ก่อนนี้
สังคมย่อมรับรู้เสมอมาว่า..
เมื่อตอนเป็นหนุ่มสาว..คุณมีทั้งพลัง จินตนาการ ความใฝ่ฝัน แต่คุณขาดความรอบรู้
บัดนี้คุณอาวุโส..เพรียบพร้อมด้วยความรอบรู้ แต่คุณขาดพลัง จินตนาการ และความใฝ่ฝัน
ช้าก่อน..
มีคนหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งที่มีทั้งพลัง จินตนาการ ความใฝ่ฝัน และความรอบรู้
และยังมีคนอาวุโสที่เพียบพร้อมด้วยความรอบรู้ พลัง จินตนาการ และความใฝ่ฝัน
เพียงแต่ว่าสังคมไม่ยอมรับรู้
"คนอาวุโสที่เพียบพร้อมด้วยความรอบรู้ พลัง จินตนาการ และความใฝ่ฝัน"
เป็นขุมทรัพย์ที่มีค่าของประเทศมากกว่า และมักจะเป็นผู้นำพา สังคมและประเทศชาติ ให้ผ่านพ้นวิกฤต ต่างๆได้ ค่ะ ชลัญ เชื่ออย่างนั้น
ชลัญครับ...ความเชื่อต้องสมดุลด้วยเหตุผลด้วยนะ ผมก็เชื่อในชลัีญนะ ขอให้สู้ต่อไป ทั้งส่วนตนและส่วนรวม
ขอบคุณค่ะ"ความเชื่อต้องสมดุลด้วยเหตุผล" แต่ชลัญเชื่อว่าชลัญเคารพผู้ใหญ่ที่ควรเคารพได้ถูกคน...แน่นอน
อ่านช้าไปแล้ว..แต่ก็ต้อง..ช้าก่อน..อีกครั้ง ครับ ท่านอาจารย์. ."ช้าก่อน..มี คนหนุ่มสาว จำนวนหนึ่งที่มีทั้งพลัง จินตนาการ ความใฝ่ฝัน และความรอบรู้..และยังมี คนอาวุโส ที่เพียบพร้อมด้วยความรอบรู้ พลัง จินตนาการ และความใฝ่ฝัน เพียงแต่ว่า สังคมไม่ยอมรับรู้ "... (ไอ้)คำว่า สังคมไม่ยอมรับรู้ นี้คงเป็นมุมมอง จากจากคนที่ กระผม ทำสีเขียว แล น้ำตาล ไว้ ซึ่ง ท่านอาจารย์ว่า มันมีอยู่ จำนวนหนึ่ง..แสดงว่า หากรวมกันด้วย จำนวนหนึ่ง(ซึ่งเป็นพหูพจน์) สองกลุ่ม มันก็น่าจะเป็นตัว สังคม ของมัน เองได้แล้ว..ชิมิ..(อี)ทีนี้..มันก็มาถึงการที่ผมพยายามยกมาโอ้โลมปฏิโลม ก็คือ..คนในสองกลุ่มนี้ เค้ารู้ตัว(รับรู้)ถึงสิ่งที่ เค้ามี รึป่าวฮะ?..นี่คงจะมีค่ากว่าที่จะให้ " เจ้าสังคม " ที่อยากให้เค้ารับรู้..ครับท่าน..(อธิบายโดยไม่สามารถเขียนรูปเซ็ทและสับเซ็ทเป็น เนี้ยมันยากจริงๆ..)