เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2549 ได้เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 7.1 ริกเตอร์ มีศูนย์กลางอยู่ใกล้ไต้หวัน เหตุการณ์ครั้งนี้ ได้สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อระบบเคเบิลใต้น้ำ ซึ่งวิ่งผ่านจากสิงค์ไปร์ แวะฮ่องกง อ้อมผ่านตอนใต้ของไต้หวัน เพื่อไปญี่ปุ่น และจะข้ามมหาสมุทรแปซิฟิคจากญี่ปุ่นไปสหรัฐอเมริกา
เส้นทางเคเบิลใต้น้ำที่วิ่งผ่านไต้หวันนี้ เป็นระยะทางที่สั้นที่สุดที่ผ่านเศรษฐกิจขนาดใหญ่ทุกจุด จากสิงคโปร์ไปญี่ปุ่น บริษัทโทรคมนาคมที่วางสายเคเบิลใยแก้วนำแสงใต้น้ำ ต่างใช้เส้นทางนี้ เนื่องจากมีระยะสั้นที่สุด ทำให้ต้นทุนวงจรต่ำสุด และยังผ่านจุดที่มีความต้องการใช้สูงที่สุดด้วย แต่หากดูจากความหนาแน่นของเคเบิลใต้น้ำ จะพบว่าเคเบิ้ลเหล่านี้ ไม่ได้กระจายตัวกันอย่างเท่าเทียมกันทั่วทั้งโลก และเอเซียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ปลายหนึ่ง โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นศูนย์กลาง และมีการเชื่อมต่อไปยุโรปเป็นส่วนใหญ่
อย่างไรก็ตาม กลุ่มเคเบิลใต้น้ำแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้/เอเซียตะวันออกเหล่านี้ แม้มีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจสูง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกันเนื่องจากวิ่งผ่านบริเวณที่มีความอ่อนไหวทางภูมิศาสตร์ ซึ่งเป็นรอยต่อของแผ่นเปลือกโลกแปซิฟิค และแผ่นเอเซีย แผ่นเปลือกโลกมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เมื่อปล่อยพลังงานออกมา ก็เกิดเป็นแผ่นดินไหวและก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อวงจรเคเบิ้ลใต้น้ำ ซึ่งวางอยู่เหนือพื้นทะเล
เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2549 ได้เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 7.1 ริกเตอร์ มีศูนย์กลางอยู่ใกล้ไต้หวัน เหตุการณ์ครั้งนี้ ได้สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อระบบเคเบิลใต้น้ำ ทำให้เกิดความชะงักงันในเรื่องของการสื่อสารไปทั่วเอเซีย ทั้งโทรศัพท์ และอินเทอร์เน็ต ไม่เฉพาะแต่ในประเทศไทย
เมื่อเกิดเหตุการณ์เคเบิลใต้น้ำเสียหายนั้น การสื่อสารทั่วทั้งเอเซียเสียหายไปด้วย และเกิดความต้องการวงจรสำรองเพื่อเชื่อมต่อไปทางยุโรปมากขึ้นทันที เมื่อดูจากแผนที่แล้ว จะพบว่าวงจรที่ไปยังยุโรปเป็นเพียงเส้นทางเล็กๆ ไม่มีทางที่จะรองรับแบนด์วิธที่เสียหายไปได้เลย เพราะทุกประเทศในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเซียใต้ มองไปทางยุโรปเหมือนกันหมด
ข้อมูลเหล่านี้ เป็นข้อมูลทุติยภูมิ ได้มาจากการที่เพื่อนร่วมงานไปคุยกันผู้รับผิดชอบโดยตรงของ บมจ. กสท.โทรคมนาคม
- เคเบิลขาด 6 เส้น ซึ่งเป็นปริมาณแบนด์วิธมหาศาล (จดหมายชี้แจงจาก กสท.: เคเบิลที่เสียหายคือ APCN, APCN2, SEA-ME-WE3, China-US, Tyco และ C2C)
- แต่ละเส้นไม่ได้ขาดจุดเดียว บางเส้นขาด 3 จุด (ไม่รู้ว่ารู้ได้ยังไง)
- จุดที่ขาด ไม่ได้ขาดเฉพาะแถวไต้หวัน แต่แถวเกาหลี ญี่ปุ่นก็กระทบไปด้วย
- การซ่อมแซม ต้องใช้เรือออกทะเลลึกออกไปซ่อม (ข่าว: จุดที่เสียอยู่ลึก 10,800 ฟุต หรือกว่า 3 กม. ซึ่งลึกเกินกว่าจะใช้เรือดำน้ำลงไปซ่อม ต้องใช้วิธีลากเคเบิลขึ้นมาซ่อมบนเรือ)
- เรือที่ซ่อมเคเบิล อยู่แถวนี้ 3 ลำ แต่ลำหนึ่งกำลังทำงานอื่นอยู่ (ข่าว: เรือสัญชาติญี่ปุ่นมาถึงไต้หวันเมื่อวาน เรือสัญชาติอังกฤษน่าจะถึงวันนี้)
- ก่อนเรือจะออกไปซ่อม จะต้องแน่ใจว่าไม่มี after shock และต้องจัดคิวงานก่อน
- เนื่องจากจุดที่เคเบิลเสีย กระจายอยู่ในหลายประเทศ การซ่อมแซมจะต้องขอใบอนุญาตทำงาน (work permit) ก่อน แต่ละประเทศใช้เวลาในการขอใบอนุญาตทำงานไม่เท่ากัน
- กสท. พยายามหาวงจร STM4 (622 Mbps) ไปทางยุโรป ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงมาก และหาดาวเทียมมาเสริมด้วย แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากแบนด์วิธที่วิ่งไปทางไต้หวันที่หายไป มีขนาดใหญ่โตมาก (จดหมายชี้แจงจาก กสท.: แบนด์วิธของเมืองไทยหายไป 5000 Mbps)
"เคเบิลขาดครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าประเทศจะขาดการติดต่อทั้งหมด เพียงแต่เกิดความคับคั่งเหมือนเลนจราจรหายไปหลายเลน ทำให้รถวิ่งไม่สะดวกมากกว่า ซึ่งหากเราเข้าใจสถานการณ์และพยายามปรับตัว ก็น่าจะทำให้บรรเทาลงได้ค่ะ" -- เพื่อนร่วมงานกล่าวในรายงาน
ตอนนี้ แม้มีเงินก็ไม่สามารถหาวงจรมาเพิ่มได้ การเปิดเกตเวย์ไปต่างประเทศเพิ่มในขณะนี้ ไม่ได้เป็นการช่วยอะไรเลย
ที่เขียนบล๊อกนี้ก็เพราะรู้สึกไม่ชอบที่ข่าวต่างๆ (1) ไม่ได้ชี้แจงให้ผู้ใช้ทราบถึงสถานการณ์ที่แท้จริง ทำให้เกิดความคาดหวังผิดๆ และรังแต่จะทำให้เกิดความผิดหวัง (2) เป็นการพยายามหาทางแก้ไขที่ปลายเหตุ