จิ๊ฉ่าง VS ยัง หาญทะเล
--คู่หูของนายทับ จำเกาะ--
เมื่อนายทับ จำเกาะ
กลับไปภูมิลำเนาเดิมแล้วเสียงเรียกร้องต้องการให้คู่หูของ นายทับ
จำเกาะ คือ นายยัง หาญทะเล
เป็นตัวยืนโดยให้ทางสมาคมแสวงหาคู่ที่เหมาะสม เข้าเทียบ
ฝ่ายสนามก็มิได้นิ่งนอนใจ
พระยานนทิเสนสุเรนทรภักดีพยายามปรึกษาหารือพวกข้าราชการผู้ใหญ่
ตลอดจนเพื่อน ๆ ที่เป็นพ่อค้าสังกัด " กรมท่าซ้าย "
และในไม่ช้าก็แพร่ข่าวออกมาว่ามีมวยจีนฝีมือเยี่ยมมาจากฮ่องกง
ในความอุปการะของสโมสรสามัคคีจีนสยามอันมี นายเค็งเหลียน สีบุญเรือง
และนายฮุน กิมฮวด เพื่อนเกลอและกรรมการ ฯ
ส่งเข้ามาเพื่อช่วยเหลือราชการเสือป่า
แต่บางเสียงก็ว่าเป็นจีนกวางตุ้งในเมืองไทย
ซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่มวยจีนย่านสำเพ็ง
--จี๊ฉ่าง--
อย่างไรก็ ตาม
มวยจีนฝีมือเยี่ยมดังกล่าวได้ซุ่มซ้อมอยู่ที่บ้านผู้มีชื่อแถว ๆ
วัดแก้วแจ่มฟ้า (วัดแก้วฟ้าล่าง) ถนนสี่พระยา
โดยมีการกวดขันการเข้าออกอย่างเคร่งครัด ทำนองเดียวกับ ยอร์ช
กาปังติเอร์ ซุ่มซ้อมที่มหานครนิวยอร์ค ในคราวจะชิงตำแหน่งจอมมวยกับ
แจ็ค เดมป์เซย์
กระนั้นก็มิวายมีข่าวหลุดออกไปสู่ประชาชนว่านักมวยยิ่งใหญ่จากฮ่องกงมีนามกร
ว่า จี๊ (โฮ้วจงกุ๋น)ฉ่าง มีความว่องไวเยี่ยงลิง
กำหมัดสองข้างหงิกงอส่ายไปมาคล้ายหัวงูเห่าที่กำลังจะฉกเหยื่อ
ท่วงท่ากระโดดเข้าควักหักกระดูกไหปลาร้าให้ติดนิ้วออกมาอย่างรวดเร็วมองไม่
ทัน ลำแขนอันล่ำสันแข็งปั๋งเหมือนกับท่อน้ำฉวัดเฉวียนเหวี่ยงสูงต่ำ
ลดนั่งและลุยืนด้วยความคล่องแคล่ว
เพียงนิ้วมือสามนิ้วทิ่มไม้หนาสองนิ้วทะลุ
นิ้วชี้กับนิ้วกลางหนีบข้ออ้อยไว้แล้วทุบค่อย ๆ
ข้ออ้อยก็แตกอย่างไม่น่าเชื่อ
พร้อม ๆ
กับข่าวอันน่าเกรงกลัวของมวยจีนนั้นการซ้อมมวยไทยภายในวังเปรมประชากรก็
ดำเนินไปอย่างไม่ยี่หระ เสด็จในกรม ฯ คงควบคุมการซ้อมอย่างใกล้ชิด
และทรงแนะนำ " ไม้กล " แก่นายยัง หาญทะเล ด้วยพระองค์เอง
จนเกิดความเชื่อมั่นกันว่า นายยังจะฆ่าปลาฉลามจี๊ฉ่างได้แน่นอน
--สนาม สวนกุหลาบคึกคักเป็นพิเศษ--
เช้าวันนั้น วันอาทิตย์สำคัญ
ซึ่งเป็นวันที่จะมีมวยจีนชกแข่งขันกับมวยไทยพระนคร
เฉพาะอย่างยิ่งถนนตรีเพชร จักเพชร บ้านหม้อ พาหุรัด และรอบ ๆ
นอกบริเวณโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยซึ่งใช้เป็นสนามมวย
พลุกพล่านด้วยผู้คนคอยรอเวลาชมมวย
คนส่วนมากเข้าใจกันว่ามิใช่ดูการแข่งขันชกมวย(สู้กันตัวต่อตัว)
เท่านั้นแต่มันจะกลายเป็นดูพวกจีนกับพวกไทยห้ำหั่นกันตามคำโฆษณาเชิงปลุก
ปั้น
จีนรวมพวกเดินกันเป็นกลุ่มด้วยความตั้งใจจะดูไส้นายยัง
หาญทะเลว่ายาวแค่ไหนส่วนพวกไทยก็ใช่ว่าจะไม่เตรียมพร้อม
เจ้าหน้าที่ตำรวจก็มิได้ประมาท จัดตั้งโต๊ะเก็บ " ไม้ตะพด" ขนาดต่าง ๆ
ทุกช่องประตู เหมือนงานวัดถึงกระนั้นก็ยังมีคนไทยถูกจับเพราะพกสนับมือ
(อาวุธร้ายสมัยนั้นมีอัตราปรับ ๑๒ บาทเท่ากับปืนพก)
เตรียมเล่นงานจีนหลายต่อหลายราย
พ่อเสือลูกเสือต่างเตรียมตัว โดยถือไม้พลองทาสีขาวยาวเกินตัว
หนังสือพิมพ์ประจำวันขายเกลี้ยงเป็นล้างน้ำ
เพราะมีการกล่าวขวัญถึงศักดาเดชของคู่มวยยิ่งกว่าข่าวเบ็ดเตล็ดและข่าวสำคัญ
อื่น ๆ
--อ้ายเต๊ะ--
เนื่องจากมวยนัดนั้นอาจจะลุกลามกลายเป้
นเรื่องราวใหญ่โตขึ้นได้โดยไม่คาดฝัน พระยาฤทธิไกรเกรียงหาญ
หรือที่คนทั้งหลายในสมัยนั้นฉายาให้ท่านว่า " อ้ายเต๊ะ "
จึงต้องระดมกำลังสารวัตรใต้บังคับบัญชา
เพื่อระงับเหตุการณ์ไม่พึงปรารถนาอันอาจเกิดขึ้นได้ พวก " แขนแดง
"พวกสารวัตรทหารสมัยนั้น ( แขนเสื้อมีปลอกแขนสีแดงพัน )
จึงดุเกลื่อนทั้งภายนอกและภายในสนามมวย
สำหรับมวยคู่ที่จะกลายเป็นการดูพวกจีนกับพวกไทยห้ำหั่นกันตามโฆษณาเชิงปลุก
ปั้นเช่นนี้ ผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นโฆษก จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
ผู้ เขียนต้องขอปรับความเข้าใจกับผู้อ่านว่า
การที่คนไทยสมัยโน้นตั้งฉายาให้แก่ พระยาฤทธิไกรเกรียงหาญ ว่า "
อ้ายเต๊ะ " นั้น มิใช่เป็นการเรียกท่านอย่างหยาบคายแต่ประการใด
แต่เนื่องจากท่านมีร่างกายอ้วนจนลงพุง
แลดูคล้ายรูปคิงในไพ่ป๊อกคนไทยมักเรียกกันว่า " อ้ายเต๊ะ "
ท่านจึงได้รับฉายาจากคนสมัยโน้นเช่นนั้น
แม้ดาราหนังที่คนสมัยโน้นนิยมชมชอบและยกย่องบทบาทการแสดงของเขาก็ยังตั้ง
ฉายาขึ้นต้นด้วยคำว่า " อ้าย " ทั้งนั้น เช่น " อ้ายเอ๊ด "
(คือเอ๊ดดี้ โปโล) และ " อ้ายลันด์ " (คือฟรานซิส พอร์ค) เป็นต้น
--มวยจีนจาก ฮ่องกง--
อันที่จริงนายยัง หาญทะเลได้ถูกกำหนดให้เป็นตัวยืน เพื่อหาคู่ประกบ
ภายหลังการเฟ้นหานักมวยเปรียบนายทับ
จำเกาะไม่ได้มาหลายอาทิตย์แล้วเพราะนักมวยด้วยกันไม่มีใครสมัครใจต่อกรกับ
นายยัง หาญทะเลเพื่อนของนายทับ
จำเกาะความจำเป็นที่ต้องหานักมวยต่างด้าวสุดแต่จะเป็น พม่า , จีน ,
จาม ฯลฯ
แล้วแต่จะเหมาะสมประชาชนปรารถนาเพียงอย่างเดียวให้ได้ดูฝีมือ นายทับ
จำเกาะ หรือนายยัง หาญทะเล เพื่อนคู่หูอีกสักครั้งพอให้แน่ใจในฝีมือ
เนื่องจากเหตุดังกล่าวมวยจีนจากฮ่องกงจึงถูกสั่งเข้ามาด้วยความเอื้อเฟื้อ
ของชาวจีนที่ภักดีต่อประเทศไทย
เพราะปรากฎว่าทั่วบูรพาประเทศว่าฮ่องกงเป็นเมืองท่าที่รวมบุคลประเภทหัวกระ
ทิ ทั้งในด้านการค้าและการท่องเที่ยวแสวงโชค
เป็นเมืองชุมนุมคนดีคนชั่ว ตลอดจนกุ๊ยท่าเรือ เสือสาง แม่นางโกง
(โสเภณี) ฯลฯ
--มวยไทยจากวัง เปรมประชากร--
ผู้เขียนได้กล่าวแล้วว่า
ทางวังเปรมประชากรมิได้นิ่งนอนใจหรือมีความประมาทยิ่งเกิดกิตติศัพท์ความ
เก่งกาจครองฤทธิ์อำนาจพิสดารของมวยจีนจากฮ่องกงแพร่ออกมาอย่างมากมาย
ฝ่ายมวยไทยก็ยิ่งเพียรพยายามเตรียมที่จะรับมืออย่างสม " สยามยศ "
แม้ครั้งนี้ นายยัง หาญทะเลไม่มีหลวงพ่อสุก (พระครูวิมลคุณากร)
แห่งวัดมะขามเฒ่า เหมือนเมื่อครั้ง นายทับ
จำเกาะก็ยังมีตัวแทนคือเสด็จในกรม ฯ ศิษย์เอกของหลวงพ่อ
ซึ่งเป็นผู้ทรงจัดเจนในศิลปการต่อสู้
และเสด็จในกรมฯตระหนักพระทัยดีว่า
นอกจากความรู้ความสามารถด้านวิชาการแล้ว
จิตวิทยาย่อมมีส่วนควบคุมนักมวยให้มีความเชื่อมั่นอันสุดยอดและนำไปสู่ความ
สำเร็จสมประสงค์ได้
พระองค์จึงทรงกรุณาทุ่มเทพระสติกำลังความสามารถ
ประสิทธิประสาทและปลุกปั้น นายยัง หาญทะเล
มวยในอุปการะของพระองค์ให้แข็งแกร่งเพียบพร้อมด้วยความรู้ ไม้กล
ไม้ตาย ไม้ลับ พร้อมสรรพด้วย อิทธิอำปลัง (อำนาจเคลือบคลุม) ขั้น "
เพชรดา " (คงทนต่อเขี้ยวงา) นอกจากนั้นนายยัง
หาญทะเลยังได้รับคำยืนยันจากบุคคลภายนอกอย่างหนาหูว่า
บรรดาทหารเรือลูกศิษย์เสด็จในกรม ฯ
ซึ่งสักตราสมอดำที่ต้นแขนล้วนคงทนต่อ อสิธารา (คมศาสตราวุธ)
เช่นอาวุธปลายแหลมชายธงเป็นต้น (มีดชายธงเป็นอาวุธที่พวกนักเลงสมัย ๕๐
ปีก่อนนิยมพกและใช้ ความร้ายแรงน้อยกว่ามีดซุย , หลาว
หรือเหล็กขูดชาฟท์)
--พิธีอตตม สูตรและชุบตัว--
" คูณพ่อชลัม " (พระชลัมพิสัยเสนี ร.น. ผู้บังคับการเรือรบหลวงพระร่วง
ซึ่งประชาชนเรี่ยไรซื้อให้รัฐบาล) ได้เป็นผู้นำในการประกอบพิธี
อตตมสูตร ให้นายยัง หาญทะเล ตามบัญชาของ เสด็จในกรม ฯ
แล้วก็ใช้เวลาตอนเช้าด้วยพิธีการที่เรียกกันว่าชุบตัวแล้วพักผ่อนเพื่อรอ
ฤกษ์ยกขบวนไปสู่สนามมวยสวนกุหลาบตามประเพณีที่วังเปรมประชากรเคยปฏิบัติมา
อนึ่ง ตามที่ผู้เขียนเคยกล่าวไว้ในตอนต้น ๆ
ว่าในสมัยโบราณนิยมให้นักมวยอาบน้ำชำระร่างกายก่อนเข้าสู่สนามรณรงค์นั้น
หากพิจารณาให้ลึกซึ้งแล้วมิใช่ว่าคนไทยเชื่อถือในสิ่งที่งมงาย
(Superstitious)เพราะการชำระร่างกายเป็นวิธีปล่อยทุกข์ให้กระเพาะวางเปล่า
ลดอัตราอันตรายแก่อวัยวะภายในช่องท้องส่วนการอาบน้ำในแง่สุขลักษณะ
น้ำเป็นอาโปธาตุที่สร้างกำลังความชุ่มชื่นแก่ร่างกาย
ด้วยเหตุว่าประเทศไทยอยู่ในโซนร้อน จึงไม่จำเป็นต้องพะวักพะวน "
อุ่นเครื่อง " (Warm up)
ตามแบบอย่างต่างประเทศซึ่งเป็นประเทศหนาว
อีกประการหนึ่งหารบริกรรมมนต์คาถา
(Supernatural Psychology)
ตามลัทธิศรัทธาของคนไทยก็นับว่าเป็นอุปเท่ห์ในการอุ่นเครื่องได้ดุจกัน
ผู้ใดสงสัยโปรดทดลองด้วยตนเองโดยนั่งนิ่ง ๆ (ทำนองนักมวยไหว้ครู)
หายใจเข้าออกลึก ๆ ช้า ๆ
(บริกรรมพระคาถาสุดแต่จะเล่าเรียนจากอาจารย์ใด) ประมาณสัก ๑ นาที
(เวลาที่เลือดฉีดทั่วร่างกาย) ก็จะเริ่มรู้สึกว่ามีความอบอุ่นขึ้นแถว
ๆ ข้างหูหรือข้างหลังตอนใต้สะบัก
ทั้งนี้อาศัยพลังจิตของผู้บริหารด้วย
พิธีอตตมสูตรก็ทำนองเดียวกับ
การอาบน้ำวึ่งมีธรรมเนียมนิยมในประเทศอินเดียในเวลาก่อนทำการสำคัญใด ๆ
ฉะนั้นในบางโอกาสที่ไม่สามารถอาบน้ำชำระกายก็ถือเอาเพียงรดน้ำมนต์
(ไสยศาสตร์) เพื่อรับสวัสดิมงคลตามประเพณีพราหมณ์
ซึ่งนำเข้ามาในประเทศไทย
ต่อมาเมื่อผลแห่งความจริงปรากฏว่าไทยเป็นชาติที่นับถือศาสนาพุทธ
จึงเปลี่ยนเป็นรดน้ำพระพุทธมนต์แต่เพราะความเคยชิน
หรือไม่เข้าใจแจ่มแจ้งพวกเราจึงคงได้ยินใช้กันสับสนว่ารดน้ำมนต์อย่างเดิม
--วัน มังกรสู้เสือ--
วันนั้นเป็นวันที่เต็มไปด้วยภาพอันน่าตื่นเต้นเหลือ ที่จะพรรณา
ผู้คนในชุดแต่งกายตามเชื้อชาติหลั่งไหลมุ่งหน้ามายังสนามมวยสวนกุหลาบเพื่อ
ชมมวยจีนมวยไทย บรรยากาศตอนแรก แดดร้อนจัดและแจ่มใสตลอดจนถึงตอนบ่าย
ทำให้เกิดความหวังกันว่าอากาศปลอดโปร่งดีตลอดวัน แต่ก่อนเวลา ๑๖.๐๐ น
อันเป็นเวลาเริ่มแข่งขันมวยมีฝนโปรยเม็ดลงมาเล็กน้อย
แม้กระนั้นก็ไม่มีใครขยับเขยื้อนจากที่นั่งซึ่งเรียกได้ว่าเต็ม
เพราะเกรงจะไม่ได้นั่งอย่างเดิม
เมื่อมวยคู่ประกอบรายการได้แข่งขันแล้วปรากฏว่าเก้าอี้นั่งเดี่ยวรอบ ๆ
เวที
และที่นั่งชั้นอัฒจันท์เต็มจนต้องยัดเยียดเบียดเสียดกันแน่นขนัดทั้งภาย
นอกบริเวณและภายในสนามมวยชักจะมีการรวนเรกันดันประตู
พ่อค้าหาบเร่เท่านั้นที่ได้รับประโยชน์เกินคาดเพราะขายสินค้าคล่องเป้นเทน้ำ
เทท่า
ขณะนั้นประชาชนที่อุตส่าห์กรำแดดเข้านั่งคอยชมมวยคู่พิเศษระหว่างจีนกับไทย
ชักเคร่งเครียดด้วยความร้อน
ทันใด โฆสก
ประจำสนามมวยก็ประกาศก้องว่านักมวยค๋สำคัญได้มาถึงสนามและกำลังเตรียมตัวจะ
ขึ้นสังเวียนต่อไปแล้ว !
พึงสังเกตว่าในตอนแรกผู้เขียนใช้คำว่า โฆษก ด้วยความตั้งใจให้เป็น
พิธีกร แต่มาในตอนหลังนี้ผู้เขียนใช้คำว่า โฆสก
ด้วยความตั้งใจให้หมายถึง ผู้ประกาศ (Ring announcer)
เหราะเหตุว่าในปัจจุบันนี้ มักใช้ไม่แยกกันจนบางคนไม่รู้หน้าที่ของตน
โฆษณาเสียจนการกีฬากลายเป็นการชวนออกศึกไป
ซึ่งผู้เขียนรู้สึกว่าเป็นการเสียหาย
ข้อนี้ย่อมสุดแต่อาจารย์ทั้งหลายจะพิจารณา
--นายยัง หาญทะเลขึ้นสังเวียน--
ประชาชนต่างลุกฮือชะแง้ชะเง้อมองไปทางเดียว กัน
มีรายงานจากภายนอกอีกว่า
เวลานี้ประชาชนกำลังจะพังประตูเพราะซื้อบัตรดูมวยไม่ได้
เจ้าหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยทุกฝ่ายต้องปฏิบัติงานด้วยความยุ่งยาก
เหน็ดเหนื่อย
" บัตรหมดแล้ว ที่นั่งเต็ม ! " เสียง โฆสก ประกาศทางโทรโข่ง
ทันใดนั้นประชาชนก็โห่ร้องกลบเสียงโฆสก เพราะนายยัง หาญทะเล
ในเครื่องแต่งกายมวยไทยครบถ้วน ผ้าขนหนูสีเทาชุบน้ำพอหมาด ๆ
พาดปกสองบ่า ไว้หนวดริมฝีปากบนแบบชาวชนบทไทยทั้งหลาย เคี้ยวหมาก
(อาพัด) แหยะ ๆ ขนาบข้างด้วยพี่เลี้ยงและ " คุณพ่อชลัมภ์ "
มาหยุดดุษฎีก่อนก้าวขึ้นบันไดยกพื้นสูงประมาณ ๔ ฟุต
สะกดทับสรรพอัปมงคลการกระทำของฝ่ายศัตรูตามที่ครูบาอาจารย์สั่งสอน
แล้วค่อย ๆ ก้าวตีนขวาขึ้นบันไดเข้าบนสังเวียน
ยกแขนที่ห้อยไว้ข้างตัวทำนองเดียวกับพลตระเวนเท็กซัส (Texas Ranger)
เตรียมพร้อมจะชักปืน ขึ้นพนมไหว้ไปรอบ ๆ ทิศ กัดฟันด้วยมั่นใจ
เสียงโห่ร้องต้อนรับนายยัง
หาญทะเลดังแรงขึ้นกว่าเดิมอีกครั้งหนึ่งแล้วค่อย ๆ เงียบ ๆ ลง
--จี๊ ฉ่างขึ้นสังเวียน--
เสียงโห่ร้องยังไม่ทันสงบดี เสียง ฮ้อ.. ฮ้อ..! พร้อมกับเสียงกลอง
ตลุ้ง ตุ้ง ฉ่าง แช่ เก๊ง ! กวงเล่าโก๊ก็ดังซ้อนขึ้นจนแก้วหูแทบแตก "
มาแล้ว นั่นจี๊ฉ่างคนตัดผมโล้นที่ห้อมล้อมด้วยพวกพ้องชาติเดียวกัน ! "
เป็นคำตะโกนต่อ ๆ เซ็งแซ่ดจนฟังไม่ได้ศัพท์
เพราะเพียงแต่เสียงกลองและฉาบขนาดใหญ่
ก็สะเทือนยอดอกและหูอื้อเสียแล้ว
จึงไม่สามารถรู้ว่าประชาชนพูดจากล่าวขวัญอะไรกัน
เมื่อขบวนน้อย ๆ โอบล้อมนายจี๊ฉ่างมาถึงหน้าบันไดยกพื้นสูง ๔ ฟุต จี๊
(โฮ้วจงกุ๋น) ฉ่าง ซึ่งเดินชูกำปั้น " หัวนกอินทรีย์ " (Eagle - beak
Fists) ก็เดินล้ำหน้าเพื่อน ๆ ไปโดยมิได้หยุดรั้งรอ
แผ่อำนาจด้วยสุรเสียงตวาด " ว้าก ! …."
แบบงิ้วทำให้เลือดแทบจะข้นแข็งตัว
แล้วกระโดดจนแผลวข้ามลูกนอนลูกตั้งบันได ๔ - ๕ ขั้น
ขึ้นบนเวทีคล้ายเสือดาวกระโจนข้ามเรียวไผ่เข้าในคอกแพะ
หรือคล้ายขึ้นลุยไถ
ที่เคยพบในหนังสือพงศาวดารจีนราวกับเสียงคลื่นในมหาสมุทร
ก่อความกระวนกระวายหวาดหวั่นแก่ประชาชนชาวไทยแทนนายยัง หาญทะเล
เพื่อนร่วมชาติอย่างพรรณาไม่ถูก
--โฆสกประกาศศึก--
" โปรดเงียบ โปรดเงียบ " เสียงโฆสกกระจายออกทางโทรโข่ง "
ต่อไปนี้จะเป็นมวยคู่พิเศษส่งเสริมราชการเสือป่า ……
โปรดเงียบหน่อยครับ เงียบหน่อย " โฆสกกล่าวขอร้องและเตือนซ้ำอีก
" ผู้ที่ยืนอยู่ทางมุมนี้ "
เจ้าหน้าที่ผู้ประกาศผายมือชี้ไปทางนักมวยไทยสวมกางเกงแดงยืนอยู่กับพี่
เลี้ยง
" คือนายยัง หาญทะเล แห่งนครราชสีมาหรือเมืองมวย
อันเป็นฉายาเกียรติประวัติตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ สมเด็จพระปิยะมหราช "
เสียงโห่ร้องดังขึ้นอีก " โปรดเงียบ โปรดเงียบ "
เสียงโฆสกอ้อนวอนทางโทรโข่ง " ผู้ที่ยืนอยู่ทางนี้ "
ผายมือซ้ายที่ถือกระดาษไปทางนักมวยตัดผมโล้น
นุ่งกางเกงสีน้ำเงินยาวเกือบถึงหัวเข่ามีแพรแถบสีกุหลาบสวยสดเคียดพุง
๓ รอบ ผูกเงื่อนกระตุกข้างบั้นเอวซ้าย
ทิ้งชายประมาณครึ่งโคนขามีผ้าพันแข้งสีเดียวกับกางเกง
ตามประเพณีการแต่งกายนักรบจีน
ทำนองเดียวกับนักมวยไทยได้รับการ ยินยอมให้คาดเชือก
(ถักหมัดด้วยด้ายดิบ) ซึ่งฝ่ายจีนอ้างว่า
การถักหมัดก้นหอยเป็นการเสริมให้หมัดแข็งร้ายแรงกว่าหมัดลุ่น ๆ
จึงเป็นตกลงอนุญาตให้ใช้ตามประเพณีของแต่ละฝ่ายเพื่อตัดปัญหากล่าวคือเมื่อ
ฝ่ายไทยคาดเชือกได้ ฝ่ายจีนก็พันแข้งได้
" จี๊ฉ่าง จอมมวยแห่งฮ่องกง "
เสียงโห่ร้องเป็นภาษาจีนดังเกรียวกราวขึ้นไม่แพ้เสียงไชโยโห่ร้องของไทย
หลังจากนี้ความเงียบสงบก็ปกคลุมบริเวณสนามมวยชั่วคราว
มีแต่เสียงร้องของอีกา ๓ - ๔ ตัว
บินผ่านข้ามหัวไปด้วยความประหลาดใจ
--ผู้ ตัดสินบนเวที--
นายยัง หาญทะเล พร้อมพี่เลี้ยงฝ่ายหนึ่ง
และนายจี๊ฉ่างพร้อมด้วยพี่เลี้ยงและล่ามอีกคนหนึ่งถูกเรียกเข้ารวมกลาง
สังเวียน เพื่อฟังคำชี้แจงปัญหาต่าง ๆ แต่ปรากฎว่าไม่มีปัญหายุ่งยากใด
ๆ เพราะได้ทำความเข้าใจกันมาก่อนแล้วเป็นอย่างดี
ผู้ตัดสินกล่าวสรุปคำ ชี้แจงต่อหน้านักมวย , พี่เลี้ยง
และล่ามมีความสำคัญว่า " การแข่งขันเพื่อแพ้ชนะมีกำหนด ๑๑ ยก
(ระเบียบการแข่งขันมวยของสนามสวนกุหลาบ พ.ศ. ๒๔๖๔)
ใครได้เปรียบคนนั้นชนะนักมวยคนใดล้มลงนอน คนทำล้มต้องไปคอยที่มุมกลาง
(Neutral corner) ต้องแยกกันเมื่อได้ยินเสียงสั่งหยุด ! ห้ามกัด
ห้ามซ้ำ ใช้ลูกติดพันได้ คนใดไม่เชื่อฟังหรือผิดประเพณี
(คำนี้ใช้กันมาตั้งแต่พระยาพิชัย(สงคราม)
ดาบหักยังเป็นเด็กชายจ้อยอยู่วัดบ้านหันคา อำเภอทุ่งยั้ง
เมืองพิชัยเดิม ซึ่งผู้เขียนจะได้เล่ารายละเอียดในโอกาสข้างหน้า)
อาจถูกปรับโทษตามผลลัพธ์จนถึงขั้นแพ้ทุกฝ่ายเข้าใจนะ "
เมื่อล่ามมวย
จีนแปลเสร็จจี๊ฉ่างพยักหน้าแสดงว่าเข้าใจแจ่มแจ้งปราศจากสงสัย
นักมวยและพี่เลี้ยงต่างฝ่ายกลับเข้ามุม
ผู้เขียนขอโอกาสเสนอข้อ
สังเกตแก่เฉพาะผู้ที่ยังไม่เข้าใจความหมายของคำว่า " มุมกลาง "หรือ
Neutral corner ไว้ ณ ที่นี้ ตามกติกาสากลที่ไทยเราลอกแบบมาใช้ คำว่า
" มุมกลาง " หมายถึงมุมที่มิใช่ฝ่ายแดงหรือฝ่ายน้ำเงิน
ชาวต่างประเทศหมายถึงมุมซึ่งไม่มีม้าแป้น (Stool)
ให้นักมวยนั่งตั้งแต่เริ่มชก กติกาบางฉบับแปล Stool ผิดว่า " เก้าอี้
" (เคราะห์ยังดีที่ไม่แปลตรง ๆ ว่า
" อุจจาระ ") เพราะเก้าอี้ต้องมีพนัก แต่ไทยเราบางท่านถือเอา Neutral
corner เป็นมุมไกลที่สุด
ซึ่งไม่สู้จะถูกต้องและปฏิบัติยากเพราะนักมวยที่อยุ่ในสภาพที่อ่อนระโหยโรย
แรงนัยน์ตาอาจฝ้าฟาง
ไม่อาจวินิจฉัยได้ว่ามุมที่ตนถอยไปยืนนั้นไกลที่สุดหรือไม่
ตาม ธรรมดาสังเวียนมี ๔ มุมด้วยกัน มุมกลางจึงไม่ใช่มุมของนักมวย
ตามเจตนารมณ์ของกติกาต่างประเทศ
พี่เลี้ยงนักมวยเข้าไปที่มุมกลางไม่ได้จึงไม่มีดอกาสเสี้ยมสอนนักมวยหรือแนะ
นำขณะที่กำลังได้เปรียบ
การช่วยเหลือนักมวยจะกระทำได้เฉพาะเวลาระหว่างยกหรือเข้ามุมของตนเท่านั้น
แต่ในเมืองไทย พวกเรามักจะได้เห็นการกระทำที่ผิด ๆ
โดยปล่อยปละละเลยให้ละเมิดกติกาด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
หรือสะเพร่า หรือเกรงใจกัน
หากปล่อยให้พี่เลี้ยงละเมิดกติกาข้อนี้จนเคยชิน
เมื่อถึงคราวแข่งขันสำคัญระหว่างมวยต่างประเทศ
อาจนำความปราชัยมาลบล้างความได้เปรียบอย่างน่าเสียดาย
ผู้เขียนจึงใคร่ขอเสนอฝากเป็นดุลพินิจไว้แก่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย
โดยเฉพาะผู้ตัดสินและพี่เลี้ยงเพราะนอกจากฝ่ายนักมวยที่ได้เปรียบอาจถูกปรับ
เป็นแพ้อย่างเถียงไม่ขึ้นแล้ว ผู้ตัดสินเจ้าหน้าที่สนาม (Whips)
และกรรมการดำเนินงานต่าง ๆ
ยังอาจถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้ด้วย
--การ ต่อสู้ระหว่างมวยไทยกับมวยจีนเริ่มต้น--
คำชี้แจงของผู้ตัดสินซึ่ง กล่าวต่อหน้านักมวยไทย ,จีน
พี่เลี้ยงและล่ามนั้น
อันที่จริงดูเหมือนประชาชนส่วนมากมิอาจทราบได้ว่ามีความสำคัญอย่างไรนอกจาก
ผู้เคยชินกับวงการมวย
ข้อใหญ่ใจความก็คือปรับความเข้าใจกันทุกฝ่ายเพื่อป้องกันการโต้แย้งคัดค้าน
ว่า " ต่อยมวยไทย " หรือ " ต่อสู้แบบชาวสยาม "
ต่อจากนั้นเจ้า หน้าที่รักษาเวลา (Time Keeper) มองดูนาฬิกาจับเวลา ๒
เรือนตั้งเวลาตรงกัน ทางมุมน้ำเงิน
พี่เลี้ยงจี๊ฉ่างเลิกเสื้อคลุมขาวกุ๊นตามริมมีอักษรจีนตัวโตสีเดียวกับผ้า
กุ๊นตรงแผ่นหลังส่งออกให้คนรับนอกสังเวียน
แล้วช่วยกันหมุนตัวให้จี๊ฉ่างหันหน้าสู่กลางเวที
เสียงพรรคพวกคนจีนโห่ร้องเป็นภาษากวางตุ้งจนลั่นสนาม
ฟังคลับคล้ายคลับคลาว่า " ฮ้อดฉอย ! ฮ้อดฉอย ! "
ฝ่ายคนไทยเพียงแต่พึมพำ ฮือฮา
รู้สึกว่าจี๊ฉ่างเป็นมวยสำคัญเอาการอยู่
ฝ่ายนายยัง หาญทะเลก็กำลังผินหลังกำเชือกสังเวียนไว้ทั้งสองมือ
เคี้ยวหมาก (อาพัด)
พยักหน้ายิ้มอย่างไม่ยี่หระไปทางพรรคพวกที่คอยเอาใจช่วยพี่เลี้ยงตบไหล่เบา
ๆ แล้วทยอยออกนอกสังเวียน
เจ้าหน้าที่รักษาเวลามองนาฬิกาอีกครั้งแล้วยกมือ กลอง " ตุ้ง "
เป็นสัญญาณให้การต่อสู้ระหว่างมวยไทยกับมวยจีนเริ่มได้
ประชาชนคนดูต่างเงียบราวกับนัดกัน
--นายยัง หาญทะเลไหว้ครู--
นาย ยัง หาญทะเลยกมือคาดเชือกถึงข้อศอกขึ้นไหว้ไปทาง " คุณพ่อชลัม "
ผินหน้ากลับเข้าสู่กลางเวที ก้าวโหย่ง ๆ
บนปลายตีนโดยไม่มีด้ายพันนิ้วออกจากมุม ๓ - ๔ ก้าว
ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ากราบกรานไปทางเก้าอี้ที่ประทับของเสด็จในกรมหลวงชุมพร
เขตรอุดมศักดิ์ ประชาชนมองตาม เสด็จในกรม ฯ ผงกพระพักตร์รับคารวะน้อย
ๆ เพียงพอให้นายยัง หาญทะเลเห็น นายยังเขยื้อนกายปรับท่านั่งกระหย่ง
(นั่งบนส้น) โดยหันหน้าสู่ทิศบูรพาอันเป็นทิศครู
ปี่กลองสองหน้าและฉิ่งคณะหมื่นสมัครเสียงประจิต
เล่นทำนองเร้าอารมณืระทึกจนบางคนต้องเอามือลูบหัวเพราะรู้สึกขนลุกขนพอง
นาย ยัง หาญทะเลใช้หัวแม่มืออุดจมูกสอบลมปราณตามแบบฉบับมวยครู
ขึ้นท่าถวายบังคมพรหมสี่หน้าเสร็จแล้ว ยิ้มแสยะกัดกรามตามด้วยท่า "
หนุมานควานสมุทร "
ก้าวย่างยักเยื้องซึ่งเข้าใจกันว่าเป็นท่าที่ได้รับการฝึกสอนเป็นพิเศษ
จากบรมครูเสด็จในกรม ฯ แทนท่านิยมปกติของ
" เมืองมวย " ทั้งนี้นัยว่าเพื่อป้องกันและ " ชิงคม " (ซ้อนกล)
ปฏิปักษ์เพราะเล่าลือกันนักว่ามวยจีนสามารถเลี้ยะพะ (กุมตี)
ได้อย่างฉกาจฉกรรจ์ เป็นที่ครั่นคร้ามกันทั้งเกาะฮ่องกง
นายยังจึงต้องศึกษาท่า " หนุมานควานสมุทร " อันมีลักษณะ ย่อเตี้ย
ตีนห่าง ไขว้แขนแกว่งสลับป้องกันการกระโจนจับ รอบ ๆ ตัวตลอดเวลา
หากจี๊ฉ่างเลือกโอกาสใดก็ตาม
พุ่งเข้าเลี้ยะพะด้วยหมัดหัวนกอินทรีอันลือชื่อ
ย่อมจะต้องเจอหมัดเหวี่ยงควาย (Full swing) หรือถูกฟันฟาดด้วยท่า "
ฝานลูกบวบ "
ไม่ว่าจะเข้ามาจากเหลี่ยมใดและต่อจากไม้เดี่ยวนั้นอาจโดนไม้คละ "
พันลำ " แบบนกกระจอกเทศเข้าบ่วงบาศ หรือไม้ลับอื่น ๆ ก็ได้ใครจะรู้ ?
คนดูต่างตะโกนหนุน ยัง ! ยัง ! ยัง ! ….
--จี๊ฉ่างไหว้ครู--
จี๊
ฉ่างยืนสำรวจท่าทางร่ายรำของนักมวยไทยด้วยความพิศวงงงงวยเพราะไม่เคยพบเคย
เห็นที่ส่วนใดของโลกมาก่อน
แต่ด้วยความสำนึกในเกียรติภูมิของคนจีนซึ่งนับถือกันมาแต่โบราณว่าล้วนเป็น
ดาวจุติ จะครั่นคร้ามอะไรกับฝีมือพวกอนารยชน (ฮวนนั้ง)
ทันใดมังกร ไฟจากฮ่องกงก็แผดเสียง " ว้าก … ! "
กระโดดทีเดียวออกมากลางเวที สำแดงเดช " มังกรดั้นเมฆ "
ยืนกางขาย่อเข่าเลิกคิ้ว
นัยน์ตาหรี่ระริกห้อยแขนซ้ายปล่อยกำปั้นหัวนกอินทรีไว้ที่โคนขา
กำปั้นขวาเหยียดตรงขึ้นฟ้า ตามองตามอัดใจสูบผสมกระแสชีวิต
รวบรวมกำลังภายในมาบรรจุไว้ที่ยอดอกตามตำรา " เซาลิ้น "
ของท่านอิ๊ดโจ๊วเซียนซือ แห่งศวรรษที่ ๖ (ประมาณ พ.ศ. ๑๐๑๖)
ขณะ นี้ร่างกาย จี๊ (โฮ้วจงกุ๋น) ฉ่าง
สั่นเทิ้มส่ายไปมาประดุจว่มังกรสัตว์ร้ายกายสิทธิ์ในนิยายจีนกำลังพ่นพิษ
ชาวจีนโห่ร้อง ชาวไทยเงียบเพราะรู้สึกเป็นห่วงแทนนายยัง หาญทะเล
เพื่อนร่วมชาติที่ต้องล่าถอยหนีจีนเรื่อยมาประมาณ ๒,๐๐๐ ปีมาแล้ว
แต่ท่านเกจิอาจารย์บางคนไม่หวาดหวั่น นั่งภาวนามนต์คาถาบท "
ตวาดนิพพาน " เป็นการช่วยเหลือนายยังด้วยจิตใจ
--มวยประวัติศาสตร์--
ทั้ง สองฝ่ายพร้อมแล้วไม่ใครก็ใครคงต้องได้เห็นฤทธิ์กันในครั้งนี้
ปี่กลองเร่งจังหวะ ประจัญบานถี่ขึ้น คู่ต่อสู้ไทย - จีน
ต่างพยายามหยั่งเชิงซึ่งกันและกัน
นายยังคุมท่า " ปลากัดไทย "
แกล้งชำเลืองกระหยดย่างเพื่อล่อจี๊ฉ่างเข้าท่ากล
แกว่งแขนทั้งสองข้างส่ายสลับเหมือนตะเกียบปลากัด
พวกจีนโห่เยาะเย้ยไม่หยุด แต่พวกดูมวยไทยไม่ออก รู้ทีว่านายยัง
กำลังพยายามหาช่องปล่อยไม้เด็ดมิได้ตั้งใจหนีเพราะกลัว
พวกจีนคงโห่เยาะเย้ยต่อไปไม่ขาดเสียงคนไทยทนไม่ไหวร้องหนุนให้สู้ ทั้ง
ๆ ที่นายยังกำลังสู้ด้วยเชิงมวย นายยังจึงไม่ฟังเสียงยิ้มแหย ๆ
พยายามตีกรรเชียงพลิกเหลี่ยมไปมามิได้วิ่งออกนอกสังเวียนหรือวิ่งไม่เหลียว
หลัง พวกจีนชักกำแหงยิ่งขึ้น ร้อง " ฮ้อดฉอย ! ฮ้อดฉอย ! ฮ้อดฉอย ! "
คล้ายจะให้ไล่ขยี้ให้แหลก
ครั้นแล้วโดยที่ไม่มีใครทันรู้ตัว
จี๊ฉ่างกระโดดเงื้อกำปั้นหัวนกอินทรีขึ้นสูงราว ๆ ๒ เมตร
แล้วกดเควี้ยวลงเล็งหัวนายยังเป็นเป้าหมาย
นายยังซึ่งระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ฉากออกมาทางซ้าย
ปล่อยให้กำปั้นหัวนกอินทรีพลาดเป้าไปปะทะเชือกสังเวียนจนสั่นสะเทือน
พวกไทยโห่ร้องบ้างทั้ง ๆ ที่ไม่สู้วางใจ นายยัง
หาญทะเลเหยียดตัวตรงจากหลบต่ำเตี้ยและเคี้ยวหมาก
จี๊ฉ่างบึ้ง เม้มปากส่ายลูกตาน่ากลัว
คนดูที่เป็นไทยส่วนมากพากันวิตกการต่อสู้ของนายยัง
แบบถอยหนีวาจะหนีได้ไม่นาน หรือหนีได้ก็เห็นจะไปไม่รอด
(นอกจากได้มีดโกนหรือขวดแตกที่ยังมีคอถือเหมาะมือ)
จี๊ฉ่างคงบุกไล่เลี้ยะพะนายยังเหมือนเด็กไล่จับกระต่ายในกรง
ประชาชนที่เป็นไทยต่างลุกขึ้นยืนบ้างนั่งบ้าง
ตัวเอียงไปมาเพราะไม่มีความสบายใจ
นายยัง หาญทะเล
ทั้งกระทบทั้งฉากหลบหลีกกำปั้นหัวนกอินทรีอันแข็งปั๋งราวกับหินเป็นพัลวัน
เกือบตลอดเวลา มีครั้งหนึ่งหรือสองครั้งที่นายยัง " ฉากฉะ "
คือหลีกและตีตอบด้วยหมัดเหวี่ยงควายถูกสีข้างจี๊ฉ่างเพียงแดง ๆ
และเตะตาม แต่ปลายตีนโดนเพียงเนื้อตะโพก
ได้ยินเสียงพัวะอันเป็นธรรมดาของการต่อสู้แบบ " เขาแรงเราอ่อน "
จี๊ ฉ่างยิ้มแสยะทำทีลูบตะโพกแสดงว่าไม่ระคายผิวหนัง
หรือรู้สึกเพียงคัน ๆ ยังไม่เท่ากับถูกยุงกรุงเทพ ฯ กัด
จึงคงบุกไล่หมายขยี้มวยไทยฝีมือดีของไทยให้ขี้แตก
(อาการกลัวและเจ็บสุดขีดของหมา)
แต่นายยัง หาญทะเล
มิใช่คนขี้ขลาดเหมือนหมาแม้จะมีการตะโกนประนามว่ากลัวจี๊ฉ่างจนหางจุกตูดนาย
ยังก็คงเอาแต่ถอยเรื่อยไป
ท่ามกลางเสียงเยาะเย้ยของฝ่ายตรงข้ามรวมทั้งเพื่อนร่วมชาติบางคน
เสด็จในกรม ฯ บรมอาจารย์ประทับสำราณพระอารมณ์อยู่ตลอดเวลา
บางคราวมีผู้ช่างสังเกตลองชำเลืองเห็นพระองค์ท่านทรงขยับเขยื้อนพระหัตถ์และ
พระบาทโดยไม่ตั้งพระทัย
มันไม่เป็นการฉลาดเลยสำหรับการต่อสู้ใน สังเวียน (ตัวต่อตัว)
ที่จะเสี่ยงถูกชกถูกเตะโดยไม่จำเป็นเพราะ " มวย "
เป็นวิชาต่อสู้ตามแต่ครูจะสอน นักมวยย่อมวิ่งหนีได้แต่ไม่ให้ซ่อน
ส่วนนักมวยที่บุกเข้าแลกหมัดแลกศอก ฯลฯ
กับปฏิปักษ์เพื่อหวังพิชิตด้วยพละกำลังอย่างเดียวจนเข้าอยู่ในความหมายของ
ศัพท์แผลงว่า " เดินชน " หรือตามแบบที่ครูอาจารย์ไม่ได้สอน " ลูกศิษย์
" (รักเหมือนลูกนั้น)
ตามตำราฉุปศาสตร์(ตำราพิชัยสงคราม) ไม่เรียกว่า " มวย "
นายยัง หาญทะเลแห่งเมืองมวย หรือนครราชสีมา และ
จี๊ฉ่างแห่งเกาะฮ่องกงซึ่งอาจหาญข้ามดินแดนและทะเลมารุกรานถึงบ้านไทย
มิใช่นักมวยประเภทเป็นเองที่เดินชนอย่างบุตรท้าวกาสรผู้เป็นเอตะทัคคะในการ
ทำลายคันนา
จี๊ฉ่างบุกไล่เลี้ยะพะนายยัง หาญทะเล หมุนไปมารอบ ๆ
สังเวียนอย่างย่ำใจเพราะได้ฟังเสียงโห่สนับสนุนจนลืมคติพจน์ "
ลมร้ายไม่เคยพัดให้ใครดี " ลืมนึกว่าคนไทยคือ " ผู้เป็นใหญ่ "
เมื่อบรรพบุรุษทั้งสองฝ่ายแรกพบกันในแคว้นไทเมือง
ส่วนคนไทยทั่วไปก็พากันหลงลืมศิลปะของชาติอันเป็นมรดกมีค่าอนรรฆ
(ไม่อาจคำนวณได้) และไม่พอใจ
ด้วยไม่รู้เท่าที่เห็นนายยังกำลังใช้ศิลปะประจำชาติต่อสู้กับผู้รุกราน
โดย เฉพาะเสด็จในกรม ฯ ไม่ทรงมีปฏิกิริยา ทั้ง ๆ
ที่นายยังได้ชื่อว่าเป็นลูกศิษย์และอยู่ในอุปการะของพระองค์เพราะทรงซึมซาบ
พระทัยดีว่านายยัง " หนีเอาชัย " (Run a Victory) ผิดแผกกับ
บรรพบุรุษไทยส่วนหนึ่งซึ่งขืนสู้ลู่หลี่ (ไม่คิดชีวิต)
ไม่ยอมถอยจากแคว้นเดิม เพียงชั่วระยะ ๙๐๐ ปี ก็สูญพันธุ์ไปแล้ว
แต่เคราะห์ยังดีที่มีพวกไทยบางส่วนยอมล่าถอยและไม่ยอมหัวเสีย
และได้ประจักษ์แก่ใจว่าตลอดเวลาการต่อสู้แบบหนีหรืออ่อนตาม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามวิธีที่นายยังกระทำอยู่ ไม่มีการเจ็บตัว
จึงเพียงส่งเสียงเอาใจ " สู้บ้าง ! สู้บ้าง ! ซิ …."
และดังทวีขึ้นทุกขณะ
--เข่า โทนของนายยัง--
นายยัง
หาญทะเลคงใช้สมองและเชิงมวยของตนที่ได้รับการสั่งสอนอบรมมาอย่างจัดเจน
กระหยด และ ฉาก ออกซ้ายขวา สลับหลอก จนจี๊ฉ่างจับทางไม่ถูก
ไล่ตุ๊ยผิดตุ๊ยพลาดจนซี่โครงกระเพื่อมเหนื่อยหอบและหลวมตัว
ใน วินาทีทองนั้น ไม่มีใครทันคาดคิดแต่มีคนเห็นเฉพาะบางคน นายยัง
หาญทะเลย่อตัวต่ำขนาดนั่งยอง ๆ เบนหลบกำปั้นหัวนกอินทรีที่โฉบลงมาหมาย
ลานหัว (กระหม่อม) แล้วนายยังกลับกระโจนขึ้นอัดเข่าโทน (เข่าตรง)
เข้าแผ่นอกจี๊ฉ่างจนผละหงายหลังก้นกระแทกพื้น
โชคดีที่โดนเหนือ " อกรวบ "
มิฉะนั้นมังกรไฟคงม้วนหางล่องเรือกลับฮ่องกงตอนนั้นเอง
ประชาชนตะลึงพรึงเพริดแล้วโห่ดีใจเป็นครั้งแรก เสียงยุ " อย่าเลี้ยง !
….ยัง! …. ยัง !…..เอาให้อยู่ " ก้องสนาม
ผู้ตัดสินก้าวเข้าขวางนายยังซึ่งดูเหมือนกับตั้งใจง้างตีนมาแต่โคราช
แล้วเริ่มนับ หนึ่ง..สอง สาม…
พอดีกลอง " ตุ๊ง " บอกสัญญาณหมดยก
คนจีนต่างลุกขึ้นยืนและโล่งอกที่เห็นจี๊ฉ่างรีบลุกขึ้นยืนยิ้มและเดินได้
ติดตามต่อในตอนที่ 2
เลือดลมฉีดพร่าน..เลยครับท่าน
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชมครับ อยากจะเก็บข้อมูลเอาไว้ จริงๆผมพิมพ์เก็บไว้ตั้งแต่ก่อนจะมีหนังสือ ปริทัศน์มวยไทย ออกมา ก็เลยนำมาไว้ในสมุดข่อยดิจิตอลแห่งนี้ละครับ
โห ข้อมูลเยอะมาก ๆ ... ผมดูหนังเรื่องไชยา แล้ว ชอบเลย
แต่ยอมรับตรง ๆ ว่าชอบ เรื่อง ก่อน แล้ว ถึงสนใจ มวยไชยา ครับ