ขอบคุณครับ
ถาม - การอ่านค่า ใช้ลักษณ์ที่ได้คะแนนสูงสุดอันเดียว หรือว่าดูอันที่ได้คะแนนรองๆลงไปด้วย (คะแนนเป็น 7 6 5 ตามลำดับ มันดูไม่ห่างกันนัก)
ตอบ - ผมศึกษานพลักษณ์ตามแนวทางของเดวิด แดเนียล และเฮเลน พาล์มเมอร์ ซึ่งไม่ใช้แบบทดสอบเป็นเครื่องมือ แต่ใช้วิธีการสังเกตุตัวเอง และการเข้าร่วมกลุ่มศึกษา สัมภาษณ์กลุ่ม (panel interview) ตามแบบที่เรียกว่า narative tradition หรือประเพณีการบอกเล่าเรื่องราวโดยผู้ที่ค้นพบลักษณ์ของตัวเอง (เพื่อผู้ฟังจะได้เปรียบเทียบกับประสบการณ์ของตัวเอง) และก็ด้วยเหตุดังนี้ จึงไม่มี "ผู้เชี่ยวชาญ" ที่รู้หมดทุกรายละเอียดของทุกลักษณ์ คนที่เป็น expert จริงก็คือเจ้าของลักษณ์นั้นๆ คนอื่นก็ศึกษาทำความเข้าใจได้ในระดับหนึ่ง
ผมจึงไม่ค่อยมีความรู้เรื่องการใช้แบบทดสอบเพื่อค้นหาลักษณ์นัก เคยลองทำแบบทดสอบเหมือนกัน ทำแล้วก็ได้ความรู้สึกเดียวกับคุณ Conductor คือรู้สึกว่าอันนั้นก็ใช่อันนี้ก็ใช่ บางอันคะแนนก็ใกล้เคียงกันมาก ในภายหลังผมเลยไม่สนใจแบบทดสอบไปเลย (แต่ไม่ได้หมายความว่าวิธีการใช้แบบทดสอบไม่ดี หรือใช้ไม่ได้กับคนอื่น) ลูกๆ ผมก็ทดลองกันแล้วได้ผลแบบเดียวกันคือคะแนนเท่าๆ กันระหว่างหลายลักษณ์
อย่างไรก็ตาม ขอแสดงความเห็นเท่าที่พอมีความรู้(และประสบการณ์จากการสังเกตตัวเองและคนใกล้ชิด)อยู่บ้าง ดังนี้ครับ
คน 5 ขับเคลื่อนชีวิต "หัว" หรือการ "คิด" เป็นหลัก (เช่นเดียวกับ 6 และ 7 ที่อยู่ใน "ศูนย์หัว" หรือ "ฐานคิด" ด้วยกัน แต่คิดกันคนละอย่าง) คน 5 มักคิดถึงการขาดแคลน จึงชอบสะสมทั้งสิ่งของและข้อมูลความรู้ คน 5 จึงมีข้อมูลเยอะ จะทำอะไรทีก็ต้อง "หาข้อมูล" ก่อน กว่าจะ "ลงมือ" ทำอะไรทีจึงชักช้า กระทั่งไม่ได้ทำไปเลยก็มี และก็มัก "รู้จริง" หากยังไม่รู้จริงจะไม่แสดงออก หรือบอกเรื่องนั้นแก่ใคร และเลือกด้วยว่าจะบอกใคร ถ้าคน 5 บอกเรื่องที่เขารู้ให้ใคร คนนั้นโชคดีเพราะแสดงว่าเขารักและวางใจ คน 5 แสดงความรักต่อคนอื่นด้วยการ "ให้ข้อมูลความรู้" (โดยที่คน 5 เอง รู้ตัวหรือไม่ก็ตาม) คน 5 เก่งในการแยกข้อมูลออกจากความคิดเห็นและความรู้สึก จึงมักวิเคราะห์อะไรได้ดี ขณะที่แยกความคิดออกจากอารมณ์ความรู้สึกได้นั้น คน 5 กลับไม่เก่งในการเข้าใจความรู้ (ใช้ "ใจ" ไม่เก่ง) จึงมักจะทื่อๆ อ่าน "ความคิด" คนอื่นได้ขาด แต่อ่าน "ใจ" เขาไม่ออก กระทั่งบางคนก็ไม่ในใจที่อ่านใจใครด้วย ความที่คิดเก่งจึงมีเหตุมีผลมีหลักการมาก เถียงกันสู้คน 5 ไม่ได้ในเชิงการคิด(ข้อมูลและเหตุผล) แต่คน 5 ก็แพ้โดยไม่รู้ตัวอยู่ดี คือ คน 5 ไม่อาจชนะ "ใจ" คนใกล้ชิดหรือคู่สนทนาได้ คน 5 (รวมทั้ง 6 และ 7) ไม่เข้าใจเรื่อง "หัวใจมีเหตุผล ที่เหตุผลไม่เข้าใจ) คน 5 จำนวนมากจึงไม่เข้าใจเวลาถูกแซวว่าเป็นพวกไม่มีหัวใจ พวกเย็นชาไร้ความรู้สึก
คน 2 (รวมทั้ง 3 และ 4) เป็นพวกที่ชีวิตขับเคลื่อน(หรือสัมพันธ์กับโลกภายนอก)ด้วย "ใจ" เป็นหลัก หากงานบรรลุเป้าหมายโดยที่คนต้องแตกแยกกัน คน 2 อาจรับไม่ค่อยได้ เพราะเขาเอา "คน" มาก่อน คน 2 เก่งมากในการจับ "ความรู้สึก" คนอื่น คน 2 บางคนสามารถ "รู้สึก" แทนคนอื่นได้เลย (อย่างเดียวกับที่พวกศูนย์คิดชอบคิดแทนคนอื่น จนคิดมากเกินจริงอย่างคน 6 หรือคิดน้อยกว่าความจริงอย่างคน 7) คน 2 ไปรู้สึกแทนใครต่อใครอย่างเดียวไม่พอ take action ด้วย จนบางครั้งเป็นการยัดเยียดไป คน 2 (ที่ไม่ได้ศึกษาตัวเองอย่างดีพอ) จะไม่เข้าใจว่า "การให้" แก่คนอื่นนั้น ลึกๆ แล้วต้องการความรักความสนใจตอบแทน ปูมชีวิตในวัยเด็กมักได้รับความรักเมื่อได้ทำอะไรให้พ่อแม่หรือคนรอบข้างพอใจ คน 2 บางคนยอมเบียดเบียนตัวเองเพื่อทำให้คนอื่นพอใจ กระทั่งยอมสละตัวเอง คน 2 บางคนใช้ความสามารถพิเศษในการเข้าถึงความรู้สึกคนอื่นในการ "หว่านเสน่ห์" เพื่อแลกกับความรักความสนใจหรืออภิสิทธิ์บางอย่าง
คน 1 เป็นพวกสมบูรณ์แบบ ทนความไม่มีระเบียบวินัย ไม่มีกฏไม่มีเกณฑ์ไม่ได้ จะหงุดหงิด พฤติกรรมภายนอกที่คนอื่นเห็นจึงเป็นแบบขี้บ่นจนถึงแสดงอาการโกรธบ่อย(แต่ไม่รุนแรงเหมือนพวกเบอร์ 8 เจ้าของฉายา "เจ้านาย" ที่ระเบิดความโกรธอย่างรุนแรง แต่หายเร็ว 8-9-1 อยู่ในกลุ่มศูนย์ท้องหรือฐานกายด้วยกัน) คนหนึ่งมักหาอะไรทำทั้งวัน ทำอยู่นั่นแหละเพราะมีสิ่งที่ "สมควรทำ" อยู่ตลอดเวลา (ก็โลกมันไร้ระเบียบ ไม่สมบุรณ์แบบเสียที คนอย่างฉันจึงต้องจัดให้มันเข้าที่เข้าทางเป็นระเบียบ ก็เลยต้องทำ ทำ และทำ อยู่ตลอดเวลา แล้วก็ทำไปบ่นไปด้วย)
คุณคอนดักเตอร์บอกว่าทำแบบทดสอบแล้ว คะแนน 5 มาเป็นอันดับหนึ่งก็อาจเป็นไปได้ว่าเป็นพวก "ศูนย์หัว" (ฐานคิด) ถนัดการใช้ความคิดสัมพันธ์กับโลก และก็ใช้ใจแบบเบอร์ 2 รองลงมา สุดท้ายคือใช้การลงมือทำในสิ่งที่สมควรทำแบบ 1
การพัฒนาตนเองตามแนวทางนพลักษณ์สายพาล์มเมอร์-แดเนียลที่สำคัญอันหนึ่งคือการสร้างสมดุลย์ระหว่าง กาย-ใจ-หัว ดังที่แดเนียลเขียนคำนำให้หนังสือของพาล์มเมอร์ว่าเราแต่ละคนเข้าใจตัวตนแห่งบุคลิกภาพของเราเพื่อให้สามารถอยู่กับมันได้ (รู้เท่าทันตัวตนนั้นทุกขณะที่มันทำงานในตัวเรา) แต่มันก็มีประโยชน์ตรงที่มันทำให้เราได้เข้าถึง "ตัวตนแห่งแก่นแท้" ของเราด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อให้ชีวิตส่วนบุคคลของเรา "เปี่ยมสุขด้วยดุลยภาพ"
การสัมมนาที่มวกเหล็กเป็นกิจกรรมของวิชาสัมมนาปัญหาการพัฒนาท้องถิ่น ซึ่ง มรภ.พระนคร เป็นผู้รับผิดชอบ (ภาคฤดูร้อนมี ๒ วิชา อีกวิชาหนึ่ง คือ สปช.๒ ที่ สสวช.รับผิดชอบ เรียนที่ศูนย์เรียนรู้ในแต่ละจังหวัด)
จึงขอให้คุณคนเดินดิน (ลุ่มน้ำลำพังชู) สอบถามโดยตรงไปที่ผู้ประสานงานสำนักงานโครงการหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาสหวิทยาการเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น มรภ.พระนคร (ซึ่งขณะนี้เปลี่ยนจาก ดร.ณัฐพล เป็น ผศ.ดร.ปราณี) โดยตรงจะดีกว่าครับ จะได้คำตอบที่กระจ่างกว่า คนจัดสัมมนาเขาต้องมีเหตุผลของเขา ลองเสนอความเห็นของนักศึกษาไปดูซิครับ
อีกทั้งประเด็นนี้ ผมขอแนะนำให้นำคำถามนี้ไปตั้งกระทู้ที่เว็บบอร์ดของ www.rulife.net เพื่อที่ว่านักศึกษาคนอื่นหรือศูฯย์อี่นอาจมีความเห็นมาแลกเปลี่ยนกัน
ยินดีครับ
บันทึกเรื่องความในใจของพ่อคนหนึ่ง (http://gotoknow.org/blog/inspiring/145982?page=1) ที่คุณเบิร์ดเข้าไปเขียนคอมเมนต์เป็นคนแรกนั้น มีคอมเมนต์ตามมาอีกมากมาย คุณช่อผกา วิริยานนท์ ที่จัดรายการวิทยุ อสมท.FM 100.5 Mhz จะนำบันทึกนี้ไปอ่านออกอากาศ 4 ทุ่ม คืนวันอาทิตย์ที่ ๒ ธ.ค. นี้ อ่านเสร็จแล้วจะสัมภาษณ์สดผมทางโทรศัพท์ออกอากาศด้วย ประเด็นสัมภาษณ์คือ "สภาวะสวยงามนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร" คุณเบิร์ดมีคำอธิบายในเชิงจิตวิทยาอย่างไรบ้างครับว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร? (ไม่ซีเรียสว่าต้องตอบนะครับ)
ขอบคุณครับที่เชิญ ผมกำลังอยู่ระหว่าง "เดินสาย" สัมมนาอาจารย์เตรียมเปิดภาคเรียนหน้าในจังหวัดต่างๆ ไม่ค่อยได้เข้าเน็ต เพิ่งมีเวลาเขียนความคิดเห็นตามที่คุณเบิร์ดเชิญวันนี้ครับ
ขอบคุณครับ