มนุษย์เราหากจะวัดจำนวนความมากน้อยแตกต่างกันนั้น ก็ต้องอาศัยการนับ โดยเริ่มที่ หนึ่ง สอง สาม เรื่อยไปจนกว่าจะถึงความพอดีของแต่ละสังคม แม้กระทั่งภาษาของการนับก็แตกต่างกันไปตามเชื้อชาติและเผ่าพันธ์
คำว่า หนึ่ง สอง สาม เมื่อนำมาใช้กับวรรณยุกต์ เรากลับเรียงเป็นว่า เอก โท ตรี ตามลำดับ เอก=หนึ่ง , โท = สอง , ตรี = สาม
หากแต่เมื่อนำมาเรียกขานเพื่อใช้กำหนดชั้นยศและบ่งบอกถึงอำนาจในการปกครองบังคับบัญชาของทหาร ก็จะเรียกว่า ร้อยตรี ร้อยโท ร้อยเอก หรือเรียกเป็นอย่างอื่น ในทำนองเดียวกันเราจะพบว่า โทและเอกนั้นมีอาวุโสและมีอำนาจมากกว่าตรี จึงต้องวางตัวให้เหมาะสมและคู่ควรกับตำแหน่งและฐานะทางสังคม ไม่เช่นนั้นความเชื่อถือและศรัทธาของผู้ใต้บังคับบัญชาก็จะลดน้อยถอยลง
เราจะเห็นความแตกต่างว่าเรียกเช่นเดียวกันแต่วิธีการใช้นั้นทำให้คุณค่าย่อมต่างกัน เมื่อนับจำนวน เอก โท ตรี ( หนึ่ง สอง สาม) เริ่มจากค่าน้อยไปหาค่ามาก แต่เมื่อนำมาใช้ทางการปกครองและลำดับอาวุโส กลับตรงกันขัาม เรียงจากมากกลับไปหาน้อยคือ ตรี โท เอก (สาม สอง หนึ่ง) จึงเป็นความจริงที่พวกเราพากันมองข้ามไป หากจะถามหาคำตอบหรือเหตุผล ผู้ที่เกี่ยวข้องคงต้องหาเหุผลมาสนับสนุนคำชี้แจงกันวุ่นวาย
จึงขอน้อมนำคำสอนของหลวงปู่เกษม เขมโก ที่ตอบปัญหาว่าการทำบุญอย่างไรจึงจะดีที่สุด ว่า
" ของดีนั้นอยู่ที่เรา ของดีนั้นอยู่ที่จิต จิตมี ๓ ขั้น ตรี โท เอก ถ้าตรีก็ต่ำหน่อย โทก็ปานกลาง เอกนี่อย่างอุกฤษฎ์ มันไม่มีอะไร.....ก็ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตัวอนัตตานี่แหละเป็นต้วเอก ไล่ไปไล่มาให้มันเห็นสังขารร่างกายเรา ตายแน่ๆ
คนเราหนีตายไปไม่พ้น ตายน้อย ตายใหญ่
ตายใหญ่ก็หมด ตายน้อยก็หลับ ไปตรองดูให้ดีเถอะ......."
ที่สุดแล้ว ตรี โท เอก ที่กล่าวมาก็สรุปลงตรงที่ อนัตตา นี่เอง
โดย คนบ้านเดียวกัน
ไม่มีความเห็น