ป่วยแต่กาย ใจไม่ป่วย


ป่วยแต่กาย ใจไม่ป่วย

       เมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ตรวจสุขภาพเจอทั้งน้ำตาลในเลือดสูง คอเรสเตอรอลและเตกริกเซไรท์สูง ความดันโลหิตสูงแถมด้วยอาการปวดไมแกรนขมับข้างซ้าย คุณหมอแนะนำเรื่องการดูแลตนเองเบื้องต้น นัดให้กลับไปตรวจซ้ำอีกหลังจากนั้น 3 เดือน ถ้าทุกอย่างยังเหมือนเดิมคงจะได้ทานยา ซึ่งคนในครอบครัวผู้เขียนเป็นโรคดังกล่าวหลายคน

..........กลัีบมาถึงบ้าน ทุกข์โศกกับสิ่งที่ได้รับรู้จากคุณหมอ จนหมดกำลังใจท้อแท้........จิตใจห่อเหี่ยว กลัวตายขึ้นมาจับจิตจนหนาว  ยะเยือก ทานอาหารไม่ลงเป็นอาทิตย์ หาทางออกให้กับชีวิตตัวเองตั้งหลายคืน วิเคราะห์หาสาเหตุของความเจ็บป่วย จึงสามารถมาแยกประเด็นได้ว่า

เพราะอะไรเราถึงป่วย .........ก็ถึงบางอ้อ

                     1. เรากินตามใจปากตัวเองมากเกินไป

                     2.ทำงานหนักมากและเครียดเกินไป

                     3. ในชีวิตไม่เคยออกกำลังกายเลย

                     4. กายก็ป่วย ใจก็ป่วย อาการยิ่งทรุดเร็วขึ้น

        เมื่อวิเคราะห์หาสาเหตุให้คำตอบกับตัวเองได้แล้ว ผู้เขียนจึงเริ่มปรับกลยุทธ์การดำเนินชีวิตใหม่ เริ่มจากหาข้อมูลคุณและโทษของอาหาร ระมัดระัวังการกินมากขึ้น ปรับกลยุทธ์ในการทำงาน....จากคนที่จริงจังกับการทำงานมาก...มาเป็นทำงานแบบ"ผ่อนปรนและปล่อยวาง"  หันมาออกกำลังกายอย่างจริงจังทั้งเต้นแอโรบิค 1 ชั่วโมงทุกวัน วันเสาร์อาทิตย์เพิ่มการปั่นจักรยานอีก 10 กิโล ........สุดท้าย หันหน้าเข้าหาธรรมะ "จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว"   กายอยากป่วยก้อปล่อยให้เป็นเรื่องของกาย  เราไม่ใช่หมอ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณหมอ ไม่เกี่ยวกับเรา อย่าไปทุกข์แบกหามให้มันหนักอกหนักใจ จิตใจเราเบิกบานเสียอย่าง ใครจะมาทำร้ายเราได้ คิดเสียว่า "กายป่วยไม่เกี่ยวกับเรา" และสุดท้ายให้รางวัลกับความอดทนและมีวินัยในการใช้ชีวิตของตนเองคือ.......ทุก ๆ 3 เดือน จะออกท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ สักครั้ง ซึ่งผู้เขียนมีความคิดว่า หากเราได้เที่ยวพักผ่อนก็เท่ากับได้ชาร์ตแบตเตอรี่ให้กับชีวิต อีกทั้งเป็นการบำบัดความเครียดให้หายจากไมแกรนอีกวิธีหนึ่ง

............จนบัดนี้ ล่วงมาได้ 11 ปีแล้ว ทั้งเบาหวาน ความดันโลหิตสูง คอเรสเตอรอลและเตกริกเซไรท์ ผู้เขียนยังไม่ได้ทานยาอะไรสักอย่าง แต่ผู้เขียนยังเฝ้าระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำคุณหมออย่างเคร่งครัด รวมทั้งตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปีค่ะ ส่วนไมแกรนผู้เขียนเลิกทานยามาได้ 5 ปีแล้วค่ะ

หมายเลขบันทึก: 334637เขียนเมื่อ 7 กุมภาพันธ์ 2010 22:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 4 มิถุนายน 2012 12:01 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอนค่ะ "จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว" เพราะบี๋เองก็เคยเจอมากับตัวเองแล้วค่ะ ถ้าเรามีจิตใจที่เข้มแข็งและมีกำลังใจที่ดีจากคนที่เรารัก และรักเรา เราจะผ่านเรื่องต่างๆ ที่เลวร้ายได้อย่างมีความสุขและสง่างามค่ะ

ผมคิดว่า ถ้าจำเป็นต้องกิน ก็ จำเป็น ต้องออกกำลังกายด้วยนะครับ

ชอเป็นกำลังใจให้คุณบี๋ มีจิตใจที่เข้มแข็งน่ะค่ะ

จริงอย่างที่คุณ วีระ คมวิลาศ พูดค่ะ ถ้าจำเป็นต้องกิน ก็จำเป็นต้องออกกำลังกายด้วย ขอบคุณค่ะสำหรับแง่คิดดี ๆ ที่แบ่งปัน

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท