฟัน และปวดประจำเดือน

......................................

- กระดูกหัก -

ลองตรวจสอบรอยแผลและจำนวนกระดูกที่โผล่ออกมานอกเนื้อ ถ้านับได้มากกว่า 50 ชิ้นลองจับชีพจร ถ้าคุณหากระดูกแขนไม่พบ จงบอกผู้ป่วยให้สวดมนต์ คิดถึงแต่สิ่งดีๆ อย่าได้จองเวรซึ่งกันและกันเลย และอาจถามถึงตัวเลข 3 ตัวที่อาจผุดขึ้นในสมองของเขาขณะนั้น เพราะคำพูดของคนใกล้ตายเชื่อถือได้ศาลรับฟังหากกระดูกแขนขาหักไม่มากนัก ลองจับผู้ป่วยนั่งถ้านั่งได้แสดงว่ากระดูกสันหลังยังดี ให้ผู้ป่วยหมุนคอไปมาโดยรอบถ้าหมุนได้หลายรอบ แสดงว่ากระดูกคอหลุดแนะนำให้ผู้ป่วยนอนต่อและปฏิบัติตามวรรคต้นหากผู้ป่วยลุกขึ้นยืนได้ เดินกระย่องกระแย่งได้ จงบอกทางไปโรงพยาบาล ก่อนไปให้ทดสอบการทำงานของสมอง โดยจับผู้ป่วยผูกตา หมุนสามรอบ แล้วเปิดตา หรือชวนเล่นเกมแย้ลงรู ถ้าผู้ป่วยเล่นชนะคุณ แสดงว่าสมองปกติดี ไม่มีเลือดตกในสมอง

......................................

- สะอึก/อาหารติดคอ -

การทำให้ตกใจหรือแปลกใจ เช่น ทำผีหลอก จับแต่เป็นกระเทย ต่อยหน้าท้อง ตบบ้องหู

ช่วยให้หายสะอึกได้ ถ้าจะให้ดี ทำพร้อมกันทุกอย่าง หากวิธีที่กล่าวมาทั้งหมดไม่ได้ผล ลองบอกว่า คุณเป็นตัวแทนขายประกันเขาจะหายสะอึกทันที แต่อาจเกิดอาหารติดคอกะทันหัน

......................................

- ถูกของมีคม -

ทำแผลทันที ทำอย่างไรแล้วแต่คุณ แต่หลักการคือ ต้องทำให้เลือดหยุดไหล โดยใช้เข็มขัดรัดเหนือแผล (สำหรับคุณผู้หญิงอาจถอดสายบราเซียร์รัดก็ได้ วิธีนี้ใช้แก้สะอึกได้ด้วย) การรัดต้องรัดเหนือแผล เช่น แผลที่หัวแม่โป้งให้รัดที่ตาตุ่ม แผลที่ข้อมือให้รัดข้อศอก แผลที่สะดือให้รัดที่อก แผลที่อกให้รัดที่คอ แผลที่คอให้รัดหน้าผาก และแผลที่หน้าผากให้รัดผม อย่างนี้เป็นต้น โดยอนุโลมเพื่อจำง่าย อาจรัดที่คอในทุกกรณีรัดให้แน่นแล้วอ่านวิธีช่วยผู้ที่ขาดอากาศหายใจ ซึ่งจะวางตลาดกลางปีหน้า

......................................

- วัตถุเข้าตา -

ถ้าเป็นวัตถุที่ใหญ่กว่าตา มันจะหลุดออกมาเอง "มัน" ในที่นี้อาจเป็นวัตถุหรือตาก็ได้ ถ้าเป็นเศษผงเล็กๆ ช่วยโดยใช้น้ำอุ่นธรรมดา ไม่จำเป็นต้องลงแฟ้บหรือใช้น้ำยาแก้ท่ออุดตันแต่ประการใด ไม่ควรเขี่ยด้วยเล็บ ตะปู มีด ชะแลงหรือใช้ปากกัด ถ้าจำเป็นควรใช้แปรงสีฟันชนิดขนแปรงนุ่ม ใส่ยาสีฟันชนิดขจัดคราบหินปูน ใช้แปรงฟันให้ผู้ป่วย (อย่าเอาไปทิ่มตาอาการจะหนักขึ้นอีก) การแปรงฟันให้ผู้ป่วยขณะที่มีวัตถุเข้าตาเป็นอานิสงส์อันประเสริฐ ทำบุญไม่เอาหน้า ภาวนาตอแหล ปิดทองหลังพระ ผีซ้ำดามพลอย ตกกระไดพลอย

พัชรินทร์ 47322814 (ภาคค่ำ)

ยิ่งนอนดึก ยิ่งเร่งวันตาย

 

 

การนอนดึกเป็นเหตุให้อายุสั้น เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การทำงานดึกทำให้ร่างกายล้า เหมือนกับ เครื่องยนต์ overload ไม่ช้าเครื่องก็พัง วิธีแก้ไขในกรณีต้องทำงานดึก (เพื่อไม่ให้ร่างกายโทรมเร็ว) ผู้ที่มีหน้าที่บริหารงาน มักจะพบปัญหานี้กันมาก เพราะต้องเร่งงาน ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนนอนดึก

1. ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการล้า
2. ระบบร่างกายจะรวน ดังนี้

 

ระบบการย่อยอาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ คืออาหารที่ทานเข้าไป ถ้าไม่นอนดึก อุจจาระจะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่ เหมือนกับแท่งทอง แต่ถ้าอดนอนแล้วอุจจาระจะหยาบ จะมีเศษ อะไรต่างๆ ติดอยู่ เหมือนกับรถที่มีเขม่าติด เกิดจากการที่ร่างกายย่อยไม่หมด เพราะล้า แนวทางแก้ไข ให้ลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาหารเหนียวๆ มิฉะนั้นลำไส้ทำงานหนัก ยิ่งนอนดึกแม้ เราหลับไปแล้ว แต่ลำไส้ไม่หลับ ยังคงย่อยอยู่ต่อไป พอตื่นขึ้นมาก็เพลีย ให้ทานไข่ นม แทนพวกเนื้อ สัตว์ ก็จะพอถูไถไปได้ มิฉะนั้นท้องจะผูกเป็นประจำ ริดสีดวงทวารจะถามหา (ถ้าหากอ้วนก็ให้ทานนม แทนไข่)

ท้องผูก มี 2 ลักษณะ
1. ผูกแข็ง คือ อุจจาระแข็ง
2. ผูกเหลว คือ อาการถ่ายอุจจาระไม่หมด ยังค้างอยู่ แต่ลำไส้ล้า กระเพาะอาหารล้า ทำให้ไม่มี แรงบีบให้ออกจนหมด

 

ดังนั้นในวันหนึ่งๆ จึงต้องถ่ายหลายครั้ง โรคที่จะตามมาก็คือ ผื่นคันบริเวณขาหนีบ (ไม่ใช่เพราะความ สกปรกหมักหมม) จะคันทั้งวัน ปกติอุจจาระจะกึ่งแข็งกึ่งเหลว ถ้าแข็งแสดงว่าส่วนที่เป็นน้ำได้ซึมกลับเข้ามาในลำไส้ ซึ่ง มันเป็นของเสีย ที่ต้องขับออก ผลก็คือทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะมาประทุบริเวณเนื้ออ่อนๆ เช่นที่ขาหนีบ สาเหตุก็มาจาก ท้องผูกนั่นเอง เพราะฉะนั้น อย่านอนดึก ถ้าต้องดึกก็ให้ออกกำลังหน้าท้อง ให้ท้องเกิดกำลัง จะได้รีดอุจจาระออกมา ได้เร็ว ทานเสร็จแล้วอย่านอน ให้เดินสักครึ่งชั่วโมง เพราะพอขาได้เดิน ลำไส้มันก็ต้องไปกับขาด้วย จะช่วย ทำให้ย่อยได้ดีขึ้น ท้องจะผูกน้อยลง ผื่นคันก็จะหาย ถ้ายังไม่หาย (เนื่องจากอายุมาก) ให้ทานน้ำขิงสด (ไม่ใช่ขิงผง เป็นซองๆ) พวกที่นอนดึกต้องให้ท้องอุ่นมากๆ ให้หาผ้ามาห่ม เดี๋ยวท้องจะอืด เฟ้อ บางทีต้องให้เท้าอุ่นด้วย ให้หา ถุงเท้ามาใส่ มิฉะนั้นเท้าจะชา

ระบบปัสสาวะ ถ้านอนไม่ดึก ประมาณ 3-4 ทุ่ม พอตื่นเช้าขึ้นมาจะปัสสาวะครั้งเดียวจบ แต่ถ้านอนดึก ยิ่งนอนตีหนึ่ง กลางดึกจะต้อง ลุกเข้าห้องน้ำถี่ เพราะร่างกาย overload ต้องการน้ำมาก กล้ามเนื้อข้างในจะบีบคั้นเอาพลังงานออ กมาใช้ จึงต้องใช้น้ำมาก ผลก็คือปัสสาวะบ่อย ทำให้พวกเกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะด้วย ยิ่งอายุ 35 ขึ้นไปจะยิ่งแย่ แนวทางแก้ไข ให้ทานแคลเซี่ยมเม็ดได้ แต่อย่ามาก แค่ 1 เม็ดก็พอ ถ้าทานมากจะทำให้แคลเซี่ยมพอก คืออาการที่กระดูกงอกทับเส้นประสาท (ถ้าเป็นแล้วต้องให้คนนวด และทานยาละลายแคลเซี่ยมช่วย) ถ้าไม่ทานแคลเซี่ยมชดเชย จะทำให้เลือดจาง เม็ดโลหิตจาง สรุปแล้วการอดนอน เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การนอนดึกต้องดื่มน้ำให้มาก และเติมเกลือในน้ำด้วย คือพอเราดื่มแล้วมันออกมาหมดทั้งทางปัสสาวะแล ะเหงื่อ เราทานเกลือมากๆ ยังออกทางเหงื่อได้ แต่ถ้าทานแคลเซี่ยมมากทำให้กระดูกงอก ส่วนโค้ก เป๊ปซี่ กระทิงแดง อย่าทาน พอเราอยู่ดึกและกลั้นปัสสาวะ มันจะซึมกลับเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะไปประทุที่ขาหนีบ หรือท้องแขนเป็นเม็ดแดงๆ เป็นจ้ำขึ้นทั่วเลย บางคนไม่กลั้น แต่ดื่มน้ำน้อย อาการก็จะเหมือนกับการโม่ แป้งฝืดๆ ลำไส้บีบตัวไม่ไหว ต้องเค้น ก็จะเพลีย แต่ถ้าดื่มน้ำมาก ทำให้ถ่ายสบาย ถ้าดื่มน้ำน้อยจะทำให้กรดยูเรียเข้มข้น พอเรากลั้นปัสสาวะมันก็จะซึมเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ถ้ากลั้นบ่อยๆ จะทำให้ปัสสาวะไม่หมด ระบบเหงื่อ คนที่ไม่มีเหงื่อออก จะแย่ ถ้าขับเหงื่อให้ออกได้ร่างกายสบาย ถ้าเหงื่อไม่ออกความร้อนภายในร่างกา ยจะระบายไม่ได้ ทำให้อึดอัด ของเสียในร่างกายก็ออกไม่ได้ โรคผิวหนังจะถามหา สิวฝ้าจะขึ้น เพราะฉะนั้น ดื่มน้ำให้มากพอและออกกำลังกาย เท่านั้นพอ เอาจนเหงื่อออกให้ได้ คนนอนดึกเหงื่อจะไม่ค่อยออก ของเสียตกใน สิวฝ้าขึ้น มันก็จะไปออกทางปัสสาวะแทน ไตเลยทำงาน หนัก

ระบบหายใจ ระบบหายใจจะเสียตามมา ร่างกายจะเอาออกซิเจนไปแลกเลือดดำให้เป็นเลือดแดงได้ต้องมีความชื้น ถ้าความชื้นน้อยมันจะไม่แลก ทำให้อึดอัด เหมือนอยู่ห้องแอร์แล้วอึดอัด เพราะความชื้นไม่พอ ไม่ใช่ อากาศไม่พอ อากาศมันแห้งเลยเอาความชื้นในตัวเราไป ทำให้ปอดทำงานไม่สะดวก และออกซิเจนไม่ ได้ แนวทางแก้ไข ให้เอาน้ำใส่กะละมังไว้ข้างตัว ยิ่งเป็นน้ำร้อนยิ่งดี ถ้าอึดอัดให้เอาผ้าหนุนเท้าให้สูง เลือดก็จะไหลลงมาได้ จะทำให้นอนสบาย การดื่มน้ำหวานๆ ตอนอยู่ดึกๆ ก็ช่วยได้ แต่อย่าหวานมากจะทำให้อ้วน ถ้าจะให้ดีที่สุดอย่าอยู่ดึก ดึกได้ เป็นครั้งคราวถ้าจำเป็น คนนอนดึกเสียงจะแห้ง เพราะไตมันล้า การใช้สบู่ ให้ใช้สบู่เด็ก เพราะเป็นสบู่อ่อน การกัดจะน้อย อย่าใช้สบู่แรงๆ ให้ฟอกสบู่วันละครั้งก็พอ ถ้าฟอกวันละหลายๆ ครั้งไขมันจะหมด จะทำให้ผิวแตก ถ้าคันมากๆ อันเนื่องมาจากการนอนดึก ถ้า เราไม่ทราบเราจะยิ่งฟอกสบู่หนักเข้าซึ่งไม่ดี ให้ฟอกวันเว้นวัน การดูแลรักษาร่างกายให้ดี จะทำให้นั่งสมาธิได้ดี นั่งได้นาน ไม่คัน ไม่เข้าห้องน้ำบ่อย

อันตรายจากการดื่มไวน์ ไม่ว่าคอเบียร์คอไวน์ล้วนแต่มีอันตราย ดื่มมากเสี่ยง มะเร็งกระเพาะ

นักวิทยาศาสตร์ของกองทุนวิจัยโรคมะเร็งโลก บอกเตือนว่า คอเบียร์ที่ดื่มวันละ ประมาณครึ่งลิตร จะทำให้ตนเองเสี่ยงกับการเป็นมะเร็งกระเพาะสูงขึ้นถึง 1 ใน 5 พอๆกับการดื่มเหล้าไวน์วันละแก้วโต หรือดื่มเหล้าวอดก้า หรือยิน

ดร.ราเควล ธอมป์สัน แม่กองโครงการของกองทุน กล่าวว่า ส่วนพวกคอเหล้าที่ดื่มเหล้าวันละ เป็นเหล้าไวน์ 2 แก้ว หรือเหล้าธรรมดา 2 เป๊ก ก็ทำให้ตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งสูงขึ้นถึงร้อยละ 18 และเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งตับสูงขึ้นได้ถึง 1 ใน 5

“หากว่าเรารู้ได้ว่าปีหนึ่งๆ มันทำให้ มีคนป่วยเป็นมะเร็งเหล่านี้มากเท่าไร ก็จะนึกรู้ได้เองว่า การดื่มให้น้อยลง จะทำให้เกิดความแตกต่างลงไปได้มาก แต่ก็นั่นแหละแม้จะมีหลักฐานให้เห็นอย่างแข็งแรง คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้ว่าเหล้าทำให้ตนเข้าไปเสี่ยงใกล้กับมะเร็งได้มากเท่าใด มันจำเป็นที่เราจะต้องบอกเขาได้รู้ให้ซาบซึ้งมากขึ้น” นอกจากมะเร็งทั้งสองชนิดแล้ว กองทุน ยังแจ้งว่า มีหลักฐานที่เชื่อแน่ได้ว่า เหล้ายังทำให้เสี่ยงกับมะเร็งเต้านม มะเร็งปาก กล่องเสียง คอหอย และกระเพาะอาหารสูงขึ้นอีกด้วย.

นาย นิตินันท์ ปันฟู sec02 เลขที่ 29 51122671

ความเครียดสามารถเกิดได้ทุกแห่งทุกเวลาอาจจะเกิดจากสาเหตุภายนอกเช่น การย้ายบ้าน การเปลี่ยนงาน ความเจ็บป่วย การหย่าร้าง ภาวะว่างงานความสัมพันธ์กับเพื่อน ครอบครัว หรืออาจจะเกิดจากภายในผู้ป่วยเอง เช่นความต้องการเรียนดี ความต้องการเป็นหนึ่งหรือความเจ็บป่วย ความเครียดเป็นระบบเตือนภัยของร่างกายให้เตรียมพร้อมที่กระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง การมีความเครียดน้อยเกินไปและมากเกินไปไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ ส่วนใหญ่เข้าใจว่าความเครียดเป็นสิ่งไม่ดีมันก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ หัวใจเต้นเร็ว แน่นท้อง มือเท้าเย็น แต่ความเครียดก็มีส่วนดีเช่น ความตื่นเต้นความท้าทายและความสนุก สรุปแล้วความเครียดคือสิ่งที่มาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชีวิตซึ่งมี่ทั้งผลดีและผลเสีย

ชนิดของความเครียด

Acute stress คือความเครียดที่เกิดขึ้นทันทีและร่างกายก็ตอบสนองต่อความเครียดนั้นทันทีเหมือนกันโดยมีการหลั่งฮอร์โมนความเครียด เมื่อความเครียดหายไปร่างกายก็จะกลับสู่ปกติเหมือนเดิมฮอร์โมนก็จะกลับสู่ปกติ ตัวอย่างความเครียด

เสียง

อากาศเย็นหรือร้อน

ชุมชนที่คนมากๆ

ความกลัว

ตกใจ

หิวข้าว

อันตราย

Chronic stress หรือความเครียดเรื้อรังเป็นความเครียดที่เกิดขึ้นทุกวันและร่างกายไม่สามารถตอบสนองหรือแสดงออกต่อความเครียดนั้น ซึ่งเมื่อนานวันเข้าความเครียดนั้นก็จะสะสมเป็นความเครียดเรื้อรัง ตัวอย่างความเครียดเรื้อรัง

ความเครียดที่ทำงาน

ความเครียดที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล

ความเครียดของแม่บ้าน

ความเหงา

ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความเครียด

เมื่อมีภาวะกดดันหรือความเครียดร่างกายจะฮอร์โมนที่เรียกว่า cortisol และ adrenaline ฮอร์โมนดังกล่าวจะทำให้ความดันโลหิตสูงและหัวใจเต้นเร็วเพื่อเตรียมพร้อมให้ร่างกายแข็งแรงและมีพลังงานพร้อมที่จะกระทำเช่นการวิ่งหนีอันตราย การยกของหนีไฟถ้าหากได้กระทำฮอร์โมนนั้นจะถูกใช้ไป ความกดดันหรือความเครียดจะหายไป แต่ความเครียดหรือความกดดันมักจะเกิดขณะที่นั่งทำงาน ขับรถ กลุ่มใจไม่มีเงินค่าเทอมลูก ความเครียดหรือความกดดันไม่สามารถกระทำออกมาได้เกิดโดยที่ไม่รู้ตัว ทำให้ฮอร์โมนเหล่านั้นสะสมในร่างกายจนกระทั่งเกิดอาการทางกายและทางใจ

ผลเสียต่อสุขภาพ

ความเครียดเป็นสิ่งปกติที่สามารถพบได้ทุกวัน หากความเครียดนั้นเกิดจากความกลัวหรืออันตราย ฮอร์โมนที่หลั่งออกมาจะเตรียมให้ร่างกายพร้อมที่จะต่อสู้ อาการทีปรากฏก็เป็นเพียงทางกายเช่นความดันโลหิตสูงใจสั่น แต่สำหรับชีวิตประจำวันจะมีสักกี่คนที่จะทราบว่าเราได้รับความเครียดโดยที่เราไม่รู้ตัวหรือไม่มีทางหลีกเลี่ยง การที่มีความเครียดสะสมเรื้อรังทำให้เกิดอาการทางกาย และทางอารมณ์

นาย นิตินันท์ ปันฟู sec02 เลขที่ 29 51122671

ผมลองคำนวณแล้วนั้น ผมยังไม่อ้วนแต่ผมเป็นคนตัวใหญ่ และผมอย่างให้สมส่วนผมเลย ออกกำลังกายนั้นช่วยให้ร่างกายแข็งและกระชับส่วนเกินของไขมันได้นั้น และ ลดการกินอาหารประเภทของทอด ไขมัน

ขอให้ทุกคนนั้นรักการออกกำลังกาย

นาย ทศพล แดงอ้าย เลขที่ 22 sec 02 51122602

โรคอ้วนหรืออ้วนลงพุง

โรคอ้วนคืออะไร

ร่างกายของเราจะมีไขมันไว้เพื่อสำรองเป็นอาหาร ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย

เป็นเบาะกันกระแทกหากมีมากเกินไปคือโรคอ้วน ปกติผู้หญิงจะมีปริมาณไขมันประมาณ 25-30% ส่วนผู้ชายจะมี 18-23 %ถ้าหากผู้หญิงมีมากกว่า 30% ชายมีมากกว่า 25%จะถือว่าโรคอ้วน โรคอ้วนหมายถึงมีปริมาณไขมันมากกว่าปกติ โรคอ้วนมิได้หมายถึงการมีน้ำหนักมากอย่างเดียว

โรคอ้วนที่มีผลร้ายต่อสุขภาพมีอยู่ 3 ประเภทได้แก่

อ้วนทั้งตัว ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีไขมันทั้งร่างกายมากกว่าปกติโดยไขมันที่เพิ่มมิได้จำกัดอยู่ที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง

โรคอ้วนลงพุง[ abdominal obesity] ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีไขมันในอวัยวะภายในช่องท้องมากกว่าปกติ และอาจจะมีไขมันใต้ผิวหนังหน้าท้องเพิ่มขึ้นด้วย

โรคอ้วนลงพุ่งร่วมกับอ้วนทั้งตัว มีไขมันมากทั้งตัวและอวัยวะภายในช่องท้อง

การวัดปริมาณไขมันในร่างกาย

มีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์หลายชนิดที่สามารถวัดและคำนวณปริมาณไขมันในร่างกาย แต่ไม่สะดวกในการใช้จึงได้มีการคิดวิธีวัดง่ายที่ได้ผลคือ

ใช้ calipers วัดความหนาของไขมันชั้นใต้ผิวหนัง อาจจะวัดที่ท้องแขนเป็นต้น

Bioelectric impedance analysis โดยการใช้ไฟฟ้าผ่านเข้าไปในร่างกายแล้วคำนวณออกมา

การใช้ตารางหนักและส่วนสูง

การคำนวณดัชนีมวลกาย

การวัดเส้นรอบเอว

โรคอ้วนจำเป็นต้องรักษาหรือไม่

ก่อนหน้านี้คนอ้วนไม่ถือเป็นโรคอ้วนแต่ปัจจุบันจัดเป็นโรคอ้วนเนื่องจากก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ โรคอ้วนเป็นโรคเกิดจากสาเหตุหลายๆอย่างทำให้การรักษาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร ผู้ที่ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วน้ำหนักก็จะขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน การรักษาโรคอ้วนได้เปลี่ยนไปจากอดีตที่นิยมให้ลดน้ำหนักเข้าสู่เกณฑ์ปกติอย่างรวดเร็วมาเป็นให้ลดน้ำหนักแบบค่อยๆเป็น โดยกำหนดเป้าหมายที่สามารถปฏิบัติได้ การลดน้ำหนักเพียงบางส่วนสามารถก่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ การรักษาโรคอ้วนให้รักษาตลอดชีวิตเหมือนโรคเบาหวาน

ได้มีการศึกษาในประเทศไทยพบว่าผู้ที่เป็นโรคอ้วนจะมีระดับ ไขมัน cholesterol ,triglyceride LDL ระดับน้ำตาล ละความดันโลหิตสูงกว่าผู้ที่มีน้ำหนักปกติ

ปัญหาของดัชนีมวลกายที่จะนำมาใช้อ้างอิงว่าอ้วนหรือไม่คงจะใช้ตัวเลขเดียวกันทั่วโลกไม่ได้ ฝรั่งจะมีโครงสร้างใหญ่กว่าชาวเอเชีย ดัชนีมวลกายของฝรั่งจึงจะค่อนข้างสูงกล่าวคือจะถือว่าน้ำหนักเกินเมื่อดัชนีมวลกายมากกว่า 25 กก/ตารางเมตร ส่วนชาวเอเชียเราจะถือว่าน้ำหนักเกินคือดัชนีมวลกายมากกว่า 23 กก/ตารางเมตร เนื่องจากเมื่อดัชนีมวลกายเกินค่าดังกล่าวจะมีอุบัติการณ์ของโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูงสูง

จะเห็นว่าคนอ้วนมีโอกาสที่จะเกิดโรคมากมาย และผลดีของการลดน้ำหนักสามารถลดอัตราการเกิดโรคได้หลายชนิด และลด อัตราการตายได้ สมควรถึงเวลาที่จะหยุดความอ้วน

นาย ทศพล แดงอ้าย เลขที่ 22 sec 02 51122602

ผมคิดว่าความอ้วนหรือไม่อ้วนนั้นอยู่ที่กิจวัตรในการกินของคนเรามากกว่าถ้ากินมากแล้วไม่ออกกำลังกายมันย่อมอ้วนเป็นธรรมดางั้นเราต้องออกกำลังกายตามที่อาจารณ์สอนกันดีกว่าไม่มีอ้อวครับ

นาย สุภวัตร อินต๊ะโคตร์ เลขที่ 35 sec 02 รหัส 51122682

การพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพ

แม้ว่าคุณจะดูแลสุขภาพของคุณอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม ยังมีความจำเป็นสำหรับคนบางประเภทที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสูง สมควรที่จะได้พบกับแพทย์เพื่อตรวจร่างกายและเจาะเลือด สภานพยาบาลหลายแห่งจึงจัดรายการตรวจสุขภาพ ทั้งการตรวจหาโรคหัวใจ การตรวจหาโรคมะเร็งซึ่งการตรวจบางอย่างเกินความจำเป็น

ควรจะตรวจสุขภาพตั้งแต่อายุเท่าใด

ในความเป็นจริงเราเริ่มต้นตรวจสุขภาพตั้งแต่แรกเกิดเลย จะเห็นได้ว่าหลังจากคลอดคุณหมอจะนัดพาเด็กไปตรวจสุขภาพชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดรอบศีรษะและฉีดวัคซีนป้องกันโรค แต่สำหรับผู้ใหญ่ที่แข็งแรง ไม่มีโรคทางกรรมพันธุ์ในครอบครัวก็อาจจะจะเริ่มต้นตรวจเมื่ออายุ 35 ปี แต่หากคุณเป็นคนอ้วน มีประวัติเบาหวานในครอบครัว ประวัติโรคหลอดเลือดหัวใจของญาติสายตรง ไขมันสูงในครอบครัวหรือเจ็บป่วยบ่อยก็อาจจะเริ่มต้นตรวจที่อายุน้อยกว่านี้บางประเทศเช่นในอเมริกาแนะนำให้ตรวจไขมันในเลือดตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป ส่วนเรื่องความถี่ก็ขึ้นกับสิ่งที่ตรวจพบหากพบว่ามีโรคหรือเสี่ยงต่อการเกิดโรคก็อาจจะต้องตรวจถี่ หากไม่เสี่ยงก็อาจจะตรวจทุก 3-5 ปี

แต่ความคิดของผมเราจะรูปว่าสุขภาพเราดีหรือไม่มันอยู่ที่ตัวเราว่าเรามีความเป็นอยู่หรือมีการดำเนินชีวิตประจำวันเป้นอย่างไรบ้างร่างกายมีความอดทนแข็งแรงแค่ไหน ระบบต่างๆของร่างกายเป็นไปตามปกติหรือไม่ แต่สุขภาพดีมันอยู่ที่ตัวทำน...ครับ

นาย นเรศร์ สุธรรม เลขที่ 30 sec 02 51122672

การแปลผลการตรวจเลือด

เมื่อท่านไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสุขภาพ หรือไม่สบาย แพทย์มักจะเจาะเลือดเพื่อตรวจ และวินิจฉัยโรค บางท่านได้ผลเลือดมาโดยที่ยังไม่มีการแปรผล บางท่านไม่กล้าที่จะถามว่าตรวจอะไร เพื่ออะไร แปรผลอย่างไร บางท่านอาจจะได้รับคำอธิบายพร้อมทั้งแนวทางการปฏิบัติ แต่บางท่านอาจจะได้สมุดมาหนึ่งเล่มพร้อมคำอธิบาย ซึ่งท่านอาจจะอ่านบ้างไม่อ่านบ้าง บทความนี้จะกล่าวถึงการตรวจเลือดที่พบบ่อยๆ และการแปรผล

เช่นการตรวจเม็ดเลือดแดง

จำนวนเม็ดเลือดแดง Red blood cell (RBC) count

เป็นการนับจำนวนเม็ดเลือดแดงในกระแสเลือด ถ้าจำนวนน้อยก็คือภาวะโลหิตจาง (anemia ) ถ้าจำนวนมากเกินไปเรียก ( polycythemia) ปกติจะมีปริมาณ 4.2 - 5.9 million cells/cmm นอกจากจะดูจำนวนแล้วยังดูขนาดของเม็ดเลือดแดง ความเข็มของ Hemoglobin ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะมีโลหิตจางเนื่องเสียเลือดจากประจำเดือน

ความเข็มของเลือด Hematocrit

เป็นการวัดความเข็มข้นของเลือดอีกแบบหนึ่งโดยเปรียบเทียบปริมาตรของเม็ดเลือดต่อปริมาตราของเลือด ถ้าต่ำกว่า 30%ถือว่ามีภาวะโลหิตจาง

hematocrit ต่ำพบได้ในภาวะ

โรคโลหิตจาง

เสียเลือด

bone marrow failure (e.g., due to radiation, toxin, fibrosis, tumor)

destruciton of red blood cells

leukemia

malnutrition or specific nutritional deficiency

multiple myeloma

rheumatoid arthritis

hematocrit สูงพบได้ในภาวะ

ขาดน้ำจาก

ไฟไหม้

ท้องร่วง

erythrocytosis (excessive red blood cell production)

polycythemia vera

การตรวจเลือดทำให้รู้ถึงสุขภาพ ว่าดีแค่ไหนเป็นโรคหรือไม

และหาวิธการแก้ไขต่อไปได้ด้วย

ชา เป็น Healthy drink หรือเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพไปแล้ว

 

 

ไม่ใช่เพราะว่าช่วงนี้การดื่มชา ฮิตเป็นแฟชั่นหรอกค่ะ แต่บรรดานักวิจัยเขาค้นพบกันว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายโดยเฉพาะสารในกลุ่ม โพลีฟีนอล หรือฟาโวนอลซึ่งมีคุณสำบัติเป็นสารต้านออกซิเดชั่น ลดอัตราการเสี่ยงของอนุมูลอิสระที่จะเข้าไปทำลายในเซลล์ ซึ่งถ้าปล่อยให้มีการทำลายเซล์เกิดขึ้นแล้วล่ะก็ โรคความจำเสื่อม โรคมะเร็ง ก็อาจถามหาและเกิดขึ้นกับตัวคุณได้ชา จึงเป็นเครืองดื่มเพื่อสุขภาพ มีประโยชน์ต่อร่างการมากมาย อาทิ ช่วยกระตุ้นให้ระบบประสาทและร่างกายสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายมีอิทธิพลต่อขบวนการเมตาโบลิซึ่มของเซลล์ร่างกายช่วยขยายขนาดของหลอดเลือด และป้องกันโรคหัวใจตีบตัน ช่วยแก้กระหาย ช่วยในการย่อยอาหาร เหล่านี้เป็นต้น และชาที่ผลิตออกมาขายมีท้องตลาดก็มีมากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ชาเขียว ชาอูหลง ชาดอกไม้ ชาผสมน้ำผึ้ง ซึ่งแต่ละชนิดมีความพิเศษอยู่ในตัว หากเลือกดื่มได้ตรงกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราก็จะดีต่อสุขภาพกายยิ่งขึ้น ลองมาดูกันซิว่า ชาชนิดไหนที่เหมาะจะมาเป็นเครื่องดื่มถ้วยโปรดของเรา.....

 

1. ผู้ที่ทำงานแบบใช้สมอง ต้องซีเรียสเครียดกับงานทั้งวัน หรือ นักเรียนนักศึกษาที่ตรากตรำอ่านตำหรับตำราจนดึกดื่นควรดื่ม ชามะลิ

2. ผู้ที่รักการออกกำลังกาย หรือทำงานที่ต้องใช้แรงงาน เสียเหงื่อมากเหมาะกับ ชาอูหลง

3. ผู้ที่ต้องผจญสูดดมอากาศเป็นพิษอยู่เสมอ อาทิ ผู้ที่ขับขี่หรือสัญจรไปมาบนท้องถนน ด้วยรถจักรยานยนต์เป็นประจำเหมาะกับ ชาเขียว

4. ผู้ที่ในแต่ละวันนั่งตัวติดกับเก้าอี้ ไม่ค่อยขยับเขยื้อนกายไปไหนเลย อีกทั้งปกติไม่ชอบออกกำลังกายด้วยแล้ว เหมาะอย่างยิ่ง ชาเขียว ชาดอกไม้

5. ผู้ที่ชอบดื่มสุรา เครื่องดื่มของมืนเมา ควรดื่มชาเขียว

6. ผู้ที่นิยมรับประทานเนื้อสัตว์เป็นชีวิตจิตใจ เหมาะกับ ชาอูหลง

7. ผู้ที่เข้าห้องน้ำแต่ละครั้งช่างทุกข์ทรมารเสียเหลือเกินแล้วยังมักท้องผูกเสมอๆ เหมาะกับ ชาผสมน้ำผึ้ง

8. ผู้ที่มีระดับคอเรสเตอรอลสูง ไขมันในเลือดสูงเหมาะที่จะดื่มชาอูหลง หรือ ชาเขียว

9. สำหรับมนุษย์ยุคไฮเทคทั้งหลายที่นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวันทั้งคืน หากได้ดื่มชาเป็นประจำจะดีมาก (ชาอะไรก็ได้)เช่น ว่างเมื่อไหรก็คว้าแก้วมาดื่มแก้กระหาย ช่วยป้องกันรังสีที่แผ่ออกมาจากเครื่อง อีกทั้งช่วยคลายเส้นกระดูกลดความอาการอ่อนเพลียได้อย่างชะงัดนักแล ค้นพบชาถ้วยโปรดแล้ว รีบชงชามาดื่มจะได้ดูดีแบบมีHealthy นะค่ะ

ความต่างของชาชนิดต่างๆ

มีใครทราบใหมค่ะว่าชาเป็นเครื่องดื่มที่มีผู้นิยมมากที่สุดในโลก รองจากน้ำเปล่า โดยสำรวจพบว่ามีการบริโภคมากกว่า 800 ล้านถ้วบต่อวัน เนื่องจากชาเป็นเครื่องดื่มที่มีกลิ่มหอม คนจึงนิยมดื่มอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นชาวเอเซีย เช่น จีน ญี่ปุ่น หรือชาวยุโรป ชาที่นิยมในปัจจุบันแบ่งได้ 3 ชนิดใหญ่ ๆ ชาดำ Black tea ชาอูหลงOolong และชาเขียว Freen tea ซึ่งชาแต่ละชนิดต่างก็ได้มาจากใบของพืชชนิดเดียวกันที่มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Camellia sinensis แต่ที่เรียกชื่อต่างกันนั้นก็เนื่องมาจากกรรมวิธีในการหมัก การบ่ม ที่ใช้ระยะเวลาแตกต่างกัน จนเกิดเป็นชาดำ ชาอูหลง ชาแกง ชาขาว ซึ่งก็เหมือนกาแฟชนิดต่าง ๆที่แท้มาจากเมล็ดกาแฟที่คั่วโดยใช้ระยะเวลาต่างกันนั่นเอง

การผลิตชาดำ

ทำได้โดบการนำใบชามาทำให้แห้งโดยการรีดน้ำที่หล่อเลี้ยงใช้ใบชาชุ่มชื่นออกมาเพื่อทำให้ใบชาเหี่ยวและอ่อนลีบ โดยใช้ระยะเวลาทั้งสิ้น 16 ชั่วโมง หลังจากนั้นจึงนำใบชาที่แห้งแล้วมากลิ้งด้วยลูกกลิ้ง บดและฉีกต่อจากนั้นจึงนำไปหมัก ซึ่งหลังจากกระบวนการหมักทั้งสิ้นแล้ว จะได้ใบชาที่แห้งสนิท


การผลิตชาอูหลง

ผ่านกระบวนการผลิตด้วยการหมักแต่เพียงครึ่งหนึ่ง จึงทำให้รสชาติและสรรพคุณอยู่ระหว่างชาดำและชาเขียว กระบวนการผลิตชาอูหลงเริ่มจากนำใบชามาทำให้แห้งลีบโดยใช้เวลาทั้งสิ้น 6 ชั่วโมง หลังจากนั้นจึงนำไปกลิ้งด้วยลูกกลิ้ง ฉีก และหมักด้วยระยะเวลาสั้นๆ

การผลิตชาเขียว

ทำโดยนำใบชามาอบไอน้ำ หลังจากนั้นจึงนำไปกลิ้งและทำให้แห้งอย่างรวดเร็ว ด้วยวิธีการดังกล่าว จึงทำให้ใบชายังคงมีสีเขียว จากกระบวนการผลิตที่ง่ายและน้อยขั้นตอนทำให้ชาเขียวยังคงมีสารในพืชที่มีประโยชน์หลงเหลืออยู่มากกว่าชาชนิดอื่นๆ

 

คุณค่าจากปลา ... ราชาของโปรตีน

โปรตีนมีดีที่ย่อยง่าย โดยทั่วไปในเนื้อปลามีโปรตีนประมาณร้อยละ 17-23 ซึ่งเป็นโปรตีนที่ย่อยง่ายกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ ทำให้ระบบการย่อยอาหารของเราไม่ต้องทำงานหนัก อีกทั้งโปรตีนยังมีประโยชน์ ช่วยซ่อมแซมเนื้อเยื่อหรือส่วนต่างๆ ที่สึกหรอ และเสริมสร้างร่างกายให้เจริญเติบโตตามวัยอันควร นอกจากนี้ปลายังมีกรดอะมิโน ที่จำเป็นต่อร่างกายหลายชนิด โดยเฉพาะไลซีนและทรีโอนิน ซึ่งมีผลต่อพัฒนาการสมอง และการเจริญเติบโตในวัยเด็ก ทั้งยังเป็นส่วนประกอบของสารสร้างภูมิคุ้มกันโรค ทำให้นอนหลับสนิท สมองทำงานได้ดี ไม่แก่เกินวัย และลดความหิวชนิดรับประทานไม่หยุดได้ โดยถ้าคิดเป็นหน่วยร้อยละ จะมีสูงถึงร้อยละ 92 เมื่อเทียบกับ น้ำนมวัวซึ่งมีร้อยละ 91 เนื้อวัวมีร้อยละ 80 และถั่วเหลืองมีร้อยละ 63

ไขมันต่ำและเป็นไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย ปลายังมีไขมันต่ำ มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวหรือที่เรียกว่า โอเมก้า3 ซึ่งเป็นไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่เราไม่สามารถสร้างเองได้ นอกจากกรดไขมันโอเมก้า3 ที่มีอยู่ในปลาช่วยป้องกันการสะสมตัวของไขมันอิ่มตัว หรือคลอเลสเตอรอล อันเป็นสาเหตุ ให้เส้นเลือดอุดตัน ซึ่งนำไปสู่โรคหัวใจ และเส้นเลือดในสมองแตกได้ กรดไขมันโอเมก้า3 ยังมีประโยชน์ในด้านอื่นๆ อีกมากมาย เช่น • ช่วยในการลดน้ำหนัก ในปี 1999 นักวิจัยออสเตรเลียพบว่า การบริโภคปลาที่มีโอเมก้า3 สูง เช่น ปลาทูน่า ปลาแซลมอล จะช่วยให้การลดน้ำหนักได้ผลดียิ่งขึ้น

• บำรุงสมอง ผลวิจัยจากสหรัฐอเมริกาพบว่า กรดไขมันดีเอชเอ (DHA) ในโอเมก้า3 มีส่วนสำคัญในการพัฒนาสมอง โดยเฉพาะในส่วนของความจำและการเรียนรู้

• ช่วยลดความเครียด Archives of General Psychiatry ได้รายงานการวิจัย เกี่ยวกับน้ำมันปลา ว่าสามารถลดความเครียดในผู้ป่วยโรคประสาท ที่มักจะอาละวาด ทำให้มีอารมณ์ที่เยือกเย็นลงได้

• บรรเทาอาการซึมเศร้า การศึกษาของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดพบว่า การขาดโอเมก้า3 ซึ่งเป็นกรดไขมันที่จำเป็นต่อสมอง อาจเป็นสาเหตุทำให้คนมีอาการซึมเศร้า สมาธิสั้น และขาดความสามารถในการอ่านหนังสือได้

• บรรเทาอาการของโรคไขข้ออักเสบ จากการวิจัยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า น้ำมันปลาช่วยบรรเทาอาการ ของผู้ป่วยโรคไขข้ออักเสบ จนสามารถลดการใช้ยาบางส่วนลงได้

• ลดการอักเสบของโรคผิวหนัง การศึกษาวิจัยระบุว่า การกินปลาที่มีไขมันมาก จะช่วยบรรเทาอาการของโรคผิวหนัง อย่างสะเก็ดเงิน (เรื้อนกวาง) เพราะปลามีวิตามินดีจากกรดไขมันโอเมก้า 3 ในปริมาณที่มากนั่นเอง

• ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ จากการวิจัยในปี 1998 พบว่า การบริโภคปลาอย่างน้อย สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง จะช่วยลดความดันโลหิต ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคหัวใจลงได้ นอกจากนั้น จากการวิจัยของมหาวิทยาลัยโอเรกอนยังระบุว่า ในไขมันปลามีกรดไขมันอีพีเอ (EPA) ซึ่งเป็นกรดไขมันในกลุ่มโอเมก้า3 ยังช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือด และลดระดับไตรกลีเซอไรด์ลงได้ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญ ของโรคหลอดเลือดหัวใจด้วยเช่นกัน

ถึงแม้ปลาทุกชนิด จะจัดว่ามีค่าไขมัน และพลังงานต่ำกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่นแล้ว อย่างไรก็ตาม ชนิดของปลายังมีผลต่อปริมาณไขมันของปลาที่มีอยู่ในเนื้อปลาสด ซึ่งผู้บริโภคควรเลือกทานตามความ เหมาะสม เราสามารถจัดแบ่งชนิดของเนื้อปลาสด ออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ 1. ปลาที่มีไขมันต่ำมาก (น้อยกว่าหรือเท่ากับ 2 กรัมต่อ 100 กรัม) ได้แก่ ปลาไหล ปลากราย ปลานิล ปลากะพงแดง และปลาเก๋า

2. ปลาที่มีไขมันต่ำ (มากกว่า 2-4 กรัมต่อ 100 กรัม) ได้แก่ ปลาทูนึ่ง ปลากะพงขาว ปลาจะละเม็ดดำ และปลาอินทรี

3. ปลาที่มีไขมันปานกลาง (มากกว่า 4-8 กรัมต่อ 100 กรัม) ได้แก่ ปลาสลิด ปลาตะเพียน และปลาจะระเม็ดขาว

4. ปลาที่มีไขมันสูง (มากกว่า 8-20กรัมต่อ 100 กรัม) ส่วนมากมีเนื้อสีเหลือง ชมพูหรือเทาอ่อน ได้แก่ ปลาช่อน ปลาสวาย ปลาดุก และปลาสำลี

นอกจากนั้นแล้ว วิธีการปรุงอาหารให้สุกตามที่นิยม อย่างการต้ม นึ่ง ทอด ย่าง และเผา ยังมีผลต่อปริมาณไขมันของปลาด้วยเช่นกัน จากการวิจัยพบว่าปลาดิบและปลา ที่ทำให้สุกโดยการต้มและนึ่งทุกชนิด จัดว่าให้ค่าไขมันและพลังงานต่ำ แต่ถ้านำปลาเหล่านี้ไปย่างหรือทอด จะให้ไขมันและพลังงานสูงขึ้น เนื่องจากน้ำที่ระเหยหายไประหว่างการย่างและน้ำมัน ที่ถูกดูดซับเข้าไปในเนื้อปลาระหว่างการทอด ดังนั้น หากเราจะเลือกเมนูปลาครั้งหน้า โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักด้วยแล้ว อย่าลืมสังเกตทั้งชนิดของปลา และวิธีการปรุงกันก่อนรับประทาน

แร่ธาตุไอโอดีน ป้องกันเอ๋อ เมื่อรับประทานปลาทะเล ร่างกายจะได้รับแร่ธาตุไอโอดีน ซึ่งมีคุณสมบัติป้องกันโรคคอหอยพอก ชนิดที่เกิดจากการขาดธาตุไอโอดีน เด็กที่กำลังเจริญเติบโตหากขาดแร่ธาตุชนิดนี้ โอกาสที่จะเป็นโรคเอ๋อ หรือภาวะปัญญาอ่อนก็มีมากขึ้น และยังทำให้ร่างกายเจริญเติบโตช้า

แร่ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส เกราะป้องกันกระดูก การรับประทานปลาตัวเล็กตัวน้อย เช่น ปลาข้าวสาร ปลาฉิ้งฉั้ง รวมทั้งปลากระป๋อง อย่างปลาซาร์ดีนที่รับประทานได้ทั้งเนื้อและก้าง จะช่วยเพิ่มธาตุแคลเซียมที่ได้จากกระดูกปลา ช่วยทำให้กระดูกและฟันของเราแข็งแรง อีกทั้งป้องกันโรคกระดูกพรุนและกระดูกหักง่ายได้ นอกจากนี้ การรับประทานปลายังได้วิตามินที่หลากหลาย ทั้งวิตามินเอและวิตามินดี (ซึ่งมีมากในน้ำมันตับปลา) รวมทั้งวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และไนอาซีน ถึงแม้จะมีในปริมาณเล็กน้อย แต่วิตามินเหล่านี้ ล้วนมีความจำเป็นต่อร่างกาย โดยเฉพาะสมองของเรา ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการควบคุม การทำงานของอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย ให้มีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ ถึงแม้ปลาจะมีคุณค่าและสารอาหารดีๆ มากมาย แต่สำหรับชาวชีวจิต ก็เลือกรับประทานปลาในปริมาณที่พอเหมาะ เพียงสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หรือประมาณ 200 กรัมเท่านั้น เพื่อให้ร่างกายของเราได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน

นางสาวไพลิน จันทร์ทะวงศ์ เลขที่ 25 ภาคพิเศษจันทร์-ศุกร์ cmru

สาเหตุของการมีพุง แต่ไม่ใช่เพราะไขมัน

ทราบหรือไม่ว่าการมีพุงอาจไม่ได้เกิดจากไขมันก็ได้ สาเหตุของพุงป่องไม่ใช่จากการรับประทานอาหารเพียงอย่างเดียว และคนพุงป่องก็ไม่ได้แปลว่าอ้วนด้วย แต่อาจเป็นเพียงอาการบวมน้ำเท่านั้น

1. การแพ้อาหาร

บางครั้งอาการท้องบวมอาจเกิดจากอาการระคายเคืองหรือการติดเชื้อของระบบย่อยอาหารในช่องท้อง หรืออาจรวมถึงการรับประทานยาบางชนิดที่ทำให้บวมน้ำและยังรวมไปถึงการมีรอบเดือนด้วย แต่ถ้ารู้สึกว่าหน้าท้องบวมขึ้นผิดปกติหลังทานอาหารบางชนิด ให้สันนิษฐานได้ว่าน่าจะมีอาการแพ้อาหารเข้าให้แล้ว จากสถิติพบว่าอาหารจำพวกแป้งและนม มีโอกาสทำให้เกิดอาการแพ้และบวมมากที่สุด

2. อาหารลดน้ำหนัก

คนที่ชอบหวังพึ่งอาหารลดน้ำหนักจำพวก โลว์แฟ้ต หรือ แฟ้ต-ฟรี มักจะมีปัญหาพุง

ป่อง เนื่องจากคิดว่ามันเป็นอาหารแคลอรี่ต่ำ จึงสามารถกินมากกว่าปกติ อาหารพวกนี้อาจมีพลังงานน้อยกว่าปกติ แต่มันก็ไม่ได้น้อยขนาดนั้น ทางที่ดีหันมารับประทานผัก ผลไม้ให้มากขึ้นจะดีกว่า รวมทั้งรับประทานอาหารที่มีเอนไซม์ช่วยย่อย อาทิ น้ำมะนาว น้ำส้มสายชูสกัดจากแอ๊ปเปิ้ล หรือผักสดต่าง ๆ

3. กินช้า ๆ แต่บ่อย ๆ

ค่อย ๆ เคี้ยวอาหารช้า ๆ เพื่อให้ประสาทรับรู้ค่อย ๆรู้สึกอิ่ม และในแต่ละมื้ออย่ากินให้

เยอะจนอิ่มแน่นท้อง ควรแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อย่อย ๆ แต่อย่ากินขนมจุบจิบ จำพวกขนมนมเนยต่าง ๆ เลือกกินผลไม้ หรือธัญพืช เมื่อหิวระหว่างมื้อจะดีกว่า

4. ขจัดสารพิษ

แอลกอฮอล์ คาเฟอีน และนิโคตินในบุหรี่ มีผลร้ายต่อระบบเผาผลาญอาหารของ

ร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายบวมน้ำ และยังก่อให้เกิดเซลลูไลท์ อีกด้วย ดังนั้นเมื่อรู้สาเหตุดังนี้แล้วก็แค่ ลด ละ เลิก การดื่ม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และคาเฟอีนต่าง ๆ และเลิกสูบบุหรี่ไปซะด้วยเลยในเวลาเดียวกัน

5. หัดกินสักนิด

ในกระเพาะจะมีแบคทีเรียอาศัยอยู่เพื่อช่วยในการย่อยอาหาร แต่บางครั้งแบคทีเรีย

เหล่านี้ก็อาจถูกกำจัดไปในสภาวะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วย หรือการรับประทานอาหารบางชนิด แนะนำให้รับประทายโยเกิร์ตรสธรรมชาติเป็นประจำ เพื่อปรับสมดุลแบคทีเรียกลุ่มที่เป็นประโยชน์ จะช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นและช่วยให้หน้าท้องบวมน้อยลงด้วย

6. ดื่มน้ำให้มาก

อาการบวมน้ำนี้ ควรดื่มน้ำให้ได้อย่างต่ำ 8 แก้ว ต่อวัน แต่วิธีการดื่มนั้นอย่าดื่มหมด

แก้วในคราวเดียว ควรจิบน้ำบ่อย ๆ เรื่อย ๆ เพราการที่ดื่มน้ำแก้วใหญ่ในคราวเดียว จะทำให้กระเพาะปัสสาวะขยายใหญ่ ถ้าจะให้ดีควรเลือกดื่มชาสมุนไพร อาทิ ชาเป็ปเปอร์มินต์ หรือชาคาโมไมล์แทนน้ำเปล่า โดยเฉพาะการดื่มในช่วงหลังอาหาร จะช่วยให้อาหารที่รับประทานเข้าไปย่อยได้ดีขึ้นด้วย

7. บริหารกล้ามเนื้อหัวใจ

ผู้หญิงหลายคนเชื่อว่าการซิตอัพทุกวันจะช่วยให้หน้าท้องแบนเรียบแต่จริง ๆ แล้ว

ไม่ใช่เลย แม้ว่าการซิตอัพจะช่วยสร้างกล้ามท้อง แต่ถ้าร่างกายนั้นยังปกคลุมด้วยชั้นไขมัน หน้าท้องเรียบตึงก็จะไม่มีวันโผล่มาให้เห็นหรอก ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เป็นประจำอย่างน้อย 30 นาที่ต่อวัน อย่างต่ำ 3 วันต่อสัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายได้เผาผลาญไขมันออกไป บวกกับการซิตอัพ คราวนี้รับรองสวยตึงแน่นอน

8. หายใจลึก ๆ

เมื่อหายใจเข้าออกแบบลึก ๆ จะช่วยให้ร่างกายคลายความตึงเครียดออกมา รวมทั้งยัง

ช่วยในการเติมออกซิเจนและพลังชีวิตให้ร่างกายด้วย ทุกครั้งที่หายใจให้พยายามหายใจให้ลึกเข้าไปยังช่องท้อง อย่าหยุดเพียงแค่เก็บลมไว้ในช่องอก การหายใจเข้าออกจากท้องเป็นนิสัยจะช่วยกระชับให้กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรงมากยิ่งขึ้น

9. นวดกระชับหน้าท้อง

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการนวด ช่วยได้จริง ๆ เนื่องจากการนวดท้องนั้น ช่วยไล่ลมที่เก็บ

กักไว้ในช่องท้องได้ และช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นด้วย วิธีการนวดก็ไม่ยาก เพียงวางฝ่ามือลงบนท้องแล้วนวดวนตามเข็มนาฬิกา ถ้าอยากให้เห็นผลเร็วขึ้นอาจใช้ครีมจำพวกกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องร่มด้วยก็ได้

ยิ่งนอนดึก ยิ่งเร่งวันตาย

การนอนดึกเป็นเหตุให้อายุสั้น เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การทำงานดึกทำให้ร่างกายล้า เหมือนกับ เครื่องยนต์ overload ไม่ช้าเครื่องก็พัง วิธีแก้ไขในกรณีต้องทำงานดึก (เพื่อไม่ให้ร่างกายโทรมเร็ว) ผู้ที่มีหน้าที่บริหารงาน มักจะพบปัญหานี้กันมาก เพราะต้องเร่งงาน ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนนอนดึก

1. ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการล้า

2. ระบบร่างกายจะรวน ดังนี้

ระบบการย่อยอาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ คืออาหารที่ทานเข้าไป ถ้าไม่นอนดึก อุจจาระจะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่ เหมือนกับแท่งทอง แต่ถ้าอดนอนแล้วอุจจาระจะหยาบ จะมีเศษ อะไรต่างๆ ติดอยู่ เหมือนกับรถที่มีเขม่าติด เกิดจากการที่ร่างกายย่อยไม่หมด เพราะล้า แนวทางแก้ไข ให้ลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาหารเหนียวๆ มิฉะนั้นลำไส้ทำงานหนัก ยิ่งนอนดึกแม้ เราหลับไปแล้ว แต่ลำไส้ไม่หลับ ยังคงย่อยอยู่ต่อไป พอตื่นขึ้นมาก็เพลีย ให้ทานไข่ นม แทนพวกเนื้อ สัตว์ ก็จะพอถูไถไปได้ มิฉะนั้นท้องจะผูกเป็นประจำ ริดสีดวงทวารจะถามหา (ถ้าหากอ้วนก็ให้ทานนม แทนไข่)

ท้องผูก มี 2 ลักษณะ

1. ผูกแข็ง คือ อุจจาระแข็ง

2. ผูกเหลว คือ อาการถ่ายอุจจาระไม่หมด ยังค้างอยู่ แต่ลำไส้ล้า กระเพาะอาหารล้า ทำให้ไม่มี แรงบีบให้ออกจนหมด

ดังนั้นในวันหนึ่งๆ จึงต้องถ่ายหลายครั้ง โรคที่จะตามมาก็คือ ผื่นคันบริเวณขาหนีบ (ไม่ใช่เพราะความ สกปรกหมักหมม) จะคันทั้งวัน ปกติอุจจาระจะกึ่งแข็งกึ่งเหลว ถ้าแข็งแสดงว่าส่วนที่เป็นน้ำได้ซึมกลับเข้ามาในลำไส้ ซึ่ง มันเป็นของเสีย ที่ต้องขับออก ผลก็คือทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะมาประทุบริเวณเนื้ออ่อนๆ เช่นที่ขาหนีบ สาเหตุก็มาจาก ท้องผูกนั่นเอง เพราะฉะนั้น อย่านอนดึก ถ้าต้องดึกก็ให้ออกกำลังหน้าท้อง ให้ท้องเกิดกำลัง จะได้รีดอุจจาระออกมา ได้เร็ว ทานเสร็จแล้วอย่านอน ให้เดินสักครึ่งชั่วโมง เพราะพอขาได้เดิน ลำไส้มันก็ต้องไปกับขาด้วย จะช่วย ทำให้ย่อยได้ดีขึ้น ท้องจะผูกน้อยลง ผื่นคันก็จะหาย ถ้ายังไม่หาย (เนื่องจากอายุมาก) ให้ทานน้ำขิงสด (ไม่ใช่ขิงผง เป็นซองๆ) พวกที่นอนดึกต้องให้ท้องอุ่นมากๆ ให้หาผ้ามาห่ม เดี๋ยวท้องจะอืด เฟ้อ บางทีต้องให้เท้าอุ่นด้วย ให้หา ถุงเท้ามาใส่ มิฉะนั้นเท้าจะชา

ระบบปัสสาวะ ถ้านอนไม่ดึก ประมาณ 3-4 ทุ่ม พอตื่นเช้าขึ้นมาจะปัสสาวะครั้งเดียวจบ แต่ถ้านอนดึก ยิ่งนอนตีหนึ่ง กลางดึกจะต้อง ลุกเข้าห้องน้ำถี่ เพราะร่างกาย overload ต้องการน้ำมาก กล้ามเนื้อข้างในจะบีบคั้นเอาพลังงานออ กมาใช้ จึงต้องใช้น้ำมาก ผลก็คือปัสสาวะบ่อย ทำให้พวกเกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะด้วย ยิ่งอายุ 35 ขึ้นไปจะยิ่งแย่ แนวทางแก้ไข ให้ทานแคลเซี่ยมเม็ดได้ แต่อย่ามาก แค่ 1 เม็ดก็พอ ถ้าทานมากจะทำให้แคลเซี่ยมพอก คืออาการที่กระดูกงอกทับเส้นประสาท (ถ้าเป็นแล้วต้องให้คนนวด และทานยาละลายแคลเซี่ยมช่วย) ถ้าไม่ทานแคลเซี่ยมชดเชย จะทำให้เลือดจาง เม็ดโลหิตจาง สรุปแล้วการอดนอน เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การนอนดึกต้องดื่มน้ำให้มาก และเติมเกลือในน้ำด้วย คือพอเราดื่มแล้วมันออกมาหมดทั้งทางปัสสาวะแล ะเหงื่อ เราทานเกลือมากๆ ยังออกทางเหงื่อได้ แต่ถ้าทานแคลเซี่ยมมากทำให้กระดูกงอก ส่วนโค้ก เป๊ปซี่ กระทิงแดง อย่าทาน พอเราอยู่ดึกและกลั้นปัสสาวะ มันจะซึมกลับเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะไปประทุที่ขาหนีบ หรือท้องแขนเป็นเม็ดแดงๆ เป็นจ้ำขึ้นทั่วเลย บางคนไม่กลั้น แต่ดื่มน้ำน้อย อาการก็จะเหมือนกับการโม่ แป้งฝืดๆ ลำไส้บีบตัวไม่ไหว ต้องเค้น ก็จะเพลีย แต่ถ้าดื่มน้ำมาก ทำให้ถ่ายสบาย ถ้าดื่มน้ำน้อยจะทำให้กรดยูเรียเข้มข้น พอเรากลั้นปัสสาวะมันก็จะซึมเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ถ้ากลั้นบ่อยๆ จะทำให้ปัสสาวะไม่หมด ระบบเหงื่อ คนที่ไม่มีเหงื่อออก จะแย่ ถ้าขับเหงื่อให้ออกได้ร่างกายสบาย ถ้าเหงื่อไม่ออกความร้อนภายในร่างกา ยจะระบายไม่ได้ ทำให้อึดอัด ของเสียในร่างกายก็ออกไม่ได้ โรคผิวหนังจะถามหา สิวฝ้าจะขึ้น เพราะฉะนั้น ดื่มน้ำให้มากพอและออกกำลังกาย เท่านั้นพอ เอาจนเหงื่อออกให้ได้ คนนอนดึกเหงื่อจะไม่ค่อยออก ของเสียตกใน สิวฝ้าขึ้น มันก็จะไปออกทางปัสสาวะแทน ไตเลยทำงาน หนัก

ระบบหายใจ ระบบหายใจจะเสียตามมา ร่างกายจะเอาออกซิเจนไปแลกเลือดดำให้เป็นเลือดแดงได้ต้องมีความชื้น ถ้าความชื้นน้อยมันจะไม่แลก ทำให้อึดอัด เหมือนอยู่ห้องแอร์แล้วอึดอัด เพราะความชื้นไม่พอ ไม่ใช่ อากาศไม่พอ อากาศมันแห้งเลยเอาความชื้นในตัวเราไป ทำให้ปอดทำงานไม่สะดวก และออกซิเจนไม่ ได้ แนวทางแก้ไข ให้เอาน้ำใส่กะละมังไว้ข้างตัว ยิ่งเป็นน้ำร้อนยิ่งดี ถ้าอึดอัดให้เอาผ้าหนุนเท้าให้สูง เลือดก็จะไหลลงมาได้ จะทำให้นอนสบาย การดื่มน้ำหวานๆ ตอนอยู่ดึกๆ ก็ช่วยได้ แต่อย่าหวานมากจะทำให้อ้วน ถ้าจะให้ดีที่สุดอย่าอยู่ดึก ดึกได้ เป็นครั้งคราวถ้าจำเป็น คนนอนดึกเสียงจะแห้ง เพราะไตมันล้า การใช้สบู่ ให้ใช้สบู่เด็ก เพราะเป็นสบู่อ่อน การกัดจะน้อย อย่าใช้สบู่แรงๆ ให้ฟอกสบู่วันละครั้งก็พอ ถ้าฟอกวันละหลายๆ ครั้งไขมันจะหมด จะทำให้ผิวแตก ถ้าคันมากๆ อันเนื่องมาจากการนอนดึก ถ้า เราไม่ทราบเราจะยิ่งฟอกสบู่หนักเข้าซึ่งไม่ดี ให้ฟอกวันเว้นวัน การดูแลรักษาร่างกายให้ดี จะทำให้นั่งสมาธิได้ดี นั่งได้นาน ไม่คัน ไม่เข้าห้องน้ำบ่อย

14 วิธีขับถ่ายปัสสาวะ เพื่อสุขภาพที่ดี

ไม่น่าเชื่อว่า แม้คนเราจะขับถ่ายปัสสาวะกันมาก ตั้งแต่แรกเกิด แต่หลายคนไม่ทราบวิธีที่ดีที่ทำให้ระบบขับถ่ายปัสสาวะเป็นปกติ วันนี้จะขอเสนอ 14 อุปนิสัยที่ดีในการขับถ่ายปัสสาวะ ....รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหามนะคะ

1. อย่ากลั้นปัสสาวะ เมื่อรู้สึกปวดต้องไปปัสสาวะ - เวลาปัสสาวะไม่ควรรีบร้อนเบ่งมาก เพราะอาจทำให้หูรูดปัสสาวะชำรุดได้

2. ควรถ่ายปัสสาวะให้เหลือน้อยที่สุดในหนึ่งครั้ง นั่นคือเมื่อรู้สึกถ่ายหมดแล้วให้เบ่งต่อ อีกนิดหน่อย ปัสสาวะที่เหลือจะไหลออกมา

3. ไม่ควรบังคับให้ตนเองถ่ายปัสสาวะบ่อย เพราะจะติดเป็นนิสัย เวลาที่เหมาะสมคือ 2-4 ชั่วโมง ควรถ่ายปัสสาวะหนึ่งครั้ง

4. ให้สังเกตการถ่ายปัสสาวะ และน้ำปัสสาวะของตนเองทุกครั้งว่า ต้องเบ่งมากผิดปกติหรือไม่ น้ำปัสสาวะลำพุ่งดีหรือไม่ ลำน้ำปัสสาวะมีขนาดเล็กลงกว่าเดิมหรือไม่ น้ำปัสสาวะมีสีเหลืองใส หรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเป็นอาการผิดปกติที่สามารถบอกโรคได้

5. อาจจะล้างทำความสะอาดหลังปัสสาวะ แต่อย่าให้บริเวณนั้นเปียกชื้น เพราะอาจเกิดเชื้อราได้ ทางที่ดีหลังปัสสาวะทุกครั้ง ควรซับให้แห้ง

6. เมื่อปัสสาวะไม่ออก ต้องหาสาเหตุโดยการไปพบแพทย์ อย่าซื้อยาขับปัสสาวะรับประทานเพราะจะเกิดอันตรายได้

7. เมื่อเข้าสู่วัยกลางคน การบริหารอุ้งเชิงกรานโดยการขมิบ (ฝ่ายหญิงขมิบช่องคลอด ฝ่ายชายขมิบทวารหนัก) วันละ 100 ครั้ง จะช่วยป้องกันอาการปัสสาวะเล็ด

8. ดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 10 แก้ว หรือหนึ่งลิตร จะช่วยให้น้ำปัสสาวะใส มีจำนวนพอดีและป้องกันภาวะปัสสาวะอักเสบ

9. ก่อนมีเพศสัมพันธ์ และหลังมีเพศสัมพันธ์ คุณผู้หญิงควรถ่ายปัสสาวะทิ้ง จะช่วยป้องกันการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

10. น้ำปัสสาวะจะต้องเป็นน้ำเท่านั้น ถ้ามีมูก หนอง น้ำเหลือง เลือดปนออกมา ถือว่าผิดปกติต้องไปพบแพทย์

11. การขับถ่ายปัสสาวะ ต้องขับถ่ายคล่องไม่มีอาการเจ็บปวด ถ้าปัสสาวะแสบขัดลำบากนับว่าเป็นอาการผิดปกติ ต้องไปพบแพทย์อีกเช่นกัน

12. คนเราทุกคนต้องปัสสาวะทุกวัน วันละ 4-6 ครั้ง ถ้าไม่ปัสสาวะเลย 1 วัน ถือว่าตกอยู่ในภาวะอันตราย ต้องไปพบแพทย์โดยด่วน

13 ก่อนเดินทางไกล ก่อนยกของหนัก ควรปัสสาวะทิ้งก่อนทุกครั้ง

14. เมื่อคุณปฏิบัติได้ตามนี้เชื่อเลยละ ว่าคุณจะเป็นอีกคนหนึ่งที่มีอุปนิสัยที่ดีในการขับถ่ายปัสสาวะ ได้แน่นอนค่ะ

กินอาหารเพิ่ม "คอลลาเจน"

พออายุมากขึ้น คอลลาเจนใต้ผิวหนังลดลง ผิวพรรณก็เริ่มเหี่ยวย่น โดยเฉพาะบริเวณใบหน้าที่ปรากฏริ้วรอย ตีนกา อย่างชัดเจน ดังนั้นคนที่รักสวยรักงาม จึงพยายามสรรหาสารพัดวิธีเพื่อเพิ่มคอลลาเจนให้คงความเต่งตึงอยู่เสมอ
 
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ. สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ บอกว่า คอลลาเจนเปรียบเสมือนโครงกระดูกของผิว พออายุมากขึ้น คอลลาเจนมักจะหายไป  ทำให้เกิดริ้วรอย หรือตีนกาความจริงคนเราไม่จำเป็นต้องไปกินคอลลาเจนที่เป็นขวด หรือเป็นเม็ด  ซึ่งมีราคาแพงก็ได้ เพราะกินเข้าไปแล้ว ก็โดนน้ำย่อยทำการย่อย หลังจากนั้นก็จะถ่ายออกมากลายเป็นปัสสาวะที่แสนแพง น่าเสียดายเปล่า ๆ
 
วิธีป้องกันการเสื่อมสลายของคอลลาเจน  ง่าย ๆ คือ หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล ตัวการของความแก่

คนที่ไม่อยากแก่เร็วอย่ากินแป้งและน้ำตาลเยอะ หลีกเลี่ยงแสงยูวี เพราะจะทำให้คอลลาเจนรวน จับกันสะเปะสะปะ แทนที่จะยืดหยุ่นก็เป็นเสมือนยางที่เสื่อมสภาพ ทำให้เปราะและเหี่ยวง่าย ที่สำคัญควรรับประทานอาหารเติมคอลลาเจนให้กับร่างกาย  สำหรับอาหารที่มีคอลลาเจน เช่น
ปลาทะเลน้ำลึก  ปลาทู ปลากระเบน  กระดูกปลาฉลาม ซึ่งคอลลาเจนจะพบในกระดูกของปลา หรือ พบบริเวณตาปลา มีลักษณะเป็นเหมือนวุ้น ๆ ใส ๆ หรือจะเอากระดูกอ่อนไก่ และหมูมาต้มน้ำซุปก็จะได้คอลลาเจนเช่นกัน
 
จะเห็นได้ว่าเวลาต้มขาหมู หรือต้มกระดูกหมู ข้น ๆ พอทิ้งไว้นาน ๆ จะกลายเป็นวุ้น  นั่นแหละคือคอลลาเจน

วิธีสังเกตว่าอันไหนไขมันอันไหนคอลลาเจน คือ ไขมันมักจะลอยอยู่ข้างบน
ส่วนคอลลาเจนจะจมอยู่ข้างล่างเป็นวุ้นใส ๆ  ถ้ากลัว ไม่กล้ากินคอลลาเจนจากสัตว์ ก็ยังมีคอลลาเจนจากพืชผัก ผลไม้  เช่น  สาหร่ายทะเล เทา หรือเตา ซึ่งเป็นสาหร่ายน้ำจืด เห็ดทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นเข็มทอง เห็ดหูหนู หัวบุก  ถั่วเหลือง  แตงกวา ขึ้น  ฉ่าย มะกอก ส้มโอ แก้วมังกร แอปเปิล แต่คอลลาเจนที่พบในพืชผัก ผลไม้ จะน้อยกว่าที่พบในสัตว์
 
ทั้งนี้คอลลาเจนที่ได้จากธรรมชาติจะสามารถดูดซึมได้ดี แต่ต้องมีวิตามินซีอยู่ด้วย ดังนั้นท่องจำไว้ให้ขึ้นใจว่า  ถ้าเรากินคอลลาเจนเข้าไปเพียว ๆ โดยไม่กินอาหารที่มีวิตามินซีตามเข้าไปด้วย

คอลลาเจนจะถูกน้ำย่อยสับ ๆๆๆ กลายเป็นกากออกมาหมด  ถ้ากินเข้าไป 100 อาจจะเหลือแค่ 10 เพราะฉะนั้นถ้ากินคอลลาเจนจากสัตว์ หรือจากอาหารเสริม ที่ไม่มีวิตามินซี ก็ควรกินวิตามินซีร่วมด้วย  เช่น กินผลไม้อย่าง ฝรั่ง หรือกินผักอย่างกระหล่ำปลีก็ได้ ส่วนผลไม้มีวิตามินซีอยู่แล้ว ก็จะช่วยดึงคอลลาเจนตัวมันเองเข้าไปด้วย

14 พฤติกรรม เสี่ยงมะเร็ง

ความน่ากลัวของ มะเร็ง คือ เป็นแล้วมักลาม หายแล้วเป็นใหม่ได้

ความน่ากลัวของ มะเร็ง คือ เป็นแล้วมักลาม หายแล้วเป็นใหม่ได้ ด้วยเหตุนี้ผู้ป่วยหลายคนจึงถูกมะเร็งคร่าชีวิตไปนับไม่ถ้วน แม้จะได้รับการเยียวยารักษาอย่างดีแล้วก็ตาม

สำหรับพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งนั้น นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ บอกว่า มี 14 ประการ ดังต่อไปนี้

1.นอนดึก ทำให้ไม่มีฮอร์โมนต้านมะเร็งหลั่งออกมา นอกจากนี้ยังจะทำให้เกิดโรคร้ายอื่น เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง และโรคอ้วน เพราะการนอนดึก มักจะหิวและต้องหาของขบเคี้ยวมากินแก้ปากว่างกัน

2.คึกสูบบุหรี่และขี้เหล้า ทั้งสองสิ่งนี้ทำให้ปอดและตับทำงานหนัก ทำให้คนที่เสพทั้งแก่เร็วและตายไวได้จากโรคมะเร็ง

3.เอาแต่ไขมันเข้าปากและอยากแต่เนื้อแดง ไขมันอิ่มตัวและโปรตีนจากเนื้อนั้นเป็นแหล่งอาหารชั้นหนึ่งของมะเร็งที่จะใช้เจริญเติบโตได้ไม่แพ้ทารกเกิดใหม่ มัน จะสร้างหลอดเลือดยื่นไปดูดกินเลือดเนื้อของเราจนแทบ ไม่เหลือเลือดอันสมบูรณ์ไปเลี้ยงอวัยวะอื่น ตัวเราจึงผอมเอา ๆ ตรงข้ามกับมะเร็งกาฝากที่โตไว

4.แฝงด้วยเครียดจัด จนมีสารทุกข์หลั่งออกมาหล่อเลี้ยงมะเร็งให้โตขึ้นเร็ว ราวกับน้ำมันราดบนกองไฟให้คุโชนขึ้น

5.ไวรัสตับอักเสบบีและมีภูมิแพ้ที่รักษาไม่หาย ในคนที่ภูมิไม่ดี ไม่มีการออกกำลัง พักผ่อนน้อย โดยเฉพาะผู้อายุมากที่ภูมิต่ำก็จะได้มะเร็งแถมเข้ามาในชีวิตทันที ดังนั้นถ้าเคยมีประวัติไวรัสตับอักเสบบีแล้ว ก็ต้องพยายามเสริมภูมิต้านโรคไว้ให้รู้สึกอยู่เสมอว่าเรามีระเบิดเวลาในกายจะได้ไม่ประมาท

6.ปล่อยกายให้อ้วน สร้างให้เกิดธาตุแก่ออกมาแช่อิ่มอวัยวะภายในร่างกาย และไขมันตามตัวยังสร้างให้เกิดฮอร์โมนกระตุ้นให้มะเร็งแบ่งตัวดีขึ้นด้วย

7.ล้วนขาดวิตามิน ด้วยวิตามินทำหน้าที่ต้านเชื้อมะเร็งให้ดับเป็นจุณไปก่อนที่จะเผยอหน้าขึ้นมาแบ่งตัวปนเปไปในร่างกายเรา

8.กินของร้อนจัดไป เช่น ซดชาร้อน หรือกาแฟร้อนจัดประเภทควันฉุย จะไปลวกให้เซลล์หลอดอาหารอักเสบอยู่ทุกบ่อย เมื่ออักเสบเป็นอาจิณก็จะมีโอกาสเปลี่ยนไปเป็นเซลล์มะเร็งง่ายขึ้น

9.ทำให้คอเลสเตอรอลลดต่ำ พบว่า ถ้าต่ำเกินไปก็ไม่ดี มีผลกับภูมิคุ้มกันที่แย่ลง เมื่อภูมิต่ำแล้วก็จะหมดปัญญาต้านเซลล์มะเร็งที่จะเข้ามาหา

10.ทำกลั้นปัสสาวะ น้ำปัสสาวะเป็นของเสียยิ่งอยู่นิ่งเป็นเวลานานจากการอั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำนิ่งในคลองแสนแสบซึ่งทิ้งไว้ไม่นานจะกลายเป็นน้ำเน่า แต่ถ้าเน่าในกระเพาะฉี่เราก็มีผลให้เกิดเซลล์มะเร็งงอกขึ้นมาได้

11.ปะทะเค็มจัด พบว่า สิ่งมีชีวิตที่ทานอาหารเค็มมีอัตราการเกิดมะเร็งสูงกว่า โดยเฉพาะในอาหารจำพวก เนื้อเค็ม เนื้อแห้ง หมูแดง ที่นอกจากเค็มแล้วยังมีสีแดงดีจากดินประสิวอีกด้วย

12.ประวัติมะเร็งในครอบครัว มะเร็งร้ายในครอบครัวบางอย่างสามารถถ่ายทอดมาทางพันธุกรรมได้ แม้จะไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์แต่ต้องรับไว้ด้วยความไม่เต็มใจ เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่ถ้าป้องกันไว้ดี ๆ แล้วบางทีก็ไม่เกิดขึ้นมา

13.ตัวตากแดดบ่อย แสงแดดเป็นรังสี ที่กระตุ้นอณูเซลล์ของคุณให้สะดุ้งตกใจจนเครื่องในรวนหมด เมื่อเครื่องในรวนแล้วก็ไม่สามารถที่จะคุมการแบ่งตัว ได้ ทำให้แบ่งต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งกลายเป็นก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ

14.ไม่ค่อยช่วยใคร ถ้าพูดให้ง่ายเข้า คือ เห็นแก่ตัวและไม่ค่อยได้ทำบุญนั่นเอง เพราะเมื่อใดก็ตามที่ได้หมั่นช่วยเหลือผู้อื่นจนชินแล้วเรามักไม่ค่อยได้นึกถึงตัวเองนัก และเมื่อไม่หมกมุ่นกับตัวเองแล้วก็ไม่ค่อยเกิดความ อยาก อันนำไปสู่ความเครียดร้อนอกร้อนใจ หรือถ้าไม่มีเวลาก็แค่อนุโมทนากับบุญที่เราได้พานพบก็ทำให้มี สารสุข หลั่งออกมาเสริมภูมิรู้สู้มะเร็งแล้ว.

สวัสดีค่ะ

ขอบคุณมากๆเลยค่ะกับสาระดีๆแบบนี้ เพราะถูกเตือนให้ดูแลหุ่นให้ดูดีเสมอ แต่ตัวเองยังรู้สึกว่ายังผอมไปนิด (ลองคำนวณดูก็เป็นจริงๆค่ะ)ต้องขอขอบคุณเหลือเกินค่ะ จะได้ไปดูแลคนรอบข้างที่เรารักด้วยไงคะ

ครูแป๋ม

ความรู้เรื่องผ้าอนามัย คะ ถ้าใช้ไม่ดีมีสารเคมีเข้าจุดซ่อ­นเร้นได้นะ

*ผ้าอนามัย sanitary towel* (U.K) หรือ sanitary napkin (U.S) หมายถึง แผ่นซับใช้แล้วทิ้ง สำหรับสตรีใช้ซับเลือดประจำเดือน ทั้งนี้ไม่รวมถึง incontinence pads ซึ่งใช้โดยผู้หญิงที่มีปัญหาการควบคุมกระเพาะปัสสาวะ ผ้าอนามัย ชนิดสอดไม่เป็นที่นิยมใช้ ส่วนผ้าอนามัยชนิดที่ใช้ภายนอกซึ่งเรียกกันโดยทั่วไปว่า maxi pad ซึ่งเป็นที่นิยมใช้กันอย่างกว้างขวางทั่วโลก เป็นแผ่นทำด้วยวัสดุที่มีคุณลักษณะซึมซับได้ดี หุ้มด้วยผ้าสำลี (quilted cotton) *Maxi pad แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

* 1. Ultra thin (ชนิดบาง) ซึ่งเป็นทีนิยมของวัยรุ่น 
   2. Maxi (ชนิดหนา) ดูดซับได้มากกว่า และแบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ

  1. Regular (ปกติ) สำหรับการไหลของเลือดประจำเดือนปานกลาง   
  2. Super (พิเศษ) สำหรับการไหลของเลือดประจำเดือนมากกว่าปกติ และมีปัญหาทำให้เปรอะเปื้อนที่ด้านหน้าและ ด้านหลังของกางเกงใน 3. Overnight ออกแบบมาสำหรับดูดซับเลือดประจำเดือนที่ไหลรินออกมาขณะนอนหลับ Maxi ทั้ง 3 แบบ
โดยการใส่น้ำหอมในแผ่นผ้าอนามัยเพื่อดับกลิ่นเลือดประจำเดือนมีการใช้โลชั่นที่­มีส่วนผสมของ chitosan material ซึ่งมีขนาด particle มากกว่าประมาณ 250 ไมครอน ไม่เกิน ร้อยละ 1 ใส่ใน ผ้าอนามัยเพื่อต่อต้านเชื้อจุลินทรีย์และลดกลิ่นแผ่นผ้าอนามัยใช้ได้นาน 6 ชั่วโมง บางครั้งอาจใช้ได้ 4-8 ชั่วโมง ขึ้นกับคุณภาพในการดูดซับและการไหลของเลือดประจำเดือน *ผ้าอนามัยที่ใช้แล้ว ให้ห่อด้วยกระดาษชำระ และทิ้งในถังขยะ อย่าทิ้งในโถส้วม*เพราะจะทำให้ส้วมอุดตัน *นอกเหนือจากแผ่นผ้าอนามัย ยังมีผลิตภัณฑ์เรียกว่า **pantiliners* หรือ

แผ่นอนามัย มีลักษณะเป็นแผ่นบางขนาดเล็กใช้ดูดซับของเหลว ที่ไหลออกมาทางช่องคลอดเป็นประจำทุกวัน หรืออาจใช้ในวันที่ประจำเดือนกำลังจะหมด หรือใช้เป็น backup (แผ่นกัน) สำหรับผู้ที่ใช้ผ้าอนามัยชนิดสอด แผ่นอนามัยช่วยให้สตรีรู้สึกสดชื่น และแห้งไม่ว่าจะเป็นวันใดในแต่ละเดือน*

ทุเรียน กินอย่างไรไม่อ้วน แถมเป็นยาถ่ายพยาธิชั้นยอด ทุเรียน กินอย่างไรไม่อ้วน เผยช่วยชำระล้างขยะในลำไส้ แถมเป็นยาถ่ายพยาธิชั้นยอด

        คงสงสัยกันสิว่า กินกันอย่างไรล่ะที่ไม่ให้อ้วน ตำราไทยบอกไว้ให้กินเป็นยาถ่ายพยาธิปฏิบัติไม่ยากเลย ง่ายๆ เพียงแค่ตื่นนอนตอนเช้าๆ ยามรุ่งอรุณ ก็ราวๆ ประมาณ 05.00 น. หลังจากล้างหน้า แปรงฟัน เรียบร้อย เริ่มกินทุเรียนได้ทันที กินพอประมาณ อาจสักครึ่งลูกย่อมๆ หรืออาจมาก

      -น้อยกว่านั้น ตามน้ำหนัก หรือความอ้วน ความผอม คือ อ้วนก็มากหน่อย ผอมก็น้อยลง ไม่ใช่กินเพื่ออิ่ม แต่กินเป็นยา แล้วดื่มน้ำอุ่นตามไปมากๆควรกินสองวันติดต่อกันและงดอาหารในทั้งสองเช้านั้น ความร้อนในสารกำมะถันธรรมชาติ และกากใย จากพูทุเรียน จะออกฤทธิ์ชำระล้างขยะในลำไส้ออกได้อย่างเกลี้ยงเกลา รวมทั้งเป็นยาถ่ายพยาธิต่างๆ อีกทั้งยังเป็นยาถ่ายในผู้ป่วยน้ำเหลืองเสีย ซึ่งมักเกิดแผลจากแมลงกัดอยู่เสมอทุเรียนให้ประโยชน์คณานับที่แพทย์แผนไทย มีอาทิเนื้อสีเหลือง

      - รสหวานร้อน ทำให้เกิดความร้อน แก้โรคผิวหนัง ทำให้ฝี

      -หนอง แห้ง เนื้อทุเรียนมีฤทธิ์ขับพยาธิเปลือกหนาม

      - รสเฝื่อน สับแช่ในน้ำปูนใสใช้ชะล้างแผลที่เกิดจากน้ำเหลืองเสี ย แผลพุพอง เผาทำถ่าน บดจนเป็นผง คลุกในน้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันงา ลดความบวมพองจากคางทูม และเผาเอาควันไล่ยุงและแมลงใบทุเรียน

      - รสเย็นและเฝื่อน ใช้ต้มน้ำอาบแก้ไข้ แก้ดีซ่านและเป็นส่วนผสมในยาขับพยาธิรากจากต้น

      - ตัดเป็นข้อๆ ต้มให้เดือด ดื่มบรรเทาอาการไข้และรักษาอาการท้องร่วงนอกจากทุเรียนจะให้คุณอเนกอนันต์ตามสรรพคุณยาที่กล่าวมา ยังเป็นไม้ที่มีความเชื่อตามวัฒนธรรมประเพณีไทย ตั้งแต่กรุงศรีอยุธยากระทั่งจนถึงปัจจุบัน คือ เป็นไม้มงคล ซึ่งตามตำราปลูกต้นไม้ตามอักษรนาม ประจำทิศว่าไว้..

       “ทิศที่ควรปลูกต้นไม้มงคล ทิศบูรพา ให้ปลูกไผ่ กุ่ม และมะพร้าว ทิศอาคเนย์ ให้ปลูกต้นยอและสารภี ทิศทักษิณ ให้ปลูกมะม่วง กับ มะพลับ ทิศหรดี ให้ปลูกชัยพฤกษ์ สะเดา ขนุน และพิกุล ทิศประจิม ปลูกต้นมะขาม จะช่วยป้องกันความถ่อย ถ้อยความและผีร้ายมิให้มากล้ำกรายอีกทั้งต้นมะขามเป็นต้นไม้ที่มีชื่อเป็นมงคลนาม ถือเป็นเคล็ดว่าจะทำให้มีแต่คนเกรงขาม ยำเกรง”

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์ 006)เลขที่30

10 อาหารสุขภาพดีได้ไม่ยาก

1. สำรองผลไม้ในตู้เย็น ผักผลไม้ที่ควรสำรองในตู้เย็นอย่าให้ขาด ได้แก่ กะหล่ำปลี แครอท ส้ม แอปเปิ้ล ซึ่งนอกจากจะมีประโยชน์มากสำหรับสาว ๆ ที่กำลังไดเอตแล้ว การรับประทานผัก ผลไม้เป็นประจำ ยังช่วยลดความเสี่ยงจากโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย

2. เหงือกดี ด้วยน้ำชายามเช้า องค์การอาหารและยาของสหรัฐและสวีเดน บอกว่า การบ้วนปากในช่วงเช้าด้วย น้ำชา จะช่วยลดแบคทีเรียในช่องปากได้ เนื่องจากสารโพลีฟีนอล จะช่วยยับยั้งการ เจริญเติบโตของแบคทีเรีย ที่เป็นต้นเหตุของฟันผุ ส่วนการดื่มชาหลังมื้ออาหารก็ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเหงือกได้

3. ดื่มน้ำมากขึ้น การดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 5 แก้ว จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง ลำไส้ใหญ่ และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะได้เกือบ 50 % เชียวล่ะ

4. เปลือยเท้า คลายเครียด การย่ำเท้าเปล่า ไปบนทรายนุ่ม ๆ จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย เนื่องจากการเดินเท้า เปล่า จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด

5. รับแสงแดดอ่อน มีข้อมูลจากการวิจัยระบุว่า ผู้หญิงที่ไม่ค่อยโดนแดดเอาเสียเลย มีโอกาสที่จะเป็น มะเร็งเต้านมมากกว่าผู้หญิงที่อยู่ในเมืองที่มีแดด เนื่องจากแสงแดดช่วยสังเคราะห์ วิตามินดีในร่างกาย แต่การโดนแดดจัดในช่วงบ่ายๆ ก็เป็นอันตรายเช่นกัน ควร รับแดดอ่อนๆ ในช่วงเย็นจะดีกว่า

6. หันมาทานขนมปังโฮลวีทกันเถอะ สำหรับมื้อว่างยามบ่าย แทนที่จะไปคว้าคุ๊กกี้หรือเค็กช็อกโกแลต ซึ่งเพียบด้วย แคลอรี่ เปลี่ยนมาทานขนมปังโฮลวีทสัก 2 แผ่นรับรองว่า จะช่วยให้คุณรู้สึกมีกำลัง วังชาแล้ว ยังไม่อ้วนอีกด้วยล่ะ

7. สลัดปลาทูน่าเพิ่มความจำ ใครที่รู้ตัวว่า เริ่มจะหลง ๆ ลืม ๆ ลองหันมาทานสลัดปลาทูน่า หรืออาหารเมนูปลา รวมทั้งเพิ่มอาหารที่มีวิตามินบี2 เช่น ไข่ นม ถั่วเหลือง นอกจากจะช่วยให้อารมณ์ดี แล้ว ยังช่วยเพิ่มพลังความจำให้กับสมองได้

8. เดินไว ๆ ช่วยให้สุขภาพหัวใจแข็งแรง คนที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกาย แต่ยังห่วงใยสุขภาพของตัวเองอยู่ ลองใช้วิธีเดิน ให้ไวขี้นอีกนิด อาจใช้เวลาเดินในช่วงเช้า หรือหลังเลิกงาน เดินไปที่ป้ายรถเมล์ สักสามสี่ป้าย หรือเดินขึ้นลงบันไดให้ได้วันละ 20 นาที จะช่วยบริหารหลอดเลือด หัวใจให้แข็งแรง และยังทำให้หุ่มสลิมสมส่วนเป็นของแถม

9. เติมไขมันดี ๆ ให้ร่างกาย ไขมันนั้น ไม่ได้เป็นผู้ร้ายซะทีเดียว เพระไขมันมีอยู่หลายชนิด ไขมันที่เป็นมหา มิตรกับร่างกายน่ะ หากร่างกายขาดแคลน อาจมีผลต่อการดูดซึมวิตามินเอ ดี อี เค และทำให้รู้สึกอ่อนเพลียได้ เลือกรับประทานอาหารที่มีไขมันชนิดไม่อิ่มตัว จากน้ำ มันมะกอก น้ำมันถั่ว และไขมันโอเมก้า 3 จากปลา ซึ่งเป็นไขมันดี ๆ ที่ไม่เพียงให้ พลังงาน ทำให้มีเรี่ยวแรงแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคมะเร็งและหัวใจอีกด้วย

10. Just Do Nothing ลองหยุดภารกินวุ่น ๆ สักสัปดาห์ละวัน หรือวันละ 1 ชั่วโมง ให้ปลอดจากเรื่องงาน และคนรอบข้าง ใช้เวลาอยู่คนเดียวตามลำพัง จะช่วยทำให้คุณรู้สึกสงบ เป็นเวลาที่ จะได้เรียนรู้วิธีหยุดพักใจ อาจจะฟังเพลงเงียบๆ คนเดียว หรืออาบน้ำอุ่นๆ แล้วอ่าน หนังสือเล่มโปรด ค่อยๆ จิบน้ำชาชมดอกไม้ เป็นการเติมความรื่นรมย์ด้านจิตใจทำ ให้คุณสดชื่น และมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ และยังห่างไกลจากโรคความรีบร้อนอัน หมายถึงโรคที่ทำให้คุณตื่นตัว และเร่งรีบ จนแทบไม่มีเวลาสำหรับตัวเอง

สาเหตุที่คนเราสุขภาพไม่ดี

สาเหตุหลักมาจากการโภชนาการที่บกพร่องและระบบดูดซึม

อาหารของร่างกายทำงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ

ทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารเข้าไปใช้ได้อย่างไม่เต็มที่

ถึงแม้จะเราจะทานอาหารปริมาณมากก็ตามแต่เนื่องจาก

ว่าอาหารที่เรารับประทานเข้าไปนั้น ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการตามที่ร่างกายเราต้องการ

ซึ่งส่วนใหญ่อาหารที่ทานนั้น

จะมีแต่แป้งและไขมันเป็นส่วนมาก เมื่อร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่ต้องการ

ประสิทธิภาพการทำงานของร่างกาย

จะทำงานเสื่อมสภาพลงเรื่อย ๆ ปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ไม่ว่าโรคอ้วน โรคผอม

ไม่แข็งแรง ปวดหัว เบาหวาน โรคหัวใจ

ไขมันในเส้นเลือด ความดัน และอื่น ๆ

เป็นผลมาจากการที่ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่เพียงพอและถูกต้อง

อีกอย่างหนึ่งคือระบบดูดซึมที่ทำงานไม่มีประสิทธิภาพเนื่องจาก

ในลำไส้ของเราจะมีสิ่งสกปรกสะสมอยู่ตามผนังลำ

ไส้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ระบบดูดซึมทำงานได้เพียง 30 - 50% เท่านั้น

หากเราทานอาหารเข้าไป 100%

ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้เพียง50% เท่านั้น

ดังนั้นเราจะได้รับสารอาหารที่ไม่ครบตามที่ร่างกายต้องการ อย่างแน่นอน

จึงเป็นผลให้ร่างกายไม่สามารถทำงานเต็มประสิทธิภาพอย่างที่ควรจะเป็น

สาเหตุที่ทำให้คนเราอ้วน

สาเหตุหลักมาจากระบบเผาผลาญของร่างกายต่ำเกินไป และระบบดูดซึมอาหารของร่างกายทำงานอย่าง ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารเข้าไปใช้ได้อย่างไม่เต็มที่ ยกตัวอย่างเช่นอาหารจำพวกฟาสต์ฟูดที่เราทานเข้าไปนั้น ถึงแม้จะมีปริมาณมากก็ตามแต่มันก็ทำให้เราอิ่มตัวได้เพียงชั่วขณะ เนื่องจากว่าอาหารที่เรารับประทานเข้าไปนั้นมีปริมาณมากก็จริงแต่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการตามที่ร่างกายเราต้องการซึ่งส่วนใหญ่อาหารที่ทานนั้นจะมีแต่แป้งและไขมันเป็นส่วนมาก เมื่อร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่ต้องการ ร่างกายก็จะเรียกร้องให้เราทานอาหารเพิ่มขึ้นจนกว่าจะได้รับสารอาหารที่เพียงพอ อีกอย่างหนึ่งคือระบบดูดซึมที่ทำงานไม่มีประสิทธิภาพเนื่องจากในลำไส้ของเราจะมีสิ่งสกปรกสะสมอยู่ตามผนังลำไส้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ระบบดูดซึมทำงานได้เพียง 30 - 50% เท่านั้น หากเราทานอาหารเข้าไป 100% ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้เพียง 50% เท่านั้น อีก 50% ที่เหลือจะไปสะสมอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเนื่องจากคนที่น้ำหนักเกิน ระบบการขับถ่ายทำงานด้อยประสิทธิภาพอยู่แล้ว และหากเราต้องการให้ร่างกายได้รับเต็ม 100% เราต้องทานเป็น 200% จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนเราน้ำหนักเกิน

สาเหตุที่ทำให้คนเรา ผอมเกินไป

สาเหตุหลักมาจากระบบเผาผลาญของร่างกายดีเกินไปแต่ระบบดูดซึมอาหารของร่างกายทำงานอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารเข้าไปใช้ได้อย่างไม่เต็มที่ และขับถ่ายออกหมด สารอาหารที่รับประทานเข้าไปนั้นอาจจะมีปริมาณมากก็จริงแต่ไม่มีคุณค่าทางโภชนาการตามที่ร่างกายเราต้องการ ดังนั้นถึงแม้ว่าจะทานอาหารมากขนาดไหนก็ตามแต่เมื่ออาหารเหล่านั้นไม่ใช่อาหารที่ร่างกายต้องการ และระบบเผาผลาญยังทำงานอย่างรวดเร็ว ร่างกายจึงไม่มีสารอาหารเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกาย จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนเราไม่สามารถทำให้ร่างกายอ้วนขึ้นมาได้ อีกอย่างหนึ่งคือระบบดูดซึมที่ทำงานไม่มีประสิทธิภาพเนื่องจากในลำไส้ของเราจะมีสิ่งสกปรกสะสมอยู่ตามผนังลำไส้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ระบบดูดซึมทำงานได้เพียง 30 - 50% เท่านั้นแต่ระบบขับขับถ่ายทำงานดี หากเราทานอาหารเข้าไป 100% ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้เพียง 50% เท่านั้น ที่เหลือจะถูกขับถ่ายออกหมด

ธนวัฒน์ ผัดธิ เลขที่ 48

การมีสุขภาพที่ดีมิใช่การมีร่างกายที่แข็งแรงเท่านั้น แต่ต้องมีสุขภาพจิตที่ดีมีความสุข มีความพอเพียง ประชาชนร่วมกันสร้างและมีครอบครัวที่มีความสุข สามารถทำงานและอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้เป็นอย่างดี และต้องพัฒนาให้ประชาชนมีคุณธรรม เช่น มีความกตัญญู ซื่อสัตย์ สามัคคี มีความเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

ธนวัฒน์ ผัดธิ เลขที่ 48 (ฟาร์)

การมีสุขภาพที่ดีมิใช่การมีร่างกายที่แข็งแรงเท่านั้น แต่ต้องมีสุขภาพจิตที่ดีมีความสุข มีความพอเพียง ประชาชนร่วมกันสร้างและมีครอบครัวที่มีความสุข สามารถทำงานและอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้เป็นอย่างดี และต้องพัฒนาให้ประชาชนมีคุณธรรม เช่น มีความกตัญญู ซื่อสัตย์ สามัคคี มีความเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

ธนวัฒน์ ผัดธิ เลขที่ 48 (ฟาร์)

เมื่อวานเต้นเหนี่อยมากเลยแต่ก็ดีครับ ได้ออกกำลังกายกับเพื่อนๆๆสนุกดี

เบญจวรรณ หล้าแปง(ม,ฟาร์เลขที่ 40)

คนสายตาสั้น ควรสนใจวิตามินใดบ้าง

อย่าคิดว่าเมื่อสายตาสั้นแล้วก็จะต้องสั้นมากขึ้นเรื่อยๆ เสมอไป เนื่องจากว่าเซลล์ประสาทตานั้นจะไม่เสื่อมลงไปถ้าได้รับการบำรุงที่ดี โดยมากเราจะเคยได้รู้เพียงว่าคนที่รับ ประทานวิตามินเอเป็นประจำสม่ำเสมอจะมีดวงตาสวย สายตาดี เพราะวิตามินเอเกี่ยวข้องกับสายตาโดยตรงอยู่แล้ว แต่ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ค้นคว้าพบว่าวิตามินบี1 และวิตามินอีมีคุณสมบัติช่วยบำรุงเรื่องตาของคนเราได้เป็นอย่างดี การขาดวิตามินอีทำให้จอรับภาพของตาเสื่อม การขาดวิตามินบี1 ประสาทที่ทำหน้าที่นำภาพไปสู่สมองก็จะเกิดผิดปกติ มีผลทำให้ประสาทเสื่อม อาหารที่เป็นแหล่งวิตามินอี และ บี1 ที่ดี ได้แก่ ตับ นม ถั่วลิสง ถั่วต่างๆ ไข่แดง ข้าวซ้อมมือ เต้าหู้ เนื้อหมู งา กระเทียม และสาหร่าย

เลซิติน บำรุงหัวใจ บำรุงประสาท

แหล่งอาหารที่มีเลซิติน ได้แก่ ตับ เนื้อวัว ไข่ เนยแข็ง ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต ข้าวสาลีเป็นต้น เลซิตินจะให้ประโยชน์แก่ร่างกายในการบำรุงสมองอย่างดีเยี่ยมที่สุด นอกจากนั้นยังช่วยละลายไขมันในหลอดเลือด ช่วยบำรุงประสาท เพราะเลซิตินเป็นส่วนประกอบของแผ่น เนื้อเยื่อบางๆ ที่หุ้มรอบเส้นใยประสาทและยังเป็นตัวที่จำเป็นต้องการสร้างสารเคมีบางอย่างในระบบประสาท ผิวพรรณของคุณจะสดใส มีน้ำมีนวล ปราศจากรอยด่างดำ ริ้วรอยจุดกระต่างๆ รอยดำคล้ำรอบขอบตาจะหมดไป เลือดลมดี ไม่เหนื่อยง่าย อารมณ์แจ่มใส ก็ด้วยเลซิตินซึ่งมีอยู่มากเป็นพิเศษในถั่วเหลือง

น้ำผึ้งก็เป็นยาอายุวัฒนะ

สารอาหารสำคัญๆที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในน้ำผึ้งก็คือ โปรตีน วิตามินบี1 บี2 บี5 และบี12 ไบโอติน เหล็ก ทองแดง แมงกานีส ซิลิคอน แคลเซียม โซเดียม โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส กำมะถัน โบรมีน และคลอรีน น้ำผึ้งมีสรรพคุณทางยา ช่วยบำรุงร่างกายให้กระปรี้กระเปร่า แข็งแรง สดชื่น เพิ่มพลัง แก้เบื่ออาหาร บำรุงหัวใจ บำรุงข้อต่างๆ ช่วยให้นอนหลับสบาย น้ำผึ้งจัดเป็นอาหารเสริมที่ดีที่คุณควรสนใจ หมั่นรับประทานเป็นประจำทุกๆ สัปดาห์ก็จะช่วยบำรุงร่างกายให้มีสุขภาพดีอย่างที่คุณพิสูจน์ได้

ตาสว่าง สมองโลดแล่น ด้วยสะระแหน่

ในอาหารจานยำหรือจานผัดที่มีสะระแหน่โรยมาด้วยนั้นคุณควรจะรับประทานมากๆ เพราะ สะระแหน่ใบเล็กๆ กลิ่นแรงๆ นี่แหละมีคุณค่าสารอาหารไม่ธรรมดาเลยทีเดียว สะระแหน่มีเมนทอลและน้ำมันหอมระเหย จึงช่วยกระตุ้นปลายประสาทผิวหนัง ช่วยขับเหงื่อ ลดคลาย อาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ แก้อาการเป็นหวัดคัดจมูก แก้ร้อนใน บำรุงสมองให้ปลอดโปร่งและช่วยให้ตาสว่าง คึกคักสดชื่น ไม่ง่วงซึม

เป็นสิวต้องใส่ใจสุขภาพทั้งหมด

คนส่วนใหญ่เมื่อเป็นสิวแล้วมักจะสนใจดูแลแก้ไขปัญหาสิวเฉพาะที่ผิวหน้าเท่านั้น ซึ่งความ จริงแล้วสาเหตุที่เกิดสิวมาจากการไม่ดูแลสุขภาพของตัวเองนั้นเอง ถ้าคุณมีพฤติกรรมใดต่อไปนี้ นั่นล่ะคือปัจจัยสำคัญที่นำสิวมาสู่ใบหน้าของคุณ อดอาหารเพื่อลดน้ำหนัก รับประทานอาหารรสหวานจัดหรือมันจัด ติดกาแฟ ชา เหล้า เบียร์ น้ำอัดลม และบุหรี่ รับประทานอาหารที่ปนเปื้อนสารเคมี เช่น ของหมักดอง อาหารกระป๋อง รับประทานอาหารเร่งรีบ ไม่เคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน ไม่ค่อยรับประทานผักสดๆ ผลไม้สดๆ จนถ่ายไม่เป็นเวลา หรือท้องผูก ดังนั้นหากคุณเลิกนิสัยดังกล่าวนี้แล้วรับประทานแต่ผักสด ผลไม้ อาหารรสไม่หวานจัด เลิกขนม ของ หวาน น้ำอัดลมต่างๆ การรักษาด้วยการล้างหน้าบ่อยๆ คุณจะได้ผลที่น่าพอใจแน่นอน

กาญจนา ปาลี วิทย์สุข

หลักการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ เริ่มต้นด้วยวิธีการที่ง่ายๆและปริมาณน้อยๆตามขั้นตอน

• ควรออกกำลังกายทุกส่วนของร่างกาย โดยกระทำอย่างต่อเนื่อง

• การออกกำลังกายควรประกอบด้วย 3 ส่วนคือ ช่วงอบอุ่นร่างกาย ช่วงฝึกจริง และช่วงผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

• การออกกำลังกายควรคำนึงถึงสภาพของร่างกาย เหมาะสมกับเพศ และวัย

• ควรมีนิสัยและสวัสดินิสัยที่ดีในการออกกำลังกาย

• งดการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา สารกระตุ้นหรือสิ่งเสพติด

การพักผ่อนและนอนหลับ

การพักผ่อน (Rest) ก็คือ การพักระหว่างการทำงานหรือการเล่น การนอนหลับ (Sleep) ปกติ ผู้ใหญ่นอนประมาณ 8 ชั่วโมง เด็กทารกนอนประมาณ 20-22 ชั่วโมง เด็ก 4-12 ปี ต้องการนอนหลับ 10 ชั่วโมง วัยรุ่นนอนประมาณ 8-10 ชั่วโมง

น.ส.ปาริชาติ กันทะวงค์ เลขที่10 มฟาร์อีสเทอร์น

สุขบัญญัติ 10 ประการ

1. ดูแลรักษาร่างกายและของใช้ให้สะอาด

2. รักษาฟันให้แข็งแรงและแปรงฟันทุกวันอย่างถูกต้อง

3. ล้างมือให้สะอาดก่อนกินอาหารและหลังขับถ่าย

4. กินอาหารสุก สะอาด ปราศจากสารอันตรายและหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด สีฉูดฉาด

5. งดบุหรี่ สุรา สารเสพติด การพนันและการสำส่อนทางเพศ

6. สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวให้อบอุ่น

7. ป้องกันอุบัติเหตุด้วยการไม่ประมาท

8. ออกกำลังกายสม่ำเสมอและตรวจสุขภาพประจำปี

9. ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอ

10.มีสำนึกต่อส่วนรวมร่วมสร้างสังคม

น.ส.กิตติยา จำปาคำ ม.ฟาร์อีส เลขที่ 5

เบาหวานระหว่างตั้งครรภ์

สิ่งที่รอคอยหลังจากแต่งงานมีครอบครัวแล้วก็คือ การมีลูกไว้สืบสกุล หรือเป็นโซ่ทองคล้องใจของพ่อ-แม่ หรือบางครอบครัวที่มีความพร้อม แม้จะมีลูกคนหนึ่งแล้วก็ตาม ก็ยังอยากจะมีเพิ่มมากขึ้นอีกเป็น 2 หรือ 3 คน และสิ่งที่อยากเห็นก็คือลูกที่เกิดมาพร้อมกับสุขภาพที่สมบูรณ์ แข็งแรง และแม่ก็ต้องดูแลตนเองอย่างดีให้แข็งแรงตลอดระยะที่ตั้งครรภ์ แต่ก็พบว่าหลายคนมีภาวะแทรกซ้อนในระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งมีผลไปถึงลูกที่จะเกิดมา นั่นก็คือ “การเป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์”

ความเปลี่ยนแปลงเมื่อตั้งครรภ์

หญิงตั้งครรภ์ทุกคนมีความเปลี่ยนแปลงทั้งร่างกาย จิตใจ และการกินอาหาร บางคนมีอาการแพ้ท้อง กินอาหารได้น้อย แต่บางคนไม่มีอาการแพ้ กลับกินได้มากขึ้นกว่าปกติ น้ำหนักตัวจึงเปลี่ยนแปลงไปตามการกินอาหารของแม่แต่ละคนด้วย ซึ่งพบว่าหญิงตั้งครรภ์บางคนมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ทั้งๆ ที่ไม่เคยมีประวัติเป็นเบาหวานมาก่อน ทั้งนี้เพราะร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงสร้างฮอร์โมนหลายชนิด บางชนิดมีผลต้านการทำงานของอินซูลิน ตับอ่อนจึงทำงานหนักมากขึ้นในการผลิตอินซูลินให้เพียงพอกับภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูงกว่าปกติ และทำให้เป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์

ผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์

มีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ คือ

- อายุ 25 ปีขึ้นไป

- มีภาวะอ้วน โดยดูจากดัชนีมวลกาย ถ้าดัชนีมวลกาย (BMI) ก่อนตั้งครรภ์ตั้งแต่ 25 กิโลกรัม/ตารางเมตรขึ้นไป (ดัชนีมวลกายคำนวณได้จากน้ำหนักตัวเป็นกิโลกรัม หารด้วยส่วนสูงเป็นเมตรยกกำลังสอง)

- บุคคลในครอบครัวหรือญาติสายตรงเป็นโรคเบาหวาน

- มีประวัติการตั้งครรภ์และการคลอดที่ผิดปกติ เช่น แท้ง ตายตอนคลอด เคยคลอดบุตรโดยน้ำหนักแรกคลอดมากกว่า 4 กิโลกรัม หรือเคยตรวจพบน้ำตาลในปัสสาวะ

ถ้าอยู่ในกลุ่มเสี่ยงดังกล่าวควรมีการตรวจร่างกายตั้งแต่ฝากครรภ์ครั้งแรก และตรวจอีกครั้งเมื่อครรภ์อายุ 24-28 สัปดาห์

ปัญหาระหว่างตั้งครรภ์เมื่อเป็นเบาหวาน

ถ้าตรวจพบว่าเป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ควรพบแพทย์เพื่อรับการดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะอาจเกิดปัญหาตามมา คือ

- แม่เสี่ยงต่อครรภ์เป็นพิษ และเกิดภาวะแท้ง

- เกิดปัญหาในการคลอด ต้องผ่าตัดหรือคลอดก่อนกำหนดได้

- ลูกในครรภ์ตัวโต หลังคลอดเมื่อโตขึ้นอาจเป็นโรคอ้วน เบาหวาน หรือผิดปกติอื่นๆ ได้

- มีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เช่น ลูกมีหัวใจโต ตัวเหลือง มีน้ำตาล แคลเซียม และแมกนีเซียมต่ำในระยะแรกคลอด

- แม่อาจเป็นเบาหวานได้หลังคลอด

อาหารระหว่างตั้งครรภ์

อาหารหญิงตั้งครรภ์ที่เป็นเบาหวานและไม่เป็นเบาหวานไม่แตกต่างกัน เพียงแต่ผู้ที่เป็นเบาหวานต้องระวังปริมาณอาหาร โดยเฉพาะอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตจำพวกข้าว แป้ง น้ำตาล เพราะเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงมากกว่าสารอาหารตัวอื่นๆ จึงต้องควบคุมปริมาณที่กินเพื่อให้มีระดับน้ำตาลในเลือดใกล้เคียงกับหญิงตั้งครรภ์ทั่วไป หากควบคุมด้วยอาหารไม่ได้ผลอาจต้องได้รับอินซูลินควบคู่ไปด้วย

เนื่องจากการกินอาหารเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้น้ำหนักตัวของหญิงตั้งครรภ์เพิ่มขึ้นหรือลดลง จึงต้องดูแลการเพิ่มน้ำหนักด้วย โดยพิจารณาจากน้ำหนักตัวก่อนตั้งครรภ์ ดังนี้

น้ำหนักตัวก่อนตั้งครรภ์

น้ำหนักตัวที่ควรเพิ่ม

น้ำหนักต่ำกว่าปกติ (BMI น้อยกว่า 18 กก./ม.2)

13-16 กิโลกรัม

น้ำหนักตัวปกติ (BMI ระหว่าง 18-22.9 กก./ม.2)

10-14 กิโลกรัม

น้ำหนักตัวมากกว่าปกติ(BMI มากกว่า 25 กก./ม.2)

6-9 กิโลกรัม

โดยเฉลี่ยใน 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ควรเพิ่มน้ำหนักเพียง 1- 2.5 กิโลกรัม หลังจากนั้นควรเพิ่มประมาณ 0.25-0.5 กิโลกรัม/สัปดาห์

การกินอาหารควรยึดหลักโภชนบัญญัติ 9 ประการของกระทรวงสาธารณสุข โดยกินอาหารเป็นมื้อเล็กๆ วันละหลายมื้อ แบ่งเป็น 3 มื้อหลัก และมีอาหารว่างระหว่างมื้อ พลังงานและปริมาณอาหารมื้อเช้าน้อยกว่ามื้อเที่ยงและเย็น อาหารว่างควรมีพลังงานน้อยกว่าอาหารมื้อหลัก กินอาหารตรงเวลา ไม่งดมื้อใดมื้อหนึ่ง ถ้ามีน้ำตาลต่ำในตอนกลางคืนควรมีอาหารว่างก่อนนอน หรือถ้ามีน้ำตาลสูงหลังอาหารเช้าควรลดปริมาณอาหารในมื้อเช้า

พลังงานจากอาหารสำหรับหญิงตั้งครรภ์ประมาณ 1,700-2,000 กิโลแคลอรี/วัน มีปริมาณดังนี้

ประเภทอาหาร (หน่วย)

ปริมาณอาหารต่อมื้อ

ทั้งวัน

เช้า

ว่าง

เที่ยง

ว่าง

เย็น

ก่อนนอน

ข้าว (ทัพพี)

9

2

-

3

1

3

-

ผัก (ทัพพี)

3

1

-

1

-

1

-

ผลไม้ (คำ)

30

-

10

10

-

10

-

เนื้อสัตว์ (ช้อนโต๊ะ)

7

2

-

3

-

3

-

นม (แก้ว)

2

-

1/2

-

1/2

-

1

ไขมัน (ช้อนชา)

6

2

-

2

-

2

-

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงในระหว่างตั้งครรภ์คือ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด เครื่องดื่มที่มีรสหวาน หรืออาหารที่เติมน้ำตาล เช่น น้ำหวาน ขนมหวาน ลูกอม อาหารที่มีรสจัด เช่น เค็ม เผ็ด ถ้าต้องการปรุงรสหวานควรใช้น้ำตาลเทียม เช่น แอสปาร์เทม หรือซูคลาโลส แทน

ถ้ามีปัญหาน้ำตาลต่ำกว่า 60 มิลลิกรัม/ดล. ซึ่งอาจจะมาจากอาการแพ้ท้อง กินอาหารได้น้อย หรือกินอาหารไม่ตรงเวลา ทำให้มีอาการใจสั่น มึนศีรษะ เหงื่อออก ให้แก้ไขโดยดื่มนม 1 แก้วหรือน้ำผลไม้ครึ่งแก้ว หรือผลไม้ 1 ผลขนาดกลาง หรืออมลูกอม 3-4 เม็ด

แม่ที่เป็นเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์จึงควรอยู่ในความดูแลของแพทย์และทีมงานดูแลผู้เป็นเบาหวาน ซึ่งประกอบด้วยแพทย์เฉพาะทางด้านเบาหวาน พยาบาลผู้เชี่ยวชาญด้านเบาหวาน นักกำหนดอาหาร เภสัชกร และนักกายภาพบำบัด เพื่อรับคำแนะนำในการปฏิบัติตนเอง โดยเฉพาะด้านการกินอาหาร รับคำแนะนำจากนักกำหนดอาหารถึงปริมาณอาหารที่ควรบริโภค เรียนรู้เรื่องอาหารแลกเปลี่ยน การนับคาร์โบไฮเดรต การอ่านฉลากโภชนาการเพื่อใช้ประกอบการเลือกอาหาร และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ปกติตลอดระยะเวลาของการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นการช่วยป้องกันความผิดปกติที่จะเกิดแก่ลูกน้อยในครรภ์ด้วย

คุณแม่หลังคลอดควรควบคุมน้ำหนักตัวด้วย เพราะพบว่าถ้าไม่ลดน้ำหนักและปล่อยให้มีน้ำหนักตัวมากกว่าปกติจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ถึงร้อยละ 50 ในเวลาเพียง 10 ปี จึงควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดปีละครั้ง ดูแลเลือกกินอาหารที่เหมาะสม และออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อให้น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ เป็นสิ่งที่ต้องให้ความสนใจและนำสู่การปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการเป็นเบาหวานและส่งเสริมสุขภาพของตนเองในระยะยาว

น.ส.กิตติยา จำปาคำ ม.ฟาร์อีส เลขที่ 5

วิธีควบคุมน้ำหนักที่ใช้กันทั่วไป

การอดอาหารอย่างสิ้นเชิง แน่นอนว่าน้ำหนักตัว จะลดลงอย่างรวดเร็ว เพราะจะรับประทานได้แต่น้ำเปล่า อย่างเดียว ไม่มีแคลลอรี่เลย แม้ว่าจะปฏิบัติได้เพียง มื้อใดมื้อหนึ่งในแต่ละวัน (ไม่มีใครอดได้วันละ 3 มื้อหรอก เพราะจะตายซะก่อนแน่นอน) ซึ่งวิธีการนี้ .. "มีผลเสียต่อร่างกายอย่างยิ่ง" ระบบเกลือแร่ในร่างกาย สับสน ทำให้ร่างกายเป็นกรดมากเกินไป ไตทำงานได้น้อยลง และมีการคั่งค้างของของเสีย โดยเฉพาะกรดยูริคในร่างกาย และการอดอาหารนี้ จะนำมาซึ่งโรคกระเพาะอาหารด้วย ตลอดจนโรคทางเดินอาหารอื่นๆ ตามมาเป็นขบวน จึงไม่แนะนำให้ใช้วิธีนี้เด็ดขาด

การรับประทานอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำ แต่ยังได้สารอาหารครบถ้วน การรับประทานอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำ แต่ยังได้สารอาหารครบถ้วนทั้งโปรตีน วิตามิน เกลือแร่ ยกเว้นแต่ ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต ที่ต้องควบคุมเป็นพิเศษ ให้ได้รับในปริมาณที่พอเพียงกับการใช้งานเท่านั้น หรือรับประทานให้น้อยกว่า ที่ร่างกายต้องการ เพื่อให้ร่างกาย นำเอา ไขมันที่สะสมไว้ออกมาใช้แทน ก็จะทำให้ลดน้ำหนักได้ เป็นอย่างดี แต่ที่สำคัญอาหารที่รับประทาน ต้องเน้นให้ได้สารอาหารอย่างครบถ้วน เป็นวิธีที่ปลอดภัยและได้ผลดี

การรับประทานอาหารแบบ ไม่ได้ดุล เป็นการรับประทานอาหาร ที่เน้นหนัก สารอาหารบางหมู่ บางอย่าง ในแต่ละมื้อ เช่น บางมื้อทานแต่ผักอย่างเดียว บางมื้อก็ทานแต่เนื้อสัตว์อย่างเดียว หมุนเวียนไป แต่วิธีการนี้ ค่อนข้างเสี่ยง และต้องได้รับการดูแลจาก นักโภชนาการอย่างใกล้ชิด วิธีการนี้ เหมาะสำหรับวัตถุประสงค์ บางอย่าง และใช้เฉพาะบางครั้งบางเวลาเท่านั้น เช่น นักกีฬาชกมวย ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก แต่ต้องการให้ได้ กล้ามเนื้อที่ทรงพลังมากที่สุด เพื่อการขึ้นชกมวย ฯลฯ .. ไม่แนะนำวิธีการนี้ สำหรับคนทั่วไป เพราะเสี่ยง ต่อการได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วน

การใช้อาหารทดแทน ได้มีผู้ผลิตอาหารหลายชนิด เพื่อให้รับประทานทดแทน มื้ออาหารทั้งมื้อ หรือเพียงบางส่วนของมื้อ ไม่ว่าจะเป็น ชนิดชงกับน้ำดื่ม เป็นเม็ด แค็ปซูล หรือแม้แต่ เครื่องดื่มที่มีแคลอรี่ต่ำ ซึ่งเป็นที่นิยม กันมากในต่างประเทศ โดยหลักการแล้ว อาหารเหล่านี้ จะทำให้อิ่ม แต่มีแคลอรี่ต่ำ แต่ได้สารอาหารที่ครบถ้วน ตามที่ร่างกายต้องการ จึงมั่นใจได้ว่า ได้รับสารอาหารอย่างครบถ้วน แต่ไม่ได้รับแคลอรี่มากเกินไป นับเป็นการควบคุมน้ำหนักที่สะดวกดี เหมาะกับยุคสมัย โดยเฉพาะกับชีวิตคนเมืองที่ต้องเร่งรีบ ไม่มีเวลามากมายนัก

การใช้ยา ยาก็คือยา ไม่ใช่อาหาร จุดประสงค์ของยา ก็คือเพื่อแก้ไขโรคภัยไข้เจ็บ ดังนั้น การจะรับประทานยาอย่างต่อเนื่อง ทุกวันๆ ย่อมไม่เป็นผลดีแน่ ถ้าหากยานั้นๆ มีผลข้างเคียง ดังนั้นการใช้ยา จึงต้องได้รับการสั่งหรือ อยู่ภายใต้การควบคุมจากแพทย์ เท่านั้น และเช่นเดียวกัน ควรใช้ยา เมื่อรู้สึกว่า ความอ้วนของเราอยู่ในข่าย เป็น "โรค" ชนิดหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นการใช้ยา จึงอยู่ในดุลยพินิจ ของท่านและแพทย์ที่ทำการรักษาท่าน ต้องพิจารณาให้ดี และถ่องแท้

การผ่าตัดเอาไขมันออก ไม่ได้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อลดน้ำหนักตัว แต่เพื่อลดไขมันเฉพาะที่ เช่น ผู้ที่อ้วนเฉพาะที่หน้าท้อง สะโพก กรามหรือคาง แต่การผ่าตัด มีข้อเสียที่สำคัญคือ ต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัว เป็นการทรมานสังขาร พอสมควร และเสียค่าใช้จ่ายสูง แม้ปัจจุบันจะมีวิธีใหม่คือ ดูดไขมันแทนการผ่าตัด ก็ยังต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัวบ้างเหมือนกัน และการดูดไขมัน สามารถแก้ไขได้เฉพาะไขมันเก่าที่สะสมไว้เท่านั้น ไม่ได้รับรองว่า จะไม่มีไขมันใหม่มาสะสมอีก ถ้าพฤติกรรมการรับประทาน ไม่ได้รับการแก้ไขด้วย

การผูกฟันบน-ล่างติดกัน เพื่อไม่ให้อ้าปากได้ จึงไม่สามารถรับประทาน อาหารแข็งได้ นอกจากของเหลวเท่านั้น ร่างกายจะได้รับแคลอรี่น้อยลง เป็นการลดน้ำหนักตัว ที่ค่อนข้างจะรุนแรง และฟังดูไม่น่าจะมีใครทำกัน ซึ่งก็คิดว่าคุณก็คงไม่ใช้วิธีนี้เช่นกัน

การตัดต่อลำไส้ใหม่ คือทำให้ลำไส้เล็ก ไม่สามารถดูดซึมอาหารได้ตามปกติ น้ำหนักจะลดลงไป เพราะดูดซับสารอาหารได้น้อย แต่วิธีนี้ก็อันตรายมาก และอาจมีผลเสียในระยะยาว ยกเว้นเป็นการวินิจฉัยของ แพทย์ ที่จะพิจารณาทำให้เป็นรายๆ ไป

การตัดกระเพาะอาหารออกบางส่วน ทำให้ทานแล้วอิ่มเร็ว รับประทานได้น้อย และทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้ แต่ก็เช่นเดียวกับวิธีการตัดต่อลำไส้ คือมีอันตรายค่อนข้างมาก

การฝังเข็ม มีต้นกำเนิดในประเทศจีน ทำให้น้ำหนักลดลงได้ แต่ไม่สะดวกและผลที่ได้รับ ไม่ค่อยจะแน่นอนนัก

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

คุณประโยชน์ของ ผัก ผลไม้ และสมุนไพรบางอย่าง

ดอกเก๊กฮวย แก้ร้อนใน ดับพิษร้อนในตัว ลดความดันโลหิต ขยายหลอดเลือด บำบัดเส้นเลือดหัวใจตีบตัน และกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

บีทรูท ลดความดันโลหิต ฟอกไต ช่วยขับปัสสาวะ

เสาวรส ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค และป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยต้านอนุมูลอิสระ มีวิตามินสูงช่วยบำรุงสายตา ทำให้ร่างกาย แข็งแรง บำรุงกระดูก เพราะมีแคลเซียมสูง

แครอท อุดมไปด้วยวิตามินเอ และเกลือแร่ วิตามินเอเอาไว้ใช้ ช่วยบำรุง สายตา บำรุงผิวและเนื้อเยื่อ ช่วยยับยั้งความเสื่อมของ อวัยวะสำคัญของร่างกาย มีความเชื่อว่า แครอทช่วยรักษาโรคมะเร็ง ช่วยลดความเสี่ยงจากโรค เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤษ์ อัมพาต ความดันโลหิตสูง ต้อกระจก และยังช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน เร่งการสร้างเซลล์ในแผลผ่าติด นอกจากนี้ ยังอุดมด้วยวิตามินบี วิตามินซี และแคลเซียมที่ดูด ซึมง่าย มีแพคติน ซึ่งเป็นไฟเบอร์ ชนิดที่ละลายน้ำได้ ช่วยลดโคเลสเตอรอล วิตามินและเกลือแร่ที่มีอยู่ มีบทบาทสำคัญ ในการสร้างภูมิคุ้มกันโรค

สตรอเบอรี่ บลูเบอรี่ ราสพ์เบอรี่ มีวิตามินซี แมกนีเซียม โปเทสเซียมสูง ช่วยเพิ่มช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยต้านอนุมูลอสิระ ป้องกันโรคต่างๆ ช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า

มะเขือเทศ อุดมด้วยวิตามินซี และอี มีสารไลโคทีน ช่วยป้องกันมะเร็งบางชนิด

แตงกวาญี่ปุ่น มีวิตามินซีและเคสูง

รากบัว รสสุขุม เย็น มีสรรพคุณ ในการดับพิษร้อนแก้กระหาย ช่วยให้เลือดเย็น บำรุงม้าม หัวใจ ช่วยเจริญอาหาร

โหล่วกิง รสเย็นสุขุม ช่วยดับพิษร้อนในปอด และกระเพาะอาหาร แก้กระหาย ช่วยให้ชุ่มคอ เทียงฮวยฮุ่ง รสสุขุม เย็น ขมเล็กน้อย มีสรรพคุณดับพิษร้อน แก้กระหาย

แซตี่ รากของแซ่ตี่ มีสรรพคุณแก้ร้อนใน บำรุงเลือด ช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น บำรุงสายตา

ฟ้าทะลายโจร รสขม มีสรรพคุณ แก้ไข แก้หวัด แก้ต่อมทอมซิลอักเสบ ปอดอักเสบ แก้บิด ท้องเดิน

แต่ไม่ควรกินติดต่อกันนานๆ เพราะจะทำลายจุลชีพ ที่มีประโยชน์ในกระเพาะอาหาร สำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตต่ำ และเป็นโรคหัวใจไม่ควรกิน

ใบบัวบก รสขมซ่า กลิ่นหอม สรรพคุณแก้ร้อนใน ช่วยให้ลมเดินสะดวก ลดความดันโลหิต ลดไขมันในเลือด

ดอกงิ้ว ดอกแห้ง ใช้ทำยาระงับปวด แก้พิษไข้

ใบเพกา มีสรรพคุณ แก้ปวดข้อ แก้ปวดท้อง ช่วยให้เจริญอาหาร

ชะเอมไทย มีรสหวาน แก้โรคในลำคอ แก้ลม แก้เลือดออกตามไรฟัน บำรุงธาตุ ขับเสมหะ

ชะเอมเทศ ส่วนที่นำมาใช้ เป็นยาสมุนไพร คือ ส่วนราก มีรสหวาน ชุ่มคอ แก้ไอ ขับเสมหะ

อบเชยเทศ รสเผ็ดหวาน มีกลิ่นหอม แก้อ่อนเพลีย ขับลม แก้ไข้สันนิบาต แก้อัมพฤกษ์ (ไข้สันนิบาต เป็นไข้ที่เกิดจากโทษสามชนิดหรือตรีโทษทำให้กระหายน้ำ ร้อนใน เหงื่อออกมาก ง่วงนอน เจ็บในอก ลมอัมพฤกษ์ เกิดจากเอ็นกำเริบ จะปวดเมื่อยทุกข้อกระดูก

รางจืด รากและเถากินเป็นยารักษาอาการร้อนใน กระหายน้ำ และดับพิษทั้งปวง

ลูกใต้ใบ ใบอ่อน แก้ไอสำหรับเด็กลดไข้ ขับปัสสาวะ และลดความดันโลหิตได้เล็กน้อย คัน แก้ไข้ทุกชนิด รักษาริดสีดวงทวาร กามโรค ปวดท้อง ดีซ่าน ท้องเสียง และบิด

หนุมานประสานกาย แก้หวัด แพ้อากาศ หืด หอบ ไอเรื้อรัง ช้ำใน

สระระแหน่ มีรสเผ็ด เย็น เมื่อรับประทานแล้วจะช่วยขับเหงื่อ ลดความร้อน ขับเลือดที่คั่งค้างในร่างกาย ในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ฤดูหนาว ผู้เฒ่าหรือคนอ่อนแอ อาจมีอาการไข้หวัด สามารถใช้ใบสระระแหน่ ต้มเป็นน้ำชาดื่ม เพื่อช่วยทำให้เหงื่อออก ระบายความร้อนได้ดี

มะตูม ผลมะตูมอ่อน บำรุงธาตุ เจริญอาหาร และช่วยขับและผายลม ผลมะตูมสุก รสหวาด แก้ลม แก้เสมหะ แก้มูกเลือด บำรุงไฟธาตุ แก้กระหายน้ำ ขับลม

ตะลิงปลิง รสเปรี้ยวจัด ช่วยเจริญอาหาร เลือดออกตามไรฟัน มีวิตามินซีสูง

กระเจี๊ยบแดง บำรุงธาติ ขับปัสสาวะ บำรุงกำลัง แก้ดีพิการ

ดอกอัญชัน มีเบต้าแคโรทีนสูง เป็นตัวแอติออกซิแดนท์ ช่วยต่อต้าน สารก่อให้เกิดมะเร็ง

ฝรั่ง ช่วยป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ชะลอการลุกลามของมะเร็ง ช่วยทำให้แผลหายเร็ว ช่วยกระตุ้น การทำงานของเม็ดเลือดขาว และสร้างภูมิคุ้มกัน จึงสามารถป้องกันการเป็นหวัดได้

มะขาม มีวิตามินเอและซี นอกจากนั้น ยังมีวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และเกลือแร่ชนิดต่างๆ ช่วยแก้อาการท้องผูก เป็นยาระบายแก้ไอขับเสมหะ

มะนาว มีวิตามินซีสูง มีทั้งวิตามิน บี 1 บี 2 และเกลือแร่ชนิดต่างๆ ช่วยป้องกันหวัด ขับเสมหะ แก้ไอ แก้เจ็บคอ ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ในน้ำมะนาว มีสารไบโอฟลาโวนอยด์สูง จึงช่วยป้องกันอันตราย จากสารอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคหัวใจ และโรคมะเร็ง

กลิ่นปาก

กลิ่นปากหรือปากเหม็น หรือลมหายใจไม่สะอาด หากเกิดขึ้นกับใครก็ทำให้ขาดความมั่นใจ จะปรึกษาใครก็รู้สึกเป็นสิ่งน่าอาย บทความนี้อาจจะช่วยให้ท่านลดกลิ่นปาก ตำแหน่งที่เกิดกลิ่นปากมากที่สุดคือลิ้นเนื่องจากผิวลิ้นหยาบ ดังนั้นหากเกิดกลิ่นปากลองทำความสะอาดลิ้นก่อนเป็นอันดับแรก

กลไกการเกิดกลิ่นปาก

เกิดจากเชื้อแบคทีเรียในปากตายทำให้เกิดสาร sulfur ออกมาจึงเกิดกลิ่น

แบคทีเรียสลายอาหารที่อยู่ในปาก

น้ำลายลดลงทำให้เชื้อแบคทีเรีย หรืออาหารไม่ถูกชะล้าง

สาเหตุ

การไม่ดื่มน้ำหรือไม่รับประทานอาหาร ทำให้แบคทีเรียไม่ถูกชะล้างจึงเกิดกลิ่นปาก

โรคฟัน เช่นฟันผุ สุขลักษณะช่องปากไม่ดี มีการขังของเศษอาหารในช่องปาก

กลิ่นจากอาหารที่รับประทานเข้าไป เช่นกาแฟ สุรา หอมใหญ่ กระเทียม พริก บุหรี่

หายใจทางปากเนื่องจากเป็นหวัด

โรคระบบทางเดินหายใจ เช่นผีในปอด ไซนัสอักเสบ คออักเสบ เป็นต้น

โรคบางชนิดเช่น โรคไต โรคตับ

การทดสอบกลิ่นปาก

ล้างข้อมือด้วยสบู่ให้สะอาดแล้วล้างน้ำจนสะอาด ใช้ผ้าสะอาดเช็ดให้แห้ง เลีย 4 ครั้งหลังจากนั้น 30 นาทีให้ดมว่ามีกลิ่นหรือไม่

การดูแลรักษา

ให้รับประทานอาหารครบ 3 มื้อทุกวัน

ให้ดื่มน้ำมะนาวซึ่งจะเพิ่มปริมาณน้ำลาย

ให้ดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว

เคี้ยวหมากฝรั่งหรืออมลูกอมระหว่างมืออาหาร

แปรงฟันหลังอาหารทุกครั้ง และให้แปรงลิ้น

ใช้ Dental flossing

หากแปรงเสียให้เปลี่ยนแปรง

ถ้าอาการไม่ดีภายหลังจากได้ปฏิบัติแล้ว 10 วันให้ปรึกษาทันต์แพทย์ หรือแพทย์ของท่าน

กลิ่นปากในเด็ก

ท่านผู้ปกครองหากเด็กมีกลิ่นปากไม่หาย ท่านไม่ต้องกังวลว่าจะเด็กจะมีโรคเหมือนผู้ใหญ่ เช่น โรคที่ศีรษะ คอ และกระเพาะอาหารเพราะว่าสาเหตุส่วนใหญ่ของกลิ่นปากเกิดจากในปาก สาเหตุที่พบบ่อยได้แก่

สุขอนามัยไม่ดี มีเศษอาหารและเชื้อแบคทีเรียเหลือตามซอกฟัน เด็กมักจะมีกลิ่นมากมากในตอนเช้า หากเป็นมากจะมีตอนสาย

ฟันผุ บางรายเด็กไม่มีอาการปวดฟันแต่มีฟันผุ

ไซนัสอักเสบทั้งเฉียบพลันและเรื้อรังสามารถทำให้เกิดกลิ่นปากได้ นอกจากกลิ่นปากเด็กโดยมากจะเกิดอาการ น้ำมูกไหล ไอกลางคืน

คออักเสบ เด็กจะมีไข้เจ็บคอ และมีกลิ่นปาก

ภูมิแพ้ทำให้มีเสมหะไหลไปที่คอทำให้เกิดกลิ่นปาก

คำแนะนำ

อย่าทำให้เด็กขาดความมั่นใจ ควรใช้โอกาสนี้สอนเด็กแปรงฟัน และล้างปาก

เลือกแปรงที่มีขนาดเหมาะกับปากและมีขนอ่อนนุ่มพอควรพร้อมยาสีฟัน ยาสีฟันควรมีสาร fluoride

ควรแปรงฟันพร้อมเด็ก ให้เด็กแปรงฟันวันละ 2 ครั้ง

สอนเด็กใช้ Dental flossing

หากเห็นเศษอาหารติดที่คอก็ให้เด็กกรวกคอบ้วนปาก

ให้ตรวจฟันทุกปี

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

วัดความหนักเบาการออกกำลังกายด้วยการเต้นของหัวใจ

ก่อนอื่น คงต้องบอกถึงความสำคัญของการวัดการเต้นของหัวใจว่า เป็นวิธีหนึ่งของการวัดความเข้มข้นของการออกกำลังกายว่าที่ทำอยู่ หนักเบามากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เราบาดเจ็บ หรือเหน็ดเหนื่อย จนถึงกับจะพาลจะเลิกออกกำลังกายไปเลย

การเต้นของหัวใจเป็นเครื่องมือสำคัญที่วัดว่าหัวใจของเรามีการสนองตอบกับการออกกำลังกายมากน้อยแค่ไหน ถ้าเราสนใจวัดในขณะที่เราออกกำลังกาย จะทำให้เราสามารถออกกำลังกายในความเข้มข้นที่เหมาะสม

อัตราการเต้นของหัวใจ วัดด้วยอัตราการเต้นต่อครั้งต่อนาที โดยทั่วไปแล้ว จำนวนครั้งที่เต้นมากเท่าไร ก็หมายถึงมีความเข้มข้นของการออกกำลังกายมากเท่านั้น หากคุณออกกำลังกายไปนานๆ เมื่อระดับความฟิตของคุณสูงขึ้น อัตราการเต้นของหัวใจของคุณจะลดลง

เดี่ยวนี้ เครื่องออกกำลังกายในฟิตเนส จะต้องมีเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ หรือหากคุณออกกำลังกายนอกฟิตเนส คุณหก็สามารถหาซื้อเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจได้ หรือจะอาศัยการจับชีพจร แล้ววัดดูสิว่าใน 10 นาที ชีพจรเต้นกี่ที จากนั้นเอา 6 คูณเข้าไป เราก็จะได้อัตราการเต้นของหัวใจของเราแล้ว

อัตราการเต้นของหัวใจ สามารถแบ่งออกได้ตามช่วงเวลาที่เราวัดได้ดังนี้

(1) Resting heart rate (RHR) - เป็นอัตราการเต้นของหัวใจขณะที่คุณพัก ไม่ว่าจะเป็นตอนที่คุณตื่นขึ้นมาตอนเช้า หรือ ตอนที่คุณสบายๆในช่วงระหว่างวัน อัตราการเต้นขณะพักของผู้ชาย ควรอยู่ประมาณ 60-80 ครั้งต่อนาที ขณะที่ผู้หญิงอยู่ที่ 70-90 ครั้งต่อนาที พวกที่ไม่ดูแลสุขภาพ อัตราการเต้นของหัวใจอาจจะเกิน 100 ครั้งต่อนาที

อัตราการเต้นของหัวใจขณะพัก บ่งบอกถึงระดับความฟิตของคุณได้ พวกนักกีฬาที่ออกกำลังกายสม่ำเสมออาจจะมีอัตราการเต้นของหัวใจขณะพักที่ 40-50 ครั้งต่อนาที นอกจากนี้ หากคุณมีอัตราการเต้นของหัวใจค่อนข้างสูง อาจจะหมายถึงสัญญาณเตือนของจะออกกำลังหนักเกินไปจนเกิดปัญหา Over Training ก็หมายถึงเวลาที่คุณจะพักในการออกกำลังกายในวันนั้น หรือจะออกกำลังกายเพียงเล็กน้อย จนกว่าอัตราการการเต้นจะกลับเข้ามาที่รพดับปกติ

(2) Maximum heart rate (MHR) - คืออัตราการเต้นสูงสุดที่ร่างกายของคุณจะรับได้ ซึ่งสามารถคำนวณโดย นำอายุของคุณหักออกจาก 220 เช่น หากคุณอายุประมาณ 40 ปี อัตราการเต้นสูงสุดของคุณจะอยู่ที่ 220-40 คือ 180 ครั้งต่อนาที

(3) Training Heart Rate (THR) - ตามหลักแล้ว คุณควรจะออกกำลังกายในระดับความเข้มข้นที่สูงเพียงพอให้เกิดผลจากการฝึกที่เพียงพอ (a sufficient training effect) แต่จะต้องไม่หนักเกินกว่าที่ร่างกายจะรับได้ ดังนั้น คุณควรจะออกกำลังกายในระดับที่ทำให้อัตราการเต้นของคุณอยู่ในช่วง THR

ปัญหาคือเราจะหา THR อย่างไร

American College of Sports Medicine (ACSM) แนะนำว่า ระดับต่ำสุดของ THR น่าจะอยู่ที่ 60% ของ MHR แต่ผู้เชี่ยวชาญอีกหลายๆคนแนะนำว่า ควรจะออกกกำลังกายให้อัตราการเต้นของหัวใจของคุณอยู่ที่ประมาณ 70-80% ของ MHR หากคุณออกกำลังกายเกินค่านี้ จะเป็นช่วงเปลี่ยนการออกกำลังกายของคุณจาก Aerobic Exercise เป็น Anaerobic Exercise ซึ่งหัวใจของคุณไม่สามารถนำออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายตามความต้องการได้ทัน ซึ่งคุณจะออกกำลังกายได้ไม่นาน และจะเกิดความเสี่ยงต่อการเกิดอาการบาดเจ็บสูง และไม่เกิดผลดีต่อความฟิตของร่างกายเท่าไร

อย่างไรก็ตาม คนที่พึ่งเริ่มการออกกำลังกาย การกำหนดอัตรากรเต้นที่ 70-80% ของ MHR อาจจะรวดเร็วจนเกินไป ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย เราควรจะออกกำลังกายให้อัตราการเต้นของหัวใจเราอยู่ในช่วง 60-80% ของ MHR

(คำนวณหา THR ของคุณ ได้ที่ http://www.siamfitness.com/THR1.html)

(4) Recovery heart rate - เมื่อเราออกกำลังกายแล้ว เราจะต้องมีการ cool-down เหมือนเป็นการผ่อนเครื่อง ให้ร่างกายค่อยๆลดระดับอัตราการเต้นของหัวใจลง ซึ่งควรจะลดลงมาระดับที่สูงกว่าอัตราการเต้นของหัวใจก่อนพัก ประมาณ 20 ครั้ง หาก recovery heart rate ของคุณลดลงช้า อาจจะหมายความว่า เราอาจจะออกกำลังกายหนักเกินไปหรือไม่ก็ cool-down ด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง

สุภาพร สิงห์วิเศษ FEU (20)

การรักษาน้ำหนัก

อาหารที่เรารับประทานเข้าไปจะใช้เป็นพลังงานในการดำเนินชีวิต เช่นใช้หล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ใช้ในการเดิน การหายใจ การทำงาน แต่ถ้าหากเรารับประทานอาหารที่มีพลังงานมากกว่าที่เราใช้ส่วนเกินของพลังงาน จะสะสมในรูปไขมันผลทำให้น้ำหนักท่านเพิ่ม

ท่านผู้อ่านควรที่จะรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติคือดัชนีมวลกายอยู่ระหว่าง 20-20 กก./ตารางเมตร หากต่ำกว่านี้ร่างกายอาจจะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ หากมากกว่านี้อาจจะทำให้เกิดโรคต่างๆเช่น โรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง

โรคอ้วนทำให้เกิดโรคอะไร

คนอ้วนมักจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดโรค ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง ซึ่งปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวจะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนั้นโรคอ้วนยังเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งได้หลายชนิด

การลดน้ำหนัก

วิธีลดน้ำหนักที่ดีที่สุดคือการลดพลังงานจากอาหาร และการออกกำลังกายหรืออาจจะทำทั้งสองอย่างพร้อมกัน

ลดพลังงานจากอาหาร

รับประทานอาหารพวกผักผลไม้ให้มาก ไม่ปรุงอาหารด้วยไขมัน

ลดอาหารไขมัน เช่นอาหารทอด ผัด เช่นปาท่องโก๋ กล้วยทอด ไก่ทอด ฟิซซ่า โรตี กะทิ

ดื่มนมพร่องมันเนย งดเนย

ลดการบริโภคน้ำตาล ของหวาน

ลดสุรา

การออกกำลังกาย

ใช้การเดินแทนการนั่งรถ

ใช้บันไดแทนการขึ้นลิฟต์

ไปเล่นกับลูก ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน

สุภาพร สิงห์วิเศษ FEU (20)

เกร็ดความรู้เพิ่มเติม

1. ลดน้ำหนักได้ 5 ก.ก. ลดอัตราการเกิดข้อเสื่อมได้ 50%

2. การออกกำลังกายที่ดีคือไม่เหนื่อยจนเกินไป คือยังสามารถพูดคุยได้ปกติ ไม่หอบเหมือนหมา

3. การวิ่งควรวิ่งให้เร็วสม่ำเสมอ ประมาณ 20 นาที จะกระตุ้นให้หลั่งสาร endorphin ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ถ้าต้องการลดน้ำหนักให้วิ่งเกิน 20 นาทีได้

4. การวิ่งช้าสลับเร็ว จะทำให้ร่างกายหลั่ง adrenaline ซึ่งทำให้เส้นเลือดหัวใจตีบตัน ถือว่าไม่ดี

5. การออกกำลังกายแบบ แอนแอโรบิค คือเป็นการออกกำลังกายที่ไม่ใช้ อ๊อกซิเจน เป็นส่วนประกอบในการสร้างพลังงาน ซึ่งดีตรงที่ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง แต่จะไม่มีผลต่อปอด หัวใจ หรือเส้นเลือด หรือสุขภาพโดยทั่วไป เช่น การตีเทนนิส วิ่งระยะสั้น 100 เมตร ซึ่งไม่ได้ช่วยเพิ่มสมรรถภาพของหัวใจ และหลอดเลือดเลย

6. การออกกำลังกายควรทำหลังจากทานอาหารไปแล้ว 2 ชั่วโมง เนื่องจาก อาหารถูกย่อยและดูดซึมเข้าไปในเลือดเต็มที่แล้ว

7. เครื่องเล่นคาดิโอเช่น ลู่วิ่ง ไม่ทำให้ข้อ บาดเจ็บ พวกเครื่องช่วยยกน้ำหนักทำให้ข้อบาดเจ็บได้เล็กน้อย

8. ยกดัมเบล บาร์ แบบไม่มีเครื่องช่วย ก่อให้เกิดอาการบาดเจ็บของข้อต่อและกล้ามเนื้อได้ง่าย ข้อดีคือทำให้กล้ามเนื้อสมบูรณ์ ได้เร็วกว่าการยกน้ำหนักแบบมีเครื่องช่วย

9. การยกน้ำหนักเป็นการเพิ่ม สมรรถภาพของกล้ามเนื้อ เพื่อให้เล่นกีฬาได้ดีขึ้น แต่ถือว่าเป็นการออกกำลังกายโดยไม่ใช้ออกซิเจน จึงไม่เป็นการช่วยการทำงานของหัวใจ

10. การยกน้ำหนักเพื่อให้กล้ามเนื้อใหญ่ ให้ยก 70-80% ของน้ำหนักที่ยกได้เต็มที่ ยกครั้งละ 3 5 เซ็ท เซ็ทละ 5 8 ครั้ง การยกน้ำหนักเพื่อให้กล้ามเนื้อคงทน ให้ยก 40 70% ของน้ำหนักที่ยกได้เต็มที่ ยกครั้งละ 3 5 เซ็ท เซ็ทละ 10 15 ครั้ง

11. ผู้ที่ออกกำลังกายจนเป็นอาจิณแล้ว ดังนักกีฬา ครูฝึกหล่อล่ำในฟิตเนส จะมีอัตราการเต้นของหัวใจปกติ Resting Heart Rate อยู่ที่ 65 ครั้งต่อนาทีครับ

พิชญา ลีวรรธนะ ม.ฟาร์

ปัญหาใหญ่สำหรับสาวๆสมันใหม่อย่างไม่มีใครปฏิเสธว่าไม่จริงในเรื่องของความอ้วน อวบ เป็นสาวเจ้าเนื้อ วันนี้++[[Dek-DuE]]++มีเรื่องดีๆกี่ยวกับการลดน้ำหนักมาให้ด้วย

1.กินผักเยอะๆ กินเนื้อปลา น้ำมันปลาอาหารเสริมประเภทโอเมก้า3 เพราะไขมันสีน้ำตาลร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันทีแต่ไขมันสีขาว ที่เรารับประทานทั่วไปจะถูกเก็บสะมไว้ใต้ชั้นผิวหนัง

2.ดื่มน้ำเยอะๆ อย่างน้อยๆวันละ3ลิตร สามารถช่วยสลายเซลลูไลต์บริเวณต้นขาได้ ตอนเช้าๆก่อนแปรงฟัน ลองดื่มน้ำก่อน2แก้วให้แบคทีเรียในปากลงไปในท้องเพื่อช่วยในการย่อยอาหารให้ดีขึ้น ถ่ายอย่างน้อยๆวันละครั้งอย่าให้ท้องผูก เพราะอาการท้องผูกนั่นแหละทำให้เราอ้วนได้

3.ออกกำลังการซะบ้าง อย่างน้อยๆ2-3ครังต่อสัปดาห์นะ ครั้งละ30นาที หรือไม่ลองฝึกการหายใจด้วยง่ายๆด้วยการประสานมือเข้าด้วยกันแล้วยืดขึ้นเหนือศรีษะกลั่นหายใจ 5 วินาที แล้วค่อยๆลดแขนลง ทำอย่างน้20ครั้งทุกเช้า ช่วยคลายเครียดได้ด้วยจ้า

4.พักผ่อนเยอะๆ อย่างน้อยวันละ 6 - 8 ช.ม. มากไปก็ไม่ดี น้อยไปก็แย่นะจ๊ะ การเข้านอนเร็วน่ะดีนะ ถ้าเข้านอนก่อน 4 ทุ่ม ร่างกายจะหลั่งGrowth Hormone มาช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหลอ พร้อมทั้งยังมาเสิมสร้างคอลลาเจนให้ด้วย

* * * วิธีง่ายๆไม่เสี่ยงกับอันตราย ลองดูละกันนะ เด๋วถ้ามีเรื่องดีๆใหม่แล้วจะมาบอกนะจ๊ะ* * *

ขอให้สาวๆทุกคนที่ตั้งใจ ได้ผลลัพธ์ที่ดีตามที่คาดหวังนะจ๊ะ

นางสาวไพลิน จ้นทร์ทะวงศ์ เลขที่25 ภาคพิเศษจันทร์ - ศุกร์ cmru.

การออกกำลังกายและการดื่มสุรา

นักวิจัยมหาวิทยาลัยเดนมาร์ก เปิดเผยผลการศึกษาว่า การดื่มแอลกอฮอล์และการออกกำลังกายให้ผลดีต่อสุขภาพ หากปฏิบัติอย่างเหมาะสมไปพร้อม ๆ กัน

แต่อย่าเข้าใจผิดหรือตีความเอาแต่ได้ประสาสิงห์สุรา เนื่องจากข้อดีนั้นไม่ได้ หมายถึง มาไปออกกำลังกายไป เพราะถ้าทำอย่างนั้นมันคือหนทางสู่หายนะชัด ๆ ทว่าการดื่มกับการออกกำลังกายจะเกิดประโยชน์ เมื่อดื่มในปริมาณเล็กน้อยถึงปานกลาง เพื่อสังสรรค์หรือเข้าสังคม ส่วนการออกกำลังกายก็ควรปฏิบัติอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ

นอกจากงานวิจัยล่าสุดจากเดนมาร์ก ก่อนหน้านี้มีการศึกษาพบว่า การดื่มในปริมาณน้อยถึงปานกลาง มีส่วนเกี่ยวพันกับการลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจ และงานวิจัยบางชิ้นยังพบด้วยว่า การดื่มในปริมาณที่เหมาะสม สามารถลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งบางชนิดด้วย เช่นเดียวกับที่พบว่าผู้ออกกำลังกายเป็นประจำ ก็มีอัตราความเสี่ยงของโรคดังกล่าวลดลง

ดังนั้นเมื่อเอาสองเรื่องนี้ (ดื่มพอประมาณและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ) มารวมกัน ก็ยิ่งให้ผลที่เอื้อต่อกัน นั่นคือทำให้อัตราเสี่ยงของโรคหัวใจลดต่ำลงกว่าการทำอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว

แต่ถึงที่สุดของที่สุด ข้อดีและคุณประโยชน์ที่กล่าวมา ตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่ว่า ดื่มแต่น้อยพอเป็นกระษัย และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเท่านั้น หากดื่มหนัก หรือเมาหัวราน้ำ หรือออกกำลังกายแบบเหยาะ ๆ แหยะ ๆ ทำบ้างไม่ทำบ้าง นอกจากไม่เกิดประโยชน์ยังมีสิทธิ์เป็นบ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บได้ง่าย ๆ

สาธิยา พงษ์ไพรวัน เลขที่ 82 วิทย์ออก cmru

สาระแหน่

ชื่อวิทยาศาสตร์ Mental cordifolia Opiz.

วงศ์ Labiatae

ชื่ออื่น/ชื่อท้องถิ่น สะระแหน่สวน (ภาคกลาง) มักเงาะ สะแน่ (ภาคใต้) หอมด่วน หอมเตือน (ภาคเหนือ)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

สะระแหน่เป็นพืชล้มลุกที่เลื้อยปกคลุมดิน มีลำต้นขนาดเล็กแตกกิ่งก้านสาขามากมาย ใบเป็นรูปไข่หรือรูปวงรีเห็นเส้นใยชัดเจน ปลายใบแหลม ขอบใบหยักเป็นฟันเลื่อย ก้านใบสั้น ทั้งใบและลำต้นมีกลิ่นหอม

แหล่งที่พบ

พบได้ทั่วไปตามบ้าน เพราะนิยมปลูกเป็นพืชสวนครัว

สารสำคัญที่พบ

ทั้งใบและลำต้นมีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งประกอบด้วยสารเมนทอล (Menthol) ไลโมนีน (Limonene) นีโอเมนทอล (Neomenthol) เป็นต้น

สรรพคุณ

สะระแหน่ มีฤทธิ์เย็นรสเผ็ด น้ำมันสาระแหน่ช่วยขจัดลมร้อน ใช้เป็นยาดับร้อน ถอนพิษไข้ ขับลม ขับเหงื่อ รักษาอาการหวัดลมร้อน ใช้ผสมยาหรือยาอมเพื่อให้เย็นชุ่มคอ

1. รักษาอาการปวดศรีษะ ปวดฟัน เจ็บคอ เจ็บปาก เจ็บลิ้น โดยดื่มน้ำต้มใบสะระแหน่ 5 กรัม กับน้ำ 1 ถ้วย ผสมเกลือเล็กน้อย วันละ 2 ครั้ง

2. รักษาอาการบิดท้องร่วง อุจจาระเป็นเลือด โดยนำใบสะระแหน่ต้มดื่มแต่น้ำ

3. แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย โดยตำใบสะระแหน่ให้ละเอียด พอกบริเวณที่โดนกัด

4. ช่วยห้ามเลือดกำเดาได้ โดยใช้สำลีชุบน้ำที่คั้นจากใบสะระแหน่ หยอดที่รูจมูก

5. รักษาอาการปวดหู โดยนำน้ำคั้นจากใบสะระแหน่หยอดหู จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ดี

6. รักษาอาการหน้ามือตาลาย โดยรับประทานน้ำต้มใบสะระแหน่และขิงสด

ส่วนที่ใช้ประกอบอาหาร

ใบสดและลำต้น

วิธีใช้ประกอบอาหาร

ใบสะระแหน่ใช้ลดกลิ่นคาวของอาหารจำพวกพร่า ยำ และลาบ ใช้แต่งกลิ่นเครื่องดื่มและเหล้า

ข้อสังเกต/ข้อควรระวัง

1. ใบสะระแหน่สดและยอดอ่อน มีสรรพคุณดีกว่าใบสะระแหน่แห้ง

2. มีรายงานว่าใบสะระแหน่สามารถระงับอาการปวดได้ดีกว่ายาแก้ปวด

วิธีปลูก

ขยายพันธุ์โดยการปักชำ ใช้ลำต้นและกิ่งก้านที่ไม่อ่อนและไม่แก่จนเกินไป ปักลงในภาชนะหรือแปลงเพาะชำ โดยปักให้กิ่งเอนไปตามดิน รดน้ำให้ชุ่มพอสมควร ดินที่ใช้ปลูกควรเป็นดินร่วนซุย

เรื่องของสิว

สิวเป็นการอักเสบของระบบต่อมไขมัน (sebaceous) ในรูขุมขน ปกติไขมันที่สร้างจากต่อมไขมันจะออกมาตามเส้นขน หากมีการอุดตันของทางเดินก็จะทำให้เกิดสิว สิวมีหลายชนิดที่พบบ่อยๆได้แก่ สิวธรรมดาหรือที่เรียกว่า Acne vulgalis สิวหัวดำ สิวที่มีการอักเสบเป็นหนอง บางรายมีตุ่มหนองด้วย

สาเหตุของสิว

ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวได้แก่

ฮอร์โมน ร่างกายสร้างฮอร์โมน Androgen ทำให้มีการสร้างไขมันเพิ่ม โดยมากฮอร์โมนจะเริ่มสร้างเมื่ออายุ 11-14 ปีดังนั้นจึงพบสิวมากในวัยนี้และอาจจะอยู่ได้นานหลายปี

การผลิตไขมันมากขึ้นและร่วมกับเซลล์ผิวหนัง และเชื้อแบทีเรียทำให้เกิดการอุดตันจนเกิดสิว

มีการเปลี่ยนแปลงของรากผม รากผมเจริญเร็วเซลล์มีการแบ่งตัวเร็ว และมีเซลล์ที่ตายมาก จึงเกิดการอุดตันของต่อมไขมัน

แบททีเรียโดยเฉพาะชื่อ Propionibacterium acne จะทำให้เกิดการอักเสบของสิว

ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวมากน้อยมีอะไรบ้าง

กรรมพันธ์

การทำงานของต่อมไขมัน หากที่ใดที่มันและร่วมกับการดูแลรักษาความสะอาดไม่ทั่วถึงก็ทำให้เกิดสิว

อาหารโดยทั่วไปไม่มีผลต่อการเกิดสิว แต่ก็มีความเชื่อกันว่าการรับประทานอาหารที่มัน หรือหวานจะเกิดสิวได้ง่าย

อากาศ ขึ้นกับแต่ละคนบางคนเป็นมากในฤดูหนาว บางคนฤดูร้อน

อารมณ์ คนที่อารมณ์ดีจะเกิดสิวน้อยกว่าคนที่อารมณ์เสีย

การใช้เครื่องสำอางค์เป็นปัจจัยที่สำคัญในการเกิดสิว การเลือกสบู่ที่เหมาะกับสภาพผิวหนัง คนที่มีแห้งควรจะใช้สบู่ที่เป็นด่างอ่อน คนที่ผิวมันก็อาจจะใช้สบู่ที่มีความเป็นด่างมากขึ้นได้ หรืออาจจะใช้สบู่ที่มีด่างอ่อนแต่ล้างหน้าบ่อยขึ้น

ครีมบำรุงผิวก็ต้องเลือกใหถูกกับผิวหน้า คนที่ผิวแห้งไม่ควรใช้เครื่องสำอางที่มีแอลกอฮอร์เป็นส่วนประกอบ คนที่ผิวมันก็หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีไขมันสูง

การระคายผิว เช่นการล้างหน้าที่มีการถูมาก หรือการบีบสิว

ยาบางชนิดทำให้เกิดสิวเพิ่มขึ้น เช่น INH Iodides Bromide Steroid Testosterone Gonadotropine Anabolic steroid ยาคุมกำเนิด

ตำแหน่งที่เกิดสิว

ตำแหน่งที่เกิดสิวได้แก่บริเวณที่ไขมันมากได้แก่ หน้า ไหล่ หลัง อก

การรักษาสิว

งดใช้เครื่องสำอางที่ทำให้เกิดสิว หรือเลือกเครื่องสำอางที่ถูกกับผิวหน้า

งายาหรือครีมทาก่อนนอน

ห้ามบีบหรือแกะสิวโดยเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้สิวลุกลาม

อาหารสามารถรับประทานได้แต่ก็ควรจะหลีกเลี่ยงอาหารที่มัน และหวานและก็อย่ารับมากจนอ้วน

ห้ามถูหน้าแรงๆในขณะล้างหน้า ล้างหน้าวันละ 2 ครั้งและใช้ผ้าซับเบาๆ

คนที่หน้ามันให้ล้างหน้าด้วยสบู่อย่างน้อยวันละ 4 ครั้ง

การเลือกยาทาสิวขึ้นกับชนิดของสิวซึ่งควรจะปรึกษาแพทย์

การเลือกรับประทานยาขึ้นกับแพทย์ที่ดูแล

ยารักษาสิว

การรักษาสิวทางกายภาพ

การกดสิว ใช้รักษาสิวทั้งชนิดหัวดำและหัวขาว แต่ในกรณ๊รูเปิดเล็กมา อาจจะต้องใช้เข็มหรือเลเซอร์เพื่อให้รูเปิดใหญ่ขึ้น การกดต้องทำให้ถูกวิธีเพราะหากกดผิดจะทำให้สิวถูกดันลึกลง

การฉีด steroid เข้าใต้หัวสิว ข้อดีทำให้การอักเสบลดลงเร็ว แต่ถ้าฉีดมากไปหรือลึกเกินไปจะทำให้ผิวหนังบริเวณที่ฉีดเกิดรอยบุ๋ม

การใช้ความเย็น ใช้ใไนโตรเจนเหลว นกรณ๊ที่สิวเป็นชนิดถุง

การแบ่งชนิดของสิว

รูปตัดขวางของผิวหนัง

A = ผิวหนังปกติ B=สิวหัวดำ C=สิวหัวขาว D= สิวที่เริ่มเป็นตุ่ม E=สิวอักเสบและเป็นหนอง

สิวธรรมดาหัวดำ สิวหัวขาว สิวหัวช้าง สิวและหนอง

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสิว

สิวเกิดจากความสกปรกของใบหน้าใช่หรือไม่ หากคุณเชื่อว่าสิวเกิดจากความสกปรกคุณจะล้างหน้าบ่อยและล้างแรงซึ่งจะทำให้หน้าสูญเสียไขมัน และความชุ่มชื้น และเกิดระคายเคืองบนใบหน้าทำให้เกิดสิวมากขึ้น สิวมิใช่เกิดจากความสกปรกแต่เกิดจากเซลล์ที่ตายของผิวหนัง และสิ่งสกปรกร่วมกับไขมัน วิธีที่ถูกต้องให้ล้างหน้าวันละ 2 ครั้งและซับเบาๆด้วยผ้า

สาเหตุของสิวส่วนใหญ่เกิดจากเครื่องสำอางที่ใช้

การรักษาสิวต้องใช้เวลา ควรปรึกษาแพทย์มนรายที่เป็นมากหรือไม่หาย

ความเครียดอาจจะทำให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้น

สิ่งแวดล้อมก็มีส่วนทำให้เกิสิว เช่นความสกปรก ละอองไขมันจากการปรุงอาหาร น้ำมันเครื่องเป็นต้น

สิ่งที่ต้องระวังในการรักษาสิวสำหรับคนท้อง

อนุพันธ์ของวิตามินเอทั้งชนิดกินและทา เพราะอาจจะก่อให้เกิดผลเสียต่อการตั้งครรภ์

ยาคุมกำเนิด

ยาปฏิชีวนะกลุ่ม tetracyclin

การรักษาน้ำหนัก

อาหารที่เรารับประทานเข้าไปจะใช้เป็นพลังงานในการดำเนินชีวิต เช่นใช้หล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ใช้ในการเดิน การหายใจ การทำงาน แต่ถ้าหากเรารับประทานอาหารที่มีพลังงานมากกว่าที่เราใช้ส่วนเกินของพลังงาน จะสะสมในรูปไขมันผลทำให้น้ำหนักท่านเพิ่ม

ท่านผู้อ่านควรที่จะรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติคือดัชนีมวลกายอยู่ระหว่าง 20-20 กก./ตารางเมตร หากต่ำกว่านี้ร่างกายอาจจะได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ หากมากกว่านี้อาจจะทำให้เกิดโรคต่างๆเช่น โรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง

โรคอ้วนทำให้เกิดโรคอะไร

คนอ้วนมักจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดโรค ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง ซึ่งปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวจะเป็นสาเหตุให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนั้นโรคอ้วนยังเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็งได้หลายชนิด

การลดน้ำหนัก

วิธีลดน้ำหนักที่ดีที่สุดคือการลดพลังงานจากอาหาร และการออกกำลังกายหรืออาจจะทำทั้งสองอย่างพร้อมกัน

ลดพลังงานจากอาหาร

รับประทานอาหารพวกผักผลไม้ให้มาก ไม่ปรุงอาหารด้วยไขมัน

ลดอาหารไขมัน เช่นอาหารทอด ผัด เช่นปาท่องโก๋ กล้วยทอด ไก่ทอด ฟิซซ่า โรตี กะทิ

ดื่มนมพร่องมันเนย งดเนย

ลดการบริโภคน้ำตาล ของหวาน

ลดสุรา

การออกกำลังกาย

ใช้การเดินแทนการนั่งรถ

ใช้บันไดแทนการขึ้นลิฟต์

ไปเล่นกับลูก ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน

1.มีรายงานการเกิดภาวะความดันโลหิตในหัวใจห้องขวา และในระบบไหลเวียนของปอดสูงขึ้นได้จากยาลดความอ้วน กลุ่ม anorexic drug(กลุ่มที่ทำให้มีอาการเบื่ออาหาร)

2.มีรายงานพบว่า การรรับประทานยาลดความอ้วน จะเกิดภาวะลิ้นหัวใจรั่วได้

3.อาการข้างเคียงอย่างอื่น เช่น ใจสั่น,หงุดหงิด เป็นลม หน้ามืด หรือ ท้องผูกได้ สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับสูตรยาที่ใช้(regimens) ต้องสอบถามจากแพทย์ผู้นั้นโดยตรง เพราะว่าอาจมียาอื่นเสริมมาด้วย เช่น ยาทัยรอยด์ฮอร์โมน,ยาขับปัสสาวะ,ยาระบาย ซึ่งอาจมีผลต่อระบบสรีรวิทยาของร่างกาย (metabolism&physiology)ด้วย

ยาลดความอ้วนเฉพาะส่วน เท่าที่ทราบยังไม่มี ยกเว้นการออกกำลังโดยวิธีที่ถูกต้อง อาจทำให้ลดไขมันจากบางแห่งได้ดี กินอย่างไรไม่ให้อ้วน ก่อนอื่นคุณต้องทราบก่อนว่า เราประเมินความอ้วนโดยใช้ความสัมพันธ์ของน้ำหนักและส่วนสูง ที่เรียกว่า Body Mass Index (BMI = น้ำหนักเป็นกิโลกรัม หารด้วย ส่วนสูงเป็นเมตรยกกำลังสอง) ในผู้ใหญ่อายุ 20-29 ปี ค่า BMI ที่เหมาะสมคือ 27.8 ในผู้ชาย และ 27.3 ในผู้หญิง ถ้า BMI สูงกว่านี้จะมีความเสี่ยงของการเกิดโรค เช่น เบาหวาน ความดันโลหินสูง โรคหัวใจ เป็นต้น ความอ้วนอาจเกิดจาก การใช้ยา หรือสารบางอย่าง เช่น Steroid หรือ อาจเป็นจากโรคฃองต่อมไร้ท่อ เช่น ต่อมไทรอยด์ ต่อมหมวกไต เป็นต้น

สัญญาณ 10 ประการที่ร่างกายคุณฟ้องว่าคุณท­านอาหารไม่เหมาะสม

ร่างกายของคุณเกิดมีปฏิกิริยาตอบกลับมาเป็นผดผื่น คัน ผิวหนังลอกเป็นขุยแล้วล่ะ ก็ แสดงว่าคุณกำลังทานอาหารไม่ถูกต้องอยู่นะคะ วันนี้เราจึงนำ สัญญาณ 10 ประการที่ร่างกายคุณฟ้องว่าคุณทานอาหารไม่เหมาะสมมา ฝากกัน

1. ผิวหนังมีปัญหา

เช่น มีอาการคัน หรือลอกเป็นขุย แม้จะไม่ใช่ช่วงหน้าหนาว อาการเช่นนี้อาจเป็นลักษณะของการ ขาดวิตามิน A ผักและผลไม้ ที่มีสีเหลือง สีส้ม หรือสีเขียวเข้ม ล้วนแต่อุดมไปด้วยวิตามิน A เพียงพอที่จะทำให้ผิวคุณเป็นปกติ ไม่ควรทานวิตามิน A เสริมที่อยู่ในรูปแบบเม็ด เพราะการได้รับโดยตรงเช่นนี้มาก เกินไปจะเป็นอันตรายได้

2. ผมไม่เงางาม

ในกรณีที่รุนแรง ผมของคุณจะไม่สามารถจัดทรงได้เลย เป็นผลมาจากการ ขาดโปรตีนและธาตุเหล็ก โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เป็นมังสวิรัติ หรือคน ที่จำกัดอาหารอย่างมาก ดังนั้นคุณจึงควรที่จะทานอาหารที่มีกากใยควบคู่ไปกับการ ออกกำลังกาย ส่วนคนที่เป็นมังสวิรัติ ต้องได้สารอาหารจาก พืชผัก ข้าว และ ถั่ว ในอัตราส่วนที่เหมาะสม เพื่อที่จะได้โปรตีนทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่ขาดไป และเพิ่มเติมด้วยกะหล่ำดอก และผลไม้เปลือกแข็ง เช่น เกาลัด ถั่วแขก และถั่ว เหลือง ซึ่งอุดมไปด้วยไบโอติน

3. ท้องผูก

เป็นอาการที่กำลังบอกคุณว่า คุณต้องได้สารอาหารพวก ไฟเบอร์ หรืออาหารที่มีกากใย เช่น ผักผลไม้ต่าง ๆ อย่างน้อยวันละ 25 กรัม และดื่มน้ำให้มากขึ้นด้วย

4. ผายลมบ่อย ( ตด...เหม็น)

แม้ว่าไฟเบอร์จะมีประโยชน์ แต่ถ้ากินมากเกินไป หรือได้รับสารอาหารประเภทนี้เร็ว เกินไป เช่น กินถั่ว หรือไม้จำพวกที่มีฝัก เช่น กระถิน ทองหลาง ร่างกายของคุณจะ ผลิตแก๊สตามออกมามากกว่าอาหารที่ย่อยง่ายตามปกติ วิธีแก้ปัญหาคือค่อย ๆ เพิ่มสารอาหารพวกไฟเบอร์อย่างช้า ๆ ถ้าคุณเคยกินแค่เพียง วันละ 10 กรัม อย่าผลีผลามเพิ่มเป็น 25 กรัมในวันรุ่งขึ้น ในสัปดาห์แรกเพิ่มแค่ เพียง 5 กรัม แล้วสัปดาห์ต่อมาค่อยเพิ่มอีก 5 กรัม

5. ข้อต่อมีเสียงดังหรือปวดบริเวณข้อต่อ

อย่าเพิ่งไปโทษโรคข้ออักเสบ อาจเป็นไปได้ว่าคุณกิน ปลาน้อยเกินไป กรดไขมัน ประเภทโอเมก้า -3 ที่พบมากในปลา เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า จะทำให้ข้อต่อของคุณ เคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น ซึ่งจะช่วยให้กระแสโลหิตไหลเวียนดีขึ้น ลดอาการบวมและ ปวดบริเวณข้อต่อ

6. สเปิร์มน้อยลงไปมาก

ถ้าคุณกำลังพยายามที่จะมีลูก และมีปัญหาระดับของสเปิร์มต่ำกว่าปกติ อาจเป็นไป ได้ว่าคุณ ขาดวิตามิน C ซึ่งเป็นตัวสำคัญในการกระตุ้นการทำงานระบบภูมิคุ้มกัน ของร่างกายจากการศึกษาพบว่า วิตามิน C ยังช่วยในการรักษาปริมาณและความสมบูรณ์ ของตัวสเปิร์มด้วย Earl Dawson, Ph.D., ที่ University of Texas Medical Branch ที่ Galveston แนะนำว่าให้ผู้ชายดื่มน้ำส้มอย่างน้อยวันละประมาณ 1 ลิตรทุกวัน โดยบอกว่าวิตามิน C มีส่วนช่วยป้องกันสเปิร์มจากอันตรายและความเสียหายในทุกๆ ด้าน

7. หัวใจเต้นผิดปกติ

หัวใจของคนเราเป็นกล้ามเนื้อที่มีการบีบตัวมากกว่า 100,000 ครั้งต่อวัน คงไม่ สามารถทำงานอย่างสมบูรณ์แบบได้ตลอดเวลา แต่ถ้าอยู่ ๆ คุณรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็ว กว่าปกติ หรือเต้น ๆ หยุด ๆ โดยไม่มีเหตุผล ถ้ามีอาการเจ็บปวด หรือหน้ามืด เวียนศีรษะด้วย ให้รีบไปพบแพทย์ทันที แต่ถ้าแพทย์พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ หัวใจคุณก็ยังมีอาการเต้นผิดปกติในบางครั้ง คุณอาจจะ ขาดสารอาหารพวกแม็กนีเซียม หรือโปแตสเซียม สำหรับโปแตสเซียม ให้ดื่มน้ำส้มวันละ 2-3 แก้ว ช่วงอาหารเช้าให้ เพิ่มกล้วยเข้าไปในส่วนหนึ่งของเมนู สำหรับแม็กนีเซียม ให้ทานอาหารว่างที่เป็น พวกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดทานตะวัน หรือเมล็ดฟักทอง และผักโขม เป็นอีกตัว หนึ่งที่มีแร่ธาตุช่วยในการทำงานของหัวใจ

8. ปวดเหงือก

ถ้าการเจ็บปวดเกิดจากการอักเสบ ก่อให้เกิดความเจ็บปวดและปัญหาของเหงือก แสดงว่า ปากของคุณกำลังต้องการ แบคทีเรียที่มีประโยชน์ ให้มาช่วยจัดการกับแบคทีเรียใน ปากที่มีอันตราย ให้กินโยเกิร์ตที่มีแบคทีเรียที่เราต้องการเป็นอาหารว่างในช่วง เช้าของทุกวัน

9. กระดูกแตก

ถ้ากระดูกคุณแตกมากกว่า 2-3 ครั้งตั้งแต่โตเป็นผู้ใหญ่ อาจเป็นไปได้ว่ากระดูก ของคุณอยู่ในภาวะอ่อนแอ อาจมีสาเหตุมาจากการขาดวิตามิน D และแคลเซียม ซึ่งเป็น ตัวประกอบที่สำคัญในการสร้างกระดูก ผู้ชายก็ต้องการแคลเซียมมากเหมือน ๆ ผู้หญิง เพราะผู้ชายมักจะกินเนื้อมากกว่า ซึ่งอุดมไปด้วยฟอสฟอรัส ยิ่งร่างกายได้รับ ฟอสฟอรัสมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องการแคลเซียมมากขึ้นเท่านั้น อาหารที่อุดมไปด้วย แคลเซียม ได้แก่ ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง โยเกิร์ต นมและเนยแข็ง (ไขมันต่ำได้ก็ ดี)

10. ขี้ลืม

อาจเป็นได้ว่าคุณขาดวิตามิน B ในการศึกษาที่ USDA Human Nutrition Research Center in Boston นักวิจัยพบว่าผู้ชายที่มีระดับของวิตามิน B 6 B 12 และ B folate สูงในเลือด จะมีความทรงจำที่ดีกว่าจากการทดสอบพบว่าสารอาหารพวกนี้ช่วย ให้สมองทำงานได้เต็มที่ และยังช่วยควบคุม homocysteine ซึ่งเป็นกรดอะมิโนชนิด หนึ่งที่อยู่ในร่างกาย ซึ่งเป็นตัวขัดขวางการที่เลือดจะไปหล่อเลี้ยงสมอง ถั่ว เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน B 6 และโฟเลต มากที่สุด และไม่ต้องกังวลกับการ ขาดวิตามิน B 12 เพราะมีมากในเนื้อสัตว์และอาหารทะเล

หมั่นสังเกตตัวเองสักนิด แล้วจะรู้ว่าร่างกายของท่านเรียกร้องอะไร

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

ดับร้อน ผ่อนกระหาย ทั้งร้อนไนและร้อนกาย

สภาพอากาศที่ร้อนจัด แดดแรง อาจทำให้หลายคนมีอาการ กระหายน้ำ คอแห้ง ลมหายใจร้อนผ่าว ร้อนใน บางทีในช่วงที่ร้อนๆ นี้ ถ้ารับประทานอาหารมันๆ ทอดๆ ก็อาจจะมีอาการเป็นแผลในปาก หรือที่เรียกกันว่า แผลร้อนใน ซึ่งเป็นกันมากในช่วงหน้าร้อน

ในฤดูร้อน เป็นช่วงที่ความร้อนในธรรมชาติเพิ่มมากขึ้น เมื่อความร้อนจากภายนอกกระทบร่างกาย จึงเป็นเหตุให้ธาตุไฟ ในร่างกายกำเริบ ส่งผลให้มีอาการตัวร้อน ปวดหัว วิงเวียน อ่อนเพลีย คอแห้ง กระหายน้ำ ร้อนใน ท้องผูก วิธีป้องกัน อาการเหล่านี้ คือ ไม่ควรกินอาหารรสเผ็ดจัด และมันเลี่ยน เพราะยิ่งเสริมธาตุไฟ ควรกินอาหารที่มีรสขม รสเย็น รสเปรี้ยว และรสจัด สำหรับเครื่องดื่ม ควรดื่มน้ำผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว จะช่วยคลาย ความร้อนลง เช่น น้ำมะนาว น้ำส้ม น้ำสับปะรด น้ำกระเจี๊ยบ น้ำระกำ น้ำมะยม นอกจากนี้ น้ำผักและน้ำผลไม้บางชนิด ก็มีสรรพคุณ แก้ร้อนในแก้ไอ แก้เจ็บคอ ขับเสมหะ เช่นน้ำแตงกวา น้ำรากบัว น้ำบัวหลวง น้ำมะพร้าว น้ำตาลสด น้ำเก๊กฮวย น้ำแตงโม น้ำแตงไทย น้ำใบบัวบก น้ำมันแกว น้ำองุ่น น้ำแห้ว น้ำมะตูม น้ำทับทิม น้ำมะขาม น้ำมะเฟือง น้ำอ้อย ซึ่งน้ำผักและน้ำผลไม้เหล่านี้ นอกจากจะช่วยแก้ร้อน ในแล้วยังช่วยให้รู้สึกสดชื่น และแก้กระหายน้ำได้อย่างดี

สำหรับชาวจีน และชาวอินเดีย นิยมใช้รากบัว เป็นยาแก้ร้อนใน เพราะดื่มได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ รสชาติอร่อย มีสรรพคุณ แก้ไข้ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ขับเสมหะ แก้ไอ ชูกำลัง โดยวิธีปรุง แก้ร้อนใน ที่นิยมมากที่สุด คือ นำรากบัวมาฝานเป็นแว่นใส่น้ำ พอท่วม ต้มนาน 10-15 นาที รินดื่มน้ำวันละ 3-4 ครั้งๆละ 1 แก้วหากชอบรสหวาน สามารถเติมน้ำตาลลงไปได้ แต่ไม่ควรเติมให้หวานมาก เพราะน้ำตาลไม่ถูกกับร้อนใน หากไม่มีเวลาต้ม ให้นำรากบัวสด มาตำให้ละเอียดคั้น เอาแต่น้ำดื่มครั้งละ 3-4 ช้อนแกง วันละ 3-4 ครั้ง มีฤทธิ์แรงกว่าต้มรากบัว หรือไม่ก็เคี้ยวรากบัวอ่อนๆกินสดๆ แต่ไม่ควรกินมากเกินไป เพราะอาจเกิดอาการแน่นหน้าอกได้

นอกจากน้ำรากบัวแล้ว น้ำสมุนไพรจีน อย่างน้ำจับเลี้ยง ก็ดื่มแก้อาการร้อนในได้ดีไม่แพ้กัน ในส่วนผสมก็จะประกอบด้วย ดอกงิ้ว ใบบัว รากหญ้า ใบเพกา เก๊กฮวย รากบัว โหล่งกิง เทียงฮวยฮ่ง แซ่ตี่ แห่โกงเช่ง หล่อฮั่งก้วย นำมาต้มรวมกัน สำหรับดื่มแก้ร้อนใน แผลในปาก เจ็บคอ ขมคอ คอแห้ง ไอ เสียงแหบ ขับเสมหะ ขับปัสสาวะ

สำหรับคนไทย เมื่อมีอาการร้อนใน มักจะดื่มยาขมและยาเขียว ซึ่งเป็นยาสมุนไพร ที่บำบัดอาหารร้อนในได้เป็นอย่างดี ยิ่งในยุคนี้ สมุนไพรได้ถูกแปรรูป ใช้กินง่ายขึ้น จึงมีชาสมุนไพรดื่มแก้ร้อนใน หลายอย่าง รวมทั้งแก้กระหายน้ำ แก้ไอ แก้เจ็บคอ เช่น ชาฟ้าทะลายโจร ชาชะเอม ชารางจืด ชาลูกใต้ใบ ชามะตูม

น้ำดื่มแบบไทยๆ อีกอย่าง ที่ใช้ผสมน้ำดื่มเพียงนิดหน่วยก็ชื่นใจนั้น ก็คือ ยาอุทัย ที่มีส่วนผสมของฝาง ซึ่งแก้กระหายน้ำ แก้ท้องร่วง บำรุงโลหิตสตรี ชะเอมเทศ และอบเชยเทศ แก้อาการคันระคายคอ บำรุงหัวใจขับเสมหะ และเกสรทั้งห้า (ดอกมะลิ ดอกพิกุล ดอกบุนนาค ดอกสารภี เกสรบัวหลวง) แก้ร้อนในกระหายน้ำ บำรุงหัวใจแก้ลมวิงเวียน ถ้าจะให้หอมชื่นใจยิ่งขึ้น ให้ลอยดอกมะลิสัก 6-7 ดอก กลิ่นหอมของดอกมะลิ ช่วยให้เย็นไวยิ่งขึ้น (ระวังเรื่องยาฆ่าแมลงด้วยนะคะ)

นอกจากจะเลือกดื่มน้ำผัก น้ำผลไม้ และน้ำสมุนไพรข้างต้น เพื่อคลายอาการร้อนในแล้ว ควรดื่มน้ำบริสุทธิ์มากๆ กินผักและผลไม้มากๆ เพื่อไม่ให้ท้องผูก ที่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกิน อีกอย่างหนึ่งในหน้าร้อน คือ งดกินอาหารประเภททอดๆ มันๆ อาหารรสจัดและผลไม้บางชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทุเรียนไม่ควรกินมากเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้อาการร้อนในถามหาเร็วขึ้น

กฤษฎา ภาคค่ำ จ-ศ เลขที่ 52

วิธีป้องกันไซนัสอักเสบ

ไซนัสอักเสบ เป็นได้บ่อยกว่าที่คิด และมักคิดว่าเป็นแค่หวัดลงคอ เพราะเมื่อเป็นหวัด น้ำมูกไหล แน่นจมูกมาก ๆ และมีการสูดน้ำมูกแรง ๆ ก็มีโอกาสเกิดไซนัสอักเสบเฉียบพลันได้ภายใน 2-3 วัน วันแรกที่เป็นหวัด

วิธีการป้องกัน

1. พยายามอย่าคลุกคลีกับผู้ป่วยที่กำลังเป็นหวัด ไอ หรือจาม

2. ถ้าเป็นหวัดเวลาไอ จาม ให้หาผ้าปิดปาก และจมูก เพื่อไม่ให้แพร่เชื้อหวัดไปยังผู้อื่น และห้ามสูดน้ำมูก ( การสูดน้ำมูกจะเพิ่มโอกาสเป็นไซนัสอักเสบ และหูชั้นกลางอักเสบได้ )

3. เมื่อเป็นหวัด หรือไซนัสต้องรักษาให้ถูกต้องและใช้เวลานานพอเพียง

4. การสั่งน้ำมูก ให้สั่งทีละข้าง โดยบีบจมูกข้างหนึ่งแล้วสั่งอีกข้างไม่ควรสั่งแรงมากเกินไป

5. เมื่อเป็นหวัด ให้หลีกเลี่ยงน้ำแข็งและน้ำเย็น

6. หลีกเลี่ยงการเปิดเครื่องปรับอากาศ หรือพัดลม เข้าหน้าหรือศีรษะนาน ๆ

รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าลืมดูแลสุขภาพกันด้วย จะได้มีร่างกายที่แข็งแรง.

สุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาวได้ด้วยหลัก ๗ อ.

--------------------------------------------------------------------------------

*** กินอาหารที่มีไขมันแต่พอควร

ไขมันเป็นอาหารหมวดหนึ่ง ที่จำเป็นต่อสุขภาพ แต่เพราะสาเหตุ การเจ็บป่วยของคนปัจจุบัน มาจากการกินที่ไม่ได้สัดส่วน โดยเฉพาะการกินไขมันมากเกินจนเป็นโรค "ไขมัน" จึงมักถูกมอง และถูกเข้าใจผิดว่าเป็นตัวการร้ายของการเจ็บป่วยต่างๆ แท้จริงแล้วสรรพสิ่งในโลกมีทั้งคุณ และโทษ อยู่สองด้านเสมอ สารไขมันก็เช่นเดียวกัน จะว่าไปแล้ว ไขมันไม่ใช่ตัวการที่ทำให้ใครๆ ต้องเจ็บป่วยหรือเป็นโรค แต่พฤติกรรมการกินที่ควบคุมตัวเองไม่ได้นั่นแหละที่เป็นต้นเหตุแท้จริง

ประโยชน์ของไขมันคือ ทำหน้าที่เป็นเบาะชั้นดีที่ห่อหุ้ม ป้องกันและยึดเหนี่ยวไม่ให้อวัยวะ ในร่างกาย (เช่น หัวใจ ตับ ปอด ไต ลำไส้ ฯลฯ) กระทบกระแทกกัน ซึ่งจะทำให้เกิดอันตราย

นอกจากนี้ ไขมันยังทำหน้าที่เป็นฉนวนป้องกันไม่ให้ร่างกายสูญเสียความร้อน และป้องกันไม่ให้ ความเย็น จากอากาศภายนอกผ่าน เข้าร่างกายได้ เพื่อรักษาระดับอุณหภูมิปกติของร่างกายไว้ รวมทั้งทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น ไม่แห้งกระด้าง ทำให้ผิวหนังมีสุขภาพดีและแข็งแรงสดใส

ความสำคัญของไขมันอีกแง่มุมหนึ่งที่ไม่ค่อยได้พูดถึง คือเรื่องความสวยงาม ว่ากันว่าส่วนที่ สวยงามของผู้หญิงนั้นล้วนมีแต่ไขมันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นหน้าอก ก้น สะโพก หรือแก้ม แต่ทั้งนี้ ไขมันที่อยู่ในอวัยวะดังกล่าวก็ต้อง สมดุลพอดี จึงจะสวยงามน่ามอง และในยามที่เกิดขาดแคลน หรือไม่มีอาหารกิน ร่างกายจะดึงเอาไขมันที่เก็บสะสมอยู่ตามส่วนต่างๆ มาใช้เป็นพลังงานสำรอง

ในไขมันจะมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งทำหน้าที่ช่วยในกา

โดยทั่วไปคนมักจะเข้าใจผิด คิดว่าอาหารประเภทไขมันเท่านั้นที่จะไปสะสมเป็นก้อนไขมัน อยู่ตาม ส่วนต่างๆ ของ ร่างกาย แต่ความจริง แล้ว อาหารทุกชนิดที่กินเข้าไป (เนื้อ นม ไข่ ข้าว แป้ง น้ำตาล ผลไม้) ถ้ามากเกินความต้องการที่ร่างกายต้องใช้ในแต่ละวัน ส่วน ที่เหลือจะถูกนำไป เก็บสะสมไว้ ในรูปของไขมันทั้งสิ้น

วันหนึ่งๆ ร่างกายต้องการพลังงานจากอาหารไขมันประมาณร้อยละ ๒๕-๓๐ ของพลังงานที่ ได้รับ จากอาหารทั้งหมด หรือเทียบเป็นน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหารก็ไม่เกิน ๓ ช้อนโต๊ะต่อวัน แต่คนไทย ทุกวันนี้ กินไขมันล้นเกินอย่างน่าตกใจ โดยเฉพาะอาหารทอด ชุบแป้งทอด ผัด อาหารที่มีนม เนย ไขมัน กะทิ เป็นส่วนประกอบ รวมไปถึงขนมกรุบกรอบบรรจุซองทั้งหลาย ผลคือน้ำหนักตัวเพิ่ม อ้วน เป็นโรคต่างๆ

การประกอบอาหารด้วยวิธีนึ่ง ปิ้ง ย่าง (แบบคนสมัยก่อน) จะช่วยลดปริมาณไขมันส่วนเกิน ลงได้มาก

ในแต่ละวัน คนปกติควรได้รับโคเลสเตอรอลจากอาหารประมาณ ๓๐๐ มิลลิกรัม ถ้าร่างกายได้รับ เกินความต้องการ แล้วไม่มีการออกกำลังกาย หรือไม่มีกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงานมากๆ ที่ทำให้เกิด การเผาผลาญสูงๆ สารโคเลสเตอรอลเหล่านี้ก็จะกลายเป็นส่วนเกิน แล้วสะสมอยู่ตามผนัง หลอดเลือด

*** อาหารที่ช่วยลดโคเลสเตอรอล

อาหารที่มีกากใยอาหารชนิดละลายน้ำ เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ถั่วลันเตา ถั่วแดง ถั่วเหลือง ข้าวโพดอ่อน ขนมปังโฮลวีต ธัญพืชต่างๆ

ผลไม้ที่มีกากใยสูง เช่น ส้มเขียวหวาน กล้วย ส้มโอ ฝรั่ง มะม่วง แอปเปิ้ล ลูกแพร์ และผลไม้แห้ง เช่น ลูกพรุน เป็นต้น

อาหารชนิดไขมันอิ่มตัวต่ำ เนื้อปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน นมพร่องมันเนย น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันงา น้ำมันรำข้าว น้ำมันข้าวโพด น้ำมันเมล็ดทานตะวัน เป็นต้น

รดูดซึมวิตามิน ชนิดที่ ละลายในไขมัน คือ วิตามินเอ ดี อี เค

สุขภาพดี คือ การมีชีวิตรอด

.......... สำหรับการดูแลรักษาสุขภาพของคนเรานั้น ตั้งแต่โบราณกาลมา เรื่องสุขภาพเป็นเรื่องของประชาชน ซึ่งคนไทยไม่ได้แตกต่างไปจากใครในโลก ที่ในอดีตต่างก็มีชีวิตกำเนิดเกิดก่อต่อกันมาเป็นสังคม ที่ผูกพันอยู่กับธรรมชาติ เพื่อการดำรงชีวิตที่ครบด้วยจตุปัจจัย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค แต่ละวัฒนธรรมต่างก็มีเอกลักษณ์ และการพัฒนาเฉพาะตัวในด้านต่างๆ บรรพบุรุษของแต่ละสังคม ได้มีการปรับประยุกต์เทคโนโลยี เพื่อจรรโลงเผ่าพันธุ์ให้มีอิ่ม มีอุ่น มีที่อาศัย และมีอนามัยยืนยาว ทั้งหมดนี้ คือ การปรับตัวทางสุขภาพพื้นฐานด้วยวิทยาการท้องถิ่น ตั้งแต่มนุษย์ได้ก่อตัวขึ้นมาในครรภ์ของมารดา จนกระทั่งคลอดออกมา และเจริญวัยไปตามเวลา มนุษย์ได้รับการดูแลทางสุขภาพมาโดยตลอด สุขภาพดี คือการมีชีวิตรอด เพราะฉะนั้นอาจเห็นได้ว่าในหลากหลายวัฒนธรรมกับหลากหลายค่านิยมและความเชื่อ ตลอดจนข้อห้ามและข้อกำหนด เพื่อให้เกิดพฤติกรรมที่เป็นบวกต่อการมีสุขภาพที่ดี สำหรับสมาชิกของแต่ละสังคม ซึ่งต่างวัฒนธรรม ก็ต่างมีคำอธิบายที่ต่างกัน และตรงนี้เองที่การแบ่งบทบาทหน้าที่ของคนในอดีตกาล เพื่อการอยู่รอด ซึ่งในปัจจุบันเรียกว่า การดูแลส่งเสริมสุขภาพและป้องกันรักษาโรคนั้น ปรากฏเห็นได้ชัดเจน หากศึกษาเรื่องราวในประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมของที่ต่างๆ ในแต่ละสังคม พ่อจะหาอาหาร ทำที่อยู่ ดูแลความปลอดภัย ป้องกันศัตรู แม่จะดูแลที่อยู่และดูแลลูก ตลอดจนเครื่องนุ่งห่ม เมื่อลูกเกิดออกมาก็จะมีทั้งพ่อ แม่ และเครือญาติ มาช่วยกันดูแลอบรมสั่งสอนความรู้ ประสบการณ์ และประเพณีที่ดีงาม มีการห้ามในส่วนที่เป็นอันตรายต่อตนและคนอื่น ครั้นเมื่อป่วยก็มีการช่วยกันดูแลรักษาด้วยวิชาการและยาที่ศึกษากันมาจากบรรพบุรุษ เพราะฉะนั้นสรุปได้ว่า สังคมมนุษย์นับแต่โบราณกาลก็มีระบบการดูแลสุขภาพของตนเองทั้งสิ้น จะดีกว่าหรือด้อยกว่านั้น ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบต่างๆ และปัจจัยแวดล้อมของแต่ละสังคม แต่ละพื้นที่

สาวิตรี ศรีธรรมราช_Far039(47)

กรดออกซาลิก"ในผัก ผลไม้

ตั้งแต่เกิดมาทุกคนจะถูกปลูกฝังให้กินผัก ผลไม้ เยอะ ๆ ทั้งที่บางคนก็ไม่เคยรู้เลยว่า ในผัก ผลไม้ ที่กินเข้าไปนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร หรืออาจจะมีสารอะไรบ้างที่เป็นพิษต่อร่างกาย

ท่านผู้อ่านรู้หรือไม่ว่า ผัก ผลไม้ บางชนิดที่เรากินเข้าไปทุกวัน มี “กรดออก ซาลิก” อยู่หากเรากินเข้าไปในปริมาณ มาก ๆ มันอาจจะไปจับกับแคลเซียม ทำให้เกิดนิ่วได้

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุร วัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า ในผักต่าง ๆ จะมีกรดออกซาลิกมาก โดยเฉพาะ ยอดผัก ใบ หรือต้นอ่อน

กรดออกซาลิก มีอยู่ในผักหลายชนิด ได้แก่ ใบชะพลู ยอดพริกชี้ฟ้า ผักปลัง ผักโขม ผักชีฝรั่ง ผักกระเฉด หัวไชเท้า ใบโหระพา หน่อไม้ฝรั่ง บรอกโคลี ผักกาด แครอท มันสำปะหลัง ดอกกะหล่ำ มะเขือ กระเทียม

ในผักบางชนิดนอกจากจะมีกรดออกซาลิกมากแล้ว จะมีแคลเซียมอยู่ในตัวมันเองเยอะด้วย ก็ยิ่งจะรวมตัวกัน และทำให้เกิดนิ่วได้ง่ายขึ้น

ส่วนผลไม้ที่มีกรดออกซาลิก ได้แก่ สับปะรด กล้วยไข่ พุทรา

การกินผักและผลไม้ที่มีกรดออกซาลิก มาก ๆ มันจะไปจับกับแร่ธาตุตัวอื่น ๆ กลายเป็นผลึกออกซาเลต เช่น จับกับแคลเซียม ก็จะกลายเป็น แคลเซียมออกซาเลต จับกับโซเดียม ก็จะกลายเป็น โซเดียมออกซาเลต

กรดออกซาลิกจะชอบไปจับแคลเซียม ทำให้เกิดแคลเซียมออกซาเลตได้ง่าย ยิ่งในปัจจุบันคนชอบกินแคลเซียมเม็ด กรดออกซาลิกก็จะไปจับกับแคลเซียมที่กินเข้าไป หรือไปจับกับแคลเซียมในกระดูก ทำให้เกิดผลึกนิ่ว กระดูกงอก กระดูกย้อย พอกระดูกของคนเราถูกดึงแคลเซียมออกไป กระดูกก็จะพรุนง่าย ทำให้มีหินปูนงอกตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ เอกซเรย์แล้วอาจจะเจอกระดูกงอกตรงนั้นตรงนี้ กลายเป็นก้อนนิ่วเลยก็ได้

ความจริงร่างกายสามารถขับกรดออกซาลิกออกมาทางปัสสาวะได้ แต่ในคนที่มีปัญหาเรื่องไต ไม่ควรกินเพราะร่างกายจะไม่สามารถขับกรดออกซาลิก ออกมาได้หรือขับออกมาได้น้อย ทำให้เกิดนิ่วในไต หรือกระเพาะปัสสาวะได้ คนที่กินแคลเซียมเม็ด ก็ไม่ควรกินผักที่มีกรดออกซาลิก หรือถ้ากินผักที่มีกรดออกซาลิก ก็ไม่ควรกินร่วมกับอาหารที่มีแคลเซียม เพราะอาจจะเพิ่มความเสี่ยงขึ้นได้

ดังนั้นการกินผัก ผลไม้ ที่มีกรดออกซาลิก ไม่ควรกินในปริมาณที่มากเป็นกิโลกรัม หรือกินติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือกินร่วมกับอาหารที่มีแคลเซียม

อย่างไรก็ตามผัก และผลไม้ ที่กล่าวมา แม้จะมีกรดออกซาลิก ที่อาจเป็นโทษต่อร่างกาย แต่ประโยชน์ด้านอื่นก็มีเช่นกัน เช่น มีวิตามิน แร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย หรือมีคลอโรฟิลล์เยอะ ซึ่งคลอโรฟิลล์จะช่วยนำสารอาหารเข้าไปในร่างกาย ช่วยชะลอเซลล์ที่เสื่อมได้ หลักสำคัญในการกิน คือ กินอาหารที่หลากหลาย ไม่ควรกินอะไรซ้ำ ๆ โดยเฉพาะยอดผัก มีสีเขียวจัด กลิ่นฉุน กลิ่นแรง.

นางสาวไพลิน จันทร์ทะวงศ์ เลขที่ 25 ภาคพิเศษจันทร์ - ศุกร์ cmru

คนเราหัวแหลมที่สุด อายุ 39 หลังจากนั้นสติปัญญาจะเริ่มเสื่อมถอย

คณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ของสหรัฐฯแถลงว่า ได้ศึกษาพบว่า สมองของคนเราจะเปรื่องปราดที่สุด เมื่ออายุ ขึ้น 39 ปี หลังจากนั้นก็จะเริ่มเสื่อมถอยลงในอัตราที่รวดเร็ว

กลุ่มคณะนักวิทยาศาสตร์อธิบาย สาเหตุที่สมองลดถอยลง เนื่องจากหนังที่เป็นไขมันหุ้มเซลล์ประสาท ที่เรียกว่าหน่วยประสาท เหมือนกับพลาสติกหุ้มสายไฟ เป็นเหมือนกับฉนวน สำหรับพ่นประจุสัญญาณ ไปทั่วร่างกายและสมองอย่างฉับไว เมื่อตอนช่วงวัยกลางคน ได้อ่อนชะลอลง

เมื่อเปลือกเสื่อมสลายลง เป็นเหตุให้สัญญาณที่เดินไปมาระหว่างหน่วยประสาทในสมองช้าลง ซึ่งทำให้ปฏิกิริยาของร่างกาย ต่าง ๆ พลอยเชื่องช้าลงไปด้วย พวกเขาได้บอกด้วยว่า คนเราเมื่อล่วงวัย 40 ปีแล้ว ร่างกายจะเป็นฝ่ายแพ้ศึก ในการซ่อมแซมเปลือกนอกเหล่านั้น ทีมผู้เชี่ยวชาญได้ศึกษา ด้วยการทดสอบกับผู้ชายดูว่าจะสามารถเคาะนิ้วชี้ได้เร็วสักเท่าไร ภายในระยะเวลา 10 วินาที

นางสาวไพลิน จันทร์ทะวงศ์ เลขที่ 25 ภาคพิเศษจันทร์ - ศุกร์ cmru

ดื่มน้ำเย็นหลังอาหาร อันตรายถึงชีวิต

คุณทราบหรือไม่ว่า การดื่มน้ำเย็นหลังมื้ออาหารทันที จะทำให้กระเพาะและลำไส้ของคุณเต็มไปด้วยน้ำมันที่จับตัวกันเป็นก้อนสีขาว และเมื่อเจอกับกรดในกระเพาะอาหาร จะอ่อนตัวกลายสะภาพเป็นกึ่งของเหลวที่เหนี่ยวข้น ไขมัยเหล่านี้จะไหลเข้าสู่ลำไส้ก่อนอาหารชนิดอื่นและจะดูดซึมเป็นอันดับแรก แต่ว่าลำไส้นั้นไม่อาจดูดซึมและกำจัดน้ำมันเหล่านี้ได้หมด ผนังลำไส้จะเต็มไปด้วยคราบไขมันคล้าย ๆ กับการล้างหม้อใส่แกงในหน้าหนาว ไม่ว่าจะล้างยังไงก็ยังรู้สึกมันและลื่น เมื่อเวลาผ่านไปนาน ๆ ไขมันเหล่านี้ก็จะฝังเข้าไปในผนังลำไส้ สะสมนาน ๆ จะทำให้เกิดโรคมะเร็งลำไส้ในที่สุด ดังนั้นผู้ที่เคยชินกับการดื่มน้ำเย็นหลังอาหาร ควรรีบเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาดื่มน้ำอุ่นแทน

นางสาวไพลิน จันทร์ทะวงศ์ เลขที่ 25 ภาคพิเศษจันทร์ - ศุกร์ cmru.

นวดหน้า บอกลาริ้วรอย 5 ขั้นตอนง่าย ๆ

1. เริ่มจากบริเวณหน้าผาก ให้ใช้นิ้วนางและนิ้วกลาง เริ่มจากกึ่งกลางหน้าผากนวดวนขึ้นเป็นแนวขดลวด (ขึ้นหนักลงเบา) นวดจนถึงบริเวณขมับ 6 จังหวะ ทำซ้ำ 3 ครั้ง โดยครั้งสุดท้ายให้กดจุดที่ขมับเพื่อความผ่อนคลาย

2. บริเวณรอบดวงตา และยกกระชับริมฝีปาก ใช้นิ้วกลางและนิ้วนาง นวดเบา ๆ บริเวณใต้ตา โดยเริ่มจากแนวโครงกระดูกเบ้าตาล่าง วนไปมาเบา ๆ นับ 1 ครั้ง (ทำซ้ำ 3 ครั้ง) จากนั้นเริ่มนวดจากบริเวณใต้โพรงจมูก ลูกออกด้านข้างในลักษณะยกผิวขึ้น ลูบไปมา 3 ครั้ง และเลื่อนนิ้มลงมาบริเวณใต้ท้องริมฝีปากล่าง ลูบออกตามแนวริมฝีปากในลักษณะยกขึ้น ทำซ้ำ 3 ครั้ง

3. ยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณมุมปาก ใช้ปลายนิ้วทั้ง 2 ข้าง นวดจากบริเวณกึ่งกลางคางขึ้นไปบริเวณมุมปากในลักษณะยกขึ้น (ทำซ้ำ 3 ครั้ง)

4. ยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณแก้ม ใช้ปลายนิ้มทั้ง 2 ข้าง นวดจากบริเวณมุมปากในลักษณะยกผิวขึ้นเป็นมุมกว้าง ค้างไว้สักครู่แล้วค่อยลูบลง (ทำซ้ำ 3 ครั้ง)

5. ผ่อนคลายความตึงเครียดบริเวณรอบดวงตา ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางกดบริเวณหัวตาทั้ง 2 ข้าง กดเบา ๆ นับ 1-3 แล้วลูบผ่านเปลือกตา และวนรอบดวงตา กลับมากดที่หัวตา (ทำซ้ำ 3 ครั้ง) โดยครั้งสุดท้ายลูบผ่านเปลือกตาไปกดจุดที่บริเวณขมับ

นอนไม่หลับ 33 วิธีนี้ช่วยได้

1. อย่าเข้านอนเพราะว่า "ถึงเวลานอนแล้ว" แต่จงเชื่อนาฬิกาในตัวคุณเอง ถ้าดูไม่ออกว่าตอนไหน ขอให้รู้ไว้ว่าร่างกายจะสื่อให้ทราบเมื่อถึงเวลา แต่ทว่า มนุษย์เรา ไม่รู้ ความหมายอยู่บ่อย ๆ ซึ่งได้แก่ การหาวนอน อาการแสบตา ความรู้สึกประเภท "ลานหมด" หัวจะทิ่มลงท่าเดียว ส่วนหนังตา ก็หย่อน พาลจะหลับให้ได้…. ถ้ายังไม่รับ ทราบสัญญาณเหล่านี้ คุณก็จะพลาดรถไฟ สายเจ้าหญิงนิทรา และจะต้องรอไปอีกสองชั่วโมง จึงจะง่วงนอนอีกครั้ง เนื่องจากต่าง คนต่างก็มีช่วงจังหวะของตัวเอง จึงเปล่าประโยชน์ที่ คุณ จะเข้านอนแต่เนิ่น ๆ ถ้าคุณเป็นสมาชิกครอบครัว นอนดึก หรือรอจนดึกดื่น จึงเข้านอน ถ้าคุณเป็นพวกนอนหัวค่ำ

2. อย่านอนผิดเวลาทุกวัน คุณรับประทานอาหารประมาณเวลาเดิม ก็ขอให้เข้า นอน และ ตื่นนอนตามตารางเวลา เดิมเป็น ประจำด้วย มิฉะนั้นคุณก็เสี่ยง ที่จะง่วง นอนผิดเวลา

3. ทดลองหลับแว่บเดียว ทำเหมือนจิตรกรซัลวาดอร์ ดาลี ที่ดูเหมือนเป็น หนึ่งใน บรรดา ลูกสมุนของเทคนิค "แสงแว่บ" เรียกสติคืนมา นั่งบน เก้าอี้โซฟา มือถือ ช้อนชาคันหนึ่ง ตรงปลายเท้าของคุณวางจานโลหะ ไว้หนึ่งใบ เมื่อผล็อย หลับ มือก็จะปล่อยช้อนหล่นลงมาบนจานโลหะ ส่งเสียงดัง ซึ่งจะปลุกคุณให้ตื่น…. ในทางทฤษฎีถือว่า อาการของคุณปกติดี คำอธิบาย….เมื่อหลับตา คุณตัดข้อมูล ไม่ให้เข้าสู่สมองได้ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ควรฝึกวันละหลายครั้ง

4. พักกลางคัน ถ้าคุณไม่สนใจพักแป๊ปเดียวเพื่อให้ตนเอง กระปรี้กระเปร่า ก็ใช้วิธีนี้ นั่งท่าสบาย ๆ อยู่ที่โต๊ะ ทำงาน ของคุณ หนุนศีรษะบนแขนที่ไขว้ กัน หรือนอนท่าเหยียด ยาว หลับตาและปล่อยตัวตามสบาย 5 นาที เพื่อผ่อนคลาย ง่าย ๆ

5. สะสมการนอน "ช่วงสั้น" ใน วันทำงาน คงยากที่ จะนั่งสัปหงกหน้าแป้นพิมพ์ คอมพิวเตอร์ตอน บ่ายอ่อน ๆ เก็บสะสมความอยากเอนหลังนาน ๆ เป็นชั่วโมง ครึ่งถึงสองชั่วโมง (ซึ่งเป็นหนึ่งวัฏจักรของการ นอนหลับพักผ่อน ที่เต็มอิ่ม) เอาไว้ชดเชยตอนบ่ายของวันสุดสัปดาห์ คุณจะได้พักผ่อนอย่าง อิ่มเอม ใช้หนี้ความเหนื่อยล้าตลอดสัปดาห์

6. บอกเลิกการตีเทนนิสหรือการออกกายบริหารที่ฟิตเนสทุกเย็นวันอังคาร นอกเสียจากว่าคุณไม่ กลัวนอนดึก การเล่นกีฬาตอนหัวค่ำยิ่งไม่เอื้อ ต่อการนอน เพราะทำให้ร่าง กายสดชื่นตื่นตัว แต่ก็อีกนั่นแหละ ต้องจับตาดูความรู้สึกส่วนตัวของแต่ละคน เพราะสิ่งที่ทำให้คนใกล้ตัว หลับบางที คือสิ่งที่กลับปลุกให้คุณตื่น

7. ลงมือฝึกชี่กง (ลมปราณ) ชี่กงเหมาะมากสำหรับสงบความคิดจิตใจ และขจัด ความอ่อนเพลีย ในไม่ช้าคุณจะเรียนรู้ที่จะทำท่าที่ชวนให้ง่วงนอนเป็น

8. รับประทานอาหารค่ำแต่หัวค่ำ คุณจะรู้สึกว่าเวลาช่วงค่ำยาวนานขึ้น ควรหลีก เลี่ยงการเข้านอน "ขณะยังย่อยอาหารอยู่" ปล่อยให้เวลาผ่านไป อย่างน้อย สอง ชั่วโมงหลังอาหารค่ำแล้วจึงค่อยนอน

9. ค้นพบความเพลิดเพลินและประโยชน์ของการเดินย่อยอาหารมื้อค่ำ

10. ละเว้นสารกระตุ้นต่าง ๆ เครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ กาแฟ น้ำชา….ความจริง ที่มนุษย ์ส่วนใหญ่ยังคงละเลยอยู่ ถึงแม้ว่าจะมีความสามารถจะรับและ มีปฏิกริยา โต้ตอบ พิเศษกับคาเฟอีนก็ตาม เพราะระบบเผาผลาญ บางคนต้อง ใช้เวลาสิบสอง ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมงเพื่อกำจัดกาแฟเพียงถ้วยเดียว ไม่น่าแปลกใจ ที่คำว่า "kawa" หรือ "กาแฟ" ในภาษาอาหรับ หมายถึง "ตัวทำลายความง่วง"

11. จงหาว ถ้าเกิดง่วงนอนและมีอาการหาวบ่อย ๆ การบังคับตนเองให้หาว จะช่วย ผ่อนคลาย ได้และทำให้อยากนอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้า ได้ยืดแข้งยืดขาด้วย

12. ดื่มเครื่องดื่มชาสมุนไพรที่มีคุณสมบัติในการกล่อมประสาทอย่าง ชาคาโมมายล์ ลาเวนเดอร์….จะช่วยให้นอนหลับได้

13. ลดปริมาณอาหาร และ กลูไซด์ (อินทรียสารในคาร์โบไฮเดรต) ตอนมื้อค่ำ หลีกเลี่ยงน้ำตาล ของหวานที่หวานจัด น้ำผึ้ง น้ำอัดลม…. เพราะเสี่ยงที่จะ เสริม ให้ โลหิตมี ปริมาณกลูโคสต่ำกว่าปกติในตอนกลางคืน

14. รับประทานแอปเปิ้ล ผักกาดหอม และผลิตภัณฑ์จากนม ตามความเชี่อที่ว่า อาหารเหล่า นี้เป็นเพื่อนกับความง่วง เพราะประกอบด้วยสารหลักใน ตัวยาที่ออกฤทธิ์ วิตามินและเอ็นไซม์ที่เป็นสื่อกลางช่วยให้ง่วงเหงาหาวนอน ควรเลือกผลิตภัณฑ ์จากนมที่ย่อยได้ง่ายที่สุด อย่างโยเกิร์ต (นมเปรี้ยว) นมข้น และเนยแข็งสีขาว ดีกว่าพวกเนยแข็งที่ ไขมันสูงและผ่านการหมักเชื้อ สำหรับอาหารค่ำ ควรเลือกอาหารจำพวกปลานึ่ง ผักนึ่ง และผลไม้ที่ย่อยง่าย เลีกเลี่ยงอาหาร ที่มีไขมัน ผลิตภัณฑ์จากหมูเนื้อ เครื่องเทศและเครื่องปรุงรส

15. ก่อนเข้านอนอย่าดื่มน้ำมากเกินไป แต่ให้ดื่มมาก ๆ ในระหว่างวันตั้งแต ่เวลา 18 นาฬิกาเป็นต้นไปจงลดการบริโภคของเหลว

16. ปกป้องตนเองให้พ้นจากเสียงรบกวนหาสำลีอุดหูหรือติดกระจกซ้อนสองชั้น ปูพรมตลอดห้อง ใช้เพดาน เก็บเสียง….เสียงรบกวนจากสภาพแวดล้อม ทีเราใช้ ชีวิต อยู่มีส่วนในการลด ทอนคุณภาพการนอนได้

17. หัวเราะวันละหลาย ๆ ครั้ง การหัวเราะเป็นกิจกรรมตามธรรมชาติและ เกิดขึ้นเอง ซึ่งเป็นการรักษาสมดุลของระบบประสาท สำหรับบางคน "หัวเราะนาทีเดียวมี ค่าเท่ากับการ ผ่อนคลายร่างกายสี่สิบห้านาทีเต็ม"

18. การพักผ่อนนอนหลับเป็นเรื่องใหญ่ ที่นอนเป็นเรื่องสำคัญ จงหันไปเลือก ฟูก ขนาด 160 คูณ 200 ซ.ม. กว้างขวางกว่าฟูกมาตรฐานขนาด 140 คูณ 190 ซ.ม. หรือ ไม่ก็ไปหาฟูกแบบอเมริกัน เลือกตามชอบใจว่าจะเป็น คิงไซส์ ขนาด 190 คูณ 200 ซ.ม. หรือแคลิฟอร์เนียนคิงไซส์ ขนาด 180 คูณ 210 ซ.ม.

19. เพื่อความสมดุลสงบ เวลานอนควรตรวจสอบทิศทางที่ถูกต้อง สำหรับการวาง เตียงนอน คือให้ศีรษะหันไปทางทิศเหนือ เท้าไปทางทิศใต้ตามทิศทาง ของคลื่นแม่ เหล็กโลก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อย่าให้ศีรษะหันไปทางทิศ ตะวันออก

20. ถ้าคุณต้องทาสีผนังห้องนอนใหม่ ขอให้ทราบด้วยว่าสีฟ้ากลาง ๆ เป็นสีสำหรับ การนอนที่ดีที่สุด

21. กรองแสงสว่างเหมือนกับการหรี่ศูนย์ความรู้สึดตื่นของเราค่อย ๆ หรี่จาก แสง สว่างจ้าให้มืดลงเรื่อย ๆ ลดไฟฟ้าในห้องนอนของคุณ หรือปิดตาสักครู่ ก่อน ดับไฟ คุณจะ ช่วยร่างกายให้ปฏิบัติหน้าที่ ง่ายขึ้นโดยช่วงเวลา เปลี่ยนแปลงคือ สองสามนาที และปฏิบัติกลับกันในตอนเช้า

22. ไม่ควรนำต้นไม้ใบเขียวไว้ในห้องนอน อย่างน้อยเวลากลางคืน หลีกเลี่ยง ไม่ให้ มาแย่งออกซิเจน

23. ใช้วารีบำบัด สปาบางแห่งเสนอวิธีบำบัดที่ช่วย ให้คุณค้นพบกุญแจ สำหรับการ นอนหลับใน โปรแกรม ประกอบด้วยการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ในสระว่ายน้ำ ที่ บรรจุน้ำทะเลอุ่น ๆ ตามด้วยเสียงดนตรีใต้น้ำ การแช่น้ำ ในอ่างจากุชซี่ที่ผสม หัวน้ำมันดอกลาเวนเดอร ์จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย

24. อย่าให้ห้องนอนของคุณร้อนเกินไป จะดีที่สุดให้อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 20 ถึง 25 องศาเซลเซียส

25. ควบคุมการหายใจขณะตื่นอยู่ ร่างกายเพิ่มการหายใจในระดับทรวงอกเอง โดยสัญชาตญาณ จงหายใจเข้าช้า ๆ และลึก ๆ โดยใช้ท้องอย่างไม่ต้องฝืน และ ต่อเนื่องกันราบ รื่น หายใจออกแล้วหยุดไว้สองวินาที ก่อนหายใจใหม่ อีกครั้ง การหยุดช่วงสั้น ๆ นี้มีบทบาททำให้ระบบประสาทสงบลง ให้ปฏิบัติ การหายใจ ในท่านอนเหยียดยาว ก่อนนอน

26. นวดตัว โดยเน้นที่เท้า กลุ่มเส้นประสาท เส้นโลหิต หรือต่อมน้ำเหลือง ด้วยน้ำมันหอม ระเหยผสมลงไปในน้ำมันฐาน หรือครีมที่เป็นกลาง ถ้าชอบจะ เพิ่ม น้ำมันหอมระเหย (ดอกลาเวนเดอร์ ดอกมาร์จอแลน ดอกบาซิลิก หรือเนโรลี) โดยหยดผสมไปกับน้ำมันฐาน (น้ำมันหอม ระเหยมากที่สุด 5 เปอร์เซ็นต์ น้ำมันฐานถ้าเป็นไปได้ ใช้ชนิด บริสุทธิ์ 100 เปอร์เซ็นต์ ตามธรรมชาติ) เทคนิค อื่นในการคลาย เครียดได้แก่ การใช้ฝ่ามือทั้งสองนวด โดยกางนิ้วออก นวดศีรษะเบา ๆ ไล่จากคางขึ้น ไปถึงหน้าผาก แล้วย้อนกลับ ลง มาที่ท้ายทอย คุณนวดที่หางตาได้ ด้วยเช่นกัน

27. ฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ วิธีนี้ช่วยลดภาวะตึงเครียด สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับ การนอนง่ายคือบังคับควบคุม ความรู้สึกของสายตาและ ไม่คิดอะไรอีกต่อไป ได้สำเร็จ ขณะ นอนหลับ สัมผัสทั้งห้าของเราถอดสายปลั๊ก ตามธรรมชาต ิเริ่มต้น จากการมอง การรับกลิ่น การรับรส การสัมผัส และสุดท้ายการได้ยิน

28. อาบน้ำร้อน โดยค่อย ๆ เพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้นจาก 35 ถึง 39 องศาเซลเซียส การทำเช่นนี้มี ปฏิกริยากล่อมประสาทให้ง่วงนอน (สำหรับแปดในสิบหน) คุณสามารถเติมสมุนไพร สกัดลงในอ่างน้ำร้อนได้ แต่เพื่อความเพลิดเพลิน เท่านั้น เพราะมีเพียงความร้อนเท่านั้นที่ ทำปฏิกริยา คุณเพียงแต่แช่ เท้าใน น้ำร้อน ก็ได้ ซึ่งจะต่อเนื่องถึง อุณหภูมิของร่างกาย และมีผลผ่อนคลายกลุ่ม ร่างแหเส้นประสาท หรือเส้นโลหิต หรือหลอดน้ำเหลือง ให้ปฏิบัติ ก่อนเข้านอน

29. เพียงแค่วางมือทั้งสองข้างบนหน้าท้อง ความร้อนจากมือช่วยผ่อนคลาย อวัยวะภาย ในช่องท้องที่ ขวางการไหลเวียนพลังงาน

30. อย่าคาดหมายล่วงหน้า พยายามอย่านึกคิดล่วงหน้าถึง การนัดหมาย สำคัญทาง อาชีพการงานใน วันรุ่งขึ้น แนวคิดคือเข้านอนดึกด้วย ความกังวลจะทำให้ คุณหลับ ไม่ลง

31. ผ่อนคลายตัวเองด้วยการหลับตาและจินตนาการถึงการอาบน้ำ ฝักบัวเย็น ฉ่ำ ที่ราดรด ลงมาจาก ศีรษะแล้วไหลไปตามลำคอ นำพาความเครียดทั้งวัน ที่ผ่านมาให้ไหลไป ตามทางน้ำ หรือใช้วิธีหายใจลึก ๆ อย่างรู้สติเป็นชุด ๆ ผสานกับการคิดแต่ในแง่ดี ("ฉันยอมหลับอย่างวางใจ" "ฉันรู้สึกผ่อนคลาย เต็มที่")

32. สามชั่วโมงก่อนนอน บอกเลิกกิจกรรมทุกอย่างที่คร่ำเคร่งและใช้สติปัญญา หยุดอ่านหนังสือถ้ามัน จุดจินตนาการของคุณให้ทำงาน ผลักดันให้ฝันหรือ ใช้ความคิดใคร่ ครวญ

33. พยายามคอยสังเกตสิ่งที่คุณทำแล้วหลับได้สนิทดี จะได้นำมาใช้ใหม่ ในค่ำคืน ที่นอนไม่หลับสักที

นางสาวผ่องใส ตรีเรืองโรจน์ เลขที่ 10 ภาคพิเศษจันทร์ -ศุกร์ cmru.

สมุนไพร พิชิตหนาว

เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูหนาว การดูแลสุขภาพโดยทั่วไป คือ ต้องดูแลร่างการให้ได้รับความอบอุ่น เริ่มตั้งแต่การรับประทานอาหาร เครื่องดื่ม การทำความสะอาดร่างกาย ตลอดจนการดูแลสุขภาพด้านอื่น ๆ เพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วย มีวิธีดี ๆ แนะนำ ดังนี้

ฤดูหนาวรับประทานอะไรดี

สำหรับการรับประทานอาหารในช่วงฤดูหนาว ควรเลือกรับประทานอาหารที่ร้อนและปรุงเสร็จใหม่ ๆ ควรมีรสเปรี้ยวอมขมเล็กน้อย และรสเผ็ด เช่น แกงส้มดอกแค แกงขี้เหล็ก แกงป่า สะเดาน้ำปลาหวาน เพราะธรรมชาติจะเปลี่ยนไปตามฤดูการ ผักพื้นบ้านและสมุนไพรในฤดูต่าง ๆ ก็เปลี่ยนไปเช่น เดี่ยวกัน ในฤดูหนาว มักจะมีสมุนไพรพื้นบ้าน เช่น สะเดา ซึ่งมีรสขม เมื่อกินแล้วจะช่วยแก้ไข้ ทำให้เจริญอาหาร ขี้เหล็กมีสรรพคุณช่วยระบาย ดอกแคแก้ไข้หัวลม ควรเลือกรับประทานผักพื้นบ้านตามฤดูกาล ส่วนการเลือกเครื่องดื่มในฤดูหนาวนี้ ควรเป็นเครื่องดื่มร้อน ๆ เช่น น้ำขิง ชาสมุนไพร เพื่อช่วยให้ชุ่มคอ ลดอาการไอ แก้หวัด ซึ่งป้องกันการเป็นหวัดในช่วงฤดูหนาวได้อีกทางหนึ่งด้วย

หน้าหนาวควรดูแลร่างกายอย่างไร

ด้วยอากาศที่หนาวเย็นเราควรอาบน้ำด้วยน้ำอุ่น และเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่หนา แต่บางครั้งการอาบน้ำอุ่นจะทำให้ผิวแห้งง่ายกว่าการอาบน้ำเย็น เพราะน้ำมันที่ผิวหนังจะถูกชะล้างออกไป รวมทั้งความชื้นของอากาศที่ลดลง ก็จะเพิ่มให้ผิวหนังแห้ง แตก และคันได้ง่าย ดังนั้น ควรจะดูแลร่างกายในช่วงหน้าหนาวนี้เป็นพิเศษ โดยสามารถนำเอาสมุนไพรพื้นบ้านมาประยุกต์ใช้ดูแลผิวพรรณอย่าง น้ำมันงา ขมิ้นชัน ผิวมะนาว และผิวมะกรูด

สมุนไพรดูแลผิวพรรณ

• น้ำมันงา นำงาดิบประมาณ 1 ถ้วย โขลกให้ละเอียด บีบเอาน้ำมันจากงา เก็บไว้ในขวด ทาผิวตอนเช้าและก่อนนอน น้ำมันงาจะช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดอาการแห้งแตกและคัน

• ขมิ้นชัน มีสรรพคุณช่วยลดอาการคันและช่วยลดผดผื่นตามผิวหนัง เพียงนำขมิ้นชันสดมาล้างให้สะอาดและโขลกให้ละเอียด บีบน้ำที่ได้นำมาทาผิว หลังอาบน้ำเช้า เย็น แต่อาจจะมีสีของขมิ้นติดตามเสื้อผ้าที่สวมใส่

• ผิวมะกรูด น้ำมันที่ผิวของมะนาวและมะกรูด จะช่วยเคลือบผิวให้ชุ่มชื้น ลดอาการคัน ลดการอักเสบ โดยนำมะนาวที่ใช้แล้ว ส่วนบริเวณด้านนอกของมะนาวมาทาผิวที่บริเวณที่แห้งคัน เช้า-เย็น ก็จะช่วยลดอาการคันได้

• การดูแลสุขภาพด้วยการอาบน้ำสมุนไพร

การอาบน้ำอุ่นในฤดูหนาว จะช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น เพราะในฤดูหนาว คนส่วนใหญ่มักจะเป็นหวัด คัดจมูก และคันตามผิวหนัง ซึ่งหากนำสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยลดอาการคันมาต้มอาบแทนน้ำเปล่า ก็จะช่วยบรรเทาอาการคันได้ดี สมุนไพรที่หาได้ง่ายที่ควรนำมาต้มมีดังนี้

- ยอดผักบุ้ง จำนวน 5 ยอด ใช้รักษาอาการคัน

- ใบมะกรูด จำนวน 3-5 ใบ แก้วิงเวียน ช่วยให้หายใจสบาย

- ใบมะขาม/ใบส้มป่อย 1 กำมือ แก้อาการคันตามร่างกาย ช่วยให้ผิวหนังสะอาด

- ต้นตะไคร้ จำนวน 3 ต้น บำรุงธาตุไฟ

- หัวไพล จำนวน 2-3 หัว ลดอาการอักเสบ ปวด บวม

- ใบหนาด จำนวน 3-5 ใบ ช่วยบำรุง แก้โรคผิวหนัง น้ำเหลือง

- หัวขมิ้นชัน จำนวน 2-3 หัว ช่วยสมานแผล แก้คันตามผิวหนัง

- การบูร จำนวน 15 กรัม ช่วยบำรุงหัวใจ

- หัวหอมแดง จำนวน 3-5 หัวแก้หวัดคัดจมูก

เพียงนำสมุนไพรทั้งหมดมาต้มรวมกัน ผสมน้ำเย็นให้พออุ่น แล้วนำมาอาบ

สรรพคุณของสมุนไพร จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ลดอาการคันตามผิวหนัง ช่วยให้หายใจโล่ง แค่นี้ก็จะรู้สึกสบายตัว ไม่ต้องกังวลกับฤดูหนาวแล้ว

นางสาวไพลิน จันทร์ทะวงศ์ เลขที่ 25 ภาคพิเศษจันทร์ - ศุกร์ cmru.

อาหารแสลง....สิว

สิว.. เป็นโรคสำหรับคนหนุ่มสาวก็ว่าได้ เพราะเรามักพบเห็นคนเป็นสิวในช่วงวัยรุ่น และจะค่อย ๆ ลดน้อยลงเมื่อพ้นอายุ 25 ปี ไปแล้ว แต่ข้อสรุปนี้...ใช่ว่าจะใช้ได้กับทุกคน เนื่องจากบางคนเกิดมา สิวสักเม็ดบนในหน้าก็ไม่เคยได้สัมผัส ในขณะที่บางคนต้องควักกระเป๋าจ่ายค่ายา ค่ารักษาสิว

สำหรับคนเป็นสิว เรามักจะมีคำพูดปลอบใจติดปาก ที่ติดหูมาจากโฆษณาชิ้นหนึ่งว่า “สิว...เป็นเรื่องธรรมชาติ” ซึ่งก็ลดความกังวลใจเบื้องต้นลงได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้าต้องการลดทั้งความกังวลใจ และปริมาณสิว ก็ลองมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคกันดูสักตั้ง เผื่ออะไรบนใบหน้าจะดีขึ้นมาบ้าง

เพราะสิวมีความสัมพันธ์กับผิวหน้าที่มีความมัน และความมันที่เกิดขึ้นบนใบหน้าก็มีความสัมพันธ์กับอาหารการกิน

ผิวหน้าที่มีความมันนั้น เกิดจากต่อมไขมันบนใบหน้าผลิต Sebum (ไขมันที่ถูกขับจากต่อม ที่เรียกว่า Sebaceousglamg) มากเกินไป ซึ่งการผลิต Sebum ในปริมาณที่มากนั้นเป็นผลมาจากฮอร์โมนเพศชาย หรือที่เรียกว่า “เทสโทสเตอโรน” ซึ่งสร้างจากอัณฑะผู้ชาย และต่อมหมวกไตในผู้หญิง ฮอร์โมนตัวนี้เองที่เป็นตัวกระตุ้น ต่อมน้ำมันที่ผิวหน้าให้สร้างน้ำมันออกมามาก จนทำให้รูขุมขนเกิดการอุดตัน และเกิดเป็นสิวในที่สุด

ฉะนั้นหากคุณรับประทานอาหารไขมันมาก Sebum ก็จะถูกผลิตมาก สิวก็จะมากตามไปด้วย ถ้าคุณเป็นคนผิวธรรมดา Sebum ก็จะถูกผลิตไม่มากนัก แต่ถ้าเป็นคนผิวมัน ก็เห็นได้ชัดเจนถึงการผุดเพิ่มของเม็ดสิว อันเนื่องมาจาก การรับประทานอาหารมัน คนเป็นสิวจึงไม่ควรรับประทานอาหารมันมาก

นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ประกอบด้วยไขมันชนิดอิ่มตัว เช่น น้ำมัน หรือ ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ นม เนย ครีม เพราะไขมันอิ่มตัวทำให้เกิดการ อุดตันของรูขุมขนที่ใบหน้าได้ง่าย ด้วยเหตุนี้ผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน มักแนะนำให้คนที่เป็นสิวมาก เลือกใช้น้ำมันพืชชนิดที่มีไขมันไม่อิ่มตัว ลดไขมันสัตว์และน้ำมันพืชชนิด ไฮโดรจิเนต หรือที่เรียกว่าไขมันแปลงสภาพ ซึ่งนิยมใช้ในกระบวนการผลิตอาหารสำเร็จรูป เพราะช่วยให้อาหารมีหน้าตาดีและรสชาติดีกว่าการใช้น้ำมันพืช

และในผู้ชายยังพบว่า การรับประทานอาหารหวาน แป้ง น้ำตาล โดยเฉพาะพวกขนมอย่างเช่น เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ถั่วลิสง น้ำอัดลม เรียกได้ว่า เป็นอาหารแสลง เฉพาะบุคคล ซึ่งต้องอาศัยการสังเกตตัวเอง ว่าแสลงกับอาหารประเภทไหนก็พยายามหลีกเลี่ยงอาหารประเภทนั้น

เมื่อหลีกเลี่ยงหรือลดอาหารแสลงสิวได้แล้ว ก็ลองเพิ่มอาหารที่ช่วยบรรเทาการเกิดสิวกันดูบ้าง ด้วยการรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น ข้าวกล้อง หรือ พืชผัก ผลไม้

ข้อเสนอ 14 อุปนิสัยที่ดีในการขับถ่ายปัสสาวะ

1.อย่ากลั้นปัสสาวะ เมื่อรู้สึกปวดต้องไปปัสสาวะ

2.เวลาปัสสาวะไม่ควรรีบร้อนเบ่งมาก เพราะอาจทำให้หูรูดปัสสาวะชำรุดได้

3.ควรถ่ายปัสสาวะให้เหลือน้อยที่สุดในหนึ่งครั้ง นั่นคือเมื่อรู้สึกถ่ายหมดแล้วให้เบ่งต่ออีกนิดหน่อย ปัสสาวะที่เหลือจะไหลออกมา

4.ไม่ควรบังคับให้ตนเองถ่ายปัสสาวะบ่อย เพราะจะติดเป็นนิสัย เวลาที่เหมาะสมคือ 2-4 ชั่วโมงควรถ่ายปัสสาวะหนึ่งครั้ง

5.ให้สังเกตการถ่ายปัสสาวะ และน้ำปัสสาวะของตนเองทุกครั้งว่า ต้องเบ่งมากผิดปกติหรือไม่ น้ำปัสสาวะลำพุ่งดีหรือไม่ ลำน้ำปัสสาวะมีขนาดเล็กลงกว่าเดิมหรือไม่ น้ำปัสสาวะมีสีเหลืองใสหรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเป็นอาการผิดปกติที่สามารถบอกโรคได้

6.อาจจะล้างทำความสะอาดหลังปัสสาวะ แต่อย่าให้บริเวณนั้นเปียกชื้น เพราะอาจเกิดเชื้อราได้ ทางที่ดีหลังปัสสาวะทุกครั้ง ควรซับให้แห้ง

7.เมื่อปัสสาวะไม่ออก ต้องหาสาเหตุโดยการไปพบแพทย์ อย่าซื้อยาขับปัสสาวะรับประทานเพราะจะเกิดอันตรายได้

8.เมื่อเข้าสู่วัยกลางคน การบริหารอุ้งเชิงกรานโดยการขมิบ (ฝ่ายหญิงขมิบช่องคลอด ฝ่ายชายขมิบทวารหนัก) วันละ 100 ครั้ง จะช่วยป้องกันอาการปัสสาวะเล็ด

9.ดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 10 แก้ว หรือหนึ่งลิตร จะช่วยให้น้ำปัสสาวะใส มีจำนวนพอดีและป้องกันภาวะปัสสาวะอักเสบ

10.ก่อนมีเพศสัมพันธ์ และหลังมีเพศสัมพันธ์ คุณผู้หญิงควรถ่ายปัสสาวะทิ้ง จะช่วยป้องกันการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

11.น้ำปัสสาวะจะต้องเป็นน้ำเท่านั้น ถ้ามีมูก หนอง น้ำเหลือง เลือดปนออกมา ถือว่าผิดปกติต้องไปพบแพทย์

12.การขับถ่ายปัสสาวะ ต้องขับถ่ายคล่องไม่มีอาการเจ็บปวด ถ้าปัสสาวะแสบขัดลำบากนับว่าเป็นอาการผิดปกติ ต้องไปพบแพทย์อีกเช่นกัน

13.คนเราทุกคนต้องปัสสาวะทุกวัน วันละ 4-6 ครั้ง ถ้าไม่ปัสสาวะเลย 1 วัน ถือว่าตกอยู่ในภาวะอันตราย ต้องไปพบแพทย์โดยด่วน

14.ก่อนเดินทางไกล ก่อนยกของหนัก ควรปัสสาวะทิ้งก่อนทุกครั้ง

 

 

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)เลขที่ 33

สูตรสมุนไพรบำรุงผิวหน้า

ว่านหางจระเข้: บำรุงผิว ป้องกันฝ้า ลบรอยจุดด่างดำ รักษาสิว

แตงกวา:สมานผิว ลบรอยเหี่ยวย่น

มะเขือเทศ: สมานผิว ลดรอยเหี่ยวย่น จุดด่างดำ

ขมิ้นสด: บำรุงผิวหน้าผุดผ่องสดใสอ่อนวัย และช่วยให้สิวยุบเร็ว

กล้วยน้ำว้าสุก: บำรุงผิวนุ่มเนียนอ่อนไว

หัวไชเท้า: ช่วยลดรอยฝ้าและกระให้จางหาย

ใบบัวบก: ลดรอยตีนกา

มะขามเปียก: บำรุงผิวหน้าขาวเนียน ลดรอยฝ้าจุดด่างดำ ชำระล้างสิ่งสกปรก

กล้วยหอม: ลดรอยเหี่ยวย่น ถนอมผิวหน้าให้ชุ่มชื่น

ทุเรียน: ลดปัญหาสิวเสี้ยน

มะนาว: ลดสีเข้มของกระบนใบหน้า

มะม่วงสุก: แก้ปัญหาฝ้าและสิว

แครอต: บำรุงผิวหนแต่งตึงสดใส

มะเขือเทศ: รักษาสิวหัวดำ ป้องกันรูขุมขนอุดตัน ทำความสะอาดผิวหน้า

สับปะรด: บำรุงผิวหน้าขาวใส และช่วยขจัดเซลล์ตายให้หลุดลอก

แตงโม: บำรุงผิวหน้าชุ่มชื่นสดใส

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์) 006 เลขที่ 30

บรรเทาอาการปวดหัวด้วยตัวคุณ

อาการปวดหัวเป็นเรื่องปกติคู่วิถีชีวิตคนเมืองอย่างเราๆ บนโต๊ะทำงานนอกจากจะเห็นเครื่องเขียนจำเป็นแล้ว แผงยาแก้ปวดหัว ก็ดูจะคุ้นตาอยู่บ่อยๆ ทำไมถึงปวดหัวหรือ

สาเหตุนั้นมีเยอะมาก แล้วแต่องค์ประกอบของแต่ละคน เช่น มีโรคประจำตัวบางอย่าง ความดันโลหิตสูง เป็นไมเกรน คนกลุ่มนี้เขาจะรู้ตัวเมื่อมันเริ่มปวดตึบๆ ขึ้นมา ส่วนใหญ่ถ้ากินยาดักไว้ก่อนอาการก็จะทุเลาไม่ถึงขั้นรุนแรง

แต่สำหรับคนที่ปวดหัวทั่วไป อาจมีได้หลายสาเหตุ เช่น อากาศร้อนเกินไป นอนไม่พอ เครียด หิวข้าว คนที่ชอบเคี้ยวหมากฝรั่งนานๆ แพ้กลิ่นน้ำหมอฉุนๆ คนสูบบุหรี่จัดส่วนใหญ่ก็จะปวดหัวบ่อยๆ นอนผิดท่าก็ทำให้ปวดหัวได้เหมือนกัน อย่างนอนคว่ำหน้าก็อาจทำให้กล้ามเนื้อที่คอหดตัวและเป็นสาเหตุให้ปวดหัวได้ ท่านอนหงายจะดีกว่าสำหรับคนที่ปวดหัวบ่อยๆ และปวดหัวไม่ทราบสาเหตุอีกมากที่ทำให้คนเราปวดหัว ก่อนที่จะพึ่งโอสถก็ลองแก้ที่ต้นเหตุปัญหาและพึ่งตนเองดูก่อนกันดีกว่าไหม...

นอนหลับสักงีบอาจช่วยให้อาการปวดหัวดีขึ้น แต่ก็เหมือนดาบสองคม บางคนปวดหัวแล้วนอนสักตื่นจะอาการดีขึ้น แต่บางคนนอนมากไปจะยิ่งปวดหัวหนักขึ้น ต้องลองดูนะครับ

ไม่ว่าจะยืนหรือนั่ง ต้องให้หลังและคอตั้งตรงไว้เสมอ พยายามหลีกเลี่ยงการเอียงศีรษะไปด้านใดด้านหนึ่งอยู่เสมอๆ

ประคบร้อนหรือเย็น ที่บริเวณหน้าผากและต้นคอก็ช่วยได้ ส่วนจะเลือกร้อนหรือเย็นอันนี้ต้องตามความเหมาะสมของแต่ละคน ขอแนะนำว่าความร้อนห้ามใช้กับคนปวดหัวไมเกรน หรือคนที่ปวดหัวเพราะความดันโลหิตสูง

หายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนออกช้าๆ เหมือนเวลาคลายเครียด หรือดับความโกรธ

นวดและกดเพื่อบรรเทาอาการปวดหัว บริเวณต้นคอ ไหล่ และหลัง

ประคบดวงตาด้วยผ้าชุบน้ำเย็น เพราะอาจเกิดจากตาเพลียที่ต้องสู้กับแสงจ้าเป็นเวลาต่อเนื่องนานๆ เช่น อยู่ท่ามกลางแดด สู้แสงหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวันจนตาล้า การใส่แว่นกันแดด หรือติดแผ่นกรองแสงหน้าจอก็ช่วยได้มาก

ดื่มกาแฟดำสักแก้ว อาจช่วยได้ แต่อย่าดื่มมากไปเพราะอาจทำให้ใจสั่นและนอนไม่หลับ

รับประทานอาหารให้ครบทุกมื้อ เพราะการอดอาหารอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง เส้นเลือดในสมองหดตัว เมื่อทานอาหารมื้อต่อไปจะทำให้เส้นเลือดขยายเกิดอาการปวดหัวได้

งดอาหารบางชนิด ได้แก่ อาหารที่มีรสเค็มที่ใส่เกลือมากๆ อาหารที่ใส่ผงชูรส ช็อกโกแล็ต เนยแข็ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

อยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทได้ดี และมลพิษน้อยที่สุด

น.สพิชญา ลีวรรธระ ม.ฟาร์

วิธีแก้ไขปัญหา "หน้ามันเยิ้ม

เรื่องหน้ามัน เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในช่วงวัยรุ่น เนื่องจากมีอิทธิพลของฮอร์โมนเพศที่เพิ่มขึ้นไปกระตุ้นต่อมไขมัน ให้ทำงานมากขึ้น แต่บางคนคิดว่าตัวเองพ้นวัยรุ่นมานานแล้ว ทำไมยังหน้ามันไม่หายสักที นั่นเป็นเพราะยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่ส่งผลต่อความมันบนใบหน้า ความเครียด, การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในหญิงมีครรภ์, ความร้อน และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะสม

ส่วนความเชื่อที่ว่าการรับประทานของมันๆ เช่น ขาหมู, ไอสกรีม, กะทิ แล้วจะทำให้หน้ามันนั้นเป็นการเข้าใจผิดค่ะ เพราะเป็นไขมันคนละชนิดกับที่หลั่งออกมาสู่ผิวหนัง

ปัญหาที่พบคู่กันกับคนหน้ามันคือ รูขุมขนกว้าง ซึ่งจะสัมพันธ์กับปริมาณไขมันที่ผลิตจากต่อมไขมันและหลั่งออกสู่ผิวหนังที่มากขึ้น เพราะถ้าไขมันเหล่านี้ไม่สามารถระบายออกไปได้ ก็จะเกิดการอุดตันเกิดเป็นสิวตามมาให้กลุ้มใจอีกเรื่องค่ะ

การดูแลรักษาผิวหน้า สำหรับคนหน้ามัน

1. ควรล้างหน้าให้สะอาดวันละ 2-3 ครั้งก็พอ เพราะการล้างหน้าบ่อยเกินไปกลับจะเป็นโทษคือทำให้ผิวหน้าอักเสบระคายเคืองได้ ในระหว่างวันถ้ารู้สึกรำคาญหน้ามันก็อาจใช้กระดาษซับมันช่วยได้ สบู่หรือโฟมที่เลือกใช้ควรผลิตสำหรับผิวมันโดยเฉพาะ หรืออาจใช้เป็นสบู่เด็กก็พอ ไม่ควรใช้สบู่ที่ฟอกแล้วหน้าตึงมาก

2. ครีมบำรุงหรือครีมให้ความชุ่มชื้น ควรเลือกชนิดปราศจากน้ำมัน (Oil-free) และไม่อุดตันรูขุมขน (Non-Comidogenic) และควรมีสารป้องกันแสง UV ที่จะมาทำลายผิวด้วย

3. การแต่งหน้า ถ้าเป็นไปได้แป้งที่เหมาะสมสำหรับคนหน้ามันก็คือแป้งฝุ่น แต่ถ้าจำเป็นต้องแต่งหน้าก็อาจใช้แป้งฝุ่นก่อนจึงค่อยแต่งหน้า การเลือกใช้รองพื้นควรใช้ชนิดที่มีส่วนผสมเป็นน้ำ (Water Based) และปราศจากน้ำมัน (Oil-free)

ถ้าปฏิบัติด้วยวิธีดังกล่าวแล้วยังมีหน้ามันมาก มีรูขุมขนกว้างหรือมีสิวขึ้นจนขาดความมั่นใจก็ควรไปปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพราะคุณหมอจะมียาทาบางชนิดที่ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน ช่วยขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วที่อุดตันตามรูขุมขนออกไป เช่น ยาในกลุ่มกรดวิตามินเอ, AHA, BHA ฯลฯ ทำให้ผิวหน้าดูดีขึ้น

ส่วนยารับประทานที่ควบคุมความมันบนใบหน้าเป็นยาอันตรายนะคะ! ซื้อทานเองหรือเอาไปแบ่งเพื่อนทานก็ไม่ได้ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเท่านั้นค่ะ

นางสาวขวัญแรก ปันสา no.58 sec.02 cmru

สุขภาพร่างกายแข็งแรงกับธาตุทั่ง ๔

ธาตุทั้ง 4 มักจะบ่งบอกถึงลักษณะนิสัยและอารมณ์ของคนเรา

ว่าเป็นคนแบบไหนอย่างไรชอบอะไรไม่ชอบอะไร แถมยังจะบอกด้วยว่าลักษณะผิวพรรณรูปร่างเป็นอย่างไร แม้กระทั้งอาหารการกินต่างๆ ซึ่งจะช่วยให้เกิดความสมดุลทางร่างกาย เป็นการส่งเสริมสุขภาพให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ได้แก่

ธาตุดิน

เปรียบดั่งความห่วงใย สีประจำธาตุคือสีน้ำตาล คนธาตุดินมักจะมีร่างกายและกล้ามเนื้อแข็งแรง สูงใหญ่ ผิวค่อนข้างคล้ำ เสียงดังฟังชัด เป็นคนหนักแน่น รักการประนีประนอม สดใส ดูท่าทางขี้โกงแต่จิตใจดี

ควรรับประทานผักและผลไม้ที่มี

รสฝาด รสหวาน รสมัน รสเค็ม เช่น ฝรั่งดิบ หัวปลี กล้วย มะละกอ เผือก มัน ถั่วพู กะหล่ำปลี ผักกระเฉด มะม่วง มังคุด เงาะ ลำไย น้ำเต้าหู้ น้ำแตงโม ขนมจีนน้ำพริกเป็นต้น

ธาตุน้ำ

เปรียบดั่งกำลังใจ สีประจำธาตุคือสีฟ้า คนธาตุน้ำมักมีรูปร่างสมส่วน ท้วมถึงอ้วน ผิวพรรณสดใส มีความนุ่มนวลในตัวเองหากนำมาใช้ถูกทาง สิ่งใดหลีกเลี่ยงได้ก็ควรหลีกเลี่ยง เชื่องช้าในบางครั้ง

ควรรับประทานผัก และผลไม้ที่มี

รสเปรี้ยว เช่น ก๋วยเตี๋ยว มะเขือเทศ ส้มโอ สับปะรด มะนาว ส้มเขียวหวาน ยอดมะขามอ่อนเป็นต้น

ธาตุลม

เปรียบดั่งความคิดถึง สีประจำธาตุคือสีเขียว ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่เกิดราศีตุลย์ คนธาตุลมมักมีรูปร่างโปร่งไม่อ้วน ผิวหนังแห้ง

ควรรับประทานผักผลไม้ น้ำผลไม้ที่มี

รสเผ็ดร้อน ระบบการเผาผลาญทำงานเร็วผิดปกติเช่น กะเพราแดง โหระพา น้ำตะไคร้ ข่า กระเทียม ขึ้นฉาย น้ำขิง ยี่หร่าเป็นต้น

ธาตุไฟ

เปรียบดั่งความรัก สีประจำธาตุคือสีชมพูและสีม่วง คนธาตุไฟมักมีรูปร่างผอม ผิวคล้ำ ตกกระ กล้ามเนื้อกระดูกหลวม ร่าเริงสนุกสนาน คุยเก่ง สุภาพ อ่อนโยน แต่ควรที่จะระวังคำพูดในบางครั้ง

ควรรับประทานผัก และผลไม้ที่มี

รสขม รสหอมเย็น รสจืด เช่น สะเดา แตงโม น้ำผักตำลึง น้ำว่านหางจระเข้ น้ำหัวผักกาด ฟักเขียว น้ำแตงกวา คะน้า บวบ มะเขือต่างๆเป็นต้น

สัญญาณ 10 ประการที่ร่างกายคุณฟ้องว่าคุณท­านอาหารไม่เหมาะสม

ร่างกายของคุณเกิดมีปฏิกิริยาตอบกลับมาเป็นผดผื่น คัน ผิวหนังลอกเป็นขุยแล้วล่ะ ก็ แสดงว่าคุณกำลังทานอาหารไม่ถูกต้องอยู่นะคะ วันนี้เราจึงนำ สัญญาณ 10 ประการที่ร่างกายคุณฟ้องว่าคุณทานอาหารไม่เหมาะสมมา ฝากกัน

1. ผิวหนังมีปัญหา

เช่น มีอาการคัน หรือลอกเป็นขุย แม้จะไม่ใช่ช่วงหน้าหนาว อาการเช่นนี้อาจเป็นลักษณะของการ ขาดวิตามิน A ผักและผลไม้ ที่มีสีเหลือง สีส้ม หรือสีเขียวเข้ม ล้วนแต่อุดมไปด้วยวิตามิน A เพียงพอที่จะทำให้ผิวคุณเป็นปกติ ไม่ควรทานวิตามิน A เสริมที่อยู่ในรูปแบบเม็ด เพราะการได้รับโดยตรงเช่นนี้มาก เกินไปจะเป็นอันตรายได้

2. ผมไม่เงางาม

ในกรณีที่รุนแรง ผมของคุณจะไม่สามารถจัดทรงได้เลย เป็นผลมาจากการ ขาดโปรตีนและธาตุเหล็ก โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เป็นมังสวิรัติ หรือคน ที่จำกัดอาหารอย่างมาก ดังนั้นคุณจึงควรที่จะทานอาหารที่มีกากใยควบคู่ไปกับการ ออกกำลังกาย ส่วนคนที่เป็นมังสวิรัติ ต้องได้สารอาหารจาก พืชผัก ข้าว และ ถั่ว ในอัตราส่วนที่เหมาะสม เพื่อที่จะได้โปรตีนทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่ขาดไป และเพิ่มเติมด้วยกะหล่ำดอก และผลไม้เปลือกแข็ง เช่น เกาลัด ถั่วแขก และถั่ว เหลือง ซึ่งอุดมไปด้วยไบโอติน

3. ท้องผูก

เป็นอาการที่กำลังบอกคุณว่า คุณต้องได้สารอาหารพวก ไฟเบอร์ หรืออาหารที่มีกากใย เช่น ผักผลไม้ต่าง ๆ อย่างน้อยวันละ 25 กรัม และดื่มน้ำให้มากขึ้นด้วย

4. ผายลมบ่อย ( ตด...เหม็น)

แม้ว่าไฟเบอร์จะมีประโยชน์ แต่ถ้ากินมากเกินไป หรือได้รับสารอาหารประเภทนี้เร็ว เกินไป เช่น กินถั่ว หรือไม้จำพวกที่มีฝัก เช่น กระถิน ทองหลาง ร่างกายของคุณจะ ผลิตแก๊สตามออกมามากกว่าอาหารที่ย่อยง่ายตามปกติ วิธีแก้ปัญหาคือค่อย ๆ เพิ่มสารอาหารพวกไฟเบอร์อย่างช้า ๆ ถ้าคุณเคยกินแค่เพียง วันละ 10 กรัม อย่าผลีผลามเพิ่มเป็น 25 กรัมในวันรุ่งขึ้น ในสัปดาห์แรกเพิ่มแค่ เพียง 5 กรัม แล้วสัปดาห์ต่อมาค่อยเพิ่มอีก 5 กรัม

5. ข้อต่อมีเสียงดังหรือปวดบริเวณข้อต่อ

อย่าเพิ่งไปโทษโรคข้ออักเสบ อาจเป็นไปได้ว่าคุณกิน ปลาน้อยเกินไป กรดไขมัน ประเภทโอเมก้า -3 ที่พบมากในปลา เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า จะทำให้ข้อต่อของคุณ เคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น ซึ่งจะช่วยให้กระแสโลหิตไหลเวียนดีขึ้น ลดอาการบวมและ ปวดบริเวณข้อต่อ

6. สเปิร์มน้อยลงไปมาก

ถ้าคุณกำลังพยายามที่จะมีลูก และมีปัญหาระดับของสเปิร์มต่ำกว่าปกติ อาจเป็นไป ได้ว่าคุณ ขาดวิตามิน C ซึ่งเป็นตัวสำคัญในการกระตุ้นการทำงานระบบภูมิคุ้มกัน ของร่างกายจากการศึกษาพบว่า วิตามิน C ยังช่วยในการรักษาปริมาณและความสมบูรณ์ ของตัวสเปิร์มด้วย Earl Dawson, Ph.D., ที่ University of Texas Medical Branch ที่ Galveston แนะนำว่าให้ผู้ชายดื่มน้ำส้มอย่างน้อยวันละประมาณ 1 ลิตรทุกวัน โดยบอกว่าวิตามิน C มีส่วนช่วยป้องกันสเปิร์มจากอันตรายและความเสียหายในทุกๆ ด้าน

7. หัวใจเต้นผิดปกติ

หัวใจของคนเราเป็นกล้ามเนื้อที่มีการบีบตัวมากกว่า 100,000 ครั้งต่อวัน คงไม่ สามารถทำงานอย่างสมบูรณ์แบบได้ตลอดเวลา แต่ถ้าอยู่ ๆ คุณรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็ว กว่าปกติ หรือเต้น ๆ หยุด ๆ โดยไม่มีเหตุผล ถ้ามีอาการเจ็บปวด หรือหน้ามืด เวียนศีรษะด้วย ให้รีบไปพบแพทย์ทันที แต่ถ้าแพทย์พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ หัวใจคุณก็ยังมีอาการเต้นผิดปกติในบางครั้ง คุณอาจจะ ขาดสารอาหารพวกแม็กนีเซียม หรือโปแตสเซียม สำหรับโปแตสเซียม ให้ดื่มน้ำส้มวันละ 2-3 แก้ว ช่วงอาหารเช้าให้ เพิ่มกล้วยเข้าไปในส่วนหนึ่งของเมนู สำหรับแม็กนีเซียม ให้ทานอาหารว่างที่เป็น พวกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดทานตะวัน หรือเมล็ดฟักทอง และผักโขม เป็นอีกตัว หนึ่งที่มีแร่ธาตุช่วยในการทำงานของหัวใจ

8. ปวดเหงือก

ถ้าการเจ็บปวดเกิดจากการอักเสบ ก่อให้เกิดความเจ็บปวดและปัญหาของเหงือก แสดงว่า ปากของคุณกำลังต้องการ แบคทีเรียที่มีประโยชน์ ให้มาช่วยจัดการกับแบคทีเรียใน ปากที่มีอันตราย ให้กินโยเกิร์ตที่มีแบคทีเรียที่เราต้องการเป็นอาหารว่างในช่วง เช้าของทุกวัน

9. กระดูกแตก

ถ้ากระดูกคุณแตกมากกว่า 2-3 ครั้งตั้งแต่โตเป็นผู้ใหญ่ อาจเป็นไปได้ว่ากระดูก ของคุณอยู่ในภาวะอ่อนแอ อาจมีสาเหตุมาจากการขาดวิตามิน D และแคลเซียม ซึ่งเป็น ตัวประกอบที่สำคัญในการสร้างกระดูก ผู้ชายก็ต้องการแคลเซียมมากเหมือน ๆ ผู้หญิง เพราะผู้ชายมักจะกินเนื้อมากกว่า ซึ่งอุดมไปด้วยฟอสฟอรัส ยิ่งร่างกายได้รับ ฟอสฟอรัสมากเท่าไร ก็ยิ่งต้องการแคลเซียมมากขึ้นเท่านั้น อาหารที่อุดมไปด้วย แคลเซียม ได้แก่ ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง โยเกิร์ต นมและเนยแข็ง (ไขมันต่ำได้ก็ ดี)

10. ขี้ลืม

อาจเป็นได้ว่าคุณขาดวิตามิน B ในการศึกษาที่ USDA Human Nutrition Research Center in Boston นักวิจัยพบว่าผู้ชายที่มีระดับของวิตามิน B 6 B 12 และ B folate สูงในเลือด จะมีความทรงจำที่ดีกว่าจากการทดสอบพบว่าสารอาหารพวกนี้ช่วย ให้สมองทำงานได้เต็มที่ และยังช่วยควบคุม homocysteine ซึ่งเป็นกรดอะมิโนชนิด หนึ่งที่อยู่ในร่างกาย ซึ่งเป็นตัวขัดขวางการที่เลือดจะไปหล่อเลี้ยงสมอง ถั่ว เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน B 6 และโฟเลต มากที่สุด และไม่ต้องกังวลกับการ ขาดวิตามิน B 12 เพราะมีมากในเนื้อสัตว์และอาหารทะเล

หมั่นสังเกตตัวเองสักนิด แล้วจะรู้ว่าร่างกายของท่านเรียกร้องอะไร

วิธีแก้ไขปัญหา "หน้ามันเยิ้ม"

เป็นภาวะที่พบได้บ่อยในช่วงวัยรุ่น เนื่องจากมีอิทธิพลของฮอร์โมนเพศ ที่เพิ่มขึ้นไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากขึ้น แต่บางคนคิดว่าตัวเองพ้นวัยรุ่นมานานแล้ว ทำไมยังหน้ามันไม่หายสักที นั่นเป็นเพราะยังมีปัจจัยอีกหลายอย่าง ที่ส่งผลต่อความมันบนใบหน้า ความเครียด, การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในหญิงมีครรภ์, ความร้อน และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ไม่เหมาะสม

*ส่วนความเชื่อที่ว่าการรับประทานของมันๆ*

เช่น ขาหมู, ไอสกรีม, กะทิ แล้วจะทำให้หน้ามันนั้นเป็นการเข้าใจผิดค่ะ เพราะเป็นไขมันคนละชนิด กับที่หลั่งออกมาสู่ผิวหนัง

*ปัญหาที่พบคู่กันกับคนหน้ามันคือ*

รูขุมขนกว้าง ซึ่งจะสัมพันธ์กับปริมาณไขมันที่ผลิตจากต่อมไขมัน และหลั่งออกสู่ผิวหนังที่มากขึ้น เพราะถ้าไขมันเหล่านี้ไม่สามารถระบายออกไปได้ ก็จะเกิดการอุดตันเกิดเป็นสิวตามมาให้กลุ้มใจอีกเรื่อง

*การดูแลรักษาผิวหน้า สำหรับคนหน้ามัน*

1. ควรล้างหน้าให้สะอาดวันละ 2-3 ครั้งก็พอ เพราะการล้างหน้าบ่อยเกินไป กลับจะเป็นโทษคือทำให้ผิวหน้าอักเสบระคายเคืองได้ ในระหว่างวันถ้ารู้สึกรำคาญหน้ามันก็อาจใช้กระดาษซับมันช่วยได้ สบู่หรือโฟมที่เลือกใช้ควรผลิตสำหรับผิวมันโดยเฉพาะ หรืออาจใช้เป็นสบู่เด็กก็พอ ไม่ควรใช้สบู่ที่ฟอกแล้วหน้าตึงมาก

2. ครีมบำรุงหรือครีมให้ความชุ่มชื้น ควรเลือกชนิดปราศจากน้ำมัน (Oil-free) และไม่อุดตันรูขุมขน (Non-Comidogenic) และควรมีสารป้องกันแสง UV ที่จะมาทำลายผิวด้วย

3. การแต่งหน้า ถ้าเป็นไปได้แป้งที่เหมาะสม สำหรับคนหน้ามันก็คือแป้งฝุ่น แต่ถ้าจำเป็นต้องแต่งหน้าก็อาจใช้แป้งฝุ่นก่อนจึงค่อยแต่งหน้า การเลือกใช้รองพื้นควรใช้ชนิดที่มีส่วนผสมเป็นน้ำ (Water Based) และปราศจากน้ำมัน (Oil-free)

ถ้าปฏิบัติด้วยวิธีดังกล่าวแล้วยังมีหน้ามันมาก มีรูขุมขนกว้างหรือมีสิวขึ้นจนขาดความมั่นใจ ก็ควรไปปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เพราะคุณหมอจะมียาทาบางชนิดที่ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมัน ช่วยขจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว ที่อุดตันตามรูขุมขนออกไป เช่น ยาในกลุ่มกรดวิตามินเอ, AHA, BHA ฯลฯ ทำให้ผิวหน้าดูดีขึ้น

ส่วนยารับประทานที่ควบคุมความมันบนใบหน้า เป็นยาอันตรายนะคะ! ซื้อทานเองหรือเอาไปแบ่งเพื่อนทานก็ไม่ได้ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเท่านั้น

มะเร็งศีรษะและลำคอ

มะเร็งของศีรษะลำคอ หมายถึง มะเร็งที่เกิดขึ้นในเยื่อบุผิวทางเดินหายใจและทางเดินอาหารส่วนต้น โดยตำแหน่งที่สำคัญในทางเดินอาหารและหายใจส่วนบนที่อาจเกิดเป็นมะเร็ง โดยตำแหน่งที่สำคัญในทางเดินอาหารและหายใจส่วนบนที่อาจเกิดเป็นโรคมะเร็ง ได้แก่ ช่องปาก ช่องคอ โพรงรอบจมูกเท่านั้น

สาเหตุของโรคมะเร็งศีรษะและลำคอเป็นปัญหาที่สำคัญทางสาธารณสุขระดับโลก ใสแต่ละปีจะมีผู้ป่วยใหม่เกิดขึ้นประมาณ 540,000 รายทั่วโลก และเสียชีวิต 271,000 รายต่อปี

สาเหตุของโรคมะเร็งศีรษะและลำคอ

สำหรับประเทศไทย พบว่าปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งศีรษะและลำคอมาจากการดื่มเหล้าและการสูบบุหรี่ ส่วนการเคี้ยวหมากร่วมกับใบยาสูญเป็นพฤติกรรมที่พบบ่อยในอดีต และเป็นปัจจัยที่สำคัญในการเกิด “มะเร็งช่องปาก” โดยเฉพาะบริเวณกระพุ้งแก้ม ผู้ป่วยบางรายอาจมีความผิดปกติระดับยีนที่เสริมให้เกิดมะเร็งจากการดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ นอกจากนี้ยังมีสาเหตุเสริมอื่น ๆ ได้แก่ ภาระ ภูมิคุ้มกัน ความผิดปกติทางพันธุกรรม อาจมีส่วนทำให้เกิดมะเร็งศีรษะและลำคอ

สัญญาณอันตรายที่ไม่ควรมองข้าม

อาการของมะเร็งในระยะแรกจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เป็น เช่น

- มะเร็งของกล่องเสียง อาการเสียงแหบ

- มะเร็งช่องปาก อาการแผลเรื้อรัง ปวดพูดไม่ชัด เลือดออกจากแผลและมีก้อนยื่นออกมา

- มะเร็งบริเวณโคนลิ้น และกล่องเสียง อาการกลืนเจ็บ กลืนลำบาก เสียงเปลี่ยน หรือหายใจไม่สะดวก

- มะเร็งหลังโพรงจมูก อาการหูอื้อ ฟังไม่ชัด เกิดจากภาวะน้ำคั่งในหู

- มะเร็งของช่องจมูกและโพรงอากาศรอบจมูก อาการแน่นโพรงจมูกหรือปวดศีรษะตื้อ ๆ

- มะเร็งบางตำแหน่ง เช่น หลังโพรงจมูก หรือบริเวณใต้กล่องเสียงอาจไม่แสดงอาการใด ๆ ทั้งสิ้นในระยะแรก แต่สำหรับมะเร็งทุกชนิดในระยะลุกลาม มักจะมีอาการคล้ายกันในทุกตำแหน่งของร่างกาย เช่น

o น้ำหนักลดลง

o อาการปวดร้าวจากมะเร็งลุกลามไปที่เส้นประสาท

o อาการของเส้นประสาทสมองถูกทำลาย เช่น ตามองเห็นภาพซ้อน

o อาการหายใจลำบากจากทางเดินหายใจอุดกั้น

o แผลที่ทะลุออกทางผิวหนัง และเลือดออกจากช่องปากหรือช่องคอ

รู้ได้อย่างไรว่าโรคมะเร็งมาเยือน

แม้ว่าการวินิจฉัยมะเร็งศีรษะและลำคอส่วนใหญ่สามารถทำได้ไม่ยาก แต่ปัจจุบันปัญหาใหญ่ก็คือผู้ป่วยเพียง 1 ใน 3 เท่านั้น ที่มาพบแพทย์ในระยะแรก ๆ และประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยกลุ่มนี้ เซลล์มะเร็งจะลุกลามเฉพาะที่ตำแหน่งที่เป็นเริ่มแรก และที่บริเวณต่อมน้ำเหลืองในลำคอ นอกจากนี้ยังพบว่ามักจะมีการกระจายไปที่ปอด ซึ่งพบบ่อยที่สุด

อย่างไรก็ตาม การตรวจพบก้อนในปอดเพียงจุดเดียวมักจะมีสาเหตุจากมะเร็งที่ปอดโดยตรงมากกว่ามะเร็งที่แพร่กระจายมาจากตำแหน่งอื่น ๆ คือ ต่อมน้ำเหลืองในช่องอก ตับ สมอง และกระดูก

ส่วนใหญ่ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยในระยะท้าย ๆ เนื่องจากปล่อยปละละเลยอาการของตนเอง และความล่าช้าในการวินิจฉัยของแพทย์หรือทันตแพทย์ที่ดูแลเบื้องต้น ดังนั้นในผู้ป่วยที่มีปัจจัยเสี่ยงและมาด้วยอาการในบริเวณศีรษะและลำคอ จำเป็นที่แพทย์จะต้องคิดถึงและตรวจหามะเร็งศีรษะและลำคอเสมอ จนกว่าจะแน่ใจว่าไม่เป็น

การรักษาในปัจจุบัน

มะเร็งศีรษะและลำคอมักเกิดในผู้ป่วยสูงอายุและมีโรคร่วมจากการสูบบุหรี่ และดื่มสุรา การดูแลรักษาผู้ป่วยเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือกันจากหลาย ๆ ฝ่าย ได้แก่ ศัลยแพทย์เฉพาะทางด้านศีรษะและลำคอ อายุรแพทย์เคมีบำบัด แพทย์รังสีรักษา แพทย์รังสีวินิจฉัย ประสาทศัลยศาสตร์ ศัลยแพทย์ตกแต่ง วิสัญญีแพทย์และแพทย์ทางด้านระงับ ปวด ทันตแพทย์ นักกายภาพบำบัด นักโภชนาการ พยาบาลเฉพาะทาง ด้านมะเร็ง รวมไปถึงนักสังคมสงเคราะห์

การให้การวินิจฉัยและประเมินผู้ป่วยก่อนการรักษาถือเป็นหัวใจ หลักของการดูแลรักษาทั้งหมด ความก้าวหน้าในการดูแลรักษาผู้ป่วย

มะเร็งศีรษะและลำคอในระยะเวลาที่ผ่านมา 15 ปี ส่วนใหญ่มุ่งไปที่การลดสภาวะพิกลพิการและเพิ่มคุณภาพชีวิต ในขณะที่อัตราการอยู่ รอดยังไม่เพิ่มขึ้น (อัตราการอยู่รอดที่ระยะเวลา 5 ปี ของมะเร็งระยะ ต้นอยู่ที่ 50-60% และต่ำกว่า 30% ในมะเร็งระยะลุกลาม) ดังนั้น การนำเอาวิทยาการใหม่ ๆ ทางด้านอณูชีววิทยาและอณูพันธุศาสตร์มาใช้อาจ มีส่วนช่วยในการทำนายพยากรณ์โรคและในการพัฒนาวิธีการรักษาผู้ป่วยให้ดีขึ้นได้

แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือหากคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการที่น่าสงสัยหรือเป็นผู้มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคชนิดนี้ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย เพราะหากยังอยู่ในระยะเริ่มแรก โอกาสที่จะรักษาให้หายขาดก็มีมากขึ้น ในทางกลับกัน หากอยู่ในระยะลุกลาม การรักษาอาจไม่ได้ผลดีเท่าที่ควรนอกจากนี้ ผู้ป่วยมะเร็งศีรษะและลำคอมีอาจเสี่ยงสูงที่จะเกิดมะเร็งที่ตำแหน่งอื่น ๆ ในระบบทางเดินอาหารและหายใจ ซึ่งเป็นผลมาจากการดื่มสุราและสูบบุหรี่ที่กระตุ้นให้เกิดมะเร็งมีผลต่อเยื้อบุทั้งหมดที่สัมผัสกับสารเหล่านี้แม้ว่าจะหยุดปัจจัยเสี่ยงไปแล้ว ดังนั้นผู้ป่วยทุกรายได้รับการตรวจวินิจฉัยติดตามอาการไปเป็นระยะ ๆ ภายหลังการรักษาครั้งแรกครับ”

ศ.ดร.นพ.พรชัย โอเจริญรัตน์

สาขาวิชาศัลยศาสตร์ศีรษะ คอ และเต้านม

ภาควิชาศัลยศาสตร์ รพ.ศิริราช

การคาดเข็มขัดนิรภัย

เมื่อเกิดอุบัติเหตุจราจรทางบกจะทำให้เกิดการสูญเสียชีวิต ร่างกาย อันตรายที่เกิดกับคนมีตั้งแต่ไม่มากเช่นแผลถลอกจนกระทั้งอวัยวะภายในได้รับบาดเจ็บ อาจจะพิการ การป้องกันที่ดีที่สุดคือการป้องกันมิให้เกิดอุบัติเหตุ แต่ก็ไม่สามารถป้องกันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ การใช้เข็มขัดนิรภัยจะช่วยลดความรุนแรงของการบาดเจ็บ

การเปลี่ยนแปลงเมื่อเกิดอุบัติเหตุ

แรงกระแทกที่เกิดจากรถที่วิ่งเร็ว 60 กิโลเมตรจะเท่ากับรถที่ตกที่สูง 14 เมตรหรือความสูงประมาณตึก 5 ชั้น ตัวรถจะยุบหรือบิดงอ

คนที่อยู่ในรถถ้าไม่คาดเข็มขัดนิรภัยจะเดินทางด้วยความเร็วเท่ากับรถเมื่อชนและหยุด ศีรษะ หน้า ลำตัวของคนในรถจะถูกเหวี่ยงไปกระแทกกับพวงมาลัย และกระจกหน้ารถอาจทำให้หมดสติหรือเสียชีวิต

อวัยวะในร่างกาย เช่นตับ ไต ลำไส้ สมองหรือไขสันหลังซึ่งมีการเคลื่อนไหวอยู่ภายในจะเคลื่อนไหวเท่ากับความเร็วของรถ เมื่อคนในรถหยุด อวัยวะภายในจะกระแทกกันเอง ทำให้ตับ ไต ลำไส้หรือสมองฉีกขาดได้

ใครบ้างที่ควรคาดเข็มขัดนิรภัย

คนที่ขับรถทุกคน

ผู้โดยสารทุกคนไม่ว่าจะนั่งหน้าหรือหลัง

ผู้โดยสารรถขนาดใหญ่ที่มีเข็มขัดนิรภัยควรต้องคาดเช่นกัน

ประเภทของเข็มขัดนิรภัย

เข็มขัดนิรภัยที่รัดตรงบริเวณโคนขา รอบสะโพก (lap belt หรือแบบสองจุด) พบได้ในเครื่องบิน สำหรับรถยนต์จะใช้กับที่นั่งตอนหลัง เข็มขัดชนิดนี้ใช้คาดบริเวณต้นขา รอบสะโพก ไม่ควรรัดบริเวณหน้าท้อง

เข็มขัดที่คาดผ่านบริเวณสะโพกและไหล่ ( lap shoulder belt หรือแบบ 3 จุด)คาดบริเวณสะโพก บริเวณต้นขา และผ่านเฉียงทางหน้าอกและกระดูกไหปลาร้า

การคาดเข็มขัดนิรภัย

เข็มขัดนิรภัยสำหรับเด็กแรกเกิดถึง1ปี

ในเด็กเล็กต้องใช้ที่นั่งนิรภัย

ห้ามวางที่นั่งนิรภัยไว้เบาะหน้ารถ กรณีที่มี air-bag

ให้วางที่นั่งนิรภัยไว้ที่เบาะหลัง

ขนาดที่เหมาะสม คือศีรษะเด็กไม่เกินขอบของที่นั่ง

อย่าใส่เสื้อผ้าที่หนาๆให้เด็ก

อาจจะใช้ผ้าม้วนรองที่คอหรือศีรษะ

ไม่ใช้หมอนหนุนหลังหรือก้น

หาผ้าบางคลุมตัวเด็ก

อย่าใส่เสื้อผ้าที่หนาๆให้เด็ก

ที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กอายุ1-4ปี

ที่นั่งนิรภัยสามารถหันหน้าสู่หน้ารถ

ที่ปลอดภัยคือเบาะหลัง

ให้รัดที่นั่งนิรภัยกับเบาะให้แน่น

รัดสายให้แนบกับตัวเด็ก

การคาดเข็มขัดนิรภัยสำหรับเด็กอายุ 4-10ขวบ

เด็กวัยนี้โตพอที่จะใช้เข็มขัดชนิด3จุด lap shoulder beltโดยเด็กสามารถนั่งพิงพนักพิงและหยอนขาลง

ตำแหน่งของเข็มขัดรัดอยู่บริเวณสะโพก สายที่ไหล่จะพาดผ่านกลางหน้าอกและอยู่ระหว่างไหล่กับคอ

สำหรับที่ตัวเล็กเมื่อคาดเข็มขัดแล้วสายเข็มขัดคาดที่ท้อง หรือรัดบริเวณคอเราใช้เก้าอี้เสริมซึ่งมีสองชนิคือไม่มีพนักพิงและมีพนักพิง

การรัดเข็มขัดที่ถูกต้อง

เข็มขัดรัดสามจุดจะดีกว่าสองจุด

ให้รัดบริเวณสะโพก

สายที่ไหล่ให้อยู่ระหว่างไหล่และคอ

ไม่คาดเข็มขัดนิรภัยไว้ที่หลังเพราะหากเกิดอุบัติเหตุจะทำให้ใบหน้าและหน้าอกมีโอกาสกระแทกกับพวงมาลัย

ไม่ควรคาดเข็มขัดไว้ใต้แขนเพราะหากเกิดอุบัติเหตุจะทำให้ซี่โครงหัก

การออกกำลังกายที่ทำงาน

สถานที่ทำงานส่วนใหญ่จะมีลักษณะการทำงานในท่านั่ง หรือท่ายืน เป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานที่เกี่ยวข้อง กับ คอมพิวเตอร์ ซึ่งการทำงานในท่าเดี่ยวนานๆ เป็นสาเหตุให้เกิด อาการปวดกล้ามเนื้อ และความเครียดได้ การออกกำลังกาย เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่โต๊ะทำงานสามารถช่วยลดอาการดังกล่าวได้ และสำหรับผู้ที่ทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ ควรปฏิบัติ ตามข้อแนะนำ ดังต่อไปนี้ นอกเหนือจากการออกกำลังกายเล็กน้อยที่โต๊ะทำงาน

1. ควรเปลี่ยนอริยาบท ท่าทางการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ ควรสลับด้วยงานที่แตกต่างกันออกไป เพื่อเป็นการหยุดพัก และ ให้ร่างกายได้เปลี่ยนท่าลักษณะการทำงาน

2. ทำงานในความเร็วพอเหมาะ เนื่องจากหากเร่งทำงานเร็วเกินไปจะทำให้กล้ามเนื้อล้า แต่ถ้าหากทำช้าเกินไปก็จะเกิด อาการเบื่อและทำให้ง่วงนอน

3. ละสายตาจากจอภาพบางโอกาส และมองไปที่วัตถุที่อยู่ระยะไกล เพื่อพักสายตา

4. หยุดพักเป็นระยะ ๆ เพื่อลดความเครียดของกล้ามเนื้อและตา โดยการยืน เคลื่อนไหวไปมาและเปลี่ยนกิจกรรม การทำงาน

5. ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การเกร็ง เปลี่ยนอิริยาบถโดยการออกกำลังกาย

น.ส.พิชญา ลีวรรธนะ ม.ฟาร์

วิธีการลดหน้าท้องแบบเร่งด่วน!!!!

1. ขยับเขยื้อนตัวให้บ่อยที่สุด อย่ามัวนั่งจุ้มปุ้กอยู่บนโซฟาหรือนอนแกร่วบนเตียง เพราะจะทำให้คุณอึดอัดมากขึ้น การขยับตัว เดินไปเดินมาในบ้านหรือเดินขึ้นลงบันได จะช่วยเผาผลาญไขมันได้มากขึ้น

2. ดื่มชา ค่อย ๆ จิบชา ก็พอช่วยได้ เพราะในชามีสารที่มีคุณสมบัติในการขับน้ำส่วนเกินออกมาจึงช่วยทำให้กระเพาะหดตัวลง

3. งดอาหารเค็มหรืออาหารที่มีเกลือเกลือทำให้หน้าท้องคุณป่องได้ เพราะความเค็มของเกลือจะเป็นตัวกักเก็บน้ำส่วนเกินไว้ จึง ทำให้รู้สึกอึดอัดแถวๆหน้าท้อง

4.ทานอาหารมื้อเล็ก ๆแบ่งอาหาร 1 มื้อ เป็น 2 มื้อ และเน้นอาหารแคลอรี่ต่ำเช่น โยเกิร์ตพร่องไขมัน ผักสด หรือผลไม้ อาจทานทุก2-3 ชั่วโมง แต่เป็นจานเล็ก ๆ แทน

น.ส.ปาริชาติ กันทะวงค์ เลขที่10 มฟาร์อีสเทอร์น

อาการแสดงเมื่อการคลอดกำลังจะเกิดขึ้น

ศีรษะของทารกเคลื่อนลงสู่อุ้งเชิงกราน เหตุการณ์นี้สามารถเกิดขึ้นก่อนการคลอดเป็นสัปดาห์ เป็นวัน หรือเป็นชั่วโมง ก่อนที่ทารกจะคลอดออกมา การที่ทารกเคลื่อนตัวลงมาจะช่วยให้คุณแม่หายใจได้สะดวกขึ้นเนื่องมาจากมีที่ว่างให้ปอดได้ขยายตัวมากขึ้น ดังนั้นหายใจเข้าออกลึกๆ ทำใจให้สงบ ทารกเพียงแต่ลงมาเคาะประตูทางออกไปสู่โลกภายนอกเท่านั้น แต่การที่ทารกเคลื่อนตัวลงมานี้ จะทำให้ว่าที่คุณแม่เดินได้ลำบากมากยิ่งขึ้นอีก

มีมูกเลือดออกมาทางช่องคลอด ในระหว่างการตั้งครรภ์ เมือกที่เหนียวข้นเหล่านี้จะสะสมอยู่ที่ส่วนคอของปากมดลูกช่วยให้ภายในมดลูกเป็นระบบปิด เมื่อการคลอดจะเกิดขึ้น ปากมดลูกเปิดขยายกว้างออก ทำให้มีเมือกปนเลือดออกมาทางช่องคลอด ซึ่งเป็นอาการแสดงอย่างแรกๆของการคลอด ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นก่อนการคลอดเป็นวันๆหากไม่มีการบีบรัดตัวของมดลูกร่วมด้วย

ท้องเดิน แต่ไม่ใช่จะเกิดขึ้นกับทุกคน แต่ถ้าเกิดขึ้นนั้นหมายความว่าร่างกายต้องการที่จะเพิ่มที่ว่างให้มากที่สุดสำหรับการคลอด ปัจจัยที่เป็นสาเหตุของอาการท้องเดินคือ ฮอร์โมน หรือแรงกดดันจากทารกที่ลงมาอยู่ที่อุ้งเชิงกราน มีผลต่อระบบทางเดินอาหารและระบบขับถ่าย

น้ำเดิน ถุงน้ำคร่ำมีหน้าที่ปกป้องทารกมาเป็นเวลาหลายเดือน เมื่อทารกถึงกำหนดที่จะคลอด ทารกมีขนาดโตขึ้นทำให้เกิดแรงดันในถุงน้ำคร่ำเพิ่มมากขึ้น และตึงมากขึ้น การบีบตัวของมดลูกก็อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งของการที่ทำให้เกิดการรั่วของถุงน้ำคร่ำ

จะรู้ได้อย่างไรว่ามีน้ำเดิน น้ำคร่ำที่ไหลออกมาจะมีปริมาณมากน้อยแค่ไหน เหมือนหยดน้ำหรือว่าเหมือนขณะปัสสาวะ คำตอบคือแล้วแต่ บางทีถุงน้ำคร่ำไม่ได้แตกซะทีเดียวเพียงแต่รั่วเล็กน้อยก็จะมีปริมาณน้อย แต่โดยปกติแล้วจะมีปริมาณมาก ให้สังเกตว่าจะออกมาทางช่องคลอด เป็นน้ำใสๆ อุ่นๆ อาจมีเลือดปน บางครั้งน้ำคร่ำจะมีสีเข้มขึ้นเนื่องมาจากการที่มีขี้เทาของทารกปนออกมาด้วย จะเป็นสีออกเขียวๆหรือน้ำตาล ขี้เทาคือสิ่งที่อยู่ในลำไส้ของทารก การมีขี้เทาปนออกมาอาจหมายถึงมีการเคลื่อนไหวของลำไส้ของทารกขณะที่อยู่ในครรภ์ หรืออาจหมายถึงทารกอยู่ในภาวะที่ขาดออกซิเจน ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวรวมถึงหูรูดของทวารหนัก จึงทำให้มีขี้เทาปนออกมากับน้ำคร่ำได้ หากเกิดขึ้นกับคุณอย่าเพิ่งตกใจ เพียงแต่โทรบอกคุณหมอด้วยเท่านั้น

การหดรัดตัวของมดลูกเริ่มสม่ำเสมอและถี่ขึ้น เป็นข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนที่สุดว่าการคลอดกำลังจะเกิดขึ้นหรือไม่ และว่าที่คุณแม่สามารถทราบได้ง่ายที่สุด ในการเจ็บเตือนนั้นมดลูกจะมีการบีบรัดตัวเป็นๆหายๆ แต่การเจ็บจริงนั้นมดลูกจะบีบรัดตัวอย่างมีรูปแบบที่ชัดเจนและสามารถทำนายได้ มดลูกจะบีบตัวทุกๆ15-20 นาที และถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นทุกๆ 2-3 นาที และช่วงเวลาในการบีบตัวประมาณ 45 วินาที นั่นแสดงว่าคุณใกล้คลอดเต็มทีแล้ว

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

ประโยชน์ของผักคะน้า

ผักคะน้าเป็นผักที่หาง่าย ราคาไม่แพง เป็นผักที่มีวิตามินหลายชนิด เช่น เบต้า – แคโรทีนถึง 186.92 ไมโครกรัม/100 กรัม ซึ่งเป็นสารตัวหนึ่งของวิตามินเอ มีคุณสมบัติ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งที่กระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด และมะเร็งกระเพาะปัสสาวะนอกจากจะมีเบต้า – แคโรทีนแล้วผักคะน้ายังมีวิตามินซีช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อให้ชุ่มชื้และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันโรคมีความแข็งแรงสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีแคลเซี่ยมช่วยเสริมสร้างกระดูก

น.ส.พิชญา ลีวรรธนะ ม.ฟาร์

สูตรว่านหางจระเข้ เป็นพืชสมุนไพร

สรรพคุณ บำรุงผิว ป้องกันฝ้า ลบรอยจุดด่างดำ รักษาสิว

ส่วนผสม ว่านหางจระเข้

วิธีทำ เลือกใบจากต้นว่านหางจระเข้ที่มีอายุ 1 ปีขึ้นไป โดยเลือกใบล่างสุดซึ่งจะอวบโต มีวุ้นมาก นำมาแช่น้ำเพื่อล้างยางเหลืองๆ ออกให้หมด(ยาง เหลืองมีฤทธิ์ระคายเคืองผิว ทำให้แสบร้อน เป็นผื่นแดง) จากนั้นปอกเปลือกออก แล้วเอาวุ้นที่ได้ล้างน้ำให้สะอาดอีกทีหนึ่ง นำวุ้นไปปั่นหรือใช้มือขยำ ก็จะได้เจลว่าน หางจระเข้ การใช้ว่านหางจระเข้สดได้ผลดีกว่าผลิตภัณฑ์แปรรูป ซึ่งจะมีปัญหาการคงตัวเมื่อถูกความร้อน

วิธีใช้ ล้าง หน้าให้สะอาด เช็ดหน้าให้แห้ง แล้วใช้เจลพอกทั่วใบหน้ายกเว้นรอบดวงตาและรอบปาก ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จึงล้างออก สูตรนี้เหมาะ สำหรับคนผิวมันสำหรับคนผิวแห้ง ไม่ควรใช้ว่านหางจระเข้เดี่ยว ๆ ควรเติมน้ำมันมะกอกกับไข่แดง ตีให้เข้ากัน แล้วจึงพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด

หมายเหตุ ไม่ควรใช้ว่านหางจระเข้กับสิวหัวหนอง เพราะฟิล์มจากว่านจะทำให้สิวหายช้า

สุทธิรา หาญยุทธ ม.ฟาร์ เลขที่9

โรคนิ้วล็อก !!!

โรคนิ้วล็อกเป็นความผิดปรกติของนิ้วมือที่พบบ่อยที่สุดในบรรดาความผิดปรกติที่เกิดขึ้นกับมือ โรคนี้พบในผู้หญิงร้อยละ 80 พบในผู้ชายร้อยละ 20 โดยพบในผู้หญิงวัยกลางคนมากที่สุด ในกลุ่มอายุ 50 - 60 ปี ส่วนในผู้ชายพบในกลุ่มอายุ 40 - 70 ปี

สาเหตุที่พบโรคนิ้วล็อกในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย สันนิษฐานว่าอาจเป็นเพราะผู้หญิงให้มือทำงานที่ซ้ำๆ มากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงอายุ 40 ปีขึ้นไป ถ้ามีประวัติการใช้งานที่รุนแรง เช่น หิ้วถุงหนักๆ การบิดผ้า ซักผ้า การกวาดบ้าน ถูบ้าน สับหมู สับไก่ อาชีพบางอย่างมีความเสี่ยงต่อโรคนิ้วล็อกอย่างมาก เช่น คนทำซาลาเปา ต้องนวดแป้ง ทุกนิ้วต้องบีบขยำแป้ง ช่างไฟฟ้า ช่างโทรศัพท์ ที่ต้องใช้คีม ไขควงขันเจาะเนื้อไม้ แม่ครัวโรงเรียนที่ต้องยกหม้อหนัก คนสวนต้องตัดกิ่งไม้ ขุดดิน ดายหญ้า ฯลฯ การทำงานเหล่านี้เป็นระยะเวลานาน ทำให้เอ็นนิ้วมือเสียดสีกับเข็มรัดเอ็นทำให้เกิดการหนาตัวขึ้นของเส้นเอ็น หรือการหนาตัวขึ้นของเข็มขัดรัดเอ็น เกิดการเสียสัดส่วนของอุโมงค์ ทำให้เอ็นไม่สามารถลอดผ่านได้ ส่งผลให้เกิด การฝืด การตึง สะดุด กระเด้ง จนถึงนิ้วล็อกในที่สุด

โรคนิ้วล็อกสามารถพบได้ในเด็กซึ่งเป็นนิ้วล็อกตั้งแต่กำเนิด (congenital trigger finger) กลุ่มเด็กที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิด ส่วนใหญ่จะเป็นที่นิ้วหัวแม่มือ (trigger thumb) ซึ่งเกิดจากที่ปลอกเอ็นหนา จนทำให้เอ็นผ่านไปไม่ได้ ผู้ป่วยบางรายมีอาการนิ้วล็อกทั้งสองมือ ซึ่งพบได้ร้อยละ 20 - 30 ในบางรายสามารถหายเองได้หากปมไม่ใหญ่มากนัก ประกอบกับการที่พ่อแม่ช่วยนวดคลึงบริเวณฐานนิ้วบริเวณปลอกเอ็นให้เกิดความยืดหยุ่น "คนไข้นิ้วล็อกตั้งแต่กำเนิดที่ผมพบรายแรกเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ขณะนั้นผมได้ผ่าตัดในผู้ใหญ่ได้ประมาณ 80 ราย คนไข้เด็กรายนี้มีอายุได้ประมาณ 6 เดือน เนื่องจากเด็กที่อายุน้อยอยู่ และผมเองก็ยังไม่มีประสบการณ์ในการรักษานิ้วล็อกในเด็ก จึงได้ส่งไปหาผู้เชี่ยวชาญทางมือ แนะนำให้รักษาทางกายภาพบำบัด และรอเด็กโตขึ้นหน่อย เมื่อเด็กอายุได้ประมาณ 2 ขวบครึ่ง พ่อเด็กก็พาเด็กมาหาอีกครั้งเพื่อรักษา ก่อนเข้าเรียนชั้นอนุบาล ขณะนั้นผมมีประสบการณ์ในการรักษาผู้ป่วยเกือบ 200 รายแล้ว จึงตัดสินใจทำการรักษาด้วยวิธีการเจาะผ่านผิวหนัง พบว่าได้ผลดีอาการนิ้วล็อกหายไป จากนั้นก็มีคนไข้เด็ก อายุ 3 ขวบ ถึง 10 ขวบ ซึ่งทั้งหมดประมาณ 25 คนมารักษา "วิธีการเจาะรักษาง่ายเปรียบเสมือนการเจาะผ่าฝี หากฝึกสัมผัสรู้ถึงความแตกต่างของเส้นเอ็นและเข็มขัดรัดเส้นเอ็น" นายแพทย์วิชัยกล่าว

ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน หรือผู้ที่เป็นโรครูมาตอยด์ มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้มากขึ้น และโรคนี้มักจะพบร่วมกับโรค carpal tunnel syndrome และ De Quervain tenosynovitis

อาการของโรคนิ้วล็อก

เป็นความผิดปกติของนิ้วมือที่ไม่สามารถกำ หรือ เหยียดนิ้วมือได้เป็นปกติ เกิดภาวะสะดุดหรือล็อก

วิธีการรักษา !!!

การรักษาโรคนิ้วล็อกมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของโรค การรักษาในระยะแรกคือ การพักการใช้งานของมือ ไม่ใช้งานรุนแรง การรับประทานยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เช่น Diclofenac, Ibuprofen, Celecoxib เป็นต้น การทำกายภาพบำบัด เช่น การแช่พาราฟิน การทำอัลตราซาวนด์ก็อาจช่วยลดการอักเสบและการติดยึดของเส้นเอ็นกับปลอกเอ็น แต่ในกรณีที่เป็นรุนแรงขึ้นอาจจะให้การรักษาด้วยการใช้ยาต้านการอักเสบ ร่วมกับการฉีดสเตียรอยด์เข้าไปบริเวณปลอกเอ็น ซึ่งสเตียรอยด์มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบ ลดการบวมของเส้นเอ็น และปลอกเอ็นทำให้อาการดีขึ้นได้ แต่การฉีดยาอาจทำให้อาการดีขึ้นได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ เป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน สามารถกลับมาเป็นซ้ำอีกได้ในระยะเวลาไม่นานประมาณร้อยละ 50 ของผู้ป่วยจะหายจากอาการนิ้วล็อก ส่วนอีกร้อยละ 25 จะหายหลังจากการฉีดยาเข็มที่สองไม่ควรฉีดยาเกิน 2 ครั้ง เพราะอาจทำให้เกิด tendon rupture ได้ ในกรณีที่มีการล็อกติดรุนแรงหรือพังผืดหนามาก ฉีดยาก็ไม่ได้ผล การผ่าตัดจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดเพราะจะเปิดลงไปตัดเข็มขัดรัดเส้นเอ็นและปลอกเอ็นที่ติดยึดขวางทางผ่านของเอ็นให้ผ่านไปได้

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

การรักษาโรคตาแห้ง

1. ลดการระเหยของน้ำตาให้น้อยลง เป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลดี คือ หลีกเลี่ยงการปะทะโดยตรงกับแดดและลม โดยสวมแว่นกันแดดเมื่ออยู่กลางแจ้ง ไม่นั่งในที่ที่มีลมพัดหรือแอร์เป่าใส่หน้า

2. กระพริบตาถี่ ๆ ในภาวะปกติคนเราจะกระพริบตานาทีละ 20-22 ครั้ง ทุกครั้งที่กระพริบตา เปลือกตาจะรีดผิวน้ำตาให้มาฉาบผิวกระจกตา แต่ถ้าในขณะที่จ้องหรือเพ่ง ตาจะลืมค้างไว้นานกว่าปกติ ทำให้กระพริบตาเพียง 8-10 ครั้ง น้ำตาก็จะระเหยออกไปมาก ทำให้ตาแห้งเพิ่มขึ้นจึงควรพักสายตา โดยการหลับตา กระพริบตา หรือลุกขึ้นเปลี่ยนอิริยาบถ ประมาณ 2-3 นาที ในทุกครึ่งชั่วโมง

3. สำหรับผู้ที่ตาแห้งมาก อาจใช้กรอบแว่นชนิดพิเศษที่มีแผ่นคลุมปิดกันลมด้านข้าง แว่นชนิดนี้มีคุณสมบัติช่วยครอบทั้งดวงตาและป้องกันลมด้วย หรือจะใช้แผ่นซิลิโคนชนิดพิเศษที่ใสบางและนุ่ม นำมาตัดให้เข้ากับด้านข้างของกรอบแว่นตาคู่เดิม ซึ่งเรียกว่า Moist Chamber

4. ใช้น้ำตาเทียม หรือ ยาหยอดตาที่ใช้เพื่อหล่อลื่นและให้ความชุ่มชื้นกับผู้ที่ตาแห้ง น้ำตาเทียมมี 2 ชนิด คือ

- น้ำตาเทียมชนิดน้ำ เหมาะที่จะใช้ในเวลากลางวัน เพราะไม่เหนียว และไม่ทำให้ตามัว แต่มีข้อจำกัด คือ ต้องหยอดตาบ่อย

- น้ำตาเทียมชนิดเจลและขี้ผึ้ง มีลักษณะเหนียว หล่อลื่นและคงความชุ่มชื้นได้นานกว่าชนิดน้ำ แต่จะทำให้ตามัวชั่วขณะหลังป้ายยา จึงควรใช้ป้ายตาแต่น้อยก่อนเข้านอน

การรักษาด้วยวิธีใช้น้ำตาเทียม เวลาในการหยอดตาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการตาแห้ง หากวันใดไม่ถูกลม แล้วรู้สึกสบายตาก็ไม่จำเป็นต้องหยอด แต่ถ้ารู้สึกเคืองตามาก ก็หยอดบ่อย ๆ ได้ตามความต้องการ

ข้อควรระวังในการใช้น้ำตาเทียม

ผู้ป่วยที่ตาแห้งน้อย หยอดตาไม่เกินวันละ 4-5 ครั้ง สามารถใช้ยาหยอดตาชนิดขวดที่มีสารกันบูดได้ กรณีผู้ป่วยที่ตาแห้งมาก และหยอดตามากกว่าวันละ 6 ครั้ง จักษุแพทย์จะสั่งน้ำตาเทียมชนิดพิเศษที่ไม่มีสารกันบูด (Preservative-Free Tear) ให้ใช้แทน ซึ่งมีข้อจำกัด คือ ยาจะบรรจุในหลอดเล็ก เมื่อเปิดใช้แล้วต้องใช้ให้หมดภายใน 16 ชั่วโมง หากใช้นานกว่านี้ อาจะเกิดการปนเปื้อนของเชื้อโรค

5. การอุดรูระบายน้ำตา สำหรับผู้ที่มีอาการตาแห้งอย่างรุนแรง จักษุแพทย์จะใช้วิธีอุดรูระบายน้ำตาเพื่อขังน้ำตาที่มีอยู่ให้หล่อเลี้ยงตาอยู่ได้นาน ๆ ไม่ปล่อยให้ไหลทิ้งไป เหมือนกับการสร้างเขื่อนกั้นเก็บกักน้ำไว้ใช้

วิธีและขั้นตอนในการอุดรูระบายน้ำตามี 2 วิธี คือ

- การอุดแบบชั่วคราว จักษุแพทย์จะสอดคอลลาเจนขนาดเล็กเข้าไปในรูท่อน้ำตา ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายตาขึ้น โดยคอลลาเจนจะสลายไปเอง ภายใน 3 สัปดาห์

- สำหรับผู้ป่วยที่มีน้ำตาแห้งมาก จักษุแพทย์จะอุดรูระบายน้ำตาแบบถาวรให้ ทั้งนี้ จะใช้วิธีใดขึ้นอยู่กับความเหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย

น.ส.พิชญา ลีวรรธนะ ม.ฟาร์

1. ห้าม ใช้เล็บเกาหนังศีรษะเด็ดขาด

หลายๆคนเวลาสระผม(รวมทั้งช่างทำผมบางร้าน) ชอบใช้เล็บเกาแกรกๆๆๆ ซึ่งไม่ควรทำค่ะ มันจะเป็นการขูดขีดทำร้ายหนังศีรษะโดยตรง ยิ่งสาวๆเล็บยาวๆนี่ น่ากลัวมั่กๆ ดีไม่ดีหนังศีรษะเป็นแผลพาลติดเชื้อสารพัดได้นะคะ ทางที่ดีเวลาสระผมให้ใช้ปลายนิ้วค่ะ คันมากก็นวดแรงหน่อยได้ นวดๆๆๆหนังศีรษะให้สะอาด ซึ่งเป็นการช่วยให้โลหิตหมุนเวียนไปในตัวด้วยค่ะ

2. ห้าม ใช้ผ้าขนหนูขยี้ผม

เห็นในโฆษณาหลายๆชิ้น นางแบบสระผมแล้วใช้ผ้าขนหนูขยี้ๆๆๆผมเปียกๆแบบเมามันแล้วเราก็สยอง แถมเห็นมากะตาตัวเองก็หลายครั้งค่ะ ว่าสาวๆใช้ผ้าขนหนูขยี้ๆๆๆกะว่าเอาให้ผมแห้งคามือเร็วๆ จริงๆแล้วผ้าขนหนูมีไว้ ซับ น้ำออกจากผมค่ะ แค่ซับๆก็พอ ที่เหลือปล่อยให้แห้งเอง หรือใช้พัดลมเป่าก็ได้ค่ะ อย่าใจร้อน การขยี้จะเป็นการทำให้เกล็ดผมเสียดสีกัน ยิ่งผมเปียกจะอ่อนแออยู่แล้ว ยิ่งทำให้ผมเสียง่ายค่ะ

3. ห้าม หวีผมขณะเปียก

ตอนผมเปียกเส้นผมจะอ่อนแอค่ะ ความยืดหยุ่นจะน้อย ถ้ายิ่งเอาหวีซี่ถี่ๆไปหวี จะยิ่งทำร้ายผม งานนี้ก็แตกปลาย ขาดกลางตามมา ถ้าทนไม่ไหวอยากหวีจริงๆใช้หวีซี่ห่างๆดีกว่าค่ะ หรือใช้มือค่อยๆสางเอา ปกติแล้วถ้าตอนสระผมคุณระวังๆหน่อยไม่ขยี้ผมจนพันกัน ค่อยๆนวดหนังศรีษะ ค่อยๆล้างฟองแชมพูออก และค่อยๆซับน้ำจากผม คุณจะแทบไม่ต้องหวีเลยค่ะ ผมเรายาวถึงเอวนะคะ แต่ไม่เคยต้องหวีหลังสระค่ะ มันจะเรียงตัวเองตอนหลังสระใหม่ๆเพราะระวังตอนสระดีแล้ว

4. ใช้ ครีมหมักผมแทนครีมนวดผม

นี่เป็นสิ่งที่เราทำมานานแล้วค่ะ ใช้ครีมหมักข้นๆแบบกระปุกนั่นแหละค่ะแทนครีมนวดขวดๆเหลวๆ ยี่ห้อไหนก็ตามศรัทธา ครีมแบบนี้จะเข้มข้นกว่าค่ะ บำรุงผมได้ดีกว่า โดยสระผมก่อนหมักทิ้งไว้ แล้วค่อยอาบน้ำ แปรงฟัน ขัดตัว ขัดหน้า ฯลฯ สุดท้ายก็ล้างครีมหมักออกจะพอดีกันค่ะ ยี่ห้อที่เราชอบจะเป็นโดฟกับโลแลนค่ะ(ถูกดี ฮี่ๆๆ)

5. พก กรรไกรเล็กๆไว้คอยเล็มผมแตกปลาย

สาวๆผมยาวแตกปลาย อย่าเห็นผมแตกปลายแล้วเด็ดปลายทิ้งนะคะ ยิ่งผมเสียไปกันใหญ่ พกกรรไกรเล็กๆคมๆไว้เล็มดีกว่าค่ะ (แต่ดูกาละเทศะด้วยเน้อ งัดออกมาเล็มกลางห้องประชุมคงไม่ค่อยเหมาะแน่) ค่อยๆเล็มไปค่ะ ผมที่แตกปลายแล้วจะไม่มีทางกลับมาติดกันได้อีกอย่างแน่นอน(ยกเว้นเอากาวทา 555) เสียแล้วเสียเลยค่ะ ต้องเล็มทิ้งเท่านั้น อย่าไปเชื่อโฆษณาที่ว่าแก้ผมแตกปลายได้ โม้ทั้งเพค่ะ เล็มทิ้งแล้วค่อยบำรุงใหม่เท่านั้นคือคำตอบ

6. ใช้ น้ำมันหมักผมก่อนสระ

วันไหนว่างๆลองใช้น้ำมันหมักผมดูค่ะ เลือกตามใจชอบ เราลองมาแล้วทั้งน้ำมันมะพร้าว(แบบสกัดเย็นนะคะ จะหอมหวานๆน่ากินมั่กๆ) น้ำมันมะกอก(ที่ขายในซุปเปอร์นั่นแหละค่ะ เลือกแบบเวอร์จิ้นออย) น้ำมันงา (ตามที่ขายของโอท็อปจะมีแบบไว้หมักผมค่ะ) ยกเว้นน้ำมันหมูยังไม่เคยค่ะ -_-" หมักตอนผมแห้งๆนั่นแหละค่ะ ทิ้งไว้สัก 30 นาทีขึ้นไป แล้วสระตามปกติ (พี่คนข้างๆแนะว่าถ้าผมเสียมากให้ใส่ไข่แดง 1 ฟองด้วยค่ะ ผมพี่เค้าสวยปิ๊งเลย แต่เราเหม็นอ่ะ ฮือๆๆ)ถ้าใครผมมันมากก็ไม่ต้องใส่ครีมนวดผมก็ได้ค่ะ ผลที่ได้คือจะทำให้ผมนิ่มมีน้ำหนักขึ้น แต่วิธีนี้ไม่แนะนำสำหรับสาวผมดัดนะคะ เพราะอาจทำให้ลอนคลายเร็วขึ้น

นาย สถาปัตย์ สภาปนเศรษฐ์ #33 Cmru

1. แอปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวีต้องระวัง

ผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้มีประโยชน์มาก แต่ถ้าคุณกำลังทานยาปฏิชีวนะอยู่ ผลไม้พวกนี้จะกลายเป็นโทษทันทีเพราะมันบูดในลำไส้ได้ง่าย อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้

2. ผลไม้กับมื้ออาหาร

ก่อนทานอาหารควรจะเรยีกน้ำย่อยด้วยสับปะรดและมะละกอสัก 2-3 ชิ้น ผลไม้สองชนิดนี้มีเอนไซม์ที่จะช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่กำลังจะตามลงมาได้ง่ายขึ้น และหลังจากจบมื้ออร่อยแล้วควรตบท้ายด้วยแอปเปิ้ลสัก 1 ชิ้นเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลายซึ่งจะทำให้จำนวนแบคทีเรียในช่องปากลดลง และช่วยให้เหงือกแข็งแรงด้วย

3. อย่าปล่อยให้หิว

ควรจะทานอาหารให้ตรงเวลาทุกวันแม้จะยังไม่รู้สึกหิวก็ตาม เพราะเวลาที่เราหิวร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนควมเครียดออกมา ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นประจำก็จะทำให้คุณกลายเป็นสาวเครียด และนำไปสู่อาการความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวาน

4. เนื้อสัตว์กับผลไม้ไม่เข้ากัน

ถ้าทานน้อยๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามื้อไหนคุณทานเนื้อเป็นจำนวนมากแล้วควรจะงดผลไม้ไป เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ส่าวนผลไม้ซึ่งย่อยเร็วจะถูกกักอยู่ในกระเพาะ จึงทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้

5. นาฬิกาชีวภาพ

หลักการสุขภาพดีบอกไว้ว่าเราควรจะเข้านอนในเวลาเดียวกันทุกๆ วัน แต่ส่วนใหญ่พอถึงคืนวันศุกร์กับวันเสาร์เรามักจะนอนดึกเพราะถือว่าเป็นวันหยุด การทำอย่างนี้จะทำให้ความเคยชินหรือที่เรียกว่าชีวภาพของร่างกายรวรเร จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่วันจันทร์เราจะง่วงนอนกว่าปกติ

6. ความเครียดทำลายผิว

ถ้าอยากผิวสวย แก่ช้า ดูอ่อนกว่าวัย สิ่งแรกที่ต้องปรับคือความคิดของตัวเราเอง พยายามคิดในทางบวก มองโลกในแง่ดี หลีกเลี่ยงความคิดที่ทำให้ตึงเครียด เพื่อไม่ให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกทำลายตัวเราเอง

7. หลีกเลี่ยงภาชนะพลาสติก

เพราะความร้อนรวมทั้งรสชาติเผ็ดเปรี้ยว เค็มจากอาหารสามารถเข้าไปกัดเซาะสารสังเคราะห์ในพลาสติกให้ละลายออกปะปนกับอาหารได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการใช้ภาชนะพลาสติกใส่อาหารเข้าอุ่นในเตาไมโครเวฟยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง เพราะเป็นการเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเป็นอย่างมาก

8. อย่าประมาทอาการไอเรื้อรัง

หลังจากหายหวัดแล้วอาการไออาจจะยังไม่หายไป แต่สาวหลายคนมักจะไม่สนใจเพราะคิดว่าอาการไอเป็นเรื่องชิลๆ แต่ที่จริงอาการไอเรื้อรังร้ายแรงกว่าที่คุณคิด เพราะมันอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะ ที่หมอให้มารักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ วิธีหยุดอาการไอที่ได้ผลที่สุดคือการดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ และนอนหลับให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้เต็มที่

9. เท้าและข้อเท้าบวม

ถ้ามีอาการแบบนี้อย่าปล่อยไว้ เพราะฝ่าเท้าเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย ถ้าบริเวณเท้ามีปัญหาก็จะส่งผลถึงร่างกายทุกส่วน วิธีแก้ไขคือให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาทีจากนั้นก็ขยับข้อเท้าไปข้างหน้าและข้างหลังเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงขนนุ่มๆ แปรงผิวหนังเบาๆ โดยเริ่มจากฝ่าเท้าแล้วค่อยๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวานเพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) ตบท้ายด้วยการอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น

10. งดเครื่องดื่มคาเฟอีน

เครื่องดื่มพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นชาหรือกาแฟ ปกติก็ไม่ควรดื่มอยู่แล้ว แต่ถ้าบังเอิญคุณเป็นโรคปวดหลัง เครื่องดื่มพวกนี้จะเป็นศัตรูของคุณไปทันที เพราะคาเฟอีนจะไปลดการหลั่งสารเอนโดรฟินซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ อาการปวดของคุณก็จะไม่หายหรืออาจจะเป็นมากขึ้นด้วย

11. ดื่มน้ำเร็ว...อันตราย

ใครๆ ก็บอกว่าควรจะดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว แต่ต้องค่อยๆ ดื่มไปตลอดวัน ไม่ใช่ทั้งวันไม่ดื่มเลย แล้วมารวบยอดเอาในครั้งเดียว เพราะการดื่มน้ำปริมาณมากๆ ในครั้งเดียวอาจทำให้เกิดอาการน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง และอาจทำให้เป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็งตามมา ยิ่งถ้าอาการเกร็งไปเกิดที่สมอง หัวใจ หรือปอด ก็อาจจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้

12. แดดอ่อนตอนเช้า

แสงแดดยามเช้าจัดว่าเป็นยาตามธรรมชาติที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ นอกจากทำให้กระดูกแข็งแรงแล้วยังทำให้อารมณ์ดี เพราะแดดอ่อนๆ มีวิตามินที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข ออกมาต่อต้านอาการซึมเศร้าในตัวเรา คนที่เดินเล่นรับแดดอ่อนจึงมีหน้าตาเบิกบานกว่าคนที่มัวแต่หลบแดดอยู่ในบ้านมาก

13. เบาหวานอย่าทานไข่

ถ้าสมาชิกในครอบครัวคุณคนไหนเป็นเบาหวาน ควรให้เขางดไข่ไปเลย เพราะมีรายงานทางการแพทย์ว่าถ้าคนที่เป็นเบาหวานทานไข่อาทิตย์ละ 1 ฟอง จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากขึ้น

14. อยากผอมต้องน้ำเย็น

การดื่มน้ำเย็น 50 ออนซ์ จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี ช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 2.5 กิโลกรัม เพราะเมื่อเราดื่มน้ำเย็นร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำให้น้ำนั้นเปลี่ยนอุณหภูมิเป็นอุณหภูมิปกติก่อน แล้วจึงนำไปใช้ได้ จึงเป็นการใช้พลังงานมากกว่าเดิม

15. สุขภาพดีทันทีที่ตื่น

ถ้าอยากดูแลสุขภาพพร้อมกับการเริ่มต้นวันใหม่ ทันทีที่ตื่นนอนสาวๆ ควรผสมน้ำส้มสายชู (ที่หมักจากผลแอปเปิ้ล) กับน้ำผึ้งในสัดส่วนเท่ากัน ใส่น้ำอุ่นนิดหน่อย คนให้เข้ากันแล้วนำมาดื่ม จะช่วยให้การดูดซึมของระบบลำไส้และการเผาผลาญของร่างกายทำงานได้ดีตลอดวัน

16. ผู้ชายอย่าพลาดมะเขือเทศ

สำหรับหนุ่มซ่าที่กำลังเริ่มมีอาการเตะปี๊ปไม่ดังหรือกลัวว่าจะเป็นหมัน มะเขือเทศคือผลไม้ที่คุณจะพลาดไม่ได้ เพราะมะเขือเทศสุกมีสารโคปีนสูงมาก ช่วยให้ต่อมลูกหมากทำงานได้ดี ประสิทธิ์ภาพและสมรรถภาพต่างๆ จึงทำงานได้เป็นปกติ ถ้าผู้ชายทานมะเขือเทศอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้น ความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็จะน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญควรจะทานแบบสุกๆ เช่น ทานเป็นน้ำพริกอ่อง สปาเก็ตตี้ เพราะเวลามะเขือเทศถูกความร้อนมันจะปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น

17. ป้องกันกรดในกระเพาะอาหาร

สำหรับที่ท้องอืดบ่อย ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่างเช่น มะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุต หรือน้ำมะเขือเทศสดนั่น เพราะน้ำพวกนี้มีกรดมากทำให้ท้องอืด หรือถ้าเสพติดไปแล้วอดไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะทำให้เจือจางลงด้วยการผสมน้ำมากๆ

18. หลบอัลไซเมอร์ด้วยเกม

ถ้าไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์หรือเป็นโรคขี้หลงขี้ลืม สาวๆ ควรจะฝึกสมองด้วยการเล่นเกมที่ต้องใช้สมาธิ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ เกมในคอมพิวเตอร์ หรืออาจจะทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิอย่างเรียนดนตรี เล่นหมากรุก เป็นต้น เพราะเกมเหล่านี้จะช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ

การแพ้เครื่องสำอาง

ปัจจุบันนี้สาวๆหันมาสนใจความสวยความงามเป็นอันมาก มีการเปิดร้านเสริมสวย ลดความอ้วนกันมากมาย มีการนำเครื่องสำอางทั้งที่ผลิตเอง และนำจากต่างประเทศมาใช้กันอย่างแพร่หลาย วิวัฒนาการของความงามก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นวิวัฒนาการทางเครื่องสำอาง ร้านเสริมสวย สถาบันเสริมความงาม การใช้แสงเลเซอร์ช่วยในการรักษาผิวทั้งหมดนี้ถ้าใช้อย่างถูกวิธีก็เป็นสิ่งดี แต่บางครั้งก็ทำให้เกิดผลแทรกซ้อนได้

ดังนั้นจะเห็นว่าทุกคนไม่ว่าเพศหญิงหรือชาย เด็กหรือผู้ใหญ่ หรือแม้กระทั่งผู้สูงอายุ ก็ต้องใช้เครื่องสำอางกันทั้งสิ้นเนื่องจากเครื่องสำอางนอกจากจะหมายถึงเครื่องแต่งหน้าที่ผู้หญิงใช้แล้ว ยังรวมถึงสบู่ ยาสีฟัน แชมพู ที่ใช้ทำความสะอาดร่างกายด้วย ซึ่งผลข้างเคียงจากเครื่องสำอางพบได้น้อยเมื่อเทียบกับอัตราการใช้ แต่ถ้าเกิดขึ้นแล้วบางครั้งก็ทำให้เกิดความรำคาญ ทำให้เสียความงาม หรือบางครั้งงาอาจเป็นอันตรายขั้นรุนแรงได้

อาการแพ้เครื่องสำอางเครื่องสำอาง

อาการที่ผู้ใช้เครื่องสำอางจะรู้สึกด้วยตัวเอง เช่นอาการปวดแสบปวดร้อน อาการคัน หรือรู้สึกว่าคันยิบๆ อาการเหล่านี้จะเกิดเป็นช่วงสั้นๆ ไม่เกิด 10 นาที อาการที่พบบ่อยที่สุดมักเกิดจากการใช้เครื่องสำอางที่ใบหน้าแต่ผู้ที่แพ้มักไม่ไปพบแพทย์ เพราะเมื่อหยุดใช้ อาการก็จะหายไป ทั้งนี้อาจเกิดจากการระคายเคืองของเครื่องสำอาง

อาการแพ้ผื่นคัน อาจมีอาการตั้งแต่แพ้น้อยๆแค่มีผื่นแดงคัน จนกระทั่งแพ้มากเป็นตุ่มแดง ตุ่มน้ำ มีขุย บริเวณของร่างกายที่จะแพ้ได้บ่อยที่สุดคือ บริเวณหน้าโดยเฉพาะรอบดวงตา เนื่องจากเป็นบริเวณที่ผิวบางที่สุดคือ บริเวณหน้าโดยเฉพาะรอบดวงตา เนื่องจากเป็นบริเวณที่ผิวบางที่สุด

เกิดผื่นลมพิษ จะมีอาการผื่นแดง บวม ถ้าเป็นน้อยๆ อาจเห็นแค่หนังตาบวม ถ้าเป็นมากอาจพบผื่นบวมทั้งหน้า บางครั้งถ้าแพ้มาก อาจมีอาการทางด้านระบบอื่นของร่างกาย อาทิ แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก เช่น การแพ้ยาย้อมผม

เกิดผื่นดำ บางครั้งยิ่งทาเครื่องสำอางแล้วหน้ายิ่งดำ ทั้งนี้เนื่องจากในผลิตภัณฑ์มีส่วนผสมของน้ำหอม ซึ่งมีสารเคมีที่เมื่อโดนแสงแล้วจะเกิดการแพ้แสงแดดเห็นเป็นรอยดำบริเวณที่สัมผัส หรือบางครั้งผลิตภัณฑ์ที่มีสารธรรมชาติ เช่น มะกรูด มะนาว แตงกวา หรือการใช้สมุนไพรมาทาหน้าก็จะทำให้หน้าดำ เพราะมีสารที่ทำปฏิกิริยากับแสงแล้วทำให้เกิดผื่นดำได้ นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ที่รักษาฝ้าที่มีสารไฮโดรควิโนนในความเข้มข้นสูง จะทำให้เกิดปื้นดำบนใบหน้าอย่างถาวร แม้จะหยุดใช้แล้วก็ยังไม่หายดำ

เกิดผื่นขาว ในสมัยก่อนมีครีมที่นิยมทาให้ใบหน้าขาว ซึ้งทาแล้วก็ทำให้ขาวได้จริงๆ แต่ขาวแบบไม่สม่ำเสมอ กระดำกระด่าง ทั้งนี้เนื่องจากมีสารจำพวกปรอทโมโนอีเทอร์ ไฮโดรควิโนนที่มีความเข้มข้นสูง บางครั้งรอยด่างขาวนี้ก็เป็นแบบถาวร เมื่อหยุดใช้แล้วเม็ดสีก็ไม่กลับคืน ดังนั้นทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจึงห้ามใช้สารเหล่านี้ในเครื่องสำอางแล้ว

สิว เครื่องสำอางที่มีส่วนประกอบของสารที่ทำให้เกิดสิว เช่น สาโนลิน โซเดียมลอรัลซัลเฟต สารสเตียรอยด์ เป็นต้น เมื่อใช้ไปนานๆ อาจก่อให้เกิดสิวได้ ดังนั้นถ้าคนที่มีอายุเลยวัยที่จะเป็นสิวแล้วเกิดเป็นสิวขึ้นมา ให้สงสัยไว้ก่อนว่าจะเกิดจากเครื่องสำอาง

การเปลี่ยนแปลงของเล็บ เช่น เล็บลอก เล็บผุกร่อน เปลี่ยนสี ขอบเล็บอักเสบ อาจเกิดจากการใช้เครื่องสำอางของเล็บ เช่น ยาทาเล็บ น้ำยาล้างเล็บ และบางครั้งก็เกิดจากร้านเสริมสวยที่รักษาความสะอาดไม่เพียงพอ

การเปลี่ยนแปลงของผม น้ำยาดัดผม น้ำยายืดผม จะทำให้เส้นผมเปราะหักง่าย น้ำยาย้อมผม น้ำยาทำสีผม อาจทำให้เส้นผมกระด้าง ขาดความเงางาม

ผลต่อระบบอื่นๆของร่างกาย เช่น เยื่อบุตาอักเสบ การดูดซึมของสาร การสะสมของสารพิษในระยะยาว ซึ่งถ้าเป็นเครื่องสำอางที่ได้มาตรฐานผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา มักจะไม่มีอันตรายเหล่านี้ แต่บางครั้งด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ผลิตอาจจะใส่สารที่เป็นอันตราย เช่น ปรอท ตะกั่ว อันก่อให้เกิดพิษได้

เครื่องสำอางชนิดไหนที่ทำให้เกิดการแพ้ได้บ่อย

เครื่องสำอางที่ถือว่ามีอัตราทำให้เกิดผลข้างเคียงสูง ได้แก่ น้ำยายืดผม ครีมทำให้ผิวขาว ครีมรักษาฝ้า น้ำยาหรือครีมขจัดขน ส่วนที่มีอัตราทำให้เกิดผลข้างเคียงปานกลาง ได้แก่ น้ำยาดัดผม น้ำยาย้อมผม ครีมบำรุงผม มาส์คหน้า ครีมแก้สิว ครีมรองพื้น ลิบสติก น้ำยาทำความสะอาดอวัยวะเพศ โฟมอาบน้ำ ยากันแดด ยาระงับกลิ่นตัว และยาลดเหงื่อ

จะทำอย่างไรเมื่อสงสัยว่าจะแพ้เครื่องสำอาง

ถ้าสงสัยจะแพ้เครื่องสำอางชนิดไหน ให้หยุดใช้เครื่องสำอางชนิดนั้นทันที ถ้ามีหลายตัวให้หยุดใช้ตัวที่นำมาใช้ใหม่แล้วเกิดอาการก่อน ถ้าหยุดใช้แล้วอาการดีขึ้นก็อาจแสดงว่าเครื่องสำอางตัวนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้แพ้ แต่ถ้ามีอาการแพ้มากมีผิวหน้าอักเสบอยู่ให้หยุดใช้เครื่องสำอางทุกชนิด อนุญาตให้ใช้แป้งเด็ก ลิปสติก (ถ้าไม่มีผื่นที่ปาก) เครื่องสำอางแต่งดวงตา (ถ้าไม่มีผื่นรอบดวงตา) เมื่ออาการผิวหนังอักเสบหายแล้วค่อยลองใช้ที่ละตัวเป็นอย่างๆไป ถ้าเกิดผื่นขึ้นให้ลองหยุดใช้ตัวที่ใช้สุดท้าย ถ้าอาการหายไปก็น่าจะเกิดการแพ้เครื่องสำอางนั้นๆ

วิธีที่จะพิสูจน์ง่ายๆว่าเครื่องสำอางชนิดนั้นเป็นสาเหตุที่เกิดการแพ้จริงหรือไม่ ให้ทำการทดสอบโดยทาเครื่องสำอางที่สงสัยที่บริเวณท้องแขน วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 1 สัปดาห์ ถ้ามีผื่นขึ้นก็แสดงว่าแพ้จริง ให้หยุดใช้เครื่องสำอางนั้นๆ

ถ้าทดสอบเองแล้วยังหาสาเหตุไม่ได้ แพทย์ผิวหนังจะมีการทดสอบทางผิวหนังโดยวิธีแพตช์เทสต์ (PATCH TEST) โดยจะใช้สารเคมีที่เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางในความเข้มข้นที่เหมาะสมมาแปะติดลงบนแผ่นหลังของผู้ป่วย ทิ้งไว้ 2 วัน แล้วกลับมาอ่านผล ถ้ามีอาการผื่นแดงขึ้นบริเวณที่ทดสอบ ก็แสดงว่าแพ้สารนั้นวิธีนี้มีประโยชน์ในการที่จะเลือกซื้อเครื่องสำอางครั้งต่อไปจะได้เลือกเครื่องสำอางที่ไม่มีสารที่แพ้ผสมอยู่ เช่น ถ้าทดสอบแล้วพบว่าแพ้น้ำหอม เมื่อจะซื้อเครื่องสำอางก็ควรเลือกชนิดที่ไม่มีน้ำหอม หรือมีน้ำหอมน้อย ซึ่งอาจจะเขียนว่า NO PERFUME หรือ FRAGRANCE FREE ก็ได้

ถ้าเกิดอาการแพ้มากๆ ควรจะพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อการรักษาที่ถูกต้องอย่าฝืนใช้เครื่องสำอางหรือซื้อยาทาเองเนื่องจากอาจเกิดอันตรายมากขึ้น

ข้อแนะนำในการใช้เครื่องสำอาง

ปิดฝาเครื่องสำอางทุกครั้งเมื่อใช้เสร็จ

รักษาความสะอาดของขวด กระปุก

เก็บเครื่องสำอางไว้ในที่อาการไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป อากาศถ่ายเทได้สะดวก

แปรงหรือฟองน้ำต้องทำความสะอาดด้วยน้ำและสบู่

สำลีหรือพัฟควรจะเลือกแบบใช้แล้วทิ้งเพียงครั้งเดียว

ให้ล้างเครื่องสำอางออกให้หมดก่อนนอน

มั่นตรวจอายุของเครื่องสำอาง หากหมดอายุก็ทิ้งเสีย โดยเฉพาะมาสคาราจะมีอายุใช้งาน 3-4 เดือนเท่านั้น

หากผิวหน้ามีการติดเชื้อ ก็อาจจะหยุดหรือทิ้งเครื่องสำอางนั้นเสีย เนื่องจากอาจจะมีเชื้อแบคทีเรียในเครื่องสำอาง

ข้อห้ามใช้เครื่องสำอาง

อย่าใช้เครื่องสำอางของคนอื่น หรือยืมเครื่องสำอางให้คนอื่น เพราะอาจจะถ่ายเทเชื้อโรคให้กัน

ห้ามใช้เครื่องสำอางที่ตั้งโชว์ไวตามเคาน์เตอร์เครื่องสำอางเพราะอาจจะติดเชื้อโรค

ให้ล้างหน้าให้สะอาดก่อนใช้เครื่องสำอาง

หลังตื่นนอนควรจะรอจนหน้าและหนังตาหายบวมจึงจะค่อยเมคอับ

ห้ามแต่งหน้าระหว่างอยู่ในรถเพราะอาจจะทิ่มตา

ห้ามเติมน้ำลงในเครื่องสำอาง เพราะอาจจะมีเชื้อแบคทีเรีย

วิตามินอีไม่มีประโยชน์ต่อผิวหนังจึงไม่จำเป็นต่อเติมลงในเครื่องสำอาง

แพ้เครื่องสำอาง

ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้มีปฏิกิริยาต่อเครื่องสำอาง

พบแพทย์เพื่อทำการตรวจทดสอบสารแพ้ทางผิวหนัง ควรนำเครื่องสำอางทุกชนิดที่ใช้ และสงสัยว่าอาจจะแพ้ มาด้วย

การปฏิบัติตน

งดใช้สบู่, สารฟอก โดยให้ทำการชำระล้างด้วยน้ำเปล่า หรือให้เลือกใช้สบู่, ยาสระผมปลอดกลิ่น ปลอดน้ำหอม

ควรหยุดใช้เครื่องสำอางทุกชนิด ยก เว้นลิปสติก ซึ่งอาจจะใช้ได้หากบริเวณ ริมฝีปากไม่มีผื่น

ส่วนเครื่องสำอางบริเวณรอบดวงตา สามารถใช้ได้ถ้าบริเวณเปลือกตา ไม่มีผื่น หรือไม่มีอาการผิดปกติ

สามารถทาแป้งฝุ่น

ถ้าผิวหนังแห้งมากให้ใช้เพียงมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ ที่มีส่วนผสมของกลีเซอรีน (Glycerin)

หลังจากผื่น, อาการต่าง ๆ ทุเลาหายเป็นปกติ (ซึ่งอาจใช้เวลาหลายเดือน) ท่านอาจมีวิธีทดสอบด้วยตนเองว่าแพ้เครื่องสำอางตัวใดโดย

ทาผลิตภัณฑ์ที่สงสัยบริเวณท้องแขนหรือข้อพับแขนวันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 7 วัน ถ้าภายใน 1 สัปดาห์ไม่เกิดปฏิกิริยาใดๆ โอกาสแพ้ผลิตภัณฑ์ตัวนั้นน่าจะมีน้อย

อาจทดลองใช้เครื่องสำอางตามวิธีปกติได้ทีละ 1 ชนิด หากไม่มีอาการแพ้เกิดขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์ ค่อยเลือกใช้เครื่องสำอางชนิดที่ 2 ต่อไป

ข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้แพ้เครื่องสำอาง

พบแพทย์เพื่อทำการตรวจทดสอบสารแพ้ทางผิวหนัง ควรนำเครื่องสำอางทุกชนิดที่ใช้ และสงสัยว่าอาจจะแพ้ มาด้วย

การปฏิบัติตน

งดใช้สบู่, สารฟอก โดยให้ทำการชำระล้างด้วยน้ำเปล่า หรือให้เลือกใช้สบู่, ยาสระผมปลอดกลิ่น ปลอดน้ำหอม

ควรหยุดใช้เครื่องสำอางทุกชนิด ยก เว้นลิปสติก ซึ่งอาจจะใช้ได้หากบริเวณ ริมฝีปากไม่มีผื่น

ส่วนเครื่องสำอางบริเวณรอบดวงตา สามารถใช้ได้ถ้าบริเวณเปลือกตา ไม่มีผื่น หรือไม่มีอาการผิดปกติ

สามารถทาแป้งฝุ่น

ถ้าผิวหนังแห้งมากให้ใช้เพียงมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ ที่มีส่วนผสมของกลีเซอรีน (Glycerin)

หลังจากผื่น, อาการต่าง ๆ ทุเลาหายเป็นปกติ (ซึ่งอาจใช้เวลาหลายเดือน) ท่านอาจมีวิธีทดสอบด้วยตนเองว่าแพ้เครื่องสำอางตัวใดโดย

ทาผลิตภัณฑ์ที่สงสัยบริเวณท้องแขนหรือข้อพับแขนวันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 7 วัน ถ้าภายใน 1 สัปดาห์ไม่เกิดปฏิกิริยาใดๆ โอกาสแพ้ผลิตภัณฑ์ตัวนั้นน่าจะมีน้อย

อาจทดลองใช้เครื่องสำอางตามวิธีปกติได้ทีละ 1 ชนิด หากไม่มีอาการแพ้เกิดขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์ ค่อยเลือกใช้เครื่องสำอางชนิดที่ 2 ต่อไป

กินอย่างไรไม่กระทบระบบย่อยอาหาร

สงสัยไหมว่าทำไมบางคนถึงท้องอืด ท้องเฟ้อบ่อย ทำไมบางคนถึงปวดท้องบ่อย หรือชอบมีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารบ่อยๆ แต่ทำไมบางคนจึงไม่เป็น?

เรื่อง นี้ บอกได้เลยว่าพฤติกรรมการกินอาหารเป็นส่วนสำคัญของสาเหตุที่ว่ามานี้ อย่างเช่น คนที่ชอบท้องอืดท้องเฟ้อ อาจเป็นเพราะกินอาหารมากไป หรือเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด ทำให้น้ำย่อยที่มีอยู่ไม่พอที่จะย่อยอาหารได้หมด สิ่งที่ควรทำคือ ลดปริมาณอาหารแต่ละมื้อลงหรือเปลี่ยนมากินให้บ่อยขึ้น รวมทั้งเคี้ยวให้ละเอียดมากขึ้นด้วย และการกินอาหารประเภททอดที่มีน้ำมันมากๆ ก็จะทำให้กระเพาะทำงานช้าลง และทำให้ความเป็นกรดด่างในน้ำย่อยเปลี่ยนไป ทำให้เกิดอาการท้องอืดท้องเฟ้อได้ด้วย

การดื่มชากาแฟก็มีส่วนทำให้ เกิดอาการปวดท้องได้เช่นกัน เพราะคาเฟอีนจะกระตุ้นให้เกิดกรดในกระเพาะอาหาร ส่วนการสูบบุหรี่จัดจะส่งผลให้กระเพาะบีบตัวไม่ดี หูรูดของกระเพาะปิดเปิดได้ไม่ดี ทำให้กรดในกระเพาะล้นขึ้นมาบริเวณหลอดอาหาร ทำให้รู้สึกแสบร้อนบริเวณหน้าอกได้ และการดื่มน้ำน้อยไป หรือกินอาหารที่ไม่ค่อยมีกากใยก็จะทำให้ท้องผูกด้วย

ปรับพฤติกรรมการกินเสียใหม่ดีกว่า เพื่อไม่ให้ระบบย่อยอาหารของคุณมีปัญหาอีกต่อไป

แป๊ะก๊วย ช่วยเพิ่มความจำ

มนุษย์เราเกิดมาต้องการอะไร? บางคนตอบว่าต้องการความสุข อะไรคือความสุขในชีวิตของมนุษย์เรา

ชีวิตที่มีความสุข คือ ชีวิตที่มีความสะดวกสบาย นึกอยากจะทำอะไร อยากได้อะไร ก็สามารถทำได้ หรือหาซื้อมาได้ แต่นั่นคงจะไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง เพราะหากจิตใจไม่สบาย ร่างกายอ่อนแอ เจ็บไข้ได้ป่วยกระเสาะกระแสะ ก็คงไม่มีความสุข ดังนั้นปัจจัยหลักที่ทำให้คนมีความสุขก็ต้องเป็นผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง

มีคำแนะนำทางการแพทย์ว่า คนเราจะมีสุขภาพดี ต้องประกอบด้วย 5 อ. คือ อาหาร อากาศ อารมณ์ อุจจาระ และออกกำลังกาย ซึ่งสามารถแยกแยะได้ ดังนี้

อาหาร ควรเป็นอาหารที่เหมาะสมกับร่างกาย กินแล้วให้ประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่มีโทษหรือพิษภัย หรือมีผลข้างเคียงให้เกิดโรคภัยภายหลัง

อากาศ ที่ใช้หายใจเข้าออก ต้องเป็นอากาศที่บริสุทธิ์ ปราศจากมลพิษใดๆ เพราะหัวใจของคนต้องการอากาศเข้าไป เพื่อสูบฉีดโลหิตไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ให้ทำงานตลอดเวลา อากาศบริสุทธิ์ทำให้รู้สึกสดชื่น มีความสุข

อารมณ์ ผู้ที่มีอารมณ์แจ่มใส ร่าเริง จะมีความสุขกว่าคนที่มีอารมณ์ขุ่นมัว หงุดหงิด ฉุนเฉียว นอกจากนั้นแล้วยังมีผลต่อระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายอีกด้วย

อุจจาระ คือ กากอาหาร หรือของเสียที่ร่างกายย่อยแล้ว นำส่วนที่ดีไปใช้ หลังจากนั้นก็จะขับถ่ายออกมา หากตกค้างอยู่ในร่างกายนานเกินไป จะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ คนที่มีระบบขับถ่ายที่ดี จะมีหน้าตาสดใส มีน้ำมีนวล ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่ค่อยขับถ่าย หรือที่เรียกว่า ท้องผูก

ออกกำลังกาย เป็นการบริหารอวัยวะทั้งภายในและภายนอก ทำให้ได้รับการเคลื่อนไหว ช่วยให้เกิดการเสริมสร้างส่วนที่ขาด หรือลดส่วนที่เกิน ช่วยในการทำงานของหัวใจ ปอด ฯลฯ คนที่ไม่ออกกำลังกายจะเป็นคนอ่อนแอ ขาดภูมิต้านทาน เจ็บป่วย เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย

ทีนี้มาพูดกันถึงเรื่องอาหารที่เรากินอยู่ทุกวัน อาหารอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะในโลกนี้มีอาหารมากมาย หลากหลายชนิด เรากินเข้าไปอาจมีประโยชน์ หรือไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายก็ได้ อาหารบางอย่างนอกจากไม่มีประโยชน์แล้ว ยังมีโทษต่อร่างกายด้วยซ้ำไป มีคำกล่าวไว้ว่า “การกินอาหารที่ดี ให้ประโยชน์ต่อร่างกายนั้น ต้องกินให้ครบ 5 หมู่”

อาหาร 5 หมู่ นั้นประกอบด้วย

1.โปรตีน เป็นอาหารประเภท เนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง อาหารประเภทนี้จะช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต ไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เพราะเมื่อคนเรากินอาหารเข้าไปแล้ว จะเกิดการเผาผลาญ หรือย่อยสลาย นำส่วนที่เป็นประโยชน์ไปใช้ ทำให้ร่างกายเจริญเติบโต

2.คาร์โบไฮเดรต ได้แก่ อาหารจำพวก ข้าว แป้ง เผือก มัน น้ำตาล อาหารประเภทนี้จะช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย

3.วิตามิน พืชผักต่างๆ ช่วยในการเสริมสร้างการทำงานของร่างกายให้เป็นปกติ เพราะอวัยวะในร่างกายมีการเคลื่อนไหว และทำงานตลอดเวลา จำเป็นต้องมีการเสริมสร้าง หรือทดแทนการสึกหรอ

4.แร่ธาตุ ผลไม้ต่างๆ ให้ประโยชน์เช่นเดียวกับอาหารประเภทวิตามิน

5.ไขมัน จะเป็นส่วนให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกาย ซึ่งจะได้จากน้ำมัน หรือไขมันที่ได้จากพืชหรือสัตว์

การกินอาหาร ควรกินให้ครบทั้ง 5 หมู่ ในแต่ละวัน เพราะไม่มีอาหารชนิดใดที่มีสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่อยู่ในตัวมันเอง

นอกจากอาหารที่เป็นประโยชน์ดังกล่าวแล้ว ยังมีอาหารบางประเภทบางอย่างที่มีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นพืชผัก หรือเนื้อสัตว์ เช่น

ผักขึ้นฉ่าย มีสรรพคุณในการลดความดันโลหิต

ขมิ้นชัน มีสรรพคุณในการช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ บรรเทาอาการปวดท้อง

ไก่ดำ หอยนางรม มีสรรพคุณในการช่วยบำรุงกำลัง เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ

พริกไทย มีสรรพคุณในการขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ บำรุงธาตุ

ผักตำลึง เป็นยาเย็น ช่วยในการถอนพิษไข้ แก้อาการแพ้

เมล็ดและใบแป๊ะก๊วย มีสรรพคุณช่วยลดอาการอัลไซเมอร์ หรือช่วยให้ความจำดีขึ้น

ปู่เชาว์วัยใกล้ 80 เป็นคนที่เคร่งครัด เอาใจใส่ในสุขภาพ และเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษ แทบทุกสัปดาห์จะมีญาติสนิทมิตรสหายมาร่วมรับประทานอาหารและพบปะสังสรรค์กันตามประสาของคนสูงอายุ

ในวันนี้ก็เช่นเดียวกัน เพื่อนๆ ร่วมรุ่นเกือบ 10 คน มานั่งรับประทานอาหารเย็นที่บ้านคุณปู่ เรื่องที่สนทนาปราศรัยก็เป็นเรื่องสัพเพเหระทั่วๆ ไป ในที่สุดก็มาพูดคุยกันถึงเรื่องอาหารการกิน อะไรมีประโยชน์ อะไรมีโทษ อะไรควรกิน อะไรควรเว้น

หลังจากอาหารคาวหวานจบไปแล้ว ก็ดื่มน้ำชา–กาแฟ และนั่งสนทนากันต่อเป็นการย่อยอาหาร คุณปู่เชาว์แกบรรยายถึงสรรพคุณของอาหารหลายอย่าง และในที่สุดก็นึกถึง แป๊ะก๊วย ขึ้นมาได้

“เม็ดแป๊ะก๊วยนี่มีประโยชน์มาก กินแล้วช่วยให้ความจำดี ไม่เป็นโรคอัลไซเมอร์ ผมกินเป็นประจำทุกวัน เพราะเป็นของที่ชอบและมีประโยชน์ด้วย”

พัชรินทร์ เนตรทิพย์ (ฟาร์)เลขที่ 33

แป๊ะก๊วย ช่วยเพิ่มความจำ

มนุษย์เราเกิดมาต้องการอะไร? บางคนตอบว่าต้องการความสุข อะไรคือความสุขในชีวิตของมนุษย์เรา

ชีวิตที่มีความสุข คือ ชีวิตที่มีความสะดวกสบาย นึกอยากจะทำอะไร อยากได้อะไร ก็สามารถทำได้ หรือหาซื้อมาได้ แต่นั่นคงจะไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง เพราะหากจิตใจไม่สบาย ร่างกายอ่อนแอ เจ็บไข้ได้ป่วยกระเสาะกระแสะ ก็คงไม่มีความสุข ดังนั้นปัจจัยหลักที่ทำให้คนมีความสุขก็ต้องเป็นผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง

มีคำแนะนำทางการแพทย์ว่า คนเราจะมีสุขภาพดี ต้องประกอบด้วย 5 อ. คือ อาหาร อากาศ อารมณ์ อุจจาระ และออกกำลังกาย ซึ่งสามารถแยกแยะได้ ดังนี้

อาหาร ควรเป็นอาหารที่เหมาะสมกับร่างกาย กินแล้วให้ประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่มีโทษหรือพิษภัย หรือมีผลข้างเคียงให้เกิดโรคภัยภายหลัง

อากาศ ที่ใช้หายใจเข้าออก ต้องเป็นอากาศที่บริสุทธิ์ ปราศจากมลพิษใดๆ เพราะหัวใจของคนต้องการอากาศเข้าไป เพื่อสูบฉีดโลหิตไปหล่อเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ให้ทำงานตลอดเวลา อากาศบริสุทธิ์ทำให้รู้สึกสดชื่น มีความสุข

อารมณ์ ผู้ที่มีอารมณ์แจ่มใส ร่าเริง จะมีความสุขกว่าคนที่มีอารมณ์ขุ่นมัว หงุดหงิด ฉุนเฉียว นอกจากนั้นแล้วยังมีผลต่อระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ ภายในร่างกายอีกด้วย

อุจจาระ คือ กากอาหาร หรือของเสียที่ร่างกายย่อยแล้ว นำส่วนที่ดีไปใช้ หลังจากนั้นก็จะขับถ่ายออกมา หากตกค้างอยู่ในร่างกายนานเกินไป จะทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ คนที่มีระบบขับถ่ายที่ดี จะมีหน้าตาสดใส มีน้ำมีนวล ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่ค่อยขับถ่าย หรือที่เรียกว่า ท้องผูก

ออกกำลังกาย เป็นการบริหารอวัยวะทั้งภายในและภายนอก ทำให้ได้รับการเคลื่อนไหว ช่วยให้เกิดการเสริมสร้างส่วนที่ขาด หรือลดส่วนที่เกิน ช่วยในการทำงานของหัวใจ ปอด ฯลฯ คนที่ไม่ออกกำลังกายจะเป็นคนอ่อนแอ ขาดภูมิต้านทาน เจ็บป่วย เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย

ทีนี้มาพูดกันถึงเรื่องอาหารที่เรากินอยู่ทุกวัน อาหารอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะในโลกนี้มีอาหารมากมาย หลากหลายชนิด เรากินเข้าไปอาจมีประโยชน์ หรือไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายก็ได้ อาหารบางอย่างนอกจากไม่มีประโยชน์แล้ว ยังมีโทษต่อร่างกายด้วยซ้ำไป มีคำกล่าวไว้ว่า “การกินอาหารที่ดี ให้ประโยชน์ต่อร่างกายนั้น ต้องกินให้ครบ 5 หมู่”

อาหาร 5 หมู่ นั้นประกอบด้วย

1.โปรตีน เป็นอาหารประเภท เนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง อาหารประเภทนี้จะช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต ไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เพราะเมื่อคนเรากินอาหารเข้าไปแล้ว จะเกิดการเผาผลาญ หรือย่อยสลาย นำส่วนที่เป็นประโยชน์ไปใช้ ทำให้ร่างกายเจริญเติบโต

2.คาร์โบไฮเดรต ได้แก่ อาหารจำพวก ข้าว แป้ง เผือก มัน น้ำตาล อาหารประเภทนี้จะช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย

3.วิตามิน พืชผักต่างๆ ช่วยในการเสริมสร้างการทำงานของร่างกายให้เป็นปกติ เพราะอวัยวะในร่างกายมีการเคลื่อนไหว และทำงานตลอดเวลา จำเป็นต้องมีการเสริมสร้าง หรือทดแทนการสึกหรอ

4.แร่ธาตุ ผลไม้ต่างๆ ให้ประโยชน์เช่นเดียวกับอาหารประเภทวิตามิน

5.ไขมัน จะเป็นส่วนให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกาย ซึ่งจะได้จากน้ำมัน หรือไขมันที่ได้จากพืชหรือสัตว์

การกินอาหาร ควรกินให้ครบทั้ง 5 หมู่ ในแต่ละวัน เพราะไม่มีอาหารชนิดใดที่มีสารอาหารครบทั้ง 5 หมู่อยู่ในตัวมันเอง

นอกจากอาหารที่เป็นประโยชน์ดังกล่าวแล้ว ยังมีอาหารบางประเภทบางอย่างที่มีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นพืชผัก หรือเนื้อสัตว์ เช่น

ผักขึ้นฉ่าย มีสรรพคุณในการลดความดันโลหิต

ขมิ้นชัน มีสรรพคุณในการช่วยลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ บรรเทาอาการปวดท้อง

ไก่ดำ หอยนางรม มีสรรพคุณในการช่วยบำรุงกำลัง เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ

พริกไทย มีสรรพคุณในการขับลม แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ บำรุงธาตุ

ผักตำลึง เป็นยาเย็น ช่วยในการถอนพิษไข้ แก้อาการแพ้

เมล็ดและใบแป๊ะก๊วย มีสรรพคุณช่วยลดอาการอัลไซเมอร์ หรือช่วยให้ความจำดีขึ้น

ปู่เชาว์วัยใกล้ 80 เป็นคนที่เคร่งครัด เอาใจใส่ในสุขภาพ และเรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษ แทบทุกสัปดาห์จะมีญาติสนิทมิตรสหายมาร่วมรับประทานอาหารและพบปะสังสรรค์กันตามประสาของคนสูงอายุ

ในวันนี้ก็เช่นเดียวกัน เพื่อนๆ ร่วมรุ่นเกือบ 10 คน มานั่งรับประทานอาหารเย็นที่บ้านคุณปู่ เรื่องที่สนทนาปราศรัยก็เป็นเรื่องสัพเพเหระทั่วๆ ไป ในที่สุดก็มาพูดคุยกันถึงเรื่องอาหารการกิน อะไรมีประโยชน์ อะไรมีโทษ อะไรควรกิน อะไรควรเว้น

หลังจากอาหารคาวหวานจบไปแล้ว ก็ดื่มน้ำชา–กาแฟ และนั่งสนทนากันต่อเป็นการย่อยอาหาร คุณปู่เชาว์แกบรรยายถึงสรรพคุณของอาหารหลายอย่าง และในที่สุดก็นึกถึง แป๊ะก๊วย ขึ้นมาได้

“เม็ดแป๊ะก๊วยนี่มีประโยชน์มาก กินแล้วช่วยให้ความจำดี ไม่เป็นโรคอัลไซเมอร์ ผมกินเป็นประจำทุกวัน เพราะเป็นของที่ชอบและมีประโยชน์ด้วย”

คนึงนิจ มีใจดี (ฟาร์) 006 เลขที่ 30

ลิ้นบอกสุขภาพ

ลองเอากระจกขึ้นมาแล้วแลบลิ้นออกมาดู คุณจะสามารถรู้เกี่ยวกับสุขภาพของคุณได้มากมาย โดยดูสีของลิ้น และความหมายของมัน

ลิ้นสีน้ำตาลอ่อน คราบสีน้ำตาลอ่นอที่เกาะอยู่ที่ลิ้น ปกติจะมาจากคราบอาหารหลังจากรับประทาน จะมีคราบติดอยู่บนลิ้น ดังนั้นคุรควรแปรงลิ้นหลังรับประทานอาหาร และควรดื่มน้ำเยอะ เพราะน้ำช่วยให้มีน้ำลาย ซึ่งจะช่วยรักษาความสะอาดในปากได้

ลิ้นเป็นสีชมพูอ่อน/ขาว ลิ้นบางคนจะมีสีขาวซีด คราบสีขาวบนลิ้นจะมีปัญหาเมื่อมันลอกและมีเลือดออก ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นแสดงว่าคุณติดเชื้อรา ต้องไปให้แพทย์รักษา

ลิ้นมีสีชมพูอ่อนแก่สลับกัน เป็นจุดเล็กๆ ที่มีลักษณะเหมือนสิว บ่อยครั้งเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งจะหายเองภายใน 1 สัปดาห์ แต่ถ้าจุดนั้นขยายใหญ่ แปลแตกออกมาและไม่หายนานกว่า 2 อาทิตย์ คุณต้องไปหาหมอ เพราะมันอาจเป็นสัญญาณบอกว่าคุณอาจเป็นมะเร็งที่ลิ้นได้ค่ะ

ลิ้นสีดำหรือน้ำตาลเข้ม เป็นอาการที่พบได้น้อยมาก จะมีลักษณะมีคราบขุยสีดำจับอยู่ ซึ่งเชื่อว่าเป้นคราบสกปรกที่ไม่ยอมหลุดออกไป คุณควรจะแปรงลิ้นเป็นประจำ ถ้าจำเป็นก็ควรใช้ช้อนหรือที่ขูดลิ้น ขูดเอาคราบออกบ้าง และควรลดชา กาแฟ และบุหรี่ เพราะทั้ง 3 อย่างนี้ทำให้ลิ้นเป็นคราบมากยิ่งขึ้น

กฤษฎา ภาคค่ำ จ-ศ เลขที่52

ทำอย่างไรจึงจะมีอายุที่ยืนยาว และสุขภาพแข็งแรง

อาหารธรรมชาติ ทุกวันนี้บรรดานักวิชาการและปัญญาชนที่หันมารับประทาน " อาหารธรรมชาติ " เลิกบริโภคเนื้อสัตว์โดยสิ้นเชิง ได้ทวีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะความเชื่อถือลัทธิใดๆ แต่เป็นเพราะเหตุผลทางธรรมชาติวิทยาที่ท่านเหล่านั้นค้นพบ แล้วจึงปฏิบัติตามความรู้นั้นด้วยความมั่นใจ

เนื้อหาในบทความนี้กล่าวถึงอาหารที่ธรรมชาติได้เอื้ออำนวยแก่มวลมนุษย์ ซึ่งเป็นอาหารที่เหมาะสม ถูกต้องตามที่ธรรมชาติอันแท้จริงของมนุษย์ต้องการ

โดยทำการรวบรวมจากผลการวิจัย และข้อมูลต่างๆทางวิชาการโดยคุณศิริชัย ค้าดี ขอผลบุญกุศลที่เกิดจากวิทยาทานจงมีแด่คุณศิริชัยและครอบครัวตลอดจนทุกท่านที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบทความนี้

เนื่องจากการนำเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตอาจส่งผลให้มีผู้อ่านเพิ่มมากขึ้น จึงขอให้ทุกท่านที่เข้ามาศึกษาได้โปรดน้อมใจขอบคุณผู้ที่ทำการค้นคว้า ศึกษา เพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมด้วย ทุกท่านด้วยเทอญ

ทำอย่างไรจึงจะมีอายุยืนยาวและสุขภาพแข็งแรง หากจะถามว่าใครบ้างอยากอายุสั้น ? ก็คงไม่มีใคร… ทุกคนล้วนอยากมีอายุยืนยาวและสุขภาพแข็งแรง ทั้งนี้เพราะเป็นยอดปรารถนาอย่างหนึ่งของมนุษย์ ดังจะได้ยินคำอวยพรที่คุ้นหูกันอยู่บ่อยๆว่า "ขอให้อายุมั่นขวัญยืน อย่าได้เจ็บไข้ ขอให้อยู่จนแก่จนเฒ่า" นั่นก็แสดงว่า ทุกคนล้วนไม่อยากเจ็บก่อนตาย ไม่อยากตายก่อนแก่

คนเราแม้จะมีเงินทองมากมายล้นฟ้าเหลือคณานับ แต่ถ้าอายุสั้นเสียแล้วจะมีความหมายอะไรเล่า ถ้าหากอายุยืนยาวแต่กลับเต็มไปด้วยโรคภัยมาเบียดเบียน เช่นนี้แล้วชีวิตก็คงหาความสุขไม่ได้ โรคภัยไข้เจ็บล้างผลาญเงินทองและทำลายความสุขในชีวิตไปจนหมดสิ้น บางคนล้มป่วยคราวเดียวเงินทองที่สะสมมาตลอดชีวิตก็ยังไม่พอที่จะรักษาเยียวยา เพราะฉะนั้นการมีอายุยืนยาวและสุขภาพแข็งแรงจึงเป็นมงคลแก่ชีวิตประการหนึ่งที่ทุกคนมุ่งมั่นปรารถนา อายุเท่าไหร่ล่ะ…จึงจะเรียกว่าเป็นคนที่อายุยืน ?

จากการสำรวจอายุเฉลี่ยของคนในแต่ละส่วนของโลกเป็นอย่างนี้ ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งในประเทศรัสเซีย ผู้คนมีอายุยืนถึง 120 ปี ไม่เพียงแต่พวกเขาจะอายุยืนเท่านั้น ทุกคนยังมีพลานามัยที่แข็งแรงสมบูรณ์ดีอีกด้วย จากรายงานสำรวจพบว่าหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง ซึ่งมี อากาศดี แสงแดดดี มีน้ำดื่มน้ำใช้ที่สะอาด ผู้คนดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารจำพวก เมล็ดธัญญพืช ผักและผลไม้เป็นหลัก ทุกคนได้ออกกำลังกายด้วยการทำงาน อาหารส่วนใหญ่ของพวกเขาได้มาจากธรรมชาติรอบข้าง เช่น ผักสด ผลไม้ น้ำผึ่งป่า และอื่นๆ การเพาะปลูกผักที่นำมาเป็นอาหารไม่เคยใช้ปุ๋ยเคมีหรือยาฆ่าแมลงใดๆเลย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งลักษณะภูมิประเทศไม่เอื้ออำนวยให้สามารถเลี้ยงเป็นอาหาร ทำให้เนื้อสัตว์เป็นของหายากที่ไม่นิยมบริโภคกันเลยตั่งแต่บรรพบุรุษมาเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้ว ชาวบ้านทั้งหลายในหมู่บ้านนี้จะรู้สึกโศกเศร้าเสียใจมาก หากว่ามีผู้เสียชีวิตลงในขณะที่มีอายุ 80 - 90 ปี พวกเขาจะพากันกล่าวว่า " โถ…ช่างอายุสั้นจริงๆ " ที่เมืองฮันซ่าซึ่งตั้งอยู่ทางเหนือของอินเดียและปากีสถาน ชาวเมืองนี้รับประทานแต่อาหารมังสวิรัติ ไม่รับประทานเนื้อสัตว์เลยสืบต่อกันมาเป็นพันๆปีแล้ว แต่ทว่าความเป็นอยู่ในการเพาะปลูกเริ่มมีผลกระทบจากมลภาวะของสิ่งแวดล้อมตามแบบชุมชนเมือง มีการใช้วิทยาการต่างๆเช่น ใส่ปุ๋ยเคมี และพ่นยาฆ่าแมลงในการเกษตร ดังนั้นจึงพบว่าอายุเฉลี่ยของคนเมืองนี้ลดลงเหลือประมาณ 90 - 100 ปีเท่านั้น

แต่ครั้นคณะสำรวจได้เดินทางไปยังแถบขั้วโลกเหนืออันเป็นที่อยู่ของชาวเอสกีโม ทุกคนก็ต้องพากันประหลาดใจเมื่อพบว่าผู้คนที่นั่นมีอายุไม่เกิน 40 ปี ! ร่างกายของพวกเขาทรุดโทรมต้องป่วยเป็นโรคต่างๆมากมาย มีรูปร่างแคระแกรนสุขภาพไม่แข็งแรง อายุเฉลี่ยของคนในหมู่บ้านนี้เพียง 27 ปีครึ่งเท่านั้น คณะสำรวจพบว่าลักษณะภูมิประเทศที่เป็นน้ำแข็งทั้งหมด และอากาศซึ่งหนาวจัดเป็นเหตุให้ไม่สามารถเพาะปลูกพืชผักชนิดใดได้เลย ชาวบ้านทั้งหมดต้องดำรงชีวิตอยู่ด้วยการล่าสัตว์ ดังนั้นอาหารหลักที่ต้องบริโภคไปตลอดชีวิต ตลอดจนเครื่องมือเครื่องใช้ทุกประเภท ล้วนได้มาจากสัตว์ร่างกายและผิวหนังของพวกเขาไม่มีโอกาสได้รับแสงแดดเลย

เราลองหันมาดูข้อมูลสถิติอายุของคนในทวีปเอเซียดูบ้าง พบว่าอายุเฉลี่ยของคนเอเซียอยู่ในระหว่าง 50 - 60 ปี และส่วนใหญ่มีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไป ไม่ว่าหญิงหรือชาย มักจะเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคไขข้อ โรคตับ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และอื่นๆ จากการสำรวจพบว่า ในทวีปเอเซียแม้ภูมิประเทศจะอุดมสมบูรณ์ดี มีการเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ แต่ทว่าในการเพาะปลูก เกษตรกรได้ใช้ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงในปริมาณที่มากจนน่ากลัว น้ำและอากาศในแหล่งชุมชนเมืองมีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็น อาหารหลักของประชากรส่วนใหญ่เป็นอาหารพืชผักและเนื้อสัตว์ในอัตราส่วนที่เท่าๆกัน พบว่าอายุเฉลี่ยของคนในเมืองสั้นกว่าผู้คนที่อยู่ในชนบท

อาหารของคนในชนบทโดยมากเป็นพืชผักผลไม้และมีโอกาสบริโภคเนื้อสัตว์กันน้อย แต่แม้ว่าชาวชนบทจะสามารถปลูกพืชผักต่างๆได้เองแต่พวกเขาก็ไม่ได้บริโภคให้ครบถ้วนตามหลักโภชนาการ ดังนั้นชาวชนบทจำนวนไม่น้อยจึงยังคงเป็นโรคขาดสารอาหาร และเจ็บป่วยเป็นโรคต่างๆ เมื่ออายุย่างเข้าวัยกลางคน

จากตัวอย่างดังกล่าวทำให้หลายฝ่ายพากันฉงนสงสัยว่า ทำไมยิ่งนานวันวิทยาการเจริญก้าวหน้าขึ้น แต่อายุของคนกลับถดถอยสั้นลงเรื่อยๆ อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้อายุของคนในแต่ละถิ่นไม่เท่ากัน มีสุขภาพดีเลวต่างกัน ทำอย่างไรจึงจะมีอายุที่ยืนยาวและสุขภาพที่แข็งแรง

นางสาว เพ็ญจิตต์ ธาราวิกรัยรัตน์

สวัสดียามบ่ายค่ะ อ.กั๊ม

ดิฉันชื่อ นางสาว เพ็ญจิตต์ ธาราวิกรัยรัตน์ รหัสนักศึกษา 50322103 เลขที่ 14 เรียนภาคค่ำ ค่ะ ได้อ่านบทความเรื่อง รูปร่างดีรู้ได้อย่างไร แล้วทำให้มีความรู้เพิ่มมากขึ้นเยอะเลยค่ะ

นี่ก็บ่ายล่ะ อ.คงทานข้าวกับ...อย่างมีความสุขดีนะค่ะ

ขอบคุณค่ะ สำหรับข้อมูลความรู้

นางสาว เพ็ญจิตต์ ธาราวิกรัยรัตน์

เทคนิคการผ่อนคลายผิวรอบดวงตา

วิธีทำง่าย ๆ คือ เพียงใช้ปลายนิ้วชี้ กลาง และนาง ยืดคิ้วออกด้านข้าง 3 ครั้งใช้นิ้วกลางของทั้งสองข้างหมุนวนรอบดวงตาพร้อมๆ กัน โดยวนตามเข็มนาฬิกา ในทุกครั้งให้หยุดกดที่บริเวณหัวคิ้ว ทำแบบนี้ซ้ำทั้งหมด 6 รอบ และใช้นิ้วกลางกดจุดไล่ตั้งแต่หัวคิ้ว ถึงขมับ 3 รอบ กดจุดไล่ลงมาที่บริเวณใต้ตา ไล่ตั้งแต่หัวตาถึงหางตา 3 รอบ ใช้นิ้วกลางนวดที่บริเวณขมับ หมุนเป็นรูปเลขแปด ทำซ้ำทั้งหมด 6 รอบ ทำซ้ำขั้นตอนที่ 2-5 ทั้งหมด 3 รอบ นำมือทั้งสองข้างปิดที่ดวงตา ลากน้ำหนักที่ปลายนิ้วออกไปที่ด้านข้างกรอบหน้า แล้วจึงค่อย ๆ ยกฝ่ามือออกจากใบหน้าเพียงเท่านี้ก็จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้ หากต้องการความอ่อนเยาว์ของดวงตา ควรเข้ารับการตรวจตาเป็นประจำทุก ๆ 2-4 ปี และทุก ๆ 1-2 ปี สำหรับผู้มีอายุ 65 ปีขึ้นไป สำหรับ ผู้ที่ต้องนั่งจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นประจำ เริ่มฝึกนิสัยพักสายตาโดยการมองออกไปไกล ๆ ทุก ๆ 10-15 นาที สวมใส่แว่นตาดำที่ปกป้องและกรองแสงยูวีทุก ๆ ครั้งที่ทำกิจกรรมกลางแจ้ง ปกป้องและระวังไม่ให้ดวงตาสัมผัสควัน และฝุ่นละอองต่าง ๆ โดยตรง

สวยก่อนนอน

1.เลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะ ตั้งแต่ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เหมาะกับสภาพผิว ถ้าเป็นคนผิวแห้งก็จะแนะนำเป็นพวกครีมน้ำนม ซึ่งเป็นการทำความสะอาดและเติมความชุ่มชื่นให้ผิวด้วย แต่ถ้าเป็นคนผิวธรรมดาหรือผิวมัน แนะนำให้เป็นผลิตภัณฑ์จากโฟมน้ำผึ้ง ซึ่งจะเหมาะกับสภาพผิว

2.การล้างหน้า เวลา ล้างหน้าอย่าใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้ง เพราะ 2 นิ้วนี้เมื่อกดลงใบหน้าจะมีแรงกดมาก ทำให้เกิดริ้วรอย ควรใช้เพียงนิ้วกลางและนิ้วนางเท่านั้น โดยเริ่มหมุนนิ้วออกเป็นวงกลม เริ่มจากบริเวณคาง คลึงนวดเบาๆ ไล่ขึ้นไปตามแก้ม ไล่จากบริเวณจุดกลางไปตามลายกล้ามเนื้อออกไปทางด้านข้าง ไล่ขึ้นไปที่หน้าผาก เป็นการต้านแรงโน้มถ่วง อาจจะเน้นบริเวณร่องข้างจมูก เพื่อหลีกเลี่ยงสิวเสี้ยน

3.การลงเคล็นซิง ให้ทิ้งไว้ประมาณ 30 วินาที-1 นาที เพื่อให้ตัวครีมนี่ทำละลายกับสิ่งสกปรก เครื่องสำอาง คราบไขมันอุดตัน

4.วิธีล้างออก วักน้ำขึ้นมาแล้วให้เอาน้ำแปะบนผิวหน้า ห้ามถู เพราะจะยิ่งทำให้เหมือนเป็นการกดไปบนหน้าเรา จะทำให้เกิดริ้วรอยได้

การนอนหลับกับผิวพรรณ

 การนอนหลับที่ดีควรเป็นการนอน หลับอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งคืน เมื่อตื่นเช้าขึ้นมาแล้วมีความรู้สึกไม่สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอนในเวลากลางวัน ซึ่งการนอนหลับที่ดีที่ส่งผลต่อการมีผิวพรรณที่ดีนั้น ควรมีปัจจัยดังนี้

1.นอนถูกเวลาและปริมาณ ความ ต้องการนอนหลับของมนุษย์เรานั้นไม่เท่ากัน ยิ่งอายุน้อยยิ่งต้องการนอนมาก และความต้องการนอนหลับสำหรับผู้ใหญ่โดยทั่วไปแล้วประมาณ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน สิ่งที่สำคัญคือร่างกายจะมีการสะสม ถ้าเรานอนไม่พอก็จะต้องการนอนมากขึ้นในวันต่อไป นอกจากนี้ เวลาเข้านอนก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะฮอร์โมนและสารต่างๆ ที่จำเป็นในการก่อให้เกิดสุขภาพผิวพรรณที่ดี จะผลิตเป็นเวลาตามที่ร่างกายกำหนด เวลาที่แนะนำให้ควรเข้านอนเพื่อสุขภาพร่างกายและผิวพรรณที่ดี ไม่ควรจะเกิน 4 ทุ่มของแต่ละคืน

2.นอนถูกที่ ถูกสิ่งแวดล้อม ถ้า สิ่งแวดล้อมที่เรานอนไม่เหมาะสม เช่น มีเสียงรบกวน มีแสงสว่างมากเกินไป มีการระบายอากาศที่ไม่เหมาะสม ต่างก็ส่งผลกระทบต่อกระบวนการนอนหลับอย่างต่อเนื่องของร่างกายทั้งสิ้น ทำให้ประสิทธิภาพในการนอนหลับลดลง

 3.นอนถูกท่า การ นอนหงายเป็นท่านอนที่หลีกเลี่ยงการเกิดริ้วรอยบนใบหน้าได้ดีที่สุด การนอนตะแคงหรือนอนคว่ำหน้านานๆ จะทำให้เกิดแรงกดทับ ก่อให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้า โดยเฉพาะที่แก้มและคางที่เรียกว่า Sleep Line นอกจากนี้ การนอนคว่ำยังทำให้เกิดรอยตีนกาได้ง่าย เนื่องจากผิวบริเวณรอบดวงตาจะเป็นผิวที่บอบบางและเกิดริ้วรอยได้ง่ายมาก นอก จากประโยชน์ด้านความงามแล้ว ท่านอนหงายยังเป็นท่าทางการนอนที่ดีต่อสุขภาพอีกด้วย เพราะเป็นท่านอนที่ไม่มีอะไรมากดทับหน้าอก ช่วยให้ระบบทางเดินหายใจทำงานได้อย่างคล่องตัวที่สุด เมื่อนอนหงายกระดูกสันหลังได้รับการรองรับจากที่นอน ทำให้สามารถวางตัวอยู่ในแนวธรรมชาติได้ดีที่สุด เมื่อหลังแตะฟูกให้หลับในท่านอนหงายเหยียดยาวในชุดที่ไม่รัด พร้อมกับใช้หมอนใบเล็กรองใต้คอแทนหนุนศีรษะได้ยิ่งดี การเหยียด แขนออกห่างตัว หรือไม่ก็งอศอกไว้เหนือศีรษะจะได้ไม่กีดขวางระบบทางเดินหายใจหรือสูบฉีด โลหิต ช่วยให้ระบบทางเดินหายใจทำงานได้คล่องตัวที่สุด เมื่อนอนหงายกระดูกสันหลังได้รับการรองรับจากที่นอน ช่วยให้กล้ามเนื้อหลัง ไหล่ และคอ ได้รับการผ่อนคลายได้ดีที่สุด (ยกเว้นผู้ป่วยหรือสตรีมีครรภ์)

การออกกำลังกาย

ส่งเสริมให้มีกิจกรรมให้มาก อย่านั่งๆนอนๆจะทำให้สุขภาพกาย สุขภาพใจ และการควบคุมน้ำหนักดีขึ้น

• สำหรับผู้ใหญ่ ส่งเสริมให้มีกิจกรรมที่ใช้พลังงานปานกลาง มากกว่าปกติวันละ 30 นาทีทุกวันไม่ว่าจะเป็นที่ทำงาน หรือที่บ้าน เช่นการถูบ้าน การเดินขึ้นบันได การเดินเร็วๆไปจ่ายตลาด

• ถ้าต้องการให้สุขภาพแข็งแรงให้ออกกำลังกายชนิดหนัก หรือออกกำลังกายนานขึ้น

• ถ้าต้องการควบคุมน้ำหนักหรือป้องกันน้ำหนักเพิ่มต้องออกกำลังกายชนิดปานกลางหรือชนิดหนักวันละ 60 นาทีทุกวัน โดยที่รับประทานอาหารที่มีพลังงานเท่าเดิม

• ถ้าต้องการลดน้ำหนักลดน้ำหนักต้องออกกำลังกายปานกลางถึงหนักวันละ 60-90 นาทีโดยที่รับประทานอาหารที่ให้พลังงานไม่เกิน

ส่งเสริมให้ร่างกายแข็งแรงโดยการ ออกกำลังเพื่อให้หัวใจแข็ง ออกกำลังกายเพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรง ออกกำลังกายเพื่อให้ข้อเคลื่อนไหวได้ดี ออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายมีความอดทน

การออกกำลังสำหรับกลุ่มต่างๆ

• เด็กและวัยรุ่นให้ออกกำลังกายวันละ 60 นาทีทุกวัน

• ในคนท้องที่ไม่มีข้อห้ามในการออกกำลังกายให้ออกกำลังปานกลางวันละ 30นาทีทุกวัน แต่ต้องหลีกเลี่ยงการออกกำลังที่จะเกิดอันตรายต่อการตั้งครรภ์

• ผู้สูงอายุต้องมีกิจกรรมอย่างต่อเนื่องเพื่อลดอัตราการเสื่อมของอวัยวะ

ตัวอย่างเครื่องปรุงอาหารไทยที่­มีสรรพคุณทางยา

๑. กระเพรา (Holy Basil) แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม ขับเสมหะ บำรุงธาตุ เพิ่ม น้ำนมในสตรีหลังคลอด

๒. กระชาย (Galingale) แก้บิด แก้ปวดท้อง แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ท้องร่วง แก้ไอ บำรุงหัวใจ

๓. กระเทียม (Garlic) แก้ไขมันอุดตันในเส้นเลือด ลดความดันโลหิตสูง ขับลม ขับ เสมหะ แก้จุกเสียด ขับพยาธิเส้นด้าย

๔. กระวาน (Cardamom) แก้ท้องร่วง ท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด ขับลมใน กระเพาะ (ใช้แต่งกลิ่นและสี)

๕. กานพลู (Cloves) แก้ไอ แก้สะอึก ขับลม ขับระดู แก้จุกเสียด แก้ท้องเสีย มี ฤทธิ์เป็นยาชาและแก้ปวดฟัน ฆ่าเชื้อ

๖. ขิง (Ginger) ขับลม ขับเสมหะ แก้จุกเสียดแน่นท้อง แก้คลื่นไส้อาเจียน ขับ เหงื่อ ขยายหลอดเลือดใต้ผิวหนัง

๗. ข่า (Galanga) แก้ลมพิษ แก้บิด ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยย่อยอาหาร แก้ บวมฟกช้ำ

๘. ขมิ้น (Turmeric) ลดกรด ขับลม แก้ปวดท้อง แก้อาการเกร็งของกล้ามเนื้อ ขับน้ำ เหลือง รักษารอบเดือนไม่ปกติ

๙. งาดำ เมล็ด รสฝาดหวานขม บำรุงกำลัง ให้ความอบอุ่นในร่างกาย บำรุงร่างกาย ทำ ให้ดีกำเริบ บำรุงไขข้อ บำรุงเส้นเอ็น ตำราอินเดียกล่าวว่า งาดำนอกจากบำรุง กำลัง บำรุงร่างกาย ไขข้อและเส้นเอ็น แล้วยังช่วยบำรุงกระดูกด้วย โดยให้กินงาดำ ร่วมกับอาหาร

๑๐. จันทร์เทศ ลูกจันทน์ บำรุงกำลัง ขับลม แก้ปวดมดลูก แก้ท้องร่วง ธาตุพิการ

๑๑. ชะเอมไทย ราก บำรุงหัวใจ แก้เสมหะ แก้น้ำลายเหนียว แก้ไอ ทำให้ชุ่มคอ แก้ กำเดา แก้ลม บำรุงกำลัง ผล บำรุงกำลังทำให้ชุมคอ แก้คอแห้ง

๑๒. ดีปลี (Long pepper) ขับลม แก้จุกเสียด แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ บำรุงธาตุ

๑๓. ตะไคร้ (Lemon grass) ขับลม แก้ท้องอืด แน่น จุกเสียด ขับปัสสาวะ แก้นิ่ว ลดความดันโลหิตสูง

๑๔. ผักชี (Coriander) ขับลม แก้ไข้ แก้ไอ บำรุงธาตุ

๑๕. พริก (Chilies) แก้บิด กระตุ้นการทำงานของกระเพาะอาหาร ทำให้เจริญอาหาร รส เผ็ดทำให้เลือดมาเลี้ยงบริเวณที่สัมผัสมากขึ้น ลดอาการอักเสบ ละลายลิ่มเลือด ป้องกันมะเร็งในลำไส้

๑๖. มะกรูด (Leech Lime) (ใบ) ขับลมในลำไส้ แก้จุกเสียด

๑๗. มะนาว (Lime) แก้ไอ แก้เจ็บคอ ขับเสมหะ แก้เหงือกบวมและเลือดออกตามไรฟัน ( แก้โรคขาดวิตามินซี) แก้ลมวิงเวียน แก้ท้องผูก

๑๘. มะขาม (Tamarind) เป็นยาระบาย แก้ท้องผูก แก้อาการไอ และแก้หวัดคัดจมูก

๑๙. แมงลัก (Hairy Basil) ขับลม ขับเหงื่อ

๒๐. สะระแหน่ (Mentha) ขับลม ฆ่าเชื้อ ระงับอาการเกร็งของกระเพาะและลำไส้

๒๑. หอม (Shallot) ขับลม ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ ขับประจำเดือน แก้ไข้ แก้หวัด ช่วยย่อยอาหาร เจริญอาหาร

๒๒. โหระพา (Common basil) ขับลม ขับเหงื่อ ขับพยาธิ ขับเสมหะ แก้ไอ แก้ท้องอืด เป็นยาระบาย แก้เลือดออกตามไรฟัน

๒๓. อบเชย (Cinnamon) ขับลมในลำไส้ แก้จุกเสียด บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง

การนอนไม่หลับ

การนอนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต คนเราใช้เวลาหนึ่งในสามในการนอนแต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับการนอนเท่าใด คนเราจะมีช่วงที่ง่วงนอน 2ช่วงคือกลางคืน และตอนเที่ยงวันจึงไม่แปลกใจกับคำว่าท้องตึงหนังตาหย่อนในตอนเที่ยง

กลไกการนอนหลับ

เมื่อความมืดมาเยือนเซลล์ที่จอภาพ[retina] จะส่งข้อมูลไปยังเซลล์ประสาทที่อยู่ใน hypothalamus ซึ่งจะเป็นที่สร้างสาร melatonin สาร melatonin สร้างจาก tryptophan ทำให้อุณหภูมิลดลงและเกิดอาการง่วง การนอนของคนปกติแบ่งออกได้ดังนี้

การนอนช่วง Non-rapid eye movement {non- (REM) sleep} การนอนในช่วงนี้มีความสำคัญมากเพราะมีส่วนสำคัญในการทำให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรง เกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาการและมีการหลั่งของฮอร์โมนที่เร่งการเติบโต growth hormone การนอนช่วงนี้แบ่งออกเป็น 4 ระยะได้แก่โดยการหลับจะเริ่มจากระยะที่1ไปจน REMและกลับมาระยะ1ใหม่

Stage 1 (light sleep) ระยะนี้ยังหลับไม่สนิทครึ่งหลับครึ่งตื่น ปลุกง่าย ช่วงนี้อาจจะมีอาการกระตุกของกล้ามเนื้อที่เรียกว่า hypnic myoclonia มักจะตามหลังอาการเหมือนตกที่สูง ระยะนี้ตาจะเคลื่อนไหวช้า

Stage 2 (so-called true sleep).ระยะนี้ตาจะหยุดเคลื่อนไหวคลื่นไฟฟ้าสมองเป็นแบบ rapid waves เรียก sleep spindles

Stage 3 คลื่นไฟฟ้าสมองจะมีลักษณะ delta waves และ Stage 4ระยะนี้เป็นระยะที่หลับสนิทที่สุดคลื่นไฟฟ้าสมองเป็นแบบ delta waves ทั้งหมด ระยะ3-4 จะปลุกตื่นยากที่สุดตาจะไม่เคลื่อนไหวร่างกายจะไม่เคลื่อนไหว เมื่อปลุกตื่นจะงัวเงีย

การนอนช่วง Rapid eye movement (REM) sleep จะเกิดภายใน 90 นาที หลังจากนอนช่วงนี้เมื่อทดสอบคลื่นสมองจะเหมือนคนตื่น ผู้ป่วยจะหายใจเร็ว ชีพขจรเร็ว กล้ามเนื้อไม่ขยับ อวัยวะเพศแข็งตัว เมื่อคนตื่นช่วงนี้จะจำความฝันได้

เราจะใช้เวลานอนร้อยละ50ใน Stage 2 ร้อยละ 20ในระยะ REM ร้อยละ30 ในระยะอื่นๆ การนอนหลับครบหนึ่งรอบใช้เวลา 90-110นาที คนปกติต้องการนอนวันละ 8 ชั่วโมงโดยหลับตั้งค่ำจนตื่นในตอนเช้า คนสูงอายุการหลับจะเปลี่ยนไปโดยหลับกลางวันเพิ่มและตื่นกลางคืน จำนวนชั่วโมงในการนอนหลับแต่ละคนจะไม่เหมือนกันบางคนนอนแค่วันละ 5-6 ชั่วโมงโดยที่ไม่มีอาการง่วงนอน

อาการนอนไม่หลับ

อาการนอนไม่หลับไม่ใช่โรคแต่เป็นภาวะหลับไม่พอทำให้ตื่นขึ้นมาแล้วไม่สดชื่น บางคนอาจจะหลับยากใช้เวลามากว่า 30นาทียังไม่หลับ บางคนตื่นบ่อยหลังจากตื่นแล้วหลับยาก บางคนตื่นเช้าเกินไป ทำให้ตื่นแล้วไม่สดชื่น ง่วงเมื่อเวลาทำงาน อาการนอนไม่หลับมักจะเป็นชั่วคราวเมื่อภาวะกระตุ้นหายก็จะกลับเป็นปกติแต่ถ้าหากมีอาการเกิน 1 เดือนให้ถือว่าเป็นอาการเรื้อรัง

การวินิจฉัย

แพทย์จะถามคำถาม 4คำถามได้แก่

ให้อธิบายว่ามีปัญหานอนไม่หลับเป็นอย่างไร

นอนไม่หลับเป็นมานานเท่าใด

เป็นทุกทุกคืนหรือไม่

สามารถทำงานตอนกลางวันได้หรือไม่

แพทย์จะค้นหาว่าอาหารนอนไม่หลับนั้นเกิดจากโรค จากยา หรือจากจิตใจ

คนเราต้องการนอนวันละเท่าใด

ความต้องการการนอนไม่เท่ากันในแต่ละคนขึ้นกับอายุ ทารกต้องการนอนวันละ 16 ชั่วโมง วัยรุ่นต้องการวันละ 9 ชั่วโมง ผู้ใหญ่ต้องการวันละ 7-8 ชั่วโมง แต่คนบางคนก็อาจจะต้องการนอนน้อยเหลือเพียงวันละ 5 ชั่วโมง หากนอนไม่พอร่างกายต้องการการนอนเพิ่มในวันรุ่งขึ้น

เราอาจจะทราบว่านอนไม่พอโดยดูจาก

เวลาทำงานคุณมีอาการง่วงหรือซึมตลอดวัน

อารมณ์แกว่งโกรธง่ายโดยไม่มีเหตุผลเพียงพอกับครอบครัวหรือเพื่อนร่วมงาน

หลับภายใน 5 นาทีหลังจากนอน

บางคนอาจจะหลับขณะตื่นโดยที่ไม่รู้ตัว

ทั้งหมดเป็นการแสดงว่าคุณนอนไม่พอคุณต้องเพิ่มเวลานอนหรือเพิ่มคุณภาพของการนอน

การนอนหลับจำเป็นอย่างไรต่อร่างกาย

ร่างกายเราเหมือนเครื่องจักรทำงานตลอดเวลาการนอนเหมือนให้เครื่องจักรได้หยุดทำงาน สะสมพลังงานและขับของเสียออก การนอนจึงจำเป็นสำหรับร่างกายมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีการศึกษาว่าการนอนไม่พอจะมีอันตรายการประสานระหว่างมือและตาจะเหมือนกับผู้ที่ได้รับสารพิษ ผู้ที่นอนไม่พอหากดื่มสุราจะทำให้ความสามารถลดลงอ่อนเพลียมาก การดื่มกาแฟก็ไม่สามารถทำให้หายง่วง

มีการทดลองในหนูพบว่าหากนอนไม่พอหนูจะมีอายุสั้น ภูมิคุ้มกันต่ำลง สำหรับคนหากนอนไม่พอจะมีอาการง่วงและไม่มีสมาธิ ความจำไม่ดี ความสามารถในการคำนวณด้อยลง หากยังนอนไม่พอจะมีอาการภาพหลอน อารมณ์จะแกว่ง การนอนไม่พอเป็นสาเหตุของอุบัติต่างๆ เชื่อว่าเซลล์สมองหากไม่ได้นอนจะขาดพลังงานและมีของเสียคั่ง นอกจากนั้นการนอนหลับสนิทจะทำให้มีการหลั่งฮอร์โมนเพื่อการเจริญเติบโต (growth hormone)

จะปรึกษาแพทย์เมื่อไร

ถ้าหากอาการนอนไม่หลับเป็นมากกว่า 1 สัปดาห์ หรือทำให้ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในเวลากลางวัน ก่อนพบแพทย์ควรทำตารางสำรวจพฤติกรรมการนอนประมาณ 10 วันเพื่อให้แพทย์วินิจฉัย ในการรักษาแพทย์จะแนะนำเรื่องการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการนอน ถ้าไม่ดีจึงจะให้ยานอนหลับ

การนอนหลับอย่างพอเพียงทั้งระยะเวลาและคุณภาพของการนอนหลับจะเป็นปัจจัยในการส่งเสริมสุขภาพที่ดีเหมือนกับการรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ และการออกกำลังกาย

สาเหตุของการนอนไม่หลับ | ตารางสำรวจสาเหตุการนอนไม่หลับ | การนอนหลับในเด็ก | ข้อแนะนำการนอนในวัยรุ่น | คุณผู้หญิงกับการนอนหลับ | ผู้สูงอายุกับการนอนไม่หลับ| การนอนหลับกับผู้ที่ทำงานเป็นกะ | การรักษาโดยไม่ต้องใช้ยา | การรักษาด้วยยานอนหลับ | การป้องกันอุบัติเหตุขณะขับรถ

รักษ์สุขภาพด้วย 18 วิธี

1. แอปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวีต้องระวัง

ผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้มีประโยชน์มาก แต่ถ้าคุณกำลังทานยาปฏิชีวนะอยู่ ผลไม้พวกนี้จะกลายเป็นโทษทันทีเพราะมันบูดในลำไส้ได้ง่าย อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้

2. ผลไม้กับมื้ออาหาร

ก่อนทานอาหารควรจะเรียกน้ำย่อยด้วยสับปะรดและมะละกอสัก 2-3 ชิ้น ผลไม้สองชนิดนี้มีเอนไซม์ที่จะช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่กำลังจะตามลงมาได้ง่ายขึ้น และหลังจากจบมื้ออร่อยแล้วควรตบท้ายด้วยแอปเปิ้ลสัก 1 ชิ้นเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลายซึ่งจะทำให้จำนวนแบคทีเรียในช่องปากลดลง และช่วยให้เหงือกแข็งแรงด้วย

3. อย่าปล่อยให้หิว

ควรจะทานอาหารให้ตรงเวลาทุกวันแม้จะยังไม่รู้สึกหิวก็ตาม เพราะเวลาที่เราหิวร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนควมเครียดออกมา ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นประจำก็จะทำให้คุณกลายเป็นสาวเครียด และนำไปสู่อาการความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวาน

4. เนื้อสัตว์กับผลไม้ไม่เข้ากัน

ถ้าทานน้อยๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามื้อไหนคุณทานเนื้อเป็นจำนวนมากแล้วควรจะงดผลไม้ไป เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ส่าวนผลไม้ซึ่งย่อยเร็วจะถูกกักอยู่ในกระเพาะ จึงทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้

5. นาฬิกาชีวภาพ

หลักการสุขภาพดีบอกไว้ว่าเราควรจะเข้านอนในเวลาเดียวกันทุกๆ วัน แต่ส่วนใหญ่พอถึงคืนวันศุกร์กับวันเสาร์เรามักจะนอนดึกเพราะถือว่าเป็นวันหยุด การทำอย่างนี้จะทำให้ความเคยชินหรือที่เรียกว่าชีวภาพของร่างกายรวรเร จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่วันจันทร์เราจะง่วงนอนกว่าปกติ

6. ความเครียดทำลายผิว

ถ้าอยากผิวสวย แก่ช้า ดูอ่อนกว่าวัย สิ่งแรกที่ต้องปรับคือความคิดของตัวเราเอง พยายามคิดในทางบวก มองโลกในแง่ดี หลีกเลี่ยงความคิดที่ทำให้ตึงเครียด เพื่อไม่ให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกทำลายตัวเราเอง

7. หลีกเลี่ยงภาชนะพลาสติก

เพราะความร้อนรวมทั้งรสชาติเผ็ดเปรี้ยว เค็มจากอาหารสามารถเข้าไปกัดเซาะสารสังเคราะห์ในพลาสติกให้ละลายออกปะปนกับอาหารได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการใช้ภาชนะพลาสติกใส่อาหารเข้าอุ่นในเตาไมโครเวฟยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง เพราะเป็นการเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเป็นอย่างมาก

8. อย่าประมาทอาการไอเรื้อรัง

หลังจากหายหวัดแล้วอาการไออาจจะยังไม่หายไป แต่สาวหลายคนมักจะไม่สนใจเพราะคิดว่าอาการไอเป็นเรื่องชิลๆ แต่ที่จริงอาการไอเรื้อรังร้ายแรงกว่าที่คุณคิด เพราะมันอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะ ที่หมอให้มารักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ วิธีหยุดอาการไอที่ได้ผลที่สุดคือการดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ และนอนหลับให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้เต็มที่

9. เท้าและข้อเท้าบวม

ถ้ามีอาการแบบนี้อย่าปล่อยไว้ เพราะฝ่าเท้าเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย ถ้าบริเวณเท้ามีปัญหาก็จะส่งผลถึงร่างกายทุกส่วน วิธีแก้ไขคือให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาทีจากนั้นก็ขยับข้อเท้าไปข้างหน้าและข้างหลังเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงขนนุ่มๆ แปรงผิวหนังเบาๆ โดยเริ่มจากฝ่าเท้าแล้วค่อยๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวานเพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) ตบท้ายด้วยการอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น

10. งดเครื่องดื่มคาเฟอีน

เครื่องดื่มพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นชาหรือกาแฟ ปกติก็ไม่ควรดื่มอยู่แล้ว แต่ถ้าบังเอิญคุณเป็นโรคปวดหลัง เครื่องดื่มพวกนี้จะเป็นศัตรูของคุณไปทันที เพราะคาเฟอีนจะไปลดการหลั่งสารเอนโดรฟินซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ อาการปวดของคุณก็จะไม่หายหรืออาจจะเป็นมากขึ้นด้วย

11. ดื่มน้ำเร็ว...อันตราย

ใครๆ ก็บอกว่าควรจะดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว แต่ต้องค่อยๆ ดื่มไปตลอดวัน ไม่ใช่ทั้งวันไม่ดื่มเลย แล้วมารวบยอดเอาในครั้งเดียว เพราะการดื่มน้ำปริมาณมากๆ ในครั้งเดียวอาจทำให้เกิดอาการน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง และอาจทำให้เป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็งตามมา ยิ่งถ้าอาการเกร็งไปเกิดที่สมอง หัวใจ หรือปอด ก็อาจจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้

12. แดดอ่อนตอนเช้า

แสงแดดยามเช้าจัดว่าเป็นยาตามธรรมชาติที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ นอกจากทำให้กระดูกแข็งแรงแล้วยังทำให้อารมณ์ดี เพราะแดดอ่อนๆ มีวิตามินที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข ออกมาต่อต้านอาการซึมเศร้าในตัวเรา คนที่เดินเล่นรับแดดอ่อนจึงมีหน้าตาเบิกบานกว่าคนที่มัวแต่หลบแดดอยู่ในบ้านมาก

13. เบาหวานอย่าทานไข่

ถ้าสมาชิกในครอบครัวคุณคนไหนเป็นเบาหวาน ควรให้เขางดไข่ไปเลย เพราะมีรายงานทางการแพทย์ว่าถ้าคนที่เป็นเบาหวานทานไข่อาทิตย์ละ 1 ฟอง จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากขึ้น

14. อยากผอมต้องน้ำเย็น

การดื่มน้ำเย็น 50 ออนซ์ จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี ช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 2.5 กิโลกรัม เพราะเมื่อเราดื่มน้ำเย็นร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำให้น้ำนั้นเปลี่ยนอุณหภูมิเป็นอุณหภูมิปกติก่อน แล้วจึงนำไปใช้ได้ จึงเป็นการใช้พลังงานมากกว่าเดิม

15. สุขภาพดีทันทีที่ตื่น

ถ้าอยากดูแลสุขภาพพร้อมกับการเริ่มต้นวันใหม่ ทันทีที่ตื่นนอนสาวๆ ควรผสมน้ำส้มสายชู (ที่หมักจากผลแอปเปิ้ล) กับน้ำผึ้งในสัดส่วนเท่ากัน ใส่น้ำอุ่นนิดหน่อย คนให้เข้ากันแล้วนำมาดื่ม จะช่วยให้การดูดซึมของระบบลำไส้และการเผาผลาญของร่างกายทำงานได้ดีตลอดวัน

16. ผู้ชายอย่าพลาดมะเขือเทศ

สำหรับหนุ่มซ่าที่กำลังเริ่มมีอาการเตะปี๊ปไม่ดังหรือกลัวว่าจะเป็นหมัน มะเขือเทศคือผลไม้ที่คุณจะพลาดไม่ได้ เพราะมะเขือเทศสุกมีสารโคปีนสูงมาก ช่วยให้ต่อมลูกหมากทำงานได้ดี ประสิทธิ์ภาพและสมรรถภาพต่างๆ จึงทำงานได้เป็นปกติ ถ้าผู้ชายทานมะเขือเทศอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้น ความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็จะน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญควรจะทานแบบสุกๆ เช่น ทานเป็นน้ำพริกอ่อง สปาเก็ตตี้ เพราะเวลามะเขือเทศถูกความร้อนมันจะปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น

17. ป้องกันกรดในกระเพาะอาหาร

สำหรับที่ท้องอืดบ่อย ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่างเช่น มะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุต หรือน้ำมะเขือเทศสดนั่น เพราะน้ำพวกนี้มีกรดมากทำให้ท้องอืด หรือถ้าเสพติดไปแล้วอดไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะทำให้เจือจางลงด้วยการผสมน้ำมากๆ

18. หลบอัลไซเมอร์ด้วยเกม

ถ้าไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์หรือเป็นโรคขี้หลงขี้ลืม สาวๆ ควรจะฝึกสมองด้วยการเล่นเกมที่ต้องใช้สมาธิ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ เกมในคอมพิวเตอร์ หรืออาจจะทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิอย่างเรียนดนตรี เล่นหมากรุก เป็นต้น เพราะเกมเหล่านี้จะช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ

________________________________________

สาวิตรี ศรีธรรมราช_Far039(47)

เช็คโรคจากอาการปวดท้อง

ใครที่มักจะปวดท้องบ่อยๆ แต่ไม่รู้ว่าปวดท้องเพราะอะไร มีวิธีการเช็คโรคจากอาการปวดท้องมาบอก...

ปวดท้องด้านขวาตอนบน ความเจ็บปวดในบริเวณด้านขวาตอนบนของช่องท้อง มักเกิดจากโรคตับและถุงน้ำดี

ปวดท้องบริเวณแอ่งกระเพาะอาหาร แอ่งกระเพาะอาหาร คือ บริเวณที่อยู่ใต้ซี่โครงลงมา การเจ็บปวดบริเวณนี้มักเกิดจากการแสบกระเพาะอาหารและอาการไม่ย่อย โรคกระเพาะและลำไส้อักเสบอาจเกิดขึ้นในบริเวณนี้ได้เช่นเดียวกัน บางครั้งโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่ถุงน้ำดีก็อาจเกิดขึ้นในบริเวณส่วนท้องที่เป็นแอ่งได้

ปวดท้องส่วนกลาง ส่วนใหญ่มักเกิดจากสาเหตุมาจากโรคที่เกิดขึ้นที่ลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้ อาการปวดท้องที่บริเวณนี้อาจเกิดจากไส้ติ่งอักเสบ ซึ่งมักเริ่มขึ้นที่บริเวณนี้ก่อนเสมอ แล้วจึงเลื่อนมาเป็นส่วนล่าง

ปวดท้องด้านซ้ายตอนบน อาจมีสาเหตุมาจากโรคต่างๆ ที่เกิดในลำไส้ใหญ่ เช่น โรคท้องผูกหรืออาการหดเกร็งของกล้ามเนื้อลำไส้ใหญ่ แต่หากมีอาการแสบกระเพาะอาหาร นั่นหมายถึงอาจเกิดจากกรดและอาการเจ็บปวดเนื่องจากแผลในกระเพาะ

ปวดท้องด้านขวาตอนล่าง อาจเป็นอาการของไส้ติ่งอักเสบอย่างเฉียบพลัน อาการอักเสบของลำไส้

ปวดท้องด้านซ้ายตอนล่าง อาการปวดที่เป็นลักษณะปวดและคลายสลับกันพร้อมกับอาการท้องร่วง หรือเกิดจากอาการท้องผูก อาจเกิดจากโรคถุงตันที่ลำไส้ใหญ่อักเสบ (Diverticulitis)

ครั้งหน้าปวดท้อง อย่าลืมตรวจดูว่าอาการปวดท้องนั้นเกิดจากอะไร จะได้รักษาได้ถูกอาการ

น.ส.พิชญา ลีวรรธนะ ม.ฟาร์

การรักษาผมแตกปลาย

ผมแตกปลายไม่ต้องตัดทิ้ง

มีสูตรยาโบราณที่ทำให้ผม เงางามและไม่แตกปลาย

ซึ่งทำจากน้ำตะไคร้

โดยตัดตะไคร้มาสัก 3-4 ต้น

ถ้าเป็นตะไคร้สดจากต้นเลยจะดีมาก

นำมาล้างให้สะอาดตัดเป็นท่อนเล็ก ๆ

ก่อนจะนำไปตำให้ละเอียด

หรือถ้าเอาไปบดกับเครื่องบดอาหารด้วยก็จะดีมาก

ใส่น้ำสะอาดลงไปและกลองเอาน้ำตะไคร้ออกมา

ไม่ต้องใส่น้ำมากนัก เอาแค่แทนเป็นครีมนวด

นวดทั่วศีรษะได้

เพื่อให้ได้สูตรน้ำตะไคร้เข้มข้น

หลังจากสระผมตามปกติแล้วให้เอาน้ำตะไคร้ที่ได้

มานวดทิ้งไว้สัก 10 นาทีแล้ว จึงล้างออก

นวดผมด้วยครีมนวดน้ำตะไคร้นี้สัก 2 เดือน

ก็จะเห็นผล

กาแฟ

หลังจากตื่นนอนตอนเช้าได้กาแฟหอมๆสักแก้วจะรู้สึกกระชุ่มกระชายตลอดทั้งเช้า บางท่านรับกาแฟและขนมบางอย่างเป็นอาหารเช้า หลังจากทำงานก็ยังมี coffee break บางท่านยังดื่มหลังอาหารเที่ยงและตอนสายๆ ยิ่งต้องเข้าประชุมกาแฟหอมๆสักแก้วจะทำให้สดชื่นหายง่วง ปัจจุบันการดื่มกาแฟเป็นที่นิยมการอย่างแพร่หลายตามปั้มน้ำมัน ตามห้างสรรพสินค้ามีการขายอย่างมากมาย จะเห็นได้ว่ากาแฟเป็นส่วนหนึ่งหรือบางคนอาจจะเป็นส่วนสองส่วนสามของชีวิตประจำวัน แต่จะมีใครกังวลหรือไม่ว่าที่เราดื่มทุกวันวันละหลายแก้วแล้วมันมีโทษ หรือคุณประโยชน์อะไรบ้าง หากคุณเป็นคอกาแฟคุณควรจะอ่านบทความนี้

ส่วนประกอบที่สำคัญของกาแฟ

ส่วนประกอบที่สำคัญของกาแฟคือ caffeine หรือมีชื่อทางเคมีว่า 1,3,7-trimethylxanthine ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของยาขยายหลอดลม theophylline

caffeine สามารถพบได้ในหลายชนิดได้แก่ เมล็ดคา เมล็ดกาแฟ ใบชา โคลา caffeineถูกผสมลงในน้ำอัดลม ยาแก้หวัดบางชนิด ยาแก้ปวด ยาลดน้ำหนัก

กาแฟจะถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วหลังจากที่เราดื่มกาแฟและจะถูกขับออกไปครึ่งหนึ่งในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมงกาแฟจะไม่สะสมในร่างกายโดยจะถูกทำลายและขับออกหมด ผู้ที่สูบบุหรี่จะมีการขับถ่ายกาแฟมากกว่าผู้ที่ไม่สูบดังนั้นคนที่สูบบุหรี่หากต้องการการกระตุ้นของกาแฟจะต้องดื่มกาแฟบ่อยกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่ คนท้องและผู้ที่กินยาคุมกำเนิดจะมีการขับกาแฟน้อยกว่าคนทั่วไป กาแฟจะออกฤทธิ์โดยการกระตุ้นสมองทำให้รู้สึกสดชื่นและมีสมาธิ

นักวิทยาศาสตร์ประมาณว่าวันหนึ่งๆเราจะรับสาร caffeine ประมาณ 250-600 มก.ซึ่งไม่เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกาย

ผลดีของกาแฟ

กาแฟจะกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางทำให้ไม่ง่วง สมาธิในการทำงานดีขึ้น ผู้ที่ดื่มกาแฟจะทำให้ไม่ง่วงนอน มีสมาธิในการทำงาน และยังทำให้ความสามารถในการทำงานดีขึ้น และยังลดอาการปวดเมื่อยเนื่องจากไขหวัด

ผลต่อสมรรถภาพของร่างกายดีขึ้น เช่นการขี่จักรยาน การว่ายน้ำ เล่นกีฬาได้นานขึ้น

ผลดีของกาแฟจะทำให้ไม่ง่วงนอนโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเป็นกะ และช่วยลดอุบัติเหตุขณะขับรถ

กระตุ้นอวัยวะของร่างกายและเพิ่มการเผาผลาญไขมันและช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย กาแฟจะมีฤทธิ์ขับปัสสาวะอ่อนๆดังนั้นขณะออกกำลังกายหรือหลังออกกำลังกายไม่ควรรับเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาแฟเพราะจะทำให้ร่างกายขาดน้ำ

ดื่มนานๆจะติดกาแฟหรือไม่

องค์การอนามัยโลกกล่าวว่าไม่มีหลักฐานว่ากาแฟจะเป็นสารซึ่งหากดื่มนานๆแล้วจะเสพติด การดื่มกาแฟจะเป็นนิสัยมากกว่าเสพติดเนื่องจากไม่จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณของกาแฟ และเมื่อหยุดกาแฟบางคนก็เกิดอาการปวดหรือมึนศีรษะเพียงเล็กน้อย

ผลดีของกาแฟต่อสุขภาพ

โรคหอบหืด มีรายงานว่าการดื่มกาแฟวันละ 3 แก้วจะลดอาการหอบหืด หากดื่มมากกว่า 6 แก้วการทดสอบสมรรถภาพปอดจะดีขึ้น

กาแฟก็เหมือนกับพืชอื่นๆมีสาร flavanoid ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ

การดื่มกาแฟจะลดอาการง่วงนอน และทำให้มีสมาธิในการทำงานดีขึ้นโดยเฉพาะผู้ที่ทำงานเป็นกะ และลดอุบัติเหตุขณะขับขี่

กาแฟช่วยลดอาการซึมเศร้าและคลายความวิตกกังวล

การดื่มกาแฟเป็นประจำจะลดอุบัติการณ์การเกิดนิ่วในทางเดินปัสสาวะ และยังลดอุบัติการณ์ของนิ่วในถุงน้ำดี

มีหลักฐานพอจะเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่เมื่อดื่มวันละ 4 แก้ว

กาแฟกันสุขภาพสตรี

กาแฟกับการตั้งครรภ์ The Food Standards Agency ก่อนหน้านี้มีความเชื่อว่าการดื่มกาแฟจะเป็นผลเสียต่อการตั้งครรภ์ แต่จากหลักฐานยังไม่พบผลเสียดังกล่าว ประเทศอังกฤษได้แนะนำว่าการดื่มวันละ 3-4 แก้วขณะตั้งครรภ์ไม่เกิดผลเสีย สำหรับผู้ที่ตั้งท้องหากงดได้ก็น่าจะงด

การเป็นหมัน พบว่าหากดื่มกาแฟมากกว่า 1แก้วจะมีโอกาสเกิดการเป็นหมันเพิ่มขึ้น

กาแฟกับโรคกระดูกพรุน

ยังมีรายงานทั้งสนับสนุนว่าการดื่มกาแฟทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน บางรายงานก็กล่าวว่าไม่เกิดโรค ผู้ที่เกิดโรคกระดูกพรุนมักจะได้รับแคลเซียมไม่พอแนะนำว่าควรจะดื่มนมเริมสำหรับผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 2 แก้วขึ้นไป

กาแฟกับโรคมะเร็ง

มีรายงานจากWorld Cancer Research Fund ว่าการดื่มกาแฟปริมาณปานกลางไม่มีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็ง

มีรายงานกล่าวว่าการดื่มกาแฟมีผลดีต่อการป้องกันมะเร็งตับอ่อนเล็กน้อย

มีรายงานว่าการดื่มกาแฟอาจจะมีผลป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ๋

กาแฟกับโรคหัวใจ

เท่ามีรายงานขณะนี้พบว่าการดื่มกาแฟวันละ 4 แก้วไม่มีความสัมพันธ์กับโรคหัวใจ

การดื่มกาแฟเป็นประจำไม่ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น การดื่มกาแฟครั้งแรกจะทำให้ความดันขึ้นชั่วคราว

กาแฟกับโรคเบาหวาน

จากการศึกษาพบว่าการดื่มกาแฟจะทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินเพิ่มขึ้น 15 % กรดไขมันในเลือดเพิ่มขึ้น ฮอร์โมน epinephrineเพิ่มสูงขึ้น ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน

น.ส.พิชญา ลีวรรธนะ ม.ฟาร์

การดูแลผิวแห้ง

ต้องดูแลรักษามากกว่า ผิวชนิดอื่นค่ะ เพราะถ้าคุณขาดการดูแลผิวอาจทำให้ใบหน้าเกิดริ้วรอยได้ง่าย สิ่งที่ผิวแห้งต้องการ คือ น้ำ ค่ะ ไม่ใช่น้ำมัน วิธีที่ดีที่สุดคือ ใช้ครีมบำรุงต่างๆ ที่มีส่วนผสมของน้ำให้มากที่สุด ดื่มน้ำมากๆ และรับประมานผลไม้ที่มีวิตามินซี เนื่องจากวิตามินซี ทำให้ผิวหน้ารู้สึกสดชื่นขึ้น การล้างหน้าควรเลือกใช้สบู่อ่อนๆ ที่ปราศจากหัวน้ำหอม เช่น สบู่เด็ก หรือผลิตภัณฑ์โดยเฉพาะสำหรับผู้แพ้ง่าย ที่สำคัญก่อนนอนควรบำรุงผิวหน้าเป็นพิเศษ ด้วยครีมสำหรับผิวแห้งโดยเฉพาะ (เลือกครีมที่มีส่วนผสมของนมหรือน้ำผึ้งดีที่สุดคะ) และในเวลาเช้าควรล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดเท่านั้น พยายามอย่าใช้สบู่ในการล้างหน้าตอนเช้า เพราะจะทำให้ผิวแห้งกว่าเดิม อาจใช้นมสดแช่เย็นล้างหน้าในตอนเช้าก็ได้ค่ะ

ในช่วงหน้าหนาวคนผิวแห้งจะมีปัญหามาก ในเรื่องของผิวแตกหน้าเป็นขุย สาวๆ อาจใช้ วาสลีน ทาให้ทั่วใบหน้าก่อนนอนก็ช่วยได้ค่ะ เพราะวาสลินเป็นน้ำมันที่สกัดจากแร่ธาตุ จึงไม่มีผลข้างเคียงในการใช้

ผิวแบบไหน...ดูแลอย่างไร

ผิวของแต่ละคน มีลักษณะที่ต่างกัน จึงย่อมต้องการดูแลที่ไม่เหมือนกันก่อนอื่นมาตรวจสอบกันก่อนว่า คุณมีผิวชนิดใด

ล้างหน้าให้สะอาด แล้วทิ้งไว้ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ถ้าทำการตรวจสอบทันทีหลังล้างหน้า อาจทำให้คลาดเคลื่อนได้ เพราะแม้แต่คนที่หน้ามันสุด ๆ ยังดูแห้งได้หลังจากล้างหน้าใหม่ ๆ จึงควรทิ้งเวลาออกไป เพื่อดูการทำงานของต่อมไขมัน โดยใช้กระดาษนุ่ม ๆ บาง ๆ ปิดหน้า ถ้ากระดาษติดหน้าแสดงว่าผิวมัน ถ้าไม่ติดหน้าเลยแสดงว่าผิวแห้ง ถ้ากระดาษติดหน้าเพียงบางส่วนโดยเฉพาะบริเวณทีโซน แสดงว่าคุณมีผิวปกติ

*ผิวแห้ง* เป็นผิวที่ไม่สามารถรักษาความชุ่มชื้นไว้ได้ ทำให้ใบหน้าดูไม่มีชีวิตชีวา และมีโอกาสเกิดรื้วรอยเหี่ยวย่นได้ง่ายกว่าผิวประเภทอื่น ๆลักษณะของคนผิวแห้ง ...บริเวณแก้มด้านล่างที่ต่อกับคาง และผิวใต้ตาจะดูแห้ง บางครั้งจะลอกเป็นขุย

*วิธีดูแล* หลีกเลี่ยงการใช้โลชั่นเช็ดผิว เพราะจะทำให้ผิวแห้งมากขึ้นทางทีดีควรใช้น้ำเปล่าล้างหน้าในช่วงเช้า ส่วนช่วงเย็น ซึ่งต้องล้างเครื่องสำอางออก ควรเลือกใช้ ครีมล้างหน้าที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ ซึ่งจะรู้สึกผิวลื่น ๆหลังล้างหน้า ส่วนก่อนนอนควรบำรุงผิวหน้าด้วยครีมบำรุง เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าสำหรับคนที่หน้าแห้งมาก จนแตกเป็นลายงา ให้เพิ่มมอยเจอร์ไรเซอร์ในช่วงเช้าและกลางวัน แต่คนผิวแห้งก็มีข้อดี คือ รูขุมขน มักกระชับมองดูหน้าเนียนและไม่ค่อยมีปัญหาใบหน้ามันย่อง จนทำให้แต่งหน้าไม่ติดทน

*ผิวมัน* ผิวประเภทนี้ จะมีความมันกระจายอยู่ทั่วใบหน้า และจะมีความมันมากเป็นพิเศษบริเวณทีโซน...หรือแถวหน้าผาก คาง และจมูก คนผิวมันดูเหมือนว่า จะเกิดริ้วรอยได้ยากกว่าคนผิวแห้ง แต่ก็ทำความสะอาดได้ยากกว่า และเนื่องจากต่อมไขมันทำงานมากกว่าปกติ จึงทำให้รูขุมขนใหญ่ ผิวหน้าดูหยาบกว่าคนผิวแห้ง ปัญหาอีกอย่างหนึ่งของคนผิวมัน คือ เมื่อไขมันออกมาเคลือบใบหน้ามาก ๆ เข้า ทำให้ใบหน้าดูมันย่อง หน้าตาไม่สดใส แต่งหน้าก็มักไม่ติดทน

*ขั้นตอนการดูแล* เลือกใช้สบู่อ่อน ๆ หรือเจลใสล้างหน้า และไม่จำเป็นต้องล้างหน้าบ่อย ๆ ถ้าหน้ามันมาก ให้ใช้กระดาษซับหน้า คอยดูดซับน้ำมันออก จะช่วยให้ผิวหน้าผ่องขึ้นได้ ส่วนเครื่องสำอาง เลือกใช้ชนิด Oil-free เพื่อไม่ให้ใบหน้าดูมันเยิ้ม

*ผิวปกติ* จริง ๆ แล้วคนส่วนใหญ่ มักมีผิวลักษณะนี้ คือ จะมีน้ำมันเคลือบผิวบาง ๆ บริเวณทีโซน คือส่วนของหน้าผาก และจมูกจะมีความมันมากกว่าส่วนของแก้ม ในขณะที่ผิวรอบดวงตาและส่วนของแก้มลงมาจนถึงคอ จะดูแห้งกว่าบริเวณทีโซน

*ขั้นตอนการดูแล* ควรล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน ๆ และไม่ควรใช้โลชั่นทีมีส่วนผสมของแอลกฮอล์ เพราะจะทำให้คุณเป็นคนผิวแห้งได้ ส่วนการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ ให้เลือกทาเฉพาะส่วนของของแก้ม และผิวรอบดวงตา เพื่อป้องกันการเกิดริ้วรอย

การดูดไขมัน Liposuction

คนที่ไม่ออกกำลังกายและอายุเริ่มมากขึ้นจะมีการสะสมไขมันตามร่างกายโดยเฉพาะส่วนหน้า คาง คอ เต้านม หน้าท้อง ก้น ต้นขา สมัยก่อนการรักษาจะทำโดยการผ่าตัดแต่ก็มีโรคแทรกซ้อนและใช้เวลานานกว่าแผลจะหาย จนกระทั่งมีการพัฒนาเทคนิคการดูดไขมัน tumescent liposuction

วิธีการทำ tumescent liposuction

เริ่มจะมีการฉีดสารละลายระหว่างยาชาและยา epinephrine ซึ่งจะไม่ให้เลือดออกมาก หลังจากนั้นก็จะกรีดผิวหนังเป็นรอยเล็กแล้วสอดท่อเข้าบริเวณที่จะดูดและเปิดเครื่องดูด ก็จะได้ไขมันออกมา หลังจากนั้นใช้ผ้ายืดพันบริเวณที่ดูดเพื่อให้แผลหายเร็วและรูปร่างเข้าทรง

ข้อดีของการดูดไขมัน

ผิวหนังบริเวณที่ถูกดูดจะเรียบ ไม่ค่อยมีรอย

เลือดออกน้อย

เกิดรอยช้ำเขียวน้อย

หายเร็ว

ข้อบ่งชี้ในการดูดไขมัน

ใช้ดูดไขมันในกรณีที่ออกกำลังและคุมอาหารแล้วไขมันไม่ลด

กล้ามเนื้อบริเวณที่จะดูดต้องแข็งแรง

ผิวหนังบริเวณที่ถูกดูดต้องมีความยืดหยุ่นดี

หลังการดูดไขมัน

ยาชาจะออกฤทธิ์ประมาณ 24 ชั่วโมง

ผู้ป่วยจะรู้สึกตัวดีขณะที่มีการดูดไขมัน

ผู้ป่วยจะกลับไปทำงานได้ตามปกติ

หลังจากดูด 7 วันจึงจะออกกำลังกายได้

โรคแทรกซ้อน

พบได้ไม่มาก ได้แก่

ผิวหนังเป็นปม มีก้อนใต้ผิวหนัง แผลเป็น

ชา การติดเชื้อ แผลเป็น เสียชีวิตเนื่องไขมันเข้าเส้นเลือด

เสียเลือด และน้ำทำให้เกิดความดันโลหิตต่ำ

โรคแทรกซ้อนจะพบมากในภาวะดังต่อไปนี้

นำไขมันออกมากเกินไป

ทำการผ่าตัดหลายชนิดในการทำครั้งเดียว

การดมยาสลบ

ข้อที่ควรจะระวังการดูดไขมันมิใช่เป็นการลดน้ำหนัก การดูดไขมันจะเป็นการดูดไขมันเฉพาะที่เพื่อลดสัดส่วนของร่างกายให้ดูดี ารดูดไขมันหน้าท้อง

เป็นการดูดไขมันที่นิยมทำเนื่องจากไขมันจะมาสะสมบริเวณหน้าท้อง การดูดไขมันจะทำให้ทรวดทรงดีขึ้น ผู้หญิงที่อ้วนเมื่อลดน้ำหนักลงได้แต่ไม่สามารถลดเส้นรอบเอว หรือยังลงพุงการดูดไขมันจะช่วยทำให้ดูดีขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากไขมันบริเวณนี้จะไม่ค่อยลดแม้ว่าจะออกกำลังหรือควบคุมอาหาร

เมื่อพบแพทย์ครั้งแรก

แพทย์จะถามถึงความคาดหวังของผู้ป่วย หลังจากนั้นแพทย์จะอธิบายถึงวิธีการทำ ทางเลือกอื่น ราคา โรคแทรกซ้อน ข้อจำกัดของการทำ

หลังจากนั้นแพทย์จะตรวจร่างกาย ตรวจความยืดหยุ่นของผิวหนัง ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ตำแหน่งที่ไขมันสะสม แพทย์จะบันทึกประวัติการเจ็บป่วย ประวัติการใช้ยา ประวัติการขึ้นของน้ำหนัก การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย สำหรับท่านผู้อ่านท่านต้องถามแพทย์เรื่องที่ท่านสงสัย ขอดูรูปของคนที่เคยทำ ถามเรื่องโรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น รวมทั้งบุคคลที่เคยทำเพื่อท่านจะได้ขอข้อมูล

วิธีการทำ

ขั้นแรกแพทย์จะขีดแนวบริเวณที่จะดูดไขมัน แพทย์จะให้น้ำเกลือแก่ผู้ป่วยเพื่อรักษาความสมดุลของน้ำในร่างกาย หากบริเวณที่ทำกว้างก็จะต้องวางยาสลบ แต่หากไม่กว้างก็จะให้ยานอนหลับ

แพทย์จะกรีดแผลเล็กๆในบริเวณกางเกงใน แล้วจะสอดท่อเล็กซึ่งต่อกับเครื่องดูด เครื่องจะดูดไขมันออกมาตามที่ต้องการ โดยไม่ทำลายเส้นเลือด หรือเส้นประสาท นอกจากนั้นแพทย์อาจจะใช้น้ำเกลือผสมยาชาฉีดเข้าไปก่อนซึ่งจะทำให้เลือดออกน้อย ดูดไขมันได้ง่ายขึ้น ลดอาการบวม นอกจากนั้นยังได้มีการพัฒนาวิธีการสลายไขมันโดยใช้เครื่อง ultrasound ช่วยเรียกว่า ultrasound-assisted liposuction (UAL) ส่วน tumescent technique คือการฉีดน้ำเกลือเข้าไปบริเวณที่จะดูดก่อน ส่วนวิธีดั่งเดิมเรียก dry liposuction ปัจจุบันนิยมลลดลงเนื่องจากต้องใช้ยาสลบ

การดูดแต่ละครั้งจะใช้เวลา 1-2 ชั่วโมงหลังทำสามารถกลับบ้านได้ นอกเสียจากปริมาณไขมันที่ดูดมีปริมาณมาก หรือทำการผ่าตัดหลายชนิด

รอยช้ำเลือดที่เกิดจากการดูดไขมันจะใช้เวลา 3 สัปดาห์จึงจะหาย แต่สามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติหลังจากการดูด 2-3 วัน ไม่ทำงานหนัก หรือออกกำลังกายหนักในช่วง 4-6 สัปดาห์หลังจากการดูดไขมัน และต้องสวมที่รัดหน้าท้องจนกระทั่งแพทย์ให้เอาออก

ผลการรักษา

หลังจากการดูดไขมันจะเริ่มพบกับการเปลี่ยนแปลงประมาณ 3 สัปดาห์ แต่จะเห็นผลเต็มที่เมื่อเวลา 6-12 เดือน แต่ต้องพึงระลึกว่าการออกกำลังกายจะทำให้ผิวหนังและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อบริเวณนั้นดีขึ้น รูปร่างของท่านจะดูดีขึ้น ไขมันบริเวณนั้นจะไม่เพิ่มขึ้นเนื่องจากได้ดูดเซลล์ไขมันในบริเวณหมดแล้ว หากน้ำหนักท่านขึ้นก็เป็นจากไขมันบริเวณอื่น

เนื่องจากผิวหนังของคนสูงอายุจะหย่อนยานดังนั้นผลการรักษาจึงไม่ดีเหมือนคนหนุ่มสาว

การดูดไขมันต้นขา

ปัญหาที่สำคัญของผู้หญิงอีกอย่างคือการที่มีต้นขาใหญ่ ออกกำลังแล้ว อบสมุนไพรแล้ว น้ำหนักก็ลดลงแต่ขนาดต้นขาก็ไม่ยอมลด ที่เป็นเช่นนี้เพราะไขมันส่วนนี้จะดื้อต่ออาหารและการออกกำลังกาย ขั้นตอนการดูดไม่ต่างจากการดูดไขมันหน้าท้อง ตำแหน่งที่แพทย์จะกรีดคือบริเวณก้น ในบางรายแพทย์จะคาสายยางเพื่อระบายนำเหลือง และจะให้ยาปฏิชีวนะทาบริเวณแผลเพื่อป้องกันการติดเชื้อ หลังผ่าจะต้องสวมถุงสำหรับรัดบริเวณที่ดูดไขมันเป็นเวลา 6 สัปดาห์หลังจากดูด

ผู้ที่เหมาะสำหรับการดูดไขมัน

มีการสะสมของไขมันที่ขาเป็นบางบริเวณ

บริเวณดังกล่าวไม่เคยได้รับการผ่าตัด

ผิวหนังต้องมีความยืดหยุ่นเพียงพอ ไม่เหี่ยวย่น

นำหนักไม่เปลี่ยนแปลงมาก

ต้องการลดต้นขาเท่านั้น(ไม่ต้องการลดน้ำหนัก)

ไม่มีโรค เช่นโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดขาตีบ

อารมณ์ไม่แปรปรวน

ไม่สูบบุหรี่

ต้องยอมรับข้อจำกัดของการดูดไขมัน

ไม่หวังผลเลิศเกินไป

การดูดไขมันที่คอ

หน้าและคอเป็นบริเวณที่เห็นได้ง่าย หากมีการสะสมของไขมันในบริเวณนี้ก็จะทำให้ดูสูงวัย ไขมันบริเวณนี้ก็เหมือนกับไขมันบริเวณอื่นข้างต้นคือคุมอาหารหรือออกกำลังกายก็ไม่สามารถลดปริมาณของไขมันบริเวณนี้

วิธีการทำเหมือนกับการดูดไขมันหน้าท้อง ตำแหน่งที่จะกีดแผลมักจะบริเวณใต้คางหรือหลังหู การดูดไขมันที่คอมักจะทำร่วมกับการดึงหน้า

อรชพร เจริญพัฒนสมบัติ ม.ฟาร์

ปัจจัยเสี่ยงต่อโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ได้แก่

1. ชายอายุเกิน 45 ปี หญิงอายุเกิน 55 ปี

2. สูบบุหรี่

3. มีโรคเบาหวาน

4. มีโรคความดันเลือดสูง

5. มีไขมันชนิด LDL ในเลือดสูงเกิน 160 mg/dl

6. มีไขมันชนิด HDL ในเลือดต่ำกว่า 35 mg/dl

7. มีประวัติในครอบครัว (ข้อยกเว้น สำหรับผู้ที่มี HDL เกิน 60 สามารถหักปัจจัยเสี่ยงออกได้ 1 ข้อ) ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงมากเท่าไหร่ ย่อมมีโอกาสเกิดได้มากเท่านั้นครับ

สำหรับ อาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ระยะแรกได้แก่ เจ็บหน้าอก แน่น ๆ เหมือนของหนักกดทับ เกิดขึ้นบริเวณกลางอก อาจร้าวมาที่คาง หรือกระจายไปที่แขนซ้ายโดยเฉพาะด้านใน เกิดขึ้นขณะที่ออกกำลัง และอาการนี้ทำให้ผู้ป่วยหยุดกิจกรรมนั้น หลังจากนี้อาการจะหายไปได้เองใน 3-5นาที

สำหรับการปฏิบัติตัวขณะยังไม่มีโรคก็คือ พยายามกำจัดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ให้ได้ สำหรับเพศ และประวัติครอบครัว คงเปลี่ยนไม่ได้ แต่เราสามารถเลี่ยงการสูบบุหรี่, ควบคุมเบาหวาน, ความดันเลือดสูง และระดับไขมันในเลือดได้

การตรวจภายใน

มะเร็งเป็นโรคที่คร่าชีวิตคนไทยเป็นอันดับต้นๆ การวินิจฉัยได้เร็วจะทำให้การรักษาได้ผลดี ผู้ชายมักจะเป็นมะเร็งในที่ซ่อนเร้นทำให้เมื่อเกิดอาการโรคก็ลุกลามจนยากจะเยียวยาเช่น มะเร็งปอด มะเร็งตับ แต่สำหรับผู้หญิงนับว่าโชคดีเพราะเป็นมะเร็งในที่สามารถตรวจได้เร็ว เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูกเรื่องมะเร็งเต้านมก็สามารถคลำได้ด้วยตัวเอง ส่วนมะเร็งปากมดลูกก็มีการตรวจ Pap test ซึ่งสามารถให้การวินิจฉัยได้อย่างรวดเร็ว เรามารู้จักกันว่า Pap test เป็นอย่างไร

ใครที่ต้องตรวจ Pap test

แน่นอนว่าต้องเป็นผู้หญิงและต้องอยู่ในวัยเจริญพันธุ์ด้วย สมาคมโรคมะเร็งของอเมริกาได้แนะนำให้เริ่มตรวจ Pap หลังจากมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกไปแล้ว 3 ปี หรือมีอายุมากกว่า 21 ปีแม้ว่าจะไม่มีเพศสัมพันธ์ก็ให้ตรวจตามตารางข้างล่าง

อายุ ความถี่ของการตรวจ

21 - 29 ให้ตรวจปีละครั้ง

30 - 69 ให้ตรวจทุก 2-3ปีหากการตรวจ 3 ครั้งหลังให้ผลปกติ

70 และมากกว่า ให้หยุดตรวจเมื่อการตรวจ 3 ครั้งหลังและ 10 ปีที่ผ่านมาผลการตรวจปกติ

หากว่าคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยงข้างล่างนี้จะต้องตรวจ Pap test ทุกปี

มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย และมีเคยมีคู่หลายคน

ปัจจุบันมีคู่ขาหลายคน

คู่ขามีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อยและมีแฟนหลายคน

เคยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

ประวัติสมาชิกในครอบครัวเป็นมะเร็งปากมดลูก

เคยได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งหรือเสี่ยงต่อมะเร็งปากมดลูก

เป็นโรคหูดหงอนไก่

สูบบุหรี่

ติดเชื้อ HIV

เป็นคนที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนเช่น มะเร็ง

การตรวจภายในต้องเตรียมตัวอย่างไร

สำหรับท่านที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธุ์หรือตรวจครั้งแรกก็อาจจะทำใจยากสักหน่อย ส่วนผู้ที่เคยตรวจมาแล้วก็คงจะเข้าใจขั้นตอนและความจำเป็นวิธีการเตรียมตัวก่อนไปตรวจ Pap test

ก่อนไปตรวจก็ควรทำความสะอาดภายนอกโดยใช้สบู่ธรรมดา ไม่ต้องใส่น้ำหอมหรือกลิ่น

ควรสวมกระโปงหรือกางเกงหลวมๆที่สามารถถอดออกง่าย

ไม่ควรจะไปเล่นกีฬาหรือไป shopping ก่อนการตรวจ

ควรจะงดการมีเพศสัมพันธุ์ก่อนการตรวจ

ไม่ควรสวนหรือล้างภายในช่องคลอด

ไม่ควรจะเหน็บยา

ไม่ควรไปตรวจช่วงมีประจำเดือน

วิธีการตรวจ

เมื่อท่านได้แจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่าต้องการจะตรวจภายใน เจ้าหน้าที่ก็จะนำท่านไปพบแพทย์หลังจากซักประวัติ และตรวจร่างกายแล้วก็จะเข้าห้องตรวจภายในซึ่งเป็นห้องที่มิดชิดพอสมควร เจ้าหน้าที่จะแนะนำให้ท่านเปลี่ยนกางเกงหรือกระโปงเป็นผ้าที่มีลักษณะเหมือนผ้าถุง เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่จะนำท่านไปยังเตียงตรวจซึ่งไม่เหมือนกับเตียงตรวจที่ท่านเคยเห็น เมื่อนอนเตียงเรียบร้อยแล้วเจ้าหน้าที่จะให้ท่านวางเท้าไว้บนขาหยั่งซึ่งจะทำให้ท่านต้องแยกขาออก เจ้าหน้าที่จะเปิดผ้าถุง และนำผ้ามาคลุมและเปิดช่องไว้เพียงพอในการตรวจ หลังจากนั้นจะเรียกแพทย์มาตรวจ แพทย์จะทำความสะอาดบริเวณดังกล่าวด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ แล้วจึงใส่ speculum เพื่อขยายช่องคลอด การเลือด speculum แพทย์จะอาศัยประวัติการมีเพศสัมพันธ์และประวัติการคลอดบุตร การใส่ speculum อาจจะสร้างความอึกอัดเล็กน้อย หลังจากนั้นแพทย์จะใช้ไม้ไปขูดเนื้อเยื่อที่ปากมดลูก และนำเซลล์นั้นไปส่งตรวจหามะเร็ง

การแปลผล

หลังจากที่แพทย์ส่งเซลล์ไปตรวจต้องใช้เวลารอสัก 2-3 วันผลรายงานที่ออกมามีดังนี้

ปกติหรือ Normal หมายถึงตรวจไม่พบเซลล์ที่ผิดปกติ ดังนั้นไม่ต้องทำอะไรต่อ

Atypical squamous cells of undetermined significance มีความผิดปกติของเซลล์แต่ไม่สามารถบอกได้อย่างแน่ชัดว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ อาจจะเกิดจากการติดเชื้อหรือการอักเสบของปาดมดลูก แพทย์จะแนะนำให้มาตรวจซ้ำ

Squamous intraepithelial lesion ลักษณะที่ตรวจพบจะมีโอกาศเป็นมะเร็งได้สูง แพทย์จะต้องนัดตรวจเพิ่มเติม

Atypical glandular cells หากได้รับรายงานนี้แพทย์ต้องตรวจต่อ

Squamous cancer or adenocarcinoma cells ผลออกมาแบบนี้ก็ต้องตรวจต่อว่าเป็นมะเร็งมากแค่ไหน เพื่อวางแผนการรักษา

เมื่อได้รับรายว่าว่าผลการตรวจ Pap แพทย์จะนัดมาตัดชิ้นเนื้อที่ปากมดลูกเพื่อการวินิจฉัยที่แน่นอน

วัชราภรณ์ ก้อนแก้ว วิทย์สุขฯ เลขที่ 3

หุ่นดีด้วยวิธีง๊าย ...ง่าย

วิธีที่ว่านั่นก็คือ ..... การแขม่วท้องค่ะ .....

การแขม่วท้องเป็นการออกกำลังกายที่ง่าย ๆ และทำได้ตลอดเวลา นอกจากเป็นการออกกำลังกายแล้ว ยังเป็นการทำให้คนคนนั้นตระหนักถึงพุงที่ยื่นออกมามากกว่าปกติ แถมยังเป็นการกระตุ้นเตือนให้เราระวังการเอาของแพงๆ ใส่เข้าไปในปากอีกด้วย

ทำไมเข็มขัดลดความอ้วนที่ประกาศขายตามโฆษณาทางโทรทัศน์จึงขายได้ เข็มขัดลดความอ้วนคือการใช้ไฟฟ้ากระตุ้นให้กล้ามเนื้อท้องแข็งแรง คล้ายๆ มีคนมาสะกิดเตือนที่เอวของคนที่ใส่เข็มขัดว่า คุณๆ ลืมไปหรืเปล่า พุงยื่นออกมามากแล้ว สะกิดอยู่บ่อยๆ ก็จะทำให้ผอม

..... ประโยชน์ของการแขม่วท้อง - ขมิบก้น .....

1. เราได้ออกกำลังตลอดทั้งวัน ออกกำลังกายกล้ามท้อง ทำให้ร่างกายได้ใช้พลังงานตลอดเวลา ไม่มีการสะสม

2. ทำให้รู้สึกถึงการบริโภคที่เกินขนาด คล้ายนุ่งกางเกงคับๆ เราจะกินอาหารได้ไม่มาก แต่ถ้านุ่งกางเกงแพรกินข้าว ไม่อึดอัด กินได้มาก

3. ระบบขับถ่ายดี การแขม่วท้องแก้ท้องผูกได้ดีมาก คนมีกล้ามท้องจะเป็นคนถ่ายสะดวก สบายท้อง

4. การแขม่วท้อง คล้ายการฝึกอานาปานสติ กำหนดลมหายใจ ท้องยุบหนอ พองหนอ รู้สึกที่ท้อง ท้องเป็นจุดรวมของความรู้สึกนึกคิดของคน คนจึนโบราณบอกว่า ปัญญาอยู่ที่พุงหรือที่ท้อง

เพราะฉะนั้นสาว ๆ มาลดพุงโดยการแขม่วท้องกันดีกว่าค่ะ สุขภาพโดยรวมจะได้ดีขึ้น แถมยังทำได้ง่าย ๆ จะทำเวลาไหนก็ได้ เพราะอย่างเวลาที่เรานั่งอยู่เฉย ๆ ก็แขม่วท้องและตามด้วยขมิบก้นอีก ซึ่งเป็นวิธีที่จะทำให้คุณไม่ต้องเสียสตางค์กินยาลดความอ้วนเลยด้วย

เบญจวรรณ หล้าแปง ม.ฟาร์เลขที่40

10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี

ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก

1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง

2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี

3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว

4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ

6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%

8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย

9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด

10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้

น.ส.ปาริชาติ กันทะวงค์ เลขที่10 มฟาร์อีสเทอร์น

ประเภทของกิจกรรมนันทนาการ

กิจกรรมนันทนาการมีหลายประเภท เพื่อให้บุคคลเข้าร่วมทำ กิจกรรมได้ตามความสนใน

ดังนี้

1. การฝีมือและศิลปหัตถกรรม (Arts and crafts) เป็นงานฝีมือหรือสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ

เช่น การวาดรูป งานแกะสลัก งานปั้น การประดิษฐ์ดอกไม้ เย็บปักถักร้อย ทำ ตุ๊กตา

ประดิษฐ์ข้าวของเครื่องใช้ และงานศิลปะอื่น ๆ

2. เกมส์ กีฬา และกรีฑา (Games, sport and track and fields) กิจกรรมนันทนาการ

ประเภทนี้เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กีฬากลางแจ้ง

(Outdoor Games) ได้แก่ กีฬาที่ต้องใช้สนามกลางแจ้ง เช่น ฟุตบอล บาสเก็ตบอล

และกิจกรรมกลางแจ้งอื่น ๆ กีฬาในร่ม (Indoor Games) ได้แก่ กิจกรรมในโรง

ยิมเนเซียม หรือในห้องนันทนาการ เช่น แบดมินตัน เทเบิลเทนนิส หมากรุก ฯลฯ

3. ดนตรีและร้องเพลง (Music) เป็นกิจกรรมนันทนาการที่ให้ความบันเทิง ดนตรีเป็น

ภาษาสากลที่ทุกชาติทุกภาษาสามารถเข้าใจเหมือนกัน แต่ละชาติแต่ละท้องถิ่นจะมี

เพลงพื้นบ้านของตนเอง และเครื่องดนตรีพื้นบ้าน เราสามารถเลือกได้ตามความสนใจ

ไม่ว่าจะเป็นสากลหรือพื้นบ้าน

4. ละครและภาพยนตร์ (Drama) เป็นนันทนาการประเภทให้ความรู้ความบันเทิง ความ

สนุกสนานเพลิดเพลิน และสะท้อนให้เห็นถึงสภาพจริงของสังคมยุคนั้น ๆ

5. งานอดิเรก (Hobbies) เป็นกิจกรรมนันทนาการที่ช่วยให้การดำ เนินชีวิตประจำ วัน มี

ความสุข เพลิดเพลิน งานอดิเรกมีหลายประเภท สามารถเลือกได้ตามความสนใจ

เช่น

5.1 ประเภทสะสม เป็นการใช้เวลาว่างในการสะสม สิ่งที่ชอบสิ่งที่สนใจ ที่นิยมกัน

มาก ได้แก่ การสะสมแสตมป์ เหรียญเงินในสมัยต่าง ๆ อาจเป็นของในประเทศ

และต่างประเทศ การสะสมบัตรโทรศัพท์ ฯลฯ

5.2 การปลูกต้นไม้ เป็นงานอดิเรกที่ให้ทั้งความเพลิดเพลิน และได้ออกกำ ลังกาย

และได้ผักสดปลอดจากสารพิษไว้รับประทานหากเป็นการปลูกพืชผักสวนครัว

5.3 การเลี้ยงสัตว์ อาจเป็นการเลี้ยงในลักษณะไว้เป็นอาหาร เช่น เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่

นกกระทา หรือเลี้ยงไว้ดูเล่น เช่น เลี้ยงสุนัข แมว นกปลา ฯ การเลี้ยงสัตว์เป็นกิจ

กรรมที่ช่วยเสริมสร้างลักษณะนิสัยของเด็กให้มีจิตใจอ่อนโยน และฝึกความรับ

ผิดชอบ

5.4 การถ่ายรูป เป็นงานอดิเรกที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่ง แต่ค่าใช้จ่ายอาจจะค่อนข้าง

สูง เนื่องจากอุปกรณ์ราคาแพง และมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเดินทางเข้ามาเกี่ยว

ข้อง หากไม่มีข้อจำ กัดทางด้านเศรษฐกิจ การถ่ายรูปก็เป็นกิจกรรมที่ให้ความ

เพลินเพลิดและความภาคภูมิใจต่อผู้ทำ กิจกรรมมาก

6. กิจกรรมทางสังคม (Social activities) เป็นกิจกรรมที่กลุ่มคนในสังคมร่วมจัดขึ้น โดย

มี จุดมุ่งหมายเดียวกัน เช่น การจัดเลี้ยงปีใหม่ งานเลี้ยงวันเกิด กานฉลองในโอกาส

พิเศษต่าง ๆ

7. เต้นรำ ฟ้อนรำ (Dance) เป็นกิจกรรมที่ใช้จังหวะต่าง ๆ เป็นกิจกรรมที่ให้ความสนุก

สนาน เช่น เต้นรำ พื้นเมือง การรำ ไทย รำ วง นาฏศิลป์ ลีลาศ

8. กิจกรรมนอกเมือง (Outdoor activities) เป็นกิจกรรมนันทนาการนอกสถานที่ ที่ให้

โอกาสมนุษย์ได้เรียนรู้ธรรมชาติ ได้พักผ่อน เช่น การอยู่ค่ายพักแรม ไปท่องเที่ยวตาม

แหล่งธรรมชาติ

9. ทัศนศึกษา (Field trip) เพื่อศึกษาศิลปวัฒนธรรม ตามวัดวาอาราม หรือศึกษาความ

ก้าวหน้าในด้านต่าง ๆ ในนิทรรศการหรืองานแสดงต่าง ๆ

10. กิจกรรมพูด เขียน อ่าน ฟัง (Speaking Writing and Reading) การพูด เขียน อ่าน

ฟัง ที่นับว่าเป็นกิจกรรมนันทนาการ ได้แก่

10.1 การพูด ได้แก่ การคุย การโต้วาที การปาถกถา ฯ

10.2 การเขียน ได้แก่ การเขียนบันทึกเรื่องราวประจำ วัน เขียนบทกวี เขียนเพลง เรื่อง

สั้น บทความ ฯ

10.3 การอ่าน ได้แก่ การอ่านหนังสือพิมพ์ อ่านหนังสือทั่ว ๆ ไป ที่ให้ทั้งความรู้และ

ความเพลิดเพลิน

10.4 การฟัง ได้แก่ การฟังวิทยุ ฟังอภิปราย โต้วาที ทอล์คโชว์ ฯ

11. กิจกรรมอาสาสมัคร (Voluntary Recreation) เป็นกิจกรรมบะเพ็ญประโยชน์ที่บุคคล

เข้าร่วมด้วยความสมัครใจ เช่น กิจกรรมอาสาพัฒนา และกิจกรรมอาสาสมัครต่าง ๆ

เรื่องควรจำ..เกี่ยวกับระบบเผาผลาญ

ระบบเผาผลาญของเราก็คือหน่วยจารชนที่จะช่วยทำลายล้างไขมันออกไป เราจึงควรจะรู้เรื่องเกี่ยวกับระบบเผาผลาญให้มากกว่านี้ จะได้รู้ว่าต้องทำอย่างไร จารชนคนเก่งถึงจะทำงานคล่องปรี๊ดๆ

1. ยิ่งดื่มน้ำ ระบบเผาผลาญก็ยิ่งทำงานดี

เพราะถ้าร่างกายขาดน้ำ ระบบเผาผลาญก็จะทำงานน้อยลงไป 2% ถ้าดื่มน้ำได้วันละ 8-12 แก้วเมื่อไร ระบบเผาผลาญจะปลื้มมากๆ

2. ชาช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญได้

แต่ต้องเป็นชาสมุนไพรอย่างชาอูหลงกับชาเขียวเท่านั้นนะ ไม่รวมชาใส่น้ำตาลเพียบที่วางขายกันโครมๆ นั่นหรอก เพราะชาสมุนไพรมีสารแคททีชินที่กระตุ้นการเผาผลาญ ทำให้ระบบเผาผลาญทำงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรีหรือเท่ากับเราลดน้ำหนักลงไปได้ปีละ 2 กิโลกรัม

3. ระบบเผาผลาญจะทำงานมากขึ้นช่วงก่อนมีรอบเดือน

นี่คือเหตุผลว่าทำไมช่วงนี้สาวๆ ถึงเจริญอาหารอยากกินนั่นนี่ทั้งวัน เพราะหลังจากไข่ตก ฮอร์โมนในตัวเราก็จะเพิ่มขึ้นและเผาผลาญได้มากขึ้นถึง 300 แคลอรีต่อวัน

4. กินโปรตีนมากก็เผาผลาญมาก

เพราะการย่อยโปรตีนต้องใช้พลังงานมากกว่าการย่อยคาร์โบไฮเดรต สาวๆ ที่คิดจะลดความอ้วนด้วยการอดโปรตีน สงสัยต้องเปลี่ยนแผนใหม่แล้วมั้ง

น.ส.พิชญา ลีวรรธนะ ม.ฟาร์ เลขที่74

วัยรุ่นสาว เป็นวัยที่มักจะหิวบ่อยและชอบกินของขบเคี้ยว ขนมหวานลูกอมต่าง ๆ จนติดเป็นนิสัย ถ้าหากว่าขาดการดูแลเอาใจใส ดูแล

รักษาความสะอาดช่องปากได้ไม่ดีพอแล้ว ก็จะเกิดฟันผุได้ง่ายมาก และที่สำคัญวัยรุ่นมักมีปัญหาเรื่องโรคเหงือก ที่เป็นกันมากคือ เหงือกอักเสบ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนเมื่อเข้าสู่วัยหนุ่มสาว แต่เหตุใหญ่เกิดจากการไม่รักษาความสะอาดของปากและ

ฟันมากกว่า

วัยนี้จึงควรให้ความสนใจในเรื่องการแปรงฟันให้สะอาดอย่างทั่วถึง การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และพอเพียงสำหรับการเจริญ

เติบโตของร่างกาย และพึงปฏิบัติจนให้ถกต้องเพื่อป้องกันโรคฟันผุและโรคปริทันต์ ดังนี้

1. แปรงฟันให้สะอาดอย่างทั่วถึง แปรงฟันหลังอาหารและก่อนเข้านอนเพื่อกำจัดเศษอาหารและคราบสกปรก

2. ใช้ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์เพื่อป้องกันฟันผุ

3. ใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวัยละ 1 ครั้ง เพื่อกำจัดคราบจุลินทรีย์บริเวณซอกฟัน

4. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อเสริมสร้างฟันให้มีสุขภาพแข็งแรง เช่น อาหารประเภทเนื้อสัตว์ นม ไข่ ผักสด ผลไม้

5. หลีกเลี่ยงอาหารหวาน หรือว่าขนมเหนียวติดฟัน

6. ตรวจฟันและเหงือกด้วยตนเองสม่ำเสมอ และควรไปพบทันตแพทย์อย่างน้อยปีละครั้ง เพื่อตรวจสุขภาพในช่องปาก ขูดหินปูดทำความ

สะอาดฟัน และแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ในช่องปาก

14 วิธีขับถ่ายปัสสาวะ เพื่อสุขภาพที่ดี

ไม่น่าเชื่อว่า แม้คนเราจะขับถ่ายปัสสาวะกันมาก ตั้งแต่แรกเกิด แต่หลายคนไม่ทราบวิธีที่ดีที่ทำให้ระบบขับถ่ายปัสสาวะเป็นปกติวันนี้จะขอเสนอ 14 อุปนิสัยที่ดีในการขับถ่ายปัสสาวะ

1. อย่ากลั้นปัสสาวะ เมื่อรู้สึกปวดต้องไปปัสสาวะ

2. เวลาปัสสาวะไม่ควรรีบร้อนเบ่งมาก เพราะอาจทำให้หูรูดปัสสาวะชำรุดได้

3. ควรถ่ายปัสสาวะให้เหลือน้อยที่สุดในหนึ่งครั้ง นั่นคือเมื่อรู้สึกถ่ายหมดแล้วให้เบ่งต่ออีกนิดหน่อย ปัสสาวะที่เหลือจะไหลออกมา

4. ไม่ควรบังคับให้ตนเองถ่ายปัสสาวะบ่อย เพราะจะติดเป็นนิสัย เวลาที่เหมาะสมคือ 2-4 ชั่วโมงควรถ่ายปัสสาวะหนึ่งครั้ง

5. ให้สังเกตการถ่ายปัสสาวะ และน้ำปัสสาวะของตนเองทุกครั้งว่า ต้องเบ่งมากผิดปกติหรือไม่น้ำปัสสาวะลำพุ่งดีหรือไม่ ลำน้ำปัสสาวะมีขนาดเล็กลงกว่าเดิมหรือไม่ น้ำปัสสาวะมีสีเหลืองใสหรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเป็นอาการผิดปกติที่สามารถบอกโรคได้

6. อาจจะล้างทำความสะอาดหลังปัสสาวะ แต่อย่าให้บริเวณนั้นเปียกชื้น เพราะอาจเกิดเชื้อราได้ทางที่ดีหลังปัสสาวะทุกครั้ง ควรซับให้แห้ง

7. เมื่อปัสสาวะไม่ออก ต้องหาสาเหตุโดยการไปพบแพทย์ อย่าซื้อยาขับปัสสาวะรับประทานเพราะจะเกิดอันตรายได้

8. เมื่อเข้าสู่วัยกลางคน การบริหารอุ้งเชิงกรานโดยการขมิบ (ฝ่ายหญิงขมิบช่องคลอด ฝ่ายชายขมิบทวารหนัก) วันละ 100 ครั้ง จะช่วยป้องกันอาการปัสสาวะเล็ด

9. ดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 10 แก้ว หรือหนึ่งลิตร จะช่วยให้น้ำปัสสาวะใส มีจำนวนพอดีและป้องกันภาวะปัสสาวะอักเสบ

10. ก่อนมีเพศสัมพันธ์ และหลังมีเพศสัมพันธ์ คุณผู้หญิงควรถ่ายปัสสาวะทิ้ง จะช่วยป้องกันการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

11. น้ำปัสสาวะจะต้องเป็นน้ำเท่านั้น ถ้ามีมูก หนอง น้ำเหลือง เลือดปนออกมา ถือว่าผิดปกติต้องไปพบแพทย์

12. การขับถ่ายปัสสาวะ ต้องขับถ่ายคล่องไม่มีอาการเจ็บปวด ถ้าปัสสาวะแสบขัดลำบากนับว่าเป็นอาการผิดปกติ ต้องไปพบแพทย์อีกเช่นกัน

13. คนเราทุกคนต้องปัสสาวะทุกวัน วันละ 4-6 ครั้ง ถ้าไม่ปัสสาวะเลย 1 วัน ถือว่าตกอยู่ในภาวะอันตราย ต้องไปพบแพทย์โดยด่วน

14. ก่อนเดินทางไกล ก่อนยกของหนัก ควรปัสสาวะทิ้งก่อนทุกครั้ง

ภาวะสมองเสื่อม..กับไข่ไก่

ภาวะสมองเสื่อม..กับไข่ไก่

เห็นว่ามีคุณค่าและเป็นประโยชน์ จึงอยากเผยแพร่ต่อ....

หากใครได้ดูรายการ "ข้อเท็จจริง..วันนี้" ทางช่องยูบีซี 7 ที่มีการการพูดคุยกับ ศ.นพ.รุ่งธรรม ลัดพลี เกี่ยวกับเรื่อง "ภาวะสมองเสื่อง..กับไข่ไก่" เรื่องที่มีการการสนทนากันนั้น พอจับใจความหลักๆ ได้ว่า ... จากค่านิยมเดิมๆที่ทราบกันว่า การบริโภคไข่ทุกวันนั้น จะไปเพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด ทางคุณหมอบอกว่าอยากให้เลิกค่านิยมดังกล่าวเสีย เพราะข้อเท็จจริงในปัจจุบันนั้น ไข่นับว่าเป็นอาหารราคาถูก ปรุงง่าย แต่มากด้วยคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด การที่หลายๆคนมีระดับคลอเสลเตอรอลในเลือดสูงนั้น เป็นเพราะตับทำงานไม่มีประสิทธิภาพเอง คุณหมอยังกล่าวอีกว่า สำหรับคนที่มีระดับคลอเลสเตอรอลสูงในระดับ 200 นั้น หากทานไข่แล้ว มันไปเพิ่มอีกเพียง 20 แต่ตรงกันข้ามประโยชน์ที่ได้จากการทานไข่ มันมากกว่าไอ้ส่วนที่ไปเพิ่มระดับคลอเลสเตอรอลในเลือด คุณหมอบอกว่า โรคอัลไซเมอร์นั้น ผลการวิจัยล่าสุด ระบุว่า เป็นเพราะอาการเลือดในสมองน้อย หรือเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ การรับประทานไข่ทุกวันๆละ อย่างน้อย 2 ฟอง จะช่วยได้มาก คุณหมอยังอ้างถึงและพูดถึงผู้สูงอายุว่าการบริโภคไข่ทุกวันนั้น ไม่มีปัญหาดังที่เราๆเข้าใจกันแบบผิดๆ คุณหมอรักษาผู้สูงอายุหลายๆคนที่มาให้การรักษาในหลายๆโรค ขนาดอายุ 80 กว่า คุณหมอยังแนะนำให้ทานไข่วันละ 2 ฟอง ผลก็คืออาการของโรคที่รักษาบรรเทาลง คนไข้มีอาการดีขึ้นกว่าเดิมมาก จากที่เดินไม่ค่อยได้ ก็กลับมาเดินได้ นี่เป็นตัวอย่างหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ไข่มีหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นไข่ไก่,ไข่เป็ด,ไข่นกกระทา, และอีกหลายๆชนิด แต่ไข่ไก่ดีที่สุดในกลุ่ม ส่วนการนำมาประกอบอาหารนั้นแล้วแต่ใจชอบ ประกอบอาหารแบบไหนได้ทั้งนั้น คุณหมอเสริมว่า ส่วนของไข่ที่ดีที่สุดนั้น อยู่ที่จุดๆหนึ่งในไข่แดงที่มีลักษณะคล้ายๆเส้นใยยึดส่วนอื่นๆไว้ (หากไม่เคยสังเกต ก็ลองเตาะไข่ดิบดู) พร้อมกันนี้ ก็ได้มีการยกแผนภูมินำมาประกอบว่าประเทศไทยมีการบริโภคไข่ต่อคนมากน้อยเพียงใด ปรากฎว่า ต่ำกว่าหลายๆประเทศที่เจริญแล้ว โดยประเทศที่บริโภคไข่ต่อคนสูงสุด ก็คือญี่ปุ่น รองๆลงมาก็มีจีนแดง, สหรัฐอเมริกา, ฯลฯ คุณหมอยังให้ข้อคิดว่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ประชาชนส่วนใหญ่มีสติปัญญาที่ดี ทำไมอาหารมื้อเช้าทุกวัน ยังมีไข่เป็นส่วนประกอบเสมอ และทานกันทุกวัน แต่เรากลับยึดถือแต่ค่านิยมเรื่องคลอเลสเตอรอล.... การบริโภคไข่จะช่วยบำรุงสมองเป็นอย่างดี อย่าไปสนใจพวกอาหารเสริมที่โฆษณากันเลย ไข่นี่แหละสุดยอดของอาหารแล้ว หากอยากฉลาด ต้องทานไข่ คุณหมอยังเสริมว่าภาวะเลือดที่ข้นเกินไป จะไม่เป็นผลดี เพราะการนำสารอาหารไปหล่อเลี้ยงร่างกายจะไม่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นควรดื่มน้ำสะอาดให้มากๆในแต่ละวัน

ชัยวิชิต อิ่นแก้ว ม.ฟาร์(43)

อาหารต้องห้ามยามเป็นโรค

เป็นไข้หวัด มีไข้สูง

ควรหลีกเลี่ยงอาหารไม่สุก อาหารที่เย็นมากๆ อาหารทอด อาหารมัน ซึ่งเป็นอาหารที่ ย่อยยากจะทำให้เกิดความร้อนสะสม เปรียบเสมืออาหารเชื้อเพลิงหรือเป็นการเติม น้ำมันเข้าไปในกองไฟ

โรคกระเพาะ

ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ชาแก่ๆ กาแฟ ของเผ็ด ของทอด ของมัน เพราะอาหารเหล่านี้ ทำให้เกิดความร้อนสะสมทำให้โรคหายยาก ทางที่ดีควรจะรับ ประทานอาหารปริมาณน้อย ๆ แต่บ่อยครั้ง รับประทานอาหารให้ตรงเวลา และเป็นอาหารที่ย่อยง่าย

โรคความดันเลือดสูง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาเลือดเลือดแข็งตัวขาดความยืดหยุ่น ควรหลีกเลี่ยงอาหารมัน อาหารที่มีคอเรสเตอรอลสูง เช่น หมูสามชั้น ไขกระดูก ไข่ ปลา โกโก้ รวมทั้งเหล้า เพราะอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดความร้อนชื้นสะสมในร่างกาย และความชื้นก็มีผลก็ทำให้เกิดความหนืดของการไหลเวียนทุกระบบในร่างกาย และความ ร้อนก็จะไปกระตุ้นทำให้ความดันสูง นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด หรืออาหาร หวานมาก รวมทั้งผลไม้อย่างลำไยขนุน ทุเรียน

โรคตับและถุงน้ำดี

หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อาหารมัน เนื้อติดมัน เครื่องในสัตว์ อาหารทอด อาหารหวานจัด เพราะแพทย์จีนถือว่า ตับและถุงน้ำดี มีความสัมพันธ์กับระบบย่อยอาหาร การได้ อาหารประเภทดังกล่าวมากเกินไปจะทำให้สมรรถภาพของการย่อยอาหารอ่อนแอลงและเกิดโท­ษ ต่อตับและถุงน้ำดีอีกต่อหนึ่ง

โรคหัวใจและโรคไต

ควรหลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัดเพราะจะทำให้มีการเก็บกักน้ำ การไหลเวียนเลือดจะช้า ทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น ไตต้องทำงานขับเกลือแร่มากขึ้น ส่วนอาหารรสเผ็ดก็ควร หลีกเลี่ยง เพราะทำให้กระตุ้นการไหลเวียนสูญเสียพลังงานและหัวใจก็ทำงานหนักขึ้น เช่นกัน

โรคเบาหวาน

หลีกเลี่ยงอาหารรสหวาน หรือแป้งที่มีแคลอรี่สูง เช่น มันฝรั่ง มันเทศ ควรรับ ประทานอาหารพวกถั่ว เช่นเต้าหู้ นมวัว เนื้อสันไม่ติดมัน ปลา ผักสด

นอนไม่หลับ

หลีกเลี่ยงชา กาแฟ รวมทั้งการสูบบุหรี่เพราะอาหารเหล่านี้ มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ทำให้ไม่ง่วงนอน หรือนอนไม่หลับสนิท

โรคริดสีดวงทวาร หรือท้องผูก

หลีกเลี่ยงอาหารประเภทหอม กระเทียม ขิงสด พริกไทย พริก เพราะอาหารเหล่านี้อาจทะ ให้ท้องผูก หลอดเลือดแตก และอาการริดสีดวงทวารกำเริบ

ลมพิษ ผิวหนังอักเสบ หรือโรคหอบหืด

ควรหลีกเลี่ยงเนื้อแพะ เนื้อปลา กุ้ง หอย ปู ไข่ นม และอาหารรสเผ็ด เพราะจะไป กระตุ้นและทำให้อาหารผิวหนังกำเริบ

สิว หรือต่อมไขมันอักเสบ

งดอาหารเผ็ดและมัน เพราะทำให้เกิดการสะสมความร้อนชื้นของกระเพาะอาหาร ม้าม มีผล ต่อความร้อนชื้นไปอุดตันพลังของปอด ควบคุมผิวหนัง ขนตามร่างกาย ทำให้เกิดสิว

"วิตามินซี" เพื่อสุขภาพ

มาทำความรู้จักกับ “วิตามินซี” กับบทบาทสำคัญ ... คุณสมบัติที่โดดเด่นของวิตามินซี ก็คือ ความเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) นั่นเอง โดยประโยชน์หลักๆ เมื่อร่างกายได้รับวิตามินซีเป็นประจำ คือ เพิ่มภูมิต้านทานแก่ร่างกาย ป้องกันการก่อตัวของเซลล์มะเร็ง บำรุงผิวพรรณหรือชะลอความแก่ ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟันหรือเหงือกอักเสบ ในทางกลับกัน หากร่างกายเราขาด “วิตามินซี” หรือมีปริมาณวิตามินซีน้อยเกินไป อาจส่งผลทำให้เกิดอาหารเหล่านี้ได้

- เป็นหวัดง่าย ภูมิต้านทานโรคและความสามารถในการกำจัดพิษลดลง

- ผิวหนังขาดความยืดหยุ่น เกิดจุดด่างดำ ฝ้า มีเลือดออกตามไรฟัน

- อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง ประสาทสัมผัสด้อยลง

- มีภาวะเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะ ตับ และส่วนอื่นๆ

- ประสิทธิภาพของต่อมหมวกไตลดลง เป็นภูมิแพ้ได้ง่าย

- เป็นโรคโลหิตจาง หรือโรคต่างๆ ง่าย บาดแผลหายยาก หากขาดมากจะเป็นโรค โลหิตเป็นพิษ

- เกิดโรคลักปิดลักเปิด

สำหรับผู้ที่กำลังกลุ้มใจ เพราะไม่รู้ว่าจะหาวิตามินซีมาทานได้จากที่ไหน ... อยากจะบอกว่า ความจริงแล้วแหล่งของวิตามินซี เราสามารถหาได้จาก อาหารที่มีอยู่ในธรรมชาติทั่วไป แต่แหล่งที่มีมาก คือ ผักสดและผลไม้ต่างๆ โดยเทียบง่ายๆ จากประเภทของอาหาร (100 กรัม) และวิตามินซี (มิลลิกรัม)

ดังนี้ มะขามป้อม 276, ฝรั่ง 160, พุทรา 154, มะขามเทศ 133, มะปรางสุก 107, มะละกอสุก 73,แคนตาลูป 33, มะนาว 25 และมะยม 8

อย่างไรก็ตาม พึงตระหนักไว้ว่า “วิตามินซี”

เป็นวิตามินที่มีความสำคัญเช่นเดียวกับวิตามินอื่นๆ และร่างกายไม่สามารถผลิตขึ้นได้เอง ดังนั้น ทุกคนจึงควรบริโภควิตามินซี แต่จะมากหรือน้อยนั้นก็ขึ้นอยู่กับความต้องของแต่ละบุคคล

4 อาหารเลวที่ดีต่อร่างกายของคุณ

ถ้าคุณได้ชื่อว่าเป็นพวกที่ทานอาหารเพื่อสุขภาพอยู่ละก็ เชื่อว่าคุณคงกำลังหลีก เลี่ยงอาหารจำพวกเนย นม และชีสอยู่แน่ แต่รู้ไหมว่าอาหารที่ได้ชื่อว่าเลวร้าย นั้น อันที่จริงมันก็มีสารอาหารบางอย่างที่สำคัญอยู่ และคุณจะได้คุณจากมัน มากกว่าโทษ หากรู้จักกินแบบ "มีลิมิต" นั่นคือ

ชีส

แน่นอน ชีสอุดมด้วยไขมันและแคลอรี แต่ในขณะเดียวกันมันยังเป็นแหล่งสำคัญของ แคลเซียม รวมทั้งกรดไลโนเลอิกโมเลกุลคู่ ซึ่งเป็นไขมันประเภทดี ทำให้คุณลดความ เสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจ เบาหวาน กรดชนิดนี้ยังช่วยในการลดน้ำหนัก ด้วยการไปสกัดกั้นการกักเก็บไขมันในร่างกาย

เลือกชีสชนิด Strong-flavored เช่น เฟต้าชีส บลูชีส และชีสพาร์เมซานสด (ไม่ขูด) ซึ่งคุณจะใช้ในปริมาณน้อยหากนำไปปรุงอาหาร

เลี่ยงชีสประเภทไขมันต่ำ เพราะชีสพวกนี้มีไขมันเพียง 6 กรัมต่อออนซ์ เมื่อนำไป ปรุงอาหาร แล้วจะไม่ได้รสชาติ เราจึงโน้มเอียงที่จะอนุญาตให้ตัวเองกินมันมากขึ้น เช่น เดียวกับชีสไม่มีไขมัน ซึ่งส่วนใหญ่ไม่มีรส

ช็อกโกแลต

ลืมไปเลยที่ว่าช็อกโกแลตเป็นสาเหตุของสิว และไมเกรน ที่จริงมันมีส่วนผสม บางอย่างที่ต่อต้านการเกิดมะเร็ง และโรคหัวใจเช่นเดียวกับในผักและผลไม้ เว้นแต่ ว่ามีไขมันสูงกว่าเท่านั้น แต่ถ้าหากคุณมองหาช็อกโกแลตในตอนที่หดหู่นั่นก็ถูก ต้อง เพราะมันจะเพิ่มสารชีโรโตนินในสมอง ทำให้อารมณ์ดีขึ้น

เลือกดาร์กช็อกโกแลต ช็อกโกแลตยิ่งเยอะก็หมายความว่าใส่โกโก้บัตเตอร์ซึ่งอุดม ด้วยไขมันน้อยลง

เลี่ยงช็อกโกแลตที่ผสมคาราเมล มาร์ชแมลโลว และไขมันที่ทำให้อ้วนอื่น ๆ

เนื้อวัว

พักการทานไก่ย่างชั่วคราวแล้วหันมากินสเต็กสักชิ้นเนื้อวัวเป็นแหล่งดีเลิศของ โปรตีน และสารอาหารที่ผู้หญิงมักได้รับจากอย่างอื่นไม่เพียงพอ เช่น เหล็ก สังกะสี และวิตามินบี 12

เลือกเนื้อท่อนโคนขา หรือเนื้อสะโพก ซึ่งเป็นส่วนของเนื้อที่มีเนื้อมากกว่ามัน เพราะจะมีไขมันอิ่มตัวเพียง 4.5 กรัมหรือน้อยกว่า ต่อเนื้อน้ำหนัก 3 ออนซ์ ปรุง แบบหมุนย่าง ซึ่งจะทำให้เราเหลือเนื้อที่ในจานสำหรับใส่ผักได้มากขึ้น

เลี่ยงเนื้อซี่โครงและทีโบนชั้นเลิศ เพราะมีไขมันและแคลอรีมากเป็นเท่าตัวของ ส่วนอื่น ๆ

กาแฟ

ไม่จำเป็นต้องงดดื่มกาแฟ การวิจัยเร็ว ๆ นี้ปฏิเสธว่า กาแฟไม่เกี่ยวข้องกับการ เกิดโรคหัวใจ เนื้อเยื่อในหน้าอกผิดปกติ หรือความดันโลหิตสูง หากแต่คาเฟอีนช่วย บรรเทาอาการแพ้ ทำให้คุณกระฉับกระเฉงและสมาธิดีขึ้น

เลือกกำหนดตัวเองให้ดื่มกาแฟไม่เกิน 2 - 3 แก้วต่อวัน และอย่าใส่ครีมกับน้ำตาล ให้มากนัก

เลี่ยงกาแฟแก้วใหญ่พิเศษ ที่อุดมไปด้วยครีม น้ำตาล น้ำแร่ และวิปครีม ซึ่งให้ แคลอรีมากถึง 300 แคลอรี

ถ้าทำได้ตามนี้ ก็รับประกันว่าจะได้ความอร่อยที่ไม่เป็นโทษแน่ ๆ

กาญจนา ปาลี วิทย์สุข ฟาร์

ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก

1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง

2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี

3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว

4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ

6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%

8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย

9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด

10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้

ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !!

ใช่ไหมคะอาจารย์ สู้สู้

20 วิธีอ่อนเยาว์มากขึ้นในวันนี้

1. เล่นเกมมีเดท

นึกถีงตอนมีนัดกับหนุ่มที่แอบปิ้งครั้งแรกสิ เมื่อก่อนน่ะเรามือสั่นใจสั่นแค่ไหน จำได้รึเปล่าเอ่ย ให้สร้างความรู้สึกแบบนั้นขึ้นมาอีกครั้ง รับรองสนุก ต่างคนต่างไปที่นัดหมายตกลงเลือกที่ใหม่ๆกันทั้งสองฝ่าย ทำสิ่งที่แตกต่างออกไป เวลาคุยกันก็ถามคำถามแบบที่คุณมักถามคนที่ไม่เคยรู้จักกันมากก่อน ไม่ช้าอะดรีนาลีนคุณก็จะหลั่งเหมือนตอนแรกเจอ แบบนี้ตื่นเต้นดีออกว่ามั้ย

2. จี้จุดความเยาว์

การฝังเข็มอิงทฤษฎีปราณของจีนหมายถึงพลังชีวิต ซึ่งใช้งานด้วยการจุดประกายพลังปราณที่หยุดนิ่ง ก็ทำให้แข็งแรงหรืออ่อนแอ่ลงได้ ซูซาน รีด วัย 35 ปี บอกว่า “ตอนอายุ 35 ไปแล้วร่างกายเราเริ่มเชื่องช้าลง แต่การฝังเข็มจะช่วยกระตุ้นการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยกระตุ้นพลังงานและความรู้สึกเป็นหนุ่มสาว”

3. ทำใจให้สบาย

ใช้เทคนิคการทำสมาธิการเพ่งมองเทียนโดยไม่กะพริบจาซึ่งสามารถฟื้นฟูร่างกายและจิตใจได้เพราะกระตุ้นต่อมไพเนียลในสองให้ผลิตเมลาโทนินอันเป็นฮอร์โมนกระตุ้นการเติบโตของเซลล์ ดูรายละเอียดเพิ่ม www.fisu.org

4. อยากอายุเท่าไรก็แสดงออกเท่านั้น

โลฟ์โค้ช ฟีโอนา ฮาโรล แนะว่าให้เลือกว่าอายุเท่าไรที่สะท้อนสุขภาพอันมีชีวิตชีวา และความสดชื่นของคุณ จากนั้นบอกตัวเองว่าคุณอายุเท่านั้น ทำให้ตัวเองรู้สึกดังนั้น และแสดงท่าทางเพื่อให้เหมาะสมกับอายุที่คุณต้องการให้ดีที่สุด

5. ดอมดมกลิ่นหวนสู่วัยเด็ก

การค้นคว้าของมูลนิธิกลิ่นและรสในชิคาโก พบว่าการสร้างกลิ่นจากวัยเด็กสามารถทำให้เรารู้สึกอ่อนเยาว์ขึ้นมาได้ทันควัน ประสาทส่วนหน้าจัดเป็นส่วนของอารมณ์อ่อนไหว วิธีที่เร็วที่สุดในการเข้าถึงความจำเหล่านี้คือผ่านทางกลิ่น เชื่อมั้ยว่ากลิ่นแรกที่เราคิดถึงสมัยวัยเด็ก คือกลิ่นขนมปังอบใหม่หอมกรุ่น

6. เชื่อใน “พลังสาวๆ”

จากการศึกษากับสตรีวัย 40 ปีหนึ่งกลุ่ม พบว่าการใช้เวลาค้างคืนกับเพื่อนผู้หญิงด้วยกัน จัดว่ายอดเยี่ยมในการทำให้รู้สึกอ่อนเยาว์ลงอีกครั้ง เพื่อเก่าแก่สามารถช่วยให้คุณหนีความเครียดจากชีวิตประจำวันได้ด้วยการเตือนใจให้นึกถึงวัยก่อนจะมีความรับผิดชอบหนักหนาเช่นทุกวันนี้ นัดชุมนุนเพื่อนเม้าท์กันให้สนุกสุดเหวี่ยงไปเลย

7. หวนรำลึกความทรงจำ

ลองสะกดจิตตัวเองดูจะทำให้คุณทวนกลับไปถึงเวลาที่รู้สึกเสรีแฮปปี้ ลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกนี้และรอยยิ้มกับทัศนคติคนที่อ่อนเยาว์มากขึ้น

8. วางแผนพักเบรก

มีพวกเราน้อยคนที่ปฏิเสธว่าสิ่งที่ดีที่สุดในการเรียนคือได้ปิดเทอมนานๆ โดยไม่มีการบ้านให้คิดหาวันหยุดเบรกแบบนี้เพื่อนเติมความรู้สึกนั้นและวางแผนสิ่งพิเศษ เสนอความคิดให้เจ้านายพาไปสัมมนา ดูงาน ซึ่งเจ้านายส่วนใหญ่มองว่าเป็นโอกาสเพิ่มทักษะและมุมมองให้ลูกน้อง

9. หวือหวาได้นอกห้องนอน

สมัยสาวๆ เราไม่เคยขี้อายกระมิดกระเมี้ยนกับการมีเซ็กซ์ หรือกำจัดแค่บนเตียงในห้องนอนเท่านั้น แต่พออายุมากขึ้นกลับต้องเข้าห้องนอนใส่กลอนประตูตอนกลางคืนถึงจะวาดลวดลายได้ ขอบอกว่าคุณไม่จำเป็นต้องมีเซ็กซ์เต็มรูปแบบนี่นา แค่กอดจูบลูบไล้สำรวจกายกันก็เกินพอแล้ว เพราะฉะนั้นหาที่ลับตาพอประมาณแล้วสร้างความตื่นเต้นซะ

10. ระวังน้ำหนัก

การศึกษาของมหาวิทยาลัยทัฟท์ในสหรัฐฯ พบว่าผู้หญิงที่ยกน้ำหนักสัปดาห์ละสองครั้งนานหนึ่งปีจะรู้สึกอ่อนเยาว์ลงไป 15-20 ปี ดังนั้นลองทำดูที่บ้านก็ได้ เพื่อจะได้มีหุ่นเซ็กซี่ มีกล้ามเนื้อเป็นสาวปราดเปรียวไงล่ะ

11. ฟื้นฟูความเป็นเด็กที่แฝงเร้น

พออายุมากขึ้นเราสร้างเกราะขึ้นมาปกป้องความเป็นเด็กในตัวเรา ให้คุยกับพ่อแม่ว่าสมัยเด็กคุณเป็นไงแล้วหาเวลาถ่ายรูปตัวเองตอนนี้ดู จากนั้นหลับตานึกภาพสมัยวัยเด็กเตือนตัวเองว่าคุณยังมีคุณสมบัติวัยเด็กแบบที่เคยมี ทำแบบนี้จะช่วยปลุกความรู้สึกเหล่านั้นขึ้นมาได้อีกครั้ง

12. ใส่สีสันสดใส

การเปลี่ยนสีสันเสื้อผ้าที่ใส่ทำให้คุณอ่อนเยาว์ลงได้ ถ้าใช้สีที่เหมาะเหม็งจะช่วยลบถุงพองใต้ตาไปได้อย่างไม่นาเชื่อ ลองเอาสีสดใสที่ชอบทาบใบหน้าดูสิว่าถุงนั้นหายไปหรือไม่

13. เรียนรู้จากเด็ก

เวลาเด็กเล็กๆ ละเล่นกันมักเน้นทีละอย่างและหมกมุ่นกับสิ่งนั้น ลองปล่อยตัวไปกับการละเล่นแบบเด็กๆ ดูบ้าง (ยืมลูกเพื่อนมาก็ได้) ปล่อยตัวเต็มที่แล้วจะมีพฤติกรรมขี้เล่นมากขึ้น จำไว้ว่าเด็กไม่ได้ลอง พวกแกลุยไปเลย ถ้าคุณผ่อนคลายกับการเป็นตัวตนของตัวเอง คุณไม่จำเป็นต้องทำท่าเป็นเด็ก เพราะมันจะเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ

14. ดื่มให้อ่อนเยาว์

ไม่ได้หมายถึงแอลกฮอล์ แต่หมายถึงหมายถึงเครื่องดื่มโปรตีนที่พึงดื่ม อาศัยเครื่องปั่นก็ปรุงรสอร่อยได้ เช่น สมูธตี้เบอร์รีหรือมะม่วงผสมแครทซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเครื่องดื่มที่ให้ความรู้สึกอ่อนเยาว์ชั่วนิรันดร์กาล เพราะมีส่วนผสมฟื้นฟูร่างกายสูง ผสมบลูเบอร์รีกับกล้วยและนมกับน้ำผึ้งปั่นเข้าด้วยกันก็ได้

15. กำจัดสารพิษ

ขั้นตอนสำคัญในการผกผันกระบวนการความแก่คือกำจัดสารพิษจากชีวิตทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์อันไม่น่าพึงพอใจ สัมพันธ์ย่ำแย่ อาหารไม่ดีต่อสุขภาพ หรืออารมณ์ในทางลบซึ่งดูดความมีชีวิตไปจากตัวคุณ ดูสิว่าอะไรเป็นพิษแล้วรีบกำจัดมันซะ

16. เล่นเลียนแบบ

เด็กๆ ชอบเลียนแบบ ดังนั้นให้เลียนแบบคนที่คุณชื่นชมหรือเห็นว่าตลกดี จะปลดปล่อยคุณจากการเป็นตัวตนและจำไว้ว่าอย่าลืมหัวเราะตอนทำด้วยก็แล้วกัน

17. ร้องเพลงให้สุดเสียง

การร้องเพลงมีประโยชน์ทางจิตเพราะชักพาคุณไปอีกโลกและหยุดยั้งไม่ให้คิดถึงเรื่องซ้ำซากน่าเบื่อ การร้องเพลงเติบพลังให้คุณ เพราะเพิ่มระดับอ็อกซิเจนในร่างกาย ชวนเพื่อนมาร้องด้วยก็ได้

18. ลืมความรับผิดชอบซะ

หาคนอื่นมาคุมแทนแค่สักสองนาทีก็ได้ ช่วยให้รูปแบบสมองคุณหายรกเรื้อไปสักครู่และทำให้รู้สึกอ่อนเยาว์ขึ้น ขอให้แฟนอ่านนิทานให้คุณฟังก่อนนอนคุณจะรู้สึกอุ่นใจยิ่ง

19. เข้าร่วมละครสัตว์

เด็กๆ กล้าบ้าบิ่นแต่เราผู้ใหญ่ถูกคุมโดยความกังวล การฝึกละครสัตว์ทำให้คุณต้องหวนกลับไปมีสภาพเป็นเด็ก ไว้ใจกับเชือกหนึ่งเส้นซึ่งเป็นสัญชาตญาณที่เราสลัดทิ้งไปเมื่อโตขึ้น แต่ถ้าคุณใช้ความรู้สึกตอนฝึกคุณจะคิดว่าตัวเองสามารถทำอะไรทุกอย่างในโลกนี้ได้หมดไม่ยั่น

20. จดบันทึก

พวกเราส่วนใหญ่ยอมรับว่าการจดบันทึกมีแต่เรื่องรักๆของวัยรุ่น แต่ที่จริงเป็นการระบายความรู้สึก ดังนั้นอย่างเขินที่จะเริ่มต้นจดบันทึกประจำวันอย่างเปิดใจและซื่อตรงกับตนเอง เวลามาอ่านซ้ำสองปีหลังคุณอาจหัวเราะขำและรู้สึกอ่อนเยาว์มากขึ้นได้

โรคหอบหืด

ถ้าหากท่านหรือญาติเป็นโรคหอบหืด ท่านไม่ได้เป็นหอบหืดคนเดียวเพราะเราพบโรคหอบหืดได้ทั่วโรค โดยมากมักจะเริ่มเป็นตั้งแต่เด็ก โรคหอบหืดเป็นโรคเรื้อรัง อาการแต่ละคนรุนแรงไม่เท่ากัน และการหอบแต่ละครั้งก็มีความแตกต่างกัน บางคนอาจหอบไม่กี่นาทีก็หาย บางคนหอบมากถึงกับเสียชีวิตก็มี

เนื่องไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเมื่อไร่จะเป็นหอบหืด และไม่ทราบว่าหอบแต่ละครั้งจะเป็นมากแค่ไหน การศึกษาให้เข้าใจโรครวมทั้งการมีแผนการรักษาที่ดีสามารถทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี รายละเอียดที่จะนำเสนอต่อไปนี้ได้มาจากตำราของต่างประเทศและของประเทศไทยเหมาะสำหรับผู้ป่วย ญาติ และนักเรียนที่จะนำข้อมูลที่ได้ไปใช้สำหรับท่านผู้อ่านที่เป็นโรคหอบหืดอยู่แล้วท่านเริ่มอ่านที่จุดประสงค์ของการรักษา ส่วนท่านที่ยังไม่ทราบว่าตัวเองเป็นหรือไม่แนะนำให้เริ่มอ่านตั้งแต่เริ่มต้น เนื้อหาข้อมูลจะเป็นแนวทางการดูแลตัวเอง

นิยาม

โรคหอบหืดเป็นโรคของหลอดลมที่มีการอักเสบเรื้อรัง [Chronic inflammatory] เป็นผลให้มี cell ต่างๆ เช่น mast cell,eosinophils,T-lymphocyte,macrophage,neutrophil มาสะสมที่เยื่อบุผนังหลอดลม ทำให้เยื่อบุผนังหลอดลมมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารภูมิแพ้ และสิ่งแวดล้อมมากกว่าคนปกติ[bronchial hyper-reactivity] ผลจากการอักเสบจึงทำให้เยื่อบุผนังหลอดลมมีการหนาตัว กล้ามเนื้อหลอดลมมีการหดเกร็งตัว ทำให้ผู้ป่วยมีอาการไอ แน่นหน้าอก หายใจมีเสียงหวีด และหอบเหนื่อย อาการหอบเหนื่อยจะเกิดขึ้นทันทีที่ได้รับสารภูมิแพ้

ขณะที่ท่านเป็นหอบหืด หลอดลมของท่านจะมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้

เมื่อท่านหายใจเอาสารภูมิแพ้เข้าไปในปอดจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในปอดดังนี้

Acute bronchoconstriction มีการหดเกร็งของกล้ามเนื้อหลอดลม[Airway muscle] หลังจากได้รับสารภูมิแพ้ทำให้ลมผ่านหลอดลมลำบาก

Air way edemaเนื่องจากมีการหลั่งของน้ำทำให้ผนังหลอดลมบวมผู้ป่วยจะหอบเพิ่มขึ้น

Chronic mucous plug formation มีเสมหะอุดหลอดลมทำให้ลมผ่านหลอดลมลำบาก

Air way remodeling มีการหนาตัวของผนังหลอดลมทำให้หลอดลมตีบเรื้อรัง

หลอดลมของคนปกติจะมีกล้ามเนื้อ [Airway muscle] และเยื่อบุหลอดลม[Airway lining]ในสภาพปกติ

เมื่อร่างกายได้รับสารภูมิแพ้มากระตุ้น กล้ามเนื้อหลอดลมจะบีบตัว เยื่อบุหลอดลมจะมีการอักเสบเกิดการหน้าตัว ร่วมการหลั่งของเสมะเป็นปริมาณมากทำให้เกิดการอุดทางเดินหายใจ ผู้ป่วยจะหายใจลำบาก

จากกลไกดังกล่าวทำให้หลอดลมมีการหดเกร็ง ผู้ป่วยจึงเกิดอาการดังต่อไปนี้

หายใจตื้น หรือหายใจสั้น

แน่นหน้าอก

ไอ

หายใจเสียงดัง

โรคหอบหืดจะมีอาการไม่แน่นอนอาการของผู้ป่วยจะผันแปรได้หลายรูปแบบ

อาการหอบอาจจะเบาจนกระทั่งหอบหนัก

อาการแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน

อาการอาจจะกำเริบเป็นครั้งๆ หรืออาการอาจจะหายไปเป็นเวลานาน

อาการหอบแต่ละครั้งจะไม่เท่ากัน

การวินิจฉัย

จุดประสงค์ของการรักษาหอบหืด

ไม่มีอาการหอบหืด เช่น ไอ หายใจเสียงดังหวีด แน่นหน้าอก

ไม่ต้องตื่นกลางคืนเพราะอาการหอบหืด

ไม่ต้องเข้าห้องฉุกเฉิน หรือนอนโรงพยาบาลเพราะโรคหอบหืด

สามารถคุมอาการให้สงบลงได้และหอบหืดเรื้อรังน้อยที่สุด

ป้องกันไม่ให้เกิดอาการกำเริบของโรค

ยกระดับสมรรถภาพการทำงานของปอดให้ดีทัดเทียมกับคนปกติ

สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้เหมือนคนปกติไม่ต้องหยุดเรียนหรือหยุดงาน

หลีกเลี่ยงผลแทรกซ้อนจากยารักษาโรคหืด

ลดอุบัติการณ์การเสียชีวิตจากโรคหอบหืด

ใช้ยา beta2-agonistเพื่อระงับอาการหอบให้น้อยที่สุด

ไม่มีภาวะฉุกเฉินของอาการหอบหืด

สามารถออกกำลังกายได้เหมือนคนปกติ

หลังการรักษาไม่ควรมีอาการหอบหืดอย่าเข้าใจผิดว่าหากมีอาการหอบ พอพ่นยาแล้วหายหอบคืออาการดีขึ้น การรักษาที่ดีต้องไม่หอบ

การรักษาให้ได้ผลดีต้องประกอบด้วยต้องประกอบด้วยแผนการรักษาดังนี้ ท่านผู้อ่านที่เป็นหอบหืดติดตามทีละหน้า และพยายามทำความเข้าใจ จะทำให้นำไปปฏิบัติได้

การวินิจฉัย

การหลีกเลี่ยงหรือขจัดสิ่งต่างๆที่ก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ผู้ป่วยทุกคนควรทราบถึงปัจจัยที่ทำให้หอบหืดเป็นมากขึ้น

การจำแนกความรุนแรงของโรคหอบหืดเมื่อให้ผู้ป่วยทราบความรุนแรงของโรคว่าอยู่ในขั้นไหนจะทำให้ทราบว่าควรจะได้รับยาอะไรบ้าง

ยาที่ใช้รักษาโรคหอบหืดผู้ป่วยควรทราบว่ายาที่ใช้อยู่เป็นยาที่ใช้บรรเทาอาการหรือเป็นยาที่ใช้รักษาโรคในระยะยาว

แผนการรักษาโรคหอบหืดเรื้อรังเป็นแผนการรักษาสำหรับผู้ป่วยที่มีความรุนแรงในแต่ละขั้น

แผนการรักษาหอบหืดฉับพลันสำหรับผู้ป่วยเป็นแผนการรักษาเมื่อเกิดหอบหืดเฉียบพลันเพื่อให้ผู้ป่วยดูแลตัวเองเบื้องต้นที่บ้าน

คุณต้องเตรียมตัวอย่างไรก่อนพบแพทย์เป็นการเตรียมข้อมูลเพื่อให้แพทย์ทราบอาการของโรค

ผู้ป่วยมีอาการดังต่อไปนี้ควรพบแพทย์ทันทีเพื่อให้ผู้ป่วยเป็นแนวทางในการพิจารณาถึงความรุนแรงและเร่งด่วนของโรค

ผู้ป่วยคนไหนที่ควรอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อรักษา

ผู้ป่วยคนไหนที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคหืด

โรคหอบหือในภาวะพิเศษ เช่นโรคหอบกลางคืน หอบขณะออกกำลังกาย หอบขณะตั้งท้อง

นายชัยวิชิต อิ่นแก้ว(5001023035 ฟาร์อีสเทอร์น) เลขที่ 43

1. แอปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวีต้องระวัง

ผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้มีประโยชน์มาก แต่ถ้าคุณกำลังทานยาปฏิชีวนะอยู่ ผลไม้พวกนี้จะกลายเป็นโทษทันทีเพราะมันบูดในลำไส้ได้ง่าย อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้

2. ผลไม้กับมื้ออาหาร

ก่อนทานอาหารควรจะเรียกน้ำย่อยด้วยสับปะรดและมะละกอสัก 2-3 ชิ้น ผลไม้สองชนิดนี้มีเอนไซม์ที่จะช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่กำลังจะตามลงมาได้ง่ายขึ้น และหลังจากจบมื้ออร่อยแล้วควรตบท้ายด้วยแอปเปิ้ลสัก 1 ชิ้นเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลายซึ่งจะทำให้จำนวนแบคทีเรียในช่องปากลดลง และช่วยให้เหงือกแข็งแรงด้วย

3. อย่าปล่อยให้หิว

ควรจะทานอาหารให้ตรงเวลาทุกวันแม้จะยังไม่รู้สึกหิวก็ตาม เพราะเวลาที่เราหิวร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนควมเครียดออกมา ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นประจำก็จะทำให้คุณกลายเป็นสาวเครียด และนำไปสู่อาการความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวาน

4. เนื้อสัตว์กับผลไม้ไม่เข้ากัน

ถ้าทานน้อยๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามื้อไหนคุณทานเนื้อเป็นจำนวนมากแล้วควรจะงดผลไม้ไป เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ส่าวนผลไม้ซึ่งย่อยเร็วจะถูกกักอยู่ในกระเพาะ จึงทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้

5. นาฬิกาชีวภาพ

หลักการสุขภาพดีบอกไว้ว่าเราควรจะเข้านอนในเวลาเดียวกันทุกๆ วัน แต่ส่วนใหญ่พอถึงคืนวันศุกร์กับวันเสาร์เรามักจะนอนดึกเพราะถือว่าเป็นวันหยุด การทำอย่างนี้จะทำให้ความเคยชินหรือที่เรียกว่าชีวภาพของร่างกายรวรเร จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่วันจันทร์เราจะง่วงนอนกว่าปกติ

นายชัยวิชิต อิ่นแก้ว(5001023035 ฟาร์อีสเทอร์น) เลขที่ 43

20 วิธีอ่อนเยาว์มากขึ้นในวันนี้

1. เล่นเกมมีเดท

นึกถีงตอนมีนัดกับหนุ่มที่แอบปิ้งครั้งแรกสิ เมื่อก่อนน่ะเรามือสั่นใจสั่นแค่ไหน จำได้รึเปล่าเอ่ย ให้สร้างความรู้สึกแบบนั้นขึ้นมาอีกครั้ง รับรองสนุก ต่างคนต่างไปที่นัดหมายตกลงเลือกที่ใหม่ๆกันทั้งสองฝ่าย ทำสิ่งที่แตกต่างออกไป เวลาคุยกันก็ถามคำถามแบบที่คุณมักถามคนที่ไม่เคยรู้จักกันมากก่อน ไม่ช้าอะดรีนาลีนคุณก็จะหลั่งเหมือนตอนแรกเจอ แบบนี้ตื่นเต้นดีออกว่ามั้ย

2. จี้จุดความเยาว์

การฝังเข็มอิงทฤษฎีปราณของจีนหมายถึงพลังชีวิต ซึ่งใช้งานด้วยการจุดประกายพลังปราณที่หยุดนิ่ง ก็ทำให้แข็งแรงหรืออ่อนแอ่ลงได้ ซูซาน รีด วัย 35 ปี บอกว่า “ตอนอายุ 35 ไปแล้วร่างกายเราเริ่มเชื่องช้าลง แต่การฝังเข็มจะช่วยกระตุ้นการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยกระตุ้นพลังงานและความรู้สึกเป็นหนุ่มสาว”

3. ทำใจให้สบาย

ใช้เทคนิคการทำสมาธิการเพ่งมองเทียนโดยไม่กะพริบจาซึ่งสามารถฟื้นฟูร่างกายและจิตใจได้เพราะกระตุ้นต่อมไพเนียลในสองให้ผลิตเมลาโทนินอันเป็นฮอร์โมนกระตุ้นการเติบโตของเซลล์ ดูรายละเอียดเพิ่ม www.fisu.org

4. อยากอายุเท่าไรก็แสดงออกเท่านั้น

โลฟ์โค้ช ฟีโอนา ฮาโรล แนะว่าให้เลือกว่าอายุเท่าไรที่สะท้อนสุขภาพอันมีชีวิตชีวา และความสดชื่นของคุณ จากนั้นบอกตัวเองว่าคุณอายุเท่านั้น ทำให้ตัวเองรู้สึกดังนั้น และแสดงท่าทางเพื่อให้เหมาะสมกับอายุที่คุณต้องการให้ดีที่สุด

5. ดอมดมกลิ่นหวนสู่วัยเด็ก

การค้นคว้าของมูลนิธิกลิ่นและรสในชิคาโก พบว่าการสร้างกลิ่นจากวัยเด็กสามารถทำให้เรารู้สึกอ่อนเยาว์ขึ้นมาได้ทันควัน ประสาทส่วนหน้าจัดเป็นส่วนของอารมณ์อ่อนไหว วิธีที่เร็วที่สุดในการเข้าถึงความจำเหล่านี้คือผ่านทางกลิ่น เชื่อมั้ยว่ากลิ่นแรกที่เราคิดถึงสมัยวัยเด็ก คือกลิ่นขนมปังอบใหม่หอมกรุ่น

กาญจนา ปาลี วิทย์สุข ฟาร์

15 วิธีมัดใจสาว

1. มองโลกในแง่ดี/มีอารมณ์ขัน

แม้สิ่งนี้ไม่ใช่บุคลิกจริง ของคุณก็ตาม ขอเพียงแค่ร่าเริง ดีใจที่ได้พบ พูดคุยกับเธอ ทำให้รู้สึกว่า ความสดใสของเธอ มีประโยชน์ต่อคุณ

2. ให้เธอรู้สึกว่าเธอเป็นคนพิเศษของคุณ

สนใจเรื่องของเธอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความคิด ความรู้สึก ความชอบของเธอ และอย่าเอาแต่พูดเรื่องของตัวเอง เพราะนั่นเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ

3. อย่าแสดงว่าคบเธอเพราะเรื่องเพศ

ของแบบนี้ต้องรอให้ถึงเวลาที่เหมาะสม เมื่อไหร่ที่รักสุกงอม มันก็จะเป็นไปเอง

** โปรดรับรู้ไว้ว่า ผู้หญิงอยากมีค่ามากกว่าเรื่องนั้น เมื่อถึงเวลาเธอจะให้ด้วยความต้องการของเธอเอง

4. เป็นสุภาพบุรุษทั้งกายและใจ

ต้องทำให้เธอรู้สึกว่า คุณไม่มีความน่ากลัวใดๆ ไม่ใช่คอยหา โอกาสจะแต๊ะอั๋งเธอลูกเดียว เพราะนั่นจะทำให้เธอตีตัวออกห่าง

5. หัดรู้จักสังเกตเธอบ้าง

เรื่องจิปาถะที่เกี่ยวกับตัวเธอ ไม่ว่า เสื้อผ้า ต่างหู รองเท้าคู่ ใหม่ กระเป๋าถือที่เธอใช้ คุณควรหัดเพ่งพินิจพิจารณาและเลือกที่จะชมเธอให้เป็น

6. อย่าจ้องอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของเธอเป็นพิเศษ

ขึ้นชื่อว่าใช้สายตาจ้อง เพ่งเฉพาะบางจุดบางมุมของอวัยวะบนเรือนร่างของผู้หญิง อาทิ หน้าอก เป้ากางเกง สะโพก กรุณาอย่าทำเป็นอัน ขาด เพราะมันจะบ่งบอกว่าคุณคิดบางอย่างกับเธออยู่

7. หลังจากที่มีนัดกับเธอ

พบกับในนัดเดทคราวต่อไป ควรมีสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อย่างดอกไม้สักช่อ หรือการ์ดสักแผ่น มอบให้ก็ไม่เห็นเสียหาย แถมยังทำให้ เธอรู้สึกว่าคุณเป็นคนน่ารักอีกต่างหาก

8. หมั่นดูแลเอาใจใส่ตัวเองเสมอ

คงไม่ต้องถึงกับเป็นคนสำอางทุกกระเบียดนิ้ว แค่รักษาความ สะอาดก็พอ เพราะการที่คุณดูแลตัวเองดี สามารถสะท้อนได้ว่า คุณก็ดูแลเธอ ได้ดีเช่นกัน

9. อย่าด่วนแสดงท่าทีขี้หึง

เมื่อใดที่เธอเล่าเรื่องชายหนุ่มคนอื่นให้ฟัง การนิ่งฟังอย่างสงบ จะทำให้เธอแปลกใจ และทำให้เธอรู้ว่า คุณไม่ใช่ผู้ชายประเภทขี้หึงโดยไร้เหตุผล

10. ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น

ดูแลเธอ และอยู่เคียงข้างเธอเสมอเมื่อเธอต้องการใครสักคน อย่าทำให้เธอรู้สึกโดดเดี่ยวเดียวดาย คล้ายกับเป็นสาวที่ไร้หนุ่มคนสนิทที่คอยเป็นห่วงเป็นใย

11. อย่าทำตัวเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ

อย่าซักไซ้เรื่องไม่เข้าท่าหรือไม่เป็นเรื่อง จงสงบและไตร่ตรอง เข้าไว้ แม้คุณจะเห็นเธอกับหนุ่มคนอื่น คุณยิ่งตาม และแสดงความเป็นเจ้าของมากเท่าไหร่ เธอก็จะยิ่งหนี หากคุณเฉยๆ รับรองเลยว่าเธอจะตามคุณเอง

12. รักษาเวลาในการนัดหมาย

ผู้ชายควรไปก่อนนัด อยู่ในจุดที่เธอมองเห็นคุณได้ง่าย เมื่อเธอมาถึงช่วยส่งยิ้มให้ หรือแสดงอาการตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เจอเธอ

13. ตั้งเป้าหมายชีวิตตัวเองไว้

ไม่มีใครอยากฝากชีวิตไว้กับคนไร้จุดหมาย อย่าเป็นคนขี้ตืด แต่ไม่ต้องทำตัวเข้าขั้นพ่อบุญทุ่ม ถ้ามีน้อยก็เลือกใช้อะไรที่สมฐานะ แต่ต้องมีรสนิยม จำไว้ว่า ของที่มีรสนิยมไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงเสมอไป

14. ไม่ควรเร่งร้อนจนเกินไป

เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอไปก่อน ขอเพียงคุณเป็นคนที่เธอนึกถึงทุกครั้งเมื่อมีปัญหา ก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว

15. ความรักเป็นเรื่องละเอียดอ่อน

ดำเนินความรักด้วยอารมณ์ของคนสองคน คุณสร้างอารมณ์ ร่วมของความรักขึ้นมาได้ เพียงแต่คุณต้องรู้จักเอาอกเอาใจ และแสดงว่ารัก เธอ การโอบกอดอย่างอบอุ่น และการสัมผัสที่รัดรึงก็เป็นของขวัญแห่งความรักที่ดีอย่างหนึ่ง

:: ทั้ง 15 วิธีที่กล่าวว่า อยากบอกว่า (ไม่ได้จบเพียงแค่นี้) แล้วถ้าพิชิตใจเธอได้แล้ว ความเสมอต้นเสมอปลาย ก็ยังควรมีอยู่ ถ้ารักกันจริง รักนี้ของคุณต้องคงอยู่ได้อย่างยาวนานแน่นอนค่ะ

++รู้แล้วก็นำไปปฏิบัติได้น่ะ (ไม่สงวนลิขสิทธิ์)

กาญจนา ปาลี วิทย์สุข ฟาร์

12 วิธีมัดใจชายไม่ให้นอกใจ (PERFECT WOMAN)

1.ดูแลตัวเองตลอดเวลา ตั้งแต่หัวจรดเท้า >>> ผู้ชายส่วนใหญ่อยากอยู่กับผู้หญิงที่ดูดี เพราะมันทำให้เค้ากระชุ่มกระชวยตลอดเวลา อย่างน้อยมันก็ทำให้ลดโอกาสที่เค้าจะมองผู้หญิงอื่นได้มากขึ้นเยอะเลยเชียวล่ะ

2.ขี้อ้อน >>> ความขี้อ้อน เป็นเสน่ห์ของผู้หญิงมากๆ แต่ควรรู้จักอ้อนให้พอดีและให้ถูกกาลเทศะ

3.เอาใจเก่ง >>> แต่ไม่ใช่ว่าเอาใจเกินเหตุนะครับ หมายถึง ตลอดเวลาที่คบกัน จะรู้ว่าแฟนเราชอบทำอะไร ชอบกินอะไร ประทับใจอะไร ควรจะมีสมุดไดอารี่ จดไว้บ้าง

4.ดูแลเทคแคร์เป็นอย่างดี >>> ตัวอย่างเช่นเวลาตากพัดลม ก็เตือนเค้าว่าเดี๋ยวไม่สบาย ,อย่านอนดึกนะเด๋วทำงานไม่ไหว หรือเวลาเค้าไม่สบายก็ดูแลเค้าเป็นอย่างดี, ดูแลเรื่องการแต่งตัว, การกิน ฯลฯ ทุกสิ่งที่ทำไปยิ่งทำให้เค้าไม่อยากที่จะไปจากคุณเลย

5.ซื้อของเซอร์ไพส์ให้บ้างบางโอกาส >>> ที่น่าสนใจก็มี นาฬิกา , เสื้อผ้า , กางเกงยีนส์ เป็นต้น แต่ก็ต้องเลือกไซด์ให้พอดีกับที่เค้าใช้ด้วยนะ คุณจะเห็นรอยยิ้มแบบเขินๆอย่างผู้ชาย แต่ก็อย่าเซอร์ไพส์บ่อยละกาน

6.เป็นผู้หญิงทำงาน >>> เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของผู้หญิงในยุคนี้ ผู้หญิงที่ไม่ทำอะไรเลย ทำให้ผู้ชายรู้สึกไม่มั่นใจในอนาคตของชีวิตคู่ แต่แฟนเราก็ต้องทำงานเหมือนกันนะ คือไม่ใช่ฝ่ายใดเกาะอีกฝ่ายหนึ่งกิน

7.คุยกับผู้ชายคนอื่นบ้าง >>> ไม่ใช่หมายความว่าคบหลายคนนะ แต่หมายถึงคุยกันแบบเพื่อนมากกว่า เหมือนเป็นการให้รู้ด้วยว่า ฉันไม่ใช่ของตายแน่นอน และคนที่พร้อมจะต่อคิวก็ยังมี ผู้ชายที่ไม่ให้แฟนคุยกะคนอื่นเลย ถือเป็นคนใจแคบมาก

8.หยิ่งในศักดิ์ศรี >>> ผู้หญิงบางคนยอมให้ผู้ชายข่มอยู่ตลอดเวลาบางครั้งเวลาทะเลาะกันหรือโดนทำร้ายเราไม่จำเป็นต้องเป็นฝ่ายง้อหรือขอโทษ แต่ควรจะตอบโต้อะไรที่มันทำให้เค้ารู้ว่า ไม่มีเธอฉันก็หาใหม่ได้นะ มันจะทำให้ ผู้ชายรู้สึกว่าเค้าไม่มีค่า และความเย่อหยิ่งในตัวเค้าจะลดลง

9.ไม่ยอมเสียตัวให้ก่อนเวลาอันสมควร >>> ข้อนี้สำคัญมากครับ อะไรๆที่ได้มาง่ายๆ มันมักจะจบลงง่ายๆ ผู้ชายบางคนเรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ถ้าเค้าทนไม่ไหวหรือไม่มีความอดทนมากพอ ก็ปล่อยเค้าให้ไปหาผู้หญิงที่ให้ง่ายๆแล้วกัน

10.ไม่มองชายอื่น >>> ถือเป็นการให้เกียรติแฟนเราเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเวลาเจอคนที่หล่อดูดีมากๆ แต่เราก็ไม่เคยที่จะมองเลย

11.คำว่า"รัก"ไม่ใช่สิ่งที่พูดง่าย >>> ยิ่งพูดคำว่า “รัก” มากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้แฟนเราได้ใจ แต่กลับกันเมื่อใดที่ยังไม่ได้พูดคำว่า “รัก” ออกไป ผู้ชายย่อมรู้สึกว่า ยังเล่นเกมส์ไม่ชนะ

12.ให้อภัยเสมอเมื่อผิดครั้งแรก >>> การให้อภัยเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตคู่ เมื่อใดที่ทำผิดครั้งแรก เราควรให้อภัยเค้า แต่ถ้าผิดเรื่องเดิมในครั้งต่อๆไป อันนี้ก็แล้วแต่คุณจะตัดสินใจละกัน

กาญจนา ปาลี วิทย์สุข ฟาร์

อย่าเอาไปปฎิบัตินะคะ อาจารย์

ช่วยได้เยอะเลยนะ

อิอิ

โอ้โห..................... เยี่ยมจัง

นวัตกรรมเพิ่มความสูง

ต่อไปจากนี้คุณจะได้รู้จักแนวทางใน การเพิ่มความสูงโดยวิธีธรรมชาติ ที่มีหลักการทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์รองรับ คุณจะรู้ว่ายังมีวิธีที่เป็นไปได้อีกที่คุณจะสามารถสูงขึ้นได้ 2 – 7 ซม. แม้ว่าคุณจะอายุมากและเลยช่วงเวลาของการสูงมาแล้ว (Puberty) … และคุณจะได้รู้ว่าความฝันนี้สามารถทำได้ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 3 เดือน

ลืมวิธีการกินยา, อาหารเสริม, การฉีด Growth Hormone (Growth Hormone Injection) หรือวิธีการผ่าตัดเพิ่มความสูง (Limb Lengthening Operation) ไปได้เลย เพราะนั่นเป็นหนทางที่แสนแพงและอันตรายเกินไปสำหรับคุณ สิ่งที่คุณต้องการคือวิธีเพิ่มความสูงที่ปลอดภัย ได้ผลจริง และเป็นไปโดยธรรมชาติอย่างง่ายดาย

ถ้าคุณอยากจะสูงขึ้น กรุณาอ่านที่นี่ ...

เราขอแนะนำ YOKO อุปกรณ์เพิ่มความสูงที่มีแนวคิดทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์รองรับ ซึ่งมีความปลอดภัย ใช้ง่าย ได้ผลสำหรับคนทุกวัยไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง

ตามผลงานวิจัยทางด้านการเจริญเติบโตในมนุษย์ของ ดร.คาวากูชิ แห่ง Tokyo Research Laboratory (TRL) of the National Health Department และ ดร.คาวาตะ แห่ง Kyoto University แสดงไว้ว่าความสูงของมนุษย์นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางด้านกรรมพันธุ์เพียงเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับฮอร์โมนในการเจริญเติบโตของโครงกระดูก (Skeletal Bones) ทั้ง 26 ชิ้น และ ส่วนกระดูกอ่อน (Cartilageneous Portions) ของกระดูก 62 ชิ้น ในร่างกายช่วงล่าง การกระตุ้นต่อมใต้สมองจะนำไปสู่การเพิ่มอัตราการผลิตของฮอร์โมนดังกล่าวซึ่งจะช่วยให้กระดูกอ่อนเจริญเติบโตขึ้น ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของความสูงนั่นเอง

YOKO ทำงานโดยช่วยกระตุ้นต่อมใต้สมอง ซึ่งนอกจากจะทำให้คุณมีความสูงเพิ่มขึ้นตามปรารถนาแล้ว YOKO ยังได้รับการพิสูจน์ว่าช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด, เพิ่มความสามารถในการย่อยอาหาร, เพิ่มอัตราการเผาผลาญ, ลดความเหนื่อยล้า, ชะลอความแก่, รักษาระดับการหายใจให้คงที่ ซึ่งเป็นหนทางที่ทำให้ความสูงเพิ่มขึ้นไปพร้อมๆกับสุขภาพที่ดีขึ้นในคราวเดียว

YOKO มีหลักการทำงานพื้นฐานเช่นเดียวกับวิชาฝังเข็มรักษาโรค (Acupuncture) ในด้านของการนวดฝ่าเท้า (Reflexology) มีบทพิสูจน์ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์นับพัน ที่แสดงให้เห็นว่าการนวดฝ่าเท้า (Reflexology) ได้รับการยืนยันและยอมรับทั่วโลกว่าเป็นวิธีการที่ดีที่สุดในการรักษาเยียวยา และพัฒนาสภาพร่างกายของมนุษย์ ซึ่งรวมถึงความสามารถในการการเพิ่มความสูงด้วย (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมในหัวข้อ "บทความ YOKO")

--------------------------------------------------------------------------------

มีหนังสือและผลิตภัณฑ์เป็นร้อยที่จะช่วยให้คุณสูงขึ้นโดยคิดค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน แต่ไม่มีใครบอกเคล็ดลับว่าทำอย่างไร YOKO และ Website ของเราจะสอนวิธีที่ให้คุณทำได้ด้วยตนเอง

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ฝันอยากจะสูงขึ้นอีกโดยธรรมชาติ (ไม่ว่าคุณจะเป็นเด็ก หรือผู้ใหญ่) ราคาของ YOKO แค่นี้คงเทียบไม่ได้กับความน่าเสียดายและน่าผิดหวังตลอดชีวิตถ้าหากคุณไม่ได้ลองใช้ เพราะ YOKO เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่จะสามารถนำคุณเข้าใกล้ความฝันนั้น อย่าพึงรีบร้อนสั่งซื้อในตอนนี้ คุณลองทบทวนดูก่อน ว่า YOKO มีกลไกที่สามารถจะเพิ่มความสูงของคุณโดยธรรมชาติได้จริงหรือไม่ และมันจะทำให้คุณมีชีวิตที่ดีขึ้นและเชื่อมั่นมากขึ้นแค่ไหน ... และมันคุ้มไหมที่คุณจะลองเสียเงินเพื่อให้ได้สิ่งนั้น !

http://www.yoko-thailand.com/

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท