หลักที่สำคัญในการดูพระเนื้อโลหะโบราณ ที่มักจะมีโลหะปะปนกันมากมายแบบโละโบราณ
จึงจำง่ายๆ ว่า
"คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย สามคนกลับบ้านได้"
หมายถึง
1. การดูพระเนื้อโลหะโบราณแท้ๆ นั้น สนิมต้องมีอย่างน้อยที่สุด 2 ชนิด มีชนิดเดียว แบบเดียว วางเลย เพราะเก๊แน่นอน
2. แต่ควรจะมี ตั้งแต่ 3 ชนิดขึ้นไป จึงจะมั่นใจได้
และ ที่สำคัญพอๆกัน ก็คือ
3. สีของสนิมต้องตรงกับชนิดโลหะที่มีอยูในเนื้อพระนั้นๆ เท่านั้น
...
ดังนั้น
ถ้าสนิมมีชนิดเดียว และหรือชนิดสนิมไม่ตรงกับโลหะในเนื้อพระนั้นๆ แม้แต่ชนิดเดียว ก็ต้องวาง "นำกลับบ้านไม่ได้" ครับ
อิอิอิอิอิอิ
อยากทราบว่า สนิมมีกี่ชนิด และแต่ละชนิดเกิดขึ้นกับโลหะชนิดใดบ้าง สับสนจริงๆครับเพิ่งศึกษาครับ
โลหะทุกชนิดมีสนิมเฉพาะครับ ง่ายๆอย่าทำให้ยากครับ
เสียโอกาสและเวลาเปล่าๆ
ในสังคมปัจจุบันมีความสับสนอยู่เรื่องหนึ่ง ทั้งระดับปัจเจก และระดับสังคม
ที่เกิดจากการคิดไม่ชัด เลยทำอะไรได้ไม่ชัด
และบางคนที่ไม่ชัด ก็จะน้อยอกน้อยใจในชีวิตของตัวเอง เช่น บางท่านปฏิเสธสุภาษิตไทย ไม่ยอมรับ "ทำดีได้ดี" ไปเลย
ทั้งๆที่
ความดี และความชั่ว นั้นมีสองระดับ
ระดับสำหรับตัวเราเองนั้น วัดกันที่ "เจตนา" และก็ได้ดี ที่ความสุข ความสบายใจ
ในระดับสังคมนั้น เขามิได้ตัดสินกันที่ "เจตนา" หรือ กิจกรรมใน "การกระทำ" แต่อย่างใด
เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ทราบ หรือ ไม่สน และบางทีก็ไม่ยินดีรับรู้ "เจตนา" เสียด้วย จะดีจะเลวไม่เกี่ยวทั้งสิ้น
เพราะ ที่สำคัญ............... ตัวชี้วัดที่ใช้กันจริงๆ สุดท้ายแล้ว ก็อยู่ที่.............
"ประโยชน์" หรือ "โทษ" ที่เกิดขึ้น กับใครบ้าง กว้างไกลแค่ไหน
นั่นต่างหาก.......ที่เป็นตัวชี้วัดที่สังคมทั่วไปกล่าวถึง ได้ นานนน แสนนานนนนนนน
และยอมรับ นับถือ ยกย่องว่า "เป็นคนดี" และ "ทำความดี" จริงๆ
หรือไม่ก็ ก่นด่า กันทั้งโคตรทั้งตระกูล ว่าเป็น "คนเลว" ไปอีกร้อยปี พันชาติ
ดังนั้น ถ้าทำแล้วไม่เกิดผลลัพธ์ที่ดี แม้จะเจตนาดีแค่ไหน ไม่นาน สังคมก็จะลืมมมมมมมมมมม
แต่ แม้จะเจตนาดีขนาดไหนก็ตาม ถ้าเกิดผลร้ายสักหน่อยละก็ เป็นคนชั่วทันที และลืมยากกกกกกกกกกกกกกกก
ก็..........แค่คิดดังๆ อิอิอิอิอิอิ
ไม่มีความเห็น
หลังจากผมใช้หลักการ Input-output ในการลดจำนวนไขมันสะสมในร่างกายจนได้ผล
ค่อยๆลด 16 กก ภายใน 6 เดือน จาก 80 เหลือ 64 ในปัจจุบัน
น้ำหนักปัจจุบัน เท่าๆกับสมัยเรียนปริญญาตรี เมื่อเกือบ 50 ปีมาแล้ว
ประมาณว่า มีค่าเท่ากับใช้ไขมันที่สะสมมา 50 ปี ไปแล้ว
ผมจึงพยายามมองย้อนไปทำความเข้าใจคนที่ยังลดไขมันสะสมไม่ได้ ว่าทำไม
ก็แค่ลด Input เพิ่ม Output
ปริมาณไขมันสะสม ไม่ลดลง จะเป็นไปได้อย่างไร
เพราะ
ผิดหลักการทุกข้อ ทุกสาขาวิชา เลยละครับ
ไม่เข้าใจ และไม่เชื่อครับ
ผมจึงคาดว่าเขาเหล่านั้น น่าจะไม่จริงใจกับตัวเองมากกว่าครับ อิอิอิอิ
ไม่มีความเห็น
เมื่อวาน 18 เมย 56 มีนักเรียนรุ่นใหญ่ ที่เป็นนักธุรกิจรุ่นกลางๆ จาก กทม ขับรถเบนซ์มาเรียนวิธีดู พระเนื้อผง เนื้อดิน และเนื้อชิน ที่บ้านผม
ขนพระเก๊มา 2 กระเป๋าใหญ่ ผมใช้เวลาดู ทั้งหมดประมาณ 10 นาที ก็ตีเก๊ได้หมดทุกกล่อง
โดยการดูทีละกล่อง เพราะเก๊ตาเปล่าล้วนๆ รวมแล้วเกือบร้อยกล่อง
ที่น่าจะมีทุนการหยิบมาหลายล้าน มีเลี่ยมทอง ตลับทอง ไม่ต่ำกว่า 20 องค์ เต็มสองกล่อง
ผล...... เก๊ 100%
หลังจากนั้น ผมก็ให้หัดดู "วัสดุการสอน" ของแท้ ทั้งเปลือกหอย ดิน หิน ทราย ฯลฯ
พอทดสอบความรู้แล้ว จึงให้เริ่มดูจากพระแท้ดูง่าย ไปหาพระแท้ดูยาก
พอดูเป็น ก็เริ่มอธิบายหลักการดูพระแท้ ทีละองค์
โดยเน้นหลักการ และพัฒนาการของพระแต่ละเนื้อ
ทำให้เขาเพิ่งเข้าใจวิธีการดูพระแท้
และรู้ว่าตัวเองหลงทางมานาน หมดไปหลายล้าน
พออธิบายจบ ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง
เขาก็พูดออกมาอย่างโล่งใจ ว่า
"ผมรู้สึกว่า "ดูพระแท้ เป็นแล้ว" อย่างน้อยก็อีกระดับหนึ่ง"
เป็นเช่นนี้เอง
555555
อาจารย์ใด้ช่วยศิษย์คนนั้นไว้ไม่ให้หลงทางต่อไปอีก ไม่มีอะไรที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูดใด้อีกแล้ว สาธุๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ขอบคุณครับ
พระเนื้อดินจะดูง่ายๆ และ ดินดิบน่าจะง่ายที่สุด เพราะมีตัวแปรตัวเดียว คือ
สัดส่วนน้ำว่านกับดิน ทำให้
มีแค่ 3 เนื้อ หลักๆ คือ
แก่ดิน สมดุล และแก่ว่าน
การผุของผิวจะเกิดน้อยมาก ไม่ออกสีสนิม มีแต่สีน้ำว่านหลากโทนสี ฉ่ำในเนื้อ
แต่ดินเผา จะมี 2 ปัจจัย คือ
ก. ความร้อนของไฟที่มีสีต่างๆในเนื้อ ทำให้เนื้อดูแห้งๆ และ
ข. อัตราการผุกร่อนของผิว ที่จะทำให้เกิดสีสนิมเหล็กที่ผิว
เนื้อดินก็มีเท่านี้
ความยากในการส่องพระสมเด็จ มีสองขั้นตอน
ขั้นที่ 1. ดูพระเก๊เป็นพระแท้ และ
ขั้นที่ 2. ดูพระแท้เป็นพระเก๊
ขั้นแรกมาจากยังตามฝีมือช่างไม่ทัน เห็นอะไรก็ดูแท้ไปหมด
ขั้นที่สอง เริ่มตามฝีมือช่างทันบ้าง แต่ความเข้าใจเรื่องความหลากหลายของเนื้อพระสมเด็จยังไม่พอ เห็นแปลกๆ ก็ตีเก๊ไว้ก่อน
ดังนั้น จึงต้องมาทำความเข้าใจถึงความหลากหลายของ
...
ก. ระดับปูนดิบ มาก ปานกลาง น้อย
ข. ระดับปูนสุก มาก ปานกลาง น้อย
ค. ระดับตั้งอิ้ว มาก ปานกลาง น้อย
แค่นี้ก็มีตั้ง 3x3x3 =27 แบบ แล้ว
ยังจะมี
ก. เนื้อปากครก ก้นครก เนื้อหยาบ เนื้อละเอียด
ข. การกดพิมพ์ แน่น ไม่แน่น เนื้อหนา เนื้อบาง
หลังจากนั้น ก็จะมีการลงรักแบบต่างๆ หรือไม่ลงรัก
การเก็บไว้ในที่ ร้อน เย็น แห้ง ชื้น
และการใช้งานแบบต่างๆ
การล้าง การดูแล การใส่ตลับ การเลี่ยมกรอบ
สิ่งเหล่านี้จะมีผลต่อผิวและเนื้อพระแท้
ที่ทำให้พระสมเด็จเนื้อผงปูนเปลือกหอยแต่ละองค์แทบจะไม่เหมือนกันเลย
ผมลองนั่งส่องวันนี้ ทึ่งจริงๆ บางองค์ยังอ่านกระบวนการยังไม่ออกเลย
ยังไม่ต้องพูดถึงองค์ที่เรายังไม่เคยเห็น
ดังนั้น แม้จะมีสองร้อยองค์ ก็จะยังหาที่เนื้อเหมือนกันได้ยาก
แล้วเราจะไปเคยเห็นเนื้อพระหมดทุกแบบ จนผ่านขั้นที่สอง ได้อย่างไร
คงจะต้องตีเก๊พระแท้ไปอีกนานพอสมควรทีเดียว
นี่คือปัญหาของผมในวันนี้ครับ
อิอิอิอิอิอิอิ
หลักง่ายๆในการดู "พระกรุ" แท้ๆ อย่างรวดเร็ว เมื่อไปเดินตลาดพระ
1. หลากโทนสี ทั้งแนวราบ(บนพื้นผิว) และแนวดิ่ง (การงอกทับกันหรือตามรอยสึกกร่อน)
2. ผุหรือกร่อนอย่างน้อยสองแบบ คือจากในกรุ (รอบองค์เสมอกัน) และจากการใช้ (ส่วนนูน)
3. เนื้อในแกร่งแน่น เนื้อนอก(ตามร่องที่ผิวยังเหลือ)จะดูยุ่ย
4. ศิลปะ มีที่มาชัดเจน (ต้องศึกษาพุทธศิลป์ของแต่ละยุคแต่ละเมือง)
5. มีพิมพ์ทรง และตำหนิถูกต้อง
แล้วจึงค่อยขอส่อง เพื่อดู
6. มีชั้นต่างๆครบ ตามหลักการแต่ละเนื้อ ทั้งดินและโลหะ
7. ถ้ามีเม็ดทราย ผิวนอกจะต้องมน และกร่อนเป็นริ้วละเอียดทุกเม็ด และมักมีร่องทรายรอบเม็ด
8. ถ้าดินดิบ จะฉ่ำใน แห้งนอก (ถ้าแก่ว่านจะฉ่ำทั้งในและนอก)
9. ถ้าดินเผา จะเห็นชั้นของการเผา และชั้นของการผุสวนทางกัน
10. พระรอดเนื้อหินเผา เนื้อจะต้องเป็นหินกร่อน มีทั้งชั้นการเผา และชั้นการผุสวนทางกัน
เห็นดังนี้แล้วจึงค่อยหยิบ
สำหรับคนที่ดูเป็นจริงๆแล้ว ดูชัดๆเพียงข้อเดียวก็ผ่านเลยครับ
บทเรียนในการศึกษา "วิธีการดูพระเครื่อง"
นักส่องมือใหม่จำนวนมาก (รวมทั้งผมด้วย) มักไม่เริ่มจากง่ายไปยาก ไปจับยากทีเดียว คือพระเก่าๆดังๆ เก๊เยอะๆ
แทบไม่สนใจกับพระใหม่ๆ แท้ๆ ดูง่ายๆ ที่จะเป็นบันไดให้เราเรียนรู้ตามลำดับ ตามอายุ ตามการพัฒนาการ
ทำให้พวกเรายังหลงทางกับพระเก๊หลากฝีมือ แบบโงหัวไม่ขึ้น
ผมก็เคยเป็นเช่นนี้ แต่ปัจจุบันผมกลับมาศึกษาพระใหม่ๆ จนเข้าใจพัฒนาการ และหลงทางน้อยลง
แต่ก็ยังเป็นห่วง "นักส่องมือใหม่" ที่ยังหลงทาง
อีกทั้งคนกลุ่มนี้ ยังใช้วิธี "ยอกันเอง" แบบต่างคนต่างไม่รู้ความจริง ว่าแท้หรือเก๊
พอใครสะกิดว่าอาจจะเก๊ จะโดนต่อว่า หรือรุมอัดทันที
ปัจจุบัน บางท่านยังไปหวังพึ่ง
เชื่อว่าจะทำให้ "พระเก๊" กลายเป็น "พระแท้" เป็นหลัก
พอเข้าระบบตลาดพระจริงๆ เซียนเขาก็ "ตีเก๊" มา บางคนก็ไปว่าเขาจะหลอกซื้อพระราคาถูก (ซึ่งก็จริงบางส่วน) โดยไม่หันกลับมาดูพระของเรา ว่าเขาตีเก๊ด้วยเหตุใด
เป็นเช่นนี้เอง ช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ
ก็คงต้องปล่อยให้เจ็บไปก่อน แล้วให้เขาเรียนรู้เองมั้งครับ
อิอิอิอิอิอิอิอิอิ
การแยกเนื้อพระแท้ออกจากพระเก๊
ก็แค่ดูความเก่าจริงๆ ของเนื้อและผิว ตามชนิดของวัสดุและองค์ประกอบ (ที่จะเรียงเป็นลำดับ ตามอายุของการเกิดก่อนหลัง)
ทับซ้อนกันเป็นเวลา สิบปี ร้อยปี พันปี ที่เรียงซ้อนกันทั้งแนวระนาบและแนวดิ่ง จนดู "เหี่ยว" อยู่ในเนื้อ
เป็นระบบและกลมกลืนกันทั้งหมด ไม่มีอะไรที่ดูเป็นส่วนเกิน หรืออะไรที่หายไป
แยกออกจากพระเก๊ ที่เป็นคราบโปะที่มั่วๆ (ที่ช่างทำพระเก๊จะพยายามใช้สารเคมี ประเภท "กาว" ต่างๆ ที่มีสีและเนื้อใกล้เคียงกับของแท้ แต่งขึ้นมาในเวลาสองสามวัน)
ทำให้ผิวพระเก๊ ดูแล้ว ตึงๆ เละๆ เลอะๆ มั่ว ไม่เป็นระบบตามหลักและลำดับของการเกิด บางอย่างเกิน บางอย่างหายไป
เท่านั้นเองครับ
ไม่มีความเห็น
ปัญหาทาง "จิตวิทยา" ของการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว คือ
อาการ "เหี่ยว" ของผิวหนัง ที่เคยห่อหุ้มก้อนไขมันตามส่วนต่างๆของร่างกายไว้ แต่ตอนนี้ก้อนไขมันได้ละลายไปแล้ว
ที่ต้องใช้เวลาอีกเป็นเดือน ก่อนที่ผิวหนังจะหดตัวกลับเข้ามารัดรูปเช่นเดิม
ที่บางท่านอาจไม่เข้าใจ วิตกกังวล ทำใจไม่ได้ หรือรอไม่เป็น ก็จะหงุดหงิด เลยท้อ และหันกลับมาทำตัวให้ "อ้วน" ด้วยก้อนไขมันอีกเช่นเดิม
ที่ผมก็ยอมรับว่า ตอนแรกๆ ผมไม่เข้าใจ จึงแก้ปัญหาด้วย พยายามทำใจยอมรับ "กรรม" ของข้อด้อยข้อนี้ ว่าผิวหนังที่เหี่ยว อาจจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป เพราะเราไปหลงปล่อยให้ตัวเองมีไขมันส่วนเกินไว้นานเกินไป
แต่พอสองเดีอนผ่านไป ไม่น่าเชื่อเลยครับ ผิวหนังก็หดกลับเข้ากระชับเหมือนเดิม
เช่นเดียวกับที่ผมมีญาติคนหนึ่ง อายุ 70 ปี เคยบวมจากสาเหตุไตอักเสบ เกิดปัญหาไตพิการชั่วคราว ทำให้มีน้ำหนักถึง 98 กก. พอรักษาแล้วหายบวม น้ำหนักปัจจุบันเหลือ 31 กก. ก็ออกอาการเหี่ยวจัดอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นก็กลับมา "รัดรูป" ตามอายุเช่นเดิม
ดังนั้น จึงไม่ควรกลัวครับ
ไขมันส่วนเกิน หนักแบบไม่มีประโยชน์ เอาทิ้งไปเลย ทนรอสักสองเดือน ทุกอย่างจะกลับเข้าที่ครับ
ไม่มีความเห็น
ทุกวันจะมี "นักส่องมือใหม่" ที่ออกอาการว่า "ไม่ค่อยอยากเรียน แต่อยากรู้" ส่งรูปพระเนื้อผงศิลปะเละๆ ผิวเลอะๆ มาให้ดู ผมเลยแนะนำไปว่า
"หลักในการดูพระอย่างรวดเร็ว และพลาดน้อยมาก ก็คือ อะไรที่เละๆ เลอะๆ นั้นมักจะเก๊ครับ
ของแท้มักจะสะอาด และศิลปะสวยงาม ผิวเหี่ยวในเนื้อตามตำราครับ
ถ้าคุณไม่เริ่มต้นจากของแท้ เช่น หัดส่องเปลือกหอยแท้ๆ หรือหัดหยิบพระเนื้อผงใหม่ๆ แท้ๆ องค์ละยี่สิบบาทไปก่อน ก็เล่นของเก๊ทั้งชาติ
พระของแท้ในตลาดหายากมาก ต้องลอดทั้งตาคนขายพระ และลอดตาเซียน และยังต้องแข่งกันเองในกลุ่มนักส่องทั้งหลาย
ดังนั้น ถ้าไม่ชัดพอก็ยากที่จะหาได้เจอครับ
ข้อแนะนำวันนี้ก็คือ ควรเริ่มดูของแท้ และหรือพระแท้อย่างที่ว่า ที่ท่านพอจะหาได้จนชินตา
แล้วค่อยก้าวขยับไปหาพระดูยาก
แต่วันนี้ ดูเหมือนว่าท่านคิดจะเริ่มจากพระดูยาก
เล่นอย่างนี้ โดนทั้งปีครับ ไม่มีอนาคต ไม่มีทางพัฒนา และไม่มีทางออกด้วยครับ
ลองไปอ่านวิธีการดูที่ผมบันทึกไว้แล้ว อ่านจบแล้วสักสองสามรอบ ยังสงสัยโทรมาถามได้ครับ
แต่ไม่ควรโทรมาก่อนจบ 3 รอบครับ"
เพราะโทรมาแบบไม่อ่าน จะออกอาการมั่วๆ และเสียเวลามากในการคุยกันครับ
มีคนจำนวนมาก บอกว่า มีพระเก่าเก็บ ปู่เก็บไว้ให้บ้าง พ่อสะสมไว้ให้บ้าง อยากออกตัวไปทำทุน
พอส่งมาให้ดู ผมก็ไม่ทราบจะช่วยยังไง เพราะพระเก๊ตาเปล่าทั้งนั้น
นี่คือบทเรียนที่ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจ ว่า
ถ้ารุ่นเราไม่เรียน เราก็ไม่มีทางจะกลายเป็นปู่เป็นตาที่ดี เก็บของดีๆไว้ให้ลูกหลาน
นี่คือ ส่วนที่ผมช่วยได้จริงๆนะครับ
พอผมเสนอว่าจะสอนให้ดูให้เป็น ก็อิดออด ไม่อยากเรียน อ้างสารพัด
แต่หวังฟลุคอย่างเดียว ยากครับ
ขนาดคนที่ดูออกยังหายากเลย
อย่างนี้แหละครับ เห็นใจ แต่ไม่รู้จะช่วยยังไง
บอกให้สร้างเหตุ เป็นปู่เป็นตาที่ดี รู้วิธีการหาพระแท้ เก็บไว้ให้ลูกหลาน ก็ไม่ยอม
หวังแต่จะได้โดยบังเอิญ แล้วลูกหลานของท่านจะเอาอะไรมาฟลุ๊คละครับ
เป็นเช่นนี้เองครับ อิอิอิอิอิ
ทุกเส้นทางการสื่อสาร ขอ 4 อย่าง
1. ในระหว่างเรียนให้นำตากับสมองมาด้วย (สำคัญมาก) 2. อย่าใจร้อน เรียนทีละหลัก ทีละขั้น ทีละเนื้อ
3. อย่าเรื่องมาก มีวัสดุการเรียนอะไรก็เรียนไปตามนั้น และ 4. ใครที่สมองเปื้อนความรู้ขยะ ควรล้างมาก่อน
อิอิอิอิอิอิอิอิอิ
การปฏิบัติธรรมในเบื้องต้น จะ "ไม่ได้อะไร" เพราะ มีแต่เสียอย่างเดียว
แต่สิ่งที่เสียนั้น เป็นสิ่งไม่ดี จึงทำให้บางคน "รู้สึก" ว่า "ได้" อะไรบางอย่าง เกิดความสุข และความสบายใจ
แต่ แท้ที่จริง ก็คือ แค่ "เหลือเฉพาะ" สิ่งที่ดีๆ แท้ๆ ที่เรามีอยู่เดิม ตามธรรมชาติแท้ๆ เท่านั้น
ถ้าจะได้จริงๆ ก็ต้องดำเนิน ไปถึงเบื้องปลาย คือ "การหลุดพ้น"
ที่ทำให้ "มนุษย์" เหนือ "สัตว์เดรัจฉาน"
เพราะ สัตว์เดรัจฉาน ไม่มีทั้งกิเลส และ การหลุดพ้น
คนที่มีกิเลสจึงมีทุกข์ และ คุณภาพ "ชีวิต" ต่ำกว่าสัตว์เดรัจฉาน
การปฏิบัติธรรมในเบื้องต้น ก็แค่ทำให้ตัวเองมีคุณภาพชีวิตเทียบเท่ากับ "สัตว์เดรัจฉาน" เท่านั้น
แต่มนุษย์ เป็น "เวไนยสัตว์" ควรจะมีชีวิตสูงกว่าสัตว์เดัจฉาน
นั่นคือควรปฏิบัติสู่ "การหลุดพ้น" นั่นเอง
ผมสดับมา และเข้าใจอย่างนี้ครับ
ขอบพระคุณอาจารย์ครับ
ติดตามอาจารย์นันท์ ภัคดี จึงโชคดีรู้จักอาจารย์ เริ่มจะเข้าใจเรื่องวัชพืช และการพึ่งพาธรรมชาติได้ดีขึ้น
ตอนนี้กำลังปรับใช้กับที่นาอยู่ครับ
ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นประโยค "สัตว์เดรัจฉาน ไม่มีกิเลส" ครับว่า
สัตว์เดรัจฉาน มีกิเลส "อย่างหยาบ" เนื่องจากยังคงต้อง "กิน อยู่ สืบพันธุ์" ตามสัญชาติญาณ
โดยไม่มีปัญญากำกับหรือรู้เท่าทันว่าเป้นกิเลส
ผิดถูกต้องกราบขออภัยครับยังต้องศึกษาอีกมาก
เขาใช้สัญชาตญาณ โดยไม่มีกิเลส ตัณหา ราคะ ไม่โลภ ไมโกรธ ไม่หลง ทุกอย่างเป็นไปโดย "ธรรม" อย่างเดียว โดยไม่เกี่ยวข้องปัญญา และไม่มีโอกาส "หลุดพ้น" ครับ
จุดฟันธง จึงอยู่ที่ ถ้าเรามีกิเลส เราจะต่ำกว่าสัตว์พวกนี้ทันที ทุกข์มากกว่าเขา แต่ถ้าเราวางกิเลสได้ จะสร้าง ศืล สมาธิ ปัญญา ได้ เราก็จะสูงกว่า ดีกว่าเขาทันที
ความแข็งแรงของวัวควาย วัดกันที่ความสามารถในการดิ้นหรือถีบตัวเองออกจาก "หลุมโคลน" ที่ลึกสุดปลายขาจะหยั่งได้
สัตว์ที่อ่อนแอ จะดิ้นจนหมดแรง แต่ก็จะยังจม และตายอย่างสิ้นหวังอยู่ในหลุมโคลนเหล่านั้น
ความแข็งแรงของมนุษย์ วัดกันที่ ความสามารถในการดิ้นและถีบตัวเองออกจากหลุมของกิเลสที่ลึกเกินกว่าใจจะหยั่งถึงได้
คนที่อ่อนแอ จะติด จมไปในหลุมกิเลส และเสวยผลของความทุกข์ แม้จะดิ้นสุดแรง ก็แค่ดิ้นไปจนตายในหลุมของกิเลสนั้นๆ เท่านั้น
ฉันใดก็ฉันนั้น
ไม่มีความเห็น
"ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง"
คือ การทำอย่างไรก็ได้ให้ชีวิตผู้เรียนได้ประโยชน์อย่างแท้จริง
มิใช่ตามใจผู้เรียน อย่างที่นักการศึกษาบางคนเข้าใจกัน
ที่ต้องอาศัยความเข้าใจ และความจำเป็นของผู้เรียนเป็นหลัก
ยอมรับตามที่เขาเป็น และช่วยให้เขาพัฒนาชีวิตในทางที่ถูกต้อง
เพื่อการพัฒนาการศึกษาที่ถูกต้อง
ที่อาจต้องมีการเตรียมการ เตรียมตัวที่ดี และถูกต้อง จึงจะได้ผลจริงๆ
ตามหลักการที่วางไว้ในคำว่า "การศึกษา"
ไม่มีความเห็น
การลดน้ำหนัก ไม่ยากอย่างที่คิด
หลังจากผมลองลดการรับประทานอาหารลงเหลือ ครั้งเดียวต่อวัน โดยเน้นความสะดวก ไม่กำหนดเวลาตามนาฬิกา หรือเวลาของวัน
และลดจำนวนลงให้เหลือครึ่งหนึ่งของมื้อที่เคยทาน
และออกกำลังกายเพิ่มขึ้นในตอนเย็นทุกวัน
ทำให้ลดน้ำหนักลง 8 กก. ในระยะประมาณสองเดือนที่ผ่านมา
จาก 79 กก เหลือ 71 กก
(และตั้งใจจะลดต่อไปจนถึงระดับมาตรฐานของผม ที่ 68 กก.)
เฉลี่ย ลดลง ครึ่ง กก. ต่อสัปดาห์ หรือประมาณวันละ 100 กรัม
ลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาหารลงเหลือน้อยกว่าครึ่ง
ใส่เสื้อผ้าที่เคยมีได้ทุกตัว
เดินทางและใช้ชีวิตคล่องตัวขึ้น ไม่ต้องแวะทานอาหารระหว่างทาง
หรือกังวลเรื่องการทานอาหารครั้งต่อไปในวันนั้น
มีชีวิตสะดวกสบายขึ้นในทุกเรื่อง อย่างไม่เคยทราบมาก่อน
การลดน้ำหนักนี่ไม่ยากอย่างที่เคยคิด ทำแล้วจึงรู้จริงๆ
อิอิอิอิอิ
..... สุขภาพดีดี เป็นที่แรารถนา เป็นของขวัญ "ลำ้ค่าที่สุด" นะคะท่าน
ขอบคุณบทความดีดี นี้ต่ะ
-สวัสดีครับ...
-คงต้องขอนำไปเป็นแบบอย่างแล้วหละครับ..
-คิดแบบง่าย ๆ ได้กำลังใจดีนะครับ.
-ขอบคุณครับ
ผมเคยอ่านบทความไม่นานมานี่เองว่าการกินอาหารสามมื้อเป็นของใหม่ครับ ผมคิดว่าคนไทยแต่โบราณก็ไม่ได้กินอาหารสามมื้อครับ
ขอบคุณครับสำหรับประเด็นกระตุ้นความคิด
ผมคิดว่า...
ปัญหาตั้งต้นของเรื่องนี้ อยู่ที่การสร้างค่านิยมและความเชื่อในการบริโภคกันทั้งในระดับครอบครัว ชุมชน สังคม และระดับโลก
ที่มักถือว่าการรับประทานบ่อยๆ หรือ ตลอดเวลา เป็นตัวชี้วัดความสำเร็จและความสุขของชีวิต
จนกระทั่งปัจจุบันการประชุมจะจัดอาหารว่างแทรกเข้ามาอีก เป็นระบบคิดมาจากฝรั่งโดยแท้
และ
สังคมทั่วไป ดดยรวม ก็ยังใช้การรับประทานอาหารเป็นสัญญลักษณ์ของน้ำใจ การต้อนรับ และ การฉลอง
ที่ทำให้คน "หลง" ไปกับการบริโภคเกินความจำเป็น สะสมโภชนะส่วนเกิน สะสมสารพิษ สิ้นเปลืองทรัพยากร และเวลาของชีวิต ที่ควรนำไปสร้างสรรค์สิ่งที่ดี และมีคุณค่ามากกว่าการมาใช้เวลาเพื่อการบริโภคในสิ่งที่ไม่จำเป็น
พอมาถึงจุดนี้ ผมเริ่มไม่เข้าใจสังคม ว่าเรากำลังทำอะไรกัน ทำไปทำไม เพื่ออะไร
มีเรื่องต้องหาคำอธิบายอีกเรื่องแล้วครับ
ขอบพระคุณครับ ที่มาให้กำลังใจ
คนจำนวนมาก "รักตัวเองแบบไม่เข้าใจตัวเอง"
มักคิดว่า และชอบบอกว่า "รักตัวเอง" และ "รู้จักตัวเอง" มากที่สุด กว่าสิ่งอื่นใด
ที่มีวิธีการทดสอบง่ายๆ
โดย ลองให้อยู่กับตัวเอง ทำความรู้จักตัวเอง สักสองสามวัน คนกลุ่มนี้จะ "ทนไม่ได้" และ "ทำไม่ได้"
จะหงุดหงิด เบื่อ เหงา หว้าวุ่น เครียด ซึมเศร้า และหว้าเหว่ ฯลฯ
จะพยายามหาอะไรทำ อ่านหนังสือ ดูทีวี นอนหลับ ฯลฯ
เพื่อจะลืมตัวเอง
บางคนทนไม่ได้ ถึงระดับที่คิดจะ "ฆ่าตัวตาย" ก็มี
แค่ลองอยู่กับตัวเองสักสองสามวัน ก็ยังไม่ได้
แล้วยังกล้าคิด กล้าพูดว่า "รักตัวเอง" "เข้าใจตัวเอง" "รู้จักตัวเอง" ได้อย่างไร
นี่ก็แปลก แต่จริง
ไม่มีความเห็น
เคล็ดของการมี "ความสุข"
คือ "การมองเห็นความสุข" ที่มีอยู่แล้วในตัวเรา
เพราะคนส่วนใหญ่จะรู้ "ค่าของความสุข" ก็ต่อเมื่อความสุขที่มีนั้นได้หายไปแล้ว
เลยทำให้รู้สึกว่า "ไม่มีความสุขสักที" ไปวื่งไขว่คว้าหา "ความสุข" จากภายนอก
สรุปว่า "ความสุข" ที่มีอยู่มองไม่เห็น ที่พอจะนึกออก มันก็หายไปแล้ว
แปลกแต่จริง
ไม่มีความเห็น
การอวยพร ที่ดี มีประโยชน์จริงๆ น่าจะเป็นอย่างไร
ในระยะสองสามวันนี้ ผมตามดูการอวยพรในทุกระบบ
พบว่า ส่วนใหญ่ "ยากที่จะเป็นจริง"
เช่น คำหนึ่งที่พบบ่อยที่สุด "ขอให้พบแต่สิ่งดีๆ"
คำนี้นะครับ แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในระบบสังคมปัจจุบัน ที่เป็นระบบสังคม ที่สั่งสมปัญหามากมาย ซ้อนทับกันจนแทบแยกและนับชั้นที่ซ้อนกันอยู่ไม่ได้
ว่าง่ายๆเลยครับ ขนาดคนที่อวยพรนี้มาให้คนอื่น เท่าที่รู้ที่เห็น เท่าที่รู้จัก ก็ไม่เคยมีอะไร "ดีๆ" ให้คนอื่น เห็นมีแต่เรื่องไร้สาระ ทั้งกับตัวเอง และสิ่งรอบๆข้าง อย่างมากที่สุด ก็แค่คำอวยพรนี้เท่านั้น ที่ว่า "ดี"
แล้วจะหวังว่า คนอื่นๆ จะพบแต่สิ่งดีๆ กว่าเดิม มาจากไหน
ตามหลักพุทธ นะครับ
ทุกสิ่งเกิดมาแต่เหตุ
ชีวิตจะดีได้ ก็ต้องมีเหตุแห่งความดี จะพบสิ่งดีๆ ได้ก็ต้องฉลาดเลือกเส้นทางและการพัฒนาชีวิต
ดังนั้น หลักทางโลกเลยครับ
เราจะต้องเดินเข้าหาสิ่งดี และหลีกไกลจากสิ่งไม่ดี
และหลักทางธรรมก็คือ
หมั่นชำระจิตใจให้สะอาด ปราศจากสิ่งเศร้าหมอง
แม้จะอยู่ในแวดล้อมของสิ่งเศร้าหมอง รอบตัว ก็ไม่ต้องไปรับเข้ามา รู้จักตัวเอง รู้จักกลั่นกรอง
เฉกเช่นเดียวกับต้นไม้ที่ฝังรากลงไปในดิน แต่มันก็ไม่เคยกินดิน
มันกินแต่น้ำ และธาตุอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นโทษก็พยายามไม่รับเข้ามา
แม้พลาดรับเข้ามา ก็พยายามกำจัดออกไปอย่างรวดเร็ว
นี่คือกลไกการอยู่รอดของต้นไม้ ที่เชื่อกันว่า "ไม่มีสมอง"
แต่คนเรามีสมอง กลับทำในทางตรงกันข้าม
และพอตัวเองทำ ก็กลัวคนอื่นจะว่า ก็ไปชวนคนอื่นทำแบบ "นิทานหมาหางด้วน"
ดังนั้น
ผมเชื่อว่า การอวยพรที่ดีคือ คำพูดอะไรก็ได้ ที่...
"การอวยพรให้คนได้พัฒนาความสามารถในการ "กรอง" ให้สามารถรับแต่ "สิ่งดีๆ" เข้ามาสู่ระบบของชีวิต และ "กัน" ไม่ให้สิ่งไม่ดี ได้ผ่านเข้ามา และถ้าผ่านเข้ามา ก็ขอให้รีบกำจัดออกไปเสีย
จะพูดอย่างไรก็ได้
และคนที่พูดก็ควรต้องทำในสิ่งดีๆ ให้คนอื่นด้วย จึงจะเป็นคำอวยพรที่มีความหมาย
ผมคิดและเชื่ออย่างนี้ครับ
ไม่มีความเห็น
ธกส. ช่วยชาติได้
เท่าที่ผมวิเคราะห์สถานการณ์ หนี้สินภาคเกษตรกรรม
พบว่า
หน่วยงานที่จะช่วยเหลือ "นักกู้" มีอาชีพ ระดับ อมตะนีรันดร์กาล ก็คือ ธกส.
และการช่วยนี้ สามารถทำง่ายมาก
แค่เปลี่ยนคำจำกัดความ ของ "ลูกค้าชั้นดี" เท่านั้นเอง
เป็น ว่า
"เป็นลูกค้าที่สามารถปลดหนี้ได้ ในเวลา 5 10 15 ปี" ก็ว่ากันไป
ว่าแบบ ดีมากที่สุด ดีมาก และดี ธรรมดา
และลูกค้าที่มีแต่หนี้เพิ่มขึ้น หรือเป็นลูกค้ามาสิบปี หนี้ก็ยังไม่ลดลง
เป็น "ลูกค้าชั้นเลว เลวมาก และ เลวที่สุด" ตามความรุนแรงของปัญหา
และพวกที่ไม่มีแววจะใช้หนี้หมดในชาตินี้ เป็น
"ลูกค้า ทาสพันปี" หรือ "ลูกค้าระดับทาส 7 ชั่วโคตร" ก็ว่ากันไป
ผมว่า พวก นักกู้ "มืออาชีพ" จะได้มีโอกาส เข้าใจตัวเองบ้าง
และประเทศไทยจะมีทางรอดครับ
ง่ายแค่นี้เองครับ
ไม่มีความเห็น