เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2556 ที่ผ่านมาอาจารย์พาพวกเรานักศึกษาพยาบาลศาสตรบัณฑิตชั้นปี 1
ได้ไปศึกษาดูงานที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากโครงการพระราชดำริ
เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จ พระราชดำเนินมาเปิดศาลพระบวรราชานุสาวรีย์ ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา ณ ที่นั้น ราษฎร ๗ ราย ได้น้อมเกล้าฯ ถวายที่ดิน บริเวณหมู่ ๒ ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน ๒๖๔ ไร่ เพื่อต้องการให้สร้างพระตำหนัก ด้วยเห็นว่าพระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปที่ไหนก็พยายามที่จะพัฒนาทำให้ที่ดินเจริญขึ้น เนื่องจากผืนดินเสื่อมโทรมไม่สามารถทำการเกษตรได้ ดังพระราชดำรัส
...ประวัติมีว่า ตอนแรกมีที่ดิน ๒๖๔ ไร่ ที่ผู้ใหญ่บ้านให้เพื่อสร้างตำหนัก ในปี ๒๕๒๒ ที่เชิงเขาหินซ้อนใกล้วัดเขาหินซ้อน ตอนแรก ก็ต้องค้นคว้าว่าที่ตรงนั้นคือตรงไหน ก็พยายามสืบถามก็ได้พบบนแผนที่พอดี อยู่มุมบนของระวางของแผนที่ จึงต้องต่อแผนที่ ๔ ระวาง สำหรับให้ได้ทราบว่าสถานที่ตรงนั้นอยู่ตรงไหน ก็เลยถามผู้ที่ให้ที่นั้นนะ ถ้าหากไม่สร้างตำหนัก แต่ว่าสร้างเป็นสถานที่ที่จะศึกษาเกี่ยวกับ การเกษตรจะเอาไหม เขาก็บอกยินดี ก็เคยเริ่มทำในที่นั้น...
การดำเนินงานของศูนย์ฯ เขาหินซ้อนฯ ได้ดำเนินการตามแนวพระราชดำริ เพื่อเป็นแหล่งรวบรวมการศึกษา ทดลอง วิจัย และการพัฒนาปรับปรุงพื้นที่ดินทรายจัดเพื่อเกษตรกรรม ซึ่งมีรูปแบบการให้บริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว โดยให้บริการแก่ประชาชนและเกษตรกรที่เข้ามาศึกษาหาความรู้ ณ ที่แห่งเดียวในทุกสาขาวิชาชีพ เสมือน ”พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต” เป็นตัวอย่างแห่งความสำเร็จในด้านการเกษตรกรรม และการพัฒนาอาชีพ เพื่อเป็นต้นแบบ และแนวทางให้แก่เกษตรกรและผู้สนใจนำไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติในพื้นที่ต่อไป โดยเฉพาะหมู่บ้านเป้าหมาย จำนวน ๑๕ หมู่บ้าน เนื้อที่ ๑๑๓,๒๑๔ ไร่
เราได้รู้สิ่งต่างๆมากมายและรู้สึกได้เลยว่าพระเจ้าอยู่หัว ทรงทำสิ่งต่างๆมากมายให้พวกเรา
พระองค์ทรงทำให้ผืนดินที่แห้งแล้ง กลับมาชุ่มชื้นอีกครั้งเราได้ทราบถึงประวัติการจัดตั้งศูนย์ศึกษาพัฒนาเขาหินซ้อนแล้ว
เราก็ได้ไปศึกษาเกี่ยวกับการเพาะเห็ด น่าสนใจมากค่ะ ฉันเลยเอาความรู้เกี่ยวกับการเพาะเห็ดมาฝาก
วัสดุอุปกรณ์ในการเพาะเห็ดนางฟ้า
>วัสดุเพาะ เช่น ขี้เลื่อยไม้ยางพารา อาหารเสริม
>แม่เชื้อเห็ดชนิดที่ต้องการ
>ถุงพลาสติกทนร้อนขนาด 6 3/4 x 12 1/2 หรือ 8x12 นิ้ว
>คอขวดพลาสติกเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 1/2 นิ้ว
>สำลี ยางรัด
>ถังนึ่งไม่อัดความดัน หรือหม้อนึ่งความดัน
>โรงเรือนหรือที่บ่มเส้นใย
การเตรียมวัสดุเพาะจากขี้เลื่อยไม้ยางพารา
ส่วนมากจะใช้ขี้เลื่อยไม้ยางพารา หรือขี้เลื่อยไม้เบญจพรรณ หรือใช้ฟางข้าวก็ได้ ตามฟาร์มเห็ดทั่วไปแล้วเพื่อความสะดวกในการหมักและผสมวัสดุจึงนิยมใช้ขี้เลื่อยไม้ยางพารา ซึ่งเป็นขี้เลื่อยไม้เนื้ออ่อนและมีสารอาหารที่มีคุณค่าในการเพาะเห็ดมาก
อัตราส่วนในการผสมวัสดุอื่นๆ
ขี้เลื่อย 100 กิโลกรัม
รำละเอียด 6 กิโลกรัม
ปูนขาว 1 กิโลกรัม
ดีเกลือ 0.2 กิโลกรัม
ยิปซัม 0.2 กิโลกรัม
น้ำสะอาด 60-70 %
สูตรที่ 2
ขี้เลื่อยไม้ยางพาราแห้ง 100 กิโลกรัม
รำละเอียด 5 กิโลกรัม
ยิปซัม 0.2 กิโลกรัม
ปูนขาว 1 กิโลกรัม
ดีเกลือ 0.2 กิโลกรัม
ปรับความชื้นของวัสดุเพาะประมาณ 60-65 %
วัสดุทั้งหมดนี้สามารถปรับเปลี่ยนเพื่อความเหมาะสมได้เมื่อชั่งหรือตวงวัสดุทั้งหมดแล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน และหมั่นตรวจดูความชื้นบ่อยๆ เพื่อไม่ให้วัสดุเปียกแฉะจนเกินไป ซึ่งจะทำให้มีผลในการทำให้เชื้อเห็ดไม่เดิน
วิธีการเตรียมวัสดุเพาะ
นำส่วนผสมดังกล่าวข้างต้น ผสมให้เข้ากันด้วยมือหรือเครื่องผสมแล้วปรับความชื้น 60-65 % โดยเติมน้ำพอประมาณ ใช้มือกำขี้เลื่อยบีบให้แน่น ถ้ามีน้ำซึมที่ง่ามมือแสดงว่าเปียกเกินไป (ให้เติมขี้เลื่อยแห้งเพิ่ม) ถ้าไม่มีน้ำซึมให้แบมือออก ขี้เลื่อยจะรวมกันเป็นก้อนแล้วแตกออก 2-3 ส่วน ถือว่าใช้ได้แต่ถ้าแบมือแล้วขี้เลื่อยไม่รวมตัวเป็นก้อน แสดงว่าแห้งไป ให้เติมน้ำเล็กน้อย
>บรรจุขี้เลื่อยใส่ถุงพลาสติกทนร้อน น้ำหนัก 8-10 ขีด
>กระแทกกับพื้นพอประมาณ และทุบให้แน่นพอประมาณ 2 ใน 3 ของถุง หรือใช้เครื่องอัดก้อนเห็ด ใส่คอขวด ปิดฝาด้วยฝาจุกแบบประหยัด
>นำไปนึ่งฆ่าเชื้อที่ 100 องศาเซลเซียส 3 ชั่วโมง แล้วนำมาพักให้เย็นในที่สะอาด
>การใส่หัวเชื้อ
ลักษณะเชื้อเห็ดที่ดี
จะต้องไม่มีเชื้อราอื่นๆ เจือปน เช่น ราดำ ราเขียว ราส้ม ปนเปื้อน อยู่ในขวดเชื้อนั้น เพราะจะทำให้ถุงเพาะเชื้อเห็ดติดโรคราอื่นได้ โดยสังเกตเส้นใยของเชื้อเห็ดจะต้องมีเส้นใย สีขาวบริสุทธิ์และดินเต็มขวด
หัวเชื้อควรเลือกหัวเชื้อที่เจริญเต็มเมล็ดธัญพืชใหม่ๆเพราะเชื้อในระยะนี้กำลังแข็งแรงและเจริญเติบโตรวดเร็ว
สถานที่เขี่ยเชื้อเห็ด ควรเขี่ยในห้องที่สะอาดและสามารถป้องกันลมได้เพื่อช่วยลดเชื้อปลอมปน ทำให้เปอร์เซ็นต์ของก้อนเชื้อที่เสียต่ำลง
ในการเขี่ยเชื้อเห็ด ควรใช้ลวดแข็งๆ เผาไฟให้ร้อน ในถึงก้อนเชื้อประมาณ 15-20 เมล็ดแล้วปิดด้วยจุกสำลี เพื่อฆ่าเชื้อ แล้วกวนตีเมล็ดข้าวฟ่างให้ร่วน เพื่อสะดวกในการเทเมล็ดข้าวฟ่างลงในถึงก้อนเชื้อ
>ใส่หัวเชื้อเห็ดที่เลี้ยงบนเมล็ดข้าวฟ่างลงและปิดจุกไว้ตามเดิม
>การทำให้เกิดดอกดูแลรักษาเห็ดนางฟ้า
ก่อนการเปิดดอกควรนำก้อนเชื้อเห็ดมาวางไว้ประมาณ 3-4 วัน เห็ดนางฟ้าจะเปิดถุง โดยเอาจุกสำลีออก นำก้อนไปเรียงซ้อนกัน จะใช้ชั้นไม่ไผ่ตัว A หรือชั้นแขวนพลาสติกก็ได้ รดน้ำ รักษาความชื้นให้มากในโรงเรือนให้มากกว่า 70 % วันละ 2-6ครั้ง ขึ้นอยู่กับ สภาพอากาศ โดยสเปรย์น้ำเป็นฝอย ระวังอย่ารดน้ำเข้าในถุง เพราะถุงจะเน่าและเสียเร็ว หลังจากบ่มเชื้อครบ
30-35 วัน นำก้อนเชื้อเข้าสู่โรงเรือนเปิดดอก
โดยแกะกระดาษเขี่ยข้าวฟ่างและสำลีออกให้หมด ทำความสะอาดพื้นโรงเรือนรดน้ำให้ชุ่ม
วันละ 3 เวลา คือ เช้า เที่ยง เย็น เห็ดจะออกดอก ได้ดี
ตัดแต่งตีนเห็ดก่อนนำไปจำหน่ายให้แม่ค้าในชุมชน
การเพาะเห็ดน่าสนใจมากค่ะ แถมเห็ดยังเลี้ยงง่าย ขายได้ราคาดีอีกด้วยค่ะ
สนใจติดต่อที่ โทรศัพท์ 038-554982-3, โทรสาร 038-554973, Mobile:081- 6860639
ไม่มีความเห็น
วันที่ 6 - 7 เมษายน 2556 ในการไปค่ายครั้งนี้เป็นการเข้าค่ายพักแรมที่สนุกมาค่ะ
เราได้ไปตั้งหลายที่ ทำกิจกรรมกันเพียบเลย
แล้วขาไปเราได้ไปขึ้นเรือหลวงจักรีนฤเบศร ชมภายในเรือ
ฟังบรรยายเกี่ยวกับประวัติความเป็นมา และเก็บภาพบรรยากาศบนเรือด้วย
ประวัติเรือรบหลวงจักรีนฤเบศร
เรือรบหลวงจักรีนฤเบศร
จอดเทียบท่าเรือจุกเสม็ด ฐานทัพเรือสัตหีบ
เป็นเรือบรรทุกเครื่องบินขึ้นลงทางดิ่งและ เฮลิคอปเตอร์ ของราชนาวีไทย.
เป็นเรือรบที่มีขนาดใหญ่ที่สุดที่มีมาในกองทัพเรือไทย. เรือลำนี้ได้ต่อขึ้น ณ
อู่ต่อเรือบาซาน เมืองโรตา ในประเทศสเปน และได้เดินทางถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ ๙
สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๐ ในยามปรกติ เรือจักรีนฤเบศร์จะเป็นฐานปฏิบัติ การคุ้มครอง
ประโยชน์ของชาติทางทะเล ช่วยเหลือผู้ประสบภัย และรักษาสิ่งแวดล้อมในทะเล.
ในยามสงคราม เรือจักรีนฤเบศร์ จะเป็นเรือธง คือ
เรือที่ทำหน้าที่ควบคุมและบังคับบัญชากองเรือในทะเล
เพื่อควบคุมการปฏิบัติงานป้องกันภัยทางอากาศ, การต่อสู้ทางน้ำ
และปราบเรือดำน้ำของผู้ที่เข้ามารุกรานประเทศ
เรือรบหลวงจักรีนฤเบศร ได้รับพระราชทานชื่อจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า "จักรีนฤเบศร์" หมายถึง ผู้ยิ่งใหญ่แห่ง ราชวงศ์จักรี เป็นเรือที่ต่อในประเทศสเปน เมื่อปี 2537 เรือลำนี้มีทั้งหมด 11 ชั้น มีความยาว 182 เมตร กว้าง 30.5 เมตร เป็นเรือที่ มียุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย มีระบบเรด้าห์ตรวจการณ์ระยะไกล ภารกิจที่สำคัญในยามสงคราม ทำหน้าที่เป็นเรือธง ควบคุมและ บังคับบัญชา กองเรือในทะเลทั้งหมด และยังเป็นเรือบรรทุกเครื่องบิน ควบคุมการปฏิบัติการป้องกันภัยทางอากาศอีกด้วย
จากประวัติที่เราทราบมาก็ทำพวกเราอึ้งกันเลย และบนเรือก็สวยมากจริงๆค่ะสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงมีพระราชกระแสแนะนำแนวทางการสร้างความรู้ความเข้าใจและจิตสำนึก ในเรื่องเกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้แก่เยาวชนไว้หลายครั้งหลายครา ครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์พ.ศ. 2536 ได้มีพระราชกระแสว่า
"การสอนให้เด็กมีจิตสำนึกในการอนุรักษ์พืชพรรณนั้น ควรใช้วิธีการปลูกฝังให้เด็กเห็นความงดงามความสนใจ และก่อให้เกิดความปิติที่จะทำการศึกษาและอนุรักษ์พืชพรรณต่อไป การใช้วิธีการสอน การอบรมให้เกิดความรู้สึกกลัวว่าหากไม่อนุรักษ์แล้วจะเกิดผลเสีย เกิดอันตรายแก่ตนเอง จะทำให้เด็กเกิดความเครียด ซึ่งจะเป็นผลเสียต่อประเทศในระยะยาว"
ในโอกาสเดียวกันนี้ ยังได้ทรงมีพระราชกระแสเพิ่มเติมด้วยว่า " ตามเกาะต่าง ๆ มีพืชพรรณอยู่มาก แต่ยังไม่มีผู้สนใจเท่าไร จึงน่าจะมีการสำรวจพืชพรรณตามเกาะด้วย"
ต่อมาในปี พ.ศ.2541ได้พระราชทานแนวทางการปฏิบัติแก่กองทัพเรือในการดำเนินงานกิจกรรมสร้างจิตสำนึกของโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ฯ ที่เกาะแสมสารว่า ควรพิจารณาปฏิบัติตามรูปแบบของอุทยานแห่งชาติเกาะปอร์กอรอลส์ และเกาะโคร์ส ที่ฝรั่งเศส ซึ่งได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนมาในปี พ.ศ. 2538 และทรงมีความประทับใจในวิธีการให้ความรู้ความเข้าใจในด้านพันธุ์ไม้และระบบนิเวศต่อเยาวชน ในลักษณะที่เป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิต อันก่อให้เกิดความรู้สึกผูกพันกับธรรมชาติ
นอกจากนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ยังได้ฝากงานอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลนี้
ไว้ต่อกองทัพเรือด้วย
โดยมีพระราชกระแสต่อผู้บัญชาการทหารเรือ เมื่อ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2544
ว่า “ให้กองทัพเรือทำงานนี้เพื่อความมั่นคงของประเทศ”
อันเนื่องมาจากพระราชกระแสและพระราชดำริหลายครั้งหลายครานี้เองกองทัพเรือจึงมุ่งหน้าดำเนินงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ
ที่เกาะแสมสาร และในส่วนของกิจกรรมสร้างจิตสำนึกแก่เยาวชน
กองทัพเรือได้พิจารณาจัดตั้ง "พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเกาะและทะเลไทย" ขึ้นบนฝั่งสัตหีบตรงข้ามเกาะแสมสาร
รวมทั้งจัดสร้างสวนพฤกษศาสตร์และเส้นทางศึกษาธรรมชาติบนเกาะแสมสารเพื่อเป็นสื่อในการสร้างความรู้ความเข้าใจและจิตสำนึกแก่เยาวชนตามแนวทางพระราชดำริในการนี้ได้ทรงมีพระราชวินิจฉัยเห็นชอบและยังพระราชทานแนวทางการดำเนินงานเพิ่มเติมด้วยว่า
-
"ควรให้คนเข้าชมพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่บนฝั่งมากกว่าที่จะไปรบกวนบนเกาะ"
- "ที่เกาะแสมสาร
จะทำแบบเกาะปอร์กอรอลส์ไม่ได้ เพราะเกาะของเราเล็ก ฉะนั้นควรให้คนมาดูแล้วกลับไป
ไม่มีที่ให้ค้าง"
-
"เนื้อหาที่จะจัดแสดง(ในพิพิธภัณฑ์) จะต้องให้เป็นการสอนและปรับปรุงให้ใหม่อยู่เสมอ
และควรมีงานวิจัยอย่างต่อเนื่อง"
กองทัพเรือได้น้อมเกล้าฯ รับพระราชดำริ มาประมวลเป็นรูปแบบการก่อสร้างและหลักการการจัดการพิพิธภัณฑ์ฯจนกระทั่งบัดนี้การก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเกาะและทะเลไทยบนฝั่งแสมสาร รวมทั้งสวนพฤกษศาสตร์ และเส้นทางศึกษาธรรมชาติบนเกาะแสมสารมีความคืบหน้าไปบ้างแล้ว และคาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์ได้ตามเป้าหมายในปี พ.ศ. 2550
พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเกาะและทะเลไทย
ตั้งอยู่ริมทะเลบริเวณเขาหมาจอ ตำบลแสมสาร อำเภอสัตหีบ
จังหวัดชลบุรี
ในจุดที่อยู่ตรงข้ามเกาะแสมสาร มีอาณาบริเวณประมาณ 16 ไร่
สิ่งก่อสร้างมีลักษณะเป็นอาคาร
ไต่ระดับเขา ถึงยอดเขา
เพื่อให้มองเห็นทัศนียภาพมุมกว้าง ไกล
และความลึกของทะเลโดยมุ่งที่จะให้ผู้ชม
เห็นความงดงามของท้องทะเลแล้วเกิดจินตนาการและความปิติที่จะรักษาทรัพยากรธรรมชาติไว้ตามแนวพระราชดำริ
ในหลักวิชาว่าด้วยการพิพิธภัณฑ์
ถือได้ว่าพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาเกาะและทะเลไทยเป็นพิพิธภัณฑ์ที่สากลเรียกว่า
NATURAL HISTORY MUSEUM อันเป็นสถานที่รวบรวมและจัดแสดงวัตถุธรรมชาติ
ทั้งในด้านธรณีวิทยา
พฤกษศาสตร์ สัตวศาสตร์
ทางทะเลเป็นแห่งแรกในประเทศไทย
สำหรับเนื้อหาการจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์
รวมทั้งสวนพฤกษศาสตร์และเส้นทางศึกษาธรรมชาติบนเกาะแสมสาร
จะประมวลมาจากผลการสำรวจเกาะต่าง
ๆ ของไทยในโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริฯ
กองทัพเรือ
ตามแนวทางพระราชทานที่ว่า "ให้สำรวจตั้งแต่ยอดเขาถึงใต้ทะเล" โดยคณะปฏิบัติงานวิทยาการ
หรือคณะนักวิชาการหลายสาขาจากหลายสถาบัน
ที่อุทิศตนอาสาสมัครเข้ามาปฏิบัติงานร่วมในโครงการฯ
ได้นำตัวอย่างและงานวิจัยในเรื่อง
พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ ดิน หิน แร่
มาจัดแสดงและต่อไปจะมีการปรับเปลี่ยน
เพิ่มเติมในโอกาสที่เหมาะสมด้วย
ส่วนการศึกษาทรัพยากรชีวภาพและกายภาพในธรรมชาติจริง
นอกเหนือจากการชมตัวอย่างในพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติ
วิทยาเกาะและทะเลไทยแล้ว
ก็จะต้องลงเรือข้ามไปยังเกาะแสมสารซึ่งได้จัดไว้เป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติ (NATURE TRAIL) สวนพฤกษศาสตร์
ป่าชายเลน และบ่อแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ ทั้งนี้ การเข้าชมในส่วนนี้จะเป็นไปอย่างจำกัด
เฉพาะนักวิจัย เยาวชนผู้ด้อยโอกาส
และบุคคลที่มีเหตุผลสมควรในด้านการศึกษาตามพระราชดำริ
คุณครูมาให้ดอกไม้กันก่อนเลยนะครับ ครู Was และ ครูขจิต
นำมาครับ อาจารย์ ;)...
ชื่อ-สกุล : นางสาวณัฐวดี เพียรชอบ
อายุ : 19 ปี
วัน เดือน ปี เกิด : 20 ตุลาคม 2536
กรุ๊ปเลือด : เอ
ที่อยู่ปัจจุบัน :36 ถ.เลียบเนิน ต.วัใหม่ อ.เมือง จ.จันทบุรี 22000
สถานที่จบการศึกษามัธยมต้น : โรงเรียนเขาชะเมาวิทยา จังหวัดระยอง
สถานที่จบการศึกษามัธยมปลาย : โรงเรียนเขาชะเมาวิทยา จังหวัดระยอง
ปัจจุบันศึกษาที่ : วิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จังหวัดจันทบุรี
เบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่ิได้ : 0810028501
งานอดิเรก : วาดรูป อ่านหนัางสือ ฟังเพลง
สีที่ชอบ เขียว แดง ส้ม ฟ้า
อาหารที่ชอบ ส้มตำ ยำปูม้า
ผลไม้ที่ชอบ องุ่น มะพร้าว
คติประจำใจ : ผิดหวังครั้งที่ร้อยดีกว่าคิดท้อถอยก่อนจะทำ
ความใฝ่ฝันในอนาคต : ดูแลพ่อกับแม่ และน้องให้ดีที่สุด
ชื่อ-สกุล บิดา : นายโปร่ง เพียรชอบ
ที่อยู่ปัจจุบัน : 54 ม.1 ต.ห้วยทัมอญ อ.เขาชะเมา จ.ระยอง 21110
เบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่ิได้ : 0810028501
ชื่อ-สกุล มารดา : นางกิ่งอาภา เพียรชอบ
ที่อยู่ปัจจุบัน : 54 ม.1 ต.ห้วยทัมอญ อ.เขาชะเมา จ.ระยอง 21110
มีพี่น้อง 2 คน เป็นลูกคนที่ 1
น้องสาวชื่อ เด็กหญิงฑิฆัมพร เพียรชอบ
ครูมีข้อแนะนำว่า ... ไม่ควรลงเบอร์โทรฯ เอาไว้นะครับ
เพราะการสืบค้นสมัยนี้มันทำอันตรายต่อเจ้าของได้
;)...
ครู Was มาบอกแล้ว....
หรือว่าเป็นเงื่อนไขที่คุณครูกำหนดมาแบบนี้.............งง
สงสัยครูเขาสั่งมาครับ ;)...
เรื่องนี้เคยได้ยินมาตอนสมัยเรียนม.ต้น เมื่อได้อ่านก็รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรืองที่ดีมากๆ จึงหามาเพราะอยากให้ทุกคนได้อ่านกัน
..........คุ๊กกี้ 1 ห่อกับการตัดสินคน..........
ที่สนามบินนานาชาติระดับโลก มีนักธุรกิจหญิงแต่งตัวดี จำเป็นต้องรอเวลาถึง 3 ชั่วโมง
ในการเปลี่ยนเครื่องบินเพื่อไปจุดหมายปลายทาง เธอจึงตัดสินใจเดินไปซื้อหนังสือ 1 เล่ม และคุ๊กกี้ 1 ห่อ และเตรียมหาที่นั่งเพื่ออ่านและกิน ฆ่าเวลาไปพลาง ๆ เธอสอดส่ายมองหาที่นั่งได้ 1 แห่ง เมื่อนั่งลงก็เตรียมหนังสือและคุ๊กกี้ เพื่ออ่านและกินไปพลาง ๆ เธอสังเกตเห็นว่าข้าง ๆ เธอมีชายหนุ่มซึ่งนั่งเหยียดกายอย่างไม่สนใจใคร ว่าจะมีใครนั่งอยู่ข้าง ๆ เขาสักครู่หนึ่ง ขณะที่เธออ่านหนังสือ ชายหนุ่มก็หยิบขนมคุ๊กกี้ออกจากถุง ซึ่งวางอยู่ระหว่างคนทั้งสอง แล้วกินมันอย่างละชิ้นเธอมองด้วยความโกรธแต่ไม่ต้องการทำเรื่องวุ่นวาย เธอจึงทำเป็นไม่สนใจ
เธอเริ่มรู้สึกเบื่อที่จะกินคุ๊กกี้และเฝ้ามองนาฬิกา ในขณะที่ชายหนุ่มซึ่งเป็นผู้ขโมยไร้ยางอาย กำลังกินมันให้หมดสิ้นไป เธอเริ่มโมโหและคิดในใจว่า "ถ้าฉันไม่ใช่ผู้ดีมีการศึกษาแล้วละก็....ฉันจะชกหน้าเจ้าหมอนี้ให้แหลกไปเลย"ทุกครั้งที่เธอหยิบกิน 1 ชิ้น ชายหนุ่มก็หยิบมันกิน 1 ชิ้น ทั้งสองส่งสายตามองกัน เมื่อคุ๊กกี้เหลือเพียงชิ้นสุดท้าย เธอหยุดและอยากรู้ว่าชายหนุ่มจะทำอย่างไร ชายหนุ่มค่อย ๆ หยิบคุ๊กกี้ชิ้นสุดท้ายแล้วหักออกเป็น 2 ชิ้น ส่งให้เธอครึ่งชิ้นและกินเองครึ่งชิ้น เธอรับจากชายหนุ่มอย่างรวดเร็วและคิดในใจว่า"เขาช่างเป็นคนไร้มารยาทสุดๆช่างไร้การศึกษา ไม่มีแม้แต่พูดขอบคุณสักคำ" เธอลุกขึ้นหยิบข้าวของทั้งหมดแล้วตรงไปยังประตูขึ้นเครื่อง ไม่แม้แต่เหลียวหลังกลับมามองหัวขโมยผู้ไร้มารยาทซึ่งยังนั่งอยู่ที่เดิม ภายหลังจากขึ้นเครื่องและนั่งประจำที่อย่างสบาย แล้วเธอก็หยิบหนังสือที่อ่านค้างอยู่ขึ้นมาอีกครั้ง ในขณะที่หยิบหนังสือจากกระเป๋า ก็พบว่ามีขนมคุ๊กกี้ 1 ห่อเธอตกใจมาก ถ้าคุ๊กกี้ของฉันยังอยู่ที่นี่ ก็แปลว่า.....คุ๊กกี้ห่อนั้นเป็นของชายหนุ่มที่แบ่งให้เธอกิน เธอลุกขึ้นทันที แล้ววิ่งออกจากเครื่องบินไปยังที่นั่งของชายหนุ่ม แต่คงเหลือแต่ที่นั่งว่างเปล่า มันสายไปเสียแล้วที่จะได้ขอโทษชายหนุ่ม ระหว่างเดินกลับเข้าเครื่อง เธอรู้สึกเจ็บปวดหัวใจ เธอนั่นเองที่ไร้มารยาท เป็นหัวขโมยที่ไร้การศึกษาตัวจริง..........มีกี่ครั้งในชีวิตของคนเรา ที่ค้นพบในภายหลังว่า "สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นการเข้าใจผิด มีกี่ครั้งในชีวิตที่เราขาดความไว้วางใจผู้อื่น และทำให้เราตัดสินผู้อื่นจากความคิดเย่อหยิ่งของเราเอง ซึ่งห่างไกลจากความเป็นจริงมากมาย"
..........นี่แหละที่ทำให้เราต้องคิดซ้ำแล้วซ้ำอีกก่อนตัดสินผู้อื่น หลาย ๆ สิ่งไม่ได้เป็นอย่างที่เห็น ควรมองผู้อื่นในแง่ดี แล้วคอยสงสัยตัวเองว่า
"เรามองโลกในแง่ดีพอแล้วหรือยัง? เราเคยแบ่งปันอะไรแก่คนอื่นบ้างหรือไม่"..........
สมัยนี้คนเราก็มองเห็นแต่ตนเองจนบางครั้งก็มองข้ามเรื่องเล็กๆน้อยไป การแบ่งบันทำให้เราเสียอะไรบางอย่างไป แต่ถ้าเราคิดในแง่ดี เราจะรู้ว่าสิงที่ได้กลับคืนมาคืออะไร ฉันคิดว่าถ้าเรารู้จักมองข้ามเรื่องเล็กๆน้อยๆไป เราจะมีความสุขมากขึ้น ที่สำคัญการขอโทษไม่ใช่เรื่องน่าอาย การให้อภัยก็เช่นกัน
ที่มา http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=25-06-2008&group=8&gblog=26
ไม่มีความเห็น