อ่านหนังสือพิมพ์มติชนฉบับวันเสาร์ที่ 2 กันยายน 2549 เจอข่าวหน้า 1 ในกรอบเล็ก ๆ เขียนว่า พี่สาว ‘อภิสิทธิ์’ คว้าซีไรต์’49 นวนิยาย ‘ความสุขของกะทิ’
รู้สึกชื่นชมและดีใจ เพราะเราเพิ่งอ่านหนังสือเล่มนี้ร่วมกันในครอบครัว ช่วงที่ไปกราบเยี่ยมแม่ภรรยาที่ จ.ตรัง เมื่อวันแม่ 12 สิงหาคม ที่ผ่านมา เหตุที่ซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่านเพราะมติชนรายวันได้สัมภาษณ์คุณงามพรรณ เวชชาชีวะ เกี่ยวกับการสร้างงานเขียน ทัศนคติ รูปแบบที่ใช้ ฯลฯ อ่านแล้วเห็นเป็นประโยชน์กับหลานที่กำลังเขียนเรื่องสั้นส่งเป็นรายงานในชั้นเรียน เราจึงไปที่ร้านหนังสือด้วยกัน บอกให้ลูกและหลานช่วยกันหา เจอเล่มเก่าฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5 ผมจึงซื้อให้และแนะนำให้เขาอ่าน
เมื่อได้ทดลองอ่านบทแรกจบลง ก็รู้ทันทีว่านี่คือหนังสือที่ดีมาก ละเมียดละไมในการใช้ภาษา เห็นภาพชัดเจนของชีวิตความเป็นอยู่ในชนบท ในครอบครัวที่มีคุณตา-คุณยาย อยู่กับ “กะทิ” หลานสาวตัวน้อย แต่ไม่มีแม่อยู่ด้วย
ผู้เขียน ตั้งชื่อบทแต่ละบทไปตามเนื้อหา และสอดแทรกหัวข้อย่อยอยู่ที่ต้นเรื่องของแต่ละบท ด้วยประโยคสั้น ๆ ลึกซึ้ง สะเทือนใจ ให้ผู้อ่านสร้างความเข้าใจด้วยจินตนาการของตัวเองโดยไม่อธิบายตรง ๆ อาทิ ตอนแรก : บ้านริมคลอง / บทที่ 1 : กระทะกับตะหลิว / หัวข้อย่อย : “แม่ไม่เคยสัญญาว่าจะกลับมา”
หัวข้อย่อยเป็นอะไรที่บอกถึงความรู้สึกลึก ๆ ของกะทิ คู่ขนานไปกับความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักจากคุณตา-คุณยาย เป็นความประทับใจที่ผมชื่นชมและขอแนะนำให้ท่านได้สัมผัส ไล่เรียงกันไปตั้งแต่
แม่ไม่เคยสัญญาว่าจะกลับมา
กะทิรอแม่ทุกวัน
ในบ้านไม่มีรูปถ่ายแม่เลย
ไม่เคยมีใครพูดถึงแม่
กะทิจำหน้าแม่ไม่ได้แล้ว
กะทิอยากให้แม่ไปรับที่โรงเรียนบ้าง
ฯลฯ
เราใช้วิธีสลับกันอ่านออกเสียงกันคนละบท พ่อ, แม่, ลูกชาย, ลูกสาว และหลานสาว จำได้ว่าแฟนผมน้ำตาซึมอยู่หลายรอบ ภาพที่บรรยายในหนังสือนำมาเล่าสู่กันฟังเปรียบเทียบกับการใช้ชีวิตในวัยเด็กของเราให้ลูกหลานได้เรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็น การหิ้วปิ่นโตไปโรงเรียน, การซักผ้า-ตากผ้า (ที่ต้องใช้ฝีมือและศิลปะในการจัดเรียง) ฯลฯ
คณะกรรมการ “ซีไรต์” ได้ให้เหตุผลของการตัดสินไว้งดงามมาก คือ
“เป็นงานศิลปะที่สร้างสรรค์องค์ประกอบหมดจดงดงาม สื่อแนวคิดซึ่งเป็นที่เข้าใจได้สำหรับคนอ่านหลากหลาย ไม่ว่าอยู่ในวัยและวัฒนธรรมใด เสน่ห์ของหนังสือเล่มนี้อยู่ที่กลวิธีการเล่าเรื่อง ที่ค่อย ๆ เผยตัวปัญหาทีละน้อย ๆ ผ่านมุมมองของตัวละครเอกด้วยภาษารื่นรมย์ แฝงอารมณ์ขัน สอดแทรกความเข้าใจชีวิตที่ตัวละครได้เรียนรู้ไปตามประสบการณ์ ความสะเทือนอารมณ์ค่อย ๆ พัฒนา และดิ่งลึกในห้วงนึกคิดของผู้อ่าน นำพาให้อิ่มเอมกับรสแห่งความโศกอันเกษม ได้สัมผัสกับประสบการณ์ของชีวิตเล็ก ๆ ในโลกเล็ก ๆ ของเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง”
คืนนี้ เรา 4 คน พ่อ, แม่, ลูกทั้งสอง จะสลับกันอ่านร่วมกันอีกรอบหนึ่งครับ.
น่าอ่านมากครับ...ผมจะหาซื้อมาอ่าน
เห็นเนื้อเรื่องเรียกน้ำย่อยในบันทึกนี้แล้ว ทำให้อยากอ่านขึ้นมาทันใด
ขอบคุณครับ คุณไอศรย์
จำได้ว่าเคยอ่านหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เค้ายกตัวอย่าง 10 เรื่องที่เข้ารอบการตัดสิน และพออ่านเรืองยอก็คิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจ และเมื่อวานฟังข่าว ก็พบว่าเรื่องนี้ได้รางวัลซีไรท์ ...ว่าจะหาอ่านเหมือนกันคะ
เรียน อ. ไอศูรย์
ติดตามข่าวแล้วก็ดีใจที่มีคนมองเห็นคุณค่าของการอ่าน เวลามีข่าว...คนไทยอ่านหนังสือ เฉลี่ย 7 บรรทัดต่อปี / ต่อมาก็เพิ่มเป็น 24 บรรทัด / คนไทย 18 ล้านคน ไม่เคยอ่านหนังสือ . ฯลฯ ..ในฐานะที่เป็นคนทำงานกับชุมชน ทำงานกับผู้ที่ไม่รู้หนังสือ ก็อยากจะขอความคิดเห็นของอาจารย์ และผู้อ่าน ที่เข้ามาอ่านตรงนี้ ว่า ..ทำอย่างไรจึงจะนำความรู้ให้เข้าถึงประชาชน โดยเฉพาะคนชุมพร ให้มากที่สุด ทำอย่างไรเราจะสามารถสร้างสังคมฐานความรู้ ทำอย่างไรเราจะรณรงค์ให้คนไทยอ่านหนังสือ ให้มากขึ้น ..ทำอย่างไรเราจะทำให้เมืองชุมพรเป็นสังคมการอ่าน เพื่อที่จะเติบโตเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ .. ในฐานะที่อาจารย์และหลายท่านเป็นหัวกระทิ ..ที่อยู่นอกกระทะของจังหวัดชุมพร(ไม่ใช่ข้าราชการ ) การมองของท่านย่อมกว้างขวางกว่าพี่สุรีย์ (หางกะทิ..ในกะทะ ) ขอแนวคิดดีๆ. และข้อเสนอแนะด้วยค่ะ..เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานสำหรับการจัดเสวนา.ในโอกาสต่อไป
ถ้าบอเทคนิคการเทคนิคการแทรกเสียงเพลงลงไปใน Blog กับคุณวิเวก แล้วช่วย mail บอก ผมด้วยนะครับขอคุณมาก..ช่างคิด
คือว่าหนูจะทำรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้ค่ะ
แต่ว่าคุณครูที่ รร ให้หนูอ่านแล้วสรุปเรื่อง
หนูทำไม่เป็นค่ะ ช่วยหน่อย