อนุทินล่าสุด


ยูมิ
เขียนเมื่อ

คำถามที่ต้องการใช้ปัญญาในการตอบ เช่น คนเราเกิดมาเพื่อมีความสุขเท่านั้นหรือเปล่า..? คนเราเป็นใครมาจากไหนและจะเป็นไปอย่างไร..? จะเพียงพอต่อการดำเนินชีวิตหรือไม่หากเรามีเสรีภาพที่จะเลือก..?



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
ยูมิ
เขียนเมื่อ

ความสำเร็จในการงานของคนเรานั้นต้องขึ้นอยู่ที่การตั้งใจลงมือทำอย่างจริงจังด้วยตนเอง ผู้ไม่พบความสำเร็จส่วนมากชอบมองดูแต่คนอื่นทำ



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
ยูมิ
เขียนเมื่อ

ผลแตงโมทานแล้วไร้รสหวาน กออ้อยนำมาปั่นได้น้ำแต่ไร้รสหวาน มวลดอกไม้ยามอยู่ชิดใกล้ไร้กลิ่นหอม มีแม่น้ำลำคลองแต่ไร้สายแห่งธาราฉันใด ก็เหมือนคนเราไร้ซึ่งสัจธรรมฉันนั้น



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
ยูมิ
เขียนเมื่อ

จริยศาสตร์กับจริยธรรม จริยศาสตร์มุ่งเน้นภาคทฤษฎี ส่วนจริยธรรมมุ่งเน้นภาคปฏิบัติ จริยธรรมคือศีลธรรมนั้นเอง



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
ยูมิ
เขียนเมื่อ

ทฤษฎีการมองของอุทัย เอกสะพัง มี 6 ข้อดังนี้

1 . มองเหมือนนก คือมองจากที่สูงลงมาต่ำ มองได้ทั่วถึง มองให้เห็นในภาพรวม ( นก )

2 . มองเหมือนหนอน คือมองใกล้มองชัดเหมือนหนอนกินใบไม้จนหมด ( หนอน )

3 . มองเหมือนหนู คือคนเห็นหนูตายเอาไปใช้ประโยชน์จนเป็นเศรษฐี ( หนู )

4 . มองเหมือนนา คือมองทุ่งนาเหมือนพระอานนท์ได้เป็นต้นแบบจีวรพระ ( นา )

5 . มองเหมือนน้ำ คือมองให้เห็นความสำคัญของน้ำที่ก่อเกิดประโยชน์มหาศาล ( น้ำ )

6 . มองเหมือนนิ่ง คือมองให้เห็นความสงบใจ สงบเย็นเห็นนิพพาน ( นิ่ง )


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
ยูมิ
เขียนเมื่อ

เปลี่ยนคำทำรายได้ วันหนึ่งขณะสอนหนังสือให้นิสิต ป. โท สาขาวิชาไทยคดีศึกษา ม. ทักษิณ นิสิตคนหนึ่งได้กล่าวถึงสิ่งนี้เป็นแง่คิดทำนองว่า ชายตาบอดเขียนป้ายขอทานว่าโปรดให้ทานคนตาบอดด้วยเถิด เงียบไร้คนให้ทาน มีคนเดินผ่านมาเห็นจึงเปลี่ยนคำเขียนว่า วันนี้โลกสวยนะแต่ผมมองไม่เห็น...ทีนี้มีคนมาให้ทานเยอะเลยละ



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
ยูมิ
เขียนเมื่อ

ขณะเดินเข้าไปยังตึกคณะที่ทำการสอนในเช้าวันนี้ เดินผ่านแม่บ้านทำความสะอาดลานมหาวิทยาลัย เขาจำผมได้จึงยกมือสวัสดี แล้วเขาบอกว่าต้นไม้ใหญ่นี้พร้อมมือชี้ไปยังต้นไม้และมองด้วยว่าล่นลงมาทุกวันไม่ใบก็ดอกหรือไม่ก็กิ่งของมันอาจารย์ ผมเลยตอบไปว่า ต้นไม้นี้ช่างมีบุญคุณต่อเราจริงนะเพราะหาอะไรล่นลงมาให้เราได้ทำงาน มหาวิทยาลัยก็จ้างเรา เรามีเงินก็ใช้จ่ายในสิ่งที่เราต้องการ ต้องขอบคุณต้นไม้นี้นะครับ

ผมไม่รู้เธอคิดอย่างไรแต่เธอมองตาผมนะ อิ อิ



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
ยูมิ
เขียนเมื่อ

เช้าวันนี้ไปสอนตามปกติเจอนิสิตมาถามหาอาจารย์คนหนึ่งเขาถามว่า อ. มามั้ย อ. อยู่ไหม เลยตอบไปว่า อ.มาตอนที่หนูเห็นนั้นละ นิสิตหัวเราะก๊าก ๆ แต่เช้าเชียวละวันนี้



ความเห็น (1)
อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
ยูมิ
เขียนเมื่อ

ความจริงในธรรมชาติมีทุกสิ่งให้เลือกสรรเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตปัจจุบันเช่นยามเช้าก่อนรุ่งสางนี้ก็มีเสียงไก่ขันเป็นนาฬิกาให้ตื่นนอนโดยไม่ต้องอาศัยนาฬิกาที่ต้องใช้เงินซื้อด้วยราคาแพง ๆ นี่คือสิ่งที่มีคุณค่าแต่ไร้ราคาซื้อขาย  คนมีปัญญาเท่านั้นจึงแลเห็นแล้วนำมาใช้ประโยชน์ได้



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
ยูมิ
เขียนเมื่อ

นับเป็นคุณค่าทางจิตใจอย่างหนึ่งที่ประเมินด้วยราคาไม่ได้เมื่อดูภาพเก่า ๆ ที่มีรูปคุณพ่อและคุณแม่ยังเหลืออยู่แม้ท่านจะล่วงลาลับโลกไปนานแล้วก็ยังเห็นได้



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
ยูมิ
เขียนเมื่อ

ความคุ้นเคยกันนับว่ามีความเป็นมิตรไมตรีที่ดีงามสิ่งที่ยากก็กลับกลายเป็นสิ่งที่ง่าย ๆ



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
ยูมิ
เขียนเมื่อ

วันนี้ยามเช้า ๆ ไปร่วมประชุมผู้ปกครองนักเรียน ณ โรงเรียน มอ. วิทยานุสรณ์ เมืองหาดใหญ่

ภายในหอประชุมใหญ่ บางช่วงพิธีกรชี้ตรงมายังผมเขาเห็นว่าเป็นจุดเด่นเต๊ะตาและเพื่อถามปัญหาก็ได้ตอบไป...พอเข้าไปในห้องเรียนที่ลูกต้องเรียนตลอดชั้นปีนี้ได้รับฟังคุณครูประจำชั้นและถึงบทคัดเลือกประธานคณะกรรมการตัวแทนห้องนี้มีผู้ปกครองนักเรียนจำนวน 29 คนที่นั่งอยู่ต่างก็เทคะแนนหมดตัวมาที่ผม ตกลงผมได้รับเลือกให้เป็นประธานดังกล่าว งานนี้เป็นงานจิตอาสาต้องเสียสละทุ่มเทเพื่อลูก ๆ ของเราเขาจะได้เจริญเติบโตไปอย่างมีคุณภาพในอนาคต ก็ขอขอบคุณทุก ๆ ท่านนะครับ



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
ยูมิ
เขียนเมื่อ

วันวานท้ายสุดในการสัมมนาทางวิชาการ จัดโดยสามมหาวิทยาลัย ณ เมืองใหญ่ผมมีคำถามปิดท้ายรายการในเรื่อง..จากธนบุรีถึงนครศรีธรรมราช : พุทธศาสนากับการสร้างตำนานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช...ซึ่งอาจจะผิดก็ได้นะที่ผมถามว่ามีหลักฐานทั้งที่วัดอินทราราม เขตธนบุรีและวัดขุนเขาพนม เขตนครศรีธรรมราชต่างก็ยืนยันในเรื่องการสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าตากสินนั้น ผมถามวิทยากรในที่ประชุมสัมมนาทำนองนี้ว่า

