|
บทความด้านบน อ้างอิงต่อยอดจาก คลิปในลำดับที่ 4
ของดีที่อยากจะฝากและเน้นแล้วเน้นอีก จาก http://www.dhammathai.org/sounds/pa_payutto/papayutto_edu.php
|
บทความด้านบน อ้างอิงต่อยอดจาก คลิปในลำดับที่ 4
ของดีที่อยากจะฝากและเน้นแล้วเน้นอีก จาก http://www.dhammathai.org/sounds/pa_payutto/papayutto_edu.php
ขอบคุณบันทึกนี้มากค่ะ ทำให้ระลึกถึงเมื่อตอนที่เป็นเด็ก เคยไปถกกับพระท่านหนึ่งที่วัดแห่งหนึ่งในขอนแก่น ก็สงสัย ถามท่านว่า ทำไมต้องนั่งสามาธิ ได้อะไร จะไม่เป็นการเห็นแก่ตัวเหรอที่ไม่ทำงานทำการ จำไม่ได้แล้วว่าท่านตอบว่าอย่างไร แต่อ่านบันทึกนี้ ได้คำตอบที่ชัด คือ เพื่อนิพพาน และเผยแพร่ต่อไป เน้นให้เห็นนว่า พระธรรม คำสั่งสอน นั้นสำคัญ จริงๆ
สวัสดีค่ะ...
สำหรับ แหววแล้ว ศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้า 100 % ถึงแม้ว่าจะมีประสบการณ์อันน้อยนิดเมื่อพูดถึงนิพพาน แต่ก็พอจะรู้ว่าคำสอนท่านมหาบุรุษนั้นจริงแท้และแน่นอน แค่เพียงปฏิบัติตามคำสอนที่ถูกต้องถึงยังไม่ถึงนิพพาน แค่เพียงเริ่มต้น และระหว่างทาง ที่การให้ ด้วย บุญ ทาน ศีล สมาธิ การเจริญสติ สู่ปัญญา ก็มีผลก่อให้เกิดสิ่งดีงามต่อตนเองบุคคล สัตว์ สิ่งรอบข้าง หรือโลกใบนี้อย่างเอนกอนันต์ แล้วเพราะเราจะมีแต่การให้ มีเมตตาจิตมอบให้แก่กัน...ไม่ทำร้ายกัน การดำเนินชีวิตด้วยสติ ย่อมไม่ประมาท ปัญญา ทำให้เราปฏิบัติสิ่งต่างๆที่เหมาะที่ควรก่อเกิดความสุข ความเจริญงอกงามในทางกุศลตามคำสอนดังกล่าวมาแล้ว และเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อตนเอง-สรรพสิ่ง เห็นมั้ยคะ..เพียงแค่เริ่มต้น ยังไม่ต้องถึงนิพพาน ก็เกินคุ้ม..เพียงแต่ว่า " ต้องปฏิบัติได้ถูกต้องตามหลักคำสอน มิใช่เบี่ยงเบนกันไปตามความคิดและการปฏิบัติที่เกิดจากความไม่รู้ หรือไม่เข้าใจ หรือไปเห็นคนที่ทำไม่ถูกเป็นประสบการณ์ "ค่ะ
ขอบคุณนะคะที่มีบันทึกนี้ช่วยกันทบทวนคำสั่งสอนของพระองค์ที่ถูกต้องดีงามกันต่อๆไป...ขอร่วมขบวนด้วยคนค่ะ เพราะว่า...กำลังพยายามเดินให้ถูกทางของพระองค์เช่นเดียวกัน ...
ปล. ตามเอาต้นไม้มาให้ 1 กระถางค่ะ (1 ต้น)
สวัสดีค่ะ
ตรงนี้ช่างสะท้อนสังคมไทยได้ชัดแจ่มมากๆ เลย ว่าคนที่ประสบผลสำเร็จในด้านต่างๆ แล้ว จะหยุดแค่นั้น หรือจะทำเพื่อสังคมต่อไป จะทำแค่นั้นหรือจะทำเหมือนต้นไม้ที่ยกตัวอย่างมาโดยที่เทียบบุคคลเท่ากับใบไม้แต่ละใบ
ส่วนใหญ่คนที่ประสบความสำเร็จแล้วมาช่วยสังคมในรูปของเงิน ด้วยมิหวังผลตอบแทนมีหรือ นอกจากมีจนล้นเหลือ
แต่มาช่วยบ้างก็ยังดีกว่าไม่ช่วย แล้วได้การหักลดหย่อนภาษีกลับไป แต่ถ้า มาช่วยเชิงวิชาการ ช่วยด้านคิดอ่าน มีมากค่ะ
คนที่จะมาช่วยในด้านเงินได้มากๆในประเทศเรา คิดว่า น้อย เพราะไม่มีใครรวยมากอย่าง Bill Gates นะ นั่นรวยจนไม่รู้จะเอาไปทำอะไร แต่เขาก็ได้หักภาษีเป็นการตอบแทนด้วย นับถือเขาค่ะ เขามีใจแบ่งปันสูงมาก
เคยถามหลายๆคนมาก คนที่อยู่ในวัยทำงาน เขาบอกว่า เขาก็ช่วยสังคมอยู่ทุกเดือนแล้วนะ ไม่ใช่ไม่ช่วยกัน ถูกหักภาษีเยอะแยะด้วยความเต็มใจ
ไม่อยากเห็น การเรียกร้อง การช่วยเหลืออะไรกันมากมายเลย ในรูปของเงิน คนเรากว่าจะประสบความสำเร็จ มันเหนื่อยมากนะ ร่างกายและจิตใจถูกบั่นทอนไปมาก ด้วยความเครียด การสู้ชีวิตอย่างไม่ท้อถอย ล้มลุกคลุกคลาน
อยากให้เราคิดพึ่งตัวเองเป็นอันดับแรกมากกว่า แล้วค่อยพึ่งคนอื่น ขยันขันแข็ง ไม่ยุ่งอบายมุข ทำงานแบบมี ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา
ตัวดิฉันเอง ก็ช่วยสังคม เท่าที่มีกำลังมานานแล้วค่ะ ในทุกรูปแบบ
บางทีเราอยู่ในสังคมอุปถัมภ์มากไปนิด ถึงได้มีวงจรอะไรๆอย่างที่เห็นไง
เอ๊ะ คุณเม้งโกรธหรือเปล่า ที่พูดนี่
สวัสดีค่ะ
ตนเป็นที่พี่งของตน คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งแท้จริงได้ มีตนที่ฝึกดีแล้วนั่นแหละ ชื่อว่าได้หาที่พึ่งที่หาได้ยาก
นี่ละ ถูกต้องที่สุดแล้ว ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน อย่าไปหวังที่คนอื่นเลย ยืนบนขาตัวเอง แล้วจะภาคภูมิใจ
แต่เราจะพึ่งตัวเองได้ ต้องฝึกตัวเองมาเป็นอย่างดีค่ะ คือการศึกษา ทำอย่างไรจึงจะกระตุ้น ให้เด็กๆ รักการอ่าน การเรียน การใฝ่รู้ ให้มากที่สุด นี่คือ สิ่งที่เราต้องช่วยกันให้มากๆเพื่อลูกหลานในอนาคต
โอกาสในโลกนี้มีมากมายนัก เปิดกว้างให้คนที่มีการศึกษา และมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต บวกด้วยการมีเศรษฐกิจพอเพียง ในความเห็นของดิฉันนะคะ เราไปได้แน่นอนค่ะ
สวัสดีครับคุณใบบุญ
สวัสดีครับคุณเม้ง
ชอบประโยคนี้ครับ หลักสำคัญที่น่าคิดคือ รับการช่วยเหลือ สร้างเองได้ ช่วยเหลือผู้อื่นต่อ
ขอเสริมสิ่งที่ผมได้รับการสั่งสอนมาจากครูบาอาจารย์ว่า "ตนเตือนตนไม่ได้ ใครเล่าเขาจะเตือน"
สำหรับเรื่องของผู้ที่ปฏิบัติเพื่อนิพพาน ที่หลายๆคนมองว่าเอาตัวรอดเพียงคนเดียว ผมมองว่าถ้าผู้ใดปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ถึงแม้จะยังไม่ฝั่งฝัน ความดีนั้นสามารถล้นออกมาได้แม้ว่าน้ำนั้นจะยังไม่เต็มโอ่งครับ
ขอบคุณมากครับ
สวัสดีครับท่าน ที่บรรลุสัจจธรรม
สวัสดีครับท่าน ที่เคารพ ทุกท่าน
แก่นแท้ของคำว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" กับธรรมชาติ
ถ้าเอาแต่ "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" ความหมายมีค่าเท่ากับคนในเชิงเห็นแก่ตัว ปฏิเสธสังคม ความสัมพันธ์ในสังคม การมองสังคมในแง่ลบ
แต่กลับว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" กับธรรมชาติ ความหมาย ที่จะต้องพึ่งพิงธรรมชาติ
เรามามองแก่นแท้ของมัน
ภาวะสังคมปัจจุบัน ได้แปรเปลี่ยนความสัมพันธ์ทางสังคมไปสู่ยุคทุน ภาวะความเอื้อกันในชุมชนได้แปรเปลี่ยนไปสู่สังคมชุมชนตัวใครตัวมัน นิยาม ของ "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" ก็ได้แปรเปลี่ยนไปสู่การเห็นแก่ตัวมากขึ้น
การประกอบกันขึ้นในชุมชน ตำบล อำเภอ จังหวัด จนถึงประเทศชาติ ความสัมพันธ์กันในรูปแบบที่หลากหลาย การปฏิสัมพันธ์ก็พัฒนากันไปไม่มีวันสิ้นสุด
การศึกษาเพื่อความรู้ แปรเปลี่ยนไปสู่ การศึกษาเพื่อปัจจัย การรับรู้ การนึกคิด กลับกลายเป็น ความชอบธรรม ไปสู่ความขอความเป็นธรรม
คนรวย บริจาค กลายเป็นความดี คนดี
คนจน ต้องยึดคติประจำใจ ว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"
คนที่มีความมั่นคงก็ มีคติคาถาใหม่ประจำใจ "ความพอเพียง"
หมู่มวล ธรรมชาติ แมกไม้ สัตว์ป่า อยู่ได้เพราะความสมดุลย์ทางธรรมชาติ
แก่นของความอยู่ดีกินดี ของสังคมมนุษย์ คือ ความสมดุลย์ทางสังคม
การเรียกร้อง "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" "ความพอเพียง" "การทำบุญ" "บริจาค" แก่นแท้คือ การถ่ายเทความสมดุลย์ในสังคมและความอยู่รอดของมนุษย์ชาติ ที่บัญญัติขึ้นเองว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ
พระพุทธองค์ ไม่ได้บรรลุนิพานเพื่อตนเอง ทรงเผยแผ่ธรรมะ มีเครื่องมือคือ ธรรมะ มีตัวแทนพระองค์คือพระสงค์
ขอบคุณมากๆครับที่ให้โอกาสผม
มาตั้งวงน้ำชากัน...................................
สวัสดีครับคุณแหวว
ขอบคุณมากครับผม แม้จะมีเพียงใบเดียวแต่ก็เป็นใบที่ทรงพลังมากๆ เพราะสามารถเลี้ยงดูชูก้านดอก สวยใสได้อย่างอิ่มเอมใจครับ
ชอบคำนี้ด้วยครับ การให้ ด้วย บุญ ทาน ศีล สมาธิ การเจริญสติ สู่ปัญญา ท้ายที่สุดจบลงด้วยที่ปัญญาครับ
ผมเองก็ไม่ได้ฝึกปฏิบัติอะไรมากนะครับ แค่ยังเดินอยู่ที่ชายภูเขาเลยครับ คงอีกนานครับ ว่าจะถึงยอดเขานะครับ แต่แม้ว่าเรายังไม่ถึงยอดเขา ก็อาจจะมีโอกาสช่วยคนอื่นไปพร้อมๆ กันได้เช่นกันครับ แต่หากไปถึงยอดเขาด้วยการสำรวจแล้ว เสร็จผ่านแล้ว ก็มาช่วยคนอื่นด้วยก็เป็นการดีมากๆ เลยครับ บอกกระบวนการเดินสู่ยอดเขา ด้วยธรรม ด้วยปัญญา มีสติ
ขอบคุณมากๆ เลยนะครับ
มาคารวะท่านครูบาฯ ปราชญ์ชาวบ้าน
สวัสดีอีกครั้ง ท่านเม้ง
ตนเป็นที่พี่งของตน
ตรงนี้ช่างสะท้อนสังคมไทยได้ชัดแจ่มมากๆ เลย ว่าคนที่ประสบผลสำเร็จในด้านต่างๆ แล้ว จะหยุดแค่นั้น หรือจะทำเพื่อสังคมต่อไป จะทำแค่นั้นหรือจะทำเหมือนต้นไม้ที่ยกตัวอย่างมาโดยที่เทียบบุคคลเท่ากับใบไม้แต่ละใบ
ข้อความสองเรื่องที่มีส่วนคล้ายกับมีส่วนต่าง
พึ่งตนเองจนสำเร็จแล้วมาช่วยสังคม แหมช่างดีแท้ๆ สังคมเราไม่มีความแตกต่างด้านความคิด ไม่ขัดแย้งความเจริญก็ไม่มี แต่ภายใต้ความแตกต่างคงอยู่ซึ่งความสัมพันธ์ การพัฒนา การศึกษา การแลกเปลี่ยน การรวบรวมสรุป การเปลี่ยนแปลง การถ่ายเท ไปสู่การเคลื่อนไหวไปสู่ความสำเร็จ
ชุมชน g2k ไปได้ดีเพราะมีคนแบบเม้ง อยากมีหลายๆเม้งจังเลย
น้อรก......................................................
สวัสดีครับพี่ศศินันท์
ตัวดิฉันเอง ก็ช่วยสังคม เท่าที่มีกำลังมานานแล้วค่ะ ในทุกรูปแบบ
บางทีเราอยู่ในสังคมอุปถัมภ์มากไปนิด ถึงได้มีวงจรอะไรๆอย่างที่เห็นไง
เอ๊ะ คุณเม้งโกรธหรือเปล่า ที่พูดนี่
เราช่วยได้เท่าที่ช่วยได้นะครับพี่ จะรอให้พร้อมหรือนิพพานแล้วกลับมาช่วย เราอาจจะตายเสียก่อนครับ ดังนั้น เราจะช่วยได้เสมอ การช่วยนั้นไม่ใช่เรื่องเงิน ผมเองไม่สามารถช่วยใครได้เลยหากต้องช่วยเรื่องเงิน
ระบบอุปถัมถ์ก็เหมือนดาบสองคมที่เราต้องใช้ให้เป็นครับ ถัมถ์เกินไป เราก็จะเสียครับ อันนี้สังคมเค้ามองเราอยู่ตลอดครับ
พื้นที่แห่งนี้ ไม่ต้องกังวลเรื่องจะโกรธนะครับพี่ แค่พี่ยินดีให้เกียรติมาคุยกับผมก็เป็นเกียรติกับผมมากแล้วครับ ผมเองยังมีประสบการณ์น้อยนะครับ มีอะไรยินดีเสมอนะครับ
ด้วยมิตรภาพนะครับ
ครับ...เพื่อน "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"
แล้วเมื่อตนพึ่งตนเองได้แล้ว จะได้มีโอกาสเป็นที่พึ่งให้คนอื่น ๆ รอบข้างที่ยังพึ่งตนเองไม่ได้ เพื่อสักวันหนึ่งพวกเขาจะได้พึ่งตนเองได้บ้าง...
ขอบคุณมากครับ...
สวัสดีครับพี่
แต่เราจะพึ่งตัวเองได้ ต้องฝึกตัวเองมาเป็นอย่างดีค่ะ คือการศึกษา ทำอย่างไรจึงจะกระตุ้น ให้เด็กๆ รักการอ่าน การเรียน การใฝ่รู้ ให้มากที่สุด นี่คือ สิ่งที่เราต้องช่วยกันให้มากๆเพื่อลูกหลานในอนาคต
โอกาสในโลกนี้มีมากมายนัก เปิดกว้างให้คนที่มีการศึกษา และมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต บวกด้วยการมีเศรษฐกิจพอเพียง ในความเห็นของดิฉันนะคะ เราไปได้แน่นอนค่ะ
สวัสดีครับ
สวัสดีครับท่านอาจารย์
สวัสดีครับคุณข้ามสีทันดร
การศึกษาเพื่อความรู้ แปรเปลี่ยนไปสู่ การศึกษาเพื่อปัจจัย การรับรู้ การนึกคิด กลับกลายเป็น ความชอบธรรม ไปสู่ความขอความเป็นธรรม
คนรวย บริจาค กลายเป็นความดี คนดี
คนจน ต้องยึดคติประจำใจ ว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"
คนที่มีความมั่นคงก็ มีคติคาถาใหม่ประจำใจ "ความพอเพียง"
--------------------------------------
--------------------------------------
หมู่มวล ธรรมชาติ แมกไม้ สัตว์ป่า อยู่ได้เพราะความสมดุลย์ทางธรรมชาติ
แก่นของความอยู่ดีกินดี ของสังคมมนุษย์ คือ ความสมดุลย์ทางสังคม
การเรียกร้อง "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" "ความพอเพียง" "การทำบุญ" "บริจาค" แก่นแท้คือ การถ่ายเทความสมดุลย์ในสังคมและความอยู่รอดของมนุษย์ชาติ ที่บัญญัติขึ้นเองว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ
พระพุทธองค์ ไม่ได้บรรลุนิพานเพื่อตนเอง ทรงเผยแผ่ธรรมะ มีเครื่องมือคือ ธรรมะ มีตัวแทนพระองค์คือพระสงค์
--------------------------------------
--------------------------------------
ขอบคุณมากๆครับที่ให้โอกาสผม
--------------------------------------
สวัดสดีครับคุณเม้ง
ต้องขอขอบคุณครับที่นำสิ่งดี ๆ
มาให้ได้อ่านและรวบรวมครับ
ครับทุกคนต้องพึ่งตนเองก่อนครับ
เมื่อตนพึ่งได้แล้ว และพอเพียง
พอมี พอเหลือ พอใช้
ก็นำไปช่วยคนอื่นที่เขาไม่สามารถ
ช่วยเหลือตนเองได้ เพื่อให้เขาช่วยตนเอง
และพึ่งตนเองได้ต่อไปครับ หรือแม้นทรัพย์สิน
เงินทองไม่มี การให้กำลังใจก็เป็นสิ่งสำคัญครับ
สวัสดีครับท่านครูที่เคารพ
สัตว์ทุกประเภทพึ่งตนเองได้ดี เป็นแบบอย่างมนุษย์ได้ ขอบใจที่เอาความรู้ดีๆมาฝากสม่ำเสมอ ขยันทำความดีไม่เสียหลาย ช่วยให้ผมบรรเทาโง่ได้
สวัสดีครับพี่เหลียง
สวัสดีครับเพื่อน
แล้วเมื่อตนพึ่งตนเองได้แล้ว จะได้มีโอกาสเป็นที่พึ่งให้คนอื่น ๆ รอบข้างที่ยังพึ่งตนเองไม่ได้ เพื่อสักวันหนึ่งพวกเขาจะได้พึ่งตนเองได้บ้าง...
สวัสดีครับพี่ชาญวิทย์
สวัสดีครับคุณประเสริฐ
ครับทุกคนต้องพึ่งตนเองก่อนครับ
เมื่อตนพึ่งได้แล้ว และพอเพียง
พอมี พอเหลือ พอใช้
ก็นำไปช่วยคนอื่นที่เขาไม่สามารถ
ช่วยเหลือตนเองได้ เพื่อให้เขาช่วยตนเอง
และพึ่งตนเองได้ต่อไปครับ หรือแม้นทรัพย์สิน
เงินทองไม่มี การให้กำลังใจก็เป็นสิ่งสำคัญครับ
สวัสดีครับน้องต้า
ที่นี่มืดฝนนิดหน่อยนะครับ แต่สบายกันดีนะครับ เป็นห่วงทางใต้มากกว่า หลบฝนบ้างนะครับ ยังไงเรื่องการไปทำหน้าที่กรรมกร ก็ขอให้ทำงานเต็มที่นะครับ อย่าตอกตะปูพลาดไปโดนที่นิ้วเข้าหละครับ ฮี่ๆๆ แซวเล่นครับผม ดีแล้วหล่ะครับ ได้ทำงานที่ไม่เป็นงานประจำบ้าง ประสบการณ์ดีๆ จะตามาเองนะครับ
รักษาสุขภาพเช่นกันครับ
สวัสดีครับท่านพี่ที่เคารพ
สวัสดีครับอาจารย์
ขอบคุณมากครับ ที่แบ่งปัน เป็นความรู้ที่มีคุณค่ามากครับ
สวัสดีครับน้องธรรมาวุธ
สวัสดีครับ
สวัสดีคับพี่อัมพร
สวัสดีครับพี่แท็ฟส์