การประชุมคณะกรรมการบริหารโครงการความร่วมมือเพื่อแก้ปัญหาความยากจน การพัฒนาสังคมและสุขภาวะ จังหวัดนครศรีธรรมราช วันที่ 15 ตค. 50
การทำงานของโครงการฯ ภายใต้ความร่วมมือของ 5 ภาคี สกว. สสส. ธกส. พม. และกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ในระยะเวลา 7 เดือน เมย.-ตค. 50 วางแผนงานไว้ 7 ขั้นตอน ขั้นที่ 1 สร้างกลไกความร่วมมือ: คณะทำงานระดับต่าง ๆ ขั้นที่ 2 พัฒนาชุดเครื่องมือการจัดการสารสนเทศ: โปรแกรมคอมพิวเตอร์ แบบบัญชีครัวเรือน แบบสำรวจครัวเรือน ขั้นที่ 3 จัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ ด้านการพัฒนาระบบฐานข้อมูลชุมชนท้องถิ่นเพื่อการพัฒนาตำบล ด้านการพัฒนาเสริมสร้างศักยภาพวิทยากรกระบวนการภาคประชาชนระดับหมู่บ้าน/ตำบล ขั้นที่ 4 การจัดเก็บบัญชีครัวเรือน ข้อมูลครัวเรือน ข้อมูลชุมชน ใช้ฐานชุมชนอินทรีย์/แผนแม่บท ปรับให้เป็นปัจจุบัน ร้อยละ 60-70 ขั้นที่ 5 การบันทึกข้อมูลบัญชีครัวเรือน ข้อมูลชุมชน ลงระบบโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ณ อบต. ขั้นที่ 6 การจัดการความรู้ ประมวลข้อมูล วิเคราะห์ สังเคราะห์ เพื่อปรับปรุงแผนชุมชน ขั้นที่ 7 จัดเวทีนโยบายสาธารณะ
จากผลการดำเนินงานที่ผ่านมาแล้ว 3 ขั้น เกิดกลไกคณะทำงาน 4 ระดับ คือ คณะกรรมการบริหารโครงการ คณะทำงานโครงการ คณะทำงานระดับโซนอำเภอ คณะทำงานระดับตำบล(หากการบริหารงานในแต่ละระดับมีการเสริมหนุนกันเข้าใจว่ากลไกความร่วมมือกำลังทำงานได้ดี) เกิดวิทยากรกระบวนการระดับตำบล/หมู่บ้าน ในกระบวนการ บริหารจัดการงบประมาณจากส่วนกลาง สนับสนุนการทำบัญชีครัวเรือน
สำหรับขั้นตอนที่กำลังดำเนินการคือขั้นที่ 4 การจัดเก็บข้อมูลผ่านทางคุณกิจแกนนำ 8 ท่าน มีวิธีการไม่ให้เกิดการทำงานซ้ำซ้อน และเป็นการเพิ่มความสมบูรณ์ของข้อมูล ด้วยการตรวจสอบข้อมูลฐานเดิมทั้งประเด็นความสมบูรณ์ของข้อมูล ความสมบูรณ์ของกระบวนการจัดทำแผนแม่บทชุมชน และความสมบูรณ์ของเนื้อหาแผนแม่บทชุมชน
เข้าใจว่าเป้าหมายสุดท้ายของโครงการฯนี้ มุ่งให้เกิดองค์ความรู้ในชุมชน เพื่อรับมือกับการกระทำของรัฐ(ที่กำลังแสดงเป็นตัวแบบ)ที่มากระทบชุมชนได้อย่างรู้เท่าทัน ไม่เพียงรอรับความช่วยเหลืออย่างเดียวเช่นที่ผ่านมา เมื่อความช่วยเหลือทางด้านวัตถุหมดลงด้วยความไม่รู้เท่าทันต่อนโยบาย(กุศโลบาย)ต่าง ๆ ชุมชนนอกจากหมดวัตถุแล้วยังยิ่งอ่อนแอลงด้วยหลงผิดว่าแม้มีความช่วยเหลือแต่ยังไม่ดีขึ้น สู้อยู่เฉย ๆ ไม่เจ็บตัว ได้ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่ดิ้นรน
แต่เครื่องมือที่ใช้เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้น คือ กระบวนการทำแผนแม่บทชุมชนพึ่งตนเอง ซึ่งการทำงานด้วยกระบวนการนี้ย่อมเกิดคำถามถึงความซ้ำซ้อนของงาน เนื่องจากในพื้นที่ระดับตำบลย่อมมีแผนอบต. อยู่แล้ว จำเป็นต้องทำแผนแม่บทชุมชนอีกหรือ? ที่ประชุมในวันนี้ให้คำตอบชัดเจนว่า เนื่องจากมีช่องว่างระหว่างแผนอบต.กับแผนแม่บทฯ แผนอบต. ผ่านการทำประชาคม แสดงถึงความมีส่วนร่วมจากประชาชน แต่กิจกรรมของแผนเป็นไปตามคะแนนเสียง ทำเพื่อคะแนนเสียงข้างมาก ดังนั้นแผนจึงออกมาในรูปแบบที่ทำได้เร็ว ไม่มีความต่อเนื่อง จึงจำเป็นต้องทำแผนแม่บทชุมชนพึ่งตนเอง โดยประชาชนมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น(ที่ผ่านการให้ความรู้ที่ถูกต้องในการอยู่ด้วยการพึ่งตนเอง)ในการทำแผนฯ เป็นแผนที่ใช้พัฒนาชุมชนได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้การทำแผนแม่บทฯมีการอิงกับแผนอบต.อยู่แล้วเพื่อความไม่ซ้ำซ้อนแต่มีกระบวนการตรวจสอบข้อมูลฐานเดิมในกระบวนการทำแผน(ข้างต้น) เพื่อความสมบูรณ์ของข้อมูล และกระบวนการทำแผน
ทุกกระบวนการใน 7 ขั้นตอนของโครงการฯ เชื่อมร้อยกระบวนการทำงานที่สอดรับกับยุทธศาสตร์ “ชุมชนอินทรีย์” ในความเห็นส่วนตัวคิดว่าหากกระบวนการทำงานของโครงการฯ เป็นไปเพื่อการสร้างองค์ความรู้แก่ชุมชน นับว่าเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เพราะสถานการณ์ปัจจุบันของชุมชนขาดความรู้(เท่าทัน)ในการรับมือกับการกระทำจากภายนอกที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มากกว่าสิ่งอื่นใด
ขอแลกเปลี่ยนหน่อยนะครับ
โครงการนี้เราพยายามสลายการมองแบบขั้วตรงข้ามนะครับ เพราะฉะนั้นเราไม่ได้บอกว่าชุมชนต้องมีความรู้ ผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย เพื่อต่อสู้ ต่อรอง หรือรับมือการกระทำของรัฐ อย่างที่คุณได้นำเสนอ เพราะรัฐก็ไม่ใช่ทั้งหมดที่กระทำต่อชุมชน เราไม่อยากให้มองว่ารัฐทำให้ชุมชนเสียหายอย่างเดียว เพราะบางครั้งชุมชนก็ทำเอง ซึ่งอาจจะเกิดจากการครอบงำทางความคิด ของระบบเศรษฐกิจ หรือกระบวนการระบบโลก และ.... อะไรทำนองนั้นด้วย
แต่ถ้าจะบอกว่า ด้านหนึ่ง โครงการนี้มุ่งสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้ชุมชนได้รู้เท่าทันต่อความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น พร้อมรับมือกับมันอย่างมีสติ ผ่านการนำข้อมูลที่เป็นจริง มีประสิทธิภาพ มาวางแผนกำหนดตำแหน่งแห่งที่ให้ตัวเอง ออกแบบแนวทางการพัฒนาให้สอดคล้องกับบทบริบทที่เฉพาะเจาะจง ของชุมชน และที่สำคัญต้องเกิดขึ้นอย่างมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อให้เกิดกระบวนการหนุนเสริมได้ตามความต้องการของชุมชนจริง ๆ
ด้วยความศรัทธา