ลงแดง (4) : แก่นแท้ของคำว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" กับธรรมชาติ


ตนเป็นที่พี่งของตน คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งแท้จริงได้ มีตนที่ฝึกดีแล้วนั่นแหละ ชื่อว่าได้หาที่พึ่งที่หาได้ยาก

สวัสดีครับทุกท่าน

         สบายดีกันอยู่นะครับ กระผมได้มีโอกาสฟังธรรมะไประหว่างทำงานไปด้วย มีโอกาสฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก ช่างทำให้น่าคิดและทบทวนตัวเองเป็นครั้งใหญ่ แค่นั้นยังไม่พอ ทำให้เชื่อมธรรมชาติบางอย่างแล้วนำไปประยุกต์เชื่อมอย่างน่าสนใจบางอย่าง....ลองดูนะครับ ท่าน พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) ท่านกล่าวไว้ว่า พระพุทธเจ้าได้สอนเอาไว้ว่า

      "....  ตนเป็นที่พี่งของตน นั้นที่เรารับฟังและปฏิบัติกันมาไม่ใช่แค่นั้น แต่ยังมีอีกที่พระพุทธเจ้าได้สอนไว้อีกต่อคือ

         ก็จะพึ่งตนได้อย่างไร ในเมื่อยังไม่มีความสามารถจะพึ่งตนได้

         ตนเป็นที่พี่งของตน  คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งแท้จริงได้ มีตนที่ฝึกดีแล้วนั่นแหละ ชื่อว่าได้หาที่พึ่งที่หาได้ยาก

         แท้ที่สุดแล้ว ตนเองต้องพึ่งตัวเอง.....ทำอย่างไรจะพึ่งตนเองได้

         การทำตนให้เป็นที่พึ่งแห่งตนได้ ก็คือการศึกษา การศึกษา จะทำอย่างไรให้สามารถทำตนให้เป็นที่พึ่งของตนเองได้..."

เมื่อมาถึงตรงนี้ ทำให้ผมนึกถึง การปลูกต้นไม้หรือการเพาะต้นกล้าไม้เลยครับ

  • ปลูกเมล็ดลงถุงแล้ว ในเมล็ดมีสารอาหารเบื้องต้น แตกรากออกหน่อ ต้นอ่อนยังสร้างอาหารเองไม่ได้ ต้นอ่อนจะมีใบเลี้ยงก่อนในเบื้องต้นที่สะสมอาหาร แล้วส่งอาหารไปยังยอดอ่อนและส่วนต่างๆ

  • ใบอ่อน(ใบแท้) ใบแรกหรือคู่แรก ยอดและรากก็เจริญเติบโตไป ใบ่อ่อนเองก็สังเคราะห์อาหารเองยังไม่ได้ ต้องรับอาหารจากใบเลี้ยงมาก่อน 

  • เมื่อถึงเวลาหนึ่งที่ใบแท้คู่แรกสามารถสังเคราะห์แสงจนได้อาหาร โดยที่ การสังเคราะห์แสงสุทธิมีค่ามากกว่าศูนย์ นั่นคือการสังเคราะห์แสงมากกว่าการหายใจนั่นเอง

  • เมื่อใบแท้ชุดแรกสร้างอาหารเองได้แล้ว ก็จะมีใบอ่อนชุดต่อไปที่กำลังงอกออกมา ก็ยังช่วยตัวเองไม่ได้เช่นกัน ก็ได้อาหารจากใบแท้ชุดแรกนั่นหล่ะครับ เมื่อใบแท้ช่วยเหลือสร้างอาหารได้ทั้งต้นแล้ว ใบเลี้ยงก็จะฝ่อไปแล้วก็ร่วงโรยไปในที่สุด

  • ส่วนใบแท้ที่ช่วยเหลือใบอ่อนก็จะช่วยกันต่อๆ ไปครับ จนในที่สุดใบแท้ในชุดแรกๆ ก็ร่วงโรยไปเช่นกัน

        หลักสำคัญที่น่าคิดคือ   รับการช่วยเหลือ   สร้างเองได้  ช่วยเหลือผู้อื่นต่อ

  • ลองดูครับ ว่าเชื่อมกับคำว่า ตนเป็นที่พี่งของตน  คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งแท้จริงได้ มีตนที่ฝึกดีแล้วนั่นแหละ ชื่อว่าได้หาที่พึ่งที่หาได้ยาก

        ทำให้ผมมองต่อและไปเชื่อมกับประโยคต่อไปที่ท่านพระอาจารย์ ได้พูดต่อไป ก็คือ

         สูงสุดของพุทธศาสนาคือ นิพพาน แต่นั่นคือ เป็นจุดหมายของแต่ละบุคคล  แต่มากกว่านั้นคือ พระที่สำเร็จหรือนิพพานแล้วพระพุทธเจ้าส่งไปเพื่อเผยแพร่ศาสนา โดยตรงนี้มีจุดหมายเพื่อประโยชน์สุขแก่ชาวโลก  ซึ่งไม่ใช่ที่เป็นอยู่อย่างปัจจุบันที่ท่านบอกว่า บุคคลผู้ได้ประโยชน์ แต่สังคมเสีย  ดังนั้นพุทธศาสนามีจุดหมายสองส่วนสำคัญที่ จุดหมายเพื่อบุคคลคือนิพพาน และนิพพานแล้วก็ทำเพื่อให้เกิดความสุขแก่ชาวโลก เพราะว่านิพพานแล้วมีความสุขแล้ว ความสุขอยู่ในนั่นอยู่แล้ว ไม่ต้องแสวงหาสิ่งใดแล้ว มีแต่การให้จนกว่าจะร่วงโรยไป แม้ว่าร่วงโรยแล้วก็ยังเหลือคำสอน ความดีเอาไว้ให้รุ่นต่อไปใช้กันต่อไปได้อีกตลอดไป

         มองแล้วก็คือ   มีการศึกษาเริ่มต้นให้กับบุคคล (ใบเลี้ยง, พ่อแม่) --> บุคคลเป็นที่พึ่งแห่งตนได้(ใบแท้, ตนเอง) ---> ช่วยเหลือสังคมแก่ชาวโลก (ลำต้น, สังคม)

        โอกาสนี้ทำให้ผมมองเห็นความขัดแย้งที่มีอยู่ในหัวสมองผมมานาน เพราะผมเคยคิดว่าการแสวงหานิพพานนั้น เป็นการเห็นแก่ตัว แต่พอมาเจอกับหลักการที่ว่า มีจุดหมายเพื่อประโยชน์แก่ชาวโลก นั่นคือเมื่อสำเร็จนิพพานแล้ว กลับมาช่วยเหลือชาวโลก ตรงนี้จะทำให้ผมชื่นชมมากๆ เลยครับ ครบวงจร เหมือนระบบต้นไม้ที่เป็นเช่นนั้น ช่วยเหลือเกื้อกูล ความร่มเย็นของสังคม

           ตรงนี้ช่างสะท้อนสังคมไทยได้ชัดแจ่มมากๆ เลย ว่าคนที่ประสบผลสำเร็จในด้านต่างๆ แล้ว จะหยุดแค่นั้น หรือจะทำเพื่อสังคมต่อไป จะทำแค่นั้นหรือจะทำเหมือนต้นไม้ที่ยกตัวอย่างมาโดยที่เทียบบุคคลเท่ากับใบไม้แต่ละใบ

คุณหล่ะครับ คิดเห็นด้วย เห็นแย้งอย่างไร ร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ครับ

ขอบพระคุณมากครับ

เม้ง สมพร ช่วยอารีย์

หมายเลขบันทึก: 104000เขียนเมื่อ 17 มิถุนายน 2007 11:14 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 มิถุนายน 2012 11:19 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (42)
ธรรมะกับการศึกษา
ลำดับที่
ธรรมะกับการศึกษา เรื่อง...
คลิกฟัง/
คลิกขวาดาวน์โหลด
หลักสิกขา: ความจริงแห่งธรรมชาติของมนุษย์ที่เป็นสัตว์ฝึกได้
คลิ๊กฟังเสียงธรรมเทศนา
2 ทางแยกแห่งชีวิต ที่เริ่มจากอายตนะ (1. สายความรู้สึก 2. สายความรู้)
คลิ๊กฟังเสียงธรรมเทศนา
สู่ชีวิตแห่งการศึกษาและสร้างสรรค์ บนฐานของอายตนะ ๖
คลิ๊กฟังเสียงธรรมเทศนา
โรงเรียนต้องช่วยสังคมไทย อนุรักษ์ความเจริญทางจิตใจและก้าวไปในปัญญา
คลิ๊กฟังเสียงธรรมเทศนา
ฝึกคนเริ่มต้นที่ไหน
คลิ๊กฟังเสียงธรรมเทศนา
ถ้าเชิดชูพระคุณแม่ขึ้นมาได้ การศึกษาไทยก็ยังไม่สิ้นความหวัง
คลิ๊กฟังเสียงธรรมเทศนา
การศึกษาอย่างพุทธต้องถึงธรรมชาติ
คลิ๊กฟังเสียงธรรมเทศนา
ฟื้นวินัยชาวพุทธขึ้นมา ให้เป็นวิถีของสังคมไทย
คลิ๊กฟังเสียงธรรมเทศนา
กุญแจไขความสำเร็จในยุคข่าวสารข้อมูล
คลิ๊กฟังเสียงธรรมเทศนา
๑๐
เดินหน้าไปเป็นพุทธอย่าหยุดแค่เป็นพรหม
คลิ๊กฟังเสียงธรรมเทศนา
๑๑
การศึกษากับเศรษฐกิจ : ฝ่ายไหนจะรับใช้ฝ่ายไหน
คลิ๊กฟังเสียงธรรมเทศนา
๑๒
การศึกษาแนวพุทธ
คลิ๊กฟังเสียงธรรมเทศนา
๑๓
เด็กยุคนี้โชคดี แต่จะจมอยู่กับที่หรือก้าวหน้าไป
คลิ๊กฟังเสียงธรรมเทศนา
๑๔
ครูไทยยุคไอที
คลิ๊กฟังเสียงธรรมเทศนา

บทความด้านบน อ้างอิงต่อยอดจาก คลิปในลำดับที่ 4 

ของดีที่อยากจะฝากและเน้นแล้วเน้นอีก จาก http://www.dhammathai.org/sounds/pa_payutto/papayutto_edu.php

 

ขอบคุณบันทึกนี้มากค่ะ ทำให้ระลึกถึงเมื่อตอนที่เป็นเด็ก เคยไปถกกับพระท่านหนึ่งที่วัดแห่งหนึ่งในขอนแก่น ก็สงสัย ถามท่านว่า ทำไมต้องนั่งสามาธิ ได้อะไร จะไม่เป็นการเห็นแก่ตัวเหรอที่ไม่ทำงานทำการ จำไม่ได้แล้วว่าท่านตอบว่าอย่างไร แต่อ่านบันทึกนี้ ได้คำตอบที่ชัด คือ เพื่อนิพพาน และเผยแพร่ต่อไป เน้นให้เห็นนว่า พระธรรม คำสั่งสอน นั้นสำคัญ จริงๆ 

  • Wow !!!! พี่เม้ง นำสิ่งดี ๆ มาแบ่งปันกันอีกแล้ว
  • ขอบคุณมากค่ะ

         สวัสดีค่ะ...

         สำหรับ แหววแล้ว ศรัทธาในคำสอนของพระพุทธเจ้า 100 % ถึงแม้ว่าจะมีประสบการณ์อันน้อยนิดเมื่อพูดถึงนิพพาน แต่ก็พอจะรู้ว่าคำสอนท่านมหาบุรุษนั้นจริงแท้และแน่นอน แค่เพียงปฏิบัติตามคำสอนที่ถูกต้องถึงยังไม่ถึงนิพพาน แค่เพียงเริ่มต้น และระหว่างทาง ที่การให้ ด้วย บุญ ทาน ศีล สมาธิ การเจริญสติ สู่ปัญญา ก็มีผลก่อให้เกิดสิ่งดีงามต่อตนเองบุคคล สัตว์ สิ่งรอบข้าง หรือโลกใบนี้อย่างเอนกอนันต์ แล้วเพราะเราจะมีแต่การให้ มีเมตตาจิตมอบให้แก่กัน...ไม่ทำร้ายกัน การดำเนินชีวิตด้วยสติ ย่อมไม่ประมาท ปัญญา ทำให้เราปฏิบัติสิ่งต่างๆที่เหมาะที่ควรก่อเกิดความสุข ความเจริญงอกงามในทางกุศลตามคำสอนดังกล่าวมาแล้ว และเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อตนเอง-สรรพสิ่ง เห็นมั้ยคะ..เพียงแค่เริ่มต้น ยังไม่ต้องถึงนิพพาน ก็เกินคุ้ม..เพียงแต่ว่า " ต้องปฏิบัติได้ถูกต้องตามหลักคำสอน มิใช่เบี่ยงเบนกันไปตามความคิดและการปฏิบัติที่เกิดจากความไม่รู้ หรือไม่เข้าใจ หรือไปเห็นคนที่ทำไม่ถูกเป็นประสบการณ์ "ค่ะ

       ขอบคุณนะคะที่มีบันทึกนี้ช่วยกันทบทวนคำสั่งสอนของพระองค์ที่ถูกต้องดีงามกันต่อๆไป...ขอร่วมขบวนด้วยคนค่ะ เพราะว่า...กำลังพยายามเดินให้ถูกทางของพระองค์เช่นเดียวกัน ...

ปล. ตามเอาต้นไม้มาให้ 1 กระถางค่ะ (1 ต้น)

 

สวัสดีค่ะ

ตรงนี้ช่างสะท้อนสังคมไทยได้ชัดแจ่มมากๆ เลย ว่าคนที่ประสบผลสำเร็จในด้านต่างๆ แล้ว จะหยุดแค่นั้น หรือจะทำเพื่อสังคมต่อไป จะทำแค่นั้นหรือจะทำเหมือนต้นไม้ที่ยกตัวอย่างมาโดยที่เทียบบุคคลเท่ากับใบไม้แต่ละใบ

ส่วนใหญ่คนที่ประสบความสำเร็จแล้วมาช่วยสังคมในรูปของเงิน ด้วยมิหวังผลตอบแทนมีหรือ นอกจากมีจนล้นเหลือ

แต่มาช่วยบ้างก็ยังดีกว่าไม่ช่วย แล้วได้การหักลดหย่อนภาษีกลับไป แต่ถ้า มาช่วยเชิงวิชาการ ช่วยด้านคิดอ่าน   มีมากค่ะ

คนที่จะมาช่วยในด้านเงินได้มากๆในประเทศเรา คิดว่า น้อย เพราะไม่มีใครรวยมากอย่าง Bill Gates นะ นั่นรวยจนไม่รู้จะเอาไปทำอะไร แต่เขาก็ได้หักภาษีเป็นการตอบแทนด้วย  นับถือเขาค่ะ เขามีใจแบ่งปันสูงมาก

เคยถามหลายๆคนมาก คนที่อยู่ในวัยทำงาน เขาบอกว่า เขาก็ช่วยสังคมอยู่ทุกเดือนแล้วนะ ไม่ใช่ไม่ช่วยกัน  ถูกหักภาษีเยอะแยะด้วยความเต็มใจ

ไม่อยากเห็น การเรียกร้อง การช่วยเหลืออะไรกันมากมายเลย ในรูปของเงิน  คนเรากว่าจะประสบความสำเร็จ มันเหนื่อยมากนะ ร่างกายและจิตใจถูกบั่นทอนไปมาก ด้วยความเครียด  การสู้ชีวิตอย่างไม่ท้อถอย  ล้มลุกคลุกคลาน 

อยากให้เราคิดพึ่งตัวเองเป็นอันดับแรกมากกว่า แล้วค่อยพึ่งคนอื่น ขยันขันแข็ง ไม่ยุ่งอบายมุข ทำงานแบบมี ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา

ตัวดิฉันเอง ก็ช่วยสังคม เท่าที่มีกำลังมานานแล้วค่ะ ในทุกรูปแบบ

บางทีเราอยู่ในสังคมอุปถัมภ์มากไปนิด ถึงได้มีวงจรอะไรๆอย่างที่เห็นไง

เอ๊ะ คุณเม้งโกรธหรือเปล่า ที่พูดนี่

สวัสดีค่ะ

ตนเป็นที่พี่งของตน  คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งแท้จริงได้ มีตนที่ฝึกดีแล้วนั่นแหละ ชื่อว่าได้หาที่พึ่งที่หาได้ยาก

         แท้ที่สุดแล้ว ตนเองต้องพึ่งตัวเอง.....ทำอย่างไรจะพึ่งตนเองได้

         การทำตนให้เป็นที่พึ่งแห่งตนได้ ก็คือการศึกษา การศึกษาจะทำอย่างไรให้สามารถทำตนให้เป็นตนเองได้..."

นี่ละ ถูกต้องที่สุดแล้ว  ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน อย่าไปหวังที่คนอื่นเลย ยืนบนขาตัวเอง แล้วจะภาคภูมิใจ

แต่เราจะพึ่งตัวเองได้ ต้องฝึกตัวเองมาเป็นอย่างดีค่ะ คือการศึกษา ทำอย่างไรจึงจะกระตุ้น ให้เด็กๆ รักการอ่าน การเรียน การใฝ่รู้ ให้มากที่สุด นี่คือ สิ่งที่เราต้องช่วยกันให้มากๆเพื่อลูกหลานในอนาคต

โอกาสในโลกนี้มีมากมายนัก  เปิดกว้างให้คนที่มีการศึกษา และมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต บวกด้วยการมีเศรษฐกิจพอเพียง ในความเห็นของดิฉันนะคะ เราไปได้แน่นอนค่ะ

P

สวัสดีครับคุณใบบุญ

  • ขอบคุณมากๆ เลยครับ ผมก็สงสัยเหมือนที่คุณสงสัยเหมือนกันครับ ว่าทำไมต้องนุ่งขาวห่มขาว ทำไมต้องไปนั่งสมาธิที่วัด นั่งไปเพื่ออะไร มีสมาธิในตลาดสดได้ไหม
  • จริงๆ คงไม่ต้องถึงขั้นนิพพานหรอกใช่ไหมครับ เราก็ช่วยได้แล้ว เพียงแต่เราจะช่วยได้แค่ไหน ดังนั้น การรับมา  การพึ่งพาตนเอง และช่วยเหลือสังคม น่าจะทำให้กระบวนการสมดุลได้
  • ขอบคุณมากๆ เลยครับ ผมชอบคำว่า ใบบุญ จังครับ ดูแล้วเป็นการเจริญเติบโตของใบที่สอดคล้องกับต้นไม้ที่ผมเสนอมา ตามหลักการช่วยเหลือของต้นไม้ด้วยกันครับ
  • ขอบคุณมากครับ
P
FAH

สวัสดีครับคุณฟ้า

ยินดีต้อนรับครับผม ขอบคุณเช่นกันครับผม สนุกในการทำงานครับ

P

สวัสดีครับน้องมะปราง

ขอบคุณมากครับ หากจะเป็นประโยชน์นะครับผม สนุกในการทำงานครับป๋ม

  • เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ
  • คนที่สอนตัวเองก่อนให้ไปถึงเป้าหมายได้ จะรู้ลึก รู้จริง เวลาสอนคนอื่น ก็ไม่พาเดินหลงทาง
  • เป็นกุศโลบายที่คุณเม้งยกขึ้นมาพูดได้กระจ่างมากครับ
  • นับถือ..นับถือ..

สวัสดีครับคุณเม้ง

ชอบประโยคนี้ครับ หลักสำคัญที่น่าคิดคือ   รับการช่วยเหลือ   สร้างเองได้  ช่วยเหลือผู้อื่นต่อ

ขอเสริมสิ่งที่ผมได้รับการสั่งสอนมาจากครูบาอาจารย์ว่า "ตนเตือนตนไม่ได้ ใครเล่าเขาจะเตือน"

สำหรับเรื่องของผู้ที่ปฏิบัติเพื่อนิพพาน ที่หลายๆคนมองว่าเอาตัวรอดเพียงคนเดียว ผมมองว่าถ้าผู้ใดปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ถึงแม้จะยังไม่ฝั่งฝัน ความดีนั้นสามารถล้นออกมาได้แม้ว่าน้ำนั้นจะยังไม่เต็มโอ่งครับ

ขอบคุณมากครับ

สวัสดีครับท่าน ที่บรรลุสัจจธรรม

P

สวัสดีครับท่าน ที่เคารพ ทุกท่าน

 แก่นแท้ของคำว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" กับธรรมชาติ

ถ้าเอาแต่  "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"     ความหมายมีค่าเท่ากับคนในเชิงเห็นแก่ตัว ปฏิเสธสังคม ความสัมพันธ์ในสังคม  การมองสังคมในแง่ลบ

แต่กลับว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" กับธรรมชาติ   ความหมาย ที่จะต้องพึ่งพิงธรรมชาติ

เรามามองแก่นแท้ของมัน

ภาวะสังคมปัจจุบัน  ได้แปรเปลี่ยนความสัมพันธ์ทางสังคมไปสู่ยุคทุน   ภาวะความเอื้อกันในชุมชนได้แปรเปลี่ยนไปสู่สังคมชุมชนตัวใครตัวมัน  นิยาม ของ  "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"     ก็ได้แปรเปลี่ยนไปสู่การเห็นแก่ตัวมากขึ้น

การประกอบกันขึ้นในชุมชน ตำบล อำเภอ จังหวัด จนถึงประเทศชาติ  ความสัมพันธ์กันในรูปแบบที่หลากหลาย   การปฏิสัมพันธ์ก็พัฒนากันไปไม่มีวันสิ้นสุด

การศึกษาเพื่อความรู้ แปรเปลี่ยนไปสู่ การศึกษาเพื่อปัจจัย   การรับรู้  การนึกคิด  กลับกลายเป็น ความชอบธรรม ไปสู่ความขอความเป็นธรรม 

คนรวย บริจาค กลายเป็นความดี คนดี

คนจน ต้องยึดคติประจำใจ ว่า  "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"  

คนที่มีความมั่นคงก็ มีคติคาถาใหม่ประจำใจ "ความพอเพียง"

หมู่มวล ธรรมชาติ แมกไม้ สัตว์ป่า  อยู่ได้เพราะความสมดุลย์ทางธรรมชาติ 

แก่นของความอยู่ดีกินดี ของสังคมมนุษย์ คือ ความสมดุลย์ทางสังคม 

การเรียกร้อง "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" "ความพอเพียง" "การทำบุญ" "บริจาค"     แก่นแท้คือ การถ่ายเทความสมดุลย์ในสังคมและความอยู่รอดของมนุษย์ชาติ  ที่บัญญัติขึ้นเองว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ 

พระพุทธองค์ ไม่ได้บรรลุนิพานเพื่อตนเอง  ทรงเผยแผ่ธรรมะ มีเครื่องมือคือ ธรรมะ  มีตัวแทนพระองค์คือพระสงค์

  • พวกเราจะไปสู่หนทางแห่งความสมดุลย์แล้วหรือยัง
  • พวกเราจะเห็นถึงแก่นของมันแล้วหรือยัง
  • พวกเราจะมีวินัยกันหรือยัง
  • พวกเราจะศึกษา และ เห็นความสำคัญทางการศึกษาแล้วหรือยัง
  • พวกเราจะเข้าใจชุมชนได้ดีพอแล้วหรือยัง
  • แล้ว..........พวกเราจะไปไหนไปกันแล้วหรือยัง

ขอบคุณมากๆครับที่ให้โอกาสผม

มาตั้งวงน้ำชากัน...................................

 

P

สวัสดีครับคุณแหวว

 

ขอบคุณมากครับผม แม้จะมีเพียงใบเดียวแต่ก็เป็นใบที่ทรงพลังมากๆ เพราะสามารถเลี้ยงดูชูก้านดอก สวยใสได้อย่างอิ่มเอมใจครับ

ชอบคำนี้ด้วยครับ การให้ ด้วย บุญ ทาน ศีล สมาธิ การเจริญสติ สู่ปัญญา  ท้ายที่สุดจบลงด้วยที่ปัญญาครับ

ผมเองก็ไม่ได้ฝึกปฏิบัติอะไรมากนะครับ แค่ยังเดินอยู่ที่ชายภูเขาเลยครับ คงอีกนานครับ ว่าจะถึงยอดเขานะครับ แต่แม้ว่าเรายังไม่ถึงยอดเขา ก็อาจจะมีโอกาสช่วยคนอื่นไปพร้อมๆ กันได้เช่นกันครับ แต่หากไปถึงยอดเขาด้วยการสำรวจแล้ว เสร็จผ่านแล้ว ก็มาช่วยคนอื่นด้วยก็เป็นการดีมากๆ เลยครับ บอกกระบวนการเดินสู่ยอดเขา ด้วยธรรม ด้วยปัญญา มีสติ

ขอบคุณมากๆ เลยนะครับ

สัตว์ทุกประเภทพึ่งตนเองได้ดี เป็นแบบอย่างมนุษย์ได้ ขอบใจที่เอาความรู้ดีๆมาฝากสม่ำเสมอ ขยันทำความดีไม่เสียหลาย ช่วยให้ผมบรรเทาโง่ได้

มาคารวะท่านครูบาฯ  ปราชญ์ชาวบ้าน

P

สวัสดีอีกครั้ง ท่านเม้ง

P

ตนเป็นที่พี่งของตน

 ตรงนี้ช่างสะท้อนสังคมไทยได้ชัดแจ่มมากๆ เลย ว่าคนที่ประสบผลสำเร็จในด้านต่างๆ แล้ว จะหยุดแค่นั้น หรือจะทำเพื่อสังคมต่อไป จะทำแค่นั้นหรือจะทำเหมือนต้นไม้ที่ยกตัวอย่างมาโดยที่เทียบบุคคลเท่ากับใบไม้แต่ละใบ

ข้อความสองเรื่องที่มีส่วนคล้ายกับมีส่วนต่าง

พึ่งตนเองจนสำเร็จแล้วมาช่วยสังคม  แหมช่างดีแท้ๆ สังคมเราไม่มีความแตกต่างด้านความคิด ไม่ขัดแย้งความเจริญก็ไม่มี  แต่ภายใต้ความแตกต่างคงอยู่ซึ่งความสัมพันธ์   การพัฒนา การศึกษา การแลกเปลี่ยน การรวบรวมสรุป  การเปลี่ยนแปลง การถ่ายเท ไปสู่การเคลื่อนไหวไปสู่ความสำเร็จ

ชุมชน g2k ไปได้ดีเพราะมีคนแบบเม้ง  อยากมีหลายๆเม้งจังเลย

น้อรก......................................................

 

P

สวัสดีครับพี่ศศินันท์

  • ขอบคุณมากครับผม
  • การให้ที่แท้จริง ผมว่าคือการให้การศึกษา เพราะการศึกษานั้น หรือคำแนะนำ ชี้แนะ แนะแนว เป็นการให้ข้อคิดที่ดี ที่ทำให้คนคิดได้ และอยู่กับเค้าตลอดไป
  • การให้เงินนั้น ใช่ว่าจะอยู่ตลอด เพราะเค้าไม่รู้จักว่าจะหาเงินได้อย่างไร การได้เงินมาไม่ควรได้มาอย่างฉาบฉวยมากเกินไป ไม่งั้น ความหมายมันจะไร้คุณค่าสิ้นดี แม้ว่าจะซื้อของได้เท่ากัน
  • การได้เงินมาของบางคน มันง่ายมากนักแต่ตลัดนิ้ว กระดิกลิ้น ก็ได้เงินมาแล้ว แต่ในโลกหนึ่งที่แสนไกลโพ้น ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อท่วมทั้งตัว ทั้งเดือน ก็มิอาจเท่ากับคนส่วนหนึ่งที่ตวัดคำพูดเพียงไม่กี่ประโยค ความเสมอภาคนั้นน่าเศร้าจริงๆ ครับ
  • คนที่พร้อมกลับคิดอีกแบบ คนไม่พร้อมกลับคิดอีกแบบ หาความสมดุลยากยิ่งนัก แม้ว่าผู้คนล้วนแตกต่างกัน แต่ความดีหรือสิ่งดีๆ น่าจะเกิดได้ในคนที่ต่างๆ กันได้ไม่เว้นที่มา

 

  • อยากให้เราคิดพึ่งตัวเองเป็นอันดับแรกมากกว่า แล้วค่อยพึ่งคนอื่น ขยันขันแข็ง ไม่ยุ่งอบายมุข ทำงานแบบมี ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา
  • ตัวดิฉันเอง ก็ช่วยสังคม เท่าที่มีกำลังมานานแล้วค่ะ ในทุกรูปแบบ

    บางทีเราอยู่ในสังคมอุปถัมภ์มากไปนิด ถึงได้มีวงจรอะไรๆอย่างที่เห็นไง

    เอ๊ะ คุณเม้งโกรธหรือเปล่า ที่พูดนี่

  • เราช่วยได้เท่าที่ช่วยได้นะครับพี่ จะรอให้พร้อมหรือนิพพานแล้วกลับมาช่วย เราอาจจะตายเสียก่อนครับ ดังนั้น เราจะช่วยได้เสมอ การช่วยนั้นไม่ใช่เรื่องเงิน ผมเองไม่สามารถช่วยใครได้เลยหากต้องช่วยเรื่องเงิน

  • ระบบอุปถัมถ์ก็เหมือนดาบสองคมที่เราต้องใช้ให้เป็นครับ ถัมถ์เกินไป เราก็จะเสียครับ อันนี้สังคมเค้ามองเราอยู่ตลอดครับ

  • พื้นที่แห่งนี้ ไม่ต้องกังวลเรื่องจะโกรธนะครับพี่ แค่พี่ยินดีให้เกียรติมาคุยกับผมก็เป็นเกียรติกับผมมากแล้วครับ ผมเองยังมีประสบการณ์น้อยนะครับ มีอะไรยินดีเสมอนะครับ

  • ด้วยมิตรภาพนะครับ

ครับ...เพื่อน "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"

แล้วเมื่อตนพึ่งตนเองได้แล้ว จะได้มีโอกาสเป็นที่พึ่งให้คนอื่น ๆ รอบข้างที่ยังพึ่งตนเองไม่ได้ เพื่อสักวันหนึ่งพวกเขาจะได้พึ่งตนเองได้บ้าง...

ขอบคุณมากครับ...

P

สวัสดีครับพี่

  • คำว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตนนี้ จริงๆ แล้วล้วนมีระดับของคำว่าตนอยู่ด้วยครับ คือ
  • ตนคือ ตัวบุคคล
  • ตนคือ ครอบครัว
  • ตนคือ ชุมชน
  • ตนคือ สังคม
  • ตนคือ ชาติ
  • ตนคือ โลก
  • ตนคือ ธรรมชาติ สัตว์ สิ่งมีชีวิตอื่นๆ
  • หาก ตนคือตัวบุคคล ทำแล้วให้ด้วยแล้ว ผมเชื่อว่า โลกนี้คงไม่เจอปัญหามากมาย
  • เมื่อไหร่ครับ ที่เราจะ แทน ห. ด้วย ญ. ตัวปัญหา จะได้เปลี่ยนเป็นตัว ปัญญา ครับ

แต่เราจะพึ่งตัวเองได้ ต้องฝึกตัวเองมาเป็นอย่างดีค่ะ คือการศึกษา ทำอย่างไรจึงจะกระตุ้น ให้เด็กๆ รักการอ่าน การเรียน การใฝ่รู้ ให้มากที่สุด นี่คือ สิ่งที่เราต้องช่วยกันให้มากๆเพื่อลูกหลานในอนาคต

โอกาสในโลกนี้มีมากมายนัก  เปิดกว้างให้คนที่มีการศึกษา และมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต บวกด้วยการมีเศรษฐกิจพอเพียง ในความเห็นของดิฉันนะคะ เราไปได้แน่นอนค่ะ

  • ใช่ครับ การศึกษาสำคัญมากๆ ครับ ตอนนี้สิ่งที่หนักในใจคนไทยก็คือ ทุนนิยมฝังใจ คงต้อง กู้ใจกันก่อนครับ ก่อนจะได้เอา เศรษฐกิจพอเพียงหย่อนเมล็ดลงไปครับ เพราะใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ก็คงหว่านเรื่องนี้ลงไปได้ลำบากเหมือนกันครับ
  • การศึกษาในชุมชน เรียนรู้ตลอดชีวิต อย่างที่พี่ว่าด้วยครับ เพราะการศึกษาผมเชื่อว่า หากการศึกษาในระบบยังไม่ไปไกลกว่านี้ วันหนึ่งจะมีการศึกษานอกระบบและทางเลือก ที่เกิดขึ้นมาแทนแล้วจะนำไปสู่ความยั่งยืนที่แท้จริงก็ได้ครับ
  • คนไทยคงได้มีเวลาทบทวนกัน ตอนนี้ยังคงมีเวลาในการทบทวนกันอยู่ครับ ก่อนที่เราจะถูกกดดันจนไม่มีเวลามาทบทวน
  • ขอบพระคุณมากครับ

สวัสดีครับ

  • เป็นบันทึกที่เยี่ยมมากเลยครับ
  • ขอบคุณครับที่บันทึกมาแบ่งปัน
P

สวัสดีครับท่านอาจารย์

  • ขอบคุณมากครับ ที่แวะมาเยี่ยมเยียนครับ
  • ผมต้องนับถือ นับถือ อาจารย์มากกว่าครับ เพราะผมยังด้อยประสบการณ์มากๆ ครับ เรื่องนี้
  • ขอบพระคุณมากๆ นะครับ
P

สวัสดีครับคุณข้ามสีทันดร

  • ขอบคุณมากๆ นะครับ
  • ยอดเลยครับ  "ตนเตือนตนไม่ได้ ใครเล่าเขาจะเตือน" เด็ดมากๆ นะครับ เตือนตนได้ก่อนคนอื่นเตือน เป็นการสะท้อนตัวเองอย่างน่าศรัทธา ใช่ไหมครับ
  •  ผมมองว่าถ้าผู้ใดปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ถึงแม้จะยังไม่ฝั่งฝัน ความดีนั้นสามารถล้นออกมาได้แม้ว่าน้ำนั้นจะยังไม่เต็มโอ่งครับ
  • อันนี้ผมก็ว่าเด็ดนะครับ ปิดทองหลังพระ จนวันหนึ่งทองมันจะล้นออกมาเอง... คุ้นๆ ใช่ไหมครับ ว่าจากไหนประโยคนี้ครับ
  • ขอบคุณมากๆนะคับที่เข้ามาร่วมกันแลกเปลี่ยนครับ
  • โชคดีนะครับ
P

การศึกษาเพื่อความรู้ แปรเปลี่ยนไปสู่ การศึกษาเพื่อปัจจัย   การรับรู้  การนึกคิด  กลับกลายเป็น ความชอบธรรม ไปสู่ความขอความเป็นธรรม 

คนรวย บริจาค กลายเป็นความดี คนดี

คนจน ต้องยึดคติประจำใจ ว่า  "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"  

คนที่มีความมั่นคงก็ มีคติคาถาใหม่ประจำใจ "ความพอเพียง"

--------------------------------------

  •  ตอนนี้หากใจเต็มไปด้วยวัตถุนิยม ก็ต้องใช้อะไรกู้ใจคืนนะครับ ได้มาซักครึ่งก็ดีครับ ด้านหนึ่งคือ สังคมสุดๆ ด้านหนึ่งคือ ทุนนิยมสุดๆ หากทางสายกลางครับ
  • คนรวย บริจาค กลายเป็น ความดี คนดี ตรงนี้อยู่ที่เจตนาครับ เพราะคนรวยเป็นคนดีได้ และคนจนก็เป็นคนดีได้ครับ

 --------------------------------------

หมู่มวล ธรรมชาติ แมกไม้ สัตว์ป่า  อยู่ได้เพราะความสมดุลย์ทางธรรมชาติ 

แก่นของความอยู่ดีกินดี ของสังคมมนุษย์ คือ ความสมดุลย์ทางสังคม 

การเรียกร้อง "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" "ความพอเพียง" "การทำบุญ" "บริจาค"     แก่นแท้คือ การถ่ายเทความสมดุลย์ในสังคมและความอยู่รอดของมนุษย์ชาติ  ที่บัญญัติขึ้นเองว่าเป็นสัตว์ประเสริฐ 

พระพุทธองค์ ไม่ได้บรรลุนิพานเพื่อตนเอง  ทรงเผยแผ่ธรรมะ มีเครื่องมือคือ ธรรมะ  มีตัวแทนพระองค์คือพระสงค์

  • พวกเราจะไปสู่หนทางแห่งความสมดุลย์แล้วหรือยัง
  • พวกเราจะเห็นถึงแก่นของมันแล้วหรือยัง
  • พวกเราจะมีวินัยกันหรือยัง
  • พวกเราจะศึกษา และ เห็นความสำคัญทางการศึกษาแล้วหรือยัง
  • พวกเราจะเข้าใจชุมชนได้ดีพอแล้วหรือยัง
  • แล้ว..........พวกเราจะไปไหนไปกันแล้วหรือยัง

--------------------------------------

  •  คำตอบคือว่า พร้อมแล้ว....แต่เมื่อไหร่จะทำสักที ฮี่ๆๆๆ
  •  มันก็เลยย้อนกลับมาว่า ยังไม่ได้เริ่มทำ แสดงว่าไม่พร้อมหรือเปล่า
  •  คำตอบอยู่ที่ชุมชน....ชาวบ้านรอฟังคำถามอยู่ครับ เราจึงต้องไปที่ชุมชนครับ

--------------------------------------

ขอบคุณมากๆครับที่ให้โอกาสผม

--------------------------------------

  • ขอบคุณมากๆ เลยครับ พี่เหลียง สำหรับ คำคมๆ เด็ดๆ ข้างในฝัก
  • ขอร้อนๆ กว่านี้อีกนิดครับผม ขอบคุณมากครับ

สวัดสดีครับคุณเม้ง
ต้องขอขอบคุณครับที่นำสิ่งดี ๆ
มาให้ได้อ่านและรวบรวมครับ
ครับทุกคนต้องพึ่งตนเองก่อนครับ
เมื่อตนพึ่งได้แล้ว และพอเพียง
พอมี พอเหลือ พอใช้
ก็นำไปช่วยคนอื่นที่เขาไม่สามารถ
ช่วยเหลือตนเองได้ เพื่อให้เขาช่วยตนเอง
และพึ่งตนเองได้ต่อไปครับ หรือแม้นทรัพย์สิน
เงินทองไม่มี การให้กำลังใจก็เป็นสิ่งสำคัญครับ

P

สวัสดีครับท่านครูที่เคารพ

  • ขอบพระคุณมากครับ สำหรับคำเด็ดๆ

สัตว์ทุกประเภทพึ่งตนเองได้ดี เป็นแบบอย่างมนุษย์ได้ ขอบใจที่เอาความรู้ดีๆมาฝากสม่ำเสมอ ขยันทำความดีไม่เสียหลาย ช่วยให้ผมบรรเทาโง่ได้

  • ทำให้ผมคิดถึง การที่คนคิดว่า มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ เลยครับ บางทีทำให้ผู้คิดว่าทำไมคนเราเห็นแก่ตัวจังที่จะไปว่าสัตว์ ว่า เดรัจฉาน เราคิดเอาเองหรือเปล่าครับ ท่านครู
  • ช่วยไขปัญหาหน่อยครับ ...ท่านอื่นคิดว่าอย่างไร ทั้งๆ ที่สัตว์ เค้าก็มีกระบวนการของเค้า พืชเองก็เช่นกันนะครับ
  • แต่ที่เจ็บหนักกว่านั้นคือ คนที่ได้ชื่อว่าสัตว์ประเสริฐนั้น อย่าได้คิดว่าทุกคนจะเป็นสัตว์ประเสริฐได้ และผมก็ไม่เชื่อว่าทุกคนจะเป็นสัตว์ประเสริฐได้ หากไม่พร้อมด้วย การคิดดี ทำดี แก้ปัญหาดี รับดี และให้ดี แล้ว น่าจะมีส่วนหนึ่งที่เป็นเงื่อนไขของคำว่าประเสริฐนี้ด้วยครับ
  • ท่านอื่นเห็นว่าอย่างไรครับ ร่วมแลกเปลี่ยนนะครับ
P

สวัสดีครับพี่เหลียง

  • ขอบคุณมากคับ มากมุกแบบชงกันเอง ตบกันเองเลยหรือครับ (ตะกร้อ นะครับ)
  • อย่าได้สรุปนะครับ เดี๋ยววันหนึ่งผมเกิดพลิกลิ้นขึ้นมาแย่เลยครับพี่... ดูกันไปนานๆ นะครับ ยิ่งลิ้นไม่ค่อยมีกระดูกอยู่นะครับ ฮี่ๆๆๆ แซวเล่นนะครับ
  • ไม่มีใครทำงานใหญ่ได้ด้วยตัวคนเดียวครับ คำตอบอยู่ที่สังคม....คำถามก็รอคำตอบอยู่ที่นั่น
  • ขอบพระคุณมากครับ
P

สวัสดีครับเพื่อน

แล้วเมื่อตนพึ่งตนเองได้แล้ว จะได้มีโอกาสเป็นที่พึ่งให้คนอื่น ๆ รอบข้างที่ยังพึ่งตนเองไม่ได้ เพื่อสักวันหนึ่งพวกเขาจะได้พึ่งตนเองได้บ้าง...

  • ขอบคุณมากเลยครับผม เราต้องเดินไปเป็นเครือข่ายครับ เปลี่ยนจาก ตนที่เป็นบุคคล ให้เป็น ตนที่เป็นครอบครัว ชุมชน ... ใหญ่ไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่ง ก็จะเป็น ไทยทำ ไทยใช้ ไทยพัฒนา..... ไทยยั่งยืน โดยไม่ต้องฟื้นฟู นะครับ
  • ขอบคุณมากครับ

 

P

สวัสดีครับพี่ชาญวิทย์

  • สบายดีไหมครับพี่ นานแล้วไม่ได้ไปทักทายที่บ้านพี่เลยครับ
  • ขอบคุณมากๆ เลยครับ ที่มาเยี่ยม รักษาสุขภาพด้วยนะครับผม ฝากสวัสดีเมืองคอนด้วยนะครับ
  • ขอบคุณมากครั้บ
สวัสดียามค่ำค่ะพี่เม้ง สบายดีนะค่ะ ที่โน่น อากาศเป็นยังไงคะ ที่นราธิวาส ฟ้ามืดตลอดวัน มีฝนช่สงเช้านิหน่อยค่ะ พรุ่งนี้ต้าต้องเป็นกรรมการประกวดร้องเพลงสากล ค่อนข้างกังวล เพราะถนัดแต่สอนภ.อังกฤษ ไม่ค่อยร้องเท่าไร ไม่รู้จังหวัดเลือกต้าไปเป็นกรรมกร เอ๊ย..กรรมการได้ไง ดูแลสุขภาพนะคะ....
P

สวัสดีครับคุณประเสริฐ

  • ยินดีต้อนรับนะครับผม ขอบคุณมากๆ เลยครับสำหรับการให้เกียรติมาเยี่ยมนะครับ

ครับทุกคนต้องพึ่งตนเองก่อนครับ
เมื่อตนพึ่งได้แล้ว และพอเพียง
พอมี พอเหลือ พอใช้
ก็นำไปช่วยคนอื่นที่เขาไม่สามารถ
ช่วยเหลือตนเองได้ เพื่อให้เขาช่วยตนเอง
และพึ่งตนเองได้ต่อไปครับ หรือแม้นทรัพย์สิน
เงินทองไม่มี การให้กำลังใจก็เป็นสิ่งสำคัญครับ

  • ขอบคุณมากๆ เลยนะครับ สำหรับข้อเติมเต็มที่น่าประทับใจนะครับ
P

สวัสดีครับน้องต้า

ที่นี่มืดฝนนิดหน่อยนะครับ แต่สบายกันดีนะครับ เป็นห่วงทางใต้มากกว่า หลบฝนบ้างนะครับ ยังไงเรื่องการไปทำหน้าที่กรรมกร ก็ขอให้ทำงานเต็มที่นะครับ อย่าตอกตะปูพลาดไปโดนที่นิ้วเข้าหละครับ ฮี่ๆๆ แซวเล่นครับผม  ดีแล้วหล่ะครับ ได้ทำงานที่ไม่เป็นงานประจำบ้าง ประสบการณ์ดีๆ จะตามาเองนะครับ

รักษาสุขภาพเช่นกันครับ

สวัสดีครับท่านพี่ที่เคารพ

  • นิพพาน นั้นเป็นจุดหมายสูงสุดของผู้ที่เป็นพุทธศาสนิกชน(ที่แท้จริง)
  • นิพพาน ไม่ได้แปลว่าความตาย  เพราะถ้าแปลเช่นนั้น  พระพุทธเจ้าตรัสรู้เสร็จก็คงปรินิพพานเลย
  • นิพพาน ไม่ได้เป็นการเห็นแก่ตัว  เพียงแต่เป็นการเอาตัวเองให้รอดแบบถาวร  แล้วค่อยมาช่วยผู้อื่น  จะสังเกตได้ว่าผู้บรรลุนิพพานจะทำงานหนักกว่าคนธรรมดาอย่างเราเสียอีก เช่น  พระพุทธองค์  และสาวกเป็นตัวอย่าง
  • การที่พระพุทธองค์ให้สาวกที่บรรลุอรหันต์(นิพพาน)แล้วนั้นไปประกาศพระศาสนา  ก็เพื่อความไม่ผิดเพี้ยน  และแน่ใจได้ว่าท่านได้เผยแผ่ได้ถูกต้อง(ในธรรม)
  • แต่ในโลกปัจจุบันนี้  ผู้ที่บรรลุนิพพานคงหายากนัก  และปัญญาอย่างเราๆ คงไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร  แต่ก็พอทราบได้ลางๆ จากวัตรปฏิบัติของท่าน
  • ผมว่าเราไม่จำเป็นต้องรอให้ผู้ที่บรรลุนิพพานมาสอน  เพราะเราไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร  แต่ควรให้ผู้ที่มีธรรมเหนือกว่า  และมีกำลังมากกว่า  ช่วยเหลือผู้ที่มีกำลังด้อยกว่า  พร้อมกันนั้นก็ช่วยสังคมไปด้วย
  • แต่เราต้องตระหนักอย่างหนึ่งว่า  สิ่งที่เราสั่งสอนกันเองนั้นมีโอกาสผิดพลาด(ในธรรม) สูงมาก  ฉะนั้นเราต้องหมั่นตรวจสอบกันเอง  ตรวจสอบตัวเอง  และปรึกษาบัณฑิต  และกัลยาณมิตร
  • ส่วนการจะบรรลุนิพพานได้นั้น  เราต้องพึ่งการศึกษา  การศึกษาที่ตรงกับคำว่า สิกขา หรือ ไตรสิกขา ในพุทธศาสนา  แยกย่อยเป็น  ศีล  สมาธิ  และปัญญา
  • หรือรวมเป็นข้อเดียวก็ได้คือ อริยมรรค  หรือ มรรคมีองค์ ๘ ครับ
ธรรมะสวัสดีครับ

สวัสดีครับอาจารย์

            ขอบคุณมากครับ   ที่แบ่งปัน    เป็นความรู้ที่มีคุณค่ามากครับ

  • สวัสดีค่ะ
  • พี่หายไปหลายวันเนื่องจากติดภารกิจงานประจำเปิดเทอมใหม่ คุณพ่อไม่สบาย
  • สบายดีนะคะ แล้วจะตามมาคุยใหม่นะ
P

สวัสดีครับน้องธรรมาวุธ

  • ยินดีต้อนรับน้อง หายไปนาน
  • ขอบคุณมากๆ เลยครับ ที่นำความชุ่มฉ่ำทางธรรมะ มาฝาก ทำให้พี่เข้าใจอะไรมากขึ้นครับ
  • พี่กำลังคิดเล่นๆ ว่า พระพุทธองค์และสาวกที่นิพพานแล้วนั้น ไม่น่าจะทำงานหนักนะครับ เพราะว่าท่านเหล่านั้น มีความสุขที่ได้ทำงานเหล่านนั้น ความสุขน่าจะอยู่ในทุกสิ่งที่พระองค์ท่านทำครับ
  • ขอบคุณมากๆ เลยครับ พี่เองยังห่างไกลมากครับ ตอนนี้แค่คิดเรื่องสังคมก็สับสนแล้วครับ โดยเฉพาะเรื่องการศึกษาครับ
  • ขอบคุณมากครับ
P

สวัสดีครับ

  • ยินดีต้อนรับครับท่านเขียวมรกต
  • ขอบพระคุณมากๆ เลยครับ ที่ท่านมาเยี่ยมและให้ความรู้หลายๆ เรื่องทางด้านการเกษตรนะครับ
  • ขอบพระคุณมากๆ และสนุกกับการทำเกษตรนะครับ
P

สวัสดีคับพี่อัมพร

  • ขอบพระคุณมากเลยครับ ทั้งๆที่ยุ่งๆ ก็ยังเข้ามาทักทาย ศรัทธาน้ำใจจริงๆนะคับ
  • ขอให้คุณพ่อหายไวๆ นะครับ รักษาสุขภาพเช่นกันนะครับ
  • ขอบคุณมากๆ นะครับ
  • สวัสดีครับ
  • โลกทั้งผองเป็นพี่น้องกัน   นี่เป็นภาษาธรรม
  • มนุษย์เรา  พยามจะอธิบาย ธรรมะ  ด้วยการยกอุปมา  เปรียบเทียบจากโลกของวัตถุที่จับต้องได้  เพื่อสื่อให้ไปถึง ธรรมะ นั้น   ซึ่งก็ได้แต่ไม่ทั้งหมดหรอกครับ
  • หากเราเอาตัวเราเป็นตัวตั้งก็จะไม่เข้าใจคำว่า  เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว
  • หากเราคิดว่าสรรพสิ่งล้วนเชื่อมโยงกัน  เป็นปัจจัยหนุนเนื่องกัน   เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ  ก็จะเกิดการเคารพซึ่งกัน   เรารักธรรมชาติ  ไม่ได้เป็นเจ้านายมัน  ก็จะไม่ทำลาย  แต่จะเกื้อหนุนกัน  เป็นต้น  
  • เราจะพบสันติสุขลึกที่สุดและมีอิสรภาพ   ความรุนแรง  ความขัดแย้งก็จะไม่มี
  • ขอบคุณครับ  สวัสดี
P

สวัสดีครับพี่แท็ฟส์

  • สบายดีไหมครับ ขอบพระคุณมากเลยครับ ที่มาช่วยเติมเต็มความเห็นและข้อคิดดีๆ นะครับ
  • ดีมากๆ เลยครับ เราเป็นแค่ผงละอองที่ล่องลอยในโลกานิเวศน์ จะบังอาจควบคุมโลกานิเวศน์ได้อย่างไร หากเอาโลกานิเวศน์เป็นตัวตั้ง แล้วเอาคนเป็นตัวหาร ไม่ใช่หารแบ่งพื้นที่กันนะครับ แต่หาญกล้าที่จะรักษาโลกานิเวศน์ให้อยู่สืบไป
  • กราบขอบพระคุณมากครับพี่ รักษาสุขภาพและส่งกำลังใจสำหรับคนทำงานครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท