และให้พระอุทุมพรเทศานุรักษ์ย้ายเมืองอุทุมพรพิสัยไปตั้งที่บ้านผือ หรือบ้านปรือ (ปัจจุบันคือบ้านผือใหม่ ตำบลเมือง อำเภอกันทรลักษ์) และครั้นถึงข้างขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๑๑ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตพระมหาสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ เป็นรัชกาลที่ ๕
แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ปี พ.ศ. ๒๔๑๒ โปรดเกล้าฯ ให้เกณฑ์คนเมืองขุขันธ์ เมืองสุรินทร์ เมืองสังฆะ เมืองเดชอุดม และเมืองศรีสะเกษ ไปช่วยทำอิฐเพื่อทำการก่อสร้างกำแพงเมืองปราจีนบุรี และในปีเดียวกันนี้ พระภักดีภูธรสงคราม ( แก้ว ) ปลัดเมืองขุขันธ์ ได้ถึงแก่กรรม จึงโปรดเกล้าฯ ตั้งให้ พระมหาดไทย ( แอก ) เป็นพระภักดีภูธรสงคราม และให้ท้าวแก้ว เป็นพระบริรักษ์ นายกองนอก ครั้นยกบัตร ( อ้น )
ถึงแก่กรรม จึงโปรดเกล้าฯ ตั้งให้ท้าวบุญจันทร์ บุตรพระปลัด ( ศรีเมือง ) เป็นพระแก้วมนตรียกบัตร และพระบริรักษ์ ภักดี ( แก้ว ) ถึงแก่กรรม จึงโปรดเกล้าฯ ให้ท้าวบุญเรืองบุตรพระปลัด(ศรีเมือง) เป็น “พระเจริญรัตนสมบัติ” นายกองนอกต่อไป ทางฝ่ายเมืองสังฆะ พระยาสังฆะบุรีศรีนครอัจจะ ได้เข้าเฝ้าฯ กราบบังคมทูลขอพระกรุณาตั้งบ้านกุดไผท หรือบ้านจารพัดเป็นเมือง ขอหลวงไชยสุริยา ( คำมี ) บุตรหลวงไชยสุริยวงศ์ กองนอกไปเป็นเจ้าเมือง ส่วนตำแหน่งปลัดและตำแหน่งยกบัตรเมืองสังฆะ
ในขณะนั้นว่าง จึงตั้งพระสุนทรพิทักษ์ บุตรพระปลัดคนเก่าขึ้นเป็นปลัดและขอหลวงศรีสุราชผู้หลานเป็นยกบัตร เมืองสังฆะ โดยได้ทรงโปรดเกล้าฯ ตั้งบ้านกุดไผทหรือบ้านจารพัด เป็นเมืองศรีขรภูมิพิสัย ตั้งให้หลวงไชยสุริยา กองนอก เป็น พระศรีขรภูมานุรักษ์ เจ้าเมืองให้ขึ้นต่อเมืองสังฆะ
ส่วนทางฝ่ายเมืองสุรินทร์ พระยาสุรินทร์ฯ เห็นว่า พระยาสังฆะ ได้ขอบ้านกุดไผทเป็นเมืองศรีขรภูมิแล้ว ก็เกรงว่าพระยาสังฆะจะขอบ้านลำดวนเป็นเขตแขวงด้วย จึงมีใบบอก ทูลขอตั้งบ้านลำดวนขึ้นเป็นเมือง โดยให้พระไชยณรงค์ภักดี ( นาก ) ปลัดเมืองสุรินทร์ เป็นเจ้าเมือง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าฯ ตามขอ โดยให้ยกบ้านลำดวน ขึ้นเป็นเมือง ชื่อเมือง สุรพินทนิคม ให้พระณรงค์ภักดี ปลัด (นาก ) เป็นพระสุรพินทนิคมมานุรักษ์ เจ้าเมืองสุรพินทนิคม โดยให้ขึ้นต่อเมืองสุรินทร์
ปี พ.ศ. ๒๔๑๕ ได้โปรดเกล้าฯ ให้มีท้องตราถึงบรรดาหัวเมืองตะวันออกว่า ได้ยกเลิกการตั้งค่าทำเนียม กองสักเลขตามหัวเมือง และทรงอนุญาตให้ราษฏร์ในหัวเมืองต่างๆไปอยู่ตามหัวเมืองใดๆได้ตามความสมัครใจ เพียงแต่ให้เจ้าเมืองจัดทำสำมะโนครัวตัวเลขราษฏรที่สมัครใจไปอยู่เมืองอื่นส่งกรุงเทพฯ
ในปีเดียวกันนี้ พระแก้วมนตรี ( ท้าวอ้น ) ถึงแก่กรรม จึงโปรดเกล้าตั้ง หลวงรักษมนตรี (ท้าวบุญเรือง ) บุตรพระภักดีภูธรสงคราม ( ท้าวศรีเมือง ) เป็นพระแก้วมนตรียกบัตรเมืองขุขันธ์
ฝ่ายเมืองสังฆะ เจ้าเมืองสังฆะ ได้มีใบบอกขอตั้ง บ้านลำพุก ขึ้นเป็นเมืองกันทรารมย์ และ ขอให้พระมหาดไทยเป็นพระกันทรานุรักษ์ เจ้าเมืองกันทรารมย์ พระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าตามขอโดยให้เมืองกันทรารมย์ขึ้นต่อเมืองสังฆะ
ปี พ.ศ. ๒๔๑๗ พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน ( ท้าววัง ) เจ้าเมืองขุขันธ์ มีใบบอกกราบบังคมทูลขอให้พระวิเศษสัจจา ยกบัตรเมืองขุขันธ์ เป็นเจ้าเมืองกันทรลักษ์ เนื่องจากพระกันทรลักษ์-
อาบาล ( พิมพ์ ) ถึงแก่อนิจกรรม และขอให้พระแก้วมนตรี (บุญจันทร์) เป็นยกบัตรเมืองขุขันธ์
ปี พ.ศ.๒๔๑๘ เมืองหนองคายเกิดกบฎโดยกลุ่ม ฮ่อ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มหาอำมาตย์เป็นแม่ทัพคุมกองทัพจากนครราชสีมา กองทัพจากมณฑลอุดร และมณฑลอีสาน ซึ่งเมืองขุขันธ์ เมืองเดชอุดม และเมืองศรีสะเกษ ได้นำไพร่พลร่วมกับเมืองอื่น ๆ ในมณฑลอีสานด้วย ทำให้ปราบกบฎฮ่อที่หนองคายครั้งนี้ โดยการนำของแม่ทัพมหาอำมาตย์สามารถตีกลุ่มกบฎฮ่อแตกพ่ายยับเยิน ที่เหลือก็ถูกจับเป็นเชลยทั้งหมด
ปี ๒๔๑๙ เกิดเหตุการณ์ จากที่นักองค์วรรตถา พระอนุชาสมเด็จพระนโรดม เจ้ากรุงกัมพูชา ได้หนีจากกรุงเทพฯ กลับไปยังกรุงกัมพูชา เพื่อไปแย่งชิงสมบัติ ได้หลบหนีไปที่บ้านลำจาก แขวงเมืองมโนไพร พระยาเจริญราชไมตรี ได้กล่าวหา พระมโนมัยจำนง ( พรหม ) เจ้าเมืองมโนไพร ได้ส่งเสบียงอาหารให้นักองค์วรรตถา จึงได้ส่งตัวเข้ากรุงเทพฯ เพื่อพิจารณาและได้ข้อเท็จจริงดังถูกกล่าวหา จึงได้ลงโทษโบย ๑ ยก ๓๐ ที และจำตรวน ๓ เดือน แล้วโปรดเกล้าฯ ให้ทรงบรรดาศักดิ์เดิม และ ให้กลับไปเป็นเจ้าเมืองตามเดิม
ปี พ.ศ. ๒๔๒๔ พระเจริญรัตนสมบัติ ( บุญจันทร์ ) นายกองนอกเมืองขุขันธ์ เกิดกรณีวิวาทขัดแย้งกับ พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน ( ท้าววัง ) เจ้าเมืองขุขันธ์ จึงได้พาสำมะโนครัว ตัวเลขรวม 4611 คน สมัครใจไปขึ้นกับเมืองจำปาศักดิ์ จึงโปรดเกล้าฯ ให้เมืองขุขันธ์ เมืองจำปาศักดิ์ หักโอนกันตามธรรมเนียม ซึ่งขณะนั้นเมืองจำปาศักดิ์ยังเป็นเมืองประเทศราชขึ้นต่อกรุงเทพมหานคร
ในปีเดียวกันนี้ ฝ่ายเมืองศรีสะเกษ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯตั้งให้พระพรหมภักดี (โท ) ยกกระบัตรเมือง เป็น “พระยาวิเศษภักดี” เจ้าเมืองศรีสะเกษ ถือศักดินา ๓,๐๐๐ ให้ท้าวเหง้าบุตรพระยาวิเศษภักดี (บุญจันทร์) เป็น “พระภักดีโยธา” ปลัดเมืองศรีสะเกษ ถือศักดินา ๖๐๐ ให้ราชวงศ์ (ปัญญา)บุตรหลวงไชย(สุก)เป็น “พระพรหมภักดี” ยกบัตรเมืองศรีสะเกษ ถือศักดินา ๕๐๐ และท้าววิเศษ บุตรพระยาวิเศษภักดี(โท) เป็นผู้ช่วยราชการเมือง และในปีเดียวกันนี้ เจ้าเมืองศรีสะเกษ ได้ขอตั้งบ้านโดนหินกอง อยู่ในเขตเมืองสุวรรณภูมิ เป็น “มืองราษีไศล” จึงทรงพระกรุณาให้ตั้งได้ตามที่ขอและโปรดเกล้าฯให้พระพล (จันทร์ศรี) บุตรหลวงอภัย เป็น “พระผจญปัจนึก” เป็นเจ้าเมือง ให้หลวงแสง(จันทร์)น้องชายพระผจญปัจนึก เป็น “หลวงหาญศึกนาศ” เป็นปลัดเมือง ให้ท้าวคำเม๊ก บุตรพระผจญปัจนึก เป็น “หลวงพิฆาตไพรี” เป็นยกบัตรเมืองราษีไศล ขึ้นกับเมืองศรีสะเกษ
ปี พ.ศ. ๒๔๒๕ ฝ่ายเมืองสุรินทร์ ได้มีผู้คนได้พร้อมใจกันสมัครใจอพยพครอบครัวเป็นจำนวนมาก โดยอพยพข้ามไปตั้งบ้านเรือนอยู่ฟากลำน้ำมูลข้างเหนือ มีบ้านทัพค่าย เป็นต้น เดือดร้อนถึงพระยาสุรินทร์ ฯ โดยได้มีใบบอกขอตั้งบ้านทัพค่ายเป็นเมืองและขอพระวิเศษราชา ( ทองอิน ) เป็นเจ้าเมืองปกครอง ชื่อว่า เมืองชุมพลบุรี โดยให้บรรดาศักดิ์ เจ้าเมืองใหม่ว่า " พระฤทธิรณยุทธ" แล้วโปรดเกล้าฯ ให้ท้าวเพชร เป็นปลัดเมือง ให้ท้าวกลิ่นเป็นยกบัตรเมือง ทั้ง 2 คนเป็นพี่ชาย ของพระฤทธิรณยุทธ ( ทองอิน ) และให้ ท้าวนุด บุตรพระฤทธิรณยุทธ ( ทองอิน ) เป็นผู้ช่วยเมืองชุมพลบุรี พร้อมกับได้โปรดเกล้าฯตั้ง นายปรางค์ บุตรพระยาสุรินทร์ภักดีศรีไผทสมันต์ ( ม่วง )
เป็น พระสุรพินทนิคมนุรักษ์ เจ้าเมืองสุรพินทนิคมแทนคนเก่า ที่ถึงแก่กรรมที่ตำแหน่งยัง ว่างอยู่
ปี พ.ศ. ๒๔๒๖ พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน ( ท้าววัง ) หรือ พระวิชัย เจ้าเมืองขุขันธ์ คนที่ ๘ ได้ถึงแก่อนิจกรรม ท้าวปานหรือท้าวปัญญา บุตรพระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน ( ท้าววัง ) เจ้าเมือง
ขุขันธ์ คนที่ ๘ กับพระรัตนวงศา ( จันดี ) ได้นำช้างพังสีประหลาด 1 เชือก ช้างพังตาดำ ๑ เชือก ทูลเกล้าถวายต่อสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสยามประเทศ ด้วยความชอบ จึงโปรดเกล้าฯ ตั้งให้ท้าวปานหรือท้าวปัญญา เป็นพระยาขุขันธ์ภักดีศรี-
นครลำดวน เจ้าเมืองขุขันธ์ ท่านที่ 9 สืบต่อมาด้วยอายุเพียง ๒๖ ปี ส่วนพระรัตนวงศา ( จันดี ) ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เป็นปลัดเมืองขุขันธ์ และในเวลาต่อมาเจ้าเมืองจำปาศักดิ์ ก็ได้ให้พระเจริญรัตนสมบัติ
( บุญจันทร์ ) นายกองนอกกลับมาขึ้นกับเมืองขุขันธ์ตามเดิม และในปีนี้ พระอุทุมพรเทศานุรักษ์
เจ้าเมืองอุทุมพระพิสัยถึงแก่กรรม จึงโปรดเกล้าให้ยกบัตร(อัต) เป็น “พระอุมพรเทศานุรักษ์ เจ้าเมืองอุทุมพรพิสัย เมื่อวันพฤหัสบดี แรม ๒ ค่า เดือน ๑๐ ปีพ.ศ. ๒๔๒๖ และได้พระราชทานถาดหมาก คันโทเงิน ๑ สำรับ สัปทน แพรขลิบแดง ๑ อัน เสื้อเข้มขาบริ้ว ๑ ผืน ผ้าขาวห่ม ๑ ผืน ผ้าห่มจีน ๑ ผืน
ในปีเดียวกันนี้ ได้มีสารตรา โปรดเกล้า ฯ ไปยังหัวเมืองตะวันออก ห้ามมิให้จับข่า ( กวย หรือส่วย ) มาทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนและใช้สอยการงานต่าง ๆ และส่วนผู้ใดได้ซื้อหามาจากผู้ใดอยู่ก่อน นั้น ก็ให้อยู่กับผู้นั้นต่อไป เพราะถ้าจะให้ข้าทาสนั้นหลุดพ้นค่าตัวไปก็จะเป็นเหตุเดือดร้อนแก่มูลนาย ผู้ซื้อและแลกเปลี่ยนมาก่อนนั้น ( นโยบายการเลิกทาส )
ปี พ.ศ. ๒๔๒๘ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตัดทางสายโทรเลขตั้งแต่เมืองจำปาศักดิ์ ไปเมือง ขุขันธ์ และจากเมืองขุขันธ์ถึงเมืองเสียมราช โดยพระยาอำมาตย์ข้าหลวงเมืองจำปาศักดิ์ ตั้งให้หลวงเสนีย์พิทักษ์ หลวงเทพนเรนทร์ หลวงโจมพินาศ หลวงนคร เป็นข้าหลวงไปเกณฑ์ราษฏรเมืองขุขันธ์ เมืองสังฆะบุรี ไปตัดทางสายโทรเลข ณ เมืองขุขันธ์ เมืองอุทุมพรพิสัย และเมืองมโนไพร โดยให้หลวงพิชัยชาญยุทธ เป็นข้าหลวงประจำ ณ เมืองมโนไพรด้วย ในขณะเดียวกัน พระมหาอำมาตย์ได้ให้ข้าหลวงศรีคชรินทร์ หลวงทรบริรักษ์ ยกบัตรเมืองมโนไพร ไปตรวจราชการอาณาเขตติดต่อกับเมือง กำปงสวาย ในเขตประเทศเขมร ในการบำรุงฝรั่งเศส ได้พบออกญาเสนาราชกุญเชน และออกญาแสนพรมเทพ ซึ่งได้อพยพครอบครัวมาอยู่ในพระราชอาณาเขตได้ ๗-๘ ปีแล้ว ทั้งสองร้องขอที่จะสมัครใจอยู่ในขอบขันฑ์สีมาจึงได้นำออกญาทั้งสองไปเมืองมโนไพร ให้ถือน้ำพิพัฒน์สัตยา แล้วพระยาอำมาตย์มีตราจุลราชสีห์ แต่งตั้งให้ ออกญาเสนาราชกุเชน เป็นพระภักดีสยามรัฐ นายกอง ให้ออกญาแสนพรหมเทพ เป็นหลวงสวัสดิ์จุมพล ปลัดกอง คุมญาติพี่น้องและบ่าวไพร่ ทำราชการขึ้นกับเมือง
ขุขันธ์ จึงทำให้เมืองขุขันธ์มีกองนอกเพิ่มอีกสองกอง แต่นั้นมา ในปีนี้ ทูตฝรั่งเศส ณ กรุงเทพ แจ้ง รัฐบาลไทยว่า ผู้สำเร็จราชการของฝรั่งเศส เมืองไซง่อน ประเทศญวณ ได้จัดทหารยกทัพทำศึกกับทัพองค์วรรตถาและองวรรตถาได้แตกหนีข้ามเขต ทหารฝรั่งเศสไม่ได้ติดตามเข้ามา จึงโปรดเกล้าฯให้มีท้อง(สาร)ตราถึงเมืองขุขันธ์ คอยสืบจับองค์วรรตถาโดยแข็งแรง เพื่อมิให้องค์วรรตถาหลบหนีเข้ามา ส้องสุมผู้คนในพระราชอาณาเขต รัฐบาลฝรั้งเศสแจ้งดั่งนี้ ดูประหนึ่งว่าเจ้าเมือง กรมการเมืองฝ่ายไทย ไม่เอาใจใส่รักษาด่านทาง ซึ่งจะเป็นเหตุให้มีความบาดหมางต่อทางพระราชไมตรี เมืองขุขันธ์ และเมืองมโนไพร ให้แต่งกรมการออกลาดตระเวรสืบจับนักองค์วรรตถา แต่ก็ไม่พบตัวแต่ประการใด สร้างความอึดอัดใจให้แก่พระยาขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน ( ท้าวปัญญา) เจ้าเมืองขุขันธ์และเจ้าเมืองมโนไพรอย่างมาก เพราะเกรงว่านักองค์วรรตถา อาจจะหลบหนีเข้ามาซ่องสุมผู้คนภายในพระราชอาณาเขต อาจทำให้ฝรั่งเศสเข้าใจผิดได้ ขณะที่หลวงศรีคชรินทร์และหลวงสุนทรบริรักษ์ ข้าหลวงออกตรวจราชการชายแดนเมืองขุขันธ์และเมืองมโนไพร ที่เป็นชายแดนติดต่อกับเมืองกำปงสวายของเขมร ได้พบออกญา เสนราชกุเชนกับออกญาแสนพรหมเทพ อพยพครอบครัวมาอยู่ที่บ้านจอมกระสาน ในเขตไทยเป็นเวลา ๗-๘ ปีแล้ว ออกญาทั้งสองสมัครใจอยู่ภ่ยใต้อำนาจไทย จึงได้ออกญาทั้งสองไปถือน้ำพิพัฒน์สัตยาที่เมืองมโนไพร จึงโปรดเกล้าฯให้ออกญาเสนาราชกุเชน เป็น “พระภักดีสยามรัฐ” เป็นนายกองและออกญาเสนาพรหมเทพเป็น “หลวงสวัสดิ์จุมพล” เป็นปลัดกอง ควบคุมบ่าวไพร่ทำราชการขึ้นต่อเมืองขุขันธ์
ปี พ.ศ. ๒๔๓๐ กรมไปรษณีย์โทรเลข ได้ส่งมิสเตอร์อัสซอนโลแมน ไปตรวจรักษาสายโทรเลขระหว่างเมืองจำปาศักดิ์ ไปเมืองขุขันธ์ และจากเมืองขุขันธ์ ไปถึงเมืองเสียมราช ครั้นมาถึงเมืองขุขันธ์ ได้ถึงแก่กรรมด้วยอาการไข้ และในปีนี้เอง มีตราสารโปรดเกล้าฯ ไปยังหัวเมืองตะวันออกว่า บรรดา ที่ดินที่คนมีตั้งบ้านเรือนไร่สวนอยู่นั้น จะถือเป็นสิทธิมิได้ เพราะมิได้แจ้งต่อกงสุล ให้ขออนุญาตจากรัฐบาลสยามให้ตกลงตามหนังสือสัญญา และให้เมืองทั้งปวงทำบัญชีที่ดินคนของคนเหล่านั้นว่าได้มาอย่างไร ส่งกรุงเทพมหานคร
ปี พ.ศ. ๒๔๓๐ เช่นเดียวกัน รัฐบาลฝรั่งเศสได้แจ้งต่อรัฐบาลสยามว่า มองซิเออร์มาเรียน่า ซึ่งตั้งตนเป็นพระเจ้าแผ่นดินชิต้า ได้หนีมาจากปารีสมายังเมืองอาชิต้า ( บริเวณฝั่งโขงตะวันออก ) กับคนยุโรป ๕ คน มีปืน ๔๘ หีบ ขอให้รัฐบาลสยามช่วยสืบจับและรัฐบาลอังกฤษก็แจ้งว่า เจ้าแมงกูรบุตรพระเจ้าแผ่นดินดงมิน เจ้าแผ่นดินพม่าคนเก่า ซึ่งอังกฤษได้นำตัวไปคุมขังไว้ที่ประเทศอินเดีย ได้หนีมาทางเมืองไซ่ง่อน รัฐบาลอังกฤษเกรงว่าจะหนีเข้ามาในเขตราชอาณาจักรสยามทางหัวเมืองตะวันออก จึงให้รัฐบาลบสยามช่วยจับจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีสารตราส่งไปยังหัวเมืองตะวันออก ให้ช่วยจับบุคคลทั้งสอง ตามความประสงค์ของรัฐบาลฝรั่งเศสและรัฐบาลอังกฤษตามทางพระราชไมตรีโดย แข็งขันแต่ก็หาได้มีบุคคลทั้งสองเข้ามาในพระราชอาณาจักรสยามไม่
ปี พ.ศ. ๒๔๓๐ ฝ่ายเมืองศรีสะเกษ ท้าวนาคทำหนังสือเบิกล่องเดินทางให้แก่นายร้อยคำยี่ คำอ่อน เชียงน้อย ตองซู่ ซึ่งคุมโคกระบือ ไม่มีพิมพ์รูปพรรณไปจำหน่ายผิดพระราชบัญญัติ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ลูกขุน ณ ศาลาปรึกษาโทษ ท้าวนาค ตัดสินทวน ๕๐ จำคุก ๓ ปี และให้ปรับพระยา-วิเศษภักดี ( โท ) เจ้าเมืองศรีสะเกษ ซึ่งให้การอ้างว่า มีตราพระราชสีห์ อนุญาตว่า “ถ้าราษฎร จะทำการซื้อขายโค กระบือ ก็ให้เจ้าเมืองทำเบิกล่องเดินทางใด้ ให้ตรวจตำหนิรูปพรรณลงในใบเบิกล่องก็ได้ โดยไม่จริงนั้นเป็นเบี้ยละเมิดจัตุรคูณเป็นเงิน ๕ ชั่ง ๖ ตำลึง ถึง ๓ สลึง ๖๐๐ เบี้ย
ปี พ.ศ. ๒๔๓๑ หลวงเสนีย์พิทักษ์ ข้าหลวงกำกับราชการ เมืองขุขันธ์ คนแรก ( พ.ศ. ๒๔๒๘ ) ถึงแก่กรรมในขณะที่เดินทางไปตรวจราชการที่เมืองอุทุมพรพิสัย พระมหาอำมาตยาธิบดี ( หรุ่น ) ข้าหลวงใหญ่ ได้จัดให้หลวงนครบุรี ปฏิบัติข้าราชการเป็นข้าหลวงกำกับราชการเมืองขุขันธ์แทน ต่อไป
ในปี เดียวกันนี้ เจ้าเมือง สุวรรณภูมิ ได้กล่าวโทษ เจ้าเมืองมหาสารคาม เมืองสุรินทร์ และเมืองศรีสะเกษ ในข้อกล่าวหาว่า ทั้ง ๓ เมืองได้แย่งชิงดินแดน ของเมืองสุวรรณภูมิ ไปตั้งเป็นเมืองขึ้นโดยเมืองมหาสารคาม ได้เอาบ้านนาเลง ขอตั้งเป็นเมืองวาปีปทุม เมืองสุรินทร์ ขอเอาบ้านทับค่ายขอตั้งเป็นเมืองชุมพลบุรี และเมืองศรีสะเกษ ขอเอาบ้านโนนหินกอง ขอตั้งเป็นเมืองราษีไศล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้ข้าหลวงเมืองจำปาศักดิ์และข้าหลวงประจำเมืองอุบลราชธานี ได้ร่วมกัน สอบสวนหาข้อเท็จจริง ผลการสอบสวน ได้ความดังข้อกล่าวหาจริง แต่เนื่องจากทั้งสามเมืองได้ทำการก่อสร้างเมืองจนเสร็จเรียบร้อย แล้วซึ่งยากต่อการที่รื้อถอน จึงโปรดเกล้าฯให้ คงไว้เป็นเมืองต่อไป ทำให้เจ้าเมืองสุวรรณภูมิ ต้องรับใส่เกล้าฯตามที่ทรงโปรดฯ
ปี พ.ศ. ๒๔๓๒ พระยามหาอำมาตย์ ( หรุ่น )ข้าหลวงใหญ่ เมืองจำปาศักดิ์ ซึ่งมีอำนาจเต็ม ในภาคอีสานทั้งหมด ได้แต่งตั้งใบประทวนให้ นายเยียบ เป็นพระยาสุรินทร์ภักดีไผทสมันต์ รักษาราชการในตำแหน่งเจ้าเมืองสุรินทร์ ต่อไป แต่อยู่ได้เพียง 2 ปี ก็ถึงแก่อนิจกรรมทำให้ พระยาสุรินทร์ภักดีศรีไผทสมันต์ ( ม่วง ) ต้องกลับจากช่วยราชการที่อุบลฯ มาเป็นเจ้าเมืองอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็ต้องมาถึงแก่อนิจกรรมในปี เดียวกัน
ปี พ.ศ. ๒๔๓๓ โปรดเกล้าฯ ให้พระรัตนวงศา ( จันดี ) ปลัดเมืองขุขันธ์ ได้รับบรรดาศักดิ์
ในราชทินนามใหม่ เป็น พระยาบำรุงบุระประจันต์ ปฏิบัติหน้าที่ เป็นข้าหลวงกำกับราชการ เมืองขุขันธ์ และให้ท้าวทองคำ กรมการเมืองขุขันธ์ เป็นปลัดเมือง ขุขันธ์แทน ต่อมาเมื่อได้ปราบเสือยงได้แล้ว ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น “พระพิไชยสุนทรสงคราม” ปลัดเมืองขุขันธ์ ในปี พ.ศ. 2437 ส่วนพระยาขุขันธ์ภักดี
ศรีนครลำดวน ( ปัญญา ) ก็ยังคงเป็นเจ้าเมือง ขุขันธ์ เช่นเดิม
ปี พ.ศ. ๒๔๓๓ ในรัชสมัย รัชกาลที่ 5 นี้เองเป็นระยะเริ่มจะปฏิรูป การปกครองและเริ่มปรับปรุงการปกครองแผ่นดิน เพื่อให้หัวเมือง ได้จัดการปกครองแผ่นดิน อย่างมีระบบสอดคล้องกัน ที่จะนำไปสู่ความมั่นคง ของราชอาณาจักรสยามและเพื่อขยายการปกครองจากส่วนกลางไปสู่ส่วนภูมิภาค อย่างมีระบบจึงได้ โปรดเกล้าฯให้รวมหัวเมืองเอก โท ตรี จัตวา เข้าด้วยกัน ในเขตภาคอีสานแบ่งออกเป็น
๔ กอง มีข้าหลวงกำกับราชการกองละ ๑ คน มีข้าหลวงใหญ่ปกครองต่สงพระเนตรพระกรรณ อีก ๑ คน คือ พระยามหาอำมาตยาธิบดี ( หรุ่น ศรีเพ็ญ ) ประจำอยู่เมืองจำปาศักดิ์ มีอำนาจบังคับบัญชาหัวเมืองทั้ง ๔ ตามควรแก่ราชการและโปรดเกล้าพระราชทานตราประจำชาติสำหรับข้าหลวงทั้ง ๔ กอง เป็นรูปอาร์มแผ่นดิน ใช้ประทับหนังสือราชการเป็นสำคัญด้วย เมืองที่รวมเข้าเรียกว่า "หัวเมือง" เรียกข้าหลวงประจำกองว่า ข้าหลวงหัวเมือง………โดยได้รับแต่งตั้งข้าราชการจากส่วนกลางเป็นข้าหลวงกำกับราชการ คือ
๑. หัวเมืองลาวฝ่ายตะวันออกตั้งที่ทำการข้าหลวงกำกับราชการที่เมืองจำปาศักดิ์ มีเมืองในสังกัดที่เป็นเมืองเอก ๑๑ เมือง คือ เมืองจำปาศักดิ์ เมืองเซียงแตง เมืองแสนปาง เมืองสีทันดร เมืองอัตปือ เมืองสาละวัน เมืองคำทองใหญ่ เมืองสุรินทร์ เมืองสังขะ เมืองเดชอุดมและเมืองขุขันธ์ นอกจากนี้ยังมีเมืองขึ้นที่แบ่งเป็นเมืองโท เมืองตรี และเมืองจัตวา อีก 26 เมือง รวมเป็น ๓๗ เมือง โดยมีพระวิษณุเทพ (ช่อง ) เป็นข้าหลวง ( เมืองขุขันธ์ มี พระยา ขุขันธ์ภักดีศรีนครลำดวน ปัญญา ขุขันธิน เป็นเจ้าเมือง )