ผมลองเรียบเรียบบทความที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ Hermeneutics
จากบทความที่พระอาจารย์ พระมหา ดร. หรรษา
มอบให้สองชิ้นครับ โดยผมพยายามนำเสนอภาพของ Hermeneutics
ในสามประเด็นคือ ประวัติศาสตร์ในภาพรวมกับศาสตร์สายอื่น ๆ
วิวัฒนาการที่ผมแบ่งเป็นสามยุคคือ คลาสสิกที่เริ่มจากสมัยเพลโต
อริสโตเตล จนถึง ชไลเมอรเชอร์ ยุคกลางอยู่ในรอยต่อระหว่าง
ชไลเมอร์เชอร์จนถึงดิลทธียร์ และยุคใหม่หลังจาก
ดิลทธีย์เป็นต้นมา ซึ่งหลายคนเป็นที่รู้จัก เช่น
กาดาเมอร์ที่มีชีวิตอยู่ข้ามศตวรรษ
ส่วนในประเด็นสุดท้ายผมพยายามเปรียบเทียบ Hermeneutics
กับศาสตร์สายอื่น ๆ ครับ
สิ่งที่ผมทำมาถึงตอนนี้คือ
ผมเล่าถึงวิวัฒนาการในตอนปลายของยุคคลาสสิกเท่านั้นเอง
โดยเหลือนักคิดอีกสองท่านที่ยังไม่ได้เขียนถึง
แต่ก็ยินดีที่จะนำมาแลกเปลี่ยนกับท่าน ๆ อื่นครับ
คิดเห็นประการใดเชิญแลกเปลี่ยนได้ครับ
เชิญพิจารณาเรื่องราวที่ผมกำลังจะเล่าครับ
สวัสดิ์ พุ้มพวง
อรรถปริวรรตศาสตร์
:
ศาสตร์ว่าด้วยศิลปะแห่งการตีความ[1]
(Hermeneutics: The Science of Interpretation Art)[2]
โดย
นายสวัสดิ์ พุ้มพวง[3]
[email protected]
นักศึกษาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต (พระพุทธศาสนา)
มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยhttp://gotoknow.org/blog/mahachulaphd
เนื้อหาเกี่ยวกับอรรถปริวรรตศาสตร์
ซึ่งจะนำเสนอในที่นี้
เป็นเนื้อหาในเบื้องต้นของศาสตร์สาขานี้
เนื้อหาส่วนใหญ่ที่จะนำเสนอจึงเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของศาสตร์สาขานี้ที่เกี่ยวโยงกับนักปรัชญาในอดีตที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับศาสตร์ดังกล่าว
สำหรับในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนักปรัชญาเหล่านั้น
บทความนี้จะเข้าไป “แตะ”
เนื้อหาในส่วนที่เป็นทัศนะมุมมองของนักปรัชญาเหล่านั้นต่ออรรถปริวรรตศาสตร์ทั้งในด้านเนื้อหาและวิธีการอีกเล็กน้อย
เพื่อให้ผู้อ่านได้เห็น “ภาพจากมุมสูง”
ของอรรถปริวรรตศาสตร์
ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการวางพื้นฐานสำหรับการศึกษาศาสตร์นี้ในระดับที่ลุ่มลึกในโอกาสหน้า
นอกจากนี้
บทความนี้ยังจะได้นำเสนอในเชิงเปรียบเทียบระหว่าง
“อรรถปริวรรตศาสตร์” กับศาสตร์สายอื่น ๆ
มีปรากฏการณ์วิทยา เป็นอาทิ
ว่ามีความเชื่อมโยงกันอย่างไร
ซึ่งน่าจะเป็นการ “วางตอม่อทางความคิด”
ที่ดีสำหรับการเชื่อมโยงความคิดสู่ศาสตร์อื่น ๆ
ในโอกาสต่อไป
สุดท้ายผู้เขียนจะนำเสนอทัศนะในฐานะที่ผู้เขียนศึกษาพุทธศาสตร์ว่า
อรรถปริวรรตศาสตร์จะเป็นประโยชน์อย่างไรในการศึกษาพุทธศาสตร์
ประวัติศาสตร์แห่งศาสตร์กับประวัตศาสตร์แห่งอำนาจ
อรรถปริวรรตศาสตร์
เป็นศาสตร์ในการแสวงหาความรู้แขนงหนึ่งที่มีประวัติความเป็นมายาวนานไม้แพ้ศาสตร์ในการแสวงหาความรู้แขนงอื่น
ๆ ของสาขาปรัชญาที่ว่าด้วย “ญาณวิทยา”
หรือ “ทฤษฎีความรู้”
เพียงแต่ว่า
สมัยใดศาสตร์ใดจะเป็นที่รู้จักนั้น
ขึ้นอยู่กับ “อำนาจในการนำ”
ในสังคมวิชาการเท่านั้นที่เป็นตัวกำหนด
“ตัวความรู้ของศาสตร์”
เป็นเพียงองค์ประกอบที่ต้องอาศัย “โชคชะตา”
ที่เมื่อใด “ความรู้ของศาสตร์”
ไปอยู่กับผู้มี “อำนาจในการนำ”
ความรู้ของศาสตร์นั้นก็จะเบ่งบานขึ้นเป็นยุค ๆ
ไป อรรถปริวรรตศาสตร์
ก็มีโชคชะตาไม่ต่างไปจากนี้
แต่ก่อนที่จะไปถึงขึ้นการช่วงชิง “อำนาจในการนำ”
ผู้เขียนจะนำเสนอประวัติศาสตร์ในเชิงเนื้อหาของ
อรรถปริวรรตศาสตร์ก่อน
แล้วจะกลับมานำเสนอภาพ “การต่อสู้แย่งชิง”
ในภายหลัง
ที่มาของอรรถปริวรรตศาสตร์มาจากความต้องการของมหาปราชญ์
“เพลโต”
ที่ต้องการใช้เพื่อเปรียบเทียบความรู้ทางการสื่อความของนักปราชญ์ที่ร่วม
“สานเสวนา” กับเพลโต
ส่วนมหาปราชญ์ “อริสโตเติล”
เกิดความสงสัยใคร่รู้ว่า
“ภาษามีโครงสร้างทางตรรกะในการสื่อถึงธรรมชาติของสรรพสิ่งในโลกอย่างไร”
ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า จากความสงสัยที่ดูเผิน ๆ
อาจจะเป็นความสงสัยเล็ก ๆ
แต่นำไปสู่การหาคำตอบที่ไม่รู้จบ
ยิ่งหาก็ยิ่งเจอ
และอาจจะยิ่งไม่น่าเชื่อไปยิ่งกว่านั้นก็คือ
ทั้งท่านสองเป็น
“อาจารย์กับศิษย์”
ที่มีความเห็นต่างกัน
ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าน่าจะเป็นต้นตอของกระบวนทัศน์ทั้งหลายที่มักจะตีคู่กันมาแบบสองสายตลอด
ซึ่งมีอิทธิพล (ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว)
ต่อนักปราชญ์ในยุคหลัง
อาจจะกล่าวว่าทุกคนก็ว่าได้
ทั้งในสายของตรรกะวิทยาภาษา
ตรรกะวิทยาสัญลักษณ์ และตรรกะอื่น ๆ
อีกสารพัด
แม้กระทั่งการศึกษาทางสังคมวิทยานักสังคมวิทยาหัวก้าวหน้าอย่าง นิคลาส
ลูห์แมนน์ แอนโทนี่
กิดเด้นส์ หรือ เจอร์เก้น
ฮาร์เบอร์มาส
ผู้เขียนก็เชื่อว่าได้รับอิทธิพลจากความอยากรู้อยากเห็นของมหาปราชญ์หนึ่งในสองท่านนี้
เพียงจุดมุ่งหมายอาจจะเปลี่ยนจาก
“จะอ่านอย่างไรดี” มาเป็น
“จะสื่อความหมายอย่างไรดี”
วัตถุหลักของการตีความตามโบราณประเพณีของอรรถปริวรรตศาสตร์หลังจากยุคสมัยของอริสโตเติลคือการตีความพระคัมภีร์ไบเบิล
ตามมาด้วยการตีความกฎหมายโรมันหลังจากนั้น
ซึ่งจะสังเกตเห็นว่าเป็นการมุ่งไปที่คำถามส่วนที่ว่า
“จะอ่านอย่างไรดี”
เป็นส่วนใหญ่
จนกระทั่งถึงยุคสมัยแห่งการรู้แจ้งในราวคริสต์ศตวรรษที่ ๑๗[4]
ที่ทุกสิ่งมุ่งหน้าสู่ความเป็นวิทยาศาสตร์
ไม่เว้นแม้แต่อรรถปริวรรตศาสตร์ที่ถูกสร้างให้มีตรรกะที่แน่นอนตายตัว
เพื่อมุ่งจะตอบคำถามที่ว่า “จะอ่านอย่างไรดี”
ให้มีความเป็นวัตถุสัยที่สามารถทบสอบได้พิสูจน์ได้ไม่เปลี่ยนแปลง
ในสมัยนี้อาจทำให้ดูราวกับว่าเป็นยุคที่ก้าวหน้าและภาคภูมิใจสูงสุดของอรรถปริวรรตศาสตร์ในสายตาของนักวิทยาศาสตร์ที่สามารถทำให้
“ความพลิ้วไหวแห่งสายลม”
เข้าสู่กระบวนการทดลองเชิงประจักษ์ได้
แต่ในทัศนะของผู้เขียนกลับเห็นว่า
เป็นความตกต่ำอย่างถึงที่สุดของอรรถปริวรรตศาสตร์
เพราะนักวิทยาศาสตร์ทำให้
“ความพลิ้วไหวแห่งสายลม”
ถึงทางตัน หรือไหลไปตาม
“ท่อแห่งความหมาย”
ที่ถูกกำหนดไว้แล้วล่วงหน้า
ทำให้
“สายลมไม่มีอิสรภาพแห่งสายลมอีกต่อไป”[5]
แต่นับว่ายังโชคดีที่ยังมีนักคิดที่คอยโต้แย้งวิธีการของนักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นอยู่บ้าง
ทำให้อรรถปริวรรตศาสตร์ได้มีโอกาสก้าวหน้าไปสู่ขั้นที่จะตอบคำถามว่า
“จะสื่อความหมายอย่างไรดี” ได้
ทำให้อรรถปริวรรตศาสตร์มีความเป็นมนุษย์มากขึ้น
เพราะได้มีโอกาสใช้เป็นเครื่องมือในการค้นหาความหมายของความเป็นมนุษย์ที่แฝงเร้นอยู่ใน
วัฒนธรรม สัญลักษณ์
และความหมายที่แฝงเร้นอยู่ในทุกส่วนของความเป็นมนุษย์
เป็นการเอื้ออำนวยให้มนุษย์มีโอกาสเข้าถึงความดีความงามที่ซ่อนอยู่ในสัญลักษณ์ทางภาษาและวัฒนธรรมอีกมากมายนับไม่ถ้วน
นักคิดที่สร้างคุณูปการให้แก่อรรถปริวรรตศาสตร์
จึงเป็นนักคิดที่มีแนวคิดในเชิงโต้แย้ง
ซึ่งมีพื้นเพส่วนใหญ่อยู่ทางตอนเหนือเยื้องไปทางตะวันออก
ถัดจากเวียนนาไป
นักคิดเหล่านั้นย้อนกลับไปส่งอิทธิพลอย่างมากต่อนักคิดในภูมิภาคอื่น ๆ
ของโลก
โดยเฉพาะผู้ที่เคยผ่านการศึกษาในแถบนั้นมาก่อน
สำนักซึ่งเป็นที่รู้จักจนมาถึงปัจจุบันได้แก่
“สำนักแฟรงค์เฟิร์ท”
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมาถึง
อรรถปริวรรตศาสตร์
ที่รู้จักกันในปัจจุบัน
มีนักปรัชญาหลายท่านที่มีอิทธิพลต่อวิวัฒนาการทางแนวคิดและวิธีการอรรถปริวรรตศาสตร์
ดังจะนำเสนอในตอนต่อไป
ห้วงเวลาแห่งการเปลี่ยนผ่านกับนักปรัชญาอรรถปริวรรตศาสตร์
อาจแบ่งเป็นสามยุคได้แก่
ยุคคลาสสิกซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะอยู่ตั้งแต่สมัยอริสโตเติลถึงสปิโนซ่า
ยุคกลางหรือโรแมนติคเริ่มจากชไลร์มาเชอร์จึงถึงดิลท์ธีย์
และยุคใหม่จากดิลท์ธีย์เป็นต้นมา
จึงกระทั่งปัจจุบันซึ่งเป็นที่ยอมรับทั่วไปว่าความเป็นหลังสมัยใหม่แผ่ขยายไปทั่วทุกสายของศาสตร์
อรรถปริวรรตศาสตร์ยุคหลังสมัยใหม่ดูเหมือนว่าจะเป็นยุคสมัยแห่ง
“การตีความโดยไม่ตีความ”
แต่เป็นการสร้างความหมายขึ้นมาใหม่
วิวัฒนายุคหลังสมัยใหม่อาจเป็นที่รู้จักกันในนาม Constructive
Realism โดย Fritz Wallner แต่ยังไม่กว้างขวางนัก
ในละยุคนั้นมีวิวัฒนาการในทางความคิดและวิธีการมาโดยลำดับ
ซึ่งทำให้อรรถปริวรรตศาสตร์ในแต่ละยุคมีจุดเด่นแตกต่างกันไปตามยุคสมัยโดยมีนักปรัชญาในสมัยนั้น
ๆ เป็นผู้ขับเคลื่อนแนวความคิด
ดังจะนำเสนอต่อไป
อรรถปริวรรตศาสตร์ยุคคลาสสิก
นับจากยุคสมัยของเพลโตจนถึงสปิโนซ่า
นักปรัชญาที่ศึกษาด้านอรรถปริวรรตศาสตร์เป็นกลุ่มที่ถูกเรียกหรือเป็นที่รู้จักของการศึกษาอรรถปริวรรตศาสตร์ในปัจจุบันว่า
นักอรรถปริวรรตศาสตร์ยุคเริ่มต้นหรือยุคคลาสสิก
ซึ่งประกอบด้วยนักปรัชญาหลายท่านและจำนำมากล่าวถึงในที่นี้ได้แก่
ออกุสติน ลูเธอร์ วิคโค และสปิโนซ่า
โดยเพลโต และอริสโตเติล
เป็นมหาปราชญ์ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นบิดาของปรัชญาทุกสายที่ทั้งสังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์
เฉพาะในเรื่องอรรถปริวรรตศาสตร์นั้น
ดังที่ได้กล่าวไปบ้างแล้วในตอนต้นว่า
เพลโตใช้อรรถปริวรรตศาสตร์เป็นเครื่องมือในการทำความเข้าใจบทสานเสวนาระหว่างท่านกับนักปราชญ์อื่น
ๆ ในสมัยนั้น ส่วนอริสโตเติล
ก้าวไปอีกขั้นโดยมุ่งศึกษาไปทางตรรกะของภาษา
หรือที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่า
“ภาษามีโครงสร้างทางตรรกะในการสื่อถึงธรรมชาติของสรรพสิ่งในโลกอย่างไร”
อย่างไรก็ตามแม้ hermeneutics
จะมีจุดกำเนิดมาก่อนคริสตกาล
แต่กว่าคำนี้จะกลายมาเป็นภาษาที่มาการใช้โดยทั่วไปกาลก็ล่วงมาแล้วจนถึงช่วงต้นของคริสต์ศตวรรษที่
๑๗[6]
ความก้าวหน้าในการใช้อรรถปริวรรตศาสตร์ของอริสโตเติลที่กล่าวถึงได้แก่การพยายามสร้างความตื่นตัวทางวิธีวิทยาในการทำความเข้าใจตัวบทที่ปรากฏให้เห็นในงานของท่านสองชิ้นได้แก่
De
interpretatione กับ Stoics
ถึงกระนั้นก็ตามจนกระทั่งถึงงานชิ้นหลัง
ทฤษฎีการตีความก็ยังไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเป็นระบบเสียที
จนกระทั่ง ๑๕๐ ปีล่วงมา
จึงมีการค้นพบว่าคัมภีร์มีความหมายสามระดับซึ่งมาจากการเกี่ยวโยงกันแบบสามเหลี่ยมระหว่างร่ายกาย
จิตใจ และจิตวิญญาณ
ซึ่งนับว่าเป็นความก้าวหน้าอีกขั้นของการทำความเข้าใจศาสนา
จากจุดนี้จะเห็นได้ชัดว่า
อรรถปริวรรตศาสตร์ในยุคแรกถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการทำความเข้าใจคำสอนในศาสนาคริสต์
เพราะนักปรัชญาในยุคแรกส่วนใหญ่เป็นนักบวชโดยเฉพาะผู้มีอิทธิพลต่ออรรถปริวรรตศาสตร์สมัยใหม่อย่างมากอย่าง
ออกุสติน
ออกุสตินได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากนักอรรถปริวรรตศาสตร์สมัยใหม่อย่าง
ดิลท์ธีย์ ไฮเดกเกอร์ และ กาดาเมอร์
โดยเฉพาะกาดาเมอร์ซึ่งเป็นผู้ที่ประกาศว่า
ออกุสตินนี่แหละเป็นคนแรกที่ประกาศความเป็นสากลของอรรถปริวรรตศาสตร์
สำหรับไฮเดกเกอร์ในวัยหนุ่มนั้น
ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากถ้อยคำที่บ่งบอกถึง “การมีอยู่”
ของอไควนัส
ซึ่งงานของอไควนัสนี่เองที่มีอิทธิพลอย่างมากต่ออรรถปริวรรตศาสตร์ที่มุ่งแง่มุมของการตีความตามไวยกรณ์ของชไลเมอร์เชอร์
ซึ่งเป็นนักปรัชญาอรรถปริวรรตศาสตร์ที่อยู่ระหว่างรอยต่อของยุคคลาสสิกกับยุคกลาง
ที่เริ่มแสดงความโดเด่นของศาสตร์ในแง่มุมของการร้อยเรียงทางตรรกะมากกว่ารากฐานทางประวัติศาสตร์ดังที่กาดาเมอร์พยายามรื้อฟื้นในอรรถปริวรรตศาสตร์ยุคใหม่
สำหรับในยุคคลาสสิกนั้น
ผลงานของนักปรัชญาที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นอัญมณีของอรรถปริวรรตศาสตร์มีหลายท่านนับตั้งแต่ของ
ลูเธอร์ วิโค และคนสำคัญอย่างสปิโนซ่า และอื่น ๆ
อีกหลายท่าน
ในงานของลูเธอร์ที่ชื่อว่า sola scriptura
ที่แม้จะพบว่ามีความใกล้เคียงกันทางภาษากับงานก่อนหน้า
แต่ลูเธอร์มีความโดดเด่นที่การมุ่งเน้นไปที่ศรัทธาที่กอร์ปด้วยความก้าวหน้าควบคู่ไปกับการโต้แย้งอำนาจเก่าในการตีความพระคัมภีร์
ในทัศนะของลูเธอร์เห็นว่า
“การยอมรับความเชื่อที่ครอบงำมาก่อนหรือการยอมรับผู้อ่านที่ทรงอำนาจในเวลาไม่นำไปสู่การเข้าใจตัวบท
แต่การทำความเข้าใจความหมายของ
และความจริงของตัวบทต้องขึ้นอยู่กับวิถีทางของผู้อ่านเอง”[7]
ทำให้การอ่านเริ่มเป็นประเด็นใหม่ในทัศนะของลูเธอร์
วิโค
นักปรัชญาอีกท่านที่ค่อนข้างมีที่มาแตกต่างจากลูเธอรแต่ก็เป็นบุคคลสำคัญในการพัฒนาอรรถปริวรรตศาสตร์ในยุคแรกในหนังสือชื่อ
Scienza
nouva (1725) แสดงการโต้แย้งอย่างชัดแจ้งต่อโลกทัศน์แบบ
Cartesian[8]
โดยเขาให้เหตุผลว่า
“ความคิดต้องมีรากฐานมาจากบริบททางวัฒนธรรมนั้น ๆ
เสมอ” บริบทนั้น ๆ
มีทั้งความเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์และพัฒนาการของภาษา
ดังนั้นการจะเข้าใจตัวเอง จึงต้องมองหาตัวตนผ่าน
“การสืบสาวเรื่องราว”
ความเกี่ยวโยงทางภูมิปัญญาของตัวเอง
ความโดเด่นของวิโคในประเด็นนี้เองที่ทำงานแนวคิดของเขามีความแตกต่างอยางชัดเจนต่อนักคิดแบบวิทยาศาสตร์ที่แยกความเข้าใจ
กับผู้เข้าใจออกจากกัน
แต่วิโคเห็นว่า
“ผู้เข้าใจกับความเข้าใจเป็นสิ่งเดียวกัน”
ไม่เพียงแต่จะแตกต่างจากโลกทัศน์แบบ Cartesian
อย่างสิ้นเชิง
แนวคิดเรื่องอรรถปริวรรตศาสตร์ของวิโค ยังมีความแตกต่างจากมุมมองของ
สปิโนซ่า ในรายละเอียด
สปิโนซ่า ไม่ได้มุ่งไปที่ “การรับรู้แบบหนึ่งเดียว”
เหมือนวิโค
ในหนังสือของเขาที่ชื่อว่า Tractatus theologico-politicus
(1670) บทที่ ๑๗
กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า
“เพื่อที่จะเข้าใจส่วนที่ยากที่สุดของพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์
ผู้อ่านพึงระลึกเสมอถึงความเกี่ยวโยงทางประวัติศาสตร์ในยุคสมัยที่มีการเขียนพระคัมภีร์นั้น
เช่นเดียวกับที่พึงระลึกเสมอว่าวิธีการเขียน”
หรือกล่าวโดยสรุปว่า
ต้องเข้าใจทั้งภาพรวมทั้งหมดและเข้าใจภาพย่อย
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า
สปิโนซ่าเชื่อว่า
การเข้าใจภาพย่อยมีส่วนช่วยให้การเข้าใจภาพรวมทั้งหมดได้
ซึ่งต้องมาจากการเข้าใจภาพย่อยเท่านั้น
วิธีการดังกล่าวนี้ของสปิโนซ่าเป็นที่รู้จักกันในนามของ
“วงจรแห่งความหมาย” (hermeneutic
circle) ดังนั้น
การศึกษาประวัติศาสตร์ตามทัศนะของสปิโนซ่าจึงเห็นว่า
“เป็นวิธีการที่ไม่สามารถแยกขาดจากกันได้ของกระบวนการถอดรหัสระหว่างความหมายที่ซ่อนอยู่กับการใช้ภาษาในการสื่อความ”
ซึ่งผู้เขียนสันนิษฐานว่า ฮาเบอร์มาส และ
กิดเดนส์[9]
น่าจะได้รับอิทธิพลจากวิธีการดังกล่าวของสปิโนซ่าด้วย
แม้ว่าที่นักปรัชญาที่กล่าวมาแล้วทั้งสามท่านคือ ลูเธอร์ วิโค
และสปิโนซ่า
จะมีอิทธิพลอย่างมากต่อความเป็นอัตวิสัยในศาสตร์ใหม่เกี่ยวกับมนุษย์
ด้วยการทำความเข้าใจในแง่มุมเชิงประวัติศาสตร์
ซึ่งเป็นทิศทางสำหรับอรรถปริวรรตศาสตร์สมัยใหม่
แต่ว่าในบรรดานักปรัชญาทั้งสามท่านนี้ไม่มีท่านใดเลยที่สร้างความรู้ในทฤษฎีการเข้าใจอย่างชัดแจ้ง
“ชลาดีเนียส”
เป็นคนแรกและคนเดียวที่พยายามสร้างวิธีการหรือบรรทัดฐานสำหรับกระบวนการตีความ
ในงานที่ชื่อว่า Einleitung zur richtigen Auslegung
vernünftiger Reden und Schriften (1742)
ได้ชี้ให้เห็นอรรถปริวรรตศาสตร์จากวิธีการทางตรรกะควบคู่ไปกับทัศนะของผู้ตีความ
ที่ได้รับอิทธิพลจากไลบ์นิซและวอล์ฟ์
ชลาดีเนียสอธิบายว่า
“ทัศนะที่ต่างกันในการมองปรากฏการณ์และปัญหา
เป็นอุปสรรคสำคัญในการทำความเข้าใจตัวบทและถ้อยแถลงของผู้อื่น”
ซึ่งที่จริงอาจจะไม่ใช่ปัญหาเรื่องวิธีวิทยาเชิงประวัติศาสตร์แต่เกี่ยวกับการรับรู้ที่ใช้ในกระบวนการตีความต่างหาก
ชลาดีเนียสสรุปว่า
ก่อนที่จะทำความเข้าใจอะไร
อันดับแรกต้องค้นหาสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการทำความเข้าใจก่อน
แล้วให้ความสำคัญกับความรู้เดิมที่มีผลต่อทัศนะและการตั้งสมมติฐานของผู้ตีความ
จึงจะสามรถเข้าถึงความจริงหรือความเข้าใจตามเจตนารมณ์ของสิ่งที่ถูกตีความ
ในจุดนี้เองที่ทำให้อรรถปริวรรตศาสตร์ในทัศนะของชลาดีเนียนต้องทำควบคู่ไปกับทฤษฎีความรู้
ที่มุ่งค้นหาความจริงและความเข้าใจในปรากฏการณ์ทางสังคม
ที่เขาหวังว่าจะเป็นมุ่งเน้นที่สำคัญของอรรถปริวรรตศาสตร์ในศตวรรษ
๒๐
มีนักปรัชญาอีกคนที่มีกระบวนทัศน์คล้ายกับชลาดีเนียสได้แก่ ไมเยอร์
เพราะได้รับอิทธิพลทางปรัชญาจากไลบ์นิซ์และวอล์ฟเช่นเดียวกัน
ในขณะที่อรรถปริวรรตศาสตร์ของชลาดีเนียสให้ความสนใจกับถ้อยคำและข้อความ
อรรถปริวรรตศาสตร์ของไม่เยอร์กลับมุ่งไปที่ “สัญญะ”
ทุกแบบ ไม่ว่าจะเป็นสัญญะไร้ถ้อยคำ (อวจนะ
สัญญะ) หรือสัญญะตามธรรมชาติ
ในงานของไมเยอร์ที่ชื่อว่า versuch einer Allgemeinen
Auslegungskunst (1757)
เขาโต้แย้งว่า
“สัญญะ
ไม่ได้หมายหรืออ้างอิงถึงความมุ่งหมาย
หรือความหมายอื่นเป็นการเจาะจง
แต่สัญญะเชื่อมโยงมนุษย์สู่ระบบภาษาทั้งหมด” [10]
สิ่งสำคัญที่กำหนดความหมายของสัญญะคือความเชื่อมโยงกับสัญญะอื่น
ๆ คุณูปการของไมเยอร์ต่ออรรถปริวรรตศาสตร์คือการเชื่อมโยงอรรถปริวรรตศาสตร์กับภาษา
และนำความเป็น “วิทยาศาสตร์สู่ภาษา”
โดยใช้ “อรรถศาสตร์องค์รวม”
ในการเข้าถึงความหมายที่เป็นอิสระจากเจตจำนงของผู้ใช้ภาษา
ซึ่งอาจถือได้ว่าเป็นวิวัฒนาการอีกขึ้นหนึ่งของอรรถปริวรรตศาสตร์
ซึ่งในยุคคลาสสิกนี้
มีอีกสองท่านที่จะเว้นกล่าวถึงในที่นี้ไม่ได้คือ
แอสท์ กับ วอล์ฟ
มีใครอ่านบ้างแล้วครับ คิดเห็นประการใดบ้าง ผมอยากได้ยินเสียงสะท้อนกลับบ้าง หากมีเวลาแสดงความคิดเห็นลงกระดานจะขอบคุณอย่างสูงครับ
สวัสดิ์
ขอ save ไปอ่าน และตั้งหลักก่อนนะครับ แล้วจะกลับมา ลปรร.ด้วยต่ออีกที
สวัสดิ์ Mr. สวัสดิ์เจ้าคะ
พี่เม่าขอSave เอกสารไปอ่านก่อนด้วยคนนะคะ พี่ 4 คนก็แอบไปชิมลางกัน 4 คนเหมือนกันคะ เพราะพี่เม่า หมี และอ๊อด ภาษาอังกฤษอ่อนแอกัน เลยอาศัยครู Pam ช่วยเหลือ ซึ่งต้องขอบคุณมาณ. ที่นี้ด้วย ถ้าเป็นไปได้ดู สวัสดิ์ก็คงเป็นครูสวัสดิ์ได้เหมือนกัน คงจะพอช่วยพวกพี่ได้บาง ข้อสรุปที่เราได้มาจะเป็นลักษณะ Mind Map ที่คุณบอกไม่ถนัดไม่รู้เรื่อง แต่คงต้องช่วยๆ กันดูหน่อยนะ พรุ่งนี้คุยกันอีกครั้งเพราะส่งเมลล์ไม่มีProgram ก็เปิดไม่ได้เนอะ
จากที่ได้เรียนปรึกษาพระอาจารย์ไว้เกี่ยวกับตัวเอกสาร จะมีส่วนหนึ่งอยู่ที่พี่สุมาลี ซึ่งพวกเราต้องอ่านกันก่อน แต่เราไม่ได้อ่านกัน พระอาจารย์บอกว่าน่าจะเข้าไปคุยกับพระอาจารย์ก่อน พี่ก็ไม่ทราบว่า กลุ่ม ๑ จะว่างกันเข้าไปก่อนเวลาเรียนไม๊ เลยยังไม่ได้ถามพระอาจารย์ว่าสะดวกให้เข้าไปกี่โมงจ๊ะ เอาตกลงกันอย่างไรดี ถ้าไม่ทันโทรคุยกันก็ได้ คืนก่อนโทรหาไม่รับสายเลยไม่โทรแล้ว ฮิๆๆ เดี๋ยวไม่รีบอีก พี่ขี้งอนจ๊ะ พูดเล่นนะ
พี่เม่าเอง
อ่านจบหนึ่งรอบแล้วก็ยังงงอยู่ สรุปให้ง่ายกว่านี้ได้ก็จะดีสำหรับคนฉลาดน้อย
ขอบคุณ