อันความจริงมีเพียงสิ่งเดียวเหมือนต้นแบบของคนเราย่อมมีคนเดียวนอกนั้นคือถ่ายแบบเหมือนcopy กันไป ในเรื่องนี้ความจริงย่อมเป็นความจริง ถ้าเป็นเรื่องจริงแท้เกิดขึ้นที่วัดอินทราราม ก็ต้องเป็นเรื่องเท็จที่วัดขุนเขาพนม ถ้าเรื่องจริงแท้เกิดขึ้นที่วัดขุนเขาพนมก็ต้องเป็นเรื่องเท็จที่วัดอินทรารามแล้วผู้นำเสนอวิจัยเห็นว่าอย่างไรครับ..? 



ความเห็น (2)

แล้วคำตอบ..สรุปว่าตรงไหนจริงตรงไหนเท็จครับอยากจะรู้เช่นกัน

เรื่องนี้ผู้นำเสนองานนี้ก็ไม่ได้ตอบครับ  เพราะบอกแต่เพียงเรื่องเล่าเท่านั้น...

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
ยูมิ
เขียนเมื่อ

งานอะไรที่คนเราได้ทำแล้วมันไม่มีอุปสรรคใด ๆ มันก็เหมือนกับว่าท่านไม่ได้ทำงานอะไรเลยจริง ๆ นะ



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
ยูมิ
เขียนเมื่อ

หน้าร้อนนี้มีเพื่อน ๆ ไปเที่ยวผ่อนคลายร้อน ๆ กันเยอะ เดิมทีที่ผ่านมาคนอยู่แดนใต้ก็ขึ้นไปเที่ยวภาคกลางภาคตะวันออกภาคอีสานและภาคเหนือ ผมพึ่งมาสังเกตุว่าปีนี้ผู้คนทางภาคอื่นมักล่องใต้ไปเที่ยวแถบทะเลอันดามันกันเยอะ มีเพื่อน ๆ แถบเมืองสงขลาหลายคน ( รวมทั้งภรรยาผมด้วย ) อยู่ฝั่งทะเลอ่าวไทยแต่ยังชอบไปเที่ยวทะเลฝั่งอันดามัน สงสัยว่าทำไมไม่ไปเที่ยวเมืองกรุงแต่เก่าก่อน และเขตจังหวัดที่ไปท่องเที่ยวได้เงินเป็นกอบเป็นกำมีคนนิยมมากที่สุดเห็นแต่เมืองกระบี่นั้นแล ขอชื่นชมผู้บริหารจัดการให้มีการท่องเที่ยวนะครับ ฮา ๆ



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
ยูมิ
เขียนเมื่อ

ภาษาใช้สื่อสารให้เข้าใจและสามารถปฏิบัติตามได้ถูกต้องยิ่งถ้าเราพบคุยกับเจ้าของภาษานั้นแล้วสามารถสื่อสารเข้าใจกันได้ถือว่าได้ประโยชน์จากการเรียนรู้แล้ว เช่นภาษาอังกฤษ ใช้ play กับสิ่งกลม ๆ เช่น เราไปเล่นฟุตบอล, เราไปเล่นกอล์ฟ เป็นต้น ใช้ do กับสิ่งที่เล่นเป็นการกระทำเช่น เราไปเล่นคาราเต้ , เล่นยูโด เป็นต้น นั้นแล.



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
ยูมิ
เขียนเมื่อ

ความมีอยู่ของโลกนี้ผมว่ามันยังมีอยู่ก่อนที่ท่านจะเกิดมาและมันยังมีอยู่ตลอดไปแม้เมื่อท่านลาลับจากโลกนี้ไปแล้ว



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
ยูมิ
เขียนเมื่อ

เมื่อเราดื่มน้ำผสมน้ำมะนาวจึงรู้ว่ามันมีรสเปรี้ยวอย่างไร ทำนองเดียวกันเมื่อเราใส่รองเท้าจึงรู้ว่ามันกัดเท้าเราตรงไหนก็คนใส่เท่านั้นที่รู้เองเรื่องบางอย่างต้องสัมผัสเองแล้วจะรู้



ความเห็น (3)

สัมผัสได้ด้วยตัวเองครับ../ขอบคุณครับ

ทำเองถึงจะรู้เอง กินถึงจะรู้ว่าอิ่มเป็นอย่างไรกระมังครับ

แหม…ถ้าพูดอย่างเซนก็ประมาณ… ที่รู้ไม่ใช่ตัวตนเรา ฯลฯ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
ยูมิ
เขียนเมื่อ

ถึงแม้ว่าเราจะปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนาแล้วแต่ความสัจจริงมันยังปีนหน้าต่างเข้ามาหาเราจนได้นั้นแล



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
ยูมิ
เขียนเมื่อ

วันนี้คำนึงถึงเรื่องสุสานผีมีทุกชาติในทุกมุมโลกนี้ที่เกิดมาจากความคิดคนสร้างขึ้นมาหลอกหลอนตนและคนอื่นในรู้สึกกลัวโดยเฉพาะในยามค่ำคืนเดือนมืดคำว่าผี ( ซอมบี้ ) ก็ผุดขึ้นมาในสมองมองเห็นเป็นป่าช้าผีดิบ อันที่จริงนั้นป่าช้าที่ฝังซากพืชซากสัตว์ได้มากที่สุดคือพุงของคนเรานี้เองคำภาษาอีสานว่าคนกินซ่างกะบ่เหลือกินเสือกะบ่อิ่ม.



ความเห็น (1)
อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
ยูมิ
เขียนเมื่อ

ด้วยวันเวลาที่ผ่านเราไปแล้วแม้จะตะโกนเรียกหาด้วยเสียงอันดังสักปานใดมันก็ไม่หวนกลับคืนมา คงมีแต่คนไม่ฉลาดเท่านั้นที่คึดถึงแต่วันพรุ่งนี้



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
ยูมิ
เขียนเมื่อ

เจ้านกน้อยเกาะกิ่งก้านดอกหญ้าค้นหากิ่งใบมันคงนำเอาไปทำรัง ใช่สินะนกน้อยทำรังแต่พอตัว นกนั้นต้องมีรังเหมือนคนเราก็ต้องมีบ้านเป็นหลักแหล่งมั่นคง



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
ยูมิ
เขียนเมื่อ

การที่คนเราอยู่ในสังคมนั้นต้องแสดงบทบาทสมมุติไปตามหน้าที่การงานจะถือเป็นอัตลักษร์ตนหาได้ไม่ ผมว่าคนเราจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของตนเองได้นั้นก็ต่อเมื่อเราอยู่เพียงลำพังคนเดียวโดด ๆ เท่านั้นแล



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
ยูมิ
เขียนเมื่อ

คนเราในบางครั้งจงเป็นดุจดังท้องทุ่งที่ไม่หวั่นไหวไปกับการมาเยือนของฤดูกาล  ร้อน  หนาวหรือวันแห่งสายฝนพรำ ๆ



ความเห็น (1)

ขอบคุณสำหรับคำคมค่ะท่าน

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
ยูมิ
เขียนเมื่อ

การที่คนเราต้องการขึ้นไปสู่ยอดขุนเขาอันสูงชันนั้นไม่มีใครที่จะยื่นมือมาจับมือคุณแล้วดึงขึ้นไปหรอกนะจะมีก็เพียงแต่สองเท้ายันร่างตนขึ้นไปด้วยจิตใจที่เด็ดเดี่ยวไปจนสุดยอดแห่งขุนเขานั้นแล



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท