เราไม่สามารถจะแยกคิดระหว่างเรื่องชีวิต (ตัวเรา) เรื่ององค์กร (สคส.) และ เรื่องสังคมไทยได้หรอก
เมื่อวานเป็นวันที่พวกเราชาว สคส. ได้ใช้เวลา 1 วันเต็ม เพื่อพูดคุยกันเรื่องทิศทาง – วิสัยทัศน์ ของ สคส. ว่าเราจะขอต่ออายุการดำเนินงานไปอีก 5 ปี จะดีไหม? พูดง่ายๆ ก็คือ ควรจะมี สคส. ภาค 2 (Episode 2) หรือไม่?
เราเริ่มต้นด้วยการช่วยกันคิดโจทย์ร่วมกัน... ผมเปิดประเด็นว่าเราน่าจะคุยเรื่องทิศทางอย่างกว้างๆ ในขณะที่คุณทรงพล เจตนาวณิชย์ เสนอว่าน่าจะเป็นการตอบคำถาม 3 ข้อซึ่งก็คือ 1.เราควรจะทำอะไร (what) ? 2.....ให้กับใคร (who) ? และ 3......เพื่ออะไร (why)? โดยที่ยังไม่ต้องพูดเรื่อง ....ทำอย่างไร (how) ? ตั้งโจทย์กันเกือบครึ่งชั่วโมง ในสุดท้ายโจทย์ที่ใช้ในช่วงแรกนี้ก็คือ “ให้ช่วยกันมองภาพใหญ่ (ของสังคมไทย) แล้วใส่ สคส. ลงไปว่าควรจะทำอะไร...อยู่ตรงไหนในภาพนั้น (positioning)” แล้วเราก็ช่วยกันวาดฝันนั้นออกมาร่วมกัน
หลังจากนั้นก็ได้ช่วยกันสะท้อน “ภาพปัจจุบันของ สคส.” แล้วต่อด้วยข้อเสนอแนะที่เราจะทำให้เราปิด “ช่องว่าง (Gap)” ระหว่างภาพปัจจุบันกับภาพอนาคตนั้นได้ ในช่วงสุดท้ายก็มีการเปิดเวทีพูดกันอย่าง “เปิดใจ” เพื่อจะได้ทราบถึงแรงบันดาลใจของแต่ละคน ฟังดูแล้วก็ต้องถือว่าเป็นโชคดีของ สคส. (และสังคมไทย) ที่บุคลากรทุกคน “มีใจ” ให้กับองค์กรและ “มีไฟ” ที่จะทำงานเพื่อให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
ผมเองซะอีกที่กลับรู้สึกว่าลึกๆ แล้วตัวเองไม่ค่อยจะ “IN” กับเรื่องเชิงสังคมเท่าไร เพราะในขณะที่หลายๆ คนพูดเรื่องการทำงานแบบใช้เวลาในพื้นที่ให้ยาวนานขึ้น ใช้พื้นที่เป็นเวทีการเรียนรู้ หรือที่มีผู้ใช้คำว่า “Social Lab” อะไรทำนองนั้น ผมเองไม่ค่อยตื่นเต้นกับคำนี้เท่าใดนัก เพราะความสนใจอยู่ที่ระดับตัวบุคคล หรือ “Personal Lab” มากกว่า ทำให้ได้เห็น “จริต” ตนเองชัดเจนว่า แรงกระตุ้นสำหรับตัวเองนั้นมาจากการได้เห็นพัฒนาการในระดับบุคคลมากกว่าที่จะเป็นโจทย์เชิงสังคม
แต่ในท้ายที่สุดคำพูดของคุณทรงพล ในช่วงเริ่มต้นที่ว่า “เราไม่สามารถจะแยกคิดระหว่างเรื่องชีวิต (ตัวเรา) เรื่ององค์กร (สคส.) และ เรื่องสังคมไทยได้หรอก” น่าจะเป็นบทสรุปที่ดีที่สุดของกระบวนการร่วมกันคิดเมื่อวานนี้ครับ