อนุทินล่าสุด


Paweenrat Sranglark
เขียนเมื่อ

                              

 

                                              Say Hi 5 : วันหนึ่งในฤดูหนาว

บรรยากาศของปีนี้ เดือนนี้ วันนี้ สถานที่นี้ จังหวัดนี้ ชั่วโมงนี้ นาทีนี้ วินาทีนี้ ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนใน ปี  2013 ณ จังหวัดแห่งนี้ “ภูเก็ต” จะหนาวกว่าทุกปีที่ผ่านมา แม้จะช่วงเวลาไหนก็สัมผัสได้ถึงลมหนาวที่พัดผ่านร่างกายที่อุ่นๆ ทำให้เนื้อตัวเต้นและขนลุกอย่างไม่สามารถอธิบายได้ และนี่ก็แค่ความคิดของคนๆหนึ่งที่นึกขึ้นกับตัวเองเพื่อจะบอกความรู้สึกของวันนี้ หรือเรียกว่า “วันสิ้นปี” ให้รับอ่านได้รับรู้ถึงรสชาติในวันนี้ที่ได้เปิดตามองเพดานห้องตั้งแต่ 08.00 ถึง 23.59 ของเดือนนี้  แค่เพียงลองปิดหูเปิดตา ตั้งใจ ก็จะรู้ได้ถึงถ้อยคำที่เรียบเรียงให้อ่านเพื่อทำให้เข้าถึงอรรถรสที่ผู้อ่านต้องการ !!

และนั่นก็คือบทความที่ได้กล่าวถึงชีวิตของวันสิ้นปีที่จะเกิดขึ้น ... ณ เวลา 08.00 ตาถูกเปิดขึ้น ลมหนาวผ่านเข้ามาทางช่องหน้าต่างบานเล็ก ร่างกายรับรู้ถึงลมหนาวจนขนลุกตั้งชัน หันไปมองดูนาฬิกาก็ได้เวลาที่จะต้องลุกขึ้นอาบน้ำ เดินโซเซเข้าห้องน้ำอย่างสลึมสลือ เพียงแค่นิ้วจุ่มน้ำก็สัมผัสได้ถึงความเย็นของน้ำ ถ้าเปรียบเทียบได้ก็อาจจะบอกได้ว่าใครหรือคนไหนเอาน้ำในตู้เย็นมาใส่ในถัง ? แต่นี่ก็ไม่ใช่อุปสรรคในการที่จะไปร่วมจัดงานให้กับแขกอันเป็นสุดที่รักของโรงแรมให้ได้ร่วมสนุกในค่ำคืนแห่งการรอคอย ในที่สุดก็เอาชีวิตรอดจากน้ำที่เย็นมาได้ ห่มเสื้อแขนยาว กางเกงกีฬา เดินทางไปยังสถานที่จัดงานก็คือ “โรงแรมชูก้าปาล์มกะตะ” เป็นที่ทำงานและเป็นที่จัดงานฉลองปีใหม่ เมื่อมาถึงโรงแรมก็มีพนักงานหลากหน้าหลายตาที่คอยจะร่วมแรงร่วมใจกันตกแต่งงานเพื่อจะให้แขกมาร่วมสนุก ต่างคนต่างช่วยคนละนิดคนละหน่อยงานหนักก็กลายเป็นงานเบาสถานที่นี้ก็เริ่มดูน่าสนุกขึ้นทีละนิด จนเวลาใกล้จะบ่ายทุกคนเริ่มเหนื่อยล้าก็มีการพักเล็กน้อยเพื่อจะมาสร้างสรรค์งานให้เสร็จก่อนบ่าย 3 และแล้วการจัดตกแต่งงานก็เสร็จสรรพทันในเวลาที่ต้องการ ทางโรงแรมจึงมีการปล่อยให้ทุกคนไป พักเบรก เพื่อเก็บแรงที่จะร่วมสนุกกับแขกในคืนนี้และผมก็เป็นหนึ่งคนที่ต้องมาสร้างความสนุกกับแขกที่มาในงานนี้

... เวลาใกล้จะค่ำ staff ทุกคนต่างมาร่วมงานกันอย่างเฮฮา รอดประตูรั้ว HAPPY NEW YEAR 2014 เพื่อสร้างความเป็นมงคลของปีถัดไป staff ทุกคนร่วมกันถ่ายรูปเพื่อจะเก็บเป็นที่ระลึกเป็นความทรงจำกันอย่างสนุกสนานจนได้เวลาที่ แขกและผู้อาวุโสของโรงแรมจะมาร่วมงาน staff หน้าประตูมงคล กล่าวต้อนรับแขกอย่างยินดี และยิ้มแย้มทักทายแขก อาหารภายในงานถูกจัดขึ้นแบบบุฟเฟ่ต์เติมไม่อั้นเพื่อให้แขกได้รับประทานอย่างไม่จุ ภายในงานนั้นมีเวทีหนึ่งตั้งขึ้นเพื่อให้มีการ ร้อง เล่น เต้นและการ แสดงหลากหลายที่ทางโรงแรมได้จัดขึ้นมาเพื่อทำให้แขกเกิดความสนุกสนานเฮฮา โดยการแสดงจะมี การเต้นจาก staff คาบาเร่โชว์ เกมส์สำหรับเด็กๆ และรำไทย .... และเมื่อการแสดงเริ่มรำไทยเริ่มขึ้น เสียงปรบมือจากแขกก็เริ่มดัง ต้อนรับการแสดงรำไทยที่ได้โชว์นั้นได้คัดเลือกพนักงานที่มีความสามารถเฉพาะในด้าน นาฏศิลป์ โดยเฉพาะ เพื่อความงดงาม ในการรำ เมื่อการแสดงรำไทยจบก็มี พิธีกรขึ้นมากล่าวและบอกถึงการแสดงถัดไป ก็คือ คาบาเร่โชว์ การแสดงคาบาเล่โชว์นั้นสร้างความเฮฮาได้อย่างถ้วนหน้า แขกรู้สึกประทับใจมากเพราะสร้างเสียงหัวเราะและเสียงปรบมือได้เยอะ มีการจับฉลากรางวัล หมายเลขโต๊ะรางวัลที่จะได้รับก็คือ WINE ทำให้แขกรู้สึกตื่นเต้นและรอลุ้นกันอย่างใจจดใจจ่อ staff ทุกคนรวมถึงตัวผมก็รอลุ้นเพื่อให้รางวัลที่ได้เป็นของโซนตัวเองเพื่อจะสร้างความเหนือกว่าว่าโซนตัวเองนั้นมีโชคมากกว่าโซนอื่นๆ และทางพิธีกรก็ไม่หมดกิจกรรมแค่นั้นยังมีการจัดเกมส์แข่งขันน่ารักๆ อาทิ เก้าอี้ดนตรี แข่งพูดลากเสียงโรงแรมว่าเด็กคนไหนสามารถลากเสียงได้ยาวที่สุด ก็จะได้รับรางวัลเป็นเป็นขนม ตุ๊กตา ตัวเล็กๆน่ารักๆให้เหมาะกับเด็กๆ เมื่อใกล้ถึงเวลา เค้าดาวน์ ทางผู้บริหารโรงแรมได้มากล่าวพูดคุยกับแขกและ staff ทุกคนเพื่อสร้างแรงบรรดาลใจและร่วมนับถอยหลังไปพร้อมๆกัน...

