เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา .... เช้ามืดของวันอังคารรถปิคอัพนำร่างของนางบัว ไปยังโรงพยาบาลละแมเพื่อรับการรักษา แต่ปรากฎว่านางบัวได้เสียชีวิตแล้วด้วยโรคหัวใจล้มเหลว ( เป็นลม ) ซึ่งนำมายังความขัดแย้งเรื่องมรดกของผู้ตาย เพราะผู้ตายมีลูกสาวหนึ่งคน และมีสามีใหม่ และญาติพี่น้องของผู้ตาย
หลังจากนำร่างอันไร้วิญญาณของนางบัวมาถึง เพื่อนบ้านชาวสระขาวก็มากันประมาณห้าสิบคน จากกลุ่มสัจจะออมทรัพย์ , กลุ่มเกษตรกรเลี้ยงสัตว์ , กลุ่มปุ๋ยชีวภาพ , กลุ่มอนุรักษ์พันธ์พืชฯ ต่างกุลีกจอช่วยเหลือในการจัดงานบำเพ็ญกุศลศพนางบัว ที่ณาปณสถานวัดแหลมเศียร ต่างช่วยกันเรี่ยไรเงินทอง ข้าวของเครื่องใช้ เพื่อมาใช้ในงาน ( เพราะครอบครัวผู้ตายมีฐานะยากจน และไม่มีญาติพี่น้องในพื้นที่ ) ... เหตุผลหนึ่งที่ผู้คนจากทุกกลุ่มมาช่วยเหลือกันเพราะผู้ตายและสามี เป็นสมาชิกในหลาย ๆกลุ่ม และเป็นคนดี ขยันขันแข็งในการทำมาหากิน เป็นที่รักใคร่แก่เพื่อนบ้าน แต่อีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะการที่ผู้คนได้ทำกิจกรรมร่วมกันผ่านกลุ่มต่าง ๆ ทำไห้ได้สร้างสัมพันธภาพของคนในชุมชน ซึ่งนำมาซึ่งความเห็นอกเห็นใจ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
และแล้วงานศพก็ผ่านไปด้วยความเรียบร้อย ด้วยพลังความร่วมมือของคนในชุมชน ...... หลายคนพูดว่า " งานนี้จัดได้ดี ...ดีกว่างานที่มีญาติเสียอีก ตั้งแต่เริ่มงาน จนเสร็จงานต่างเห็นคนโน้นคนนี้มาช่วยเหลือ เก็บกวาดเสร็จภายในสองชั่วโมง " แต่หลังจากฌาณปกิจศพ ก็เกิดความขัดแย้งในการจัดสรรสมบัติของผู้ตาย เพราะญาติที่อยู่เชียงรายซึ่งไม่เคยมาดูดำดูดีผู้ตายเลยตั้งแต่ผู้ตายมาอยู่ในพื้นที่ ก็เข้ามาจัดการมรดก ซึ่งมีที่ดิน 12 ไร่ปลูกปาล์มน้ำมัน รถยนต์และรถจักรยานยนต์หนึ่งคัน พร้อมบ้านหนึ่งหลัง จึงเกิดความขัดแย้งระหว่าง ดญ.นกเอี้ยง และ สามีใหม่ของผู้ตาย
ทางคณะกรรมการหมู่บ้านสระขาวนำโดยผู้ใหญ่อุทัย , ส.อบต. ยาใจ / สวัสดิ์, ครูสำเริง จากโรงเรียนบ้านทับใหม่ เป็นคณะร่วมในการพูดคุยหารือของทั้งสองฝ่าย ( ตามแนวทางของมหาดไทย ให้หมู่บ้านตั้งคณะอนุโญตุลาการของหมู่บ้าน ( ชื่อนั้นไม่แน่ใจ) มาเพื่อไกล่เกลี่ยและจัดการความขัดแย้งในชุมชนได้ และให้ลงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน โดยใช้หลักคุณธรรม สมานฉันท์ ) นอกจากนี้ยังมีเพื่อนบ้านประมาณยี่สบคนมาร่วมกันเป็นสักขีพยาน .... การพูดคุยปรึกษารือ นั้นมีการโต้เถียง แสดงเหตุผลหักล้างของแต่ละฝ่าย แต่ก็อยู่ภายใต้ปรากฏการณ์ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น โดยยึดตัวของ ดญ. นกเอี้ยงเป็นหลัก เพราะเป็นทายาทโดยชอบธรรมตามกฎหมาย
ผลปรากฏว่า ทุกฝ่ายต่างเห็นชอบร่วมกันว่า ( แม้นจะไม่พอใจบ้างแต่ก็ต้องจำนนท์ด้วยเหตุผลความเป็นจริง ) 1. สวนปาล์มนำมันนั้นให้สามีใหม่ของนางบัวดูแล จนกว่าที่ ดญ.นกเอี้ยงจะบรรลุนิติภาวะจึงค่อยรับโอนเป็นมรดก และรายได้ที่เกิดจากสวนปาล์มนำมาจัดสรรเป็นสามส่วน ส่วนที่หนึ่งให้ ดญ.นกเอี้ยงเพื่อเป็นทุนการศึกษาโดยโอนผ่านบัญชี ส่วนที่สองให้สามีใหม่นางบัว ส่วนที่สามไว้สำรับชำระหนี้ ธกส. และหลักฐานการดำเนินการทั้งหมดให้กรรมการหมู่บ้านเป็นผู้กำกับดูแลจนกว่า ดญ. เอี้ยงจะบรรลุนิติภาวะ 2. ญาติจากเชียงรายของนางบัว กรรมการหมู่บ้านมอบเงินให้ห้าพันบาทเพื่อเป็นค่ารถในการกลับบ้าน 3. ดญ.เอี้ยง ไปทดลองอาศัยอยู่กับญาติพี่ญาติน้องของนางบัวก่อน หากอยู่ได้ก็อยู่ แต่ถ้าอยู่ไม่ได้ก็ไปอยู่กับแม่ของสามีใหม่นางบัว ( เพราะเด็กและญาติไม่มีความผูกพันหรือรู้จักกันก่อนหน้านี้ และท่าทีของญาตินางบัวที่แสดงออกนั้น เสมือนจะหวงทรัพย์สมบัติมากกว่าหวงหลาน )
ที่นำมาเล่าให้ฟังก็เพราะว่า เป็นกรณีหนึ่งที่หากคนชุมชนมีพลังความร่วมมือแล้ว จะสามารถจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชนได้เป็นอย่างดี เพราะเหตุการณ์บางกรณีนั้น ตัวบทกฎหมายไม่สามารถแก้ไขได้ดี เท่ากับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ " คุณค่าของความเป็นคน และ วีถีวัฒนธรรมชุมชน นั้นแทนมูลค่าเป็นทรัพย์สินเงินทองมิได้ " ..... แต่มีโจทย์ที่ต้องคิดต่อไปว่า ทำอย่างไร ? ที่จะรักษา พลังความร่วมมือ ร่วมใจ นี้ไว้ได้ตลอดไป.... ชาวสระขาวต้องรัก .... ษา ...... ขยาย เติมให้เต็มไว้สม่ำเสมอ.
นี่เป็นกรณีตัวอย่างที่สะท้อนการแก้ปัญหาความขัดแย้งในชุมชนโดยใช้การมีส่วนร่วมและสันติวิธีที่ชัดเจน ดีมากครับ ผมขอชื่นชมมา ณ โอกาสนี้
ขอร่วมคิดด้วยคนว่า ปัจจัยที่นำมาสู่ความสำเร็จ ในกรณีนี้ ประกอบด้วย
พี่ไฮศูรย์
1. เพราะว่าแฟนผู้ตาย นั้นเขาทำกิจกรรมอยู่ในสองกลุ่มในหลัก คือ กลุ่มเลี้ยงสัตว์ โดยการเลี้ยงหมูขี้พร้าไว้หลายตัว และ เป็นแบบอย่างของความพอเพียงได้ ในส่วนอีกกลุ่มนั้นคือ ปุ๋ยชีวภาพ ซึ่งสมาชิกทุกคนต้องมาร่วมกิจกรรมในการทำปุ๋ยแต่ละรอบ ๆ หนึ่ง ก็ประมาณ 7 วัน หรือ 7 ครั้ง ที่สมาชิกมาพบกัน มาพูดคุย พร้อม ๆ กับการผลิตปุ๋ยเพื่อไปใช้กันเอง ... คือ ทำเพื่อใช้ในสวนของแต่ละคน โดยรวมแล้วรวบหนึ่ง ๆ ก็ประมาณ 30- 40 ตัน ... และในส่วนของผู้ตายนั้นก็ออกไปช่วยเพื่อนบ้านเป็นบางครั้ง อาจจะแทนสามี ... นี่คงเป็นเหตุผลหนึ่งที่เพื่อนบ้านมาช่วยเหลือ
2. ในส่วนของชุมชนกับหน่วยอื่น ๆ คิดว่าคงต้องเพิ่มทักษะในเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้อง กับ เรื่องทักษะในการจัดโต๊ะเจรา ... ผมไปสัมมนากับสถาบันพระปกเกล้า เห็นตัวอย่างหนึ่งท่น่าจะใช้ได้ คือ รูปแบบ คอซูเมอร์ , การเปิดบ้าน ( กระบวนการและรายละเอียดนั้นต้องคุยกันนอกรอบ).... ซึ่งน่าเป็นกระบวนหนึ่งที่จะแก้ไขความขัดแย้งในชุมชน
3. จริงแล้ว หนี้สินทางสังคม นั้นมีหลายประการ ทั้งในมิติทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะครัวเรือน แล้ว .. ยังมีหนี้สินทางวัฒนธรรม/ค่านิยม เจ้าขุนมูลนาย ซึ่งเป็นประเด็นหลักเลยที่ จะต้องแก้ด้วย การเรียนรู้และสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนในชุมชน ... แต่ดูเสมือนโครงสร้างด้านบนกำลังเพิ่ม ค่านิยมตรงนี้ขึ้น ดูได้จากงานอยู่ดีมีสุข .. ถ้าไม่ได้ตามใจปลัดอำเภอแล้วไม่ผ่าน .. แล้วกระบวนการเรียนรู้ที่ชาวบ้านเขามีฉันทามติร่วมกัน .. เพียงแต่เขาไม่สามารถ จะเรียบเรียงเป็นภาษาที่สวยหรู แต่เขามีธงที่ชัดเจนในการให้บรรลุความอยู่ดีมีสุข
หนี้สินอีกอย่างหนึ่ง ทรัพยากรท่ถูกทำลาย ทำอย่างไรจึงจะชดใช้ได้มา แม้นว่าจะไม่เหมือนดังเดิมก็ให้สามารถกลับมาบ้างก็ยังดี .. ตรงนี้ต้องทำงานในเชิงข้อมูลเปรียบเทียบ / เชิงประจักษ์ ให้พี่น้องในพื้นท่ได้เรียนรู้ ( ของใกล้ตัวนั้นดูไม่เห็น) ควบคู่กันงานสร้างจิตสำนึกให้เกิดความตระหนัก และ ไปจัดการ พร้อมการเคลื่อนในเชิงนโยบายท้องถิ่นให้ไปพร้อม ๆกัน
อยากรู้จังว่ากระบวนการเป็นอย่างไร
แล้วสามีใหม่ไม่ใช่ทายาทโดยชอบธรรมหรือค่ะ
เรื่องนี้โชดดีตรงนี้ เด็กหญิงนกเอี้ยง ยังไม่บรรลุนิติภาวะ คำถามคือ ทำไมเด็กถึงยอมไปอยู่กับญาติที่ไม่เคยรู้จัก แทนที่จะอยู่กับพ่อเลี้ยงเหมือนเดิม (ต้องมีอะไรหรือเปล่า ที่เด็กไม่ยอมอยู่กับพ่อเลี้ยง และพ่อเลี้ยง จะให่ไปอยู่กับแม่ของตนทำไมไม่เลี้ยงเอง) ชุมชนลืมพิจารณาเหตุผลนี้ควบคู่ไปกันด้วยหรือเปล่า
การสลายความขัดแย้งโดยอาศัยชุมชนเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ยนั้น ชุมชนจะต้องวางตัวเป็นกลาง ลดอคติ ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ตรงนี้เป็นเรื่องที่ต้องควรระวัง เพราะเมื่อเราอคติ หรือคิดเชิงบวกกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งว่าเป็นคนดี (ถึงแม้จะดีจริงก็ตาม) แต่ก็อาจนำมาซึ่งความผิดพลาด อย่างใหญ่หลวงได้ ต้องระวัง
และสุดท้ายแล้ว ข้อตกลงที่ได้ จะต้องเป็นที่ยอมรับของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย ชุมชนเป็นแค่สื่อกลางในการไกล่เกลี่ย คอยระงับความขัดแย้ง เชื่อมให้ทั้งสองฝ่ายหันหน้าพูดคุย ยอมรับกันและกัน และมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เป็นการประสานความแตกร้าว ให้กลับคืนดี เหมือนเวลาแก้วแตก ชุมชนก็จะทำตัวเป็นกาวคอยเชื่อม
เรื่องนี้ ตอนจบญาติ กับสามีใหม่ มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันหรือไม่