บันทึกนี้ อ.ประพนธ์ เล่าถึง 3 รูปแบบ ของ KM ค่ะ ... ตอนนี้เอาเนื้อๆ ของ รูปแบบที่ 1 และ 2 มาเล่าให้ฟังก่อน ส่วนเรื่องที่ 3 ค่อนข้างยาว ก็เลยเล่าบางส่วน และจะมีเพิ่มอีกบันทึกหนึ่งนะคะ
- รูปแบบแรก พวกเราคุ้นเคยกันดี คือ แบบที่ Top – Down ... องค์กรตั้งคณะกรรมการ KM ทำแผน KM (ใช้ KM ของ กพร. ว่างั้นเถอะ) มี KM focus area ไล่มาเรื่อย นี่คือโมเดล ความจริง กพร. ก็เอาโมเดลของสถาบันเพิ่มฯ นะ
- รูปแบบที่สอง ที่อื่นเขาไม่ได้คุ้นเคย แต่กรมอนามัยคุ้นเคย ก็คือ การสร้างเครือข่าย ใช้ tacit นะครับ เน้น CoP ก็คือ Role Model ของ สคส. นั่นเอง
- จากปลา 1 ตัว เป็นโมเดลปลาตะเพียน เพราะว่าหัวปลาไม่ใช่หัวเดียวนี่ มันมีเรื่องนี้ๆ ข้อสำคัญให้วิ่งไปหาหัวปลาใหญ่ ก็คือ หัวปลาขององค์กรนะ อย่าไปทำเรื่องที่มันแยกทางออกไป ไม่ใช่นะครับ
- ตกลงท่านเห็น 2 โมเดลนี้ไหมครับ เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา 2 โมเดลนี้ห่างกันเลย กพร. ไม่สนใจเรื่อง CoP กพร. ไม่พูดคำว่า tacit พูดเหมือนกันแต่เป็นการพูดแบบ lecture แต่สิ่งที่ กพร.สนใจ คือ explicit เพราะว่ามีตัวชี้วัด เขาเน้น Knowledge center เขาเน้นแผน KM ตกลงเป็น KM แบบตายตัว แบบวางแผนอย่างดี เคร่งครัด ปฏิบัติตามแผนฯ ได้ 5 แต้ม อะไรอย่างนี้
- แต่ KM แบบ สคส. เป็น KM แบบ organic ครับ ผมเรียก KM แบบ กพร. ว่า Organize - จัดตั้ง วางแผน ... Organic – ไหลเลื่อน เคลื่อนไปตามธรรมชาติ นะ
- แต่มาวันนี้ คือ เห็นชัดเลย ว่า กพร. หันมาเล่นเรื่อง CoP กพร. หันมา work กับ สคส. มากขึ้น 2 วงนี้เข้าใกล้กันมากขึ้นแล้ว ตอนนี้อาจทาบกันครึ่งต่อครึ่งแล้ว (ตอนนี้ผมให้ดูภาพอดีตนะครับ) ซึ่งเกี่ยวกัน
- ซึ่งผมเชื่อว่า 2 วงนี้ กำลังเคลื่อนเข้าหากัน
- แต่มาตอนนี้ ผมอยากจะบอกท่านนะ ว่า มันมี KM อีกวงหนึ่งครับ ที่เราจะไม่มองไม่ได้ มันคือ KM ระดับจิตใจ
- เพราะไม่ว่าเราจะมาฝืนคนให้ share เรื่อง CoP ถ้า Share ไป เขาไม่เอาด้วย CoP มันก็ตายครับ มันก็มอดไป มันก็หายไป มันก็จืดไป
- ในที่สุด เรามาเจอกันแล้วนะครับ มันมีสิ่งที่คนเขามารวมตัวกันด้วยความสนใจ โดยเฉพาะชาวบ้าน นะครับ
- เราก็เลยพบว่า KM ระดับปัจเจก ทิ้งไม่ได้ครับ ท่านจะไปทำระดับองค์กร หรือเราบอกว่า ไปทำระดับกลุ่ม ระดับทีม แต่ไม่ทำระดับปัจเจก มันไม่ได้ เพราะแต่ละคนต้องมี KM ในตัว
- เวลาผมพูด KM ในตัว ผมหมายถึง หัวใจนักปราชญ์
- ผมหมายถึง ทักษะ สุ จิ ปุ ลิ ครับ สุ คือ การฟัง จิ คือ การคิด แต่ไม่ใช่ ฟังไปคิดไปนะ ฟังให้จบก่อนแล้วมาคิด ตรอง วิเคราะห์ สังเคราะห์ ดีมากเลย ปุ - ให้เพียรถามครับ คือ ปุจฉา ลิ คือ ลิขิต บันทึกนะครับ ถ้าไม่มีการบันทึก ไม่จดเรื่องราว ไม่จดสิ่งที่สังเคราะห์ไว้ ไม่มีทางได้ Knowledge assets ไม่มีทางได้หางปลา
- ตกลงท่านเห็นไหมว่า ในตัวเองของแต่ละคนต้องมีหัวใจนักปราชญ์ ไปๆ มาๆ ท่านดูสิ ว่า กลับมาสู่พื้นฐานจนได้ ว่าถ้าคนไม่มีหัวใจนักปราชญ์ ไม่มีหัวใจใฝ่รู้ ยากครับ ที่จะเกิด KM อย่างยั่งยืน
- ตกลงรูปแบบจึงแล้วแต่การเน้น บางที่เน้นองค์กร บางที่เน้นกลุ่ม บางที่เน้นตัวบุคคล ถามว่า วิธีไหนถูกหรือผิด ผมว่าขึ้นกับองค์กรท่านเริ่มแบบไหน ถามว่า
- ขณะนี้กรมอนามัยเริ่มแบบไหน ผมมองจากสายตาคนนอกว่า กรมอนามัยเริ่มแบบที่ 1 และแบบที่ 2 ใช่ไหมครับ กรมฯ อาจจะถือว่า แบบที่ 3 เราก็มีนะ เรามีการเช็คสิ่งที่อยู่ในใจด้วยนะ ว่า สิ่งที่อยู่ในใจของเราเป็นอย่างไร
- เราพูดเรื่องแรงบันดาลใจ ใช่หรือเปล่า ท่านมีวงเรื่องสุนทรียสนทนา เรื่อง Dialogue นะ ท่านทำแล้ว ... ก็แสดงว่า เริ่ม KM ระดับปัจเจกแล้วนะ แต่ถ้าบอกว่าไม่ได้ทำเลย ก็คงเป็นโอกาสต่อไปที่กรมอนามัยต้องเน้น
- และผมอยากจะบอกท่านว่า KM วงที่ 3 นี่สำคัญมากเลยนะ ผมจะลองขยายความให้ท่านดู
- ... ทำไมข้างล่าง ผมใช้คำว่า Mental model และ Mindset เพราะจุดนี้เป็นจุดที่จะทำให้ท่านไปสู่ LO ได้เป็นอย่างดี ท่านจำโมเดลของ Peter Senge ได้ไหมครับ
- โมเดลของ Peter Senge เจ้าพ่อแห่ง Organization พูดไว้ว่า องค์กรที่จะเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ ต้องมี 5 องค์ประกอบหลัก
- อันแรกคือ Share vision ต้องมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน ถ้าท่านดูของ Senge แต่ละตัว และไปวางไว้ที่นี่ครับ ของ Senge จะอยู่ที่ไหนครับ อยู่วง 1 ... องค์กร เพราะเขากลัวว่า ทำแล้วไม่ไปสู่ Share vision ตกลงองค์กรแห่งการเรียนรู้ เรียนรู้ไปทำไม เรียนรู้เพื่อสนองตอบต่อ Share vision และ Share vision มันจะสร้างแรงบันดาลใจให้คนอยากทำ อยากรู้ ตกลง Share vision อยู่ที่วงหนึ่ง
- ตัวที่สอง Team learning … เขาคิดว่าคน ถ้าเรียนรู้แล้วต้องเรียนรู้แบบเป็นทีม Team learning ก็จะอยู่วงที่ 2
- แล้วผมจะไล่อีก 3 ตัว คือ Personal Mystery - ใฝ่รู้ Mental Model - ใช้กรอบความคิดตัวเอง System Thinking – ความคิดเชิงระบบ 3 ตัวหลัก อันเป็นเรื่องเกี่ยวกับบุคคลหมดเลยนะ
- โดยเฉพาะตัวที่ชื่อว่า Mental model, Mindset
รวมเรื่อง ตลาดนัดความรู้กรมอนามัย 2550
ไม่มีความเห็น