อนุทินล่าสุด


คนท่าชนะ (Thachana Man)
เขียนเมื่อ

ใครคือคนดีกว่ากัน

เมื่อเขาพูดไม่ดีกับเราอย่างร้ายแรง เราโกรธไม่พอใจ เก็บอารมณ์ไม่ได้เลย ด่าเขา ตบเขา ยิงเขา หลังจากนั้นคิดว่าผลจะเป็นอย่างไร ต่อสู้กัน ทำร้ายร่างกายกันจนถึงขั้นเลือดตกยางออก ติดคุก ติดตะราง เพราะอารมณ์ชั่ววูบ แม่ พ่อ เมีย ลูกของเรา จะต้องเดือดร้อน คุ้มกันไหม ลองคิดูว่าเราจะสามารถ ไปบังคับให้เขาพูดดี ทำดีกับเราได้ไหม เขาเป็น ลูก ลูกศิษย์ ลูกน้องของเรา ที่เราสามารถ สั่ง การ หรือบังคับบัญชาเขาได้ หรือเปล่า จะลงมือแก้ที่เรา ง่ายกว่าแก้ที่เขาหรือไม่ แต่มันไม่น่าจะง่ายอย่างที่คิด เพราะเรามักถือว่าเรามีศักดิ์ศรีมากกว่าใคร คนอื่นจะต้องให้เกียรติเรา จะต้องพูดดี ทำดีกับเรา แท้ที่จริงแล้วแค่เพียงแต่กลับมุมมองว่า คนมีศักดิ์ศรี คือคนที่สามารถ ควบคุมจิตใจที่งดงามไว้ได้เสมอ ไม่ว่าจะมีเหตุการเลวร้ายสักแค่ไหนก็ตาม คนทั่วไปจะได้แลเห็นว่า คนที่พูดจาด่าทอ อย่างร้ายแรงต่างหาก ที่สมควร ถูกประนามจากสังคมว่า  เป็นคนที่ไร้ความสามารถ ที่จะควบคุมอารมณ์ จิตใจของตัวเองได้ ดังนั้นแปลความได้ว่าคนสงบได้ เป็นคนยึดมั่น ในหลักพระพุทธศาสนา มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา อาจได้รับผลกระทบบ้าง หรืออาจเจ็บปวดบ้าง แต่คงไม่ต้องถึงกับติดคุกติดตะราง ให้แม่ พ่อ เมียลูก เดือดร้อน ขึ้นอยู่กับเทคนิคการเอาตัวออกจากที่เกิดเหตุได้ไว และสามารถเพิกเฉย ต่อคำว่า สะใจ ขี้แพ้ หน้าตัวเมีย ของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างเป็นพระ แน่นอนที่สุดถ้าเขาเป็นคนดี มีธรรมะ คงไม่มาด่าเรา จริงไหมครับ ใครดีกว่ากันคิดเอาเอง นะครับท่านผู้เจริญท่าชนะ สุราษฎร์ธานี ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
คนท่าชนะ (Thachana Man)
เขียนเมื่อ

หอมแดง

เวลาเจ็บปวดบางทีคิดอะไรไม่ออก เป็นผู้กำกับลูกเสือ ผู้กำกับนักศึกษาวิชาทหาร เรียนปฐมพยาลมาแทบทุกหลักสูตร กะแค่ทวยมันไช ( ต่อย) ภาษาใต้ หรือแมงงอดภาษาอีสาน แมงเวาภาษาเหนือ สัตว์พวกเดียวกับแมงป่อง (scorpion)สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง 440 ล้านปี ยุค ซิลลูเรียน เขาว่าต่อยเจ็บกว่าแมงป่อง 20 เท่า มาต่อยตอนปิดไฟ มืดสนิท กำลังนอนใกล้เคลิ้มหลับ สุดแสนจะโกรธมันมาก เจ็บหมื่นเจ็บแสนเจ็บ ทั้งที่หลวงพ่อเคยบอกว่า เจ็บให้รู้ว่าเจ็บ ก็เอาไม่อยู่ แล้วแทนที่จะไปหายามาทาบรรเทาอาการเจ็บ กลับหยิบไฟฉายมาตามล่า แทนแสงไฟฟ้า พอไม่เจอเจ้าตัวแสบแน่แล้ว หันไปนึกถึงคำบอกเล่าของบรรพบุรุษ เอานั่น นี่ โน่น มาทา  แต่ก็ไม่บรรเทา อากู (google) บอกว่าใช้เสลดพังพอนเคี้ยวพอกบริเวณถูกต่อย หรือน้ำมะนาวผสมผงชูรส อีกหลายอย่าง ไม่อยากออกไปหาท่ามกลางความมืด ทั้งยังต้องผสมกันอีกยิ่งแย่ใหญ่ เลยหันไปหา ยาหม่อง ว่านหางจรเข้ ยานวดทาแก้ปวด  มันก็บรรเทาแว๊บๆ เดี๋ยวก็ปวดอีก ในใจก็คิดว่าครบรอบวัน 24 ชม. หรือครบขวบมันก็หายเอง ตามที่ผู้เฒ่าผู้แก่เคยบอกไว้ ครั้นแล้วมันแว๊บมาว่าครั้งที่แล้วใช้หอมแดงผ่าซีกถูมันนี่นา คิดได้เลยจัดการถูเรียบร้อย กลับเจ็บหนักเลย แต่สองสามนาที ก็หายเหมือนปลิดทิ้ง ขอบคุณใครดี อากู ตัวเอง หรือพระ เจ้าดีนะ เขียนให้อ่านนานหน่อย ก็ประโยชน์ของหอมแดงนี่เอง ท่านอื่นอาจมีสิ่งอื่นดีกว่านี้ก็ได้ อ่านแล้วขอให้โชคดี ไม่ถูกกัด ต่อย นะครับท่าชนะ ส.ฎ.๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓



ความเห็น (1)

เป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน จะจำไปใช้นะค่ะ พึ่งรู้ว่าหอมแดงทาแก้แมลงกัดต่อยได้ด้วย เคยเห็นมีคนเอาไปทุบ และวางไว้เพื่อให้ได้กลิ่นบรรเทาอาการหวัดคัดจมูก หอมแดงเป็นสมุนไพรไทยอย่างหนึ่งที่คนไทยใช้กันมานานที่มีฤทธิ์แก้อักเสบได้ระดับหนึ่ง

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
คนท่าชนะ (Thachana Man)
เขียนเมื่อ

ชุมชนตำบลวังท่าชนะหกสิบปีที่ผ่านมา

เขาว่าคนแก่ชอบเล่าเรื่องเก่า เพราะคนเก่า ก็ต้องมีเรื่องเก่าแก่มาเล่า คนอ่านก็เลยเรียกคนเล่าว่าเป็นคนแก่ เรื่องเก่าก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยคนเล่า จึงนำเรื่องในใจ มาเล่าให้คนอื่นอ่าน ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสามารถของตัวเองเขาคงคิดว่าโม้(ขี้คุย) แต่ถ้าเป็นเรื่อง ที่เกี่ยวข้องกับ ความเป็นอยู่ ของชาวบ้านในสมัยนั้น และแปลกออกไป ตามขนบธรรมเนียมวัฒนธรรม ประเพณีของแต่ละท้องถิ่น ย่อมเป็นเรื่องที่น่าสนใจ น่าศึกษา เป็นเกร็ดความรู้ที่ควรจะบันทึกไว้ ให้คนรุ่นหลังรับรู้ ส่วนคนอ่าน จะมองเป็นอย่างไรก็อีกเรื่องหนึ่ง กว่าโทมัส เอลวา เอดิสัน หรือพ่อมดแห่งเมนโลพาร์ก เด็กหัวขี้เลื่อย เผารถไฟ แต่เขาก็เป็นคนแรกที่จดสิทธิบัตร การผลิตหลอดไฟฟ้า เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๔๓๕ ให้คนในโลกได้ใช้จนถึงทุกวันนี้ จนตอนนี้นักประดิษฐ์จีน สามารถนำไฟฟ้ามาทำเป็นเปลวไฟใช้หุงต้มแทนแก๊สได้แล้ว คนไทยในชนบท ท่าชนะ สุราษฎร์ธานี เมื่อหกสิบปีมาแล้ว พ.ศ. ๒๕๐๐ใช้ แสงจันทร์ ไต้ (torch :  คล้ายคบเพลิง ทำด้วย ใยมะพร้าว หรือเปลือกไม้บางชนิดติดไฟง่ายคลุกน้ำยาง ที่เรียกขี้ชัน ห่อด้วย ใบเตย มัดเรียบร้อย เป็นลำยาวประมาณข้อศอก) จุดเอาแสงสว่าง ในยามค่ำคืน เพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ส่องทาง ความรู้สึกต่อสิ่งเหล่านี้ลองจินตนาการกันเองดูนะครับ ว่าน่ากลัว น่าสนุก ตื่นเต้น หรืออย่างไร ถ้าเป็นชุมชนของผู้อ่าน แต่ต่อมาก็ใช้ตะเกียงเจ้าพายุ ไฟฉาย เครื่อง(ปั่น)ไฟ หรือที่เรียกว่าไดนาโม ต่อมามีแบตเตอร์รี่รถยนต์ และไฟฟ้าอย่างในปัจจุบัน ส่วนวิทยุทรานซิสเตอร์ และโทรทัศน์หลอด ก็กลายเป็นวิทยุและโทรทัศน์บนมือถือ แถมยังมีอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นมาอีก แถมอยากได้ อยากทานอะไร ส่งกันถึงหน้าบ้าน สรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงเหลือเชื่อ ในช่วงแค่กึ่งศตวรรษ เท่านั้นเอง อีกกึ่งศตวรรษหน้า คนที่มีชีวิตในช่วงนั้นบันทึกกันไว้เองก็น่าจะดีนะครับ



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
คนท่าชนะ (Thachana Man)
เขียนเมื่อ

แด่กลุ่มสานรัดธาตุทองศิษย์เก่าโรงเรียนมัธยมวัดธาตุทอง เขตพระโขนง กรุงเทพฯ ปัจจุบันอายุประมาณ ๕๗-๕๘ปี)….ร้อยกรองพาไป….สานใจไมตรีรุ่นพี่น้อง รักครูของพวกเขาดั่งเล่าขานธาตุแท้ของศิษย์จิตตระการทองแท้ท่านว่าน่าเชยชมสองมือกราบแทบเท้าบูชาครูห้านิ้วคู่งดงามตามนิสัยหกทิศงามตามพุทธวินัยสามแก้วใจพุทธ ธรรม สงฆ์ คงนิรันดร์ลุสิบหกกุมภาห้าหกสามศิษย์โทรตามหาครูมาสู่ขวัญขอแสดงความเคารพอภิวันท์ส่วนครูนั้นจากไกลไปแทนคุณไว้ปีหน้านะครับรับขวัญใหม่ขอขอบใจแทนครูอยู่สลอนขออำนาจเทพไท้ในอัมพรเอื้ออาทรแด่ศิษย์สัมฤทธิ์เทอญ ท่าชนะ สุราษฎร์ธานี ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
คนท่าชนะ (Thachana Man)
เขียนเมื่อ

ครูต้องขอโทษ ที่ไม่สามารถไปร่วมงานอันสำคัญยิ่ง ในวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ณ ห้องประชุมโรงเรียนมัธยมวัดธาตุทองได้ ทั้งนี้ได้พยายามที่สุดแล้ว แต่ด้วยความจำเป็นยิ่ง หลายประการ ทำให้มีอุปสรรค ปีนี้อาจคิดโทษดวงไปก่อน อย่างไรก็ตาม รู้สึกนิยมเป็นที่สุดว่า ถึงแม้ว่า รุ่นพวกเรากับรุ่นครู อายุห่างกันไม่มากนัก แต่พวกเรายังให้ความเคารพรัก  ให้เกียรติระลึกถึงครูตลอดมา ทำให้ครูประทับใจ ภูมิใจอย่างลืมมิลง ทั้งๆที่ตอนนั้นครูยังมือใหม่ในอาชีพราชการครู คิดกินอุดมการณ์มากไป อยากให้สังคมมีนักเรียนที่เป๊ะๆๆ ทั้งที่ในความเป็นจริง ไม่ใช่เรื่องง่าย ในขณะที่รุ่นคุณครูสำรวย คุณครูเอมอร คุณครูสุปาณี และท่านอื่นๆอีกมาก ทั้งที่ยังอยู่ และล่วงลับไปแล้ว เป็นที่เคารพรักมากๆของพวกเรา ขณะเดียวกันก็มีคุณครูปู่ คุณครูไพรัช และอีกหลายท่าน ทำหน้าที่ครูปกครองพี่เลี้ยง ณ ที่นี่เอง บรรดาท่านผู้อำนวยการ คุณครูที่เคารพรัก และนักเรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คณะพวกแสบสัน แอบสูบบุหรี่ แอบดื่ม แอบเล่นพนัน แทบจะทำให้ครูได้ตกตึกตายเพราะต้องปีนหน้าต่างไปจับเจ้าตัวแสบ มาอบรมให้เกิดจิตสำนึก ได้บ้างไม่ได้บ้าง วีรกรรมของพวกเขาทำให้ครูต้องปรับกลยุทธ์ ในการอบรมดูแล หลายกระบวนท่า พฤติกรรมของพวกเขา ทำใหัเขาต้องถูกจับตัว นำมาปรับจิตใจ ให้กลับตัวเป็นคนมีคุณค่า ของแม่พ่อ และสังคม ซึ่งการกระทำของพวกเขากลายเป็นครูของครูอีกที โดยเฉพาะมีนักเรียนหญิงกลุ่มหนึ่ง แอบนินทาให้ได้ยินว่าครูพูดจาไม่ดีกับนักเรียน น่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ดีกว่า ครูเลยต้องเปิดโอกาสให้นักเรียน เขียนวิจารณ์ครูวีระเองทุกภาคเรียน ถึงแม้ครูผู้ใหญ่เตือนว่าน่าจะไม่สมควรทำ แต่ครูแอบดี้อทำ แต่ทำหลังจากแจ้งผลการสอบปลายภาคแล้ว เพราะนักเรียนจะได้แลเห็นว่าถ้าหากครูไม่พอใจก็ไม่สามารถไปแก้ผลการเรียนของนักเรียนได้แน่นอน แรกๆที่นักเรียนวิจารณ์  (comment) ครูก็รับไม่ได้ ต้องทบทวนหลายครั้ง ท้ายที่สุดก็สำเร็จสมเจตจำนงค์ ปรับพฤติกรรมของครู ตามความเห็นของนักเรียนที่สอดคล้องกับความน่าจะเป็น และคำแนะนำของเพื่อนครู และครูผู้ใหญ่ เสมอมาจึงรู้สึกขอบใจ ขอบคุณ ทุกๆคนที่มีส่วนร่วมทำให้ครูเปลี่ยนพฤติกรรม ในการบริหารงานปกครองนักเรียนตลอดมาทุกที่ จึงเล่ามาให้อ่านเล่น เผื่อไว้สื่อสารกันเป็นประสบการณ์ และเป็นประโยชน์กับใครสักคนท่าชนะ สุราษฎร์ธานี๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓.



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
คนท่าชนะ (Thachana Man)
เขียนเมื่อ

ใครเกิดวันนี้รับกลอนไปเลย

ขอให้สุขสันต์วันคล้ายวันเกิดสิ่งประเสริฐเลิศล้ำนำมาหาทั้งทรัพย์สินเงินทองที่ปองมาทั้งเวลาที่ดีมีสุขใจโรคนิราศคลาดเคลื่อนเลือนหายไปมีจิตใจเข้มแข็งแรงนักหนาด้วยอาหารการกินผักนมนานมาน้ำตาลลาน้ำไตดีมีค่าควรหมอบอกว่าไม่ต้องมาหาหมอแล้วคุณเพริศแพร้วพรักพร้อมแม่จอมขวัญคุมการกินกำลังกายได้ทุกวันโรคหายพลันพบสุขทุกวันเอย..สาธุ…๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ ..๐๓:๕๖ น.ท่าชนะ สุราษฎร์ธานี



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
คนท่าชนะ (Thachana Man)
เขียนเมื่อ

แล้วการแก้ปัญหาจะเป็นคลื่นกระทบฝั่งอีกไหมครับบ้านเรา

ว่าจะแสดงความรู้สึกเรื่อง ฆ่าเด็กด้วยกันเอง ปล้นฆ่าเอาทองโดยคนบริหารการศึกษา จนแล้วจนรอด ไม่ได้พูด มาวันนี้อดไม่ได้แล้วต้องพูด แม้คำพูดเป็นน้ำเพียงหยดเดียวอาจไม่ทำให้หินกร่อนได้ก็ฝากๆเอาไว้ก่อน เผื่อวันพรุ่งนี้ อาจมีน้ำหยดอื่นๆ หยดตามมา มันอาจมีประโยชน์นิดหน่อยก็ยังดี เพราะวันนี้ จำเลยเป็นคนรักษาแผ่นดินทองของเรา แต่กลับมาฆ่าคนนับร้อยจนต้องถูกจับตาย ทั้งๆที่พวกเขาท่องกันอยู่เสมอว่า ชาติ เกียรติ วินัย กล้าหาญ อดทน แล้วมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร เราอาจต้องทบทวน ระบบการอบรมวินัย คุณธรรมจริยธรรม การสอนศาสนา การฝึกอบรมคน หรือไม่อย่างไร ทั้งผู้ให้การอบรม ผู้เข้ารับอบรม หลักสูตรการเรียน การฝึกอบรม ตลอดจนการวัดและการประเมินผล และมอบ เกียรติบัตร วุฒิบัตร หรือประกาศนียบัตร ไว้เป็นหลักฐาน จะประเมิน ด้านกายภาพ สุขภาพ จิตภาพ คุณภาพ วิชาชีพ คุณธรรม จริยธรรม การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หลักคิด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่น่าจะมีปัญหา เพราะมีคนไทยจบปริญญาเอกเหลือเฟือ นอกจากนี้ยังมีเจ้าคุณ นักการศาสนา ศาสตราจารย์ ผู้เชี่ยวชาญเพียบพร้อม ตลอดจนผู้ทรงคุณวุฒิสาขาต่างๆอีกมากมาย โดยส่วนตัวเชื่อว่า คนไทยสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ เว้นเสียแต่ว่าจะห็นว่าวิธีของฝรั่ง หรือชาติตะวันตกวิเศษกว่าของเราต่างหาก หรือลืมไปอีกแล้วท่าชนะ จังหวัดสุราษฎร์ธานี๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
คนท่าชนะ (Thachana Man)
เขียนเมื่อ

คิดถึงแม่ตอนที่ ๓

วันอังคารที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๓ ซึ่งเป็นวันครบรอบ ๑๐๐ วัน ที่แม่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ แม่สอนเรา ทุกๆอย่าง ที่ลูกควรจะทำ ในขณะที่แม่ไม่ได้เรียนหนังสือ ตามระบบเลย แต่แม่ก็อ่านหนังสือได้ เขียนหนังสือเป็น คำสอนบางอย่างเป็นอมตะ บางอย่างเปลี่ยนไปตามยุคตามสมัย เมื่อเราได้เรียนรู้มากขึ้น ก็ปรับเอา แต่ยังน้อยอกน้อยใจตัวเอง ว่าไม่สามารถตอบแทนบุญคุณแม่ ให้ท่านได้เข้าใจธรรมะ ของพระพุทธองค์ ได้อย่างลึกซึ้ง แต่วันที่แม่จากไป แม่ก็จากไปอย่างสงบ เหมือนท่อง บทสวดมนต์ที่เคยแนะนำ ทำใจอย่างที่บอกท่านไว้ และไม่เคยพบ ไม่เคยเห็น ไม่เคยฝันถึงแม่เลยตั้งแต่วันที่ท่านจากไป เหมือนแม่ได้พบบรมธรรม จึงเป็นแบบนั้น ทั้งที่ได้ทำบุญตักบาตร ทำบุญเจ็ดวัน ห้าสิบวัน ร้อยวันตามธรรมเนียมประเพณีให้ตลอดมา สาธุ ขอบคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะนอกจากคำสอนของแม่ตอนมีชีวิต และการตายของแม่ รวมทั้งพระธรรม ย้งสอนให้ลูก เห็นธรรมได้อีกระดับหนึ่ง กราบขอบพระคุณคุณแม่ที่ใช้ทั้งชีวิตทั้งก่อนและหลังการตายสั่งสอนลูกให้ เข้าใจชีวิตที่แท้จริงของคนเราเสมอมา๓๑ มกราคม ๒๕๖๓



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
คนท่าชนะ (Thachana Man)
เขียนเมื่อ

ความรู้สึกดีๆของคนมีอาชีพครูเมื่อ ล่วงเลยมาถีง ๔๐ (กล้วยไม้ออกดอกช้า ฉันใด ของมล.ปิ่น)

เป็นเรื่องที่สำคัญในชีวิตหนูมากค่ะ คือวิชาภาษาอังกฤษที่หนูเรื่องไม่เคยรู้เรื่องและดูว่าเป็นวิชาที่ยากมาก แต่คุณครูวีระสอนวิชาภาษาอังกฤษให้หนูได้เข้าใจง่ายๆอย่างไม่น่าเชื่อ คุณครูวีระเป็นคุณครูสอนวิชาภาษาอังกฤษในดวงใจของหนูเลยค่ะ หนูสามารถต่อยอดนำเอาวิชาที่คุณครูสอนหนูไปใช้ประโยชน์ในชีวิตหนูมากมายค่ะ คือหนูได้มีโอกาสไปทำงานต่างประเทศและภาษาอังกฤษสำคัญและมีความจำเป็นมาก ทำให้หนูระลึกถึงคุณครูวีระมาตลอดกราบขอบพระคุณคุณครูวีระค่ะถ้าหนูมีโอกาสต้องกลับมากราบเท้าคุณครูให้ได้ค่ะหนูทราบซึ้งบุญคุณคุณครูวีระมากค่ะ. จาก สุจิตรา ธาตุทอง ญี่ปุ่น ๒๗/๐๑/๖๓



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
คนท่าชนะ (Thachana Man)
เขียนเมื่อ

แต่ท่านผู้อ่านที่เคารพรัก

ถ้าทุกสิ่งจริงจังดั่งได้คิดคนทั่วทิศทำได้ดุจดั่งฝันความทุกข์ใจในจิตสถิตย์นั้น ห่างหายพลันเพลินสุขทุกนาทีคิดเปลี่ยนโลกแลคนควรไม่คิดดูดวงจิตจะร้อนรุ่มไม่คุ้มฝันทั้งทนทุกข์สุขกายหายทุกวันอยากสุขสันต์คิดใหม่เปลี่ยนใจเลยเสียสละหน้าที่ตนต่อคนอื่นชนชมชื่นชมเชยเอ่ยเอื้อนถึงส่งสิ่งดีแด่คนตนคำนึงส่งสุขถึงท่านทุกนาทีปีหนูเอย๑ มกราคม ๒๕๖๓

คนทั่วไปรู้สึกมีความสุข เมื่อได้ทานอาหารร้านที่ทำกับข้าวอร่อย ถูกใจ นั่งรถที่เครื่องปรับอากาศเย็นชื่นใจ พนักงานศูนย์บริการตอบโทรศัพท์ด้วยถ้อยคำ สุภาพน่าพอใจ แต่ถ้าสักวัน ร้านอาหารทำอาหารเค็มเกินไป ไม่อร่อย พนักงานต้อนรับพูดจาไม่ดี การจราจรติดขัด มีคนขับรถปาดหน้าบ่อยๆ จะมีความรู้สึกอย่างไร โกรธ โมโห ทุกข์ใจ แล้วจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร เราคงไม่สามารถบังคับให้คนอื่น ทำอย่างที่เราคิดได้ หรือสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเปลี่ยนแปลง เป็นไปได้ดั่งที่เราคิด หรือดังที่เราต้องการได้ใช่ไหม เราลองมาดูซิว่า คนตายก็มีอะไรเหมือนเราทุกอย่าง ไม่มีอย่างเดียว คือจิตใจไม่ทำงาน เพราะฉะนั้น เราจะต้องปรับที่จิตใจ ของคนที่ยังไม่ตาย ใช่ไหม ทำอย่างไรให้เรามีสติติดตัวตลอดเวลา ดีกว่า เมื่อเราโกรธ เราควรรู้สึกทันที ว่าโกรธ เมื่อเราเกลียดเราควรรู้สึกตัวทันที ว่าเกลียด เมื่อเราอิจฉา ควรรู้สึกทันที ว่าอิจฉา เมื่อเรารู้เท่าทันจิตใจตัวเองทันที ความโกรธ ความเกลียด  ความโมโห ควรจะหายไปทันที น่าจะดีกว่า การขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ซึ่งอาจจะทำให้ท่านลำบาก หวังว่าข้อคิดเหล่านี้จะทำให้ลูกศิษย์ หรือท่านผู้อ่านดูแลจิตใจตัวเอง ให้ห่างทุกข์ หรือมีทุกข์เพียงเล็กน้อยได้ดี ตลอดปี ๒๕๖๓ หรือตลอดไป ๑ มกราคม ๒๕๖๓

 We, mankind, cannot change natures. Our minds can be changed according to rules of nature. Right changes may bring us to live happily with nature. Changes across natures may bring unhappiness to us. To bring back consciousness is necessary, when you get angry you should know it immediately as same as you feel sorry or unhappy. These may bring you stop thinking to continue bad deeds start good thinking. Hope everyone can adapt their minds according to rules of natures and meet happiness throughout the year 2020.1  January   2020



ความเห็น (1)
อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
คนท่าชนะ (Thachana Man)
เขียนเมื่อ

วันคล้ายวันเกิดทำอะไรบ้างขอเล่าให้อ่านเสียเลย ปกติตื่นนอนแต่เช้าอยู่แล้ว ตั้งแต่สมัยอยู่วัดกับพระอาจารย์ จะต้องตื่นตั้งแต่ ตี ๓ ตี ๔ ตี ๕ เก็บที่นอน ออกกำลังกายโดยการวิ่ง ประมาณ ๑ ชั่วโมง ได้ระยะทางประมาณ กว่า ๑๐ กิโลเมตร ส่วนมากก็ที่โรงเรียน ระหว่างวิ่ง เจอขยะก็จะเก็บใส่ถัง เห็นเขาเปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็นทิ้งไว้ก็ปิด  เปิดน้ำทิ้งไว้ก็ปิด เปิดน้ำล้างฉี่แรงก็ปรับให้เบาลง ตักน้ำใส่ขันล้างอึ ไว้ให้คนที่จะใช้ห้องน้ำต่อจากเราได้ใช้ทันที ฝึกทำตนให้เป็นประโยชน์ ให้กับคนอื่นตลอดเวลา ถ้าเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาล ก๋วิ่งเหยาะๆในห้อง ถ้าเตียงรวมก็วิ่งด้านล่าง กลับมาถึงบ้าน กวาดบ้าน คลุกข้าวให้แมว เตรียมน้ำผักปั่นให้สมาชิกดื่ม หุงข้าว ซื้อกับข้าว ของหวาน เตรียมเอาไว้ ใส่บาตร ดื่มน้ำอุ่น กินใบมะยม รดน้ำต้นไม้ ใส่บาตร  กรวดน้ำ อาบน้ำ แปรงฟัน กินน้ำผัก ทานอาหารเช้า ทิ้งขยะ ซักผ้า ตากผ้า ถูบ้าน ไหว้พระสวดมนต์  อ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ ตอบไลน์ เขียนเฟซ กวาดใบไม้รอบบ้าน ทั้งส่วนในบ้าน และที่ถนนนอกบ้าน ไปทำสังฆทานที่วัด ทานอาหารกลางวัน เก็บพับเสื้อผ้า ให้อาหารมื้อเย็นแมว ถือศีล ๘ ไม่ทานอาหารมื้อเย็น สวดมนต์ แผ่เมตตา นอน ส่วนวันอื่นๆก็สบายๆหน่อย แค่นี้เอง๑๙  ธันวาคม ๒๕๖๒



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
คนท่าชนะ (Thachana Man)
เขียนเมื่อ

นึกถึงแม่ตอนที่ ๒

หลายครั้งเมื่อเห็นรูปงานศพของแม่ จิตใจแว๊บ ขึ้นมาทันที นี่มันแม่กู ทำไมพญายมราช จึงมาเอาชีวิตแม่ไป จริงๆแล้วแม่ต้องตาย เพราะความแก่ ความเสื่อมของสังขาร เพราะโรค ไม่เกี่ยวกับพญายม ราช ความรู้สึกเสียดาย ไม่อยากให้แม่ จากไป รู้สึกเป็นเจ้าของแม่ หันไปโทษคนโน้นคนนี้ โชคดีที่เราเป็นชาวพุทธ จึงยังพอเข้าใจเรื่องธรรมชาติอยู่บ้าง ว่าเมื่อเกิดขึ้น มันต้องตั้งอยู่ แล้วก็ ดับไปในที่สุด ร่างกายของทุกคนต้องเสื่อม เป็นธรรมดา เราเองก็ต้องเป็นเช่นนั้น ในที่สุดก็ต้องเป็นอย่างแม่  เมื่อสติมา ปัญญาเกิด ความร้อนรุ่ม ความอยาก ความโมโห ความโกรธ ความทุกข์ ก็ดับลงเห็นความตายของแม่ เป็นเรื่องธรรมชาติธรรมดา เหมือนกับสิ่งมีชีวิตทั่วไป แต่คิดว่ากว่าจะสงบเย็น ทำใจได้ ตัดใจได้ คงต้องใช้เวลา เหมือนคนทั่วไป ในที่สุดก็เข้าใจธรรม พระพุทธเจ้า ประทานคำสอนให้แก่ชาวพุทธ ให้เข้าใจพระธรรม คำสั่งสอนของพระองค์ อย่างน้อยในขั้นต้นก็ยังดี สาธุ๑๕ ธันวาคม ๒๕๖๒



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
คนท่าชนะ (Thachana Man)
เขียนเมื่อ

ความดี ๔ ระดับพูดถึงเรื่องการทำความดีไม่ได้เป็นเรื่องง่าย ถ้าตีความไม่เหมาะสม เพราะไม่รู้ว่าความดีคืออะไร และจะต้องทำอะไรบ้างที่ดี บางคนก็อาจจะบอกว่าความดีคือสิ่งที่ทำแล้วบัณฑิตรับรอง ว่าเป็นสิ่งดี จะต้องรอบัณฑิตที่ไหน มารับรองตลอดเวลา ง่ายที่สุด คือตีความว่า ความดี คือสิ่งที่ทำแล้วไม่เดือดร้อนต่อตนเองและผู้อื่น ที่คิดขึ้นมานี้ก็เพื่อจะสอนให้นักเรียนคิดได้ง่ายๆ ซึ่งคนทั่วไปควรจะทำความดีประเภทที่ ๑ ให้ได้ก่อน เพราะเขาจะไม่ไปทำความเดือดร้อนให้ใครในโลกนี้ และจะอยู่ได้อย่างสงบสุขทุกที่ ส่วนความดีระดับที่ ๔ ต้องเป็นคนที่ต้องเสียสละ มีน้ำใจงดงามที่สุดจึงจะทำได้ ความดีระดับ ที่ ๑ คือไม่ทำให้ตัวเองและคนอื่นเดือดร้อน เช่นตั้งใจเรียนหนังสือปฏิบัติตามคำสั่งสอนของแม่ พ่อ ครูอาจารย์ความดีก็ดับที่ ๒ คือไม่ทำให้ตัวเอง และคนอื่นเดือดร้อนทั้งมีประโยชน์กับตัวเอง เช่นเรียนหนังสือให้เก่งฝึกฝนตัวเองให้มีความสามารถ สอบปลายภาคเรียนได้เกรดเฉลี่ยสูงเป็นที่น่าพอใจ ความดีระดับที่ ๓ คือไม่ทำให้ตัวเอง และคนอื่นเดือดร้อน และเป็นประโยชน์ทั้งตัวเองและคนอื่น เช่นเรียนหนังสือให้เก่งมีความรู้ความสามารถเป็นพิเศษนอกจะได้เกรดเฉลี่ยสูงแล้วยังสอบแข่งขันหรือ หรือเข้าร่วมกิจกรรมได้ระดับเหรียญทองของประเทศ ซึ่งแม่ พ่อ โรงเรียน ครู ก็จะได้รับเชิดหน้า ชูตาไปด้วยความดีระดับที่ ๔ คือตัวเองต้องเดือดร้อนแต่เป็นประโยชน์กับคนอื่นก็ยังตั้งใจทำด้วยความเต็มใจ ตัวอย่างเช่น ลูกเสือเนตรนารี ที่ ไปอยู่ค่ายพักแรม แล้วฝนตกน้ำท่วม ตัวเองเปียกปอนหนาวสั่น ยังช่วยขนข้าวของให้เพื่อนหรือผู้กำกับลูกเสือเนตรนารีคนอื่นได้ด้วยความ เต็มใจ ยินดีมีน้ำใจ ไม่มีหน้าหงิกหน้างอ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๒



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
คนท่าชนะ (Thachana Man)
เขียนเมื่อ

อยากนั่งในใจคนต้องปรับตนให้งดงาม

เมื่อจบมศ. ๕ ปี ๒๕๑๔ แล้วสอน โรงเรียนราษฎร์หรือโรงเรียนเอกชน ๒ แห่ง โดยสอนตามทฤษฎี ที่ได้อ่านจากหนังสือคู่มือวิชาชุดครู พ.กศ. และ พ.ม. และทำตามแบบอย่างครูรุ่นพี่ หรือครูอาจารย์ใหญ่บอก ต่อมาสอบเข้าบรรจุเป็นข้าราชการครูได้ ก็มิได้รับการอบรม เทคนิคการปฏิบัติหน้าที่ครู เป็นพิเศษแต่อย่างใด และยังคงต้องทำงานปกครองเหมือนเดิม หลายครั้ง เด็กๆได้บอกว่า ทำไมครูทำอย่างนั้น ทำไมครูไม่ทำอย่างนี้ เลยคิดว่าเราควรจะให้นักเรียนทุกคนที่เราอบรมสั่งสอน เขียนบอกครู หลังจากสอบไล่เสร็จ โดยเขียนใส่กระดาษ ในเรื่องที่อยากจะบอกครู ว่าครูควรทำตัวอย่างไร ในทุกเรื่อง ทุกหัวข้อ โดย ไม่ต้องลงชื่อนักเรียน เขียนไม่ถูก สามารถปรึกษา เพื่อน ครูท่านอื่น ผู้ปกครอง แล้วค่อยมาส่งในวันต่อไป ในขณะที่ครูท่านอื่นบอกว่า ไม่ควรให้เด็กวิเคราะห์วิจารณ์ครู มันไม่ดี หลังจากที่เก็บรวบรวม มาอ่าน ทีแรกก็ โมโห โกรธ รับไม่ได้ พยายามทบทวนอ่านซ้ำแล้ว ซ้ำอีกวิเคราะห์ตัวเอง แล้วพยายามปรับปรุงแก้ไข เท่าที่จะทำได้ ทำซ้ำทุกภาคเรียน ตลอดเวลาการเป็นครู ผลปรากฏว่า คำบอกเล่าของเด็ก เป็นกระจกส่องเงาที่ดี ทำให้ครู ดูดี ได้รับคำยกย่องชมเชย ในหลายเรื่อง ต่อมา ก็ให้เพื่อนครู ผู้ปกครอง ประเมินบ้าง ทำให้ครูได้พัฒนาตัวเองมากขึ้นตามลำดับ เรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่า ถ้าใจกล้า ใจถึงพร้อมรับ การตำหนิ ติชม จากผู้คนทุก ประเภท แล้วปรับปรุงแก้ไข คุณจะเป็นที่รักและพอใจของคนทั้งหลาย จำไว้เถอะ ตรงกันข้ามคนที่ใครแตะต้องไม่ได้ รักเกียรติรักศักดิ์ศรี ยากนักที่จะได้นั่งในใจคนรอบข้าง มีแต่เขาจะดีกับเรา แค่เพียงต่อหน้าแต่ลับหลังเราอาจจะถูกนินทา ไม่เหลือหลอ ฉะนั้นทุกเรื่องทุกสิ่ง ทุกคน รอบตัวเราเป็นครูของเราได้เสมอ และเชื่อว่าคนอ่านที่เคยเป็นลูกศิษย์ครู คงยืนยันในเรื่องนี้ได้ สวัสดี ๐๙/๑๒/๖๒



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
คนท่าชนะ (Thachana Man)
เขียนเมื่อ

มอบของขวัญวันเกิดผิดวัน

 เมื่อปีที่แล้ว ปี  ๒๕๖๑ ได้ จัดหาของขวัญวันเกิด ไปมอบให้กับผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ตรงกับวัน อาทิตย์ ๑๖ เดือนธันวาคม พอมาปีนี้ ถามว่า จะรับอะไรเป็นของขวัญวันเกิด ในๆปีนี้ ตรงกับวันที่ ๑๖ ธันวาคมปี ๒๕๖๒ เขากลับบอกว่า วันเกิดของเขาปีนี้ ตรงกับวันพฤหัสบดี ที่ ๕ ธันวาคม  ทำให้งง ลองคิดทบทวนไปมา อีกครั้งหนึ่ง ปรากฏว่า ท่านเกิด ปีพุทธศักราช ๒๔๗๒ แต่ที่ตรงกัน ก็คือขึ้น เก้าค่ำเดือนอ้าย จึงได้ความคิดว่าถ้าจะหาของฝากไปฝาก เนื่องในวันเกิดท่าน จะต้องดูให้ดีๆโดยเฉพาะคนในชนบท ซึ่งเขานับ ขึ้นแรม และเดือน ทางจันทรคติ เป็นหลัก ไม่ได้ถือ เป็นวันที่ แบบสุริยคติ เหมือนกับที่พวกเราทั่วไปนับกัน ตอนนั้นต้องตรวจสอบดีๆมิฉะนั้นจะหน้าแตก เสียผู้ใหญ่กันไปตามๆกัน ๕๕๕



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
คนท่าชนะ (Thachana Man)
เขียนเมื่อ

ใครจะดูแลให้รพ.รัฐเห็นคุณค่าชีวิตผู้ป่วยจนๆ

ได้พาแม่ไป รักษาที่โรงพยาบาลประจำจังหวัด และประจำอำเภอ หลายครั้ง สิ่งที่เหมือนกันก็คือ มีคนไข้ล้น มีเตียงเสริม มากมาย เข้าใจว่าไม่สามารถปฏิเสธ ผู้ป่วยได้ ทั้งๆที่มีหมอและพยาบาลจำกัด ซึ่งไม่เหมือน กับโรงพยาบาลรัฐ ในเมืองบางที่ ปฏิเสธไม่รับคนไข้ อ้างว่าวันนี้คิวเต็มแล้ว ให้ไปที่อื่น การเช็ดตัวผู้ป่วย การเปลี่ยนผ้าปูเตียง และอื่นๆ ที่พยาบาลไม่สามารถบริการได้ จึงเป็นหน้าที่ของญาติผู้ป่วย ที่นอนเฝ้าใต้เตียงผู้ป่วย เชื่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ คณะผู้บริหารโรงพยาบาลนั้นๆคงรู้ดี แต่เจ้ากระทรวงจะรู้หรือไม่ไม่ทราบ ผู้ป่วยแต่ละคน คงไม่มีรายได้เพียงพอที่จะไปรักษาที่คลินิก หรือโรงพยาบาลเอกชน เพราะราคาค่อนข้างแพง ถึงแม้ว่า จะ มีผู้ป่วย มากมายเพียงไรในโรงพยาบาลรัฐบาล ก็ยังสามารถ สู้ค่ารักษาพยาบาลไหว โดยใช้บัตร 30 บาท หรือบัตรทองได้ การรักษาพยาบาล ท่ามกลางความเครียดของหมอ พยาบาล ผู้ป่วย ญาติผู้ป่วย ซึ่งในที่สุด บางราย ก็จะต้องลำเลียงออกไปกลางดึก เพราะวิญญาณทิ้งร่างไปแล้ว ญาติพี่น้อง ก็ต้องก้มหน้าก้มตา ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ บางที เมื่อผู้ป่วยอาการดีขึ้น หมอมักจะบอกว่า ให้กลับบ้านได้แล้ว เพราะถ้าอยู่โรงพยาบาลต่อ อาจติดเชื้อได้ จะมีผู้สื่อข่าวหรือผู้แทนของประชาชน คนไหน จะช่วยทำให้เรื่องนี้ ให้ผู้ป่วยจนๆอยู่รอดปลอดภัย ได้รับการรักษาเท่าเทียมกันถ้วนหน้าเสียที ถ้าไม่เชื่อ ลองแอบไปดูเองบ้างก็จะเป็นพระคุณกับคนจนๆ อย่างล้นเหลือครับวีระ สินสมุทร ๑๑ ตุลาคม ๒๕๖๒



ความเห็น (3)

เป็นเช่นนี้เกือบทุกจังหวัด

เห็นแบบนี้นานมาแล้วค่ะ รพ จังหวัดก็ไม่มีทางเลือก ต้องรับคนไข้ล้น เพราะจำนวนคนป่วยมากขึ้นทุกวัน พยาบาลไม่พอ ดูแลไม่ทั่วถึง เห็นมีความพยายามที่จะพัฒนา มีการรับรอง รพ แต่ปัญหานี้ยังแอบซ่อนอยู่ค่ะ

ยามปกติดูแลตัวเองก่อนให้ดีที่สุดค่ะ. เล็ก ๆ น้อย ๆ. ค้นความรู้ดูแลตนเองเบื้องต้น … โรงพยาบาลรัฐที่ไหนก็พยายามลดความแออัดค่ะ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
คนท่าชนะ (Thachana Man)
เขียนเมื่อ

 นึกถึงแม่ตอนที่๑แม่เคยบอกเสมอว่า ถ้าแม่ตาย ให้จัดงานศพแม่ที่วัด ใช้เวลาเพียง ๓ คืนอย่ารับซอง อย่าฆ่าสัตว์ตัดชีวิต อย่าให้มีการเล่นการพนัน ลูกๆทั้ง ๔ คน ตั้งใจดำเนินการตาม ที่แม่ขอไว้ แต่ชาวบ้าน และสามีของแม่ ขอให้จัดงานศพที่บ้าน ดำเนินการตามประเพณีของชาวบ้านทำไมแม่จึงสั่งอย่างนี้การค้างศพที่วัด ยอมประหยัด การรับส่งพระ ที่ต้องมาสวดพระอภิธรรม ถ้าจำเป็นต้องรับส่ง ก็น้อยที่สุด หากวัดนั้นพระไม่เพียงพอ การสวดศพแค่เพียงสามคืนย่อมประหยัดกว่า ๕ คืนแน่นอน การไม่รับซอง ก็คือไม่ต้องให้ลูกหลาน ผู้รับซอง จะต้อง ทำบุญ ให้กับผู้ที่มาส่งซองให้เรา ต้องเพิ่มเงิน เช่นเขาทำบุญกับเรามา ๔๐๐ บาท เราก็ต้องให้เขาคืน ในงานบุญของเขา ไม่น้อยกว่า ๔๐๐ บาทเป็น ๔๕๐ บาท หรือ ๕๐๐ บาท สุดแล้วแต่ การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตย่อมมีแต่บาป แม่จึงมีความประสงค์ที่จะให้เลี้ยงข้าวกล่อง หรืออาหารมังสวิรัติหรือขนม หรือกาแฟ น้ำชา โอวัลตินเป็นต้น ส่วนการเล่นการพนันในวัด ย่อมเล่นไม่ได้อยู่แล้วโดยแท้ ความคิดแม่ จึงเต็มไปด้วยความรัก ความเป็นห่วงลูก ไม่อยากให้ลูกต้องลำบากอีก และไม่อยากทำร้ายชีวิตใครแม้แต่สัตว์ ทั้งยังไม่อยากให้หมกมุ่นกับการพนันอีกด้วย ความคิดของแม่จึงประเสริฐ สมควรได้รับการเทิดทูน ยกย่อง จากลูกตลอดไป วีระ สินสมุทร ๓๑ ตุลาคม  ๒๕๖๒กรุงเทพฯ



ความเห็น (1)

ชื่นชมกับความคิดของท่านที่มองไกล..ข้ามภพชาติอีกด้วย..นี้คือพระโพธิสัตว์

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
คนท่าชนะ (Thachana Man)
เขียนเมื่อ

รอยอาลัย

หกสิบหกปี ที่ผ่าน ไม่นานนัก ด้วยความรัก แม่มอบให้ ไม่หน่ายหนี ให้ดื่มนม ให้อบรม มานานปีมาวันนี้ แม่พราก จากเราไป เที่ยงสิบสอง นาฬิกา เวลาพรากยี่สิบจาก ตุลา ห้าหกสองสามพี่น้อง ต้องกลั้น น้ำตานองมีให้ต้อง กายแม่ แต่โบราณ เหมือนสายฟ้า ฟาดลง ที่ตรงหน้า ให้ชีวา ดับสูญ เสียสังขาร ต้องเสียแม่ ที่รัก ดั่งดวงมาลย์อยากจะพาล โทษใคร ที่ไหนดีได้สติ ขึ้นมา ชีวาเอ๋ย ไม่มีใคร อยู่ได้เลย อย่ากังขาเจ้าแผ่นดิน พระ นาย ในพาราล้วนเกิดมา ดับไป ไม่เหลือเลย ด้วยความดี ทำมา ทั้งแม่ลูกร่วมพันผูก ชีวา มานานโขร่วมอุทิศ จิตตั้ง ด้วยนะโมพุทธโธ ธัมมัง สังฆังเอยให้วิญญาณ ของแม่ มีแต่สุขไกลจากทุกข์ ระทม และหม่นหมองเกิดชาติใด ได้ดี สมดั่งปอง ให้ได้ครอง นิพพาน เนานานเทอญวีระ สินสมุทรกรุงเทพฯ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๒



ความเห็น (1)

ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
คนท่าชนะ (Thachana Man)
เขียนเมื่อ

สายโทรศัพท์สายใยสายใจหรือสายสัมพันธ์

๐๘๓๖๙๒๒๗๖๗…ไม่สามารถติดต่อเลขหมายปลายทางได้ในขณะนี้ เสียงตอบรับที่เคยมีกลับหายไป เช่นเดียวกันกับ เสียงที่เคยกล่อมลูก สมัยเมื่อไม่มีโทรศัพท์ใช้ ทำให้ต้องนึกถึงวันอาทิตย์ที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๖๒ ตรงกับแรม ๗ ค่ำเดือน ๑๑ ปี กุน เวลา ๑๒ นาฬิกา ๑๒ นาทีณ ห้องพิเศษ ๒ โรงพยาบาลไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี หลังจากที่แม่ได้รับผ้าไตรจีวรใส่มือ กล่าวนำถวายสังฆทาน เสร็จแล้วนำไปถวายพระที่วัดใกล้โรงพยาบาล และไหว้ศาลของโรงพยาบาล ลมหายใจเข้ายาวครั้งสุดท้ายของแม่ สิ้นสุดลง ด้วยความสงบนิ่ง โดยที่มือขวาของแม่ยังอยู่ในมือขวาของลูกชาย  ภายใต้การสวดมนต์ของลูกสาว วิญญาณของหญิงสูงวัย ๙๕ ปี คงจะล่องลอยลาลับจากลูกชายวัย ๖๖ ปี ซึ่งยืนสำรวมสติแน่วแน่ส่งดวงวิญญาณสู่สวรรค์ โดยไร้น้ำตา ไร้ความดีใจ ไร้ความเสียใจ ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าทำได้อย่างไร เราใช้รถ ฟอจูนเนอร์ ของน้องชาย พาแม่กลับบ้าน พอถึงบ้านฝนตก อาบน้ำให้แม่ เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเปลี่ยนที่อยู่ให้แม่ แล้วเข้าสู่กระบวนการบำเพ็ญกุศล จนครบ ๖ คืน ๒ คืนแรกมีฝนตกหัวค่ำ แต่ไม่กระทบกระเทือนกิจกรรม หลังจากนั้น ราบรื่น ตกอีกครั้งหนึ่ง วันเสาร์ที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๒ เวลา ๑๒:๐๐ น เมื่อนำแม่ไปถึงวัด ฝนตกพอควร แต่ไม่ขัดกระบวนการ จนกระทั่งเสร็จกิจกรรม แล้วฝนก็ตกอีกครั้งหนึ่ง รุ่งเช้าอีกวันดำเนินกิจกรรม เมื่อถึงตอนทำพิธีกลับหัวเถ้ากระดูก เรียกว่ากลับชาติ เทียนที่จุดดับลง เหมือนกับว่า แม่จะไม่ไปเกิดต่อไปอีกแล้ว สาธุสาธุสาธุอนุโมทนามิ



ความเห็น (1)

ขอแสดงความเสียใจด้วยค่ะ ขอให้คุณแม่ไปสู่ภพภูมิที่ดีค่ะ

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
คนท่าชนะ (Thachana Man)
เขียนเมื่อ

ขอชาวพุทธชาวคริสต์อิสลาม
จงพบความปรีดิ์เปรมเกษมศานต์
สิ่งดีๆมีเพิ่มตลอดกาล
ทั้งเงินงานมิตรดีๆมีอนันต์
ศาสดาทั้งสามโปรดตามช่วย...
โปรดอำนวยสมหวังดั่งปรารถนา
ทั้งความคิดจิตใจและกายา
พร้อมมรรคาสู่ชีวีดีสุดเอย
วีระ สินสมุทร ๑ ม.ค.๕๘



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
คนท่าชนะ (Thachana Man)
เขียนเมื่อ

ขอชาวพุทธ ชาวคริสต์ อิสลาม
จงหมดความทุกข์โศกโรคภัยหาย
สิ่งเลวร้ายใกล้กันพลันมลาย
ทั้งหญิงชายห่างไกลจากภัยพาล
สิ่งเลวร้ายไม่ดีปีห้าเจ็ด
ถึงสามเอ็ดธันวาพากันหาย
จากชีวิตจิตใจไกลเรือนกาย
เพื่อจะได้ดวงดีปีใหม่เทอญ
วีระ สินสมุทร ๓๑ ธ.ค.๕๗



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
คนท่าชนะ (Thachana Man)
เขียนเมื่อ

ศึกษาดูงานประเทศเกาหลีใต้ ๘-๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๓

October 28, 2010 at 8:19am

ได้ไปดูงานที่เกาหลีใต้  เมื่อวันที่ ๘ ถึงวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๓  ได้เรียนรู้หลายกรณี

๑.  ไม่มีคนเกาหลีขับรถยนต์ โตโยต้า ฮอนด้า มาสด้า ตามทอ้งถนนเลย แต่กลับมี เกีย ฮุนได

และ แดวู เต็มท้องถนน แสดงถึงความเป็นชาตินิยม หรือ อาจเป็นกุศโลบายของรัฐบาล

ในการจัดการศึกษา การจัดการเกี่ยวกับการ สนับสนุนอุตสาหกรรม และการรักษาเงินไม่ให้ไหลไปต่างประเทศ

๒.  รัฐบาลปรับสภาพริมแม่น้ำ ให้เป็นสวนสาธารณะ เป็นปอดที่ดีของประเทศ แม่น้ำจะได้

สะอาด ประชาขนจะได้พักผ่อนหย่อนใจ ออกกำลังกาย และ ประชากรจะได้มีสุขภาพดี แข็งแรง คลองบางแห่งมีน้ำไม่ใสสะอาด เหมือนคลองแสนแสบของกรุงเทพมหานคร

ก็ได้รับการปรับปรุงแก้ไข ให้ดูดี สะอาด เป็นสถานที่น่าท่องเที่ยว พักผ่อนยามว่าง

  ๓. การข้ามถนนเมื่อมีสัญญาณไฟเขียวให้ข้าถนนเท่านั้น หากมีสัญญาณไฟแดงห้ามข้าม แม้ไม่ 

  มีรถแล่นมาแม้แต่คันเดียว ก็ต้องไม่ข้ามใครฝ่าฝืนถูกจับและเสียค่าปรับแพงมากๆ จะทำให้

  คนต้องรักษาวินัยอย่างเคร่งครัด

๔.  ในชีวิตประจำวัน คนเกาหลีทานอาหาร ปิ้ง ย่าง ที่มีมันมากๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดมะเร็งได้

  แต่ก็ทานผักสด และมีกิมจิ ซึ่งเป็นผักกาดหมัก และมีส่วนผสมหลายอย่าง ที่สำคัญ คือ

  จะต้องมีโสมผสมอยู่ด้วย และส่วนนี้เองที่ทำให้คนเกาหลีไม่ค่อยจะเป็นมะเร็ง แม้สูบบุหรี่

  ดื่มสุราจัดก็ตาม

๕.  รับทราบจากมัคคุเทศก์ ไทย ที่ทำงานอยู่ในเกาหลีว่า ค่าใช้จ่ายแพงมาก และขณะเดียวกัน

  ค่าปรับ ในกรณีต่างๆก็แพงมากเหมือนกัน เช่นการไปทิ้งขยะไม่ตรงวัน ทิ้งผิดที่ ก็แพง

  เหมือนกัน จึงทำให้คนเกาหลีต้องมีวินัย




ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

คนท่าชนะ (Thachana Man)
เขียนเมื่อ

ตัวอย่างการแก้ปัญหาผู้ปกครองใจร้อน

ผ.อ.ท่านนึ่งตบและเตะนักเรียน หน้าเสาธง แม่มาเอาเรื่องผ.อ. เลขาหน้าห้องส่งมาให้ครูเป็นคนแก้ปัญหา ได้พูดคุยกันนานเกือบชั่วโมง ถามว่า มีรถขนดินมากๆ ไม่เลี้ยงเจ้าหน้าที่บ้างหรือ เขาบอกว่าเลี้ยงปีละครั้ง ถามว่าขณะที่นั่งกับนายตำรวจ น้ำแข็งหมด ลูกเดินมาพอดี แม่ขอให้ลูกช่วยไปเอาน้ำแข็งมาให้ สัก ๑ กระติก ลูกบอกไม่ได้เพื่อนกำลังรออยู่ที่หน้าบ้าน ถามว่าแม่จะทำอย่างไร แม่ตอบว่าฉันก็ตบมันเลย ครูก็บอกว่า ผ.อ.เขาเป็นคนที่ใหญ่ที่สุดในโรงเรียน เรียกนักเรียนให้มาเข้าแถวไวๆ นักเรียนคนนั้นทำเป็นไม่สนใจ เสื้อหลุดลุ่ย จะให้เขาทำอย่างไร แม่บอกครูว่าหนูเข้าใจครูแล้ว ครูช่วยดูแลลูกหนูด้วย ขอบคุณครูมากๆ แล้วลาครูกลับไป ไม่มาพบครูอีกเลย ผ.อ.เลยสบายไป

 



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

คนท่าชนะ (Thachana Man)
เขียนเมื่อ
ขณะที่ขับรถประกันชั้นหนึ่งรีบไปงานศพต่างจังหวัด เมื่อจะออกทางเอก คนขับมองขวา รถทางขวาว่าง คิดว่ารถกระบะทางซ้ายที่นำหน้า ต้องออกไปปล่อยให้รถที่ขับค่อยๆไหลลงเนินไป เกิดไปชนกับกันชนของกระบะ ทำให้รถด้านหน้าคันที่นั่งไป มีรอยชนขนาดเล็กน้อย ถึงปานกลาง ลงไปหาคนขับรถกระบะ เขาไม่ติดใจและจะรีบไปทำงาน พวกเราก็รีบไปงานศพ กลับมาแจ้งประกัน ประกันบอกจะต้องมีค่าเอกเซส 2000 บาท เพราะไม่สามารถระบุทะเบียนรถคู่กรณีได้ จึงทำให้นึกถึงว่าถ้าเกิดไปจอดรถไว้ในห้าง หรือที่ไหนก็แล้วแต่ ถ้าใครถอยมาชน แล้วเราตามคู่กรณีมาไม่ได้ ก็จะต้องเสีย 2000 เช่นเดียวกัน หรือไม่ก็ต้องมาซ่อมเอง แล้วจะมีประกันไว้ทำไม มีคนแจ้งว่าทำไม ไม่แจ้งว่าชนเสา หรือ กำแพงล่ะ เพราะจะได้ไม่ต้องเสีย 2000 บาท ก็เราไม่ต้องการพูดโกหก ถ้าอย่างนี้ต่อไปนี้อย่างน้อยก็เราอีกคนหนึ่งที่อาจจำเป็นต้องแจ้ง/พูดโกหก เพราะพูดตรงไปตรงมาจะต้องเสียเงิน โดยเฉพาะการประกันภัยรถยนต์แล้วเกิดเหตุการเช่นนี้ งวดนี้จะต้องเสียค่าโง่ไป ฝากพี่ๆน้องๆได้รับทราบโดยทั่วกัน และอย่างน้อยอย่าลืมถ่ายรูปรถคู่กรณี ที่มีป้ายเลขทะเบียนเอาไว้ ด้วยโทรศัพท์มือถือก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ถึงแม้คู่กรณีไม่ติดใจเอาความก็ตาม ขอบคุณเหตุการณ์ที่สอนให้เรียนรู้ประสบการณือีกแบบหนึ่ง


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

คนท่าชนะ (Thachana Man)
เขียนเมื่อ

ศึกษาดูงานคุนหมิง ประเทศจีน (๑๑-๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๑)

วีระ สินสมุทร

คณะคุณครู และนักเรียนโรงเรียนราชวินิตบางแก้วในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้รับการต้อนรับจาก คณะคุณครู และผู้บริหารโรงเรียนจินหยวน(Jin Yuan) เป็นอย่างดียิ่ง

ทั้งมีการมอบพวงมาลัย ของที่ระลึก กล่าวถึงความสำคัญของโครงการแลกเปลี่ยนครู และนักเรียน การศึกษาดูงาน  การส่งมอบนักเรียนให้กับครอบครัวจีนที่รับรองนักเรียนไทย (ซึ่งทางเราไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าเขาจะใช้วิธีเดียวกันกับที่เราต้อนรับนักเรียนของเขา) เสร็จพิธีต้อนรับแล้ว คณะศึกษาดูงานก็ออกเดินทางไปเมืองต้าหลี่ (Dali) และหลีเจียง (Lijiang) ตามลำดับ

คณะคุณครูจีนโรงเรียนจินหยวน ที่นำคณะคุณครูไทยไปศึกษาดูงานได้แก่

๑.     คุณครู Jin Rui สอนภาษาจีน ชั้น Primary School

๒.    คุณครู Zhou Xiao Hua สอนภาษาจีน ชั้น Middle School

๓.    คุณครู Wu Wenyu สอนภาษาอังกฤษชั้น Primary School

๔.    พนักงานขับรถที่จ้างมา ชื่อ Mr. Hom เป็นคนที่ถ่ายรูป และให้คำแนะนำต่างๆ

สิ่งที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ เป็นสิ่งที่ได้พบเห็นมาและ สอบถามจากคณะคุณครูจีนผู้นำศึกษาดูงานทั้งสิ้น

     คุนหมิง(Kunming) เป็นเมืองที่กำลังเจริญอย่างรวดเร็ว มีการก่อสร้างอาคารเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย มีการค้าขายมาก ตึกมีแผงโซล่าเซลเกือบทุกๆตึก

     ต้าหลี่ (Dali) เป็นเมืองที่ยังรักษาสภาพธรรมชาติและวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้ได้มากๆ รถยนต์ก็ไม่มีมากมาย แต่ตึกก็มีแผงโซล่าเซลเกือบทุกๆตึกเหมือนกันประชาชนทำไร่นามากมาย และนำรายได้จากการท่องเที่ยวเข้าประเทศได้มากเกือบร้อยละสามสิบของประเทศ ในตลาดร้านค้ามี ธารน้ำใสไหลผ่านพร้อมเสียงน้ำตลอดเวลา แทบจะไม่มีขยะในทางน้ำนั้นเลย และมีชาวเขาเผ่าต่างๆอยู่มากมาย

    หลีเจียง (Lijiang)เป็นเมืองที่สวยงาม มีภูเขาหิมะ อากาศเย็น ชาวบ้านทำไร่ทำนาเหมือนกัน มีชาวเขา ออกร้าน มีลำธารสร้างขึ้นให้น้ำใสๆไหลผ่านเหมือนกัน และบางร้านใช้น้ำในลำธารนี้แช่ขวดเครื่องดื่มแทนตู้เย็นได้เลย

    ถนนหนทาง โดยเฉพาะสายหลัก (Main, Expressway) ทำได้ดีมากพอสมควรแต่ ค่าใช้ทางด่วนดูจะแพงมากเพราะลองสังเกตดูพบว่า  ระยะทางประมาณ สามร้อยกิโลเมตรเสียค่าผ่านทาง สองร้อยห้าสิบหยวน (เจ็ดร้อยห้าสิบบาท) ถนนที่รองลงมาก็ลดหลั่นลงมา ทำถนนวนเวียนบนภูเขามากเพื่อรองรับการท่องเที่ยว มีหลายแห่งที่ซ่อมถนนไม่มีคำเตือนล่วงหน้า และซ่อมแบบปะเหมือนบ้านเรา การขับรถต้องระวัง บีบแตรขอทางกันตลอด เพราะรถสารพัดประเภทวิ่งบนถนนเดียวกัน ทั้งอีแต๋น รถตู้ รถบัส ส่วนน้ำมันเก้าสิบสามราคาลิตรละประมาณเกือบสี่สิบบาท

    ธรรมชาติ เป็นประเทศหนึ่งที่มีความพยายามรักษาธรรมชาติ ป่า ทะเลสาบ น้ำตก เทวสถาน พระราชวัง วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของจีนเอง และชนกลุ่มน้อยได้ดีมากๆ อย่างน่าชื่นชม หินเป็นวัตถุธรรมชาติที่ใช้ทำถนน ทางเท้า ก่อสร้างตึก กำแพง และท้ายที่สุดก็ยังสามารถทำเป็นเครื่องประดับประเภทต่างๆ ของที่ระลึก พร้อมพืชสมุนไพร ผัก ผลไม้ ขายได้อีกด้วย

    อาหารการกิน ส่วนใหญ่ก็เป็นประเภทผัก ข้าว ข้าวโพด เห็ด แต่ผัดกันเรียกว่าอุดมสมบูรณ์ด้วยน้ำมันแทบล้นจานทุกประเภท มีหมู เป็ด ไก่ ปลา อยู่บ้างเหมือนกัน ร้านอาหารภัตตาคารหลายแห่ง เขียนกันไว้ที่ซองใส่ตะเกียบว่า การทานอาหารเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับสุขภาพ

    การสื่อสาร ต้องยอมรับว่าระบบการสื่อสารดีมาก เพราะเท่าที่สังเกตดู ไม่ว่าจะผ่านไปทางไหนการติดต่อสื่อสารทางโทรศัพท์ ประสานงานกันได้ตลอดเวลา สำหรับเครือข่ายของประเทศของเขา ขณะที่ของเราไม่สามารถทำได้ จึงไม่น่าสงสัยเลยว่าเขาสามารถส่งยานอวกาศออกนอกโลกได้ เพราะถ้าระบบการสื่อสารไม่ดีจะทำเรื่องนี้ได้ยากมาก

    สภาพประชากร  ประกอบไปด้วยพ่อค้า ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน ชาวเขาเผ่าต่างๆมากมาย หรือที่เรียกันกว่าชนกลุ่มน้อย (Minority) พวกเขาใช้พื้นที่ในการเพาะปลูกคุ้มค่า ติดถนน ติดตึก ซอกเล็กซอกน้อยก็เพาะปลูก ใช้มูลสัตว์ ซากพืชทำปุ๋ย ใช้ซังข้าวโพดให้ ต้นถั่วเกาะ พืชผลที่ผลิตได้ทางราชการมารับซื้อราคาถูกแต่ไม่เสียค่าขนส่ง ถ้าขายเอกชนแพงกว่า แต่ต้องเสียค่าขนส่งเอง

    สิ่งที่จะต้องปรับปรุง ห้องน้ำโดยเฉพาะอย่างยิ่งห้องน้ำสำหรับผู้หญิง ไม่ว่าห้องน้ำที่สถานีเติมน้ำมันเชื้อเพลิง หรือตามร้านค้า ภัตตาคาร ควรปรับปรุงให้มิดชิด เป็นสากลและดูแลเรื่องความสะอาดและให้ปลอดกลิ่นแล้วจะดีมาก

    ด้านการศึกษา (เป้าหมาย) โรงเรียน จินหยวน(Jin Yuan) เป็นโรงเรียนที่ประชาชนสร้างขึ้นแล้วมอบให้รัฐเป็นผู้บริหารจัดการ ผู้ปกครองนักเรียนเสียค่าใช้จ่ายน้อยลง เพราะรัฐจะให้งบประมาณในการบริหารจัดการ และเงินเดือนคุณครู โรงเรียนได้รับความนิยมสูงจะต้องมีการสอบเข้าเรียน ถ้าสอบเข้าไม่ได้แต่มีความประสงค์จะเข้าเรียนก็จะต้องสนับสนุนโรงเรียนเป็นพิเศษ เปิดเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาล ถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย เป็นโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยนอร์มาลยูนาน (Yunnan Normal University)ผู้ปกครองจะติดตาม ตรวจสอบความเป็นไป ความก้าวหน้าของนักเรียนบ่อยๆ โรงเรียนจะเริ่มทำการตั้งแต่เจ็ดนาฬิกา ถึงสิบเจ็บนาฬิกาทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ยกเว้นมัธยมปลายอาจมีวันเสาร์ด้วย นักเรียนจะต้องกลับมาทำการบ้านที่บ้านตามที่คุณครูมอบหมายมา การเรียนแบ่งเป็นปีละสองภาคเรียน มีการสอบกลางภาค ปลายภาค เก็บคะแนนเหมือนกัน และมีนักเรียนประจำอีกส่วนหนึ่ง มีนักเรียนห้องละประมาณ สี่สิบห้า ถึงเกือบหกสิบคนเช่นกัน คุณครูไม่สามารถลงโทษนักเรียนโดยวิธีเฆี่ยนตีได้ แต่จะสามารถเรียกชื่อ ให้ยืน ให้กางแขนขา เพื่อให้ยุติพฤติกรรมไม่เหมาะสม หรือเชิญไปรับการอบรม แนะนำตักเตือนที่ห้อง ฝ่ายดูแลวินัย และเรียก หรือแจ้งผู้ปกครองได้รับทราบ

สำหรับคุณครูที่ไม่ได้จบปริญญาตรีมาจากมหาวิทยาลัยยูนนาน จะต้องสอบเพื่อรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูก่อนจึงจะมาสอบเพื่อทำการสอนที่โรงเรียนได้ จบปริญญาตรี จะได้รับเงินเดือนประมาณ สามพันหยวน (หนึ่งหมื่นห้าพันบาท) ถ้าทำงานดีฝ่ายบริหารจะเสนอเพิ่มเงินให้ โดยไม่ต้องทำผลงาน แต่ควรจะต้องมีแฟ้มประกอบการปฏิบัติงานด้วย



ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท