ผมนึกออกแล้ว การจัดการนวัตกรรมที่ใช้ Engineering Model นั้น มันเป็นความคิดในยุคโมเดิร์น (Modern) แต่การจัดการนวัตกรรมแนว/ทฤษฎี Social Network ของคุณนพดล เป็นความคิดในยุค Postmodern เป็นคนละกระบวนทัศน์
Engineering Model เน้นนวัตกรรมเพื่อตลาด "จากหิ้งสู่ห้าง" เป็นวาทกรรมของกระบวนทัศน์นี้ ซึ่งไม่ผิด แต่ไม่ครบ นวัตกรรมควรมีเป้าหมายที่หลากหลาย แต่ที่สำคัญที่สุดคือเป้าหมายความอยู่ดีมีสุขของคนทุกคน หรือคนส่วนใหญ่ในสังคม เพื่อบรรลุเป้าหมายเช่นนี้ ต้องเห็นคุณค่าของนวัตกรรมหลายแนว และมีการจัดการนวัตกรรมหลายโมเดลประกอบกัน
นวัตกรรมแนววิทยาศาสตร์พื้นฐาน แนววิศวกรรม มีคุณประโยชน์ยิ่งใหญ่อย่างไม่มีข้อสงสัย แต่การยึดมั่นถือมั่นในแนวนี้เท่านั้น มันลดคุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นคน เพราะจะมีคนเพียงส่วนน้อยนิดเท่านั้นที่สามารถแสดงบทบาทได้ คนเกือบทั้งหมดเป็นผู้ไร้ความสามารถในการสร้างนวัตกรรมแนวนี้ ซึ่งอาจเรียกว่านวัตกรรมก้าวกระโดดเชิงเทคโนโลยี
บริษัทญี่ปุ่นได้เดินนำหน้าไปแล้ว ในการใช้พลังของนวัตกรรมเชิงเครือข่ายสังคม ดังปรากฎเป็นผลสำเร็จในระบบการผลิต TPS (Toyota Production System) และการจัดการแนวโตโยต้า (The Toyota Way) และดังที่เห็นในการนำเสนอข้อค้นพบจากการไปดูงาน KM ในบริษัทญี่ปุ่น ๔ บริษัท ซึ่งอ่านได้ที่ http://gotoknow.org/blog/buildchumphon/45266 และ http://gotoknow.org/blog/thaikm/44886
นวัตกรรมทั้งสองแนวเกื้อกูลส่งเสริมซึ่งกันและกัน ในบริษัทธุรกิจ นวัตกรรมแนวเครือข่ายสังคม ช่วยให้บริษัทสร้างมูลค่าจากจุดสัมผัสกับลูกค้า เพิ่มมูลค่าจากนวัตกรรมแนววิศวกรรม ในประเทศไทย บริษัททรู และเซเว่นอีเลฟเว่น ก็ทำ KM เพื่อสร้างนวัตกรรมแนวเครือข่ายสังคม
ไทยเรากำลังขมักเขม้นใช้ KM ในหลากหลายบริบท และบริบทหนึ่งคือใช้กระตุ้นความเข้มแข็งของเครือข่ายทางสังคม ซึ่งเดิมเข้มแข็งบนฐานวัฒนธรรม เสริมเข้าไปอีกฐานหนึ่ง คือฐานของการเรียนรู้ ที่เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริง น้ำใจเอื้ออาทรต่อกันบนฐานวัฒนธรรมไทยช่วยในการทำให้การ ลปรร. อยู่บนฐานของความไว้ใจเชื่อใจ ความมีใจแบ่งปัน ความหวังดี มีไมตรีต่อกัน
เราหวังว่า KM ในชุมชน - ท้องถิ่นไทย จะสร้างนวัตกรรมสองต่อ คือนวัตกรรมทางสังคม และนวัตกรรมของ KM ที่เป็น KM ทางสังคม ไม่ใช่ KM ทางธุรกิจ
วิจารณ์ พานิช
๒๐ สค. ๔๙
กะปุ๋มมองว่าอย่างนี้นะคะ...กระบวนการดังกล่าวสามารถแทรกซึมไปได้ทุกภาคส่วน...เนียนเข้าไปทำให้เราได้มองเห็น และต่อยอดต่อไปได้ทั้งในชุมชน...ที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น ไปจนถึงระดับเทคโนโลยีได้...เพราะ KM อย่างแท้จริงไม่ได้มีกรอบไว้อย่างตายตัวว่าจะเหมาะสมกับใครอะไร...อย่างไร และแค่ไหน แต่ทุกอย่างไร้รูปแบบ...หากแต่เคลื่อนเข้าไปสู่ความสมดุล...แห่งสังคมฐานความรู้...
....
คนมักมองว่าเรื่องใหม่...และเริ่มปฏิกิริยาต่อต้าน...หากแต่เราใช้ใจโน้มเข้าไป..ด้วยความเป็นกัลยาณมิตรนั้น...ก็เชื่อว่า...ความศรัทธาในสิ่งดีงามแห่งปัญญามนุษย์นี้...จะช่วยให้เกิดกระแสวงจรแห่งชีวิตนี้ได้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้...และยั่งยืนได้