 54321 ...  HAPPY NEW YEAR 2014เสียงพลุค่อยๆดังขึ้น ผมแหงนหน้ามองท้องฟ้า ภายนัยน์ตาของผมเต็มไปด้วยแสง สี ของพลุที่โรงแรมและรอบบริเวณนั้นได้ยิงขึ้นไป ผมเงยหน้าขึ้นฟ้าค้างเกือบ 5 นาที เก็บภาพพลุสวยๆไว้ในหัวเมื่อมองกลับมาที่เดิมกลับเห็นว่าทุกคนต่างยิ้มแย้มต้อนรับปีใหม่ ปีที่จะมีสิ่งใหม่ๆ ชีวิตที่ดีขึ้น และทุกคนต่าง พนมมือขึ้นไหว้กล่าว สวัสดีปีใหม่กับผู้อาวุโสและแขกที่มาร่วมในงาน แขกมากมายต่าง กล่าว HAPPY NEW YEAR 2014 ไปพร้อมกับ staff ทุกคน

และนี่ก็เป็นแค่เรื่องราว ณ สถานที่หนึ่ง ส่วนหนึ่งของวันหนึ่ง ในเดือนหนึ่งและสิ้นปีหนึ่ง ที่ได้เก็บเป็นถ้อยคำทำเป็นบทความให้ผู้อ่านได้รับและรู้ว่าแม้จะทำงานก็สามารถสร้างความสนุกสนานได้ไม่แพ้กับการได้เที่ยวและเค้าดาวน์ตามสถานที่อื่นเลย

                            



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Paweenrat Sranglark
เขียนเมื่อ

ธรรมชาติในรั้วของเรา

 

เสียงลมที่พัด เสียงกิ่งไม้ที่โบกไปมา นำพาความร่มรื่นมาสู่นักศึกษาเหล่ามหาลัยราชภัฏภูเก็ต ต้นไม้ที้หลากหลายชนิดเต็มไปด้วยคุณประโยชน์ ในสถานที่นี้ให้ความร่มรื่น ความสงบ และออกซิเจน ทำให้เหล่านักศึกษาต่างพบกันอยู่ในมหาลัย

และนี่ก็เป็นสถานที่หนึ่งที่รวบรวมเหล่า ครู อาจารย์ ไว้เพื่อเกิดเป็นสถาบันที่ให้ความรู้ และหล่อหลอมความเป็นบัณฑิตให้เกิดในแต่ละสมัยที่แห่งนี้รวบรวมผู้คนมากมายหลากหลาย และแตกต่างไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นคนในภาคไหนก็สามารถอยู่รวมกันได้ สถานที่นี้เรียกว่า “มหาลัยราชภัฏภูเก็ต” ในสถานที่นี้มีบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติคล้ายนั่งอยู่ในสวนต้นไม้ ที่มีทั้งนกและสัตว์หลายชนิด แต่ที่ทำให้ตราตรึงใจมากที่สุด ก็เป็นบรรยากาศหน้าอาคาร 5 ที่เต็มไปด้วยไม้ยืนต้นที่ให้ทั้งความร่มรื่นและออกซิเจน ทำให้คลายความเหนื่อยล้า และสร้างความสุขเล็กให้เกิดขึ้นได้ มีม้าหินอ่อนให้นั่งพบปะพูดคุยกับเพื่อนที่หลากหลายได้มาทำความรู้จัก ทำความสนิทกัน ร้อง เล่น เต้นกันอย่างสนุกสนาน ไม่ว่าจะทำงานหรือฟังเพลงก็เพลินเพลินกับเสียงของธรรมชาติ หน้าอาคาร 5 ไม่ได้มีดีแค่บรรยากาศอย่างเดียวแต่ยังอยู่ใกล้กับห้องสมุดส่วนตัวได้สูงไม่จำเป็นที่จะต้องอยู่กันกันหลายคนอยู่คนเดียว อ่านหนังสือสร้างความคิด และยังทำให้มีสมาธิในการทำงาน และนี้คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากส่วนนึงของมหาลัยแค่ส่วนเดียวเท่านั้น

และเมื่ออิ่มหนำกับบรรยากาศของธรรมชาติในมหาลัยแล้วก็อิ่มท้องกันต่อกับอาหารและเครื่องดื่มในรั้วของมหาวิทยาลัยกันต่อเลยดีกว่าในรั้วนี้มีอาหารมากมายและหลากหลายรสชาติ ที่ทั้งถูกปากและไม่ถูกปากของร้านอาหาร แต่อาหารที่จะแนะนำให้ชวนกิน ชิม และลิ้มรสชาติก็คือ ก๋วยเตี๋ยวต้มยำร้านบัง (ไร้หมู) ก๋วยเตี๋ยวร้านบังที่แนะนำนั้น เพราะไม่ว่าจะเป็นต้มยำ เกาเหลา แล้ว เป็นรสชาติที่เผ็ดร้อนโดนใจคอคนกินเผ็ดแน่นอน เส้นก๋วยเตี๋ยวที่ลวกในน้ำร้อนที่ได้องศาพอดี + กับการลวกเนื้อนั้นใช้หลักความรู้สึกล้วนโดยไม่ต้องมีเวลาในที่จะทำก๋วยเตี๋ยวถ้วยนึงขึ้นมา และไม่จำเป็นต้องมีทฤษฏีให้ยุ่งยาก และทีเด็ดของก๋วยเตี๋ยวถ้วยนึงที่ทำขึ้นมานั้นไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย แต่อยู่ที่น้ำซุปที่บังทำขึ้นด้วยการตุ๋นซี่โครงไก่โดยใช้เวลาในการตุ๋นพอสมควร เพื่อที่จะได้น้ำซุปที่เข้มข้นและอร่อยแบบลงตัวเข้ากับ เส้นก๋วยเตี๋ยวอย่างลงตัวพูดเท่านี้คงไม่มีใครเชื่อ แต่ถ้าอยากรู้มากกว่านี้ก็คงต้องมาพบด้วยตัวเอง

และยังไม่หมดโค้งสุดท้ายนี้จะขอแนะนำสถานที่อีกหนึ่งที่แค่ก้าวออกจากรั้วมหาลัยแค่นิดเดียวก็ต้องพบกับขุมเหมืองที่รอบขุมนั้นที่ทางมหาลัยได้สร้างขึ้นและเป็นที่ออกกำลังกายของผู้คนนอกรั้วและนักศึกษาในรั้วไว้เดินกินบรรยากาศรอบขุมเหมืองทั้งยังสามารถออกกำลังกายแล้วยังทำให้ผ่อนคลายกายลดความเครียดและสร้างความเพลินเพลินให้กับครอบครัวและผองเพื่อนได้อย่างมีความสุขกันถ้วนหน้า บรรยากาศเหล่านี้จะไม่ได้ทำความรู้จัก ถ้าเราไม่คิดที่จะทักทายมัน



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Paweenrat Sranglark
เขียนเมื่อ

                    

 

One fine day : หนึ่งวันสบายกับ น้องพีชจุง

ถ้านึกถึงวันสบายๆล่ะก็ ก็ต้องเป็นเรื่องกินและรับลมชมวิวสินะครับไม่งั้นมันจะเป็นวันสบายได้ยังไง ถ้างั้นน้องพีชขอตัวพาผู้รับอ่านไป Survey กันเลยนะครับ

อากาศวันนี้ก็ดีอีกหนึ่งวัน หลังจากทำงานไม่ได้พักมานานนม ร่างกายอ่อนล้าตามภาษาคนทำงานก็ต้องหาบรรยากาศดีดีในการที่เราต้องพักผ่อน ผมและเพื่อนๆจึงนัดแนะกัน ชวนกันไปรับลมและดื่มด่ำกับกลิ่นไอของทะเลที่ไม่ไกลและไม่ใกล้ ก็คือ “เกาะพีพี” ซึ่งเป็นเกาะใน จังหวัดกระบี่ นั่งเรือประมาณ 1.45 นาที ก่อนจะถึงเกาะพีพี ก็จะมีการแวะตามเกาะต่างๆ เช่น เกาะไข่ และอ่าวลิง ล่ะมั้งครับถ้าจำไม่ผิด ^_^  เป็นครั้งแรกด้วยแหละคับที่ได้ไปเที่ยวเกาะและนั่งเรือ ทำให้รู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ เกาะไข่ที่เรือแวะเป็นที่แรกนั้นเป็นเกาะเล็กแต่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ผมถึงกับอึ้งเลย แขกจีนเยอะมากแบบถ้าเอาไปประท้วงก็คงต้องมีตำรวจมาคุ้มกันเลยทีเดียว พอลงเหยียบเกาะก็มีหลายกิจกรรมที่คนบนเกาะนั้นได้ทำเป็นธุรกิจขึ้นมีทั้งให้อาหารปลา เพ้น สัก และร้านอาหาร แต่พวกผมก็ไม่ได้เสียเงินในตรงนั้น 555 เพราะงบประมาณไม่พอ อิอิ พวกผมก็ได้แค่เล่นน้ำทำเลกันอย่างสนุกสนาน พอถึงเวลา พนักงานบนเรือก็เป่านกหวีดเพื่อเรียกให้แขกผู้โดยสารมาเจอกันที่จุดนัดพบ เมื่อทุกคนขึ้นเรือก็มีการ รับประทานอาหารกันบนเรือ โดยเค้าจะบอกว่าจะรับประทานอาหารให้เสร็จกันก่อนแล้วเรือจึงจะเดินทางต่อ ผมก็ไม่รู้ว่าเค้าจะพูดทำไม ผมยังไม่ทันได้ตักข้าวเลย เรือก็ออกซะละ -..- ผมก็ไม่ซีเรียสอะไรหรอก เพราะการกินข้าวแบบเรือเอนไปเอนมามันก็เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศแปลกอีกอย่างไป กินไปเอียงซ้ายทีขวาทีเอาซะพออิ่มก็เกือบอาเจียนออกมา พอกินกันเสร็จก็ขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือนั่งรับลมทะเล ถึงแม้ว่าร้อนแต่ก็ไม่เกี่ยงเพราะมันคือการพักผ่อน แล้วเรือก็มาถึงจุดที่ สอง ก็คือหน้าอ่าวลิง ทางเรือจะให้แขกและผู้โดยสารบนเรือได้ ลงไปดำน้ำชมปะการัง เม่นทะเลมีปลาหลากหลายมากมาย โดยเค้าจะให้ใส่เสื้อชูชีพและสน๊อคเกิ้ล ในการดำน้ำแต่พวกผมมันวัยรุ่นไม่สนใจกระโดดจากดาดฟ้าเรือเลยล่ะครับ สนุกฝุดฝุด หลังจากเล่นกันอย่างสนุกสนานเสียงนกหวีดก็ดังขึ้น เพราะหมดเวลาผมก็เลยเก็บและหยุดความสนุกไว้เท่านั้นแล้วเรือก็เดินทางต่อไปยังเกาะพีพี ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าเกาะพีพีมันมีกี่เกาะแต่เกาะพีพีที่ผมลงไปเที่ยวนั้นมันเป็นเกาะเล็กและเดินแปปเดียวก็ทะลุไปยังอีกด้านนึงของหาดพีพี แต่ตอนแวะเกาะนี้ผมก็ไม่ได้เล่นทะเลแล้วเพราะมันเพลียและไม่อยากเอือดก็เลยได้แต่ถ่ายรูปเดินดูของที่ขายตามทางที่เดินไป แล้วก็เดินทางกลับขึ้นเรือเดินทางกลับแต่ระหว่างทางกลับลมแรงและคลื่นสูงเหมือนกับเล่นเจ๊ตสกีโต้คลื่นดีดีเลย 555 สนุกมากแต่ก็กลัวเรือล่มตอนนั้นใจไม่อยู่กับตัวเพราะใจอยู่กับคนที่รักหมดแล้ว (ล้อเล่นนะครับ) แต่เรือก็เดินทางมาถึงฝั่งได้อย่างปลอดภัย

หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากเที่ยวมาแล้วทั้งวันผมก็เลยขอแนะนำร้านอาหารร้านหนึ่งที่อร่อยกันเลยทีเดียวทีโดยร้านนี้ก็เป็นร้านที่ผมทำงานอยู่ด้วยก็อยากจะโฆษณาร้านสักนิดเผื่อจะได้มีรายได้เพิ่มจากเดิม 555 ร้านนี้ชื่อว่าร้านอาหาร MALI SEAFOODRESTAURANTและ  BLACK PEARL RESTAURANTซึ่งเป็นร้านเดียวกันแต่แบ่งเป็น 2 ร้าน อาหารก็คล้ายกัน แต่ปริมาณและราคาก็ต่างกันออกไปและจะมีกระบะ SEAFOOD เพื่อขายอาหารที่แขกต้องการกินเมนูที่แตกต่างจากในร้าน ก็สามารถสั่งได้ตามใจชอบได้โดยจะมี HOSTESS ซึ่งจะทำหน้าที่คอยขายอาหาร SEATFOOD อยู่ด้านหน้าของร้านอาหาร ร้านทั้ง 2 นี้ตั้งอยู่ใน กะตะ ตรงสามแยกก่อนถึงหน้าหาดกะตะ ซึ่งเป็นร้านที่ทำเลดีกันเลยทีเดียวทำให้ชาวต่างชาติเมื่อเล่นน้ำเสร็จก็จะแวะมากินกันเยอะในช่วงนี้ แต่วันนี้ผมจะเสนออาหารที่ติด TOP ของร้านเลยก็คือPINEAPPLE FRIED RICEหรือ ข้าวอบสับปะรด

                                                    

ซึ่งเป็นข้าวหน้าตาเหลืองๆ แวววาว ที่ข้าวแวววาวและเหลืองเพราะ ทางร้านได้ใส่ผงกระหรี่จึงทำให้ข้าวออกมาหน้าตาสีเหลืองและที่ข้าวมันแวววาวก็เราะทางร้านได้ทำการใส่กะทิลงไปผัดกันให้เข้าเนื้อเดียวกันและยังมีสับปะรดที่หั่นเป็นเต๋าใส่ผสมลงไปเผื่อให้ได้รับรสที่แตกต่างจากความเลี่ยนแล้วยังมีรสเปรี๊ยวมาตัดเพื่อให้ไม่เลี่ยนจนเกินไปพร้อมกับไก่ที่ใส่ไปเพื่อให้ได้รับสารอาหารที่หลากหลายและครบถ้วน แล้วนำข้าวที่ผัดได้นั้นใส่ลงในสับปะรด และนำไปอบในเตาอบในเวลาที่สมควร แล้วนำออกมา เสริฟให้แขกรับประทาน และมีอีกเมนูนึงที่ส่วนตัวผมชอบมากคือ ANDAMAN SOLE FILLETหรือ สเต็กปลาตาเดียว  

                                                     

 

 โดยจะทำการแล่ปลาตาเดียวเป็นชิ้นพอสวยงามตามน้ำหนัก 200 กรัม แล้วนำมาปรุงรสแล้วนำไปคลุกแป้ง เกร็ดขนมปังและนำลงไปทอดในน้ำมันที่ร้อนพอสมควร ใช้เวลาในการทอดไม่นานเพราะปลาสุกง่ายแค่ทอดให้สีของแป้งมีความสวยงามแล้วเสริฟพร้อมกับผักสลัด ราดซอสด้วย WHITE WINE เมื่อกินตอนร้อนจะทำให้รู้ถึงรสชาติอาหารมากยิ่งขึ้นความหอมของซอสนั้นทำให้น้ำลายแตกกันเลยทีเดียว โดยราคาของจานนี้ก็ไม่แพงมากสำหรับแขกต่างชาติที่มาเที่ยว และเป็นอาหารจานนึงที่ผมจะเสนอให้รับประทานล่ะครับ

               

จากการที่ได้บอกผ่านตัวอักษรให้ได้รับอ่านไปนั้นผมก็หวังว่าสิ่งที่ผมได้เล่าไปจะชวนให้ผู้อ่านเกิดความอยากที่จะเที่ยวหรือกินในที่ที่ผมได้ไปสัมผัสเพราะถ้าคุณไปแล้วจะไม่ผิดหวังแน่นอน แต่สำหรับร้านที่ผมแนะนำนั้นถ้าไปรับปะทานอาหารล่ะก็ให้มาบอกผมได้ โดยอาหารในเมนูนั้น สามารถลดได้ ถึง 40% กันเลยทีเดียว สุดท้ายผมก็ขอฝากถึงสถานที่ท่องเที่ยวและร้านอาหารด้วย “แม้ว่าเราจะเป็นคนไทยหรือนักท่องเที่ยวยังไงเราก็ต้องรักษาความสะอาด” :D

 

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Paweenrat Sranglark
เขียนเมื่อ

 

 

                ME  

สวัสดีครับ ผมจะขอแนะนำตัวเองโดยการเล่าประวิติของตัวเอง ผ่านตัวอักษรให้ อาจารย์ได้อ่านนะครับ

 กระผม นายปวีณรัฐ สร้างหลัก ชื่อเล่นชื่อ พีช เกิดวันที่ 24 มีนาคม 2537 กรุ๊ปเลือด B ผมเป็นคนจังหวัด ภูเก็ตแต่กำเนิดครับ ครอบครัวก็มีด้วยกัน 4 คน คือ พ่อ แม่ พี่ และผมเป็นคนสุดท้อง ที่บ้านพ่อแม่ทำงานรับจ้างเลี้ยงเด็ก ตัวผมก็ไม่มีอะไรมากโดยส่วนตัวผมเป็นคนอะไรก็ได้ ง่ายๆ อารมณ์ดี แต่จะเก็บเรื่องที่เครียดไว้คนเดียว เพื่อไม่ให้ใครรับรู้และเพื่อมาเครียดไปกับผม  จึงทำให้ผมดูเหมือนเป็นคนอารมณ์ดีตลอดเวลา นั่นคือข้อดีของผมในด้านนิสัย ส่วนด้านนิสัยไม่ดีก็คือ ชอบเอาความคิดตัวเองเป็ใหญ่  ไม่ชอบอยู่ใต้กฎระเบียบของคนอื่น และโกรธง่าย มว๊ากก !!

                                         

มาต่อด้วยด้านการเรียนของผมนั้นผม จบชั้น อนุบาล ชั้นประถม และชั้นมัธยมต้นจาก โรงเรียนเทศบาลเมืองภูเก็ต หรือง่ายๆเลยครับ ฝากชีวิตไว้ซัก 11 ปี โรงเรียนคงไม่คิดไล่กัน (555)  การเรียนของผมหรอครับ ? บอกตรงๆ เกรดดีมาได้ถึง ป.4 ก็สุดๆละครับ หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยเห็นเลข 3.00 มาอยู่หน้าเกรดผมเลย เห็นแต่ 2.00  จนมาถึงมัธยม เกรดกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ (แม้จะไม่ถึง3.00) จนมาถึง ม.3 เทอม 2 ผมก็ไม่รู้ว่าผมเรียนห่วยขึ้น หรืออาจารย์ กดเกรดผมก็ไม่รู้ เกรดผมตก เหลือแค่ 1.50 ทำให้ผมใจหายไปเลยครับ แต่ก็ไม่เป็นไร โรงเรียนก็ไม่อยากให้เราอยู่นานก็เลยๆ ให้จบไป :P และใน ช่วงเวลาในมัธยมต้นนั้น ผมคิดว่า ผมไม่สามารถหาเพื่อนแบบนี้ได้อีก ที่อยู่กันมานาน รู้จักนิสัยกันและกันอย่างดี โดย กลุ่มผมนั้น จะมี ด้วยกัน  9  คน ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่น้อยและไม่มาก แต่ที่ผมสนิทนั้นมีเพียง 5 คน และ 1 ในนั้น คือคนที่เป็นเพื่อนกับผมมาตั้งแต่ อนุบาล 2 จนปัจจุบันก็ยังเรียนอยู่ห้องเดียวกัน (ราชภัฎภูเก็ต สาขาวิชา นิเทศศาสตร์)  พอจบ ม.3 ต่างคนต่างแยกย้ายไปเรียนตามสายที่ตัวเองชอบ ซึ่ง ผมนั้นบอกได้คำเดียวว่า เลือกตามเพื่อนเพื่อความสนุก จึงได้มาเรียนที่ วิทยาลัยอาชีวศึกษาภูเก็ต  ปีแรกก็เกือบไม่ได้ขึ้นปี 2ละครับ โดยตอนผมเข้าเรียนใหม่ๆ ผมนึกว่าจะได้อยู่ห้องเดียวกับเพื่อนที่มากจากที่เดียวกัน พอมารู้ผลกลับไม่ได้เรียนห้องเดียวกับเพื่อน ผมจึงไม่ค่อยมีกะจิตกะใจเรียนเทอม 1 ผมก็เรียนโดยอยู่คนเดียวซะส่วนมากไปไหนก็ไปคนเดียว เวลาจะโดดเรียนหรอครับ (555) ผมหายไปเงียบๆเลย ไม่บอกใครแม้แต่คนเดียว แต่อาจารย์อย่าเพิ่งคิดไปในทางที่ไม่ดีนะครับ ถึงผมจะโดดเรียนแต่บอกได้เลย ผมกลับบ้านอย่างเดียวครับ ผมไม่เคยไปออกนอกลู่นอกทาง ยกเว้นบางวิชาที่ผมโดดนั้น ผมไปเรียนกับเพื่อนอีกห้อง (ที่มาจากโรงเรียนเดียวกัน) ^_^   ถ้าจะถามว่าผมกลับบ้านไปทำอะไรน่ะเหรอ ?? ผมบอกได้เลยกลับไปนอนครับ เพราะผมก็ไม่รู้จะไปไหน เว้นซะแต่บางที โดดเรียนไปหาแฟน อาจารย์คงเข้าใจนะครับ วัยรุ่นก็เป็นแบบเนี่ย มีฟงมีแฟน เป็นเรื่องธรรมดา  (555) มาเข้าเรื่องกันต่อนะครับ โดยเรื่องเรียน เทอม 1 ผ่านไป ผมได้เกรดเฉลี่ยมา 1.79  วู้วว เป็นเกรดที่ โอเค และไม่เลวร้ายมาก T^T  และแล้วเทอม 2 ก็เริ่มขึ้น โดยช่วงที่เทอม 2 เปิดนั้นเป็นอะไรที่แบบว่า “มันจะเปิดอะไรช่วงนี้เนี่ย”  เพราะอะไรรู้ไหมครับ ? มันติดกับช่วงกินเจ หรือ ประเพณีถือศีลกินผัก นั่นเอง เพื่อนที่ต่างแยกย้ายจากตอน ม.ต้น กลับมารวมตัวช่วงนั้นพอดี ผมก็เลยจัดไปแบบชิวๆเลย ไม่ไปเรียน 1 สัปดาห์ (555) จน อาทิตย์นึงผ่านไป ผมได้กลับเข้าไปห้องเรียน จนเพื่อนในห้อง เกิดคำถามขึ้นว่า “นี่มึงยังเรียนอยู่อีกเหรอ” (ขอหยาบคายซักนิดนะครับ) ผมก็เลยบอกว่า ยังเรียนสิ แค่ไปถือศีลกินผักเอง (555) และแล้วการเรียนก็กลับมาอีกครั้ง โดยเทอม 2 นั้น (โอ๊ะลืมบอกว่าตอนเทอม 1 นั้นผมได้ ไข่เป็ดมา 2 ฟอง หรือไม่ก็เรียกว่า 0 นั่นแหละครับ 555) ผมก็เรียนแบบ ห้องตัวเองไม่เข้าไปเข้าเรียนกับห้องเพื่อน จน เทอมนี้ได้ ใข่เป็ดมากิน 3 ฟองแบบ อิ่มกันไปเลยทีเดียว เกรดเทอม 2 จึงออกมาแบบเลวร้ายหรือเกือบไม่จบนั่นเองโดยเกดรดได้ 1.26 ของภาคเรียนที่ 2 รวมกับเกรดภาค 1 แล้วก็ ได้ 1.63 (555)ผมล่ะนึกแล้วว่าจะไม่เรียนต่อละจะไปสมัครใหม่ อาจารย์ที่ปรึกษาอยากช่วยให้ผมได้ขึ้นปี 2 จึงโทรไปคุยกับ ผู้ปกครองและปรึกษากันได้ให้คำแนะนำ ว่าให้เรียน SUMMER เพื่อจะได้ UP เกรดตัวเองขึ้นเพื่อ ปีอื่นจะได้เรียนไม่หนัก ผมก็เลยไปเรียนซัมเมอร์ จนคว้าเกรดมาทำให้ได้ขึ้นปี 2 และในปี 2 นั้น สาขาพาณิชยการนั้นได้ให้ ปี 1 ทั้งหมด เลือกสาขาวิชาที่อยากเรียนโดยผมนั้นเป็นคนชอบ คอมพิวเตอร์มากครับ ผมก็เลยเลือกเรียน และสำรอง เป็นวิชา การขายหรือการตลาดนั่นแหละครับ และสิ่งที่ไม่คาดไม่ถึงก็เกิดขึ้นเมื่อที่คาดมันอยู่สูง 5555 (อ่าล้อเล่นนา) ผลที่ออกมาก็คือได้วิชาการขาย 555 และสิ่งที่เพื่อน คนที่ผมครบมา 11 ปีนั้น มันมาเรียนด้วยกับผม 555 (มันใจสดมาก) ผมเข้าเรียนสาขานี้ และได้เจอเพื่อนใหม่ๆ สิ่งที่ผมไม่เบื่อ ในการเรียนสาขานี้เพราะ มีเพื่อนใจสดมาเรียนด้วย ผมจึงเข้าเรียนทุกคาบ จน ปี 2 เทอม 1 นั้นได้เกรดมา 1.77 (โว้วว) น่าภูมิใจเลย ผมก็เรียนอย่างมีความสุข และในทุกๆภาคเรียนนั้นเกรดไม่ตกลงแต่กลับเป็นดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากในกลุ่ม 7 คน ซึ่งตอนได้เข้ามาเรียนแรกๆผมรั้งท้ายเพื่อนมา ผมกลับขึ้นมาอยู่ อันดับ 2 หรือ 3 นี่แหละครับ (ในกลุ่มนะไม่ใช่ห้อง 555) จนจบปี 3 ได้เกรด เฉลี่ยแล้ว 2.31 ซึ่ง เป็นเกรดที่อาจารย์ที่ปรึกษาภูมิใจในตัวผมมาก เพราะแกไม่คิดว่าผมจะได้ขึ้นมามาก เพราะตอนแรกๆแกได้ถามผมว่า “เธอติด 0 กี่วิชา” ซึ่งพอผมตอบไป “5 วิชาครับ” ตัวอาจารย์ที่ปรึกษาถึงกับอึ้งรวมถึงเพื่อนๆ 555 แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะเป็นอุปสรรคในการเรียนไม่จบของผม แต่ละซัมเมอร์ ผมจะเก็บเกี่ยว ไข่เป็ดที่ได้มาคืนอาจารย์วิชานั้นๆไปและอาจเป็น ตัวเลขกลับคืนมา

เมื่อเรียนจบ  ผมก็ได้สมัครเรียน ต่อ ของ “มหาวิทยาลัยรามคำแหง” โดยเป็นภาควิชาพิเศษ เปิดการเรียนการสอนที่ “โรงเรียนเทศบาลเมืองภูเก็ต”  โดยผมเลือกเรียนสาขาวิชา นิติศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาที่ผมชอบ ผมชอบเรื่องด้าน กฎหมาย แต่ผมลืมคิดไปว่า ผมนั้นเป็นคนไม่ชอบอ่านหนังสือมาก จึงเรียนไปไม่รอดใน สาขานั้น ผมจึงออกและมาทำงานอยู่ที่ “โรงแรมชูก้าปาล์มรีสอร์ทกะตะ” ทำมาได้ช่วงหนึ่ง ก็มาสมัครเรียนสาขาวิชานิเทศศาสตร์ ของ มหาวิทยาลัยราชภัฎ และเรียนมาถึงจนปัจจุบัน

 

 

 ผมขอจบการเล่าเรื่องราวที่ระทึกไว้เพียงเท่านี้ ขอบคุณอาจารย์มากครับ ที่รับฟังและอ่านเรื่องราวของผมจนจบ ถ้าอาจารย์ไม่ให้ผมเขียน ผมคงลืมไปแล้วว่าอดีตที่เคยผิดพลาดบ้าง สำเร็จบ้างนั้น เป็นเรื่องที่น่าจดจำ 

 

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
Paweenrat Sranglark
เขียนเมื่อ

เรื่องราวของความรักที่แตกต่าง (ชายรักชาย)

วามรู้สึกของคนคนหนึ่ง ที่มีความรู้สึกให้กับผู้ชายด้วยกัน ซึ่งเป็นความรักที่แตกต่างจากคนทั่วไป แต่ความรักในปัจจุบันนี้ไม่มีขีดจำกัดหรือขอบเขตอีกแล้ว เป็นความรักที่เปิดเสรีไม่ว่าจะเป็นชายรักชาย หรือหญิงรักหญิง ทุกความรักนั้นล้วนเป็นความรักที่ไม่เหมือนรักอื่น จะเป็นอย่างไรติดตามได้เลยครับ

พี่เฟิร์สก็เป็นเหมือนผู้ชายทุกคนไม่ได้มีอะไรพิเศษกับร่างกาย แต่สิ่งที่พิเศษนั้นคือ “ความรู้สึกรักเพศเดียวกัน” พี่เฟิร์สมีความรู้สึกชอบผู้ชายด้วยกัน พี่เฟิร์สมีความรู้สึกชอบผู้ชายด้วยกันตอนมัธยมต้นโดยตัวพี่เฟิร์สเองนั้นก็พึ่งค้นพบเพราะได้ไปเจอกับรุ่นพี่ผู้ชายคนหนึ่งที่ทำให้ตัวพี่เฟิร์สรู้สึกรักและอยากอยู่ด้วยกัน และได้มีโอกาสครั้งหนึ่งทางโรงเรียนได้มีกิจกรรมเข้าค่ายลูกเสือทั้งโรงเรียน ทำให้ตัวพี่เฟิร์สรู้สึกดีใจที่ได้เข้าค่าย เพราะมีรุ่นพี่ที่พี่เฟิร์สชอบมาร่วมเข้าค่ายด้วย จึงได้ทำความรู้จักกันและสนิทกัน เมื่อออกค่ายทั้ง 2 คนได้ สานต่อความสัมพันธ์กันและคบกันในที่สุด บ้านของทั้ง 2 คนนั้นอยู่ใกล้กันง่ายต่อการไปมาหาสู่กัน แต่การที่เค้าทั้ง 2 คน คบกันเป็นแฟนกัน ครอบครัวทั้ง 2 ฝ่ายไม่ทราบเพราะ ชายรักชายในสมัยนั้นไม่เป็นที่ยอมรับ จึงไม่สามารถเปิดเผยได้ ผมจึงเกิดคำถามขึ้นว่า  พี่มีพฤติกรรม หรือ รู้สึกชอบเพศเดียวกันตั้งแต่ตอนไหน ? พี่เฟิร์ตอบว่า “ก็ตอนนั้นรู้สึกว่าเรียนอยู่ชั้นมัธยม 2 รู้สึกชอบที่พูดไปก่อนหน้านี้แล้ว รู้สึกชอบเขาเพราะ “หล่อดี” ตอนนั้นยังไม่ค่อยจะรู้ตัวว่าชอบ ผู้ชาย ด้วยกัน แต่พอได้ไปคลุกคลีกับเขา เรารู้สึกได้ว่าเราชอบ ผู้ชายด้วยกันไม่ได้ชอบ ผู้หญิง”

            ณ ปัจจุบัน พี่เฟิร์สมีแฟนแล้ว การที่ได้เจอกับแฟนคนนี้ คือผ่านทาง FACE BOOK ได้คุยกันและทำความรู้จักกัน กระทั่งวันหนึ่งพี่เฟิร์สได้มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวจังหวัดพังงา และคนที่พี่เฟิร์สคุยก็อยู่จังหวัดพังงาจึงโทรนัดกัน และได้มาเจอกันถามเรื่องสาระทุกข์สุขดิบกัน จนเข้าเรื่องว่าตอนนี้เราเป็นอะไรกัน และจะคบกันไหม พี่คนนั้นก็ตอบตงลงว่า “เราทั้ง 2 จะคบกัน” เมื่อพูดถึงเรื่องเป็นแฟนกันเลยอดไม่ได้ที่จะถามว่า  “พี่ชอบแฟนพี่ที่ตรงไหน”พี่เฟิร์สก็ตอบว่า “ตรงที่นิสัย ที่เค้าดูแลเราให้ความอบอุ่น สามารถเป็นได้ทั้งพ่อทั้งแม่ เป็นได้ทั้งเพื่อนและพี่ สามารถ  สอนเราได้บอกเราได้ เพราะในขณะนั้นเค้าเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเรา บางอย่างเราอาจยังไม่รู้ภาษีภาษา ว่านี้ผิดหรือถูก และถ้าคบกับแฟนที่เด็กกว่า  เด็กนี้ไม่ใช่ไม่ดี เด็กก็ดี ! แต่ถ้าให้เลือก พี่จะเลือกคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่า เพราะสามารถดูแลเราได้ดี ในยามไม่สบายได้ดีกว่า มันอยู่ในมุมมองแต่คนที่จะชอบ”พอผมเอ่ยปากจะพูดถึงเรื่องหน้าตา พี่เฟิร์สก็แทรกขึ้นมาว่า “สำหรับคนสมัยนี้ ทุกคนก็ต้องบอกว่า รูปร่างหน้าตา แต่สำหรับพี่ พี่ว่าไม่บอกเลยว่า มี 100% อาจจะ 60-70% หน้าตาดูดีพอดูได้ แต่ส่วนมากจะเอานิสัยมากกว่าในสมัยนี้ พวกเก พวกทอมจะเลือกที่หน้าตา แต่ถ้าให้พี่คิดว่าให้คบคนๆหนึ่งพี่ก็จะเลือกที่นิสัย ถ้าถามว่าหน้าตาเป็นอุปสรรคไหม บอกเลยว่าไม่ !!ผมเลยสรุปได้ว่าจะหน้าตาดีหรือไม่ดี ก็มีทั้งคนดีและไม่ดีปะปนกัน หน้าตาอาจจะมาก่อนแต่สำหรับพี่เฟิร์สต้องการแค่ “นิสัยที่ดีก็พอ”

                และเมื่อพูดถึงเรื่องหน้าตาช่วงที่แล้ว จึงอดใจไม่ได้จริงๆครับที่จะ อ้าปากถามว่า พี่คิดอยากจะแต่งหญิงหรือแปลงเพศบ้างไหม ? “พี่เฟิร์สถึงกับฮากระจายจนกระทั่งน้ำตาเล็ดและ พูดทั้งน้ำตาที่เล็ดออกมาว่า “ไม่เคยคิด พี่ไม่ได้เป็นแบบนั้น คนที่แต่งหญิงทำหน้าอกไว้ผมยาว อะไรแบบนั้น ประเภทนี้ เรียกว่า “กระเทย” แต่ส่วนของพี่เรียกว่า “เกย์” คือแบบแต่งชาย ชอบผู้ชายด้วยกัน แต่กระเทยก็รักผู้ชายด้วยกันแต่เพียงแค่เขาแต่งหญิง ไอนั้นก็คือ กระเทยกับเกย์ มันคนละแบบคนละประเภทกัน เพราะพี่เป็นเกย์ แต่งชาย กระเทยแต่งหญิง และพี่ก็ไม่คิดจะแต่งหญิงเลย แต่ถ้ามีงานหรือ Staff party อะไรแบบนั้น คือการแสดงไอนั้นคือจำเป็น ที่จะต้องแต่ง แต่สำหรับชีวิตประจำวันแต่งหญิงไหม ? ไม่แต่ง เพราะพี่เป็นเกย์ไม่ได้เป็น “กระเทย” ผมก็ได้นั่งอมยิ้มและพยักหน้าเพื่อไม่ให้ดูน่าเกลียดจนเกินไป และพูดถึงเรื่องประคองรัก การประคองรักของพี่เฟิร์สนั้นเป็นการประคองเชิงดูแลเทคแคร์ซึ่งกันและกันและพยายามไม่ให้เกิดเรื่องที่ทุกคนคิดไม่ถึงเสมอคือ “มือที่สาม” สำหรับพี่เฟิร์สบอกว่ามือที่สามเป็นการจบรักที่เร็วที่สุดแล้ว และยังการจะไม่ให้เกิดมือที่สามนั้นไม่สามารถห้ามกันได้ แต่มันขึ้นอยู่กับจิตใจทั้ง2ฝ่ายว่าจะเลือกมีอีกคนหรือจะรักกันแค่2คนมีเรื่องทะเลาะหรือไม่เข้าใจก็ค่อยๆคุยกันด้วยอารมณ์เย็น เพื่อไม่ให้เรื่องบานปลาย

                คำถามส่งท้ายกับมุมมองกว้างๆที่ว่า พี่เชื่อไหมว่าพรมลิขิตมีจริง และคำว่าบังเอิญกับพรมลิขิตต่างกันอย่างไร ? ถ้าถามว่าพรมลิขิตมีไหม และคำว่าบังเอิญแตกต่างยังไง สำหรับพี่แล้วถ้าให้คิดมันก็แตกต่างกัน พรมลิขิตก็เหมือนเจอกันครั้งนึงแล้ว ก็ห่างหายกันไปและกลับมารู้จักกันอีกครั้งและเมื่อมารู้จักกันคบกัน ส่วนความบังเอิญ ก็เหมือนน้องที่เจอพี่ในวันนั้น ได้ขอเบอร์พี่ เพื่อที่จะนัดมาสัมภาษณ์ แล้วก็ได้มาเจอกันอีกครั้ง นั้นไม่ใช่พรมลิขิตแต่เรียกว่าความบังเอิญ ที่เราได้มาเจอกันและรู้จักกัน.

                เรื่องความรักของเกย์จะจริงจังยั่งยืนแค่ไหนนั้น มันขึ้นอยู่กับคน 2 คน ถ้าไม่มีเรื่องมือที่ 3 ความรักก็จะไปได้ยาว หรืออาจจะอยู่ด้วยกันตลอดชีวิตก็ได้ ถ้ามีเรื่องมือที่ 3 ผมเชื่อว่ารักนั้นอาจจะจบลงในระยะเวลาสั้นๆ ความรักไม่ว่าจะเป็นแบบไหน มันขึ้นอยู่กับจิตใจของทั้ง 2 ฝ่ายล้วน !!



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท