ช่วงต่อมาเป็นกิจกรรม “คลีนิคกิจกรรม : เทคนิค กระบวนการ และเครื่องมือการจัดการความรู้” โดยได้แบ่งกลุ่มออกเป็น ๓ กลุ่ม มีทั้งกลุ่มซ่อมเสริมและกลุ่มต่อยอด คือ
๑.กลุ่มทบทวนเครื่องมือ KM เป็นการทบทวนเครื่องมือ KM ทุกชิ้นอย่างละเอียด
๒.กลุ่ม Blog ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ของแกนนำ
๓.กลุ่มปัญหาคาใจ เป็นกลุ่มที่ใครมีปัญหาคาใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรเกี่ยวกับ KM หรือการนำ KM ไปใช้ และทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ KM
โดยให้ผู้เข้าร่วมเลือกเข้ากลุ่มตามความสนใจและสมัครใจ ซึ่งรูปแบบของคลีนิคจะเน้นให้ผู้เข้าร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันเอง โดยมีนักวิจัยเป็นพี่เลี้ยงอยู่ห่างๆ และคอยช่วยสรุปประเด็นให้
ซึ่งบรรยากาศดีมากๆ เช่นกัน ไม่มีการเก็บความไม่รู้ของตนเองไว้ ไม่มีการกลัวเสียหน้า ไม่มีการวางท่าว่าแน่กว่าใคร ใครมีสิ่งใดที่ยังค้างคาในใจก็พูดคุย เสนอออกมา แล้วเพื่อนในกลุ่มก็จะช่วยกันแลกเปลี่ยนเล่าเรื่องสิ่งที่เพื่อนได้ทำ และแก้ปัญหานั้นๆ เป็นการเรียนรู้ร่วมกันแบบกัยาณมิตรจริงๆ
ผู้เขียนได้เข้าไปนั่งสังเกตการณ์ในกลุ่มปัญหาคาใจ ได้มีครูนำเสนอปัญหาคาใจเกี่ยวกับ KM ดังนี้
- ไม่ใช้เครื่องมือ KM ทุกขั้นตอนตามที่ได้เรียนรู้มาได้หรือไม่
- ทำอย่างไร จึงจะทำให้ครูไม่รู้สึกว่า KM มาเพิ่มงาน หรือเป็นงานแทรก
- ไม่แน่ใจว่า สิ่งที่โรงเรียนทำอยู่จะใช่ KM หรือไม่
- ทำอย่างไรจึงจะให้ครูในโรงเรียนเห็นประโยชน์ของ KM
- KM กับ LO ต่างกันอย่างไร
- ฯลฯ
ผู้เขียนสามารถสรุปอุปสรรคปัญหาในการทำให้ KM เคลื่อนไปได้ไม่มากนัก เพราะ
๑.ติดเครื่องมือ กลัวทำไม่ถูกต้อง ไม่ตรงตามที่ได้รับการอบรมมา
๒.ไม่มั่นใจและไม่แน่ใจในการนำ KM ไปใช้ในโรงเรียนว่า ถูกต้องหรือมาถูกทางหรือไม่
๓.ยึดรูปแบบการดำเนินการ KM ตามกรอบมากเกินไป
๔.ไม่สามารถทำให้ครูในโรงเรียนเห็นคุณค่าของ KM ได้ ทำให้ไม่ได้รับความร่วมมือมากนัก
๕.ผู้บริหารไม่ให้ความสำคัญและไม่สนับสนุน
(โปรดติดตามตอนต่อไป)