วันที่ 24 ต.ค. 49 สภามหาวิทยาลัยมหิดลไปเยี่ยมชื่นชม 5 หน่วยงานในวิทยาเขตศาลายา ทำให้ผมเห็นลู่ทางที่จะดัน สคส. ไปร่วมมือกับหลายๆ หน่วยงาน เพื่อใช้ KM เป็นเครื่องมือในการสร้างและประยุกต์ใช้องค์ความรู้
สถาบันที่น่าจะเป็นแหล่งแรกที่ร่วมมือกัน คือ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ที่มี รศ.สายฤดี วรกิจโภคาทร เป็นผู้อำนวยการ
สถาบันนี้ทำหน้าที่หลัก 3 อย่าง เพื่อนำไปสู่การพัฒนาเด็กและครอบครัว ได้แก่ การวิจัย การพัฒนา และการขับเคลื่อนสังคม
ผมได้เสนอต่อ รศ.สายฤดี ว่า สคส.มีวิธีทำงานที่ออกแรงน้อย แต่ได้ผลมาก และได้เครือข่ายกว้างขวาง
แต่จะทำงานแบบใหม่นี้ได้ ต้องคิดใหม่ คือ คิดว่าการพัฒนาเด็กและครอบครัวนั้นมีบางชุมชน หรือบางกลุ่มเขาทำกันอยู่แล้ว ได้ผลดีอย่างน่าชื่นชมอยู่แล้ว หรือกล่าวได้ว่ามีความรู้ปฏิบัติด้านการพัฒนาเด็กและครอบครัวอยู่แล้ว
ผมเสนอว่า ควรจับทำเรื่องที่เกิดผลสำเร็จได้ไม่ยากก่อน ดังนั้น ควรจับเรื่อง "การพัฒนาเด็กและเยาวชน" โดยมีวิธีคิด ดังนี้
1. มีบางชุมชน หรือบางโรงเรียน หรือบาง NGO ดำเนินการส่งเสริมกิจกรรมเพื่อการพัฒนาเด็กและเยาวชนได้ผลดีในระดับหนึ่งอยู่แล้ว
2. เลือกกลุ่มที่ดำเนินการในลักษณะที่ส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น เช่น เป็นประโยชน์ต่อโรงเรียน ต่อชุมชน หรือช่วยเหลือผู้อื่น เน้นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนรวมกลุ่มกัน และคิดหาเป้าหมายและวิธีดำเนินการเอง ไม่ใช่ผู้ใหญ่กำหนดให้ทำ กิจกรรมแบบนี้เยาวชนเป็นผู้คิดและทำ ผู้ใหญ่ช่วยเป็นที่ปรึกษา เมื่อเกิดผลสำเร็จเยาวชนจะภูมิใจมาก
3. เลือกกลุ่มที่ดำเนินการได้ผลสำเร็จที่น่าชื่นชมบางด้านมาประมาณ 10 กลุ่ม แต่ละกลุ่มมาจากต่างภาค หรือต่างพื้นที่ ต่างบริบท ดำเนินกิจกรรมที่แตกต่างกัน เชิญตัวแทนมากลุ่มละ 4-5 คน ให้มาประชุมร่วมกัน เป็นเวทีเล่าเรื่องราวของความสำเร็จที่เกิดขึ้น โดยเทคนิค Storytelling และ Appreciative Inquiry ตัวแทนกลุ่มละ 4-5 คนนี้ต้องเลือกคนที่มีมุมมองแตกต่างหลากหลาย และแสดงบทบาทแตกต่างกันในกลุ่ม
4. เวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้กิจกรรมเยาวชนเพื่อสังคมนี้ จะมีเด็กและเยาวชนเข้าร่วม 40-50 คน ใช้เวลา 2 วัน 2 คืน มีลักษณะคล้ายค่ายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ควรให้เยาวชนที่มาร่วมได้มีโอกาสออกแบบกิจกรรมร่วมกันด้วย มีเป้าหมายเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กิจกรรม และผลของกิจกรรมของเยาวชนแต่ละกลุ่ม เพื่อเป็นแนวทางให้แต่ละกลุ่มเอาไปปรับใช้กับกิจกรรมของกลุ่มตน และเพื่อให้เกิดเครือข่ายแลกเปลี่ยนเรียนรู้กิจกรรมที่เยาวชนแต่ละกลุ่มดำเนินการอย่างต่อเนื่อง
5. มีรายละเอียดของการจัดเวทีมากมายที่เขียนลงในบันทึกนี้ได้ไม่หมด หลักสำคัญคือต้องจัดบรรยากาศของความชื่นชมยินดี เห็นคุณค่าของการทำความดีเพื่อชุมชน/สังคม ของกลุ่มเยาวชน และหาทางยุยงส่งเสริมให้มีการดำเนินการต่อเนื่อง มีการส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น และมีการพัฒนารูปแบบและวิธีการของกิจกรรมอย่างไม่หยุดยั้ง ผู้แทนของ สคส. ที่จะประสานงานในการจัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้นี้ คือ คุณนภินทร ศิริไทย
6. อาจเชิญผู้สื่อข่าวที่สนใจเรื่องเด็กและเยาวชนเข้าร่วมเวทีด้วย หากได้นำเรื่องราวของเยาวชนบางกลุ่มไปเผยแพร่ ก็จะเกิดความภูมิใจ เกิดกำลังใจ และความคึกคักในการดำเนินการต่อ
กิจกรรมนี้จะเกิดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับทางสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัวนะครับ ถ้าสนใจก็ติดต่อคุณนภินทร ([email protected]) ได้
หลังจากดำเนินการเวทีแรก ก็จะเห็นลู่ทางในการใช้เทคนิคนี้ในการทำหน้าที่วิจัย พัฒนา และขับเคลื่อนสังคม เพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ที่เป็นแนวทางลัด ทำงานน้อยแต่ได้ผลงานมาก
ยุทธศาสตร์ในการพัฒนาเด็กและเยาวชนก็คือ ต้องส่งเสริมให้เขาทำกิจกรรมที่เขารัก สนใจ และภูมิใจ โดยส่งเสริมให้รวมกลุ่มกันทำกิจกรรม เน้นการทำกิจกรรม เพื่อใช้กำลังที่คนวัยนี้มีอยู่เหลือเฟือ และส่งเสริมความอยากเป็นผู้ใหญ่ของเขา ในเรื่องหลักคิดเกี่ยวกับการพัฒนาเด็กและเยาวชนนี้ผมเคยลงบันทึกไว้แล้ว โปรดอ่าน http://gotoknow.org/blog/thaikm/47001, http://gotoknow.org/blog/thaikm/46287
วิจารณ์ พานิช
24 ต.ค. 49
เรียน อาจารย์วิจารณ์ที่เคารพ
ตอนนี้ทางสถาบันเด็กฯกำลังดำเนินการโครงการวิจัยและพัฒนาระบบการประเมินคุณภาพเนื้อหาสื่อ โดยมุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายในชุมชน ซึ่งพยายามให้เด็กเยาวชนในพื้นที่ต่างแสวงหาแนวทางในการทำงานโดยเด็กเยาวชน และครอบครัวในแต่ละพื้นที่เป็นผู้คิดค้นวิธีการในการทำงานในแต่ละพื้นที่เอง เช่นที่ แพร่ เด็กๆเริ่มตื่นตัวที่จะตั้งชมรมเฝ้าระวังสื่อรวมกลบุ่มกันเอง ทำงานหลายอย่าง เช่น การจัดนิทรรศการ การจัดประชุมร่วมกันเพื่อวางแผนในการทำงาน รุกเข้าไปประชุมร่วมกับภาคนโยบาย
อยากหาโอกาสไปนั่งสรุปงานให้อาจารยฟังสักครั้งหนึ่งครับ ผมเคยไปปรึกษาอาจารย์พร้อมกับอาจารย์แหวว (อาจารย์พันธุ์ทิพย์) พอเป็นไปได้ไหมครับ
ด้วยความเคารพอย่างสูง
อ.โก๋