เข้าระบบ
สมัครสมาชิก
หน้าแรก
สมาชิก
คิม นพวรรณ
คิม นพวรรณ
Ms นพวรรณ พงษ์เจริญ
สมุด
บันทึก
อนุทิน
ความเห็น
ติดต่อ
คิม นพวรรณ
-
คนบ้านบ้าน อยู่อย่างเอกเขนก
Username
krukim
สมาชิกเลขที่
36128
เป็นสมาชิกเมื่อ
เข้าระบบเมื่อ
-
(ไม่มีตั้งแต่ พ.ศ. 2564)
ติดตาม
1
ผู้ติดตาม
56
สมุด
11
บันทึก
945
อนุทิน
339
ความเห็น
39,821
ดอกไม้
1,312
คำถาม
→
คำตอบ
ประวัติย่อ
รางวัล "
สุดตะลึง
"
http://gotoknow.org/blog/pr4u/260154
ประจำเดือน เมษายน ๒๕๕๒
http://gotoknow.org/blog/pr4u/258552
เคยรับราชการครู สอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนบ้านนอก
รับใช้ราชการเป็นเวลา
๒๖
ปี เป็นผู้ที่
ไม่มีสิ่งที่น่าสนใจ ค่อนข้างธรรมดา ๆ
ส่วนตัว
:
เป็นคนซื่อบรื้อ รักษาสัจจะ รักษาสัญญา รักษาเวลาและโอกาส "
เป็นมิตรกับทุกคน
"
สิ่งที่ไม่ชอบ
: คนเหลวไหล
คติเตือนใจ
"ทำดีเพื่อดี ทำงานเพื่องาน"
เมื่อเป็นครูก็ฝันว่า "
ขอเป็นครูคนหนึ่งที่นักเรียนรู้จัก
"
ผลงาน
:
ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ ให้สังคมเฉลยเอง
การศึกษา :
ศศ.ม การบริหารการศึกษา และ ฯลฯ
ปัจจุบัน
: ไม่มีอาชีพ
ลาออกจากราชการตามโครงการมาตรการปรับปรุงอัตราข้าราชการครู กระทรวงศึกษาธิการ (เออร์ลี่รีไทร์) เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓
สาเหตุที่ลาออก
เพราะเบื่อระบบ เป็นทุกข์เพราะทำงานไม่ได้เต็มที่ เมื่อลาออกจากราชการแล้วก็กลายเป็นคนไม่มีอาชีพ แต่ไม่ว่างงาน มีงานทำตามอำเภอใจ สิ่งสำคัญหลัก ๆ คือ "
การสอนตัวเอง
" แบ่งเวลา แบ่งความสุขให้คนรอบข้างตามโอกาส
http://www.okkid.net/blog_profile.php
http://portal.in.th/krukim/pages/11685/
ก่อนวัยเรียนและวัยเรียน
เราเป็นเด็กที่ถูกเตรียมความพร้อมมาก่อน เมื่อถึงคราวไปโรงเรียน ทำให้เราพอจะแตกฉานกว่าคนอื่น อ่านออกและบวกเลข ลบเลขได้ คุณครูคนแรกเป็นครูผู้ชายชื่อคุณครูบุญรัตน์ อานุภาพ ตัวสูงยาว เก้งก้าง คุณครูชมว่าเราเป็นเด็กเรียนเก่ง เรียนดี ตามความคิดของสมัยก่อนโน้น ตลอดเวลาของชั้นประถมศึกษาก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเด็กเรียนดีเยี่ยมยอด จะเห็นว่ายังมีคนอื่น ๆ ที่เรียนดีกว่า
เมื่อผ่านชั้นประถมศึกษา สู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น เราก็ยังถูกคุณครูหรือใคร ๆ มองว่าเราเป็นเด็กกลุ่มเรียนดี เรารู้ตัวทุกครั้งเมื่อถูกชม อันที่จริงเราไม่ได้เป็นเด็กเรียนเก่งหรือเรียนดีเหมือนที่ทุกคนเข้าใจ แต่เป็นเพราะเรามีโอกาสในการทุมเทให้กับการเรียนมากกว่าเพื่อน ๆ ต่างหาก วัน ๆ เราไม่ได้ทำอะไรเลย หมกมุ่นอยู่กับการอ่านการเขียน กองหนังสือโต ๆ ใครเดินผ่านไปผ่านมาก็นึกชื่นชมว่าเป็นเด็กขยัน เนื่องจากถูดจำกัดสิทธิ์ในการออกไปคบเพื่อนอย่างอิสระต่างหาก
เรารู้ตัวเสมอว่าเราชอบหรือไม่ชอบเรียนวิชาใดบ้าง วิชาที่น่าเบื่อและไม่ชอบเรียนได้แก่วิชาพลศึกษา เพราะครูดุ ตีนักเรียนด้วยสายนกหวีด ทำให้เราต้องหาเรื่องป่วยไปนอนที่ห้องพยาบาลเสมอ ๆ เราไม่มีทักษะในกีฬาทุกประเภท วิชาศิลปศึกษา เราก็ไม่ชอบเป็นรองลงมา เพราะเป็นครูผู้ชายเช่นกัน และดุมากหน้าตามีแต่บูดบึ้งไม่มีรอยยิ้ม เหมือนเครียดมาตลอดชีวิต อีกวิชาหนึ่งคือวิชาภาษาไทย ครูพูดไม่ได้ยินและครูนั่งอยู่ที่โต๊ะ นาน ๆ จะมาเขียนกระดานสักครั้งหนึ่ง
ครูทั้ง ๓ ท่านที่กล่าวมามีคุณลักษณะตรงกันคือเป็นครูที่ลำเอียง ครูผู้ชายชอบหยอกล้อกับนักเรียนหญิงที่หน้าตาดี และแก่นแก้ว ส่วนครูภาษาไทยเลือกลงโทษ ไม่ลงโทษเราตอนที่เราทำผิด เนื่องจากวันนั้นเรามีเต้นท์ทหารมาให้สามีของคุณครูยืม สาเหตุที่ทำผิดคือนักเรียนทุกคนนำกระดาษมาพันแล้วใส่ยางวงยิงกันเล่นในห้องเรียน แล้วบังเอิญมีคนหนึ่งยิงไปถูกแขนของคุณครู ทำให้คุณครูมาสอบถามหาคนที่เล่นแบบนี้ มีเล่นกันหลายคนรวมทั้งเราด้วย คุณครูจึงลงมือตีเรียงไปทีละคนแต่เว้นเราไป แม้ว่าเราจะสารภาพผิด
วิชาที่ฉันชอบมากอยากเรียนทุกวันคือ ประวัติศาสตร์ คุณครูผู้หญิง ตัวเล็กบอบบาง แม้ว่าหน้าตาจะไม่สวย ผิวค่อนข้างคล้ำแต่คุณครูมีความน่ารักมาก เพราะใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอดเวลา คุณครูท่านนี้ชื่อคุณครูคมขำ (บุคลิกภาพสมชื่อ) เปิดโอกาสให้นักเรียนซักถามตลอดเวลา วันที่มีเรียนวิชาประวัติศาสตร์เราจะเตรียมตัวดีมาก อ่านไปล่วงหน้า ตั้งใจฟังตั้งแต่วินาทีแรกจนจบชั่วโมง จำคำพูดของคุณครูได้ทุกถ้อยคำ รองจากวิชาประวัติศาสตร์คือวิชาภาษาอังกฤษ เพราะคุณครูส่วนมากเป็นต่างชาติ มีกระบวนการเรียนการสอนดี ไม่เบื่อหน่าย ให้กำลังใจเสมอ ๆ ไม่ตำหนิให้อับอายเพื่อน ๆ และเป็นวิชาที่เรียนแล้วรู้เรื่องเข้าใจ จำได้ก็ไม่มีปัญหา นอกนั้นชอบบ้างไม่ชอบบ้าง แต่ไม่ถึงกับเกลียด เช่นวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ก็ไม่น่าเบื่อไม่ยากเกินไป เพราะคุณครูสอนดี เอาใจใส่นักเรียนเสมอกัน จึงทำให้เราตั้งใจเรียนทำให้เราเรียนภาษาอังกฤษได้ดี เพราะเรามี "
ครูดี
" และสนใจประวัติศาสตร์มาจนทุกวันนี้
จบการศึกษาชั้นมัธยมต้นแล้ว เราเลือกไปเรียนต่อมัธยมปลายสายวิทยาศาสตร์ ทำให้เราเปลี่ยนบุคลิกภาพจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะเราเรียนไม่ทันเพื่อน แต่ละวันรู้สึกงงแม้กระทั่งไม่สามารถจดจำทิศทางกลับบ้านได้ ต้องนั่งทบทวนอยู่นาน ถ้าวันไหนมีการเรียนภาษาอังกฤษบ้างก็พอหายเครียด แต่เราก็เรียนจบมาด้วยโรงเรียนกวดวิชาและการท่องจำ ท่องแม้กระทั่งคำนวณเป็นข้อ ๆ
เรามีความฝันว่าอยากจะเรียนเป็นนักสังคมสงเคราะห์ เนื่องจากสมัยนั้นการแนะแนวยังไม่เฟื่องฟูเหมือนปัจจุบัน แต่พ่อและแม่ก็ให้อิสระในการเลือกอาชีพ ฝันที่เป็นรองก็คือเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ และอยากมีแฟนเป็นนักการเกษตรทำไร่ ทำสวนอยู่ในฟาร์มเล็ก ๆ
ความเป็นจริงซึ่งมันไม่ใช่ความฝัน ไม่มีหนุ่มนักเกษตรคนไหนมาให้เราเลือก สุดท้ายเราเป็นฝ่ายถูกเลือก และมีจังหวะได้เลือกอีกส่วนหนึ่งคือเลือกใช้ชีวิตคู่กับผู้ชายในเครื่องแบบ แต่เป็นเครื่องแบบคนละสีกับสายเลือดอันเข้มข้นของเรา เพราะเหตุนี้เครื่องแบบคนละสีจึงมีความแตกต่างที่เด่นชัดเรื่องระเบียบวินัยและวัฒนธรรม ความล้มเหลวจีงเกิดขึ้น เมื่อผ่านพ้นมาได้ถือว่าเป็นฝันร้ายชั่วขณะ
เราใช้เวลาเรียนอยู่ในมห
าวิทยาลัยเกินหลักสูตรคือ ๔ ปี และอีก ๑ ภาคเรียน เพราะขี้เกียจ ไม่ขยันเรียน ไม่ส่งรายงานตามกำหนด ทำคะแนนไม่ถึง สอบไม่ผ่าน รวมแล้วเป็นเรื่องของระดับสติปัญญาไม่ดี มากกว่าความเกเรหรือหนีเรียน ผลของระดับคะแนนก็ออกมาต่ำคือแค่ผ่าน สมัยนั้นการศึกษาต่อในระดับปริญญาโทจะหมดสิทธิ์ไปทันที ต้องออกไปทำงาน และมีโอกาสได้มาเรียนต่อระดับปริญญาโทนอกระบบในภายหลังที่เขาเปิดโอกาสให้ผู้ที่ต้องการพัฒนาตนเอง โดยไม่จำกัดเกรดเฉลี่ย
การเรียนในระดับปริญญาโท เป็นไปตามความจำเป็นเพื่อต้องพัฒนาตนเองมากกว่าความนิยม แต่ละที่แต่ละแห่งเราสามารถฝ่าฟันไขว่คว้าเอาปริญญามา รู้สึกว่าเหมือนการเดินทางไปท่องเที่ยว ไปหาเพื่อนที่ไหนสักแห่งในเวลาอันจำกัด หมดเวลาก็ต้องกลับบ้าน ที่ไหนมีประตูเปิดกว้างก็หาเรื่องไปเที่ยวอีก ทำให้ฉันมีโอกาสไปเดินเล่น ๆ เรียน ๆ ในระดับปริญญาโทหลายแห่ง หลายสถาบัน เพราะเรียนยิ่งเรียนก็ยิ่งสนุก
แต่การเรียนรู้ชีวิตนี้มันมากล้น และมีความมันที่จะเรียนรู้ไปเรื่อย ๆ ไม่จำกัดกาลและเวลา เสพมันได้อย่างไร้ขีดจำกัด แต่ต้องไม่เหนือกว่าสติ
วัยหาเลี้ยงชีพ
งานแรกที่ต้องทำคือ "ลูกจ้างเอกชน" และเปลี่ยนที่ทำงานไปหลายแห่งออกมาเกาะพ่อแม่กินไปวัน ๆ ในที่สุดก็ออกมา "รับราชการครู" และเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นทางเลือกสุดท้ายและตามที่เคยใฝ่ฝันไว้ตอนวัยเด็ก จึงมี "
ความศรัทธาเรื่องความใฝ่ฝัน
" ถ้ามีฝันก็จะสมปรารถนา ตอนนั้นยังไม่ทราบว่าครูบ้านนอกนั้นเป็นอย่างไร หากติดตามอ่านบันทึกของเราก็จะได้รายละเอียดเกี่ยวกับเรา
อาชีพครู ทำให้เรารักและภาคภูมิใจมากกับคำว่า "ครูบ้านนอก" เข้ากระแสเลือด ทั้งจิตใจและวิญญาณมันบอกเราว่า "
อุดมการณ์กินไม่ได้ก็จริง เพราะมันไม่ได้มีไว้กิน
" เราตั้งใจว่าจะไม่ลาออกก่อนเกษียณอายุราชการ หากถ้าเราครบเกษียณแล้ว เราจะกลับไปทำงานสอนเด็ก ๆ ให้กับโรงเรียนเดิมที่เราเคยอยู่ เพราะอย่างน้อยเราก็มีเงินเดือนข้าราชการบำนาญอยู่แล้ว ผสมผสานกับเงินที่เราคอยเก็บเล็กผสมน้อยมาเรื่อย ๆ ก็ทำให้เราอยู่ได้ไม่ขัดสน
ประวัติการทำงาน
: ครูโรงเรียนเอกชน บริษัทเอกชนหลายแห่ง ลาออกไปเตะฝุ่นอยู่เกาะกินพ่อแม่เรื่อยไปเพราะร้อนวิชา เอาดีไม่ได้หันกลับมาสอบแข่งขันเข้ารับราชการครู ครั้งแรกในการรับราชการคือเมื่อตำแหน่งอาจารย์ ๑ ระดับ ๓ พัฒนาตนเองเข้าสู่ตำแหน่งอาจารย์ ๓ ระดับ ๖ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๐ และครั้งสุดท้ายในตำแหน่งราชการคือ ครู ค.ศ. ๓ วิทยฐานะชำนาญการพิเศษ
การเข้าสู่ตำแหน่งอาจารย์ ๓ ระดับ ๖ วิชาภาษาอังกฤษ (รุ่นโบราณตามกาลเวลา) ใช้เวลาพัฒนาตนเองเป็นเวลา ๔ ปี ตั้งแต่มีตำแหน่งเป็นอาจารย์ ๒ ระดับ ๕ เมื่อเงินเดือนถึงระดับ ๖ จึงส่งผลงานขอเลื่อนระดับเพื่อให้ตำแหน่งทางวิชาการตามเกณฑ์ (สมัยนั้น) จึงมีงานเป็นชิ้นเป็นอันดังนี้
๑. แผนการเรียนรู้รายชั่วโมงตลอด ๑ ปีการศึกษา จำนวน ๒๐๐ แผน
๒. นวัตกรรม ๑ เล่ม ๔๐ แบบฝึกหัด ใช้เวลาทดลองสอนจริง ๔๐ ชั่วโมง สำหรับแก้ปัญหานักเรียนไม่เข้าใจวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา
๓. หนังสือส่งเสริมการอ่าน Nakornthai Tourist Attraction ๑ เล่ม ใช้เวลาสอนจริง ๑๐ ชั่วโมง
๔. รายงานการใช้นวัตกรรม (วิจัยในชั้นเรียน) ๑ เล่ม
Expert
ผู้ให้การตรวจสอบโดยละเอียดและจริงใจที่สุดคือ "
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖
" ทุกรุ่นที่ได้ทดลองใช้นวัตกรรม ทำให้ผลงานทางวิชาการได้รับการอนุมัติเป็นอาจารย์ ๓ ระดับ ๖ โดยไม่ต้องปรับปรุง และมีเงินวิทยฐานะเพียง ๓๕๐๐ บาท เท่ากับครูชำนาญการในปัจจุบัน
วัยเลยครึ่งร้อย
แต่...ภายหลังและปัจจุบัน เราไม่สามารถทำตามความตั้งใจที่ดีที่สุดได้ เมื่อเราได้เรียนรู้ตัวเองมากขึ้น จึงเต็มใจที่จะออกมาใช้ชีวิตเรียบง่ายอย่างธรรมดา...เหมือนทุกวันนี้ เรียนรู้ชีวิตและสอนตัวเองเท่านั้น เพราะมีความเข้าใจโลกและชีวิตมากขึ้น
เวลาที่เหลืออยู่ "
เรามีพร้อมทุกอย่างด้านวัตถุ ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนขวนขวายสิ่งใดอีก นอกจากการดูแลรักษาสุขภาพทางกายให้แข็งแรง
" เพื่อรองรับสิ่งที่ขาดและต้องเติมเต็มคือด้านการพัฒนาจิตใจและการแบ่งปัน จึงขอเป็นส่วนหนึ่งในการ "
ขออุทิศเพื่อชีวิตและสังคม
"
ดอกไม้ที่ชอบ
เอกเขนก
ภาพหลายแห่งหายไปเหลือไว้แต่ความทรงจำ
หน้าแรก
สมาชิก
คิม นพวรรณ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID
@gotoknow
สงวนลิขสิทธิ์ © 2005-2023 บจก. ปิยะวัฒนา
และผู้เขียนเนื้อหาทุกท่าน
นโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy)
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท