หากมีใครสักคนมากล่าวกับท่านหรือคนทั่วไปว่า เขาจะทำงานศิลปะขึ้นมาสักชิ้นหนึ่ง โดยใช้โลก ภูเขา ทะเล เมือง สิ่งไร้ค่าและความว่างเปล่าของสังคมมนุษย์ มาสร้างเป็นองค์ประกอบในงานศิลปะของเขา ท่านคงจะคิดว่าคนพูดบ้า หรือไม่ก็คงเข้าใจว่าหูของท่านคงเพี้ยนเป็นแน่...!!!!
ข้างต้นนี้ เป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่มีอยู่จริง โดยร่วมสมัยกับยุคศิลปะนามธรรม (Abstract Expressionism) ซึ่งเริ่มปรากฏและเฟื่องฟูนับแต่ช่วงทศวรรษ ๒๔๘๐-๒๔๙๐ (๑๙๔๐-๑๙๕๐) จนถึงปัจจุบัน เรียกว่า Assemblage,Junk, and Land Art ซึ่งเป็นพื้นฐานของศิลปะจัดวางและศิลปะที่เล่นกับผืนแผ่นดินโลก
ศิลปะแนวนี้ทำให้คำที่กล่าวต่อๆกันมาว่า 'ศิลปินอย่าดูหมิ่นศิลปะ กองขยะดูให้ดีก็มีศิลป์' เป็นคำกล่าวที่หาใช่เลื่อนลอยแบบกลอนพาไป ทว่า เป็นปรัชญาศิลปะ สะท้อนโลกและนำเสนอประเด็นร่วมของสังคมมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้งที่สุดแนวหนึ่ง
งานในกลุ่มนี้มีแนวคิดและวิธีทำงานหลายแนว รวมทั้งมีชื่อเรียกเพื่อเจาะจงรายละเอียดที่แตกต่างกันหลายชื่อ ซึ่งก็อาจจัดว่าอยู่ในกลุ่มของ ศิลปะจัดวาง (Installation Art) ทว่า โดยรวมแล้วก็กล่าวได้ว่าเป็นกลุ่มที่เดินออกจากพื้นที่และทลายกรอบการทำงานศิลปะของกระแสหลัก โดยมุ่งแสวงหาความลงตัวและความสมดุลกันในบริบทใหม่ๆระหว่างธรรมชาติกับมนุษย์ สังคมสิ่งแวดล้อมเมืองกับมนุษย์ โลกทางวัตถุกับโลกทางจิตใจและการดำรงอยู่ของสังคมมนุษย์ ดังนั้น หากจะเรียกให้เจาะจง จัดหมวดหมู่เพื่อพิจารณาให้สอดคล้องกับแนวคิดและวิธีทำงาน ก็อาจจะเรียกไปก่อนว่า ศิลปะการจัดวางบริบท : Reconceptualized Contextual Art
การก่อเกิด วิธีคิด ความบันดาลใจ
ศิลปะจัดวาง, Earth Art ศิลปะโลก / ศิลปะผืนดิน เป็นงานศิลปะแนวหนึ่งที่ก่อเกิดขึ้นจากวิถีชีวิตและแรงบันดาลใจต่อความเป็นสังคมเมือง (Urban Society) ในเมืองซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งที่แข่งกันทะยานไปข้างหน้า ขณะเดียวกันก็ผลิตขยะและสิ่งที่ไม่เป็นที่ต้องการ ที่แปลกแยกกับวิถีสุขภาวะของสังคมมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ สภาวการณ์ดังกล่าว ก่อให้เกิดความน่าสนใจว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากสังคมเมือง สังคมโลก มีวิถีพัฒนาการที่ไม่สามารถหวนคืนสู่โลก ราวกับไหลไปข้างหน้าอย่างเรื่อยเปื่อย ไม่มีเหตุผล ขาดเจตจำนงค์และจุดมุ่งหมายหรือไม่มีประโยชน์ในวิธีคิดของคนแต่ละยุคเป็นเครื่องกำกับ ซึ่งก็เปรียบเสมือนภาวะว่างเปล่าและเหมือนความเป็นขยะในวิธีคิดของสังคมเมืองโดยทั่วไป ? ประเด็นความน่าสนใจดังกล่าว มีความสำคัญต่อการพัฒนาความรู้และการเรียนรู้ทางสังคม ทำให้มนุษย์สามารถพัฒนาตนเอง และสามารถเกิดแนวทางในการจัดความสัมพันธ์กับสังคมและสิ่งแวดล้อมต่างๆได้อย่างเหมาะสมอยู่ตลอดเวลา
ในสาขาต่างๆก็ให้ความสำคัญและเกิดประเด็นคำถามเพื่อสร้างพัฒนาการต่างๆให้สนองตอบและสอดคล้องกลมกลืนกับสภาวการณ์ในลักษณะนี้ ทางศิลปะก็เช่นกัน โดยเกิดงานทางความคิดในลักษณะที่ว่า ศิลปะจะสามารถสื่อสะท้อนสภาวการณ์ดังกล่าว เพื่อสะเทือนเข้าไปอย่างลึกซึ้งถึงจิตวิญญาณและให้ประสบการณ์ความสำนึกรู้ในแง่อื่น อันนำไปสู่การดำเนินชีวิตและสร้างสังคมที่งาม ลงตัว มีสุขภาวะและเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอย่างสมดุลอยู่เสมอ ได้อย่างไร ?
แนวคิดดังกล่าวจึงนำมาสู่การเดินออกจากสตูดิโอของคนทำงานศิลปะ แล้วใช้วัฒนธรรมทางวัตถุ วิถีผลิตและบริโภค ความเป็นเมือง ผืนดิน โลก และความเป็นสังคมของมนุษย์ เป็นองค์ประกอบจัดวางศิลปะในกลุ่ม Assemblage,Junk, and Land Art ขึ้น โดยเริ่มพบนับแต่ปี ๑๙๓๖ ในงานของ โจเซฟ คอร์แนล (Joseph Cornell) ซึ่งเริ่มสื่อสะท้อนสภาวการณ์ที่ต้องการวิพากษ์และตั้งคำถามระดับวิธีคิด วิธีมองผ่านความเป็นโกดังทิ้งของ ขยะ ตึกร้าง และโลกทางวัตถุที่หมดประโยชน์ใช้สอยจากวิถีบริโภคของสังคมมนุษย์แต่ไม่รู้ว่าจะคืนสภาพไปสู่สิ่งใด เป็นปรากฏการณ์ร่วมกันของเมืองต่างๆของโลกและขยายตัวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งก่อเกิดแรงกดดันและสร้างความล่มสลายทั้งต่อธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และสังคมการเป็นอยู่ของมนุษย์ มากยิ่งๆขึ้นเป็นลำดับ กระทั่งต้องตั้งคำถามกันใหม่ว่า แท้จริงแล้ว ส่วนที่เรียกว่าความเป็นเมืองนั้นคือส่วนที่เป็นความต้องมีขยะ ความรกร้าง หรือส่วนที่เป็นมนุษย์และการใช้สอยของมนุษย์กันแน่ หรือว่าจะต้องมองโลกและปรับทรรศนะให้ต่างไปจากความเชื่อดั้งเดิมในยุคสมัยที่กำลังเป็น เพราะมนุษย์นั้นมีอยู่ทั้งในถ้ำ ชุมชนเกษตรกรรม ชนบท กระทั่งในสังคมเมือง แต่วิธีคิดต่อความเป็นขยะอย่างในปัจจุบันนั้นเป็นผลผลิตจากสังคมอุตสาหกรรมและก่อเกิดเป็นของคู่กันกับสังคมเมืองเท่านั้น ดังนั้น ความเป็นขยะในอีกแง่หนึ่งจึงบอกถึงความเป็นสังคมเมืองได้เป็นอย่างดีไม่น้อยกว่ามิติอื่นๆ
การที่จะทำให้ผู้คนเกิดประสบการณ์ ตื่นตัวเรียนรู้และเข้าถึงภาวะดังกล่าวนี้เพื่อนำไปสู่ความริเริ่มสร้างสรรค์การเปลี่ยนแปลงต่างๆได้นั้น บทบาทของงานศิลปะที่สร้างขึ้นในสตูดิโอและจัดแสดงอยู่แต่บนเฟรมหรือในพื้นที่ทางศิลปะซึ่งแยกส่วนออกจากสังคม คงจะไม่มีพลังเพียงพอ งานในแนว Assemblage,Junk, and Land Art จึงได้เกิดขึ้น
เทคนิค วิธีการ
สร้างความหมายและมิติใหม่ๆขึ้นจากสิ่งเดิมที่ไร้ประโยชน์
โดยจัดวางบริบทและสภาพแวดล้อมใหม่ ให้เกิดมิติกระทบใจทางศิลปะ
การที่จะจัดวางองค์ประกอบต่างๆ ที่สื่อสะท้อนจิตวิญญาณความเป็นเมืองและเข้าถึงภาวะพื้นฐานของสังคมเมืองที่สร้างขึ้นบนวิถีบริโภคทางวัตถุของมนุษย์อย่างได้ผลนั้น งานแนวนี้ก็จะมุ่งสื่อผ่านการจัดวางลงไปบนความเป็นเมือง พื้นที่ความเป็นเมือง ผืนดิน นับแต่สะท้อนอยู่บนตัววัตถุสิ่งของชิ้นเล็กๆ กระทั่งถึงตึกอาคารสิ่งปลูกสร้าง ภูเขา แผ่นดิน แม่น้ำ ทะเล ซึ่งสามารถมองลงมาจากนอกโลกหรือจากท้องฟ้า เห็นพื้นแผ่นโลกเป็นฉากหรือองค์ประกอบหนึ่งของงาน ทุกๆอย่างบนการจัดวางในบริบทใหม่ ไม่ว่าจะเป็นขยะและมนุษย์ วิถีสังคมเมืองกับผืนดินแผ่นน้ำ พลันก็มีความเป็นส่วนหนึ่งของโลกและความว่างเปล่า
แต่ไม่ว่าจะจัดวางลงไปที่องค์ประกอบของวัตถุและสิ่งของ ให้สิ่งดังกล่าวส่งเสียงและสื่อสะท้อนภาวะที่ต้องการด้วยตัวมันเอง หรือจัดวางลงไปบนอาคารสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ กระทั่งออกไปถึงบนพื้นที่กว้างของทะเล ภูเขา แผ่นดิน ที่สามารถมองลงมาจากนอกโลกได้ หรืออย่างไรนั้น หลักคิดสำคัญของงานศิลปะจัดวางแนวนี้ก็จะมุ่งให้เกิดกระบวนการทางปัญญาในการมองโลกและการได้วิธีคิดต่อการสร้างความเป็นสังคมเมืองผ่านการให้ความหมายต่อความเป็นขยะ สิ่งรกร้าง ทิ้งขว้าง ว่างเปล่า มีประโยชน์หรือไร้ประโยชน์ ซึ่งเป็นการร่วมกันหาคุณค่าและความหมายใหม่ๆต่อสุขภาวะและสุนทรียภาพแห่งชีวิตในความเป็นสังคมเมือง
หลักคิดต่อ ศิลปทัศนธาตุ(Art Elements) ที่จะให้การสื่อสะท้อนต่อวิธีคิดดังกล่าวนี้ได้ จะมุ่งหาวัตถุและสิ่งที่ได้ลักษณะพื้นฐานที่สำคัญ ๓ ประการ คือ
ลักษณะพื้นฐานดังกล่าว ขยะจึงไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริง ทว่า มีองค์ประกอบในการถูกสร้างขึ้นหลายบริบท ทั้งการจัดวางตนเอง สังคมวัฒนธรรมของมนุษย์ วิธีคิดของมนุษย์ ขยะอาจคืนสู่โลกหากเกิดความเปลี่ยนแปลงที่มนุษย์ นิยามและภาพสะท้อนความเป็นสังคมเมืองและธรรมชาติของวิถีบริโภคที่อยู่บนความเป็นวัตถุดังกล่าว จึงสามารถนำมาจัดแสดงให้สัมผัสได้ เพื่อก่อให้เกิดความสะดุดใจและตั้งคำถามใหม่ๆต่อสภาวการณ์ต่างๆต่อสังคมนั่นเอง ดังนั้น จึงเน้นที่จะให้วัตถุและสิ่งที่นำมาจัดวางนั้นๆยังคงความเป็นสิ่งนั้นเองทั้งหมด ทว่า เปลี่ยนพื้นที่ เปลี่ยนบริบท เปลี่ยนสภาพแวดล้อม หากเป็นวัตถุสิ่งของ ก็ยกไปจัดวางในพื้นที่และสภาพแวดล้อมที่ก่อให้เกิดความหมายและบริบทใหม่ของสิ่งนั้น หากเป็นตึกอาคาร ภูเขา ทะเล และพื้นที่กินอาณาบริเวณกว้าง ก็จะจัดองค์ประกอบที่สื่อสะท้อนความเป็นสังคมโลกและสังคมมนุษย์เข้าไปสู่สิ่งนั้น
ภาพที่ ๑ กระป๋องในห่อ. ชิ้นส่วนประดิษฐกรรม โดย คริสโต จาวาชีฟ ปี ๑๙๕๙-๑๙๖๐ เป็นการนำเอาวัตถุที่ถูกทิ้งซึ่งจะพบเห็นอยู่ในวิถีชีวิตและความเป็นเมืองอยู่ทั่วไป มาจัดแสดงเพื่อทำให้สิ่งที่หมดความหมายและไร้ประโยชน์ หรือกลายสู่ความเป็นขยะในบริบทความเป็นเมืองและในวิธีคิดของสังคมมนุษย์ในยุคสมัยหนึ่งๆ ให้มีพื้นที่การแสดงตนในอีกบริบทหนึ่ง พื้นที่ศิลปะจึงเป็นการจัดวางพื้นที่สมมุติและเป็นข้อเสนอต่อสังคมเพื่อเห็นสุขภาวะสังคมที่พึ่งประสงค์ : Desirable Society เพื่อให้ความบันดาลใจอันจะนำไปสู่การมองและได้ทรรศนะทางเลือกอย่างอื่นที่ดีกว่าเดิม เช่น แท้จริงแล้ว สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้ เป็นขยะ โดยพิจารณาดูเพียงตัววัตถุภายนอกอันได้แก่กระป๋องและสิ่งห่อหุ้ม หรือว่าดูไปที่อีกด้าน ตรงที่การก่อเกิดสิ่งนี้ได้ก็เพราะสิ่งที่เคยบรรจุอยู่ข้างในไม่มีแล้ว ซึ่งก็จะทำให้แนวคิดเรื่องขยะหมดไป กลายเป็นเกิดคำถามใหม่ๆ ที่จะทำให้เกิดการค้นหาบริบทใหม่ๆของกระป๋อง เช่น แนวคิดการนำไปแปรเป็นอย่างอื่น การนำกลับมาใช้ใหม่ ซึ่งทำให้เกิดความริเริ่มสร้างสรรค์มากกว่าการพัฒนาไปข้างหน้าและทิ้งสิ่งต่างๆให้เป็นขยะอยู่ตลอดไปโดยถือวิธีคิดต่อประโยชน์ของมนุษย์เพียงบางเงื่อนไขเท่านั้นมาเป็นเกณฑ์
การจัดแสดงงานศิลปะแนวนี้ มีทั้งการสร้างให้เป็นปรากฏการณ์ฉับพลันให้คนในเมืองได้สัมผัสและเกิดบริบททางความหมาย ที่ก่อให้เกิดความบันดาลใจและการได้พลังวิธีคิดใหม่ๆแบบ Happening Art รวมทั้งใช้การบันทึกเป็นภาพถ่าย ภาพยนตร์ วิดีทัศน์ เพื่อนำเสนอให้ผู้ชมได้ชมในโอกาสต่างๆได้มากขึ้น
ภาพที่ ๒ Assemblage,Junk, and Land Art สร้างบริบทใหม่ให้กับทะเล หาดทราย ภูเขา กระทั่งทะเลทรายซาฮารา(ภาพบนขวาสุดของหน้าขวา) และที่ทำเนียบรัฐบาลของประเทศเยอรมันนีหลังทะลายกำแพงเบอร์ลินและยุบรวมเยอรมันตะวันออกและตะวันตกเป็นประเทศเดียวกัน
ภาพที่ ๓ โครงการห่อเก็บอาคาร Reichstag กรุงเบอร์ลินในเยอรมันนีอย่างประนีต เป็นโครงการเพื่อสื่อถึงการมุ่งสู่การยุบรวมประเทศของเยอรมันนีตะวันตกและเยอรมันนีตะวันออกหลังทุบทลายกำแพงเบอร์ลิน เตรียมการเพื่อจัดวางศิลปะ Assemblage เป็นเวลานานถึง ๒๕ ปีระหว่างปี ๑๙๗๑-๑๙๙๕ ควบคู่ไปกับกระบวนการรวมเยอรมันนีเป็นหนึ่งเดียว อาคารดังกล่าวนี้ เคยใช้เป็นสถานที่เจรจาและประชุมร่วมกันของรัฐบาลและสภาผู้แทนระหว่างกระบวนการรวมประเทศ จึงสื่อถึงความสำเร็จ หมดภารกิจอย่างหนึ่ง แต่ก็มีความหมายที่ถูกห่อหุ้มไว้อีกอย่างหนึ่ง ราวกับเป็นของขวัญทั้งของชาวเยอรมันนี ของโลก และของมวลมนุษยชาติ ในช่วงที่จัดวางอาคารนี้ ๒ สัปดาห์ มีผู้คนแตกตื่นไปดูผลงานศิลปะชิ้นนี้ถึง ๕ ล้านคนและก่อเกิดพลัง Critical Mass ขับเคลื่อนสิ่งสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นมากมาย ให้ประสบการณ์ตรงที่สัมผัสได้ต่อพลังของความไร้ประโยชน์ ร้างและว่างเปล่าจากสิ่งที่เคยมีอยู่ภายใน พร้อมกับได้วิธีมองและก่อเกิดบริบททางความหมายชุดใหม่ขึ้นมาขับเคลื่อนวิถีสังคมต่อไป
พัฒนาการ และความเคลื่อนไหวในประเทศไทย
ศิลปะในแนวทางดังกล่าวนี้ เป็นงานเชิงความคิดและเป็นความเคลื่อนไหวที่ผุดขึ้นได้ก็ด้วยวิถีความเป็นสังคมเมืองซึ่งเป็นพัฒนาการที่กำลังขยายตัวขึ้นอย่างซับซ้อนหลากหลายไปทั่วโลก ดังนั้น จึงเป็นทั้งแนวการทำงานศิลปะและใช้ศิลปะเป็นการเคลื่อนไหวทางสังคม (Social Movement) เพื่อทำให้ความริเริ่มสิ่งต่างๆได้มีกำลังที่จะผุดขึ้นเป็นตัวเลือกเพิ่มความหลากหลายให้แก่สังคม ที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางทั่วโลก ดำเนินควบคู่ไปกับการตั้งคำถามใหม่ๆต่อตนเองและสิ่งรอบข้างของผู้คนที่อยู่อาศัยเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตสังคมเมือง รวมทั้งในประเทศไทย
คนทำงานศิลปะจัดวางในประเทศไทยที่โดดเด่นก็เช่น กลุ่มศิลปะบ้านตึก นำโดยจุมพล อภิสุข ซึ่งเป็นผู้นำศิลปะแนวจัดวางกลุ่มหนึ่งทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ อาจารย์มณเทียร บุญมา (ถึงแก่กรรมแล้ว) แห่งมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเคยได้รับการเลือกสรรจาก Curator ระดับโลกให้ร่วมจัดวางศิลปะแนว Assemblage และอาจารย์เขียนโครงการขอจัดวางขยะดาวเทียมและยานอวกาศ ซึ่งต้องขึ้นไปติดตั้งและมองมาจากนอกโลก ให้โลกและบรรยากาศบนพื้นโลกเป็นฉากหลัง แต่องค์กรสนับสนุนไม่สามารถให้การสนับสนุนแก่โครงการดังกล่าวของอาจารย์ได้ เหล่านี้เป็นต้น
การเรียนรู้และการสะท้อนสู่การดำเนินชีวิต
แนวทางของศิลปะดังกล่าวนี้ มุ่งสู่ความงามและสุนทรียภาพที่มีองค์ประกอบความจริงจังต่อชีวิตและสังคม เน้นตั้งคำถามเพื่อให้ประสบการณ์ต่อจิตวิญญาณและความสำนึกที่ลึกซึ้ง อันจะนำไปสู่การได้วิธีคิดต่อมิติจิตใจกับวัตถุ ที่เป็นสัมมาปฏิบัติมากยิ่งๆขึ้นของปัจเจกและสังคมเมือง ทำให้ผู้คนสามารถเข้าถึงอีกมิติหนึ่งของความว่างเปล่า รวมทั้งเห็นความเป็นขยะและความเป็นประโยชน์ของสิ่งที่ไม่ใช่ขยะว่าไม่ได้มีอยู่โดยตัวมันเอง ทว่า มีความสัมพันธ์กับการเห็น วิธีคิด วิธีมอง และมิติจิตใจของสังคมที่มีปฏิสัมพันธ์กับโลกทางวัตถุ ซึ่งจะเป็นวิธีคิดที่ทำให้เห็นความสร้างสรรค์ แง่งาม และมิติสุนทรียภาพบนความเป็นสังคมเมืองได้ลึกซึ้งแยบคายมากยิ่งๆขึ้น สามารถสร้างสรรค์วิถีดำเนินชีวิตและร่วมกันสร้างสุขภาวะสังคมได้ดีมากยิ่งๆขึ้น
การพัฒนาจิตใจ พัฒนาวิธีคิด วิธีมอง และแปรไปสู่การปฏิบัติในวิถีชีวิตต่อสิ่งเดิมๆในวิถีทางใหม่ๆให้ชีวิตสังคมเมืองเป็นวงจรสร้างสรรค์ที่ไม่มีความสิ้นสุด จึงเป็นศิลปะและสุนทรียภาพที่สำคัญของสังคมและสิ่งแวดล้อม ทั้งในปัจจุบันและอนาคต.
...........................................................................................................................................................................
อ่านหนังสือและย่อยมาเล่าแบ่งปันกันจาก : Art : The Definitive Visual
บรรณาธิการโดย Guide Andrew Graham -Dixon
โดย : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิรัตน์ คำศรีจันทร์ หลักสูตร Educational Management (International Programme) และโครงการหลักสูตรการศึกษาทางเลือก ภาควิชาศึกษาศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ผลงานจัดวางแนว Earth Art อีกชิ้นหนึ่งของอาจารย์มณเฑียร บุญมา ศิลปินชาวไทยคนหนึ่งที่ทำงานในแนวนี้และประสบความสำเร็จในวงการศิลปะนานาชาติ เข้าไปชมได้ที่นี่ครับ
งานศิลปะจัดวางของอาจารย์มณเฑียร บุญมา ผ่านการตระเวนไปซื้อเสาไม้จากงานศิลปะบนสถาปัตกรรมโบสถ์ในศาสนสถานภาคเหนือ ๑๔ ต้นที่ถูกรื้อทิ้ง แล้วนำมาจัดวางพร้อมกับนิมนต์พระสงฆ์มาร่วมนั่งสวดเป็นองค์ประกอบหนึ่งเพื่อบอกเล่าจิตวิญญาณความเป็นทั้งมวลที่สะท้อนอยู่ในเสาโบสถ์ ก็เป็นผลงานชิ้นหนึ่งที่ก่อให้เกิดความตื่นตัว พูดคุยและเรียนรู้แง่มุมต่างๆของสังคมกันอย่างกว้างขวาง ทั้งในประเทศไทยและระดับนานาชาติ
เรียนท่านอ.
ครูต้อยขออนุญาตค่ะ
เพราะรู้สึกว่าสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นบนโลกใบนี้ ต่างเป็นขยะโลกค่ะ
รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
ขอบคุณค่ะ ขอกลับไปเรียนรู้บันทึกที่ 37 ต่อค่ะ
สวัสดีครับคุณครูkrutoitingครับ
ขอบคุณค่ะ..มาเรียนรู้ศิลปะแบบ functional ที่หลุดกรอบ และสะท้อนการสร้างสรรอย่างแท้จริง ...ได้แต่ชื่นชมค่ะ..ตัวเองยังติดๆกรอบอยู่..
ว่างๆชวนไปเยี่ยมชมพุทธศิลป์ ที่สวนโมกข์ กรุงเทพฯค่ะ :
http://gotoknow.org/portal/nongnarts
เจ้าของภาพ : เอกรินทร์ เอกอัจฉริยะวงศ์
ขออภัยค่ะ..link ผิด คลิ๊กที่นี่ค่ะ :
http://gotoknow.org/blog/nongnarts/380790#2115932
เจ้าของภาพ : กิจจา ปรัชญาธรรมกร
สวัสดีครับคุณพี่นงนาท สนธิสุวรรณครับ
สวัสดีค่ะ
อ่านบันทึกอาจารย์แล้ว รู้สึกว่าทุกอย่างล้วนประกอบด้วยศิลป์
หรือศิลป์จะแทรกอยู่ในทุกสิ่ง
จนกลายเป้น "ธรรม" ไปคะ