"นกจับกิ่งไม้ ไร้ร่องรอย"
คือปรัชญาหนึ่งของวิธีการทำความเลว ที่ฉลาดที่สุด
จึงมีแต่คนโง่เท่านั้น ที่สร้างรอยให้เขาแกะรอยตามมาพบได้
และ กับดักล่อเหยื่อที่ดีที่สุด คือ "ศรัทธา" และ "เสน่หา"
ที่ยังไม่มีกฎหมายใดๆล้วงลูกของการ "หลอกลวง" และ "ลวงโลก" อย่างคนฉลาดทำนี้ได้
สุดยอดๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ไม่มีความเห็น
พระบางรูป เคยบอกกับผมว่า
เวลาสวดมนต์ภาษาบาลี ถ้าแปลเป็นไทย จะไม่ขลัง คนจะไม่ศรัทธา ........
ผมกลับต่างมุมว่า ถ้าแปล จะทำให้เกิดความเข้าใจ และปัญญา
ไปบวกกับ ศรัทธา ที่น่าจะสร้างสรรมากกว่าศรัทธาอย่างเดียวครับ
แต่พระจำนวนมากที่ผมเคยสนทนาธรรม ก็ยังไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้
ยังจะสวด "งึมงำ" เป็นคาถาศักดิ์สิทธิ์ต่อไปให้คนศรัทธาโดยปราศจากปัญญาต่อไป
...
ไม่มีความเห็น
พฤติกรรมจำแลง (Sublimation)
คือการแสดงออกของคนที่แตกต่างไปจากความเป็นจริงของตนเอง
ชีวิตจริงอย่างหนึ่ง แต่แสดงออกไปอีกทางหนึ่ง
ทั้งเพื่อการกลบเกลื่อนข้อด้อยของตนเอง และการแก้ไขข้อผิดพลาดที่เคยทำมา
จะออกไปทางใหน ก็ขึ้นอยู่กับระดับจิตใจของบุคคลนั้น
ไม่มีความเห็น
จากการศึกษา "ระบาดวิทยา" ของพระเก๊
ผมได้ข้อมูลว่า เส้นทางการระบาดมาจาก พระสงฆ์ที่ต้องการระดมทุนสร้างวัด
จะไปเหมาพระโรงงานแบบต่างๆ มาแจกคนทำบุญ
คนทำบุญส่วนใหญ่มีศรัทธาในตัวพระสงฆ์ ก็รับแจก แต่ไม่มีความรู้
จึงเก็บไว้เป็นสมบัติไว้ให้ลูกหลานแบบ "รับมากับมือ"
ต่อมา พระแจกทำบุญ ทั้งเก๊ ทั้งแท้สร้างใหม่ๆ เหล่านี้จะมีคนไปเหมามาขายในตลาดอีกทีหนึ่ง
ในนามของ "พระบ้าน"
ไม่มีความเห็น
ความรู้สำคัญกว่าเงิน หรือบารมีใดๆ
มีเพื่อนๆในเวบ ส่งภาพพระมาให้ดูทุกวัน วันละหลายๆท่าน
มักพูดว่า "มีคนให้มา ดูไม่เป็น ช่วยดูให้หน่อย"
และร้อยทั้งร้อย (ยังไม่พบข้อยกเว้น)
ของฟรีมักจะไม่ดี ยิ่งได้มาจากคนที่ไม่รู้เรื่องยิ่งมีโอกาสดีน้อยมากครับ
ผมจึงแนะนำว่า "อย่าหวังอะไรลมๆแล้งๆ"
ถ้าอยากได้ของดีต้องศึกษา
ดูเป็นแล้ว เดี๋ยวก็ได้ของดีราคาถูก อาจต้องใช้เวลานิดหน่อย
ถ้าไม่มีเวลาจริงๆ ก็ใช้เงินไปเลยครับเร็วดีครับ
แต่ขอเตือนนะครับ แม้จะมีเงิน ไม่มีความรู้ ก็จะถูกหลอก "เหมือนเดิม"
จึงขอแนะนำว่าใช้ความรู้นำดีกว่า ถ้ามีเงินก็ใช้เงินตาม จะดีกว่า
ใช้อย่างอื่นนำ ไม่ว่าจะเงิน หรือบุญคุณ หรือบารมี ยังไม่พบว่าได้ผลครับ
เห็นแต่โดนหลอกมาทั้งนั้นครับ
ไม่มีความเห็น
ที่มาของการทดลองลดจำนวนครั้งของการกินอาหาร
ผมได้ข้อคิด ระหว่างการขับรถไปธุระในที่ต่างๆนะครับ
ถ้าน้ำมันยังเต็มถัง หรือยังมีมาก และปั๊มน้ำมันก็หาไม่ยาก ผมจะไม่แวะเติม
เพราะไม่ต้องการพกถังสำรองน้ำมัน เกินความจำเป็น มันเกะกะและหนักรถ
แต่ผมรู้สึกแปลกมากๆ
ทำไมๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
คนชอบเติมอาหารให้กับตัวเองทั้งๆที่ "น้ำมันยังเต็มถัง" ทั้งถังจริง (ตับ) และ ถังสำรอง (รอบเอว)
ที่ตับประเมินจากการหมดแรง พักก็ไม่หาย
รอบเองเอามือคลำดูก็รู้แล้ว ยังเหลือมากไหม ส่วนใหญ่ยังเหลือครับ ไม่เชื่อลองคลำดูเดียวนี้เลยครับ
การเก็บอาหารสำรองไว้มากๆแบบนี้ไม่มีข้อดีอะไรเลยครับ สำรองนิดหน่อยก็พอครับ
และเราก็ไม่ได้อยู่เมืองหนาวที่จะใช้ชั้นไขมันใต้ผิวหนังรักษาความอบอุ่นของร่างกายแบบฝรั่ง
ทีนี้ ถังสำรองรอบเอวก็ยังเพียบ และเต็มทุกถัง
แต่ที่คิดจะที่เติม อาจเพราะไปหลงเชื่อตัวหลอก คือ กระเพาะ และระบบย่อยอาหาร
ที่เป็นแค่ทางผ่านของอาหาร ว่าไม่มีอาหารแล้ว
ไม่มีความเห็น
รับประทานอาหารวันละกี่ครั้งจึงจะพอแก่ความต้องการของร่างกาย
เรื่องนี้เป็นเรื่องง่ายๆ แต่บางคนก็ยังไม่เคยลอง ไม่เคยคิด เลยไม่มีโอกาสได้รู้
สมัยนี้ยิ่งหนัก จัดประชุมทีไรต้องมีอาหารตอนพัก ไม่มีถือว่า "ผิดปกติ" ไปเสียแล้ว
มีแต่กินกับกิน แล้วคนที่ประชุมบ่อยๆ ก็เป็นโรคอ้วนกันเป็นแถวๆ
ค่านิยมนี้ มาจากฝรั่ง เราดัดจริตใช้คำของเขาเลยว่า "เบรค"
เขาหลอกให้เราหลงเชื่อว่าต้องกินอาหารหกมื้อ ทั้งๆที่มื้อเดียวก็พอ
การกินอาหารหกมื้อนี่เสียเวลาชีวิตมากเลย ต้องกินอาหารเหมือนวัวเหมือนควาย กินแล้วก็นอน นอนตื่นมาก็กิน ชาตินี้คงไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว ถ้าคิดแค่นี้ วันๆ วุ่นแต่เรื่องกิน
ผมเลยลองทดสอบดูด้วยตัวเอง
หลังจากฝึกการรับประทานอาหาร "เป็นเวลา" ให้เหลือจำนวน "ครั้ง" น้อยที่สุด โดยไม่ติดยึดกับ "มื้อ" และไม่เกี่ยวกับการ "บวช" หรือหลักศาสนาใดๆ ต้องการคิดแบบอิสระ ไม่มีกรอบ
ผมพบว่า ชีวิตเรียบง่ายขึ้นมาก
ผมสามารถจัดการกับ ความหิว ได้ง่ายขึ้นมาก
สามารถ ว่าตามความสะดวกของ "เวลา"
ไม่สะดวก ก็ไม่หิว
วันหนึ่งทานมื้อเดียวก็ได้ สองมื้อก็ได้ สามมื้อก็ได้ ตาม "สะดวก"
เวลาเดินทางไกล ไม่สะดวก ไม่ทานเลยก็ได้ เพราะไม่สะดวก
เวลาไหนสะดวก ก็ทำตัวให้หิว กินให้พอ
ต้องลองแล้วจะรู้ ชีวิตง่ายขึ้นจริงๆ
ไม่มีความเห็น
การดูพระเนื้อผง
ผมพยายามบอกว่าวิธีการพัฒนาความ
ให้เริ่มที่พระใหม่ๆ ทำเก๊น้อย ราคาเบาๆ ดูง่าย
การพัฒนาของผิวเกิดเร็ว พระเก๊เนื้อตายมักตามไม่ค่อยทัน แยกเก๊แท้ ได้ง่าย
ดูพระใหม่เป็นแล้ว ก็ไปไล่ลำดับอายุและพัฒนาการไปเรื
ในที่สุด พระเก่ายุคไหนก็ดูไม่ยาก
ถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครเชื่อ
ยังชอบไปเล่นพระเก๊ เนื้อเรซินกันเพลิน
ไม่มีความเห็น
พระซุ้ม ก ไม่ใช่พระซุ้มกอ
พระกำแพงซุ้มกอ ที่เป็นพระเครื่องหนึ่งในเบญจภาคี
ถ้าผมเขียน ซุ้ม "ก" ผมว่าคนจำนวนมากจะงง
ผมเลยจำใจแกล้งโง่ เขียน ซุ้มกอ
แต่พอเขาอ่านตาม ก็ไม่เข้าใจอีกว่า ผมหมายถึง ซุ้ม ก
ต้องย้อนกลับไปอธิบาย ก ไก่ อีก
ว่า "ก ไก่" ไม่ใช่ "กอไม้" หรือ กอไผ่ กอข้าว กอหญ้า อะไรสักอย่าง
ขอรบกวนขอความรู้เกี่ยวกับพระซุ้มกอเนื้อว่านหน่อยครับ ผมอยากทราบว่าพระซุ้มกอเนื้อว่านล้วนๆกลิ่นเป็นแบบไหนครับ ชี้แนะด้วยครับ
มีก็น่าจะเก๊ครับ ไม่เคยเห็นครับ
แล้วลายกาบหมากละครับ จะมีลายเป็นแบบไหนและตายตัวไหมครับ
ถ้าตายตัวมักจะเก๊ครับ แท้ไม่จำเป็นต้องมีครับ
สรุปคือบางองค์มี บางองค์ไม่มีใช่ไหมครับ
จะว่าอย่างนั้นก็ได้ จริงๆก็คือ ใช้เป็นหลักไม่ได้ ให้เน้นดูเนื้ออย่างเดียวครับ เนื้อได้แล้วมาดูพิมพ์ประกอบก็พอ
แล้วถ้าอย่างพิมพ์นี้ละครับ พอดีผมได้มาจากนายกเทศมนร์ตรีเมืองกำแพงเพชรครับ ได้มา3องค์ครับ ท่านบอกว่าเป็นพิมพ์ใหญ่ 1 องค์ พิมพ์กลาง1องค์ และก็พิมพ์เล็กอีก1องค์ เดี๋ยวไว้วันหลังผมจะนำรูปมาให้ท่านช่วยชี้แนะครับ
เนื้อและพิมพ์อย่างมากก็เกจิรุ่นใหม่ๆ แต่ศิลปะมั่วๆขนาดนี้ไม่น่าจะถึงขนาดนั้นครับ
ภาษาวิบัติ หรือ สมัยนิยม
ปัจจุบัน คนไทยแทบทุกคนรู้จัก น้ำอ้อย ในนามของน้ำตาล
พอจะบอกน้ำตาลแท้ๆ จากต้นตาล ต้องบอกว่า "น้ำตาลโตนด"
และเรียกน้ำที่มีรสหวานจากมะพร้
ทีน้ำอ้อย กลับไม่เรียกว่า "น้ำตาลอ้อย"
ณ วันนี้ คนแทบจะลืมไปแล้วว่า น้ำตาล คืออะไร และพอพูดถึงน้ำตาล แทบไม่มีใครนึกถึงต้นตาลเลย ใครจะตัดต้นตาลทิ้งก็ "เฉยๆ" เพราะมี "น้ำอ้อย" แทนน้ำตาลแล้ว แต่ก็ยังใช้คำว่า น้ำตาลเช่นเดิม
พูดถึงน้ำตาลทีไร คนก็คิดถึงแต่ น้ำอ้อยที่ทำเป็นเม็ดๆขนาดเม็ดท
นี่คือตัวอย่างหนึ่ง ของภาษาวิบัติ หรือ สมัยนิยม ก็ไม่ทราบ
ไม่มีความเห็น
มีคนมาบ่นว่า พระเครื่องที่ตัวเองมีนั้น ถ้าไม่แท้จะทำอย่างไรดี
ผมตอบว่า
พุทธคุณ อยู่ที่เรานับถือครับ
วัสดุมวลสาร ก็แค่อิฐ ดิน หิน ปูน ทราย
แท้ไม่แท้เก่าใหม่เป็นเรื่องสมมติ
วัสดุทุกอย่างในโลกนี้อายุไม่ต่างกัน เกิดมาพร้อมๆกัน ไม่ในนามของสุริยจักรวาล ก็ทางช้างเผือก สุดท้ายก็จักรวาลโดยรวม ที่พระพุทธเจ้าเตือนให้เราอย่าไปคิดเรื่องนี้ (อจินไตย)
ก็เท่านั้นอย่าคิดมาก
การปลุกเสกถ้าเป็นจริง
ดินหินทรายในวัดทุกก้อน ภูเขาทั้งลูก โลกทั้งใบ หรือสุริยจักรวาล หรือทางช้างเผือกก็คงศักดิ์สิทธิ์ไปหมดแล้วครับ
ผมจึงไม่เชื่อเรื่องนี้ครับ แม้จะจริงก็เข้าข่าย อจินไตย เช่นกัน
ทั้งหมดแค่เรื่องสมมติ ทำอะไรก็ได้ที่ตัวเองชอบและสบายใจที่จะทำครับ
ไม่มีความเห็น
ถ้าอาจารย์มหาวิทยาลัยทุกท่าน ทำวิจัยให้กับตัวเอง เพื่อพัฒนาตัวเองสักโครงการหนึ่ง ภายในระยะประมาณ 5 ปี ไม่ต้องเต็มเวลา เพียงขอให้อยู่กับความเป็นจริง ในสาขาที่ตัวเองชอบ และอยากจะเป็น
เราจะได้อาจารย์ที่มีความรู้ ความสามารถในการเรียน การสอน และการวิจัย เพื่อพัฒนาประเทศในทุกด้าน
ชี้นำการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจ และทรัพยากร ได้ในทุกเรื่อง
และการพัฒนาประเทศของเราจะไม่หลงทาง ไร้สาระ เหมือนที่เป็นอยู่ในปัจจุบันครับ
คม...ชัด...ลึก ค่ะอาจารย์
ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นทางออกของสังคมได้จริงๆเลยครับ
Can a Golden Age Institute for Learning and Realization be set up and give these aspiring and continuing learners a "guide" and helping hands?
ได้แน่นอน ผมกำลังทำงานนี้กับระดับชุมชนอยู่ครับ สนใจจดหมายหรือโทรมาคุยได้ครับ
ลูกค้าชั้นดี
เป็นคำที่ ธกส ใช้ยกย่องเกษตรกรที่เป็นหนี้ "งอมแงม" เขาเหล่านั้นเกิดมาเพื่อช่วยให้ ธกส เจริญก้าวหน้า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา
มีแต่กู้หนี้เพิ่ม จ่ายดอกดี ไม่เบี้ยวหนี้ และไม่คิดที่จะเลิกเป็นหนี้
ผมสงสัยว่าเมื่อไหร่ โรงงานทำพระเก๊ขายจนร่ำรวยเป็นพันๆล้าน จะประกาศรายชื่อ "ลูกค้าชั้นดี" ของบริษัทบ้าง
มอบรางวัล มอบโล่
คนที่จะได้รางวัลนี้ ไม่ใช่พวกแผงยาวๆ ตามตลาดขายพระหรอกครับ
เพราะพวกนั้นแม้จะทำให้โรงงานมีรายได้ดี แต่ก็ทำให้โรงงานเสียชื่อเสียง
โดยการประกาศเลยว่าพระที่ตัวเองขายเป็นพระฝีมือ องค์ละ 20 บาท
แต่กลับจะเป็นกลุ่มที่เอาพระฝีมือองค์ละ 20 บาท ไปขายเป็นพระแท้องค์ละหมื่นละแสน
วันก่อนเห็นว่าจะขายองค์ละ 50 ล้านไปโน่น
ถ้าผมเป็นเจ้าของโรงงานทำพระเก๊ ผมจะรีบนำรางวัล "กล้องส่องพระทองคำหนัก 10 บาท ทำด้วยเรซิน 100%" ไปมอบให้ทันที
ในฐานะ "ลูกค้าชั้นดี" จริงๆ จะได้มีการแข่งขันกันทำตัวแบบนี้มากขึ้น
ไม่มีความเห็น
ทำไมพระสมเด็จจึงดูยาก???????
เท่าที่ประเมินจากหลายๆท่านที่ส่งรูปมาให้ดู และหรือ นำพระมาให้ดูโดยตรงที่บ้าน ที่ตลาดพระ
พบว่า ท่านเหล่านั้น
1. ไม่อ่าน หรือไม่เคยทราบหลักการตัดสิน "เก๊-แท้" ที่ผมเขียนไว้
ทำให้ยังคงหยิบพระเก๊ตาเปล่ามาเหมือนเดิม ยังไม่คิดจะขยับไปหา "พระเก๊ดูง่าย" หรือ "พระเก๊ฝีมือจัด" ที่จะหลุดไปจาก "วงจรพระเก๊" ไปสู่ "วงจรพระแท้" แต่อย่างใด
และ/หรือ
2. เคยอ่านแล้วแต่ไม่เชื่อหลักการที่ผมเขียนไว้ หรือ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
เลยไม่ทำตาม และยังติดใจ ไปหยิบ "พระเก๊ตาเปล่า" สังกัด “วัดดวง หลวงพ่อเสี่ยงทาย กรุท่าพระจันทร์” มาเหมือนเดิม
ผมก็คงช่วยได้แค่นี้ครับ
ถ้ายังเดินช้า หรือวนเวียนอยู่ที่เดิมแบบนี้ อีกนานครับที่ท่านจะหลุดจาก "ดงพระเก๊" ไปหาพระแท้
วันหนึ่งนะครับ โรงงานทำพระเก๊ อาจจะแจกโล่ "ลูกค้าชั้นดี" ให้ท่าน
ก็รอรับก็แล้วกัน ผมขอไปก่อนนะครับ
วงการพระเครื่อง ผมเจ็บมาเยอะ โดนมาเยอะครับ ผม อยาก เป็นส่วนหนึ่งของวงการเกษตรครับ
อยู่ที่ไหน ความรู้ไม่พอใช้ ก็เจ็บทั้งนั้นแหละ อิอิอิอิอิ
ตัวชี้วัดความสำเร็จ และจริยธรรมที่น่าจะใช้ในการเรียนรู้พระเครื่อง
การเข้าสาระบบตลาดพระใหม่ๆ เราจะสับสนมาก ดูอะไรไม่ออกทั้งนั้น ต้องคลำทางกันนานทีเดียว กว่าจะเริ่มเข้าทางที่เป็นจริงและมีประโยชน์ โดยผมพบว่าจากประสบการณ์ตรงของตัวผมเองมีลำดับในการพัฒนาตัวเอง ในการดูพระแต่ละเนื้อ แต่ละชุด มีตัวชี้วัดความสำเร็จจริงๆ ดังนี้
ขั้นที่ 1 ไปที่ไหนก็เห็นแต่พระเก๊
ขั้นที่ 2 นานๆจะได้แท้ๆมาสักองค์ หยิบมาแบบกึ่งรู้กึ่งบังเอิญ
ขั้นที่ 3 เพิ่งหยิบแท้ดูยากมาได้แล้ว หยิบมาแบบแยกแยะเก๊แท้ได้ ไม่บังเอิญ
ขั้นที่ 4 ดูจุดแยก แท้-เก๊ ได้แล้วบอกคนอื่นได้ อธิบายได้อย่างง่ายๆ
ขั้นที่ 5 ไม่เก็บ ไม่ใช้พระเก๊ในกลุ่มนั้นๆ
ขั้นที่ 6 แยกอายุพระแท้ในกลุ่มนั้นได้
ขั้นที่ 7 แยกพิมพ์แยกเนื้อได้
ขั้นที่ 8 แยกเกรดพระแท้ได้
ขั้นที่ 9 แยกมาตรฐานราคาได้
ขั้นที่ 10 แจกจ่าย ปล่อยหรือแลกเปลี่ยนเป็นธรรม ยุติธรรม แบบไม่มีวิชามาร
ถ้าตกข้อใดข้อหนึ่ง ผมถือว่ายังไม่ผ่านในพระนั้น เนื้อนั้นๆครับ
พระรอดกรุมหาวันกับพระรอดหลวงต่างกันตรงไหนครับ
ไม่ทราบว่าพระรอดทั้งสองเป็นแบบเดี่ยวกันหรือไม่ ขอบคุณครับ
คนละเรื่องกันเลยครับ ไปค้นที่ไหนก็มีครับ ยุคนี้อะไรก็ง่ายไปหมดครับ
ไม่มีความเห็น
คำถามที่ผมอยากตอบ
ผมอยากถามอาจารย์ว่าเล่นพระไปทำไม แต่ยังไม่กล้าถามเลยยังไม่ถาม เอาเป็นว่ายังไม่ถามก็แล้วกันนะครับ
ผมขอตอบว่า
ผมไม่ได้เล่นพระครับ
ผมแค่มาสร้างความรู้ที่ถูกต้องให้กับวงการเท่านั้น
ด้วยสองวัตถุประสงค์ย่อย คือ
1. ไม่ให้คนหลอกลวงกัน เอาเปรียบกัน หรือโกงกัน
2. ช่วยจรรโลงพระศาสนา เปิดทางเดินเบื้องต้นให้คนที่ต้องการเข้าหาศาสนาด้วยเส้นทางนี้ ไม่ให้ถูกกลั่นแกล้งให้เสียพลังกลุ่ม พุทธศาสนิกชนที่คิดแบบนี้
ผมคิดมานานแล้ว และตอบไว้หลายที่แล้วครับ
ขอบคุณครับที่ถาม
ขอความรู้ครับ อาจารย์ อยากให้อาจารย์เขียนเรื่องพระสมเด็จ มากๆๆเลยครับ
เขียนแล้วครับ เดือนตุลาคมน่าจะวางตลาดครับ
องค์นี้ไม่น่าจะดีครับ ทั้งเนื้อและพิมพ์ สีนี้ไม่เคยเห็นเลยครับ
ถ้าประเทศไทยมีคนอย่างอาจารย์มากๆ วงการพระเครื่องจะดีกว่านี้มากนะครับ เพราะปัจจุบันเห็นมีแต่คนเลวมากจังเลย มะกอก 10 ตะกร้ายังปาไม่ถูกเลยคนพวกนี้นะ อาจารย์ว่าอย่างนั้นไหมครับ
ผมก็ไม่ดีเท่าไหร่ แค่จริงใจกับเพื่อนทุกคนเท่านั้นครับ อิอิอิอิ
กรรม เป็นเครื่องจำแนกสัตว์
และ
ความรู้ เป็นเครื่องจำแนกกรรม
ดังนั้น ความรู้ จึงเป็นตัวกำหนด ชะตากรรม ในระยะสั้น และ วิบากกรรม ในระยะยาว
ใครที่ต้องการ กำหนดชะตาชีวิต ของตนเอง
ก็สามารถทำได้
โดยการใช้ความรู้ที่ถูกต้อง
ยิ่งเร็ว ยิ่งดี
ก่อนที่ ชะตากรรม จะเปลี่ยนไปเป็น วิบากกรรม
และไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องปล่อยชีวิตไปตาม ยถากรรม
ไม่มีความเห็น
ผมกำลังพัฒนาศูนย์เรียนรู้เพื่อการปลดหนี้
ศูนย์อยู่ที่ 5 ตำบลของอำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น
ที่กลุ่มพวกนักวิชาการกล่าวว่า
ผมคิดไม่ทันสมัย ใครๆ เขาก็พูดเรื่องความพอเพียงทั้งนั้น
ต้อง "เพื่อเศรษฐกิจพอเพียง" ซิจึงจะเท่ห์
แต่ผมกลับคิดว่าถ้าไม่เริ่มที่แผนปลดหนี้ มีเท่าไหร่ก็ไม่พอ
แล้วจะพอเพียงได้ยังไง
ผมไม่เข้าใจครับ
ไม่มีความเห็น
ไม่มีความเห็น
ไม่มีความเห็น
พบพระธรรมเมื่อใด กายและใจก็พบพระแท้
ไม่มีอะไรต่างกันเลย
เราต้องเรียนจากต้นไม้ครับ
แม้ไม่มีธาตุอาหารในดิน หรือมีน้อย ก็กินน้ำไปพลางก่อน ...
ไม่มีความเห็น
สังคมแห่งการเรียนรู้ เป็นสังคมที่น่าอยู่มากๆ
ผมพบอย่างนี้จริงๆ
และน่าจะทำได้ง่ายมาก
ก็แค่...... ขอเพียงพวกเรา
โลกนี้จะดูสนุก สดใส และน่าอยู่ขึ้นกว่านี้อีกมาก
นี่คือคำจำกัดความของ "สังคมแห่งการเรียนรู้" ที่ผมสัมผัสด้วยตัวผมเองครับ
ไม่มีความเห็น
เมื่อความรู้พอใช้ เราจะเป็นอะไรก็ได้
การลองเข้ามาศึกษาพระเครื่องในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา เป็นบทพิสูจน์หลักการนี้ของผมครับ
และผมกำลังเขียนตำราดูพระกรุ ทั้งเนื้อและพิมพ์ต่างๆ
สำหรับคนที่ต้องการเรียนแบบเดียวกับผม
ที่จะเป็น หลักฐานทางทฤษฎี ที่ผมค้นพบในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา แบบไม่ลอกเลียนใคร
โดยมีตัวอย่างรูปพระในหนังสือ และพระในมือผมเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ครับ
ใครไม่เชื่อก็ไม่ว่ากันครับ
องค์นี้แท้ตั้งแต่เกิดมาเลยครับ เนื้อดี พิมพ์นิยมครับ 55555555
พระปิดตาทีไหนทราบหรือเปล่าครับอาจารย์
ไม่ถนัดพระใหม่ๆครับ ทีหลังถามมาจากแหล่งที่หยิบมาเลยครับง่ายกว่ากันเยอะเลยครับ
แต่ไม่รู้ที่ครับอาจารย์ครับ
เนื้อใหม่ๆ ศิลปะไม่เคยเห็นครับ จะหยิบพระต้องความรู้ที่พอใช้กว่านี้หน่อยครับ การหยิบแบบนี้ วงการพระเขาเรียกว่า "หาของถมบ้าน" กันน้ำท่วมครับ